[เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]  (อ่าน 54095 ครั้ง)

ออฟไลน์ BitterSweet

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +725/-2
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)







[เรื่องสั้น] Lonely Planet



ผมเคยสงสัย...

ในคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์”

แม้ทั้งสองมีต้นกำเนิดบนดาวคนละดวง มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน มีทัศนคติที่ตรงกันข้าม แต่พวกเขากลับหลงใหลในความแตกต่าง ตกหลุมรักในความขาดหาย และเต็มเติมซึ่งกันและกัน


แต่...มันจะมีบางมั้ย ที่ผู้หญิงไม่ได้ตกหลุมรักคนจากดาวอังคาร และ ผู้ชายไม่ได้อ่อนไหวกับคนจากดาวศุกร์


หากใครคนหนึ่งตกหลุมรักคนที่มาจากดาวดวงเดียวกัน

ผมเคยสงสัย... พวกเขาจะโคจรอยู่รอบดาวดวงใด


หรือแท้จริงแล้ว...

พวกเขาอาจทำได้แค่ลอยเคว้งคว้าง เพื่อเฝ้ามองคนสำคัญอยู่ลำพังห่าง ๆ


...เพียงดวงเดียว



---------------------------------------------------------------------------------


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2017 17:53:40 โดย BitterSweet »

ออฟไลน์ BitterSweet

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +725/-2
1.




“กูชอบภีม”

   
ในคืนที่ดาวเกลื่อนฟ้า ผมนิ่งอึ้งหลังได้ยินคำสารภาพนั้น


เข้าใจว่าตอนนี้ทะเลกำลังสวย ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ลมโชยพัดมาเบา ๆ ท้องฟ้าคืนแรมมีพระจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ บรรยากาศลงตัวแสนโรแมนติกเป็นใจ ไม่แปลกถ้าใครบางคนจะเลือกบอกความจริงที่เก็บซ่อนไว้


แต่ผิดแค่ว่า...ผมไม่ใช่ภีม และคนพูดคือ...ไอ้เก้า


ไอ้เก้า มนุษย์ร่างสูงใหญ่หุ่นนักกีฬา ผิวเข้ม หน้าตาคม มองเผิน ๆ เหมือนเด็กเรียนวิศวะมากกว่าเรียนคณะอักษร เวลาเดินผ่านไปแถวคณะวิศวะทีไร จะมีรุ่นน้องยกมือไหว้กันเกรียวเพราะนึกว่าเป็นรุ่นพี่ แล้วมันก็ดันรับสมอ้าง แกล้งใช้ให้รุ่นน้องไปทำนู้นทำนี้ มันบอกว่าเป็นการเอาคืนที่พวกวิศวะมาจีบเด็กคณะเราเยอะ  แต่ถึงอย่างนั้น สาวในคณะส่วนใหญ่ก็ยังแอบปลื้มมัน และตลอดสี่ปีที่เรียนมา ผมก็เห็นมันควงผู้หญิงสวย ๆ ไม่ซ้ำหน้า



...พูดง่าย ๆ ไอ้เก้าเป็นคนสุดท้ายที่ผมคิดว่า ...มันจะชอบผู้ชาย



“กูไม่รู้ว่าชอบภีมตอนไหน แต่กูก็ชอบมันไปแล้ววะ”


ไอ้เก้าพึมพำขึ้นมาอีกครั้ง ทีแรกผมคิดว่ามันแค่พูดเล่นตามนิสัยกวนตีน แต่พอได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของมัน ผมก็ชักเริ่มไม่แน่ใจ อาจเพราะด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเรา


ทะเลที่ผมนั่งมอง คือการมาเที่ยวครั้งสุดท้ายของชีวิตนักศึกษา ผมกับเพื่อนในกลุ่มเพิ่งสอบวิชาตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนบ่าย แล้วก็พากันขับรถสามคันรวม ชาย 9 หญิง 3 ตียาวจากมหาลัยมาถึงหัวหิน จองรีสอร์ทแบบบ้านเดี่ยวหลังใหญ่เพื่อความเป็นส่วนตัว ซื้อเหล้าเบียร์ กับแกล้ม ตั้งวงนั่งดื่มชมวิวตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนฟ้ามืด


ตอนเกือบสี่ทุ่ม กรึ่ม ๆ กำลังดี ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกง เลยเดินหลบจากวงเพื่อน ๆ ซึ่งเริ่มเมาส่งเสียงคุยเอะอะ หาที่นั่งปลีกวิเวกตรงชายหาดเงียบ ๆ หยิบโนเกียรุ่นเก่าตกยุคเพื่อรับสาย


แม่โทรมาคุยถามไถ่เป็นปกติทุกวัน ผมไม่ลืมบอกแม่ว่าอยู่หัวหิน วันพรุ่งนี้ถึงจะกลับ แม่เตือนว่าให้ดูแลตัวเองดี ๆ  แล้วคุยยาวไปจนถึงเรื่องการย้ายหอออกในสิ้นเดือนนี้ 


...นึกแล้วก็ใจหาย ช่วงเวลาสี่ปีคล้ายจะนาน แต่สำหรับผมเหมือนผ่านไปแค่พริบตาเดียว การมาเที่ยวครั้งนี้จึงถือเป็นปาร์ตี้ฉลองเรียนจบกับเพื่อน ก่อนที่เราจะแยกย้ายไปเผชิญกับโลกการทำงานแท้จริง


หลังจากวางสายเสร็จ ผมรู้สึกตัวว่ามีคนเดินมาทรุดตัวนั่งที่พื้นทรายข้าง ๆ  พอหันไปก็เจอไอ้เก้า ผมกำลังจะอ้าปากทักว่าหนีเสียงดังมาเหมือนกันเหรอ ทว่าอยู่ ๆ มันกลับชิงพูดขึ้นซะก่อน 



...ไม่ใช่ประโยคนั้น แต่เป็นคำถามแบบไม่มีที่มาที่ไป



“มึงว่าโลกห่างจากดวงอาทิตย์เท่าไร”


ผมชะงักด้วยความงง พยายามเพ่งสังเกตสีหน้าของไอ้เก้าว่าเมารึเปล่า เพราะเห็นมันดื่มไปหลายแก้ว แต่ในความมืดลาง ๆ นั้นผมเดาไม่ออก เลยแกล้งย้อนถามกลับ


“อะไรของมึง จะมาทดสอบความรู้กูก่อนเรียนจบเหรอวะ”


คนฟังไม่รับมุก แถมส่งเสียงจิ๊จ๊ะเร่งคาดคั้น


“เออ ตอบมาเท่าไร หรือมึงไม่รู้”


...อ้าว ๆ อย่าดูถูกเด็กเอกภูมิศาสตร์สิครับ ไอ้คำถามเนี่ยตอบได้ตั้งแต่ยังไม่แอดเข้ามหาลัยด้วยซ้ำ


“150 ล้านกิโลเมตร ถ้าคิดเป็นไมล์ก็ 92,600,000 ไมล์”


ผมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ไม่เฉพาะแค่ดวงอาทิตย์ จะให้ท่องระยะห่างจากโลกไปดวงจันทร์ โลกไปดาวเสาร์ หรือดาวดวงไหน ๆ ในจักรวาลก็ตอบได้หมด มันเป็นความชอบส่วนตัว ผมจึงมีคลังความรู้เก็บไว้เพียบ แต่ไอ้เก้าดูเหมือนไม่ค่อยจะแสดงความชื่นชมในความสามารถพิเศษนี้ แค่พึมพำสั้น ๆ


“เหรอวะ ไกลเนอะ”


...อะไรของมัน?  ตกลงมึงเมาใช่มั้ยไอ้เก้า


ใจผมคิดจะถามกลับ แล้วลากมันไปหาเพื่อนในกลุ่ม ดื่มน้ำสักแก้วคงช่วยให้สร่างเมาอยู่บ้าง แต่ไอ้เก้ากลับดันพูดต่อ ด้วยประโยคแบบไม่มีที่มาที่ไปอีกครั้ง



...ประโยคที่ทำให้คิดว่า ผมเป็นฝ่ายเมาจนฟังเพี้ยนไปเสียเอง



แต่น้ำเสียงของไอ้เก้าหนักแน่นจนผมชักไม่มั่นใจ ความคิดมากมายเริ่มตีกันในสมอง หรือผมอาจแปลความหมายคลาดเคลื่อน จริง ๆ ไอ้คำพูดว่า ‘ชอบ’ ของไอ้เก้าอาจจะแปลเป็นอย่างอื่นก็ได้


“มึงหมายถึง มึงชอบภีมแบบไหน?”

“แล้วมันจะมีแบบไหน”

“แบบเพื่อนไรเงี้ย”

“แบบเพื่อนกูก็เป็นกับมันอยู่แล้ว”


คำอธิบายแฝงนัย สื่อออกมาถึงระดับความลึกซึ้งในคำว่า ‘ชอบ’ ของไอ้เก้าอย่างชัดเจน

ความจริงผมไม่ได้รังเกียจเกย์ กะเทย อาจเพราะอยู่ในคณะที่สังคมอุดมไปด้วยเรื่องพวกนี้จนชิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีอย่างอื่นที่ผมไม่เข้าใจอยู่ดี



“ถ้ามึงชอบไอ้ภีม มึงก็ไปบอกมันดิ มาบอกกูทำไมละ”


แม้พวกเราจะอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ผมสนิทกับเก้าน้อยมาก เราเรียนกันคนละเอกโท เวลาเรียนไม่เคยตรงกัน ที่มาคบกันได้ก็เนื่องจากคณะสายภาษาผู้ชายมีน้อย ไอ้ผู้ชายที่เห็น ๆ ก็ไม่ใช่ชายแท้ กว่าจะรวบรวมคัดกรองพวกที่นับว่าเป็น ‘ผู้ชาย’ จริง ๆ ในชั้นปีจึงมีอยู่ไม่ถึงยี่สิบคน
   

และผมก็เชื่อมาตลอดว่า ถ้าจะยกตัวอย่างผู้ชายที่ดูมาดแมนสมชายที่สุด ทั้งนิสัย ท่าทาง บุคลิก ก็คงเป็นไอ้เก้าเนี่ยแหละ
   
มันปากหมา ใจร้อน ไม่กลัวใครหน้าไหน ถ้ามีเรื่องกับใครมันก็พร้อมออกหน้าลุยแทน มันรู้จักกับคนเยอะแยะทั้งในและนอกคณะ ผิดกับผมที่ไม่ค่อยสนิทกับใครเท่าไร ผมชอบอยู่เงียบ ๆ มีโลกส่วนตัวของตัวเอง ยิ่งใส่แว่นประกอบกับบุคลิกเนิร์ด ๆ เหมือนเด็กเรียน ใคร ๆ ก็บอกว่าผมเป็น ‘ไอ้ติ๋ม’ ประจำกลุ่ม แถมยังจะพ้องกับชื่อเล่นตัวเองอีกต่างหาก
   

“ติณ มึงพูดเหมือนง่าย ถ้ากูบอกได้กูคงบอกไปแล้ว”


ไอ้เก้าทำสีหน้าหงุดหงิด แปลออกมาประมาณว่า มึงก็น่าจะฉลาดพอคิดได้นะ


อ้าว...ผมจะไปรู้ได้ไงวะ เห็นปกติไอ้เก้ามันมีอะไรก็พูดตรง ๆ เป็นขวานผ่าซากจะตาย ที่สำคัญไม่เคยมีใครมาขอคำปรึกษาเรื่องความรักจากผม แล้วยังเป็นความรักระหว่างเพื่อนในกลุ่มที่รู้จักกันอีก แต่ก็คงจะจริงอย่างที่มันว่า
 

...ถ้าบอกรักกับใครสักคนได้ง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่มีคำว่า ‘แอบรักข้างเดียว’



“แล้วได้บอกคนอื่นอีกมั้ย”

“ไม่ กูเพิ่งบอกมึงคนแรก”


ผมเลิกคิ้วแปลกใจ นึกว่าคนอย่างไอ้เก้าจะเที่ยวไปปรึกษาคนในกลุ่มที่ดูใช้การใช้งานได้ อย่างไอ้พอส ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิง หรือ ไอ้เอิร์ธ ที่มีแฟนรักกันยาวนานตั้งแต่มัธยม แต่ถ้อยคำเฉลยต่อมาก็ทำให้เริ่มเดาทางออก


“กูไม่อยากเก็บไว้คนเดียว กูอึดอัดว่ะ”


สงสัยวันนี้คงถึงจุดพีคของไอ้เก้า บังเอิญผมอยู่ตรงนั้นพอดีเลยเหมาะเป็นที่ระบาย แล้วเรื่องมากมายซึ่งถูกเก็บไว้ในใจ ก็ค่อย ๆ ทยอยผ่านปากมัน


“ตอนแรกกูไม่เคยคิดอะไรกับไอ้ภีมเลยนะ กูเห็นว่ามันเป็นแค่เพื่อน แต่มึงก็รู้ว่ามันเป็นคนคุยด้วยง่าย พอมีอะไรกูก็จะปรึกษามัน กูเริ่มสนิทกับมันเรื่อย ๆ  โทรหามันทุกวัน จนหลัง ๆ กูไม่รู้ว่า กูแค่อยากคุยกับมัน หรือเพราะกูขาดมันไม่ได้”


ผมนึกภาพออกทั้งหมดตามที่ไอ้เก้าเล่า


ภีม ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาที่หล่อโดดเด่นกว่าใครในกลุ่ม มันยังนิสัยดี มีมนุษย์สัมพันธ์ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ภีมเป็นเหมือนพระอาทิตย์ดวงใหญ่ดึงดูดให้คนรอบตัวเข้าหา ใครที่อยู่ใกล้กับมันคล้ายโดนออร่าให้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นผู้ชายเพอร์เฟคจนหน้าหมั่นไส้ แต่ทุกคนก็เกลียดมันไม่ลง

แล้วคนที่ไปไหนมาไหนกับภีมบ่อยสุดก็คือเก้า เป็นคู่ดูโอปาท่องโก๋ เรียนเอกโทเดียวกัน อยู่หอเดียวกัน มีภีมที่ไหนมีเก้าที่นั้น เป็นแบบนี้ตลอดสี่ปี โดยที่ภีมมันคงไม่รู้ตัวสักนิดว่า ความสนิทจากคนใกล้ ๆ ตัว วันหนึ่งจะเกินเลยกว่าคำว่า ‘เพื่อน’


“กูกลัวว่าถ้ากูบอกภีมไป มันจะไม่อยากมองหน้ากู มันจะตัดเพื่อนกับกู ...กูรับไม่ได้”
   

ผมพยักหน้าเข้าใจ เพื่อนคงเป็นสถานะที่ปลอดภัยสำหรับคนแอบรัก ไอ้เก้าจึงเลือกตัดสินใจไม่บอก เพราะถึงผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องความรัก แต่ก็รู้ว่าการถูกเกลียดจากคนที่เราชอบมันเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน ไม่งั้นจะมีข่าวคนอกหักฆ่าตัวตายบ่อย ๆ เหรอ

พอนึกถึงตรงนี้ ผมก็กลัวว่าไอ้คนข้าง ๆ จะเผลอคิดอะไรแพลง ๆ ทำนองนั้น เลยต้องรีบหาคำมาพูดปลอบ


“เฮ้ย ๆ มึงก็ลองมองโลกในแง่ดีบ้าง อย่างน้อยถ้ามึงเป็นเพื่อนไอ้ภีม ยังไงมึงก็ยังได้อยู่ใกล้ ๆ คนที่ชอบตลอดนะเว้ย”

“เหรอวะ”


ไอ้เก้าพึมพำตอบสั้น ๆ คล้ายไม่ใส่ใจ เหมือนตอนที่มันถามว่าดวงอาทิตย์ห่างจากโลกเท่าไร ดวงตาคมมองไปที่คลื่นซึ่งซัดกระทบ ผมเดาอารมณ์ในแววตามันไม่ถูก แต่ก็พยายามนึกหาเหตุผลมาปลอบใจมันอีก หากยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ กลับมีเสียงแทรกดังขัดจากด้านหลัง


“เฮ้ย! ไอ้เก้า ไอ้ติณ นั่งทำอะไรกันสองคนวะ กูหาตั้งนาน ไอ้พอสมันซื้อเหล้ามาเพิ่มแล้ว มาช่วยกันกินหน่อย คิดตังค์หารแล้วนะโว้ย!”

ภีมเป็นคนตะโกนเรียก เห็นมันถือแก้วเหล้ามาด้วย คงเป็นห่วงที่เห็นว่าเพื่อนสองคนหายไป เลยเดินมาตาม ไอ้เก้าลุกขึ้นยืนหันไปส่งเสียงตอบไปบ้าง

“เออ รู้แล้ว! เดี๋ยวกูไป อย่าแดกถั่วหมด เหลือให้กูด้วย”

“ได้ ๆ เดี๋ยวกูไปบอกไอ้ขิงก่อน เมื่อกี๊มันแกะถุงที่สองแล้ว มึงก็รีบตามมาดิ เดี๋ยวกูกั๊กให้มึงไม่ทัน ไอ้ติณ มึงด้วยนะ น้ำแข็งในแก้วมึงละลายหมดแล้ว”

ท้ายประโยคภีมหันมาพูดกับผม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับลุกขึ้นยืนตามไอ้เก้า ปัดเศษทรายออกจากกางเกง เตรียมกลับไปยังวงเหล้า แต่อยู่ ๆ ไอ้คนนำก็ชะงัก จนผมที่ตามหลังต้องเงยหน้าไปมอง แล้วก็พบสาเหตุว่าทำไมไอ้เก้าถึงหยุดเดิน


ถ้า 150 ล้านกิโลเมตร คือระยะห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์


15 ก้าว ก็คือระยะห่างจากตรงจุดที่ไอ้เก้ายืนบนหาดไปจนถึงไอ้ภีม



แต่เพียงแค่ก้าวสั้น ๆ ของผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาภีม และไอ้ภีมก็ส่งยิ้มกว้างไปให้คนคนนั้น ...คนที่ภีมเรียกว่าเป็นแฟน



...15 ก้าว ของไอ้เก้าก็คงเท่ากับ 150  ล้านกิโลเมตร ในนาทีนั้น



สิ่งที่ทำให้ระยะห่างระหว่างเก้ากับภีมเพิ่มมากขึ้น มีเพียงเหตุผลเดียว



...ภีมมีเนตร ...และภีมก็รักเนตร 


...

...


ผมคล้ายจะได้ยินเสียงพึมพำของไอ้เก้าดังแว่วมา


“เหรอวะ ไกลเนอะ”





-------------------------------------------------------------------------------------------------------


TBC



สวัสดีค่ะ เอาเรื่องสั้นมาฝาก เป็นเรื่องสั้นหลายตอนจบค่ะ แต่คิดว่าไม่น่าจะเกินสิบ
ดราม่าหรือเปล่า ไม่บอก...ต้องเดาเอาเองค่ะ ฮาาาาา
ฝากติชมได้ทุกความคิดเห็น ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ


 :กอด1:


BitterSweet


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2014 06:29:35 โดย BitterSweet »

ออฟไลน์ Rose_Apple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :sad4: รู้สึกดราม่าน้ำตาแตก  :katai1: :katai1: ลุ้นตอนหลังด้วย ไม่รู้จะยังไง อ้ากกกกก

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
รักข้างเดียวก็น่าสงสารนะ นี่เป็นเพื่อนกันอีก เฮ้ออออ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เปิดเเว๊บมาเจอคนเขียนก็เปิดเข้ามาดูเลย

เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตากันเลยทีเดียว

รักสามเศร้าเราหลายคน


ออฟไลน์ BitterSweet

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +725/-2
2.



ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ  เป็นการดื่มที่ช้ากว่าช่วงแรกอยู่มาก หูฟังคนในกลุ่มคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะใจมัวคอยพะวงคิดเรื่องอื่นอยู่


...ก็จะไม่ให้คิดมากเลยได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งผ่านการล่วงรู้ความลับของใครบางคนมาสด ๆ ร้อน ๆ  แม้คนเล่าจะไม่ได้สั่งห้ามผมให้บอกคนอื่น แต่ผมก็พอจะเดาออกว่าขืนพูดไปตอนนี้ก็คงทำให้เรื่องมันแย่ลงกว่าเดิม อีกอย่างผมไม่ใช่คนประเภทปากสว่างอยู่แล้ว จึงทำแค่เพียงคอยสังเกตวิเคราะห์สถานการณ์เงียบ ๆ


ไอ้เก้ายังคงมีท่าทีเป็นปกติทุกอย่าง ยกเว้นแค่มันเติมเหล้าชงเข้มขึ้น และยกดื่มถี่ขึ้นเท่านั้น ทว่าภายนอกก็ยังพูดปล่อยมุกเฮฮา คุยเล่นกวนตีนสนุกสนานเหมือนเดิม จนผมคิดว่าไอ้ที่มันสารภาพรักเรื่องไอ้ภีมก่อนหน้านี้เป็นแค่คำโกหกด้วยซ้ำ

แต่หลังจากเหลือบมองมันเนียน ๆ หลายครั้ง ผมว่าไอ้เก้าคงไม่ได้โกหกหรอก

เพราะเวลาไอ้ภีมพูดทีไร สายตาของเก้าที่หันมามองจะมีบางสิ่งที่ผมอธิบายไม่ถูก คล้ายเป็นประกายความสุขเล็ก ๆ เป็นความพิเศษที่คงมีให้ไอ้ภีมคนเดียว

ยิ่งสังเกตนานขึ้นเรื่อย ๆ  ผมก็ยิ่งนับถือความอดทนของไอ้เก้า ความพยายามที่มันนิ่งเฉย ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาว่า ภีมมักจะหันไปสนใจหัวเราะสร้างโลกสีชมพูหวานกับเนตรเพียงสองคน
   

...เนตรดาว เป็นดาวคณะ รูปร่างหน้าตาระดับพริตตี้ ผิวขาวเนียน ผมยาวสีน้ำตาลดัดลอนสวย โดดเด่นตั้งแต่เป็นเฟรชชี่ เป็นที่หมายปองตั้งแต่รุ่นพี่ยันรุ่นน้อง แต่คนที่พิชิตใจเนตรดาวคือเดือนคณะวิศวะ รูปหล่อพ่อรวย หลายคนเลยพากันอกหักกันเป็นแถบ ๆ  ไอ้ภีมเป็นหนึ่งในนั้น จนโดนเอามาล้อว่าดันปล่อยให้หมาคณะอื่นคาบดอกฟ้าไปก่อนซะได้

แต่พอขึ้นปีสี่ก็มีข่าวว่าเนตรดาวเลิกกับแฟนแล้ว จึงเป็นโอกาสของไอ้ภีมอีกครั้ง และคราวนี้ใช้เวลาไม่นานภีมก็จีบเนตรสำเร็จ คบกันมาได้เกือบปี กลายมาเป็นคู่ขวัญประจำคณะ ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าดูเหมาะสมกันดี

ไอ้ภีมเลยยิ่งยิ้มหน้าบาน เห่อแฟนสุด ๆ เริ่มไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับคนในกลุ่ม เพราะมัวไปเดทอยู่กับแฟน  แต่ไม่มีใครคิดจะห้ามมัน เพื่อนทุกคนรู้ว่าไอ้ภีมเป็นผู้ชายรักจริง ลองได้รักใครแล้ว มันรักเดียวใจเดียว เทินทูนประหนึ่งเป็นแม่ มาทะเลไอ้ภีมก็หนีบแฟนมันมาด้วย และคอยดูแลไม่เคยห่าง


แม้กระทั่งตอนนี้ที่เนตรเริ่มมีท่าทีง่วง ๆ เผลอซบลงตรงไหล่ของภีม มันก็รีบวางแก้วเหล้าหันไปคุยกับแฟนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง


“เนตรง่วงแล้วเหรอครับ ไปนอนก่อนมั้ย”

“ไม่เอา เนตรยังอยากอยู่ต่อ”

“แต่นี่จะตีสองแล้วนะ เมื่อวานเนตรก็อ่านหนังสือดึกไม่ใช่เหรอ ไปนอนเถอะ เดี๋ยวภีมไปส่งที่ห้องให้”   


ภีมพูดพลางจับมือเนตรดึงให้ลุกขึ้น พฤติกรรมสุดแสนสวีทหวาน ไม่พ้นเสียงแซวจากปากหมา ๆ ของคนในวงเหล้า


“เฮ้ย ๆ อย่าจัดหนักนะเมิงง ผนังห้องมันบาง จะทำอะไรก็เบา ๆ เสียงหน่อยยย”
   

ไอ้พอสเสือผู้หญิงตัวพ่อเปิดประเดิม มีไอ้เอิร์ธลูกคู่ที่กินเหล้าจนหน้าแดงกร่ำบอกด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้


“ดัง ๆ ก็ได้โว้ยยย เดี๋ยวกูจะอัดเอาไปเปิดตอนงานแต่งเมิงงงสองคนนน ฮิ้ววว!!”


แน่นอนว่าไอ้ภีมส่งคำสรรญเสริญและนิ้วกลางมาให้เพื่อนเป็นรางวัล ส่วนเนตรหน้าขึ้นสีจาง ๆ คงเพราะความเขินที่โดนหยอกแรง

แต่สมัยนี้เรื่องพรรณอย่างนั้นถือเป็นปกติ ผู้ชายวัยยี่สิบเอ็ดปี สุขภาพดีสมบูรณ์พร้อม มาอยู่ใกล้ผู้หญิงสวย ๆ น่ารักมันก็ต้องมีอาการสปาร์กกันบ้าง แล้วทั้งเนตรและภีมก็คบเป็นแฟนอย่างเปิดเผย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่คงไม่ใช่คืนนี้อย่างที่พวกไอ้พอสมันแซว เพราะเรานอนรวมกันในบ้านเดี่ยวเกือบสิบคน


มีผู้หญิงในกลุ่มบางส่วนแยกย้ายไปนอนบ้างแล้ว ตัวผมเองก็ชักจะไม่ไหว ถึงช่วงหลังจะดื่มน้อยลง แต่เมื่อคืนผมตะลุยอ่านหนังสือสอบจนแทบสว่าง สมองเริ่มล้า ตาเริ่มปิด เลยตัดสินใจว่าไปนอนก่อน ตื่นเมื่อไรเขามาต่อ เพราะผมเชื่อว่าวงเหล้านี้มันต้องอยู่กันยันเช้า


ผมลุกขึ้นยืนแยกตัวออกมา แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องนอน ผมเดินเลยไปห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย หากทันทีที่เปิดประตูกลับพบว่ามีใครบางคนกำลังล้างหน้าอยู่


ไอ้เก้าลูบหน้าเปียก ๆ ของตัวเองซึ่งเริ่มขึ้นสีแดงหน่อย ๆ กลิ่นเหล้าจากตัวมันคลุ้งจนไม่แน่ใจว่ามันดื่มหรือมันอาบ มันปิดก๊อกด้วยท่าทางโซเซเล็กน้อย จนผมต้องถามอย่างไม่แน่ใจ


“มึงไหวเปล่า”

“อะไร เรื่องไอ้ภีมเหรอ”


คำตอบผิดวัตถุประสงค์ที่ถามไปไกล แต่ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงซดเหล้าต่างน้ำขนาดนี้


“ไม่ใช่ กูหมายถึงเรื่องที่มึงดื่มหนัก แต่ก็...เออ...เรื่องไอ้ภีมด้วย”

“หึ ไม่ไหวก็ต้องไหว”


ไอ้เก้าแค่นเสียงในลำคอ แล้วเดินหันหลังกลับไปในวงต่อ มันคงตั้งใจใช้เหล้าย้อมใจจากภาพบาดตาที่เห็นตลอดทั้งคืน 

ผมได้แต่มองตาม ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรปลอบใจ เรื่องมันพูดยาก อย่างที่ไอ้เก้าเองก็รู้ตัว ไม่ไหวก็ต้องไหว  ดื่มให้ลืมไปซะ อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสถานการณ์แบบนี้


ผมจึงปล่อยให้ไอ้เก้าทำตามใจ เพราะตัวเองก็ชักมึน ๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และความง่วง ผมเดินขึ้นเตียงว่าง ๆ ปิดตานอน แล้วโลกทั้งใบก็มืดลงอย่างรวดเร็ว


...


...


ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เพราะปวดฉี่ ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ จากไอ้เอิร์ธที่มานอนข้าง ๆ ไม่รู้ตอนไหน แต่พอมองฝ่าความมืดรอบตัว ก็ยังเห็นบางเตียงยังว่างอยู่ แสดงว่าสมรภูมิในวงเหล้ายังไม่ล้มเลิก

ผมเดินงัวเงียไปเข้าห้องน้ำเสร็จ แล้วก็เปิดประตูออกไปข้างนอก ไม่ได้ตั้งใจจะไปดื่มต่อหรอก กะไปเช็คผู้รอดชีวิต เผื่อใครมันเมาน็อคหลับไปจะได้ลากขึ้นเตียง


ฟ้ายังคงมืดอยู่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ตอนนี้ตีห้ากว่าแล้ว

ผมมองผ่านแสงไฟตรงระเบียงหน้าบ้าน ที่วงเหล้ายังมีคนนั่งอยู่สองสามคน คล้ายจะเป็นไอ้พอสนั่งตรงเก้าอี้ผ้าใบ ส่วนไอ้นิวทำท่าฟุบหลับไปกับโต๊ะ ทว่าสิ่งที่สะดุดสายตาผมกลับเป็นกลุ่มคนซึ่งอยู่เลยออกไปไม่ไกล



....ภีม เนตร และไอ้เก้า


ผมไม่รู้ว่าตัวเองเริ่มเป็นคนขี้เสือกตั้งแต่เมื่อไร อาจเป็นเพราะหลังจากความลับ ‘เพื่อนรัก รักเพื่อน’ ของไอ้เก้า ปกติคงมองผ่าน แต่ผมกลับชั่งใจเลือกจะเดินเนียน ๆ อ้อมไปด้านหลังต้นไม้ เพื่อฟังบทสนทนาของคนสามคน  และยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งได้ยินน้ำเสียงส่อเค้าถึงความไม่พอใจของไอ้เก้า


“กูชวนมึงดูพระอาทิตย์ขึ้น มึงจะไปเรียกเนตรมาทำไม”


เก้าหันไปถามภีมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เนตรด้วยท่าทางหงุดหงิด หน้าคมยังคงแดงเข้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างผิดปกติ หรือบางทีไอ้เก้าอาจไม่ได้ดื่มเหล้าย้อมใจ มันอาจจะใช้เหล้าเรียกความกล้า เพื่อบอกความในใจกับไอ้ภีมก็ได้ แล้วสร้างบรรยากาศดี ๆ ด้วยการสารภาพรักตอนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ผิดแผนเพราะมีใครบางคนอยู่ด้วย


“แล้วทำไมเนตรถึงดูไม่ได้ล่ะ”


เนตรเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย ...ไม่แปลกหรอก ถ้าการดูพระอาทิตย์เป็นเรื่องโรแมนติก ใครก็อยากอยู่ดูด้วยกันกับคนที่ตัวเองรักทั้งนั้น ซึ่งไอ้ภีมก็พูดสนับสนุนคนรักของมัน


 “นั้นดิ จะเรียนจบแล้ว เดี๋ยวกูกับเนตรก็ต้องแยกไปทำงานคนละที่ เนตรเขาจะไปสมัครเป็นแอร์ด้วย เวลาที่กูอยู่กับเนตรมันเหลือน้อยนะ”

“แล้วเวลาที่มึงอยู่กับกูไม่น้อยเหมือนกันเหรอ”

“เฮ้ย...มึงเป็นเพื่อนกูนะไอ้เก้า จะเจอกันเมื่อไรก็ได้ มีเวลาเยอะแยะ”


ภีมพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ เหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ตรงข้ามกับเก้าที่เบิกตากว้าง ตรงดิ่งไปกระชากไหล่ของคนตรงข้าม ตะโกนเสียงดังลั่น


“มึงพูดแบบนี้ได้ไงวะ!”


คำตะคอกเอะอะปลุกพวกคนเมาที่หลับให้ตื่น รวมทั้งคนในบ้านซึ่งเปิดประตูออกมาดู แต่เหมือนไอ้เก้าจะไม่สนใจอะไรแล้ว อารมณ์ที่เคยกักเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้เหมือนกำแพงสูง ตอนนี้มันกำลังค่อย ๆ พังทลายลง


“ระหว่างเนตรที่อยู่กับมึงแค่ปีเดียว กับกูที่อยู่ข้าง ๆ มึงมาสี่ปี มึงให้ความสำคัญกับกูแค่นี้ใช่มั้ยวะ!”

“มึงจะโมโหทำไมไอ้เก้า หรือมึงเมา พูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ กูว่ามึงไปนอนเหอะ”

“ไม่! กูไม่ได้เมา มึงตอบกูมา ระหว่างกูกับเนตร ใครสำคัญกว่ากัน!”

“มึงถามอะไรเนี่ย เรื่องนี้มันเอามาเปรียบเทียบได้ที่ไหน นี่มึงน้อยใจเหรอวะ”

“ไม่ได้น้อยใจหรอกภีม เก้าเขาหึงมากกว่า”


เสียงของเนตรพาให้บทสนทนาชะงัก ภีมหันมามองคนข้างตัวพลางถามงง ๆ


“หึง? พูดอะไรน่ะเนตร เรียกผิดรึเปล่า”

“ไม่ผิดหรอก เซ้นต์ของผู้หญิงมันบอก เนตรสังเกตมานานแล้ว”


เนตรที่มักมีดวงตากลมโตอ่อนหวานเสมอ แต่ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นกลับจ้องตรงดิ่งไปยังผู้ชายร่างใหญ่ตรงหน้าด้วยความเย็นชาระคนเยาะเย้ย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย


“เป็นลูกผู้ชายมีอะไรก็กล้า ๆ บอกกันตรงนี้ให้ชัด ๆ เลยสิว่าคิดยังไง เอ๊ะ...หรือว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่ผู้ชาย”


ประโยคหลอกด่าแฝงความดูถูกไว้ชัดเจน คงมีแต่ภีมที่ยังพยายามไกล่เกลี่ยเห็นว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด


“ตลกใหญ่แล้วนะเนตร ...เก้ามึงคงไม่หึงกูจริง ๆ หรอกใช่ป่ะ”


“เออ กูหึงมึง”


...ไม่ใช่แค่เฉพาะภีม แม้แต่ผม หรือเพื่อนที่ยืนดูสถานการณ์รอบข้างก็แทบหยุดหายใจกับการยอมรับ ก่อนที่ไอ้เก้าจะพรั่งพรูทุกสิ่งทุกอย่างที่เก็บไว้ในใจรุนแรงเหมือนสายน้ำหลาก


“กูหึงมึงมานานแล้ว แต่มึงแม่งไม่เคยรู้ตัว ไม่เคยแคร์กู  ไม่เคยสนใจว่ากูห่วงมึง มึงแม่งโง่! กูพยายามจะบอกมึงหลายทีแล้ว แต่มึงก็เอาแต่ย้ำว่ากูเป็นเพื่อน มึงไม่รู้เหรอว่าคำนั้นทำกูเจ็บยังไง กูไม่อยากเป็นเพื่อนมึง กูชอบมึง! เข้าใจมั้ย ไอ้เหี้ยภีม!  กูชอบมึง!!”


คำสารภาพรักถูกตะโกนดังหนักแน่น เหมือนจะย้ำความรู้สึกว่าที่ผ่านมาว่าไอ้เก้าคิดยังไง

แต่ให้ผมเดา ...มันคงไม่อยากมาพูดท่ามกลางเพื่อนในกลุ่มแบบนี้ พูดด้วยสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับ และด้วยอารมณ์ประชด เพราะหลังจากนั้นไอ้เก้าก็หันไปถามเนตรสั้น ๆ


“ชัดพอยัง”


แล้วมันก็หันหลังเดินออกจากชายหาด โดยไม่รอฟังคำตอบของเนตร หรือดูปฏิกิริยาของไอ้ภีม จนผมที่ยังพะวงต้องรีบวิ่งตามไปเรียก


“เดี๋ยว ไอ้เก้า!”


หากเจ้าของชื่อกลับไม่หยุดเดิน ไอ้เก้ายังเดินต่อจนออกไปนอกรีสอร์ท เดินต่อไปตามถนน เลาะซอยไปเรื่อย ๆ ไม่มีหยุดพัก

หัวหินฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่เริ่มมีแสงสว่างจาง ๆ ผู้คนในละแวกนั้นออกมาตั้งร้านค้าขายพวกน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ หรือโจ๊กประปราย ผมทำแค่เพียงไล่ตามหลังคนบางคนไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะไปไหน หรือควรพูดอะไรกับมันดี ปกติผมก็ไม่ใช่พวกปลอบคนเก่งอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็นึกหาคำให้กำลังใจไม่ออก กลัวว่าเผลอพูดไปจะยิ่งแย่กว่าเก่า  แต่แล้วในที่สุด ไอ้เก้าก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน


“ติณมึงไม่ต้องตามกูมาหรอก”

“กูทำไม่ได้ว่ะ”


ถึงผมไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจมัน แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือ ผมปล่อยให้มันอยู่คนเดียวไม่ได้


“เออ กูไม่เป็นไร ก็แค่...อกหัก”


คำสรุปสุดท้ายปนเสียงหัวเราะเบา ๆ ราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องตลก ที่มันกล้าพูดออกมาแบบนี้ อาจเพราะทำใจมานาน หรือรู้ผลลัพธ์ล่วงหน้ามานานมากแล้ว


“แล้วมึงจะไปไหน จะกลับหอเหรอ ท่ารถไม่ได้อยู่ทางนั้นนะ”

“กูอยากกลับรถไฟ”


พอได้ยินคำตอบ ผมถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าสถานีรถไฟหัวหินตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างหน้าไม่ไกล นี่ผมกับมันเดินห่างมาจากรีสอร์ทมากันกี่กิโลวะเนี่ย แล้วที่สำคัญ....จะนั่งรถไฟกลับเนี่ยนะ


“มึงจะมาติสต์อะไรตอนนี้ ทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีเหรอวะ”

“ก็อาจจะ หน้าตากูก็พอได้อยู่”


ไอ้เก้ายักคิ้วกวนตีน ผมรู้ว่าหน้าตามันก็พอใช้ได้ ไม่ได้หล่อโดดเด่นเหมือนไอ้ภีม แต่สาว ๆ ก็เหลียวมองมันบ่อย ผิดกับผมที่เป็นไอ้ติ๋มแว่นเนิร์ด คนอย่างไอ้เก้าคงหาหญิงได้เยอะ ถ้าไม่ติดว่ามันทุ่มเทความรักทั้งหมดให้ไอ้ภีม


“มึงกลับไปเหอะ กูไม่คิดสั้นหรอก กูอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว”   


ไอ้เก้ายืนยันอีกครั้ง หากคราวนี้น้ำเสียงและสายตาหนักแน่น ไม่ส่อแววกวนเหมือนคราวก่อน ผมลังเล แต่เข้าใจว่าสุดท้ายแล้ว คนที่เจอเรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลาทบทวนอยู่กับตัวเอง


“งั้นเดี๋ยวกูเดินไปส่ง”

“ตามใจ”


ไอ้เก้าพยักหน้าอนุญาต ก่อนจะเดินนำผมจนถึงสถานีรถไฟ ผมยืนรอมันซื้อตั๋วไปธนบุรี แล้วก็มานั่งรอรถไฟตรงชานชาลา แสงอาทิตย์ตอนเช้าเริ่มสว่างแล้ว ตอนนี้หกโมงกว่า รถไฟไทยเลทเป็นเรื่องปกติ

ระหว่างที่ไอ้เก้ามองตั๋วระบุเที่ยวรถของตัวเอง มันก็เปรยออกมาเบา ๆ


“ถ้าไอ้ภีมถามถึงกู มึงบอกว่าช่วงนี้อาจติดต่อกูไม่ได้ แต่เดี๋ยวกูจะโทรกลับไปหาเอง”

“แต่ถ้ามึงลงรถไฟแล้ว มึงต้องโทรหากูนะ”

“ไอ้ติณมึงอย่าเวอร์ เป็นแม่กูเหรอวะ กลับไปไป๊ คนอื่นคงห่วงแย่แล้ว ฝากดูไอ้ภีมด้วยมันคงช็อค”


ไอ้เก้าแกล้งพูดเหมือนมันเป็นเรื่องตลกอีกครั้ง แต่แววตากลับไม่แสดงออกมาแบบนั้น มันยังคงเป็นห่วงไอ้ภีมจนนาทีนี้ หากยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ เสียงหวูดรถไฟก็ดังเตือน  คนข้างตัวลุกขึ้นยืน เอ่ยลาสั้น ๆ

   
“กูไปนะ”



....แล้วผมก็ทำแค่เพียงยืนมองมัน เดินหายเข้าไปในขบวนรถไฟ



...


...
   



เสียงนกหวีดเป็นสัญญาณให้รถไฟออกขบวน ก่อนตามมาด้วยเสียงล้อเบียดรางเหล็ก และการโยกเบา ๆ ของโบกี้ 


ผู้โดยสารมีไม่มากเท่าไรในรถไฟขบวนชั้นธรรมดา  เก้าเลือกนั่งติดริมหน้าต่าง เหม่อดูวิวต่าง ๆ แล่นผ่าน  ทว่าชั่วขณะนั้น  เก้าอี้ว่างตรงข้ามกลับถูกจับจองโดยใครบางคน...



ผมเห็นสายตาประหลาดใจของเก้า เมื่อมันมองมาเห็นผมนั่งอยู่ตรงนี้


...ไม่ให้ประหลาดใจก็แปลกแล้ว ผมยังงงตัวเองเลยว่าอยู่ ๆ จะรีบวิ่งตาเหลือกซื้อตั๋ว แล้วพุ่งเข้าโบกี้ก่อนประตูรถไฟจะปิดจนเกือบโดนนายด่าทำไม แต่ผมก็ตอบคำถามตัวเองอย่างโง่ ๆ เหมือนที่ตอบไอ้เก้า


“กู...กูก็อยากลองเป็นพระเอกเอ็มวีนั่งรถไฟเล่นเหมือนกันว่ะ”

“มึงบ้าป่ะเนี่ย”


ไอ้เก้าสบถด่าสั้น ๆ แล้วมันก็หัวเราะ  ...เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูดีกว่าครั้งที่ผ่านมา




...ระยะทางจาก หัวหินไปธนบุรี ประมาณ 230 กิโลเมตร


อาจไม่ได้ไกลเท่าระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์



...แต่อย่างน้อย ผมว่าการเดินทางครั้งนี้ก็ควรมี ‘เพื่อน’




---------------------------------------------------------------------------------------


TBC




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2014 13:29:57 โดย BitterSweet »

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
มันจะรักข้างเดียวเป็นทอดๆป่ะเนี่ย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ติณแอบรักเก้าสินะ

ออฟไลน์ GETIIZ

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +90/-4
นี่มันรักข้างเดียวกี่ทอด
กี่เศร้าเนี่ยยยยย
แต่ชอบการเรียบเรียงถ่ายทอด เอาระยะห่างเข้ามาเกี่ยวข้อง

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :serius2: รวมพลคนรักเขาข้างเดียวเหรอเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #2 [22/06/14]
«ตอบ #10 เมื่อ23-06-2014 11:49:39 »

งื้ออออ ไหงมันหน่วงๆหนึบๆ แบบนี้
 :ling3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #2 [22/06/14]
«ตอบ #11 เมื่อ23-06-2014 14:18:38 »

สนุกดี

ออฟไลน์ Rose_Apple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #2 [22/06/14]
«ตอบ #12 เมื่อ23-06-2014 22:25:37 »

อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเหมือนกันนะ แต่เราทำได้แค่ดูพระอาทิตย์ตกดินหลังจากอ่านตอนนี้เสร็จ 55555

ออฟไลน์ BitterSweet

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +725/-2
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #13 เมื่อ24-06-2014 20:50:09 »

3.




แล้วอยู่ ๆ ผมก็มาโผล่ที่ หนองปลาดุก


...ได้ยังไงวะ?


เก้าโมงเช้า ผมยืนอยู่บน 'สถานีรถไฟหนองปลาดุก' สถานีชุมทางในจังหวัดราชบุรีอย่างงง ๆ ในกระเป๋ายังมีตั๋วไปจนถึงธนบุรีได้อยู่เลย แต่ผมกลับมาต้องลงตรงกลางระหว่างทาง โดยมีไอ้คนต้นเรื่องยืนซื้อโค้กจากป้าที่ขายของด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน


ไอ้เก้าอ้างว่าหิวน้ำ แล้วมันก็ลุกขึ้นบอกว่าจะลงสถานีข้างหน้า ทำให้การนั่งรถไฟเลียนแบบพระเอกเอ็มวีเพลงอกหักจบลงแค่สามชั่วโมง


แต่ก็ดีแล้วที่ลงก่อน เพราะเมื่อคืนผมดื่มหนักไปพอสมควร แถมนอนได้แค่สองชั่วโมง แล้วต้องมานั่งรถไฟที่โยกไปโยกมา ชวนให้ขย้อนเอาของเก่าออกมาง่าย ๆ ไม่รู้ไอ้เก้าจะรู้สึกพะอืดพะอมเหมือนผมรึเปล่า รายนั้นจัดเต็มยิ่งกว่าผมซะอีก และก็ดูท่าว่าจะไม่ได้นอนเลยด้วย แต่มันก็ยังทำตัวเป็นปกติ นั่งมองวิวผ่านหน้าต่างไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หันมาพูดอะไรตลอดการเดินทาง 


ผมก็เลยได้แต่นั่งเงียบ ๆ ไม่เชิงอึดอัดใจกับสถานการณ์แบบนี้ แค่ไม่รู้วิธีจะวางตัวยังไง อย่างที่บอกว่าผมปลอบคนไม่เก่ง จะนึกเรื่องตลกมาเล่าให้มันขำก็ทำไม่เป็น  นิสัยของผมไม่ใช่คนช่างคุย ตามปกติของคนทั่วไปเพื่อนในกลุ่มจะมีอย่างน้อยสองหรือสามคนเป็นตัวเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาหลัก ๆ  ส่วนผมเป็นเหมือนเป็นตัวแบ็คกราวน์ พยักหน้าเออออบ้าง หัวเราะตามบ้าง  ส่วนคนที่เป็นตัวนำของกลุ่มจริง ๆ ก็คือ ไอ้เก้า เนี่ยแหละ ดังนั้น ถ้ามันไม่พูด ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง  คิดซะว่าเดี๋ยวถ้าไอ้เก้าอยากระบายก็คงบอกออกมาเอง


แล้วมันก็เริ่มระบายประโยคแรก หลังจากที่เดินกลับมาหาผม


“หิวว่ะ ไปหาไรกินกัน”


ไอ้เก้าพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เหมือนตอนเลิกคลาส แล้วชวนผมไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร ไม่มีวี่แววของอาการอมทุกข์ใด ๆ  แล้วมันก็เดินนำหน้าผมไปอีกครั้ง ปล่อยให้ผมก้าวตามต้อย ๆ ด้วยท่าทางที่ยังมึนไม่หาย โชคดีที่เจอร้านข้าวมันไก่เปิดอยู่ไม่ไกล ผมสั่งไปจาน ส่วนไอ้เก้าสั่งไปสอง แถมยังเป็นแบบพิเศษอีกต่างหาก


ผมเคยได้ยินมาว่าคนอกหักมักจะช้ำใจจนกินอะไรไม่ค่อยลง แต่ทฤษฏีนี้คงถูกไอ้เก้าล้มล้างไปเรียบร้อย ดูมันเจริญอาหารดี มีการหยิบหนังสือพิมพ์ที่ร้านวางบนโต๊ะมาเปิดอ่านข่าวกีฬา บ่นงึมงำว่าเชลซีแพ้ประตูไปสองลูก  นี่ถ้ามันบอกว่าเดี๋ยวจะขี่มอเตอร์ไซต์ไปคืนหนังสือการ์ตูนที่เช่าไว้ ผมคงลืมไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน  เพราะคล้ายกับไอ้ความเจ็บช้ำทั้งหมดของไอ้เก้า จะถูกปล่อยทิ้งลงข้างทางระหว่างการนั่งรถไฟซะเกลี้ยงไม่มีเหลือ จนผมอดไม่ได้ที่จะถาม หลังเดินออกมาจากกร้านขายข้าวมันไก่ 


“จะกลับหอเลยมั้ย”

“ไม่ว่ะ กูอยากนั่งรถไฟต่อ”


...นี่มึงจะติดใจอยากนั่งรถไฟอะไรขนาดนั้น แล้วรถไฟไทยก็ช้าเป็นเต่าคลาน ถ้ามันบอกว่าอยากนั่งรถไฟไปจนถึงเชียงใหม่ ผมไม่ต้องนั่งทนนั่งโยกเหยกไปมาอีกสิบห้าชั่วโมงเหรอวะ


“งั้นมึงจะไปไหน จะไปธนบุรีต่อมั้ย”


ผมรีบดักคอ อ้างจุดหมายแรกที่ซื้อตั๋วไว้แล้วแต่ไปไม่ถึง หากไอ้เก้ากลับส่ายหัวปฏิเสธ


“ไม่ไปแล้ว กูอยากเที่ยวแถวนี้”


มันพูดสรุปง่าย ๆ แล้วเดินนำผมไปดูป้ายตารางสถานีรถไฟ   ทำตัวเหมือนตั้งใจจะไปเที่ยวจริง ๆ เพราะมันชี้ชื่อสถานีหนึ่งในตาราง แล้วพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น


“เฮ้ย มีสถานีชื่อน้ำตกด้วยวะ ไปกันป่ะ”


ยังไม่ทันจะตอบ คนชวนก็ตะโกนร้องด้วยความตกใจ   


“ฉิบหายรถออกเก้าโมงสิบหก!”


ไอ้เก้ารีบลากผมที่ยังยืนงง ๆ พุ่งไปช่องซื้อตั๋ว ผมเหลือบมองนาฬิกาเห็นเข็มชี้ไปเวลาเก้าโมงยี่สิบห้าแล้ว เลทไปเกือบสิบนาทีรีบให้ตายคงไม่ทัน แต่เหมือนสวรรค์จะเข้าข้าง อะไรก็เกิดขึ้นได้กับรถไฟไทย ขบวนรถไปสถานีน้ำตกเพิ่งจอดเข้าเทียบชานชาลาพอดี

ผมกับไอ้เก้ารีบกระโจนเข้าโบกี้ ทันนายท่าเป่านกหวีดปิดประตู เป็นอีกครั้งที่ผมต้องวิ่งขึ้นรถไฟฉิวเฉียด ทำเอาหายใจหายคอแทบไม่ทัน  แต่เหมือนคนต้นเรื่องจะไม่ได้เดือดร้อนเท่าไร มันยังยิ้มร่าเห็นเป็นเรื่องสนุก

ไอ้ความใจร้อนตัดสินใจเอาเองปุ๊บปั๊บ เป็นนิสัยปกติของคนอย่างไอ้เก้า ตรงข้ามกับผมที่กว่าจะตัดสินใจอะไรได้แต่ละทีก็ต้องคิดทบทวนซ้ำไปมา คงมีเรื่องเดียวที่ผมตัดสินใจเร็ว คือการที่ดันตามไอ้เก้ามาด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิด แต่ไหน ๆ ผมรับปากแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อน ก็มีหน้าที่ตามมันไปจนสุดทางนั่นแหละ


“มึงไปหาที่นั่งก่อน เดี๋ยวกูมา”
   
“อ้าว...แล้วมึงจะไปไหน”


คนถูกถามไม่ตอบ เพียงแค่ดันผมให้เดินไปข้างหน้า ส่วนตัวเองก็ผลุบหายไปยังโบกี้ด้านหลัง  กลายเป็นว่าผมถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว


...เฮ้ย! แล้วแบบนี้ผมจะตามมันมาทำไมวะ! แต่คิดอีกแง่รถไฟมันก็วิ่งบนราง ไอ้เก้ามันคงไม่มีทางหนีไปที่อื่นหรอก เพราะถ้าหนีจริง ๆ คงปล่อยให้ผมอยู่ที่ชานชาลาหนองปลาดุกคนเดียวแล้ว


ผมเลยเปลี่ยนใจ เดินหาที่นั่งตามคำสั่ง รถไฟขบวนนี้ต้นสายมาจากธนบุรี มีคนโดยสารอยู่ค่อนข้างมาก ทว่าท้ายที่สุดผมก็หาที่นั่งว่าง ๆ เจอเกือบสุดขบวน

ระหว่างนั้น ผมรู้สึกถึงแรงสั่นเบา ๆ จากโทรศัพท์มือในกระเป๋ากางเกง ผมล้วงหยิบมันขึ้นมา หากพอเห็นรายชื่อคนโทรเข้าแล้วก็แทบจะสะดุดหายใจ


...ภีม


ผมรู้ว่าที่ไอ้ภีมโทรเข้ามาคงต้องการเคลียร์กับไอ้เก้า ก็ดันเล่นทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้แล้วหายไปจากรีสอร์ท ภีมคงพยายามติดต่อไอ้เก้าแล้ว แต่ให้เดา ผมว่ามันคงปิดเครื่อง เพราะเก้าเคยฝากให้ผมไปบอกภีมว่าอาจติดต่อไม่ได้สักพัก ไม่แปลกถ้าทุกคนจะเป็นห่วงเลยโทรเข้าเครื่องผมแทน


ผมกำลังจะกดรับรายงานว่าไอ้เก้ายังโอเคอยู่ ทว่ากลับมีมือปริศนาดึงโนเกียรุ่นเจ้าคุณปู่ของผมไปแทน เป็นไอ้เก้าที่จัดการกดตัดสาย พิมพ์ข้อความบางอย่าง ก่อนจะส่งคืนมาด้วยสภาพหน้าจอที่ดับสนิท พร้อมคำสั่ง


“มึงอย่าเปิดเครื่องจนกว่ามึงจะกลับถึงห้องนะ”


เฮ้ย...ได้ไงวะ มาลิดรอนสิทธิ์กันแบบนี้ ผมมีภารกิจที่ต้องคุยกับแม่เป็นประจำทุกวันตามประสาลูกกตัญญูที่ดีนะโว้ย!


“ปิดไม่ได้ กูต้องใช้โทรคุยกับแม่”

“เออน่า...ถือว่ากูขอ”


น้ำเสียงเบา ๆ แฝงความขอร้องแบบที่ไม่เคยได้ยินทำเอาผมชะงัก ผมมองคู่สนทนาอย่างชั่งใจ ในที่สุดก็เก็บมือถือของตัวเองลงกระเป๋ากางเกง  พออีกฝ่ายเห็นผมยอมทำตามก็ทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยื่นของบางอย่างมาให้


“เอามั้ยมึง”


ถุงข้าวเหนียวหมูปิ้งร้อน ๆ ถูกส่งมาตรงหน้า  ที่แท้มันไปหายไปซื้อของกินมาเพิ่มนี่เอง ไม่รู้ตายอดตายยากมาจากไหน เมื่อกี๊ก็ซัดข้าวไปสองจาน หรือมันจะเป็นคนประเภทกินเพื่อลืมวะ


ผมเลยหยิบหมูปิ้งมากินบ้าง ส่วนไอ้เก้าดึงถุงข้าวเหนียวกลับไปกินต่อ พลางมองวิวนอกหน้าต่างรถไฟสบายอารมณ์เพลิน ๆ


...ผมเข้าใจว่า ตอนนี้ไอ้เก้ามันคงไม่อยากติดต่อใครทั้งนั้น เลยตัดทุกช่องทางการสื่อสาร โดยเฉพาะทางที่เชื่อมโยงไปหาไอ้ภีม


หรือบางทีผมอาจจะคิดผิดไปเอง ท่าทางที่เห็นว่าไอ้เก้าทำตัวเป็นปกติทุกอย่าง



...ความจริงมันแค่กำลัง ‘พยายาม’ เท่านั้น


...


...



“ไอ้ติณ มึงชะโงกหน้าออกมาดูดิ โคตรหวาดเสียวเลยว่ะ!”


...หรือผมอาจจะคิดผิดไปเองอีกรอบ เพราะจากสภาพของไอ้เก้าตอนนี้ดูมันจะสนุกสนานตื่นเต้นออกมาจากใจจริง ๆ


ลองนึกภาพผู้ชายตัวโต ๆ หน้าโคตรโฉด แต่กำลังทำตัวเหมือนเด็กประถมเที่ยวทัศนศึกษา ชะโงกหน้าดูทางรถไฟที่แล่นผ่านสะพานเก่า ๆ เลียบเขาสูงไม่มีราวกั้น คล้ายขบวนรถไฟสามารถตกลงแม่น้ำได้ทุกเมื่อ แถมชี้นู้นชี้นี้ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ทำเอาผมเผลอถอนหายใจ ทำหน้าที่อธิบายเป็นไกด์ทัวร์


“เขาเรียกว่า ทางรถไฟสายมรณะ สร้างไว้ตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์ผ่านไปประเทศพม่า ญี่ปุ่นเกณฑ์เชลยจากทหารฝั่งอังกฤษ อเมริกาให้มาช่วยสร้าง แต่เพราะทางรถไฟสายนี้มันสร้างลำบาก แถมยังเร่งงานอีกต่างหาก เลยมีคนเจ็บป่วย ขาดแคลนอาหารบ้าง เป็นโรคไข้ป่าบ้าง ตายกันเยอะ เลยเรียกกันว่าทางรถไฟสายมรณะ”


“โห...มึงรู้เยอะวะ สมกับที่มึงเป็นไอ้ติ๋มประจำกลุ่มเลย”


ประโยคแรกคำชม แต่ประโยคหลังเหมือนมันแอบหลอกด่าผมกลาย ๆ จนต้องรีบเถียง


“กูไม่ได้ติ๋มโว้ย! เมื่อไรแม่งจะเลิกเหมารวมว่าพวกใส่แว่นเป็นพวกติ๋มกันหมดวะ กูแค่สายตาสั้น”

“มึงสั้นเท่าไร”

“แปดร้อย”

“ถอดแว่นแล้วมองเห็นป่ะ”

“เห็นดิ กูไม่ได้ตาบอด”

“งั้นถอดมาให้กูลองใส่หน่อย”

“ไม่เอา”

“แป๊บเดียวเดี๋ยวกูคืนให้ ...นะๆ ”


ไอ้เก้าส่งเสียงอ้อนเหมือนเด็กโข่งอยากได้ของเล่น ถ้ามันลงไปดิ้นบนพื้นโบกี้ได้คงลงไปดิ้นแล้ว ผมมองมันด้วยสายตาละเหี่ยใจ ก่อนจะถอดแว่นกรอบดำส่งให้คนตื๊อที่รีบหยิบไปสวม


“เหมาะป่ะ”


มันเก๊กหน้าตากวนตีนถาม ผมเลยแกล้งตอบกลับทันควันทั้ง ๆ ที่มองเห็นอีกฝ่ายแค่เพียงลาง ๆ 


“เหมือนคนโรคจิตหื่น ๆ”

“ไอ้ห่าติณว่ากูซะเสีย กูออกจะหล่อขนาดนี้”


คนฟังสบถด่า ซ้ำยังชมตัวเองด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหยุดการกระทำ คล้ายเพิ่งมองเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าที่ไร้แว่นของผม


“มึงมีขี้แมลงวันใต้ตาด้วยเหรอวะ”


สงสัยเลนส์สายตาคงกลายเป็นแว่นขยายให้ไอ้เก้าไปแล้ว มันถึงเริ่มทำการสำรวจหน้าผมเหมือนเป็นธรณีวิทยาศึกษา


“มีมั้ง ไม่ได้สังเกตว่ะ เอาคืนมาได้แล้ว”


ผมตอบปัด พยายามยื่นมือไปขอเอาคืน ซึ่งคราวนี้เด็กโข่งว่าง่าย ส่งแว่นมาให้โดยไม่งอแง  โลกของผมจึงกลับมาชัดอีกครั้ง แต่คนสงสัยก็ยังคงไม่หยุดถามต่อ


“มึงไม่คิดจะใส่คอนแทคเลนส์บ้างอ่ะ”

“กูไม่ชอบเอาอะไรแหย่เข้าตา”
   

ผมเคยพยายามลองใส่คอนแทคเลนส์หลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้ผล พอจะเอาเลนส์ใกล้ตาทีไรเป็นต้องเผลอหลับตาอยู่เรื่อย แถมยังรู้สึกเคือง ๆ แสบซะจนล้มเลิกความตั้งใจ แต่บางทีถ้าผมลองเปลี่ยนไปใส่คอนแทคเลนส์บ้าง คนคงเลิกเรียกกว่า ‘ไอ้ติ๋ม’ สักที  หากคำต่อมาของคนฝั่งตรงข้ามกลับทำให้ผมชะงัก


“เออ ไม่ต้องใส่คอนแทคหรอก กูว่าใส่แว่นก็เหมาะกับมึงดี”


...ไม่มีน้ำเสียงส่อแววประชดหรือหลอกด่า เป็นคำชมจริง ๆ ที่มาจากปากไอ้เก้า


ผมเงยหน้ามองมันที่หันกลับไปสนใจดูวิวนอกหน้าต่างเงียบ ๆ  ผิดกับเมื่อกี๊ที่มันทำท่าระรื่นสนุกสนาน ถึงผมจะยังงงกับท่าทางซึ่งเปลี่ยนไป แต่ไม่คิดจะซักไซร์อะไรต่อ เดาเอาว่ามันคงเหนื่อยจะตื่นเต้นแล้ว  หลังจากนั้นเราก็ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เพิ่มเติมระหว่างกัน ทว่าใช้เวลาเพียงไม่นาน รถไฟก็จอดเทียบสถานีปลายทาง



ผมเดินลงจากรถพร้อมกับคนมากมาย ทุกคนต่างมีเป้าหมายแยกย้ายกันไป ยกเว้นผมที่ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไง


“แล้วมึงจะไปไหนต่อ”


ผมหันไปถามไอ้เก้า ซึ่งเลิกคิ้วเหมือนผมพูดอะไรประหลาดออกมา แล้วเลือกตอบง่าย ๆ


“มาถึงน้ำตกก็ต้องเล่นน้ำตกดิวะ”


จบคำ มันก็เดินนำผมไปยังทางขึ้นน้ำตกไทรโยคน้อย กลมกลืนไปกับนักท่องเที่ยวรอบด้าน จนผมเกือบลืมวัตถุประสงค์ที่มา



...สาบานว่านี่มึงอกหักจริง ๆ เหรอวะ ไอ้เก้า?




--------------------------------------------------------------------------------------------



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2014 20:09:48 โดย BitterSweet »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #14 เมื่อ24-06-2014 21:07:39 »

จะเป็นทริปของคนอกหักหรือทริปออกเดทกันแน่

ออฟไลน์ sine_saki

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #15 เมื่อ24-06-2014 21:16:29 »

แผลคงสมานเร็ว เพราะได้ยาแบบน้องติณ

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #16 เมื่อ24-06-2014 21:18:14 »

คนอกหักมาออกเดท อาการคงหายแล้วแน่ๆ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #17 เมื่อ24-06-2014 21:37:00 »

ไม่ใช่ว่าเป็นแผนพาติณมาออกเดทนะ อิอิ


#อย่ามนงอย่ามโน555

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #18 เมื่อ24-06-2014 21:38:19 »

 แค่เห็นชื่อคนเขียนก็เข้ามาอ่านล่ะ
สนุกดี

ออฟไลน์ phoenixa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #19 เมื่อ24-06-2014 21:58:15 »

เป็นทริปของคนแอบรักหรือเปล่า
ติณจะมีโอกาสได้บอกรักมั้ยนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
« ตอบ #19 เมื่อ: 24-06-2014 21:58:15 »





ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #20 เมื่อ24-06-2014 22:01:17 »

 :กอด1:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #21 เมื่อ24-06-2014 22:32:18 »

ถ้าตัดสองตอนแรกออกไป คงนึกว่ามาออกเดท

ออฟไลน์ Rose_Apple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #22 เมื่อ24-06-2014 22:53:33 »

ชอบบบบบ ติณน่ารักใช่ไหมเลยให้ใส่แว่นกลับคืนน่ะ!! ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความงามบนใบหน้าล่ะสิ!!  :katai3: :katai3: รอตอนต่อไปชิดขอบโทรศัพท์เลยค่ะ ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #23 เมื่อ25-06-2014 00:21:56 »

 :mc4:  ต้อนรับเรื่องใหม่ค่ะ สนุกเหมือนเดิมเลย ได้ฟิลลิ่งมากๆ

ชักอยากนั่งรถไฟไปเที่ยวด้วย  o13

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ GETIIZ

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +90/-4
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #24 เมื่อ25-06-2014 02:13:41 »

ระยะห่างระหว่างเก้ากับภีมอาจจะไกลขึ้น
แต่ระยะห่างระหว่างเก้ากับติณมันสั้นลงนะ
หวังว่ากลับจากทริปนี้ ระยะห่างระหว่างคนอกหัก กับคนแอบรัก? จะใกล้กันมากกว่าเดิม

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #25 เมื่อ25-06-2014 12:57:50 »

เค้าว่ากันว่า คนอกหักมักจะตกหลุมรักง่าย  ระวังนะติณ ระวังตกหลุมรัก  :hao7:

ออฟไลน์ lykar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-0
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #26 เมื่อ25-06-2014 14:09:08 »

พระอาทิตย์มันไกลไป ลองมองพระจันทร์ที่หมุนวนอยู่รอบๆ ดีมั้ยน้องเก้า >.<

ปล. คิดถึงมอ
ปล.2 นั่งรถไฟไปกาญกันเถอะ!!

ออฟไลน์ tiamo1717

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #27 เมื่อ25-06-2014 21:38:04 »

ชอบเรื่องแบบนี้จังค่ะ มันละมุนดี

ว่าแต่เก้านี่แกอกหักจริงๆ เหรอ =_= ดี๊ด๊ามากอ่ะ

เป็นเราเป็นติรเราก็งงนะ ฮ่าๆๆๆๆ

แต่ชอบผู้ชายแแบบนี้นะ ขอให้รักกันๆๆๆๆๆ

มาต่อเร็วๆ นะคะ รออยู่ค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ Linea-Lucifer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
«ตอบ #28 เมื่อ26-06-2014 21:32:31 »

เรื่องนี้น่ารักกกกก

ออฟไลน์ BitterSweet

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +725/-2
Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
«ตอบ #29 เมื่อ27-06-2014 11:46:58 »

4.




ผมเคยได้ยินมาว่า คนมาทะเล ...ไม่หนีร้อน ก็หนีรัก


แต่คนที่มาน้ำตกอย่างไอ้เก้า ...ผมไม่รู้ว่ามันกำลังหนีอะไร?



น้ำตกไทรโยคน้อย เล็กน้อยสมชื่อ  เพราะธารน้ำที่ไหลมาตามหน้าผาหินปูน มีความสูงเพียง 15 เมตร หากปริมาณความชุ่มฉ่ำเย็นสบาย และร่มเงาของต้นไม้นานาชนิดซึ่งขึ้นโดยรอบ ก็ทำให้บรรยากาศของน้ำตกไทรโยคน้อย น่าเที่ยวไม่น้อยกว่าชื่อเลย


...นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ให้เก้าเร่งเดินนำหน้าผม ...เปล่าครับไม่ได้ไปทางน้ำตก นู้น...มันเดินไปต่อคิวอยู่ตรงร้านรถเข็นขายโรตี


ตกลงว่านี่คือทัวร์ตะลุยชิมของไอ้เก้าใช่มั้ยวะ เพราะตั้งแต่ผมอยู่กับมัน ก็เห็นคนตัวโตซื้อของกินตลอดทางเหมือนแม่ช้อยนางรำเข้าสิงร่าง แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากต้องคอยตาม ซึ่งนักชิมก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจหันมาถาม


“กูสั่งใส่ไข่ไปสองนะ ธรรมดาหนึ่ง มึงกินน้ำตาลได้มั้ยวะ”

“กูไม่ชอบหวานมาก”

“งั้นใส่แค่นมข้นอย่างเดียวนะครับลุง”   ไอ้เก้าสั่งกับลุงคนขาย แล้วเอ่ยสั่งผมอีกที

“มึงรอนี่นะ เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อน... เฮ้ย! ไส้อั่วก็น่ากินวะ”


น้ำเสียงสนใจดังในท้ายประโยค เมื่อไอ้เก้าเหลือบไปเห็นแผงขายไส้อั่วใกล้ ๆ ซึ่งมันก็ไม่รอช้า รีบพุ่งไปจัดไส้อั่วมาหนึ่งกล่อง โดยไม่ได้คิดถึงความเข้ากันของโรตีที่จะเอามากินคู่แม้แต่น้อย

ผมเหนื่อยใจจนเลิกจะคิดตามตรรกะของไอ้เก้าแล้ว

ตอนอยู่ในกลุ่ม... ผมมองว่าไอ้เก้าเป็นคนที่พึ่งพาได้ ถึงมันจะกวนตีนไปบ้าง ใจร้อนบ้าง แต่ก็ดูมีภาวะความเป็นผู้นำ น่าจะมีความคิดอ่าน หรือหลักการเป็นผู้ใหญ่ เวลามีปัญหาเกิดขึ้น ใครหลายคนก็มักจะมาขอให้ไอ้เก้าช่วย ประหนึ่งมันเป็นฮีโร่ซุปเปอร์แมนประจำกลุ่ม

แต่พอผมได้อยู่กับมันตลอดทั้งวันนี้ ภาพลักษณ์ฮีโร่ก็ค่อย ๆ จางหายกลายเป็นผู้ชายธรรมดา ๆ ซ้ำยังมีความคิดและการกระทำบางมุมโคตรประหลาด แบบที่ผมไม่เคยนึกว่าไอ้เก้าจะเป็น หรือความจริงนิสัยมันอาจจะเป็นแบบนี้อยู่ก่อนแล้วก็ได้

...เพียงแค่ว่าผมอาจไม่สนิทกับเก้ามากพอที่จะรู้


กลิ่นหอม ๆ ของโรตีเรียกสติผมอีกครั้ง ทั้งยังเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้เริ่มร้องเบา ๆ ...จะว่าไป ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ไม่แปลกถ้าไอ้เก้าจะหิว นอกจากไส้อั่วและโรตี จึงมีลูกชิ้นปลานึ่ง ไส้กรอกทอด ขนมเบื้อง อะไรอีกสารพัดถูกแวะซื้อเป็นมื้อเที่ยงหอบหิ้วจนเต็มสองมือ


บริเวณน้ำตกไทรโยคน้อยมีโขดหินและที่นั่งว่าง ๆ ให้ผู้คนปูเสื่อพักผ่อนกินข้าวเคล้าบรรยากาศ แถมยังมีฝรั่งใส่บิกินี่นอนอาบแดดให้ชมเป็นอาหารตากลุ่มใหญ่ อาจเพราะวันนี้ไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์ เลยไม่ค่อยพบนักท่องเที่ยวไทยมากเท่าไร

ผมกับไอ้เก้าหาที่นั่งใกล้ ๆ น้ำตกแบบเร่งรัด ด้วยการถอดรองเท้าแตะรองพื้นแล้วค่อยนั่งทับ ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการซัดทุกสิ่งที่ซื้อมาลงท้อง ไม่รู้ด้วยบรรยากาศสบาย ๆ ของสถานที่รอบกายด้วยรึเปล่า ถึงทำให้ของกินซึ่งดูไม่น่าเข้ากันตอนแรก กลับอร่อยมากขึ้นจนใช้เวลาไม่นานก็เหลือเพียงเศษซากอารยธรรมของถุงเปล่าและกล่องโฟม


ไอ้เก้าใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวก ๆ หลังจากกระดกน้ำไปหมดขวดปิดท้าย แล้วถึงลุกขึ้นยืนพูดชวน


“ไอ้ติณ ลงไปเล่นน้ำกัน”

“ไม่เอา กูไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน”


ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นอยู่ชุดเดียว เพราะคิดว่าไปหัวหินวันเดียวก็กลับแล้ว แค่ตั้งใจไปเมากับเพื่อน ไม่เห็นจำเป็นต้องพิถีพิถันแต่งตัวอะไรมากมาย แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าอยู่ ๆ ทริปนี้ดันขยายกลายเป็นสองวัน ซ้ำยังมาโผล่อยู่ที่น้ำตกด้วย 

ไอ้เก้าเองก็มาตัวเปล่าไร้สัมภาระเหมือนกัน หากมันกลับหาวิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ


“เดี๋ยวค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้ ถือโอกาสอาบน้ำไปด้วยเลยไง เนี่ยกูยังไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มึงไปซื้อสบู่ให้กูหน่อยดิ”

“เชี่ยเก้า สถุลแล้วมึง!”


ผมสบถด่าให้กับความหน้าด้านสุดอุบาทว์ของมัน แต่ไอ้เก้ากลับหัวเราะขำ วางกระเป๋าตังค์กับไอโฟนไว้บนพื้น แล้วเดินลงไปหย่อนตัวลงให้น้ำถึงระดับคอ ก่อนจะหันมาตะโกนเรียก


“ติณ! มึงลงมาดิ น้ำกำลังเย็น โคตรสบายอ่ะ”


พูดจบไอ้เก้าก็โชว์สเต็ปว่ายไปมาด้วยท่าทางสบายจริงอย่างปากว่า แล้วยังขยับไปทางบริเวณน้ำตกให้สายน้ำกระทบใส่ร่าง แถมยังมีแก่ใจยืนพนมมือแกล้งทำตัวบำเพ็ญเพียรเหมือนในการ์ตูน ก่อนจะลืมตาเหมือนบรรลุพลังขั้นสุดยอด กางมือปล่อยคลื่นพลังซัดจนน้ำกระจาย เล่นเอาผมที่มองอยู่หลุดหัวเราะก๊าก

พอเห็นไอ้เก้าสนุกแบบนั้น ผมก็ชักอยากลองเล่นดูบ้าง แต่ไม่ได้ลงไปแช่ทั้งตัวหรอก เดินลุยให้น้ำพอถึงแค่น่อง เท่านี้สำหรับผมก็ถือว่าได้ฟีลเล่นน้ำตกแล้ว ทว่าสำหรับไอ้เก้าคงไม่หนำใจเท่าไร มันเลยเดินกลับมาหา พร้อมกับพยายามลากแขนผมลงน้ำให้ได้


“มึงอย่ามาทำป็อดดิวะไอ้ติ๋ม”

“กูไม่ได้ติ๋มโว้ย! แล้วกูก็ไม่ได้ป็อดด้วย กูไม่อยากเปียก!”


ผมรีบอ้าปากเถียงสรรพนามที่มันสรรญเสริญมาให้ พยายามขืนตัวยื้อยุดแขนตัวเองเหมือนนางเอกไม่ยอมให้พระเอกฉุดไปทำเมีย


“ถ้าไม่อยากให้กูเรียกติ๋มก็ลงมา”

“ไอ้เก้าอย่าดึงกู! ...เฮ้ย ๆ  เดี๋ยว ๆ มึงนั่นอะไรวะ”


ผมรีบชี้ให้อีกฝ่ายหันไปมอง เมื่อสังเกตเห็นวัตถุบางอย่างคล้ายซองสี่เหลี่ยมสีเงินเล็ก ๆ ลอยเอื่อยในน้ำใกล้จุดที่ผมยืนอยู่ ไอ้เก้าขมวดคิ้ว ใช้มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบวัตถุนั้น ก่อนที่ทั้งผมและมันจะเบิกตากว้างกับซองซึ่งมีรอยถูกฉีกใช้ ตัวอักษรยี่ห้อเด่นหราเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘DULEX’ 


“สัส!”


ไอ้เก้าสะบัดซองถุงยางอนามัยเปล่าลงน้ำ แล้วเปลี่ยนทิศทางรีบลากผมขึ้นฝั่งทันที ยอมรับว่าผมตกใจระคนสยอง ไม่รู้ว่าเจ้าของซองเป็นใคร หรือได้ใช้ประสบการณ์แอดแวนเจอร์ที่น้ำตกจริง ๆ มั้ย  แต่สีหน้ากระอักกระอวนของไอ้เก้า ก็เปลี่ยนให้ผมอดพูดแซวไม่ได้


“อ้าว ไม่ไปเล่นน้ำตกต่อแล้วเหรอมึง”

“โห มึงยังจะมาถามอีก ขืนกูแช่นาน ๆ เดี๋ยวผิวกูดี แม่งน้ำผสมวิตามินมาเพียบเลย”


ไอ้เก้าบ่นหงุดหงิด ตรงข้ามกับผมที่หัวเราะจนท้องแข็ง แต่สุดท้ายมันก็หลุดหัวเราะออกมากับเรื่องบ้า ๆ นี้เหมือนกัน


หลังจากนั้น ผมกับไอ้เก้าจึงเดินไปหาซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนแทนชุดที่เปียกไปด้วยน้ำ(ผสมวิตามิน)   ซึ่งตามร้านค้าใกล้ ๆ ก็มีเสื้อกางเกงขายไว้สำหรับพวกเล่นน้ำตกอยู่แล้ว ผมจึงถือโอกาสซื้อเสื้อยืดสีดำเรียบ ๆ มาเพิ่มอีกตัว กางเกงขาสั้นขานอกใส่ตัวเก่าได้ไม่เป็นไร ส่วนบ็อกเซอร์ข้างในก็ต้องซื้อเปลี่ยน ผมไม่ได้เป็นคนรักสะอาดจัด แต่ก็ไม่อยากให้ตัวเองเน่าจนเกินรับไหว


ไอ้เก้าเลือกเสื้อยืดสีขาวลายตัวการ์ตูนคิกขุสกรีน ‘I Love Saiyok’  ไม่ได้เข้ากับหน้าตาโฉด ๆ ของมันสักนิด แล้วยังซื้อสบู่ยาสระผมเข้าไปอาบน้ำ ก่อนออกมาหอมฟุ้งด้วยมาดใหม่กันทั้งสองคน


“จะเอายังไงต่อ”


ผมถามถึงจุดหมายถัดไปอย่างคนไม่รู้ทิศทาง 


“นั่งรถไฟต่อมั้ง แล้วค่อยไปสุ่มเลือกสถานีที่จะลงเอา”


เป็นการกำหนดแผนแบบไร้อนาคตมาก ถ้าเกิดมันเดาสุ่มไปที่ไกล ๆ ขึ้นมาผมจะทำยังไง ที่สำคัญคือ ตอนนี้ตังค์ผมไม่ค่อยเหลือเท่าไรแล้ว ถึงไอ้เก้าจะเลี้ยงขนมของกินให้บ้าง แต่สุดท้ายผมก็ไม่แน่ใจว่าจะตามมันแบบเรื่อยเปื่อยได้อีกนานแค่ไหน 


ไอ้เก้าก็คล้ายจะรู้ถึงความลังเลของผม มันจึงเสนอทางเลือกให้


“มึงจะกลับก่อนก็ได้นะ กูบอกแล้วว่ากูอยู่คนเดียวได้ เห็นมั้ยกูเป็นไรสักทีไหน”


ผมมองคนข้างตัวซึ่งยิ้มด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูไม่มีอาการตรอมใจแบบคนอกหักให้เห็นสักนิด

...ก็จริง ไอ้เก้าทำตัวเป็นปกติดี ออกจะลันล๊าเกินเหตุด้วยซ้ำ  แต่ลึก ๆ ผมก็ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกว่า มันฝืนพยายามทำตัวให้ดูโอเค เพื่อให้ผมไม่ต้องเป็นห่วงรึเปล่า แทนที่มันจะได้ระบาย เลยกลับต้องแกล้งเก็บกดความเศร้าเอาไว้


...หรือผมควรจะปล่อยให้เก้าอยู่คนเดียวเสียที?


ระหว่างที่ความคิดของผมกำลังตีกันอย่างสับสน อยู่ ๆ ไอ้เก้ากลับส่งเสียงเรียกให้ผมต้องเงยหน้ามอง


“เฮ้ย! ฝรั่งคนนั้นทำเป๋าตังค์ตกวะ”


ผมไม่ทันเห็นเหตุการณ์ หากคนพูดกลับรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าตังค์สีดำบนพื้น แล้วตะโกนเรียกตามหลังเจ้าของซึ่งเป็นหนุ่มฝรั่งร่างสูงผมทอง


“เฮ้! ยู ยู forget this!”


คนถูกเรียกหันกลับมา พอเห็นของซึ่งยื่นส่งมาให้ก็ทำท่าตกใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างรีบรับกระเป๋าตังค์พร้อมจับมือไอ้เก้าเขย่า


“Oh! Thank You. This wallet is important to me. Thank you so much!”

“Never mind”


ไอ้เก้าพูดตอบตามประสาคนไทยน้ำใจงาม  แต่คู่สนทนากลับมีท่าทางงง ๆ จนผมที่ยืนฟังอยู่ต้องเขามาเสริม


“He means You’re welcome.”


ฝรั่งคนนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจ คราวนี้ไอ้เก้ากลับเป็นฝ่ายงงแทน ผมเลยต้องทำหน้าที่เป็นครูอธิบาย


“ถ้าเขาขอบคุณมา แล้วมึงจะบอกเขาว่า ไม่เป็นไร ต้องใช้ You’re welcome หรือ My Pleasure แต่ถ้าในสถานการณ์ที่มึงพยายามอธิบายอะไรสักอย่าง แล้วคนอื่นไม่เข้าใจ จนขี้เกียจจะอธิบายแล้ว  ตอนนั้นถึงค่อยใช้ Never Mind ประมาณว่า ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ”


อย่าแปลกใจถ้าคนเรียนคณะสายภาษาจะใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่องเหมือนไอ้เก้า เพราะคณะเรามีแยกออกไปหลายเอก บางเอกก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย อย่างผมเรียนเอกภูมิศาสตร์ เก้าเรียนเอกสังคมศาสตร์ จึงทำให้ภาษาอังกฤษของหลายคนไม่ค่อยกระดิก แต่วิชาโทผมเลือกเรียนโทอิงค์ เลยพอจับหลักได้อยู่บ้าง ซึ่งคนโดนผมสอนก็พยักหน้าเข้าใจหงึกหงัก


“อ๋อ กูเก็ตล่ะ มึงเก่งเนอะติ๋ม”

“ก็บอกว่าอย่าเรียกกูติ๋ม!”


ผมร้องโวยวายใส่คนที่แถมคำชมมาให้ แต่ไอ้เก้าไม่สนใจ หันไปพูดกับฝรั่งด้วยภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ  จนผมนึกทึ่งความสามารถของไอ้เก้า ที่คุยกับคนแปลกหน้ารู้เรื่องขนาดผูกมิตรได้อย่างรวดเร็ว


หนุ่มผมทองหน้าตาดีคล้ายพระเอกหนังแอคชั่นฮอลิวู้ดสักเรื่อง ชื่อ เคน มาจากนิวยอร์ก แบ็คแพ็คเที่ยวไทยตามหนังสือคัมภีร์ Lonely Planet และพึ่งมาถึงกาญจนบุรีโดยอาศัยนั่งรถไฟมาเหมือนกัน พอรู้ว่าคู่สนทนาเดินทางด้วยวิธีไหน ไอ้เก้าก็โม้ใหญ่ว่าตัวเองกำลังจะนั่งรถไฟต่อไปที่อื่น แต่พอเคนได้ยินกลับพูดด้วยสีหน้าตกใจ


“But the train departs at 15.15!”


คนเตือนโชว์นาฬิกาข้อมือให้ดูว่าตอนนี้ ตัวเลขดิจิตอลมันระบุเวลา 15:12  อีกสามนาที รถไฟจะออกจากชานชานชาลา!


ผมกับไอ้เก้าแทบจะร้อง Oh My God! แล้วใส่ตีนหมาวิ่งแน่บไปจนถึงสถานีน้ำตก ภาวนาให้ยังทัน เพราะทุกครั้งรถไฟไทยก็มักจะปล่อยเลทเกินเวลาตลอด หากคราวนี้ไม่รู้อะไรดลบันดาล จึงทำให้พอไปถึง รถไฟก็เคลื่อนเห็นแค่ท้ายขบวนไกล ๆ และโชคร้ายกว่านั้น มันคือเที่ยวสุดท้ายของวันนี้ จะต้องรอขบวนใหม่ พรุ่งนี้เช้าในเวลาตีห้ายี่สิบ


“เอาไงต่อ”


ผมถามคำถามเดิมด้วยอาการหอบเหนื่อย หลังจากใช้พลังงานวิ่งมาไกลแบบสูญเปล่า และตามนิสัยไอ้เก้า มันไหวไหล่ตัดสินใจแก้ปัญหาง่าย ๆ


“ก็คงต้องหาที่พักคืนนี้”


หากยังไม่ทันให้ผมถามว่าจะไปพักที่ไหนในเมืองที่ไม่รู้จัก เสียงสำเนียงอเมริกันจากด้านหลังก็ดังแทรก


“Do you miss the train?”


เป็นเคน ซึ่งเดินมาถาม อาจเพราะเป็นห่วงพวกผมจึงตามมาดูถึงสถานีให้แน่ใจ แล้วพอรู้ว่าพวกผมพลาดรถไฟจริง ๆ และกำลังหาที่พัก เคนก็แนะนำรีสอร์ทซึ่งเขาจะพักในคืนนี้ให้ พร้อมบรรยายสรรพคุณว่าราคาถูก อยู่ไม่ไกล มีการเปิดหนังสือ Lonely Planet ประกอบคำเชิญชวน กลายเป็นว่าผมอยู่ในสถานการณ์ประหลาดที่ให้คนต่างชาตินำเที่ยวไทยซะเอง

แต่ในเมื่อไม่มีแผนอื่นแล้ว ผมกับไอ้เก้าจึงยอมตามน้ำ ตกลงปลงใจไปพักในรีสอร์ทที่เคนแนะนำ พวกเราสามคนนั่งรถสองแถว ขับตามเส้นถนนนอกเมืองประมาณ 20 นาที กระทั่งถึงรีสอร์ทเล็ก ๆ  ติดริมแม่น้ำแคว

บรรยากาศดีเหลือเชื่อผิดกับราคาซึ่งถูกแบบไม่น่าเชื่อเหมือนกัน อาจเพราะตัวรีสอร์ทดัดแปลงจากบ้านสวนเก่า ห้องพักแยกเป็นหลัง ๆ ให้อารมณ์เรียบง่ายคล้ายโฮมสเตย์ คนเข้าพักส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติ น่าแปลกที่พวกเขาค้นพบของดีที่ซ่อนอยู่ก่อนพวกเราคนไทยซะอีก


ผมกับไอ้เก้าได้ห้องวิวสวย เห็นแม่น้ำไหลเอื่อยสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย ล้อมด้วยร่มเงาไม้ร่มรื่นให้ความรู้สึกสงบเงียบ

ทุกครั้งเวลาไปเที่ยวใคร ๆ ก็มักจะนึกถึงทะเล ภูเขา ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาใกล้แม่น้ำบ้างก็ได้ฟีลดีไปอีกแบบ


“น่าชวนพวกไอ้พอสมาด้วยวะ แต่สงสัยพวกมันคงมานั่งกินเหล้าอย่างเดียว ตอนไปทะเลเท้าแตะทรายบ้างรึยังก็ไม่รู้”


ผมเผลอนึกถึงเพื่อนร่วมก๊วน เวลาชวนไปไหนพวกมันพร้อมหิวกระเป๋าไปเหมือนพิซซ่าฮัทในสิบห้านาที แต่ไม่ได้ไปเที่ยวหรอก ส่วนใหญ่จะใช้เวลาจมอยู่กับกองขวดเหล้ามากกว่า เหมือนแค่เปลี่ยนสถานที่เมากันเฉย ๆ

ไอ้เก้าก็คงคิดไม่ต่างกันเลยพูดเสริม


“กูก็ว่างั้น ยิ่งที่นี่เงียบ ๆ ด้วย ไอ้เอิรธ์แม่งเมาแล้วชอบโวยวาย ต้องใช้ให้ไอ้ภีมไปขอโทษห้องอื่นอยู่เรื่อย”

“เออ ๆ แล้วไอ้พอสมันต้องพูดว่า ภีมใช้หน้าตามึงให้เป็นประโยชน์หน่อยดิ๊”


ผมแกล้งดัดเสียงฮา ๆ เป็นไอ้พอสแบบที่มันชอบใช้เรียกแซวไอ้ภีมประจำ แต่คล้ายจะมีผมคนเดียวที่หลุดหัวเราะขำ เพราะคนฟังกลับเงียบเสียงลง จนผมต้องหันไปมองความผิดปกติ

และเมื่ออีกฝ่ายเห็นผมมองมา มันก็ส่งยิ้มจาง ๆ คล้ายจะขำดีเลย์ไปกับมุกที่ผมเล่นก่อนหน้า แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่า ผมทำพลาดมากแค่ไหน...


...ชื่อของใครบางคนยังมีอิทธิพลในใจของไอ้เก้าเสมอ


ผมนึกโทษตัวเองที่ดันไปรื้อฟื้นเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาเอาตอนนี้ แต่คิดดูแล้ว...ที่ผมมาอยู่กับไอ้เก้าก็เพราะอยากให้มันมีเพื่อนไว้คอยระบายไม่ใช่เหรอ ผมจึงลองเลียบ ๆ เคียง ๆ เกริ่นถาม


“ถ้ามึงมีอะไร เล่าให้กูฟังก็ได้นะ”

“พูดไรมึง อย่างกูจะไปมีอะไร  แต่แม่งกูง่วงฉิบหายเลยว่ะ ขอนอนก่อนนะ”


ไอ้เก้าตัดบทด้วยน้ำเสียงเหนื่อย ๆ เดินตรงดิ่งไปยังหนึ่งในสองเตียง ทิ้งตัวลงบนหมอนนุ่ม ๆ และหลับไปด้วยความรวดเร็ว ปล่อยให้ผมมองตามคนสลบน็อคไม่ทันนับครบสาม

แต่อย่างว่า...ไอ้เก้าคงเพลีย เพราะไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวาน แถมยังเที่ยวกระหน่ำลากยาวมาวันนี้อีก ส่วนผมกลับไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยปลอบใจอะไรเลย ดันเผลอสนุกเฮฮากับมันด้วยซ้ำ


ไอ้เก้าคงไม่อยากให้ผมเป็นกังวล จึงต้องแสร้งทำตัวว่าไม่เป็นไร


‘ไม่เป็นไร’ ในความหมายที่ผมกลัวเหลือเกินว่าจะเป็นคำเดียวกับ ‘Never mind’ 



...ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ กูไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว



ผมอยากบอกกับไอ้เก้าว่า บางเรื่องผมอาจดูเหมือนเก่ง แต่บางเรื่อง โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวข้องกับระยะห่างในความสัมพันธ์ระหว่างกัน



...ผมยอมรับ ...ผมเองก็โง่มากจริงๆ




-------------------------------------------------------------------------------------------------



TBC




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2014 17:11:16 โดย BitterSweet »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด