พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: BitterSweet ที่ 22-06-2014 20:09:12

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 22-06-2014 20:09:12
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)







[เรื่องสั้น] Lonely Planet



ผมเคยสงสัย...

ในคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์”

แม้ทั้งสองมีต้นกำเนิดบนดาวคนละดวง มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน มีทัศนคติที่ตรงกันข้าม แต่พวกเขากลับหลงใหลในความแตกต่าง ตกหลุมรักในความขาดหาย และเต็มเติมซึ่งกันและกัน


แต่...มันจะมีบางมั้ย ที่ผู้หญิงไม่ได้ตกหลุมรักคนจากดาวอังคาร และ ผู้ชายไม่ได้อ่อนไหวกับคนจากดาวศุกร์


หากใครคนหนึ่งตกหลุมรักคนที่มาจากดาวดวงเดียวกัน

ผมเคยสงสัย... พวกเขาจะโคจรอยู่รอบดาวดวงใด


หรือแท้จริงแล้ว...

พวกเขาอาจทำได้แค่ลอยเคว้งคว้าง เพื่อเฝ้ามองคนสำคัญอยู่ลำพังห่าง ๆ


...เพียงดวงเดียว



---------------------------------------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #1 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 22-06-2014 20:12:48
1.




“กูชอบภีม”

   
ในคืนที่ดาวเกลื่อนฟ้า ผมนิ่งอึ้งหลังได้ยินคำสารภาพนั้น


เข้าใจว่าตอนนี้ทะเลกำลังสวย ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ลมโชยพัดมาเบา ๆ ท้องฟ้าคืนแรมมีพระจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ บรรยากาศลงตัวแสนโรแมนติกเป็นใจ ไม่แปลกถ้าใครบางคนจะเลือกบอกความจริงที่เก็บซ่อนไว้


แต่ผิดแค่ว่า...ผมไม่ใช่ภีม และคนพูดคือ...ไอ้เก้า


ไอ้เก้า มนุษย์ร่างสูงใหญ่หุ่นนักกีฬา ผิวเข้ม หน้าตาคม มองเผิน ๆ เหมือนเด็กเรียนวิศวะมากกว่าเรียนคณะอักษร เวลาเดินผ่านไปแถวคณะวิศวะทีไร จะมีรุ่นน้องยกมือไหว้กันเกรียวเพราะนึกว่าเป็นรุ่นพี่ แล้วมันก็ดันรับสมอ้าง แกล้งใช้ให้รุ่นน้องไปทำนู้นทำนี้ มันบอกว่าเป็นการเอาคืนที่พวกวิศวะมาจีบเด็กคณะเราเยอะ  แต่ถึงอย่างนั้น สาวในคณะส่วนใหญ่ก็ยังแอบปลื้มมัน และตลอดสี่ปีที่เรียนมา ผมก็เห็นมันควงผู้หญิงสวย ๆ ไม่ซ้ำหน้า



...พูดง่าย ๆ ไอ้เก้าเป็นคนสุดท้ายที่ผมคิดว่า ...มันจะชอบผู้ชาย



“กูไม่รู้ว่าชอบภีมตอนไหน แต่กูก็ชอบมันไปแล้ววะ”


ไอ้เก้าพึมพำขึ้นมาอีกครั้ง ทีแรกผมคิดว่ามันแค่พูดเล่นตามนิสัยกวนตีน แต่พอได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของมัน ผมก็ชักเริ่มไม่แน่ใจ อาจเพราะด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเรา


ทะเลที่ผมนั่งมอง คือการมาเที่ยวครั้งสุดท้ายของชีวิตนักศึกษา ผมกับเพื่อนในกลุ่มเพิ่งสอบวิชาตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนบ่าย แล้วก็พากันขับรถสามคันรวม ชาย 9 หญิง 3 ตียาวจากมหาลัยมาถึงหัวหิน จองรีสอร์ทแบบบ้านเดี่ยวหลังใหญ่เพื่อความเป็นส่วนตัว ซื้อเหล้าเบียร์ กับแกล้ม ตั้งวงนั่งดื่มชมวิวตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนฟ้ามืด


ตอนเกือบสี่ทุ่ม กรึ่ม ๆ กำลังดี ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกง เลยเดินหลบจากวงเพื่อน ๆ ซึ่งเริ่มเมาส่งเสียงคุยเอะอะ หาที่นั่งปลีกวิเวกตรงชายหาดเงียบ ๆ หยิบโนเกียรุ่นเก่าตกยุคเพื่อรับสาย


แม่โทรมาคุยถามไถ่เป็นปกติทุกวัน ผมไม่ลืมบอกแม่ว่าอยู่หัวหิน วันพรุ่งนี้ถึงจะกลับ แม่เตือนว่าให้ดูแลตัวเองดี ๆ  แล้วคุยยาวไปจนถึงเรื่องการย้ายหอออกในสิ้นเดือนนี้ 


...นึกแล้วก็ใจหาย ช่วงเวลาสี่ปีคล้ายจะนาน แต่สำหรับผมเหมือนผ่านไปแค่พริบตาเดียว การมาเที่ยวครั้งนี้จึงถือเป็นปาร์ตี้ฉลองเรียนจบกับเพื่อน ก่อนที่เราจะแยกย้ายไปเผชิญกับโลกการทำงานแท้จริง


หลังจากวางสายเสร็จ ผมรู้สึกตัวว่ามีคนเดินมาทรุดตัวนั่งที่พื้นทรายข้าง ๆ  พอหันไปก็เจอไอ้เก้า ผมกำลังจะอ้าปากทักว่าหนีเสียงดังมาเหมือนกันเหรอ ทว่าอยู่ ๆ มันกลับชิงพูดขึ้นซะก่อน 



...ไม่ใช่ประโยคนั้น แต่เป็นคำถามแบบไม่มีที่มาที่ไป



“มึงว่าโลกห่างจากดวงอาทิตย์เท่าไร”


ผมชะงักด้วยความงง พยายามเพ่งสังเกตสีหน้าของไอ้เก้าว่าเมารึเปล่า เพราะเห็นมันดื่มไปหลายแก้ว แต่ในความมืดลาง ๆ นั้นผมเดาไม่ออก เลยแกล้งย้อนถามกลับ


“อะไรของมึง จะมาทดสอบความรู้กูก่อนเรียนจบเหรอวะ”


คนฟังไม่รับมุก แถมส่งเสียงจิ๊จ๊ะเร่งคาดคั้น


“เออ ตอบมาเท่าไร หรือมึงไม่รู้”


...อ้าว ๆ อย่าดูถูกเด็กเอกภูมิศาสตร์สิครับ ไอ้คำถามเนี่ยตอบได้ตั้งแต่ยังไม่แอดเข้ามหาลัยด้วยซ้ำ


“150 ล้านกิโลเมตร ถ้าคิดเป็นไมล์ก็ 92,600,000 ไมล์”


ผมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ไม่เฉพาะแค่ดวงอาทิตย์ จะให้ท่องระยะห่างจากโลกไปดวงจันทร์ โลกไปดาวเสาร์ หรือดาวดวงไหน ๆ ในจักรวาลก็ตอบได้หมด มันเป็นความชอบส่วนตัว ผมจึงมีคลังความรู้เก็บไว้เพียบ แต่ไอ้เก้าดูเหมือนไม่ค่อยจะแสดงความชื่นชมในความสามารถพิเศษนี้ แค่พึมพำสั้น ๆ


“เหรอวะ ไกลเนอะ”


...อะไรของมัน?  ตกลงมึงเมาใช่มั้ยไอ้เก้า


ใจผมคิดจะถามกลับ แล้วลากมันไปหาเพื่อนในกลุ่ม ดื่มน้ำสักแก้วคงช่วยให้สร่างเมาอยู่บ้าง แต่ไอ้เก้ากลับดันพูดต่อ ด้วยประโยคแบบไม่มีที่มาที่ไปอีกครั้ง



...ประโยคที่ทำให้คิดว่า ผมเป็นฝ่ายเมาจนฟังเพี้ยนไปเสียเอง



แต่น้ำเสียงของไอ้เก้าหนักแน่นจนผมชักไม่มั่นใจ ความคิดมากมายเริ่มตีกันในสมอง หรือผมอาจแปลความหมายคลาดเคลื่อน จริง ๆ ไอ้คำพูดว่า ‘ชอบ’ ของไอ้เก้าอาจจะแปลเป็นอย่างอื่นก็ได้


“มึงหมายถึง มึงชอบภีมแบบไหน?”

“แล้วมันจะมีแบบไหน”

“แบบเพื่อนไรเงี้ย”

“แบบเพื่อนกูก็เป็นกับมันอยู่แล้ว”


คำอธิบายแฝงนัย สื่อออกมาถึงระดับความลึกซึ้งในคำว่า ‘ชอบ’ ของไอ้เก้าอย่างชัดเจน

ความจริงผมไม่ได้รังเกียจเกย์ กะเทย อาจเพราะอยู่ในคณะที่สังคมอุดมไปด้วยเรื่องพวกนี้จนชิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีอย่างอื่นที่ผมไม่เข้าใจอยู่ดี



“ถ้ามึงชอบไอ้ภีม มึงก็ไปบอกมันดิ มาบอกกูทำไมละ”


แม้พวกเราจะอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ผมสนิทกับเก้าน้อยมาก เราเรียนกันคนละเอกโท เวลาเรียนไม่เคยตรงกัน ที่มาคบกันได้ก็เนื่องจากคณะสายภาษาผู้ชายมีน้อย ไอ้ผู้ชายที่เห็น ๆ ก็ไม่ใช่ชายแท้ กว่าจะรวบรวมคัดกรองพวกที่นับว่าเป็น ‘ผู้ชาย’ จริง ๆ ในชั้นปีจึงมีอยู่ไม่ถึงยี่สิบคน
   

และผมก็เชื่อมาตลอดว่า ถ้าจะยกตัวอย่างผู้ชายที่ดูมาดแมนสมชายที่สุด ทั้งนิสัย ท่าทาง บุคลิก ก็คงเป็นไอ้เก้าเนี่ยแหละ
   
มันปากหมา ใจร้อน ไม่กลัวใครหน้าไหน ถ้ามีเรื่องกับใครมันก็พร้อมออกหน้าลุยแทน มันรู้จักกับคนเยอะแยะทั้งในและนอกคณะ ผิดกับผมที่ไม่ค่อยสนิทกับใครเท่าไร ผมชอบอยู่เงียบ ๆ มีโลกส่วนตัวของตัวเอง ยิ่งใส่แว่นประกอบกับบุคลิกเนิร์ด ๆ เหมือนเด็กเรียน ใคร ๆ ก็บอกว่าผมเป็น ‘ไอ้ติ๋ม’ ประจำกลุ่ม แถมยังจะพ้องกับชื่อเล่นตัวเองอีกต่างหาก
   

“ติณ มึงพูดเหมือนง่าย ถ้ากูบอกได้กูคงบอกไปแล้ว”


ไอ้เก้าทำสีหน้าหงุดหงิด แปลออกมาประมาณว่า มึงก็น่าจะฉลาดพอคิดได้นะ


อ้าว...ผมจะไปรู้ได้ไงวะ เห็นปกติไอ้เก้ามันมีอะไรก็พูดตรง ๆ เป็นขวานผ่าซากจะตาย ที่สำคัญไม่เคยมีใครมาขอคำปรึกษาเรื่องความรักจากผม แล้วยังเป็นความรักระหว่างเพื่อนในกลุ่มที่รู้จักกันอีก แต่ก็คงจะจริงอย่างที่มันว่า
 

...ถ้าบอกรักกับใครสักคนได้ง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่มีคำว่า ‘แอบรักข้างเดียว’



“แล้วได้บอกคนอื่นอีกมั้ย”

“ไม่ กูเพิ่งบอกมึงคนแรก”


ผมเลิกคิ้วแปลกใจ นึกว่าคนอย่างไอ้เก้าจะเที่ยวไปปรึกษาคนในกลุ่มที่ดูใช้การใช้งานได้ อย่างไอ้พอส ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิง หรือ ไอ้เอิร์ธ ที่มีแฟนรักกันยาวนานตั้งแต่มัธยม แต่ถ้อยคำเฉลยต่อมาก็ทำให้เริ่มเดาทางออก


“กูไม่อยากเก็บไว้คนเดียว กูอึดอัดว่ะ”


สงสัยวันนี้คงถึงจุดพีคของไอ้เก้า บังเอิญผมอยู่ตรงนั้นพอดีเลยเหมาะเป็นที่ระบาย แล้วเรื่องมากมายซึ่งถูกเก็บไว้ในใจ ก็ค่อย ๆ ทยอยผ่านปากมัน


“ตอนแรกกูไม่เคยคิดอะไรกับไอ้ภีมเลยนะ กูเห็นว่ามันเป็นแค่เพื่อน แต่มึงก็รู้ว่ามันเป็นคนคุยด้วยง่าย พอมีอะไรกูก็จะปรึกษามัน กูเริ่มสนิทกับมันเรื่อย ๆ  โทรหามันทุกวัน จนหลัง ๆ กูไม่รู้ว่า กูแค่อยากคุยกับมัน หรือเพราะกูขาดมันไม่ได้”


ผมนึกภาพออกทั้งหมดตามที่ไอ้เก้าเล่า


ภีม ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาที่หล่อโดดเด่นกว่าใครในกลุ่ม มันยังนิสัยดี มีมนุษย์สัมพันธ์ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ภีมเป็นเหมือนพระอาทิตย์ดวงใหญ่ดึงดูดให้คนรอบตัวเข้าหา ใครที่อยู่ใกล้กับมันคล้ายโดนออร่าให้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นผู้ชายเพอร์เฟคจนหน้าหมั่นไส้ แต่ทุกคนก็เกลียดมันไม่ลง

แล้วคนที่ไปไหนมาไหนกับภีมบ่อยสุดก็คือเก้า เป็นคู่ดูโอปาท่องโก๋ เรียนเอกโทเดียวกัน อยู่หอเดียวกัน มีภีมที่ไหนมีเก้าที่นั้น เป็นแบบนี้ตลอดสี่ปี โดยที่ภีมมันคงไม่รู้ตัวสักนิดว่า ความสนิทจากคนใกล้ ๆ ตัว วันหนึ่งจะเกินเลยกว่าคำว่า ‘เพื่อน’


“กูกลัวว่าถ้ากูบอกภีมไป มันจะไม่อยากมองหน้ากู มันจะตัดเพื่อนกับกู ...กูรับไม่ได้”
   

ผมพยักหน้าเข้าใจ เพื่อนคงเป็นสถานะที่ปลอดภัยสำหรับคนแอบรัก ไอ้เก้าจึงเลือกตัดสินใจไม่บอก เพราะถึงผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องความรัก แต่ก็รู้ว่าการถูกเกลียดจากคนที่เราชอบมันเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน ไม่งั้นจะมีข่าวคนอกหักฆ่าตัวตายบ่อย ๆ เหรอ

พอนึกถึงตรงนี้ ผมก็กลัวว่าไอ้คนข้าง ๆ จะเผลอคิดอะไรแพลง ๆ ทำนองนั้น เลยต้องรีบหาคำมาพูดปลอบ


“เฮ้ย ๆ มึงก็ลองมองโลกในแง่ดีบ้าง อย่างน้อยถ้ามึงเป็นเพื่อนไอ้ภีม ยังไงมึงก็ยังได้อยู่ใกล้ ๆ คนที่ชอบตลอดนะเว้ย”

“เหรอวะ”


ไอ้เก้าพึมพำตอบสั้น ๆ คล้ายไม่ใส่ใจ เหมือนตอนที่มันถามว่าดวงอาทิตย์ห่างจากโลกเท่าไร ดวงตาคมมองไปที่คลื่นซึ่งซัดกระทบ ผมเดาอารมณ์ในแววตามันไม่ถูก แต่ก็พยายามนึกหาเหตุผลมาปลอบใจมันอีก หากยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ กลับมีเสียงแทรกดังขัดจากด้านหลัง


“เฮ้ย! ไอ้เก้า ไอ้ติณ นั่งทำอะไรกันสองคนวะ กูหาตั้งนาน ไอ้พอสมันซื้อเหล้ามาเพิ่มแล้ว มาช่วยกันกินหน่อย คิดตังค์หารแล้วนะโว้ย!”

ภีมเป็นคนตะโกนเรียก เห็นมันถือแก้วเหล้ามาด้วย คงเป็นห่วงที่เห็นว่าเพื่อนสองคนหายไป เลยเดินมาตาม ไอ้เก้าลุกขึ้นยืนหันไปส่งเสียงตอบไปบ้าง

“เออ รู้แล้ว! เดี๋ยวกูไป อย่าแดกถั่วหมด เหลือให้กูด้วย”

“ได้ ๆ เดี๋ยวกูไปบอกไอ้ขิงก่อน เมื่อกี๊มันแกะถุงที่สองแล้ว มึงก็รีบตามมาดิ เดี๋ยวกูกั๊กให้มึงไม่ทัน ไอ้ติณ มึงด้วยนะ น้ำแข็งในแก้วมึงละลายหมดแล้ว”

ท้ายประโยคภีมหันมาพูดกับผม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับลุกขึ้นยืนตามไอ้เก้า ปัดเศษทรายออกจากกางเกง เตรียมกลับไปยังวงเหล้า แต่อยู่ ๆ ไอ้คนนำก็ชะงัก จนผมที่ตามหลังต้องเงยหน้าไปมอง แล้วก็พบสาเหตุว่าทำไมไอ้เก้าถึงหยุดเดิน


ถ้า 150 ล้านกิโลเมตร คือระยะห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์


15 ก้าว ก็คือระยะห่างจากตรงจุดที่ไอ้เก้ายืนบนหาดไปจนถึงไอ้ภีม



แต่เพียงแค่ก้าวสั้น ๆ ของผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาภีม และไอ้ภีมก็ส่งยิ้มกว้างไปให้คนคนนั้น ...คนที่ภีมเรียกว่าเป็นแฟน



...15 ก้าว ของไอ้เก้าก็คงเท่ากับ 150  ล้านกิโลเมตร ในนาทีนั้น



สิ่งที่ทำให้ระยะห่างระหว่างเก้ากับภีมเพิ่มมากขึ้น มีเพียงเหตุผลเดียว



...ภีมมีเนตร ...และภีมก็รักเนตร 


...

...


ผมคล้ายจะได้ยินเสียงพึมพำของไอ้เก้าดังแว่วมา


“เหรอวะ ไกลเนอะ”





-------------------------------------------------------------------------------------------------------


TBC



สวัสดีค่ะ เอาเรื่องสั้นมาฝาก เป็นเรื่องสั้นหลายตอนจบค่ะ แต่คิดว่าไม่น่าจะเกินสิบ
ดราม่าหรือเปล่า ไม่บอก...ต้องเดาเอาเองค่ะ ฮาาาาา
ฝากติชมได้ทุกความคิดเห็น ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ

 :กอด1:


BitterSweet


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #1 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rose_Apple ที่ 22-06-2014 21:07:31
 :sad4: รู้สึกดราม่าน้ำตาแตก  :katai1: :katai1: ลุ้นตอนหลังด้วย ไม่รู้จะยังไง อ้ากกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #1 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 22-06-2014 21:20:50
รักข้างเดียวก็น่าสงสารนะ นี่เป็นเพื่อนกันอีก เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #1 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-06-2014 22:43:18
เปิดเเว๊บมาเจอคนเขียนก็เปิดเข้ามาดูเลย

เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตากันเลยทีเดียว

รักสามเศร้าเราหลายคน

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #2 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 22-06-2014 23:22:41
2.



ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ  เป็นการดื่มที่ช้ากว่าช่วงแรกอยู่มาก หูฟังคนในกลุ่มคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะใจมัวคอยพะวงคิดเรื่องอื่นอยู่


...ก็จะไม่ให้คิดมากเลยได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งผ่านการล่วงรู้ความลับของใครบางคนมาสด ๆ ร้อน ๆ  แม้คนเล่าจะไม่ได้สั่งห้ามผมให้บอกคนอื่น แต่ผมก็พอจะเดาออกว่าขืนพูดไปตอนนี้ก็คงทำให้เรื่องมันแย่ลงกว่าเดิม อีกอย่างผมไม่ใช่คนประเภทปากสว่างอยู่แล้ว จึงทำแค่เพียงคอยสังเกตวิเคราะห์สถานการณ์เงียบ ๆ


ไอ้เก้ายังคงมีท่าทีเป็นปกติทุกอย่าง ยกเว้นแค่มันเติมเหล้าชงเข้มขึ้น และยกดื่มถี่ขึ้นเท่านั้น ทว่าภายนอกก็ยังพูดปล่อยมุกเฮฮา คุยเล่นกวนตีนสนุกสนานเหมือนเดิม จนผมคิดว่าไอ้ที่มันสารภาพรักเรื่องไอ้ภีมก่อนหน้านี้เป็นแค่คำโกหกด้วยซ้ำ

แต่หลังจากเหลือบมองมันเนียน ๆ หลายครั้ง ผมว่าไอ้เก้าคงไม่ได้โกหกหรอก

เพราะเวลาไอ้ภีมพูดทีไร สายตาของเก้าที่หันมามองจะมีบางสิ่งที่ผมอธิบายไม่ถูก คล้ายเป็นประกายความสุขเล็ก ๆ เป็นความพิเศษที่คงมีให้ไอ้ภีมคนเดียว

ยิ่งสังเกตนานขึ้นเรื่อย ๆ  ผมก็ยิ่งนับถือความอดทนของไอ้เก้า ความพยายามที่มันนิ่งเฉย ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาว่า ภีมมักจะหันไปสนใจหัวเราะสร้างโลกสีชมพูหวานกับเนตรเพียงสองคน
   

...เนตรดาว เป็นดาวคณะ รูปร่างหน้าตาระดับพริตตี้ ผิวขาวเนียน ผมยาวสีน้ำตาลดัดลอนสวย โดดเด่นตั้งแต่เป็นเฟรชชี่ เป็นที่หมายปองตั้งแต่รุ่นพี่ยันรุ่นน้อง แต่คนที่พิชิตใจเนตรดาวคือเดือนคณะวิศวะ รูปหล่อพ่อรวย หลายคนเลยพากันอกหักกันเป็นแถบ ๆ  ไอ้ภีมเป็นหนึ่งในนั้น จนโดนเอามาล้อว่าดันปล่อยให้หมาคณะอื่นคาบดอกฟ้าไปก่อนซะได้

แต่พอขึ้นปีสี่ก็มีข่าวว่าเนตรดาวเลิกกับแฟนแล้ว จึงเป็นโอกาสของไอ้ภีมอีกครั้ง และคราวนี้ใช้เวลาไม่นานภีมก็จีบเนตรสำเร็จ คบกันมาได้เกือบปี กลายมาเป็นคู่ขวัญประจำคณะ ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าดูเหมาะสมกันดี

ไอ้ภีมเลยยิ่งยิ้มหน้าบาน เห่อแฟนสุด ๆ เริ่มไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับคนในกลุ่ม เพราะมัวไปเดทอยู่กับแฟน  แต่ไม่มีใครคิดจะห้ามมัน เพื่อนทุกคนรู้ว่าไอ้ภีมเป็นผู้ชายรักจริง ลองได้รักใครแล้ว มันรักเดียวใจเดียว เทินทูนประหนึ่งเป็นแม่ มาทะเลไอ้ภีมก็หนีบแฟนมันมาด้วย และคอยดูแลไม่เคยห่าง


แม้กระทั่งตอนนี้ที่เนตรเริ่มมีท่าทีง่วง ๆ เผลอซบลงตรงไหล่ของภีม มันก็รีบวางแก้วเหล้าหันไปคุยกับแฟนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง


“เนตรง่วงแล้วเหรอครับ ไปนอนก่อนมั้ย”

“ไม่เอา เนตรยังอยากอยู่ต่อ”

“แต่นี่จะตีสองแล้วนะ เมื่อวานเนตรก็อ่านหนังสือดึกไม่ใช่เหรอ ไปนอนเถอะ เดี๋ยวภีมไปส่งที่ห้องให้”   


ภีมพูดพลางจับมือเนตรดึงให้ลุกขึ้น พฤติกรรมสุดแสนสวีทหวาน ไม่พ้นเสียงแซวจากปากหมา ๆ ของคนในวงเหล้า


“เฮ้ย ๆ อย่าจัดหนักนะเมิงง ผนังห้องมันบาง จะทำอะไรก็เบา ๆ เสียงหน่อยยย”
   

ไอ้พอสเสือผู้หญิงตัวพ่อเปิดประเดิม มีไอ้เอิร์ธลูกคู่ที่กินเหล้าจนหน้าแดงกร่ำบอกด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้


“ดัง ๆ ก็ได้โว้ยยย เดี๋ยวกูจะอัดเอาไปเปิดตอนงานแต่งเมิงงงสองคนนน ฮิ้ววว!!”


แน่นอนว่าไอ้ภีมส่งคำสรรญเสริญและนิ้วกลางมาให้เพื่อนเป็นรางวัล ส่วนเนตรหน้าขึ้นสีจาง ๆ คงเพราะความเขินที่โดนหยอกแรง

แต่สมัยนี้เรื่องพรรณอย่างนั้นถือเป็นปกติ ผู้ชายวัยยี่สิบเอ็ดปี สุขภาพดีสมบูรณ์พร้อม มาอยู่ใกล้ผู้หญิงสวย ๆ น่ารักมันก็ต้องมีอาการสปาร์กกันบ้าง แล้วทั้งเนตรและภีมก็คบเป็นแฟนอย่างเปิดเผย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่คงไม่ใช่คืนนี้อย่างที่พวกไอ้พอสมันแซว เพราะเรานอนรวมกันในบ้านเดี่ยวเกือบสิบคน


มีผู้หญิงในกลุ่มบางส่วนแยกย้ายไปนอนบ้างแล้ว ตัวผมเองก็ชักจะไม่ไหว ถึงช่วงหลังจะดื่มน้อยลง แต่เมื่อคืนผมตะลุยอ่านหนังสือสอบจนแทบสว่าง สมองเริ่มล้า ตาเริ่มปิด เลยตัดสินใจว่าไปนอนก่อน ตื่นเมื่อไรเขามาต่อ เพราะผมเชื่อว่าวงเหล้านี้มันต้องอยู่กันยันเช้า


ผมลุกขึ้นยืนแยกตัวออกมา แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องนอน ผมเดินเลยไปห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย หากทันทีที่เปิดประตูกลับพบว่ามีใครบางคนกำลังล้างหน้าอยู่


ไอ้เก้าลูบหน้าเปียก ๆ ของตัวเองซึ่งเริ่มขึ้นสีแดงหน่อย ๆ กลิ่นเหล้าจากตัวมันคลุ้งจนไม่แน่ใจว่ามันดื่มหรือมันอาบ มันปิดก๊อกด้วยท่าทางโซเซเล็กน้อย จนผมต้องถามอย่างไม่แน่ใจ


“มึงไหวเปล่า”

“อะไร เรื่องไอ้ภีมเหรอ”


คำตอบผิดวัตถุประสงค์ที่ถามไปไกล แต่ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงซดเหล้าต่างน้ำขนาดนี้


“ไม่ใช่ กูหมายถึงเรื่องที่มึงดื่มหนัก แต่ก็...เออ...เรื่องไอ้ภีมด้วย”

“หึ ไม่ไหวก็ต้องไหว”


ไอ้เก้าแค่นเสียงในลำคอ แล้วเดินหันหลังกลับไปในวงต่อ มันคงตั้งใจใช้เหล้าย้อมใจจากภาพบาดตาที่เห็นตลอดทั้งคืน 

ผมได้แต่มองตาม ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรปลอบใจ เรื่องมันพูดยาก อย่างที่ไอ้เก้าเองก็รู้ตัว ไม่ไหวก็ต้องไหว  ดื่มให้ลืมไปซะ อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสถานการณ์แบบนี้


ผมจึงปล่อยให้ไอ้เก้าทำตามใจ เพราะตัวเองก็ชักมึน ๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และความง่วง ผมเดินขึ้นเตียงว่าง ๆ ปิดตานอน แล้วโลกทั้งใบก็มืดลงอย่างรวดเร็ว


...


...


ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เพราะปวดฉี่ ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ จากไอ้เอิร์ธที่มานอนข้าง ๆ ไม่รู้ตอนไหน แต่พอมองฝ่าความมืดรอบตัว ก็ยังเห็นบางเตียงยังว่างอยู่ แสดงว่าสมรภูมิในวงเหล้ายังไม่ล้มเลิก

ผมเดินงัวเงียไปเข้าห้องน้ำเสร็จ แล้วก็เปิดประตูออกไปข้างนอก ไม่ได้ตั้งใจจะไปดื่มต่อหรอก กะไปเช็คผู้รอดชีวิต เผื่อใครมันเมาน็อคหลับไปจะได้ลากขึ้นเตียง


ฟ้ายังคงมืดอยู่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ตอนนี้ตีห้ากว่าแล้ว

ผมมองผ่านแสงไฟตรงระเบียงหน้าบ้าน ที่วงเหล้ายังมีคนนั่งอยู่สองสามคน คล้ายจะเป็นไอ้พอสนั่งตรงเก้าอี้ผ้าใบ ส่วนไอ้นิวทำท่าฟุบหลับไปกับโต๊ะ ทว่าสิ่งที่สะดุดสายตาผมกลับเป็นกลุ่มคนซึ่งอยู่เลยออกไปไม่ไกล



....ภีม เนตร และไอ้เก้า


ผมไม่รู้ว่าตัวเองเริ่มเป็นคนขี้เสือกตั้งแต่เมื่อไร อาจเป็นเพราะหลังจากความลับ ‘เพื่อนรัก รักเพื่อน’ ของไอ้เก้า ปกติคงมองผ่าน แต่ผมกลับชั่งใจเลือกจะเดินเนียน ๆ อ้อมไปด้านหลังต้นไม้ เพื่อฟังบทสนทนาของคนสามคน  และยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งได้ยินน้ำเสียงส่อเค้าถึงความไม่พอใจของไอ้เก้า


“กูชวนมึงดูพระอาทิตย์ขึ้น มึงจะไปเรียกเนตรมาทำไม”


เก้าหันไปถามภีมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เนตรด้วยท่าทางหงุดหงิด หน้าคมยังคงแดงเข้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างผิดปกติ หรือบางทีไอ้เก้าอาจไม่ได้ดื่มเหล้าย้อมใจ มันอาจจะใช้เหล้าเรียกความกล้า เพื่อบอกความในใจกับไอ้ภีมก็ได้ แล้วสร้างบรรยากาศดี ๆ ด้วยการสารภาพรักตอนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ผิดแผนเพราะมีใครบางคนอยู่ด้วย


“แล้วทำไมเนตรถึงดูไม่ได้ล่ะ”


เนตรเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย ...ไม่แปลกหรอก ถ้าการดูพระอาทิตย์เป็นเรื่องโรแมนติก ใครก็อยากอยู่ดูด้วยกันกับคนที่ตัวเองรักทั้งนั้น ซึ่งไอ้ภีมก็พูดสนับสนุนคนรักของมัน


 “นั้นดิ จะเรียนจบแล้ว เดี๋ยวกูกับเนตรก็ต้องแยกไปทำงานคนละที่ เนตรเขาจะไปสมัครเป็นแอร์ด้วย เวลาที่กูอยู่กับเนตรมันเหลือน้อยนะ”

“แล้วเวลาที่มึงอยู่กับกูไม่น้อยเหมือนกันเหรอ”

“เฮ้ย...มึงเป็นเพื่อนกูนะไอ้เก้า จะเจอกันเมื่อไรก็ได้ มีเวลาเยอะแยะ”


ภีมพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ เหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ตรงข้ามกับเก้าที่เบิกตากว้าง ตรงดิ่งไปกระชากไหล่ของคนตรงข้าม ตะโกนเสียงดังลั่น


“มึงพูดแบบนี้ได้ไงวะ!”


คำตะคอกเอะอะปลุกพวกคนเมาที่หลับให้ตื่น รวมทั้งคนในบ้านซึ่งเปิดประตูออกมาดู แต่เหมือนไอ้เก้าจะไม่สนใจอะไรแล้ว อารมณ์ที่เคยกักเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้เหมือนกำแพงสูง ตอนนี้มันกำลังค่อย ๆ พังทลายลง


“ระหว่างเนตรที่อยู่กับมึงแค่ปีเดียว กับกูที่อยู่ข้าง ๆ มึงมาสี่ปี มึงให้ความสำคัญกับกูแค่นี้ใช่มั้ยวะ!”

“มึงจะโมโหทำไมไอ้เก้า หรือมึงเมา พูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ กูว่ามึงไปนอนเหอะ”

“ไม่! กูไม่ได้เมา มึงตอบกูมา ระหว่างกูกับเนตร ใครสำคัญกว่ากัน!”

“มึงถามอะไรเนี่ย เรื่องนี้มันเอามาเปรียบเทียบได้ที่ไหน นี่มึงน้อยใจเหรอวะ”

“ไม่ได้น้อยใจหรอกภีม เก้าเขาหึงมากกว่า”


เสียงของเนตรพาให้บทสนทนาชะงัก ภีมหันมามองคนข้างตัวพลางถามงง ๆ


“หึง? พูดอะไรน่ะเนตร เรียกผิดรึเปล่า”

“ไม่ผิดหรอก เซ้นต์ของผู้หญิงมันบอก เนตรสังเกตมานานแล้ว”


เนตรที่มักมีดวงตากลมโตอ่อนหวานเสมอ แต่ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นกลับจ้องตรงดิ่งไปยังผู้ชายร่างใหญ่ตรงหน้าด้วยความเย็นชาระคนเยาะเย้ย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย


“เป็นลูกผู้ชายมีอะไรก็กล้า ๆ บอกกันตรงนี้ให้ชัด ๆ เลยสิว่าคิดยังไง เอ๊ะ...หรือว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่ผู้ชาย”


ประโยคหลอกด่าแฝงความดูถูกไว้ชัดเจน คงมีแต่ภีมที่ยังพยายามไกล่เกลี่ยเห็นว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด


“ตลกใหญ่แล้วนะเนตร ...เก้ามึงคงไม่หึงกูจริง ๆ หรอกใช่ป่ะ”


“เออ กูหึงมึง”


...ไม่ใช่แค่เฉพาะภีม แม้แต่ผม หรือเพื่อนที่ยืนดูสถานการณ์รอบข้างก็แทบหยุดหายใจกับการยอมรับ ก่อนที่ไอ้เก้าจะพรั่งพรูทุกสิ่งทุกอย่างที่เก็บไว้ในใจรุนแรงเหมือนสายน้ำหลาก


“กูหึงมึงมานานแล้ว แต่มึงแม่งไม่เคยรู้ตัว ไม่เคยแคร์กู  ไม่เคยสนใจว่ากูห่วงมึง มึงแม่งโง่! กูพยายามจะบอกมึงหลายทีแล้ว แต่มึงก็เอาแต่ย้ำว่ากูเป็นเพื่อน มึงไม่รู้เหรอว่าคำนั้นทำกูเจ็บยังไง กูไม่อยากเป็นเพื่อนมึง กูชอบมึง! เข้าใจมั้ย ไอ้เหี้ยภีม!  กูชอบมึง!!”


คำสารภาพรักถูกตะโกนดังหนักแน่น เหมือนจะย้ำความรู้สึกว่าที่ผ่านมาว่าไอ้เก้าคิดยังไง

แต่ให้ผมเดา ...มันคงไม่อยากมาพูดท่ามกลางเพื่อนในกลุ่มแบบนี้ พูดด้วยสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับ และด้วยอารมณ์ประชด เพราะหลังจากนั้นไอ้เก้าก็หันไปถามเนตรสั้น ๆ


“ชัดพอยัง”


แล้วมันก็หันหลังเดินออกจากชายหาด โดยไม่รอฟังคำตอบของเนตร หรือดูปฏิกิริยาของไอ้ภีม จนผมที่ยังพะวงต้องรีบวิ่งตามไปเรียก


“เดี๋ยว ไอ้เก้า!”


หากเจ้าของชื่อกลับไม่หยุดเดิน ไอ้เก้ายังเดินต่อจนออกไปนอกรีสอร์ท เดินต่อไปตามถนน เลาะซอยไปเรื่อย ๆ ไม่มีหยุดพัก

หัวหินฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่เริ่มมีแสงสว่างจาง ๆ ผู้คนในละแวกนั้นออกมาตั้งร้านค้าขายพวกน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ หรือโจ๊กประปราย ผมทำแค่เพียงไล่ตามหลังคนบางคนไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะไปไหน หรือควรพูดอะไรกับมันดี ปกติผมก็ไม่ใช่พวกปลอบคนเก่งอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็นึกหาคำให้กำลังใจไม่ออก กลัวว่าเผลอพูดไปจะยิ่งแย่กว่าเก่า  แต่แล้วในที่สุด ไอ้เก้าก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน


“ติณมึงไม่ต้องตามกูมาหรอก”

“กูทำไม่ได้ว่ะ”


ถึงผมไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจมัน แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือ ผมปล่อยให้มันอยู่คนเดียวไม่ได้


“เออ กูไม่เป็นไร ก็แค่...อกหัก”


คำสรุปสุดท้ายปนเสียงหัวเราะเบา ๆ ราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องตลก ที่มันกล้าพูดออกมาแบบนี้ อาจเพราะทำใจมานาน หรือรู้ผลลัพธ์ล่วงหน้ามานานมากแล้ว


“แล้วมึงจะไปไหน จะกลับหอเหรอ ท่ารถไม่ได้อยู่ทางนั้นนะ”

“กูอยากกลับรถไฟ”


พอได้ยินคำตอบ ผมถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าสถานีรถไฟหัวหินตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างหน้าไม่ไกล นี่ผมกับมันเดินห่างมาจากรีสอร์ทมากันกี่กิโลวะเนี่ย แล้วที่สำคัญ....จะนั่งรถไฟกลับเนี่ยนะ


“มึงจะมาติสต์อะไรตอนนี้ ทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีเหรอวะ”

“ก็อาจจะ หน้าตากูก็พอได้อยู่”


ไอ้เก้ายักคิ้วกวนตีน ผมรู้ว่าหน้าตามันก็พอใช้ได้ ไม่ได้หล่อโดดเด่นเหมือนไอ้ภีม แต่สาว ๆ ก็เหลียวมองมันบ่อย ผิดกับผมที่เป็นไอ้ติ๋มแว่นเนิร์ด คนอย่างไอ้เก้าคงหาหญิงได้เยอะ ถ้าไม่ติดว่ามันทุ่มเทความรักทั้งหมดให้ไอ้ภีม


“มึงกลับไปเหอะ กูไม่คิดสั้นหรอก กูอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว”   


ไอ้เก้ายืนยันอีกครั้ง หากคราวนี้น้ำเสียงและสายตาหนักแน่น ไม่ส่อแววกวนเหมือนคราวก่อน ผมลังเล แต่เข้าใจว่าสุดท้ายแล้ว คนที่เจอเรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลาทบทวนอยู่กับตัวเอง


“งั้นเดี๋ยวกูเดินไปส่ง”

“ตามใจ”


ไอ้เก้าพยักหน้าอนุญาต ก่อนจะเดินนำผมจนถึงสถานีรถไฟ ผมยืนรอมันซื้อตั๋วไปธนบุรี แล้วก็มานั่งรอรถไฟตรงชานชาลา แสงอาทิตย์ตอนเช้าเริ่มสว่างแล้ว ตอนนี้หกโมงกว่า รถไฟไทยเลทเป็นเรื่องปกติ

ระหว่างที่ไอ้เก้ามองตั๋วระบุเที่ยวรถของตัวเอง มันก็เปรยออกมาเบา ๆ


“ถ้าไอ้ภีมถามถึงกู มึงบอกว่าช่วงนี้อาจติดต่อกูไม่ได้ แต่เดี๋ยวกูจะโทรกลับไปหาเอง”

“แต่ถ้ามึงลงรถไฟแล้ว มึงต้องโทรหากูนะ”

“ไอ้ติณมึงอย่าเวอร์ เป็นแม่กูเหรอวะ กลับไปไป๊ คนอื่นคงห่วงแย่แล้ว ฝากดูไอ้ภีมด้วยมันคงช็อค”


ไอ้เก้าแกล้งพูดเหมือนมันเป็นเรื่องตลกอีกครั้ง แต่แววตากลับไม่แสดงออกมาแบบนั้น มันยังคงเป็นห่วงไอ้ภีมจนนาทีนี้ หากยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ เสียงหวูดรถไฟก็ดังเตือน  คนข้างตัวลุกขึ้นยืน เอ่ยลาสั้น ๆ

   
“กูไปนะ”



....แล้วผมก็ทำแค่เพียงยืนมองมัน เดินหายเข้าไปในขบวนรถไฟ



...


...
   



เสียงนกหวีดเป็นสัญญาณให้รถไฟออกขบวน ก่อนตามมาด้วยเสียงล้อเบียดรางเหล็ก และการโยกเบา ๆ ของโบกี้ 


ผู้โดยสารมีไม่มากเท่าไรในรถไฟขบวนชั้นธรรมดา  เก้าเลือกนั่งติดริมหน้าต่าง เหม่อดูวิวต่าง ๆ แล่นผ่าน  ทว่าชั่วขณะนั้น  เก้าอี้ว่างตรงข้ามกลับถูกจับจองโดยใครบางคน...



ผมเห็นสายตาประหลาดใจของเก้า เมื่อมันมองมาเห็นผมนั่งอยู่ตรงนี้


...ไม่ให้ประหลาดใจก็แปลกแล้ว ผมยังงงตัวเองเลยว่าอยู่ ๆ จะรีบวิ่งตาเหลือกซื้อตั๋ว แล้วพุ่งเข้าโบกี้ก่อนประตูรถไฟจะปิดจนเกือบโดนนายด่าทำไม แต่ผมก็ตอบคำถามตัวเองอย่างโง่ ๆ เหมือนที่ตอบไอ้เก้า


“กู...กูก็อยากลองเป็นพระเอกเอ็มวีนั่งรถไฟเล่นเหมือนกันว่ะ”

“มึงบ้าป่ะเนี่ย”


ไอ้เก้าสบถด่าสั้น ๆ แล้วมันก็หัวเราะ  ...เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูดีกว่าครั้งที่ผ่านมา




...ระยะทางจาก หัวหินไปธนบุรี ประมาณ 230 กิโลเมตร


อาจไม่ได้ไกลเท่าระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์



...แต่อย่างน้อย ผมว่าการเดินทางครั้งนี้ก็ควรมี ‘เพื่อน’




---------------------------------------------------------------------------------------


TBC




หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #2 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 22-06-2014 23:37:30
มันจะรักข้างเดียวเป็นทอดๆป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #2 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-06-2014 00:08:22
ติณแอบรักเก้าสินะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #2 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 23-06-2014 01:51:18
นี่มันรักข้างเดียวกี่ทอด
กี่เศร้าเนี่ยยยยย
แต่ชอบการเรียบเรียงถ่ายทอด เอาระยะห่างเข้ามาเกี่ยวข้อง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet : วงโคจรของคำว่ารัก #2 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 23-06-2014 09:11:49
 :serius2: รวมพลคนรักเขาข้างเดียวเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #2 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 23-06-2014 11:49:39
งื้ออออ ไหงมันหน่วงๆหนึบๆ แบบนี้
 :ling3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #2 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-06-2014 14:18:38
สนุกดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #2 [22/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rose_Apple ที่ 23-06-2014 22:25:37
อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเหมือนกันนะ แต่เราทำได้แค่ดูพระอาทิตย์ตกดินหลังจากอ่านตอนนี้เสร็จ 55555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 24-06-2014 20:50:09
3.




แล้วอยู่ ๆ ผมก็มาโผล่ที่ หนองปลาดุก


...ได้ยังไงวะ?


เก้าโมงเช้า ผมยืนอยู่บน 'สถานีรถไฟหนองปลาดุก' สถานีชุมทางในจังหวัดราชบุรีอย่างงง ๆ ในกระเป๋ายังมีตั๋วไปจนถึงธนบุรีได้อยู่เลย แต่ผมกลับมาต้องลงตรงกลางระหว่างทาง โดยมีไอ้คนต้นเรื่องยืนซื้อโค้กจากป้าที่ขายของด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน


ไอ้เก้าอ้างว่าหิวน้ำ แล้วมันก็ลุกขึ้นบอกว่าจะลงสถานีข้างหน้า ทำให้การนั่งรถไฟเลียนแบบพระเอกเอ็มวีเพลงอกหักจบลงแค่สามชั่วโมง


แต่ก็ดีแล้วที่ลงก่อน เพราะเมื่อคืนผมดื่มหนักไปพอสมควร แถมนอนได้แค่สองชั่วโมง แล้วต้องมานั่งรถไฟที่โยกไปโยกมา ชวนให้ขย้อนเอาของเก่าออกมาง่าย ๆ ไม่รู้ไอ้เก้าจะรู้สึกพะอืดพะอมเหมือนผมรึเปล่า รายนั้นจัดเต็มยิ่งกว่าผมซะอีก และก็ดูท่าว่าจะไม่ได้นอนเลยด้วย แต่มันก็ยังทำตัวเป็นปกติ นั่งมองวิวผ่านหน้าต่างไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หันมาพูดอะไรตลอดการเดินทาง 


ผมก็เลยได้แต่นั่งเงียบ ๆ ไม่เชิงอึดอัดใจกับสถานการณ์แบบนี้ แค่ไม่รู้วิธีจะวางตัวยังไง อย่างที่บอกว่าผมปลอบคนไม่เก่ง จะนึกเรื่องตลกมาเล่าให้มันขำก็ทำไม่เป็น  นิสัยของผมไม่ใช่คนช่างคุย ตามปกติของคนทั่วไปเพื่อนในกลุ่มจะมีอย่างน้อยสองหรือสามคนเป็นตัวเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาหลัก ๆ  ส่วนผมเป็นเหมือนเป็นตัวแบ็คกราวน์ พยักหน้าเออออบ้าง หัวเราะตามบ้าง  ส่วนคนที่เป็นตัวนำของกลุ่มจริง ๆ ก็คือ ไอ้เก้า เนี่ยแหละ ดังนั้น ถ้ามันไม่พูด ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง  คิดซะว่าเดี๋ยวถ้าไอ้เก้าอยากระบายก็คงบอกออกมาเอง


แล้วมันก็เริ่มระบายประโยคแรก หลังจากที่เดินกลับมาหาผม


“หิวว่ะ ไปหาไรกินกัน”


ไอ้เก้าพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เหมือนตอนเลิกคลาส แล้วชวนผมไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร ไม่มีวี่แววของอาการอมทุกข์ใด ๆ  แล้วมันก็เดินนำหน้าผมไปอีกครั้ง ปล่อยให้ผมก้าวตามต้อย ๆ ด้วยท่าทางที่ยังมึนไม่หาย โชคดีที่เจอร้านข้าวมันไก่เปิดอยู่ไม่ไกล ผมสั่งไปจาน ส่วนไอ้เก้าสั่งไปสอง แถมยังเป็นแบบพิเศษอีกต่างหาก


ผมเคยได้ยินมาว่าคนอกหักมักจะช้ำใจจนกินอะไรไม่ค่อยลง แต่ทฤษฏีนี้คงถูกไอ้เก้าล้มล้างไปเรียบร้อย ดูมันเจริญอาหารดี มีการหยิบหนังสือพิมพ์ที่ร้านวางบนโต๊ะมาเปิดอ่านข่าวกีฬา บ่นงึมงำว่าเชลซีแพ้ประตูไปสองลูก  นี่ถ้ามันบอกว่าเดี๋ยวจะขี่มอเตอร์ไซต์ไปคืนหนังสือการ์ตูนที่เช่าไว้ ผมคงลืมไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน  เพราะคล้ายกับไอ้ความเจ็บช้ำทั้งหมดของไอ้เก้า จะถูกปล่อยทิ้งลงข้างทางระหว่างการนั่งรถไฟซะเกลี้ยงไม่มีเหลือ จนผมอดไม่ได้ที่จะถาม หลังเดินออกมาจากกร้านขายข้าวมันไก่ 


“จะกลับหอเลยมั้ย”

“ไม่ว่ะ กูอยากนั่งรถไฟต่อ”


...นี่มึงจะติดใจอยากนั่งรถไฟอะไรขนาดนั้น แล้วรถไฟไทยก็ช้าเป็นเต่าคลาน ถ้ามันบอกว่าอยากนั่งรถไฟไปจนถึงเชียงใหม่ ผมไม่ต้องนั่งทนนั่งโยกเหยกไปมาอีกสิบห้าชั่วโมงเหรอวะ


“งั้นมึงจะไปไหน จะไปธนบุรีต่อมั้ย”


ผมรีบดักคอ อ้างจุดหมายแรกที่ซื้อตั๋วไว้แล้วแต่ไปไม่ถึง หากไอ้เก้ากลับส่ายหัวปฏิเสธ


“ไม่ไปแล้ว กูอยากเที่ยวแถวนี้”


มันพูดสรุปง่าย ๆ แล้วเดินนำผมไปดูป้ายตารางสถานีรถไฟ   ทำตัวเหมือนตั้งใจจะไปเที่ยวจริง ๆ เพราะมันชี้ชื่อสถานีหนึ่งในตาราง แล้วพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น


“เฮ้ย มีสถานีชื่อน้ำตกด้วยวะ ไปกันป่ะ”


ยังไม่ทันจะตอบ คนชวนก็ตะโกนร้องด้วยความตกใจ   


“ฉิบหายรถออกเก้าโมงสิบหก!”


ไอ้เก้ารีบลากผมที่ยังยืนงง ๆ พุ่งไปช่องซื้อตั๋ว ผมเหลือบมองนาฬิกาเห็นเข็มชี้ไปเวลาเก้าโมงยี่สิบห้าแล้ว เลทไปเกือบสิบนาทีรีบให้ตายคงไม่ทัน แต่เหมือนสวรรค์จะเข้าข้าง อะไรก็เกิดขึ้นได้กับรถไฟไทย ขบวนรถไปสถานีน้ำตกเพิ่งจอดเข้าเทียบชานชาลาพอดี

ผมกับไอ้เก้ารีบกระโจนเข้าโบกี้ ทันนายท่าเป่านกหวีดปิดประตู เป็นอีกครั้งที่ผมต้องวิ่งขึ้นรถไฟฉิวเฉียด ทำเอาหายใจหายคอแทบไม่ทัน  แต่เหมือนคนต้นเรื่องจะไม่ได้เดือดร้อนเท่าไร มันยังยิ้มร่าเห็นเป็นเรื่องสนุก

ไอ้ความใจร้อนตัดสินใจเอาเองปุ๊บปั๊บ เป็นนิสัยปกติของคนอย่างไอ้เก้า ตรงข้ามกับผมที่กว่าจะตัดสินใจอะไรได้แต่ละทีก็ต้องคิดทบทวนซ้ำไปมา คงมีเรื่องเดียวที่ผมตัดสินใจเร็ว คือการที่ดันตามไอ้เก้ามาด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิด แต่ไหน ๆ ผมรับปากแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อน ก็มีหน้าที่ตามมันไปจนสุดทางนั่นแหละ


“มึงไปหาที่นั่งก่อน เดี๋ยวกูมา”
   
“อ้าว...แล้วมึงจะไปไหน”


คนถูกถามไม่ตอบ เพียงแค่ดันผมให้เดินไปข้างหน้า ส่วนตัวเองก็ผลุบหายไปยังโบกี้ด้านหลัง  กลายเป็นว่าผมถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว


...เฮ้ย! แล้วแบบนี้ผมจะตามมันมาทำไมวะ! แต่คิดอีกแง่รถไฟมันก็วิ่งบนราง ไอ้เก้ามันคงไม่มีทางหนีไปที่อื่นหรอก เพราะถ้าหนีจริง ๆ คงปล่อยให้ผมอยู่ที่ชานชาลาหนองปลาดุกคนเดียวแล้ว


ผมเลยเปลี่ยนใจ เดินหาที่นั่งตามคำสั่ง รถไฟขบวนนี้ต้นสายมาจากธนบุรี มีคนโดยสารอยู่ค่อนข้างมาก ทว่าท้ายที่สุดผมก็หาที่นั่งว่าง ๆ เจอเกือบสุดขบวน

ระหว่างนั้น ผมรู้สึกถึงแรงสั่นเบา ๆ จากโทรศัพท์มือในกระเป๋ากางเกง ผมล้วงหยิบมันขึ้นมา หากพอเห็นรายชื่อคนโทรเข้าแล้วก็แทบจะสะดุดหายใจ


...ภีม


ผมรู้ว่าที่ไอ้ภีมโทรเข้ามาคงต้องการเคลียร์กับไอ้เก้า ก็ดันเล่นทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้แล้วหายไปจากรีสอร์ท ภีมคงพยายามติดต่อไอ้เก้าแล้ว แต่ให้เดา ผมว่ามันคงปิดเครื่อง เพราะเก้าเคยฝากให้ผมไปบอกภีมว่าอาจติดต่อไม่ได้สักพัก ไม่แปลกถ้าทุกคนจะเป็นห่วงเลยโทรเข้าเครื่องผมแทน


ผมกำลังจะกดรับรายงานว่าไอ้เก้ายังโอเคอยู่ ทว่ากลับมีมือปริศนาดึงโนเกียรุ่นเจ้าคุณปู่ของผมไปแทน เป็นไอ้เก้าที่จัดการกดตัดสาย พิมพ์ข้อความบางอย่าง ก่อนจะส่งคืนมาด้วยสภาพหน้าจอที่ดับสนิท พร้อมคำสั่ง


“มึงอย่าเปิดเครื่องจนกว่ามึงจะกลับถึงห้องนะ”


เฮ้ย...ได้ไงวะ มาลิดรอนสิทธิ์กันแบบนี้ ผมมีภารกิจที่ต้องคุยกับแม่เป็นประจำทุกวันตามประสาลูกกตัญญูที่ดีนะโว้ย!


“ปิดไม่ได้ กูต้องใช้โทรคุยกับแม่”

“เออน่า...ถือว่ากูขอ”


น้ำเสียงเบา ๆ แฝงความขอร้องแบบที่ไม่เคยได้ยินทำเอาผมชะงัก ผมมองคู่สนทนาอย่างชั่งใจ ในที่สุดก็เก็บมือถือของตัวเองลงกระเป๋ากางเกง  พออีกฝ่ายเห็นผมยอมทำตามก็ทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยื่นของบางอย่างมาให้


“เอามั้ยมึง”


ถุงข้าวเหนียวหมูปิ้งร้อน ๆ ถูกส่งมาตรงหน้า  ที่แท้มันไปหายไปซื้อของกินมาเพิ่มนี่เอง ไม่รู้ตายอดตายยากมาจากไหน เมื่อกี๊ก็ซัดข้าวไปสองจาน หรือมันจะเป็นคนประเภทกินเพื่อลืมวะ


ผมเลยหยิบหมูปิ้งมากินบ้าง ส่วนไอ้เก้าดึงถุงข้าวเหนียวกลับไปกินต่อ พลางมองวิวนอกหน้าต่างรถไฟสบายอารมณ์เพลิน ๆ


...ผมเข้าใจว่า ตอนนี้ไอ้เก้ามันคงไม่อยากติดต่อใครทั้งนั้น เลยตัดทุกช่องทางการสื่อสาร โดยเฉพาะทางที่เชื่อมโยงไปหาไอ้ภีม


หรือบางทีผมอาจจะคิดผิดไปเอง ท่าทางที่เห็นว่าไอ้เก้าทำตัวเป็นปกติทุกอย่าง



...ความจริงมันแค่กำลัง ‘พยายาม’ เท่านั้น


...


...



“ไอ้ติณ มึงชะโงกหน้าออกมาดูดิ โคตรหวาดเสียวเลยว่ะ!”


...หรือผมอาจจะคิดผิดไปเองอีกรอบ เพราะจากสภาพของไอ้เก้าตอนนี้ดูมันจะสนุกสนานตื่นเต้นออกมาจากใจจริง ๆ


ลองนึกภาพผู้ชายตัวโต ๆ หน้าโคตรโฉด แต่กำลังทำตัวเหมือนเด็กประถมเที่ยวทัศนศึกษา ชะโงกหน้าดูทางรถไฟที่แล่นผ่านสะพานเก่า ๆ เลียบเขาสูงไม่มีราวกั้น คล้ายขบวนรถไฟสามารถตกลงแม่น้ำได้ทุกเมื่อ แถมชี้นู้นชี้นี้ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ทำเอาผมเผลอถอนหายใจ ทำหน้าที่อธิบายเป็นไกด์ทัวร์


“เขาเรียกว่า ทางรถไฟสายมรณะ สร้างไว้ตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์ผ่านไปประเทศพม่า ญี่ปุ่นเกณฑ์เชลยจากทหารฝั่งอังกฤษ อเมริกาให้มาช่วยสร้าง แต่เพราะทางรถไฟสายนี้มันสร้างลำบาก แถมยังเร่งงานอีกต่างหาก เลยมีคนเจ็บป่วย ขาดแคลนอาหารบ้าง เป็นโรคไข้ป่าบ้าง ตายกันเยอะ เลยเรียกกันว่าทางรถไฟสายมรณะ”


“โห...มึงรู้เยอะวะ สมกับที่มึงเป็นไอ้ติ๋มประจำกลุ่มเลย”


ประโยคแรกคำชม แต่ประโยคหลังเหมือนมันแอบหลอกด่าผมกลาย ๆ จนต้องรีบเถียง


“กูไม่ได้ติ๋มโว้ย! เมื่อไรแม่งจะเลิกเหมารวมว่าพวกใส่แว่นเป็นพวกติ๋มกันหมดวะ กูแค่สายตาสั้น”

“มึงสั้นเท่าไร”

“แปดร้อย”

“ถอดแว่นแล้วมองเห็นป่ะ”

“เห็นดิ กูไม่ได้ตาบอด”

“งั้นถอดมาให้กูลองใส่หน่อย”

“ไม่เอา”

“แป๊บเดียวเดี๋ยวกูคืนให้ ...นะๆ ”


ไอ้เก้าส่งเสียงอ้อนเหมือนเด็กโข่งอยากได้ของเล่น ถ้ามันลงไปดิ้นบนพื้นโบกี้ได้คงลงไปดิ้นแล้ว ผมมองมันด้วยสายตาละเหี่ยใจ ก่อนจะถอดแว่นกรอบดำส่งให้คนตื๊อที่รีบหยิบไปสวม


“เหมาะป่ะ”


มันเก๊กหน้าตากวนตีนถาม ผมเลยแกล้งตอบกลับทันควันทั้ง ๆ ที่มองเห็นอีกฝ่ายแค่เพียงลาง ๆ 


“เหมือนคนโรคจิตหื่น ๆ”

“ไอ้ห่าติณว่ากูซะเสีย กูออกจะหล่อขนาดนี้”


คนฟังสบถด่า ซ้ำยังชมตัวเองด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหยุดการกระทำ คล้ายเพิ่งมองเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าที่ไร้แว่นของผม


“มึงมีขี้แมลงวันใต้ตาด้วยเหรอวะ”


สงสัยเลนส์สายตาคงกลายเป็นแว่นขยายให้ไอ้เก้าไปแล้ว มันถึงเริ่มทำการสำรวจหน้าผมเหมือนเป็นธรณีวิทยาศึกษา


“มีมั้ง ไม่ได้สังเกตว่ะ เอาคืนมาได้แล้ว”


ผมตอบปัด พยายามยื่นมือไปขอเอาคืน ซึ่งคราวนี้เด็กโข่งว่าง่าย ส่งแว่นมาให้โดยไม่งอแง  โลกของผมจึงกลับมาชัดอีกครั้ง แต่คนสงสัยก็ยังคงไม่หยุดถามต่อ


“มึงไม่คิดจะใส่คอนแทคเลนส์บ้างอ่ะ”

“กูไม่ชอบเอาอะไรแหย่เข้าตา”
   

ผมเคยพยายามลองใส่คอนแทคเลนส์หลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้ผล พอจะเอาเลนส์ใกล้ตาทีไรเป็นต้องเผลอหลับตาอยู่เรื่อย แถมยังรู้สึกเคือง ๆ แสบซะจนล้มเลิกความตั้งใจ แต่บางทีถ้าผมลองเปลี่ยนไปใส่คอนแทคเลนส์บ้าง คนคงเลิกเรียกกว่า ‘ไอ้ติ๋ม’ สักที  หากคำต่อมาของคนฝั่งตรงข้ามกลับทำให้ผมชะงัก


“เออ ไม่ต้องใส่คอนแทคหรอก กูว่าใส่แว่นก็เหมาะกับมึงดี”


...ไม่มีน้ำเสียงส่อแววประชดหรือหลอกด่า เป็นคำชมจริง ๆ ที่มาจากปากไอ้เก้า


ผมเงยหน้ามองมันที่หันกลับไปสนใจดูวิวนอกหน้าต่างเงียบ ๆ  ผิดกับเมื่อกี๊ที่มันทำท่าระรื่นสนุกสนาน ถึงผมจะยังงงกับท่าทางซึ่งเปลี่ยนไป แต่ไม่คิดจะซักไซร์อะไรต่อ เดาเอาว่ามันคงเหนื่อยจะตื่นเต้นแล้ว  หลังจากนั้นเราก็ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เพิ่มเติมระหว่างกัน ทว่าใช้เวลาเพียงไม่นาน รถไฟก็จอดเทียบสถานีปลายทาง



ผมเดินลงจากรถพร้อมกับคนมากมาย ทุกคนต่างมีเป้าหมายแยกย้ายกันไป ยกเว้นผมที่ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไง


“แล้วมึงจะไปไหนต่อ”


ผมหันไปถามไอ้เก้า ซึ่งเลิกคิ้วเหมือนผมพูดอะไรประหลาดออกมา แล้วเลือกตอบง่าย ๆ


“มาถึงน้ำตกก็ต้องเล่นน้ำตกดิวะ”


จบคำ มันก็เดินนำผมไปยังทางขึ้นน้ำตกไทรโยคน้อย กลมกลืนไปกับนักท่องเที่ยวรอบด้าน จนผมเกือบลืมวัตถุประสงค์ที่มา



...สาบานว่านี่มึงอกหักจริง ๆ เหรอวะ ไอ้เก้า?




--------------------------------------------------------------------------------------------



TBC


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-06-2014 21:07:39
จะเป็นทริปของคนอกหักหรือทริปออกเดทกันแน่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 24-06-2014 21:16:29
แผลคงสมานเร็ว เพราะได้ยาแบบน้องติณ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 24-06-2014 21:18:14
คนอกหักมาออกเดท อาการคงหายแล้วแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 24-06-2014 21:37:00
ไม่ใช่ว่าเป็นแผนพาติณมาออกเดทนะ อิอิ


#อย่ามนงอย่ามโน555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 24-06-2014 21:38:19
 แค่เห็นชื่อคนเขียนก็เข้ามาอ่านล่ะ
สนุกดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 24-06-2014 21:58:15
เป็นทริปของคนแอบรักหรือเปล่า
ติณจะมีโอกาสได้บอกรักมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 24-06-2014 22:01:17
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 24-06-2014 22:32:18
ถ้าตัดสองตอนแรกออกไป คงนึกว่ามาออกเดท
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rose_Apple ที่ 24-06-2014 22:53:33
ชอบบบบบ ติณน่ารักใช่ไหมเลยให้ใส่แว่นกลับคืนน่ะ!! ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความงามบนใบหน้าล่ะสิ!!  :katai3: :katai3: รอตอนต่อไปชิดขอบโทรศัพท์เลยค่ะ ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 25-06-2014 00:21:56
 :mc4:  ต้อนรับเรื่องใหม่ค่ะ สนุกเหมือนเดิมเลย ได้ฟิลลิ่งมากๆ

ชักอยากนั่งรถไฟไปเที่ยวด้วย  o13

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 25-06-2014 02:13:41
ระยะห่างระหว่างเก้ากับภีมอาจจะไกลขึ้น
แต่ระยะห่างระหว่างเก้ากับติณมันสั้นลงนะ
หวังว่ากลับจากทริปนี้ ระยะห่างระหว่างคนอกหัก กับคนแอบรัก? จะใกล้กันมากกว่าเดิม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-06-2014 12:57:50
เค้าว่ากันว่า คนอกหักมักจะตกหลุมรักง่าย  ระวังนะติณ ระวังตกหลุมรัก  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 25-06-2014 14:09:08
พระอาทิตย์มันไกลไป ลองมองพระจันทร์ที่หมุนวนอยู่รอบๆ ดีมั้ยน้องเก้า >.<

ปล. คิดถึงมอ
ปล.2 นั่งรถไฟไปกาญกันเถอะ!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: tiamo1717 ที่ 25-06-2014 21:38:04
ชอบเรื่องแบบนี้จังค่ะ มันละมุนดี

ว่าแต่เก้านี่แกอกหักจริงๆ เหรอ =_= ดี๊ด๊ามากอ่ะ

เป็นเราเป็นติรเราก็งงนะ ฮ่าๆๆๆๆ

แต่ชอบผู้ชายแแบบนี้นะ ขอให้รักกันๆๆๆๆๆ

มาต่อเร็วๆ นะคะ รออยู่ค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Lonely Planet #3 [24/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Linea-Lucifer ที่ 26-06-2014 21:32:31
เรื่องนี้น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 27-06-2014 11:46:58
4.




ผมเคยได้ยินมาว่า คนมาทะเล ...ไม่หนีร้อน ก็หนีรัก


แต่คนที่มาน้ำตกอย่างไอ้เก้า ...ผมไม่รู้ว่ามันกำลังหนีอะไร?



น้ำตกไทรโยคน้อย เล็กน้อยสมชื่อ  เพราะธารน้ำที่ไหลมาตามหน้าผาหินปูน มีความสูงเพียง 15 เมตร หากปริมาณความชุ่มฉ่ำเย็นสบาย และร่มเงาของต้นไม้นานาชนิดซึ่งขึ้นโดยรอบ ก็ทำให้บรรยากาศของน้ำตกไทรโยคน้อย น่าเที่ยวไม่น้อยกว่าชื่อเลย


...นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ให้เก้าเร่งเดินนำหน้าผม ...เปล่าครับไม่ได้ไปทางน้ำตก นู้น...มันเดินไปต่อคิวอยู่ตรงร้านรถเข็นขายโรตี


ตกลงว่านี่คือทัวร์ตะลุยชิมของไอ้เก้าใช่มั้ยวะ เพราะตั้งแต่ผมอยู่กับมัน ก็เห็นคนตัวโตซื้อของกินตลอดทางเหมือนแม่ช้อยนางรำเข้าสิงร่าง แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากต้องคอยตาม ซึ่งนักชิมก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจหันมาถาม


“กูสั่งใส่ไข่ไปสองนะ ธรรมดาหนึ่ง มึงกินน้ำตาลได้มั้ยวะ”

“กูไม่ชอบหวานมาก”

“งั้นใส่แค่นมข้นอย่างเดียวนะครับลุง”   ไอ้เก้าสั่งกับลุงคนขาย แล้วเอ่ยสั่งผมอีกที

“มึงรอนี่นะ เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อน... เฮ้ย! ไส้อั่วก็น่ากินวะ”


น้ำเสียงสนใจดังในท้ายประโยค เมื่อไอ้เก้าเหลือบไปเห็นแผงขายไส้อั่วใกล้ ๆ ซึ่งมันก็ไม่รอช้า รีบพุ่งไปจัดไส้อั่วมาหนึ่งกล่อง โดยไม่ได้คิดถึงความเข้ากันของโรตีที่จะเอามากินคู่แม้แต่น้อย

ผมเหนื่อยใจจนเลิกจะคิดตามตรรกะของไอ้เก้าแล้ว

ตอนอยู่ในกลุ่ม... ผมมองว่าไอ้เก้าเป็นคนที่พึ่งพาได้ ถึงมันจะกวนตีนไปบ้าง ใจร้อนบ้าง แต่ก็ดูมีภาวะความเป็นผู้นำ น่าจะมีความคิดอ่าน หรือหลักการเป็นผู้ใหญ่ เวลามีปัญหาเกิดขึ้น ใครหลายคนก็มักจะมาขอให้ไอ้เก้าช่วย ประหนึ่งมันเป็นฮีโร่ซุปเปอร์แมนประจำกลุ่ม

แต่พอผมได้อยู่กับมันตลอดทั้งวันนี้ ภาพลักษณ์ฮีโร่ก็ค่อย ๆ จางหายกลายเป็นผู้ชายธรรมดา ๆ ซ้ำยังมีความคิดและการกระทำบางมุมโคตรประหลาด แบบที่ผมไม่เคยนึกว่าไอ้เก้าจะเป็น หรือความจริงนิสัยมันอาจจะเป็นแบบนี้อยู่ก่อนแล้วก็ได้

...เพียงแค่ว่าผมอาจไม่สนิทกับเก้ามากพอที่จะรู้


กลิ่นหอม ๆ ของโรตีเรียกสติผมอีกครั้ง ทั้งยังเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้เริ่มร้องเบา ๆ ...จะว่าไป ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ไม่แปลกถ้าไอ้เก้าจะหิว นอกจากไส้อั่วและโรตี จึงมีลูกชิ้นปลานึ่ง ไส้กรอกทอด ขนมเบื้อง อะไรอีกสารพัดถูกแวะซื้อเป็นมื้อเที่ยงหอบหิ้วจนเต็มสองมือ


บริเวณน้ำตกไทรโยคน้อยมีโขดหินและที่นั่งว่าง ๆ ให้ผู้คนปูเสื่อพักผ่อนกินข้าวเคล้าบรรยากาศ แถมยังมีฝรั่งใส่บิกินี่นอนอาบแดดให้ชมเป็นอาหารตากลุ่มใหญ่ อาจเพราะวันนี้ไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์ เลยไม่ค่อยพบนักท่องเที่ยวไทยมากเท่าไร

ผมกับไอ้เก้าหาที่นั่งใกล้ ๆ น้ำตกแบบเร่งรัด ด้วยการถอดรองเท้าแตะรองพื้นแล้วค่อยนั่งทับ ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการซัดทุกสิ่งที่ซื้อมาลงท้อง ไม่รู้ด้วยบรรยากาศสบาย ๆ ของสถานที่รอบกายด้วยรึเปล่า ถึงทำให้ของกินซึ่งดูไม่น่าเข้ากันตอนแรก กลับอร่อยมากขึ้นจนใช้เวลาไม่นานก็เหลือเพียงเศษซากอารยธรรมของถุงเปล่าและกล่องโฟม


ไอ้เก้าใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวก ๆ หลังจากกระดกน้ำไปหมดขวดปิดท้าย แล้วถึงลุกขึ้นยืนพูดชวน


“ไอ้ติณ ลงไปเล่นน้ำกัน”

“ไม่เอา กูไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน”


ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นอยู่ชุดเดียว เพราะคิดว่าไปหัวหินวันเดียวก็กลับแล้ว แค่ตั้งใจไปเมากับเพื่อน ไม่เห็นจำเป็นต้องพิถีพิถันแต่งตัวอะไรมากมาย แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าอยู่ ๆ ทริปนี้ดันขยายกลายเป็นสองวัน ซ้ำยังมาโผล่อยู่ที่น้ำตกด้วย 

ไอ้เก้าเองก็มาตัวเปล่าไร้สัมภาระเหมือนกัน หากมันกลับหาวิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ


“เดี๋ยวค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้ ถือโอกาสอาบน้ำไปด้วยเลยไง เนี่ยกูยังไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มึงไปซื้อสบู่ให้กูหน่อยดิ”

“เชี่ยเก้า สถุลแล้วมึง!”


ผมสบถด่าให้กับความหน้าด้านสุดอุบาทว์ของมัน แต่ไอ้เก้ากลับหัวเราะขำ วางกระเป๋าตังค์กับไอโฟนไว้บนพื้น แล้วเดินลงไปหย่อนตัวลงให้น้ำถึงระดับคอ ก่อนจะหันมาตะโกนเรียก


“ติณ! มึงลงมาดิ น้ำกำลังเย็น โคตรสบายอ่ะ”


พูดจบไอ้เก้าก็โชว์สเต็ปว่ายไปมาด้วยท่าทางสบายจริงอย่างปากว่า แล้วยังขยับไปทางบริเวณน้ำตกให้สายน้ำกระทบใส่ร่าง แถมยังมีแก่ใจยืนพนมมือแกล้งทำตัวบำเพ็ญเพียรเหมือนในการ์ตูน ก่อนจะลืมตาเหมือนบรรลุพลังขั้นสุดยอด กางมือปล่อยคลื่นพลังซัดจนน้ำกระจาย เล่นเอาผมที่มองอยู่หลุดหัวเราะก๊าก

พอเห็นไอ้เก้าสนุกแบบนั้น ผมก็ชักอยากลองเล่นดูบ้าง แต่ไม่ได้ลงไปแช่ทั้งตัวหรอก เดินลุยให้น้ำพอถึงแค่น่อง เท่านี้สำหรับผมก็ถือว่าได้ฟีลเล่นน้ำตกแล้ว ทว่าสำหรับไอ้เก้าคงไม่หนำใจเท่าไร มันเลยเดินกลับมาหา พร้อมกับพยายามลากแขนผมลงน้ำให้ได้


“มึงอย่ามาทำป็อดดิวะไอ้ติ๋ม”

“กูไม่ได้ติ๋มโว้ย! แล้วกูก็ไม่ได้ป็อดด้วย กูไม่อยากเปียก!”


ผมรีบอ้าปากเถียงสรรพนามที่มันสรรญเสริญมาให้ พยายามขืนตัวยื้อยุดแขนตัวเองเหมือนนางเอกไม่ยอมให้พระเอกฉุดไปทำเมีย


“ถ้าไม่อยากให้กูเรียกติ๋มก็ลงมา”

“ไอ้เก้าอย่าดึงกู! ...เฮ้ย ๆ  เดี๋ยว ๆ มึงนั่นอะไรวะ”


ผมรีบชี้ให้อีกฝ่ายหันไปมอง เมื่อสังเกตเห็นวัตถุบางอย่างคล้ายซองสี่เหลี่ยมสีเงินเล็ก ๆ ลอยเอื่อยในน้ำใกล้จุดที่ผมยืนอยู่ ไอ้เก้าขมวดคิ้ว ใช้มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบวัตถุนั้น ก่อนที่ทั้งผมและมันจะเบิกตากว้างกับซองซึ่งมีรอยถูกฉีกใช้ ตัวอักษรยี่ห้อเด่นหราเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘DULEX’ 


“สัส!”


ไอ้เก้าสะบัดซองถุงยางอนามัยเปล่าลงน้ำ แล้วเปลี่ยนทิศทางรีบลากผมขึ้นฝั่งทันที ยอมรับว่าผมตกใจระคนสยอง ไม่รู้ว่าเจ้าของซองเป็นใคร หรือได้ใช้ประสบการณ์แอดแวนเจอร์ที่น้ำตกจริง ๆ มั้ย  แต่สีหน้ากระอักกระอวนของไอ้เก้า ก็เปลี่ยนให้ผมอดพูดแซวไม่ได้


“อ้าว ไม่ไปเล่นน้ำตกต่อแล้วเหรอมึง”

“โห มึงยังจะมาถามอีก ขืนกูแช่นาน ๆ เดี๋ยวผิวกูดี แม่งน้ำผสมวิตามินมาเพียบเลย”


ไอ้เก้าบ่นหงุดหงิด ตรงข้ามกับผมที่หัวเราะจนท้องแข็ง แต่สุดท้ายมันก็หลุดหัวเราะออกมากับเรื่องบ้า ๆ นี้เหมือนกัน


หลังจากนั้น ผมกับไอ้เก้าจึงเดินไปหาซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนแทนชุดที่เปียกไปด้วยน้ำ(ผสมวิตามิน)   ซึ่งตามร้านค้าใกล้ ๆ ก็มีเสื้อกางเกงขายไว้สำหรับพวกเล่นน้ำตกอยู่แล้ว ผมจึงถือโอกาสซื้อเสื้อยืดสีดำเรียบ ๆ มาเพิ่มอีกตัว กางเกงขาสั้นขานอกใส่ตัวเก่าได้ไม่เป็นไร ส่วนบ็อกเซอร์ข้างในก็ต้องซื้อเปลี่ยน ผมไม่ได้เป็นคนรักสะอาดจัด แต่ก็ไม่อยากให้ตัวเองเน่าจนเกินรับไหว


ไอ้เก้าเลือกเสื้อยืดสีขาวลายตัวการ์ตูนคิกขุสกรีน ‘I Love Saiyok’  ไม่ได้เข้ากับหน้าตาโฉด ๆ ของมันสักนิด แล้วยังซื้อสบู่ยาสระผมเข้าไปอาบน้ำ ก่อนออกมาหอมฟุ้งด้วยมาดใหม่กันทั้งสองคน


“จะเอายังไงต่อ”


ผมถามถึงจุดหมายถัดไปอย่างคนไม่รู้ทิศทาง 


“นั่งรถไฟต่อมั้ง แล้วค่อยไปสุ่มเลือกสถานีที่จะลงเอา”


เป็นการกำหนดแผนแบบไร้อนาคตมาก ถ้าเกิดมันเดาสุ่มไปที่ไกล ๆ ขึ้นมาผมจะทำยังไง ที่สำคัญคือ ตอนนี้ตังค์ผมไม่ค่อยเหลือเท่าไรแล้ว ถึงไอ้เก้าจะเลี้ยงขนมของกินให้บ้าง แต่สุดท้ายผมก็ไม่แน่ใจว่าจะตามมันแบบเรื่อยเปื่อยได้อีกนานแค่ไหน 


ไอ้เก้าก็คล้ายจะรู้ถึงความลังเลของผม มันจึงเสนอทางเลือกให้


“มึงจะกลับก่อนก็ได้นะ กูบอกแล้วว่ากูอยู่คนเดียวได้ เห็นมั้ยกูเป็นไรสักทีไหน”


ผมมองคนข้างตัวซึ่งยิ้มด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูไม่มีอาการตรอมใจแบบคนอกหักให้เห็นสักนิด

...ก็จริง ไอ้เก้าทำตัวเป็นปกติดี ออกจะลันล๊าเกินเหตุด้วยซ้ำ  แต่ลึก ๆ ผมก็ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกว่า มันฝืนพยายามทำตัวให้ดูโอเค เพื่อให้ผมไม่ต้องเป็นห่วงรึเปล่า แทนที่มันจะได้ระบาย เลยกลับต้องแกล้งเก็บกดความเศร้าเอาไว้


...หรือผมควรจะปล่อยให้เก้าอยู่คนเดียวเสียที?


ระหว่างที่ความคิดของผมกำลังตีกันอย่างสับสน อยู่ ๆ ไอ้เก้ากลับส่งเสียงเรียกให้ผมต้องเงยหน้ามอง


“เฮ้ย! ฝรั่งคนนั้นทำเป๋าตังค์ตกวะ”


ผมไม่ทันเห็นเหตุการณ์ หากคนพูดกลับรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าตังค์สีดำบนพื้น แล้วตะโกนเรียกตามหลังเจ้าของซึ่งเป็นหนุ่มฝรั่งร่างสูงผมทอง


“เฮ้! ยู ยู forget this!”


คนถูกเรียกหันกลับมา พอเห็นของซึ่งยื่นส่งมาให้ก็ทำท่าตกใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างรีบรับกระเป๋าตังค์พร้อมจับมือไอ้เก้าเขย่า


“Oh! Thank You. This wallet is important to me. Thank you so much!”

“Never mind”


ไอ้เก้าพูดตอบตามประสาคนไทยน้ำใจงาม  แต่คู่สนทนากลับมีท่าทางงง ๆ จนผมที่ยืนฟังอยู่ต้องเขามาเสริม


“He means You’re welcome.”


ฝรั่งคนนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจ คราวนี้ไอ้เก้ากลับเป็นฝ่ายงงแทน ผมเลยต้องทำหน้าที่เป็นครูอธิบาย


“ถ้าเขาขอบคุณมา แล้วมึงจะบอกเขาว่า ไม่เป็นไร ต้องใช้ You’re welcome หรือ My Pleasure แต่ถ้าในสถานการณ์ที่มึงพยายามอธิบายอะไรสักอย่าง แล้วคนอื่นไม่เข้าใจ จนขี้เกียจจะอธิบายแล้ว  ตอนนั้นถึงค่อยใช้ Never Mind ประมาณว่า ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ”


อย่าแปลกใจถ้าคนเรียนคณะสายภาษาจะใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่องเหมือนไอ้เก้า เพราะคณะเรามีแยกออกไปหลายเอก บางเอกก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย อย่างผมเรียนเอกภูมิศาสตร์ เก้าเรียนเอกสังคมศาสตร์ จึงทำให้ภาษาอังกฤษของหลายคนไม่ค่อยกระดิก แต่วิชาโทผมเลือกเรียนโทอิงค์ เลยพอจับหลักได้อยู่บ้าง ซึ่งคนโดนผมสอนก็พยักหน้าเข้าใจหงึกหงัก


“อ๋อ กูเก็ตล่ะ มึงเก่งเนอะติ๋ม”

“ก็บอกว่าอย่าเรียกกูติ๋ม!”


ผมร้องโวยวายใส่คนที่แถมคำชมมาให้ แต่ไอ้เก้าไม่สนใจ หันไปพูดกับฝรั่งด้วยภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ  จนผมนึกทึ่งความสามารถของไอ้เก้า ที่คุยกับคนแปลกหน้ารู้เรื่องขนาดผูกมิตรได้อย่างรวดเร็ว


หนุ่มผมทองหน้าตาดีคล้ายพระเอกหนังแอคชั่นฮอลิวู้ดสักเรื่อง ชื่อ เคน มาจากนิวยอร์ก แบ็คแพ็คเที่ยวไทยตามหนังสือคัมภีร์ Lonely Planet และพึ่งมาถึงกาญจนบุรีโดยอาศัยนั่งรถไฟมาเหมือนกัน พอรู้ว่าคู่สนทนาเดินทางด้วยวิธีไหน ไอ้เก้าก็โม้ใหญ่ว่าตัวเองกำลังจะนั่งรถไฟต่อไปที่อื่น แต่พอเคนได้ยินกลับพูดด้วยสีหน้าตกใจ


“But the train departs at 15.15!”


คนเตือนโชว์นาฬิกาข้อมือให้ดูว่าตอนนี้ ตัวเลขดิจิตอลมันระบุเวลา 15:12  อีกสามนาที รถไฟจะออกจากชานชานชาลา!


ผมกับไอ้เก้าแทบจะร้อง Oh My God! แล้วใส่ตีนหมาวิ่งแน่บไปจนถึงสถานีน้ำตก ภาวนาให้ยังทัน เพราะทุกครั้งรถไฟไทยก็มักจะปล่อยเลทเกินเวลาตลอด หากคราวนี้ไม่รู้อะไรดลบันดาล จึงทำให้พอไปถึง รถไฟก็เคลื่อนเห็นแค่ท้ายขบวนไกล ๆ และโชคร้ายกว่านั้น มันคือเที่ยวสุดท้ายของวันนี้ จะต้องรอขบวนใหม่ พรุ่งนี้เช้าในเวลาตีห้ายี่สิบ


“เอาไงต่อ”


ผมถามคำถามเดิมด้วยอาการหอบเหนื่อย หลังจากใช้พลังงานวิ่งมาไกลแบบสูญเปล่า และตามนิสัยไอ้เก้า มันไหวไหล่ตัดสินใจแก้ปัญหาง่าย ๆ


“ก็คงต้องหาที่พักคืนนี้”


หากยังไม่ทันให้ผมถามว่าจะไปพักที่ไหนในเมืองที่ไม่รู้จัก เสียงสำเนียงอเมริกันจากด้านหลังก็ดังแทรก


“Do you miss the train?”


เป็นเคน ซึ่งเดินมาถาม อาจเพราะเป็นห่วงพวกผมจึงตามมาดูถึงสถานีให้แน่ใจ แล้วพอรู้ว่าพวกผมพลาดรถไฟจริง ๆ และกำลังหาที่พัก เคนก็แนะนำรีสอร์ทซึ่งเขาจะพักในคืนนี้ให้ พร้อมบรรยายสรรพคุณว่าราคาถูก อยู่ไม่ไกล มีการเปิดหนังสือ Lonely Planet ประกอบคำเชิญชวน กลายเป็นว่าผมอยู่ในสถานการณ์ประหลาดที่ให้คนต่างชาตินำเที่ยวไทยซะเอง

แต่ในเมื่อไม่มีแผนอื่นแล้ว ผมกับไอ้เก้าจึงยอมตามน้ำ ตกลงปลงใจไปพักในรีสอร์ทที่เคนแนะนำ พวกเราสามคนนั่งรถสองแถว ขับตามเส้นถนนนอกเมืองประมาณ 20 นาที กระทั่งถึงรีสอร์ทเล็ก ๆ  ติดริมแม่น้ำแคว

บรรยากาศดีเหลือเชื่อผิดกับราคาซึ่งถูกแบบไม่น่าเชื่อเหมือนกัน อาจเพราะตัวรีสอร์ทดัดแปลงจากบ้านสวนเก่า ห้องพักแยกเป็นหลัง ๆ ให้อารมณ์เรียบง่ายคล้ายโฮมสเตย์ คนเข้าพักส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติ น่าแปลกที่พวกเขาค้นพบของดีที่ซ่อนอยู่ก่อนพวกเราคนไทยซะอีก


ผมกับไอ้เก้าได้ห้องวิวสวย เห็นแม่น้ำไหลเอื่อยสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย ล้อมด้วยร่มเงาไม้ร่มรื่นให้ความรู้สึกสงบเงียบ

ทุกครั้งเวลาไปเที่ยวใคร ๆ ก็มักจะนึกถึงทะเล ภูเขา ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาใกล้แม่น้ำบ้างก็ได้ฟีลดีไปอีกแบบ


“น่าชวนพวกไอ้พอสมาด้วยวะ แต่สงสัยพวกมันคงมานั่งกินเหล้าอย่างเดียว ตอนไปทะเลเท้าแตะทรายบ้างรึยังก็ไม่รู้”


ผมเผลอนึกถึงเพื่อนร่วมก๊วน เวลาชวนไปไหนพวกมันพร้อมหิวกระเป๋าไปเหมือนพิซซ่าฮัทในสิบห้านาที แต่ไม่ได้ไปเที่ยวหรอก ส่วนใหญ่จะใช้เวลาจมอยู่กับกองขวดเหล้ามากกว่า เหมือนแค่เปลี่ยนสถานที่เมากันเฉย ๆ

ไอ้เก้าก็คงคิดไม่ต่างกันเลยพูดเสริม


“กูก็ว่างั้น ยิ่งที่นี่เงียบ ๆ ด้วย ไอ้เอิรธ์แม่งเมาแล้วชอบโวยวาย ต้องใช้ให้ไอ้ภีมไปขอโทษห้องอื่นอยู่เรื่อย”

“เออ ๆ แล้วไอ้พอสมันต้องพูดว่า ภีมใช้หน้าตามึงให้เป็นประโยชน์หน่อยดิ๊”


ผมแกล้งดัดเสียงฮา ๆ เป็นไอ้พอสแบบที่มันชอบใช้เรียกแซวไอ้ภีมประจำ แต่คล้ายจะมีผมคนเดียวที่หลุดหัวเราะขำ เพราะคนฟังกลับเงียบเสียงลง จนผมต้องหันไปมองความผิดปกติ

และเมื่ออีกฝ่ายเห็นผมมองมา มันก็ส่งยิ้มจาง ๆ คล้ายจะขำดีเลย์ไปกับมุกที่ผมเล่นก่อนหน้า แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่า ผมทำพลาดมากแค่ไหน...


...ชื่อของใครบางคนยังมีอิทธิพลในใจของไอ้เก้าเสมอ


ผมนึกโทษตัวเองที่ดันไปรื้อฟื้นเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาเอาตอนนี้ แต่คิดดูแล้ว...ที่ผมมาอยู่กับไอ้เก้าก็เพราะอยากให้มันมีเพื่อนไว้คอยระบายไม่ใช่เหรอ ผมจึงลองเลียบ ๆ เคียง ๆ เกริ่นถาม


“ถ้ามึงมีอะไร เล่าให้กูฟังก็ได้นะ”

“พูดไรมึง อย่างกูจะไปมีอะไร  แต่แม่งกูง่วงฉิบหายเลยว่ะ ขอนอนก่อนนะ”


ไอ้เก้าตัดบทด้วยน้ำเสียงเหนื่อย ๆ เดินตรงดิ่งไปยังหนึ่งในสองเตียง ทิ้งตัวลงบนหมอนนุ่ม ๆ และหลับไปด้วยความรวดเร็ว ปล่อยให้ผมมองตามคนสลบน็อคไม่ทันนับครบสาม

แต่อย่างว่า...ไอ้เก้าคงเพลีย เพราะไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวาน แถมยังเที่ยวกระหน่ำลากยาวมาวันนี้อีก ส่วนผมกลับไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยปลอบใจอะไรเลย ดันเผลอสนุกเฮฮากับมันด้วยซ้ำ


ไอ้เก้าคงไม่อยากให้ผมเป็นกังวล จึงต้องแสร้งทำตัวว่าไม่เป็นไร


‘ไม่เป็นไร’ ในความหมายที่ผมกลัวเหลือเกินว่าจะเป็นคำเดียวกับ ‘Never mind’ 



...ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ กูไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว



ผมอยากบอกกับไอ้เก้าว่า บางเรื่องผมอาจดูเหมือนเก่ง แต่บางเรื่อง โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวข้องกับระยะห่างในความสัมพันธ์ระหว่างกัน



...ผมยอมรับ ...ผมเองก็โง่มากจริงๆ




-------------------------------------------------------------------------------------------------



TBC




หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-06-2014 12:04:57
ไอ้ประะสบการณ์นั่งรถไฟไปเที่ยงที่ต่างๆเนี่ยอยากมีมากเลย แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างมันก็เลยไม่สำเร็จสักที
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 27-06-2014 12:25:53
ชอบเรื่องนี้ ดูชิลดูเรื่อย ๆ ดี o13

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Linea-Lucifer ที่ 27-06-2014 12:42:20
เรื่องเบาๆ สบายๆน่ารักนักกกกกกก >//<
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 27-06-2014 12:59:32
อ่านประสบการณ์นั่งรถไฟเที่ยวแล้ว เพิ่งไปเมื่อต้นปี สายนี้เลยแหละ สนุกมากกก
แต่ไม่ได้เล่นน้ำตกเลยไม่เจอซองถุงยาง คึคึ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 27-06-2014 13:47:54
ชอบอะบอกเลย

อ่านตอนแรกๆแล้วรู้สึกดาม่ามากกก

แมร่งเอ้ยยยย สงสารเก้า

หวังว่ามาเที่ยวแล้วอะไรๆมันจะดีขึ้นบ้างนะเก้านะ

อย่างน้อยก็ไม่ได้ตัวคนเดียวนะเว้ย ยังมีเพื่อนที่ห่วงอยู่

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-06-2014 14:18:15
อย่างน้อยในเวลาที่ทุกข์ใจก็ยังมีใครสักคนเคียงข้างกัน เนาะ

ปล.โอเคเราจะนั่งรถไฟเที่ยวบ้าง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 27-06-2014 22:44:49
ติณเป็นเพื่อนที่ดีจังเลย ดีใจแทนเก้าด้วยจริงๆ

ได้บรรยากาศรถไฟมากๆ รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-06-2014 00:20:21
อ่านแล้วอยากลองนั่งรถไฟเที่ยวบ้าง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-06-2014 07:58:37
เริ่มหวั่นไหวแล้วสิ  :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-06-2014 10:49:31
กว่าจะถึง กทม คงเข้าใจกันพอดี หุหุ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 28-06-2014 12:08:22
 :really2:กำลังจะไปได้ดีกลับมามึนอีกแระ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 28-06-2014 13:38:15
ติณน่ารักดีอ่ะ จิตใจดีมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rose_Apple ที่ 28-06-2014 20:53:46
นี่คือนิยายโปรโมทรายการ ติณเก้าตะลอนทัวร์ ใช่ไหมคะ!??? 5555 น่ารักดีอ่ะ เที่ยวไปเรื่อย ลุ้นนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 29-06-2014 22:56:00
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-06-2014 23:49:52
สงสัยต้องตามเที่ยวกับฝรั่งซะเเล้ว
เเต่คงไม่หรอก
สองคนนี้เค้าจะเดินทางเเบบเเพ็คคู่หมูสองชั้นนิเนาะ
ไปด้วยกันเเบบ กรุบกริบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 30-06-2014 00:37:44
อย่างน้อยๆมีเพื่อนร่วมเดินทางสักคน  มันก้อาจจะดีกว่าก้ได้นะ
มันอาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในทันที แต่ในอนาคตใครจะรู้ได้เนอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mujika_keita ที่ 06-07-2014 23:04:42
เฮ้ยเรื่องนี้สนุก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Baztile ที่ 11-07-2014 09:26:10
เข้ามาเจอของดีหลังจากเปิดกระทู้นิยายอ่านแล้วปิดไปแบบอ่านไม่จบตอนที่1เป็นสิบเรื่อง ชอบเรื่องนี้มากค่ะอ่านแล้วรู้สึกสบายๆแต่ก็ปนหน่วงๆด้วย (เอ๊ะยังไง) กลัวจะกลายเป็นรักข้างเดียวของติณด้วยสิ

เก้ากับติณโชคดีมากที่เจอรถไฟมาตรงเวลา เรานั่งรถไฟทุกวันไม่เคยมาตรงเวลาเลย เลทตลอด 55 /แต่ตกรถไฟเพราะรถไฟตรงเวลาก็โชคร้ายอ่ะเนาะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 12-07-2014 00:48:59
ดีจัง ติดตามผลงานมาตั้งแต่ พี่อาทิตย์แล้ว

แต่ติณเรื่องนี้ ดูเป็นคนรักเพื่อนมากๆ หวังว่าไม่ใช่แอบรักเก้าหรอกน่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Goodfellas ที่ 12-07-2014 09:15:03
เพิ่งว่างมาอ่านเรื่องนี้ตอนนี้  เชยมาก

พอมาอ่านก็ต้องปลื้มไปกับสำนวนการเขียนที่สุดจะลงตัวของผู้เขียน  นับถือเลยครับ  จะขอจำเทคนิคไปใช้บ้าง  คงไม่ว่าอะไรนะครับ  o1

และตอนนี้ อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆแล้วสิ  อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 12-07-2014 09:49:38
เรื่องสนุกมากค่ะ รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 07-08-2014 12:13:51
รออ่านต่อฮะ กรุณามาอัพด้วย พลีสสสสสส
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 07-08-2014 13:48:51
สนุกๆ อยากให้เก้าหันมาทางตินนี่มา 555
พลาดเรื่องนี้ไปได้ไง สนุกอะ รออ่านว่าจะลงเอยยังไง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 30-08-2014 08:01:59
ชื่อเรื่องมีโลนลี่ๆโดดๆเดี่ยวๆอะไรยังไง
แถมเปิดเรื่องมา ซัดดราม่าแอบรักเพื่อนใส่เลย
แล้วอยู่ๆ...ทำไมถึงได้...ฮาขนาดนี้ ก๊ากๆๆ ชอบๆๆ เก้ากินดะ
รออ่านต่อนะคะ อยากรู้มาก ว่าจะคลิ๊กกันเมื่อใด อย่างไร อีท่าไหน
 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #4 ★ [27/06/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 03-09-2014 10:03:18
เจ๋งอ่ะ... นึกถึงตอนไปเที่ยวรถไฟเหมือนกันเลย ฮาๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 04-09-2014 17:01:43
5.





ผมเผลอหลับไป...

พอตื่นขึ้นมา ฟ้าก็มืดแล้ว ผมงัวเงียเดินไปเปิดสวิสต์ไฟภายในห้องพักให้สว่าง เพื่อพบว่าห้องนี้มีผมอยู่คนเดียว


อ้าว...แล้วไอ้เก้าหายไปไหน


ผมมองร่องรอยของเตียงข้าง ๆ แม้จะมีรอยยับ แต่ก็คล้ายว่าคนนอนลุกขึ้นไปนานแล้ว อยู่ ๆ ความคิดในแง่ลบก็พุ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

...หรือว่า ไอ้เก้ามันจะทิ้งผมเอาไว้แล้วออกไปคนเดียว ไม่งั้นก็อาจจะทำเรื่องบ้า ๆ อย่างเช่น ...ฆ่าตัวตาย


ผมรีบเปิดประตูวิ่งออกไปด้านนอกรีสอร์ท เหลียวซ้ายขวาพยายามมองหาเบาะแสอย่างร้อนรน แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นแม่น้ำแควสายใหญ่

บรรยากาศตอนกลางคืนดูวังเวมากกว่าตอนกลางวัน ยิ่งประกอบกับต้นไม้รกครึ้มก็คล้ายจะทำให้รู้สึกหดหู่เงียบเหงา น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวคะเนมองแล้วไม่รู้ว่ามันลึกเท่าไร แต่ส่วนมากก็มักมีข่าวออกมาบ่อย ๆ ทำนองว่าคนกระโดดลงไปเล่นน้ำแล้วถูกกระแสน้ำวนดูดให้ตัวเองจมไป

เลือดในตัวผมเย็นวาบ ผมมองฝ่าความมืดของแม่น้ำ ยกมือป้องปากตะโกนเรียกเสียงดัง


“ไอ้เก้า!”

“อะไร”

   
น้ำเสียงเย็น ๆ ตอบกลับมาด้านหลังทำเอาผมสะดุ้ง กระโจนร้องเฮ้ย! ด้วยความตกใจ แต่พอหันมาเห็นคนคุ้นตา ก็ทำเอาหัวใจที่หล่นไปตาตุ่มกลับมาเต้นด้วยความโล่งใจอีกครั้ง


“มึงหายไปไหนมา แม่งตกใจหมดให้กูตามหาซะทั่ว”

“กูไปซื้อเบียร์มา ทำไม มึงนึกว่ากูกระโดดน้ำลงไปเหรอ กูไม่ทำหรอก เดี๋ยวศพกูบวมหมดหล่อพอดี”


ไอ้เก้าพูดแซวขำ ๆ แต่ผมไม่หัวเราะ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คนมันเป็นห่วงจริง ๆ  ไอ้เก้าเองเหมือนจะจับท่าทีซีเรียสของผมได้ มันเลยยกมือขยี้หัวผมเบา ๆ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคงกว่าเดิม


“กูไม่ทิ้งมึงไว้หรอกน่าไอ้ติ๋ม”


แม้จะทะแม่ง ๆ กับคำเรียกชื่อ แต่ตอนนี้ความโกรธผมก็ลดลงไปกว่าครึ่ง ไอ้เก้าเดินไปนั่งตรงเก้าอี้หินอ่อนที่ทางรีสอร์ทตั้งไว้ชมวิวหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ แล้วยกถุงเซเว่นบรรจุกระป๋องเบียร์เกือบโหลขึ้นมาพลางเอ่ยชวน


“มาถอนกันดีกว่า”


ผมมองมันปลง ๆ แล้วหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ รับกระป๋องเบียร์เย็นเจี๊ยบที่มันส่งมาให้ เมื่อวานเพิ่งเมาอยู่ทะเล วันนี้มาเมาอยู่แม่น้ำ อะไรก็เกิดขึ้นโดยไม่อาจคาดเดา  เหมือนที่ผมเดาไม่ได้ว่าอยู่ ๆ ไอ้เก้ามันจะถาม


“ติณ  อย่างมึงนี่เคยคบใครมั้ยวะ”


ผมแทบสำลักเบียร์ รีบตอบกลับอย่างโชว์ภูมิ


“โห เคยดิ อย่าดูถูก”

“จริงอ่ะ ใครวะ”


ไอ้เก้ารีบถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น เรื่องชาวบ้านนี่งานถนัดมัน แต่ผมก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว เลยเล่าตามความจริง


“เพื่อนในห้องตอนม.3”

“สวยป่ะ”

“ไม่อ่ะ”

“อ้าว แล้วมึงคบเขาทำไมวะ”

“ก็เขาบอกชอบกูก่อน แล้วตอนนั้นโรงเรียนกูฮิตมีแฟนกัน กูอยากลองมีบ้าง เลยตกลงคบ”

“แค่เนี่ย”

“เออ”


ผมรู้ว่ามันเป็นเหตุผลตลก แต่ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 15 กำลังอยู่ในวัยที่ทำตามเพื่อน ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกลึกซึ้งอะไร


“แล้วไง”


ไอ้เก้าเร่งถามอีก ผมดื่มเบียร์อีกอึก ก่อนไหวไหล่


“ก็ไม่ไง เขาก็ส่งขนมมาให้กูกินทุกวัน กูก็ส่งกลับไปเหมือนแลกกัน”


พูดไปแล้วก็จั๊กจี้ตัวเอง มันเป็นความรักใส ๆ อารมณ์ป็อปปี้เลิฟ เริ่มต้นแบบง่าย ๆ แล้วมันก็จบลงแบบง่าย ๆ เช่นกัน


“แต่พอเขาย้ายไปต่อม.ปลายที่อื่นก็เลยเลิก”

“อ้อ ไปเจอคนใหม่”


คนฟังเดาสาเหตุสุดคลาสสิค แต่ผมกลับส่ายหน้า


“เปล่า เขาขอเลิก เพราะเขาคิดว่ากูให้ความสำคัญกับเขา น้อยกว่าที่เขาให้ความสำคัญกับกู”


ไอ้เก้าเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจยกมือขึ้นตบบ่าผมคล้ายจะปลอบ


“เฮ้อ ผู้หญิงมันคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้แหละมึง”

“เปล่า ผู้ชาย”

“ห่ะ?”


ดวงตาของมันสบมองผมเหมือนไม่แน่ใจ ซึ่งผมก็พูดย้ำลงไปชัด ๆ อีกรอบ


“กูเรียนโรงเรียนชายล้วน”


ไอ้เก้านิ่งอึ้ง มันคงไม่คิดว่าไอ้เด็กแว่นเนิร์ดจะเข้าข่ายเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว แต่สำหรับผม ผมยังแน่ชัดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย ความสัมพันธ์ตอนมัธยมเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นจากเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดกันมากเกินไปเท่านั้น


“แล้วมึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

“หมายความว่าไง”

“ที่รักกับผู้ชาย”

“กูยังไม่รู้เลยว่ากูรักเขาจริงๆ รึเปล่า”


ไอ้เก้าเงียบลงไปอีกครั้ง มันยกเบียร์ขึ้นซด แล้วก็เปิดกระป๋องใหม่ ก่อนย้ายไปคุยเรื่องอื่น ผมก็เริ่มกรึ่ม ๆ เลยต่อหัวข้อคุยกันยาว รู้ตัวอีกทีเบียร์เกือบโหลก็หมดเกลี้ยง เป็นการถอนที่หนักหน่วงจนแทบจะไขประตูเข้าห้องไม่ถูก ต่างคนต่างเดินโซซัดไปที่เตียง แล้วสลบน็อคหลับยาวยันเช้า

...

..

.


ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบสิบโมง คราวนี้ไอ้เก้ายังนอนหลับกรนคร่อกอยู่บนเตียงไม่ได้หายไปไหน ผมเลยว่าจะนอนต่ออีกรอบ แต่เสียงเคาะประตูห้องกลับดังขัดจังหวะ พอลุกขึ้นไปเปิดก็เจอฝรั่งหัวทองยืนยิ้มแฉ่ง


“Good morning”


แล้วเคนก็พ่นภาษาอังกฤษใส่ผมเป็นชุดจับใจความได้ว่า จะมาชวนไปเที่ยวที่น้ำตกไทรโยคใหญ่ด้วยกัน

ผมเลยขอถามความสมัครใจของไอ้เก้าก่อน โดยการใช้เท้าเขี่ย ๆ คนขี้เซาให้ลุกจากเตียง มันสะลึมสะลือพยักหน้าหงึก ๆ  ไม่รู้ฟังเข้าใจรึเปล่า ทว่าสุดท้ายพวกเราสามคนก็มานั่งอยู่บนรถสองแถว

แต่พอรถจอดสนิทถึงที่ ไอ้เก้าเหมือนหุ่นยนต์ถูกเปิดสวิสต์อัตโนมัติ จากที่ยังงัวเงียครึ่งหลับครึ่งตื่น มันรีบถลาลงไปเดินดูวิวเป็นคนแรก


น้ำตกไทรโยคใหญ่ หรือเรียกอีกอย่างว่า น้ำตกเขาโจน เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อุทยาน มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมายให้ชม ทั้งที่พักแรมของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อครั้งมาก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะไปประเทศพม่า กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนพลมายึดบริเวณน้ำตกไทรโยคใหญ่ตั้งเป็นฐานอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ร่วมถึงค่ายกักกันเชลย ซึ่งมีหลักฐานของซากเตาหุงหาอาหารเหลือไว้ให้เห็น

เคนดูตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นี้มาก พอคุยกันถึงได้รู้ว่าคุณทวดของเคนเคยเป็นทหารอากาศของกองทัพอเมริกาถูกส่งมารบที่ประเทศไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  และโชคร้ายที่ท่านไม่ได้กลับไปยังบ้านเกิด ศพของท่านเป็นหนึ่งในหลุมศพบนสุสานทหารสัมพันธมิตร ซึ่งเคนก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมเคารพวันพรุ่งนี้

ผมกับไอ้เก้าฟังแล้วก็ได้แต่ทึ่ง นึกว่าเคนเป็นไอ้หนุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ธรรมดา พอได้ยินเรื่องราวแบบนี้ พวกผมเลยเริ่มใส่ใจและมองร่องรอยทางประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งมากขึ้น


จุดต่อมาคือสะพานชมวิว เป็นสะพานไม้แขวนสร้างมาตั้งแต่สมัยปี 2527 อายุเกือบสามสิบปี พาดข้ามแม่น้ำแควสูงเกือบสิบเมตร ทำเอาผมกลืนน้ำลายเอื้อก ยืนลังเลอยู่ตรงทางเข้า จนไอ้เก้าต้องสะกิด


“เป็นไรมึง กลัวเหรอ”

“มะ...ไม่ได้กลัวเว้ย!”


ผมหันไปตอบ แม้น้ำเสียงจะติดสั่น ๆ ...ไม่ได้กลัวจริง ๆ นะ แค่ขาอ่อนเฉย ๆ แค่นั้นเอ๊งงง


“งั้นก็รีบเดินไปเร็ว ๆ ดิ ข้างหลังเขาต่อคิวรอแล้ว”


ไอ้เก้าเอ่ยเร่ง พร้อม ๆ กับเอามือดันผมให้ก้าวไปข้างหน้า ผมจึงต้องทำเป็นใจกล้า ค่อย ๆ เกาะราวสะพานขยับขาไปทีละก้าวทีละก้าวด้วยความอืดอาด โดยไม่รู้เลยว่าคนข้างหลังจะวางแผนชั่วเอาไว้ด้วยการแกล้งเขย่าราวสะพานแรง ๆ ทำเอาผมตะโกนห้ามดังลั่น


“เฮ้ย! ไอ้เก้าอย่างแกว่ง กูเสียว!”

“เสียวก็ต้องแข็งดิ แต่มึงแม่งอ่อนยวบเลยว่ะ”


คนแหย่เล่นมุขเสื่อม  แซวผมที่แข็งขาอ่อนจนยืนไม่อยู่ เออ! ผมสารภาพก็ได้ว่าผมเป็นโรคกลัวความสูง พอมองเห็นแม่น้ำเบื้องล่างแล้วใจมันก็หวิววิงเวียนหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ไอ้เก้าคงเห็นว่าสภาพผมไม่น่าจะรอดจริง ๆ เลยหยุดเขย่า ก่อนเดินเข้ามาจับมือผมให้ลุกขึ้น


“อย่ามองไปข้างล่าง มองมือกูไว้แล้วเดินตามมา”


มันยกมือที่จับผมโชว์ขึ้นมาตรงหน้า แล้วก็ดึงผมให้เดินต่อไปกลางสะพาน อาจมีใครมองแปลก ๆ ที่ผู้ชายสองคนจับมือกัน แต่นาทีนี้ผมกลัวจนไม่สนสายตาชาวบ้าน กระชับจับมือไอ้เก้าไว้แน่น แล้วค่อย ๆ ก้าวขาช้า ๆ ในที่สุดก็ถึงบริเวณที่จะเห็นวิวน้ำตกไทรโยคใหญ่ได้ชัดเจน

ภาพสวย ๆ ของธรรมชาติช่วยทำให้ผมคลายความกลัวลงไปได้บ้าง ไอ้เก้ามันก็ลันล๊าตามประสา ชี้ผมให้ดูแพที่นำนักท่องเที่ยวล่องไปใกล้น้ำตก ผมรู้จากสายตาทันทีว่าแพลนต่อไปของมันคืออะไร แล้วก็เป็นตามนั้น เมื่อมันหันมาเปิดปากพูด


“กูอยากเล่นน้ำตกว่ะ”


ผมรีบส่ายหน้ายิก ปฏิเสธเสียงแข็ง


“ไม่เอา กูไม่ลงน้ำ”

“อย่าป็อดน่าติ๋ม”


ประโยคที่เคยดูถูกผมวนกลับมาเล่นงานอีกรอบ ผมกำลังจะอ้าปากเถียง แต่ก็ดันนึกได้ว่ามือผมยังคาอยู่ที่มือไอ้เก้าแน่นเพราะกลัวตกสะพาน เลยต้องเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ ปล่อยให้เก้าหันไปชวนเคน ซึ่งหนุ่มฝรั่งก็รีบตกลงด้วยท่าทางกระตือรือร้น



เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็ใส่เสื้อชูชีพสีส้มเตรียมล่องแพเที่ยวแม่น้ำแคว ซึ่งลากผ่านทิวต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น มีลมพัดพอเย็น ๆ ได้บรรยากาศสบาย ๆ  กระทั่งแพมาจอดจ่ออยู่บริเวณน้ำตกไทรโยคใหญ่

ผมมองวิวจากบนสะพานแขวนก็นึกว่าน้ำตกนี่เล็ก แต่ความจริงน้ำตกไทรโยคใหญ่สูงกว่า 8 เมตร ธารน้ำพุ่งตกลงจากผาหินเสียงดัง ตัดกับฉากด้านหลังแมกไม้สีเขียวเข้ม ธรรมชาติสร้างสรรให้สวยเหมือนภาพวาดจิตรกรเอกของโลก

แพจะแวะจอดให้นักท่องเที่ยวเล่นน้ำประมาณสามสิบนาที ไอ้เก้ารีบสลัดรองเท้า แล้วกระโดดลงน้ำเย็นฉ่ำ ก่อนหันมาชวนผมที่ยังนั่งกอดเขาอยู่บนแพไม้


“มึงรีบลงมาดิ ที่นี่แม่งสุดยอดกว่าเมื่อวานอีก”
 
“กูไม่อยากลง”


ผมยืนยันคำเดิมเหมือนเมื่อวาน แต่แทนที่ไอ้เก้าจะตื๊อต่อมันกลับพูดสั้น ๆ


“งั้นก็ตามใจ”


หลังจากนั้นมันก็หันไปคุยกับเคน แล้วลอยคอไปบริเวณใต้น้ำตกกันสองคน โดยทิ้งให้ผมมองตามเพียงลำพัง


...เออ ใช่ซี๊! ได้ใหม่แล้วลืมเก่า ผมเลยกลายเป็นหมาหัวเน่า ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วนี่


ผมมองเคนกับเก้าคุยกันหัวเราะกันสนุกสนาน จนเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ไอ้เก้าก็ว่ายกลับเข้ามาที่แพ ปีนขึ้นมานั่งพัก แล้วหันมาชวนผมต่อ


“จะไม่ลงไปเล่นจริง ๆ เหรอ”

“แล้วมึงไม่ไปเล่นกับเคนต่อล่ะ”


ผมตอบกลับพลางพยักเพยิดไปที่เคนซึ่งโบกมือให้กลางน้ำตก แต่ไอ้เก้าไม่ได้สนใจ ตรงข้ามมันดันถามสั้น ๆ


“หึงเหรอ”


ผมแทบหน้าทิ่มตกน้ำ รีบหันขวับไปจ้องมันแล้วด่าเสียงลั่น


“พ่อง!”


แต่คนหน้าด้านอย่างไอ้เก้าโดนด่าแค่นี้ไม่มีสะทกสะท้านอยู่แล้ว มันหัวเราะร่าที่แหย่ผมให้โมโหได้ ก่อนจะเอ่ยเหตุผลที่แท้จริง และเป็นเหตุผลที่ทำให้หัวใจผมแทบหยุดนิ่ง


“ไม่มีมึงก็ไม่หนุกดิวะ”


ลมหายใจผมสะดุด ไม่รู้ว่าไอ้เก้ามันพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ถ้อยคำนั้นมีอานุภาพพอให้ผมรู้สึกวูบไหวในอกแปลก ๆ  ชั่วขณะที่กำลังสับสน ผมก็ได้ยินเสียงถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


“หลังจากนั้นมึงกับเพื่อนที่เคยคบกันเป็นยังไง”


ไอ้เก้าหันมามองหน้า ทว่าผมกลับหลบสายตา หันไปชี้หนุ่มฝรั่งที่ยกมือป้องปากคล้ายเรียกพวกเราจากบนแพ จนผมต้องสะกิดคนข้างตัว


“นู้น! เคนเรียกมึงแล้ว”


เก้าหันไปโบกมือตอบ แล้วโดดลงน้ำอีกรอบก่อนจะว่ายไปยังน้ำตก ปล่อยให้ผมยังคงนั่งอยู่บนแพด้วยความรู้สึกโล่งใจที่เปลี่ยนเรื่องทัน


...ดีแล้วที่ไม่พูดออกไป เพราะผมกลัวจะบอกความจริง

ความจริงที่ทำให้หัวใจผมสั่นไหวไม่ต่างจากเมื่อครู่ หากคราวนี้มันเต็มไปด้วยความอึดอัดและปวดร้าวลึก ๆ ข้างใน


...ระหว่างผมกับเพื่อน  อาจเป็นเช่นเดียวกับเก้าและภีม หรือใครก็ตามที่เผลอก้าวข้ามความสัมพันธ์ของเส้นที่ขีดไว้



จุดจบของมัน คือ การแตกสลายของมิตรภาพ และไม่มีวันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย...



-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


TBC




ขออภัยที่มาช้า แถมยังดราม่าอีก   :hao5:
แต่ปมปัญหาก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องรอลุ้นกันว่าใครจะปลอบใครกันแน่
ฝากเพลงนี้แทนใจน้องติ๋ม เอ้ย! น้องติณ เข้าหน่อย
เปิดฟังบิวท์อารมณ์ไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=g3-oobdNTI0 (https://www.youtube.com/watch?v=g3-oobdNTI0)


ขอบคุณที่ยังคอยติดตามค่า เรื่องสั้นแต่ดองยาวนี้ด้วยนะคะ

  :-[

BitterSweet



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Phoenix_SM ที่ 04-09-2014 17:38:47
อ๊ากกกกกกกกกก มาเนิบๆ แต่แฝงดราม่าปิดท้าย  :serius2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-09-2014 17:52:18
ทำไมแอบดราม่าาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 04-09-2014 18:38:56
 :monkeysad: ดราม่าปิดท้ายก่อนจากซะงั้น
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 04-09-2014 18:58:06
เอาใจช่วย เก้ากับติณ
สนุกค่าาา ติดตาม เหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลย เคยนั่งรถไฟไปน้ำตกเหมือนกัน อ่านแล้วฟิน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-09-2014 20:14:11
อ๋อยยยยยยย จะไหวไหมติณ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 04-09-2014 20:20:20
ดราม่าเบาเบาาาาาาาาาาาาาาาาาาา  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 04-09-2014 21:23:15
อึนๆ มึนๆ ทึมๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: pachth ที่ 04-09-2014 21:24:51
เอาใจช่วยทั้งสองคนเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 04-09-2014 23:52:44
แต่ละคู่ ไม่จำเป็นต้องลงเอยแบบเดียวกันเสมอไป
ถึงจะไม่สมหวัง แต่อย่างน้อยก็เป็นประสบการณ์ เก็บไว้เป็นความทรงจำ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 05-09-2014 00:00:47
ทริปออกเดทของสองคนนี้? จะต้องไม่มีดราม่า  :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 05-09-2014 00:21:26
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้ค่ะ
อยากจะบอกว่าเรื่องสั้นของคุณ Bittersweet ไม่เคยผิดหวังเลยซักเรื่องจริงๆ
ถึงจะเคยเม้นชมไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็อยากเม้นชมอีก 55555
ชอบง่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
ไม่ได้อ่านเรื่องสั้นมานานละ ขอไปรื้อเรื่องที่นักเขียนเคยแต่ง
มาอ่านดีกว่าาา

รีบมาอัพเรื่องนี้น้าา  :z10:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Goodfellas ที่ 05-09-2014 00:43:56
บอกเลยว่าช่วงหลังๆมานี่  ตั้งหน้าตั้งตารอเรื่องนี้อย่างมาก

พอเห็นว่ามาต่อก็ต้องรีบเข้ามาอ่านทันที

แต่... ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากอ่านต่อเข้าไปอีก  เฮ้อ....   :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 05-09-2014 06:16:58
ทริปเลียแผลใจกันรึ


มีอดีตเหมือนกันอะดิ



รออ่านตอนต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 05-09-2014 09:36:09
เฮ้อออ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: toou ที่ 05-09-2014 11:25:15
อย่าดองอีกเลยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 06-09-2014 00:44:26
ชอบเรื่องนี้นะ อ่านแล้วลุ้นๆ บอกอารมณ์เย็นๆยังไงไม่รู้สิ

รู้สึกชอบ ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนาแบบไม่รู้ตัว

มันก็ดีทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะมาในแนวทางไหน

เพื่อนรัก หรือแม้กระทั่งคนรักก

--

คนรักกัน เลิกกันก็เป็นเพื่อนกันได้ปะวะ

ลดอคติลง มันอาจจะไม่เหมือนเดิมในตอนแรกๆ

แต่สั่งวัน มันจะดีขึ้น เบนเชื่ออย่างนี้นะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 06-09-2014 01:46:16
 :katai2-1: ไหระเบิดแล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #5 ★ [04/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 06-09-2014 02:44:40
 :z3: ไม่เป็นเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 06-09-2014 15:59:23
6.




เย็นมากแล้ว ตอนที่พวกเรากลับมาที่พักด้วยสภาพตัวเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า

...เปล่าครับ ผมไม่ได้เล่นน้ำตก แต่อยู่ ๆ ฝนดันตกเทลงมาโครมใหญ่ กว่าจะวิ่งหาที่หลบฝนกันได้ แล้วรอให้ฝนซาอีกหลายชั่วโมง ตัวผมก็แทบจะซีดแล้วซีดอีก รู้สึกหนาว ๆ ขึ้นมาจนเผลอจามเสียงดัง


“ฮัชชิ่ว!”

“ไหวเปล่ามึง”


ไอ้เก้าหันมามองพลางถามด้วยความเป็นห่วง ผมสูดน้ำมูกฟืดกำลังจะพยักหน้าว่าโอเค แต่มันเร็วกว่า มือใหญ่แตะเข้ากับหน้าผากผม แปลกที่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหนาว ทว่ามือของไอ้เก้าซึ่งกำลังอังหน้าผากกลับเย็นสบาย


“ตัวรุม ๆ นะ มึงรีบไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวกูออกไปซื้อยาให้”


ไอ้เก้าละมือออกแล้วรีบผลุนผลันจะออกจากห้องทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้ามันยังชื้น ๆ ไม่ต่างจากผม ทำให้ผมต้องรีบดึงแขนมันไว้พร้อมบอกปัดอย่างเกรงใจ


“เฮ้ย ไม่ต้องหรอก นอนพักหน่อยก็คงหาย”

“เออน่า กูจะไปหาซื้อไรมากินด้วย”


พอฟังเหตุผลอีกข้อผมก็เลยยอมปล่อยมือ จริง ๆ ผมยังไม่ค่อยหิวเท่าไร แต่ไอ้เก้าที่กระเพาะมันเป็นหลุมดำตระเวนเที่ยวกันทั้งวันก็คงจะหิวเป็นธรรมดา 

ผมจึงเปลี่ยนไปอาบน้ำใส่เสื้อผ้าแห้ง ๆ ที่เพิ่งซื้อมาใหม่อีกชุด ใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมระหว่างรอ แต่รอจนกระทั่งผมตัวเองเริ่มจะแห้งแล้วไอ้เก้าก็ยังไม่มา

ผมชักเริ่มเป็นกังวลที่มันหายไปนาน กำลังตัดสินใจว่าจะลุกออกไปตามหา หากก็ได้ยินเสียงเคาะห้องแรง ๆ พอเปิดไปก็เจอไอ้เก้าหอบหิ้วของจนเต็มสองมือ 


“อะไรวะเนี่ย ซื้อมาทำไมตั้งเยอะแยะ”


ผมตาโต มองถุงใส่ของสารพัดอย่างบนโต๊ะ มีทั้งข้าวเหนียวไก่ย่าง หมูย่าง ลาบคั่ว ปลาหมึกปิ้ง ทอดมันปลากราย ผมขมวดคิ้วงงว่ามันไปซื้อจากไหนจำได้ว่ารอบ ๆ แถวนี้ไม่มีตลาดนี่หว่า เซเว่นก็ต้องเดินออกไปอีกเกือบกิโล ยังไม่นับเหล้าแม่โขงกับโซดา และถุงน้ำแข็งยูนิคอีกถุงใหญ่   


“มึงไม่กลัวเป็นตับแข็งเหรอวะ กินติดกันมาสามวันแล้วนะ”


ผมเตือนด้วยความหวังดี ถึงจะกินเหล้าต่างน้ำแค่ไหน ก็ควรมีเวลาให้ร่างกายพักบ้าง แต่ไอ้เก้ากลับหยิบน้ำแข็งแช่ในตู้เย็นพลางตอบกลับไม่ใส่ใจ


“เออน่า มีกับแกล้มแล้วไม่มีเหล้าได้ไงวะ  ส่วนของมึงอ่ะอันนี้”


แผงยาดีคอลเจนถูกโยนมาให้ พร้อมกับขวดแก้วใส่น้ำสีเหลืองระบุยี่ห้อชัดว่า ‘สปอนเซอร์’  มันจะซื้อสปอนเซอร์มาให้ทำไมวะ!


“กูเป็นหวัดไม่ใช่เสียเหงื่อนะมึง”


ผมถามมันงง ๆ กับสูตรการรักษา คุณหมอจำเป็นยักคิ้วแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์


“ก็เดี๋ยวน้ำมึงออก มึงก็ต้องกินไอ้นี่แหละ”

“สัส ทะลึ่ง!”


ผมรีบปาหมอนใส่คนเล่นมุกเสื่อมใต้สะดือ รู้สึกหน้าร้อนวูบ ๆ พิกล ทว่าไอ้เก้าดันรับอาวุธร้ายของผมไว้ได้ แถมด้วยคำอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิด
 

“กูหมายถึงน้ำมูก มึงนั่นแหละคิดอะไร”


ไอ้เก้าทำเป็นตีหน้าใสซื่อ ป้ายความผิดให้ผมแทน แล้วรีบผลุบเข้าห้องน้ำโดยไว เมื่อผมตั้งท่าจะปาขวดสปอนเซอร์ใส่หัวมันตามด้วยคำสบถด่าดังลั่น


“ไอ้เชี่ยเก้า!”


ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากในห้องน้ำ  นิสัยกวนตีนของมันแก้ยังไงก็ไม่หาย แต่น่าประหลาดแทนที่ผมจะหงุดหงิดโมโห กลับเผลอยิ้มกว้างออกมา

ไม่รู้ทำไมเวลาอยู่กับไอ้เก้าแล้วผมรู้สึกสนุกสบายใจ นึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้ผมกับมันไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร ไอ้เก้ามักจะถูกล้อมไปด้วยเพื่อนคนอื่นอยู่เสมอ ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะไปเที่ยวกับมันบ่อย ๆ แค่สองคนอีกก็คงจะดี


...เอ๊ะเดี๋ยว...ทำไมต้องแค่สองคนด้วยวะ


ผมสะดุดกับความคิดตัวเอง พร้อม ๆ กับที่ไอ้เก้าเปิดประตูห้องน้ำออกมา  มันนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว โชว์แผงซิกแพ็คอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ผมเบนสายตาหนี รู้สึกหน้าร้อนวูบแปลก ๆ สงสัยไข้คงจะขึ้นอีกรอบ ส่วนไอ้คนโชว์หุ่นยังนิ่งเฉย ใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมเปียก ๆ พลางออกความเห็น


“ออกไปนั่งกินข้างนอกกันมั้ย เมื่อกี๊กูเดินกลับมาพระอาทิตย์กำลังตกวิวโคตรสวย”

“งั้นเดี๋ยวกูยกของออกไปเอง”


ผมรีบอาสาคว้าถุงกับข้าวเดินออกนอกห้องทันที กลัวว่าเดี๋ยวอยู่กับไอ้เก้านาน ๆ พาลจะเกิดอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาอีก

ผมเลือกโต๊ะหินอ่อนมองเห็นวิวแม่น้ำเมื่อวานที่นั่งกินเบียร์คุยกับไอ้เก้า แล้วก็เดินไปขอจานกับช้อนส้อมของทางรีสอร์ท สักพักไอ้เก้าที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ตามมาสมทบ


“กูว่าจะไปชวนเคนมากินด้วย”


ผมพยักหน้า นึกถึงเพื่อนใหม่ที่ร่วมทริปกันมาทั้งวัน ทั้งที่เพิ่งเจอกันเมื่อวาน แต่ดันคุยถูกคอเหมือนรู้จักกันมานาน อาจเป็นเพราะอายุเราไล่ ๆ กัน แล้วเคนก็คุยสนุกมีมุกให้ขำตลอด จึงไม่มีอุปสรรคเรื่องกำแพงภาษา ซึ่งแน่นอนว่าเคนยินดีตอบตกลงรวดเร็ว ยิ่งพอมาเห็นกับข้าวไทย ๆ ที่กองพะเนินเหมือนกินได้สามมื้อ หนุ่มนิวยอร์กก็เบิกตาสีฟ้ากว้าง อุทานเสียงดัง


“Wow! Awesome!”


เป็นธรรมดาที่เวลาเราไปเที่ยวประเทศไหนก็อยากลองอาหารพื้นเมืองท้องถิ่นของประเทศนั้น เคนก็จัดการซัดลาบคั่ว ทอดมันจิ้มน้ำจิ้มแซ่บ ๆ  กินไปซี้ดปากเผ็ดไป แต่ก็ยังไม่หยุดกิน ปากก็ชมว่าอร่อยมาก ผมกับไอ้เก้าก็ยิ้มกันหน้าบ้านตามประสาเจ้าบ้าน อาหารไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกอยู่แล้ว
 
ไม่แค่นั้น ไอ้เก้ายังยุให้เคนทดลองกินบรั่นดีไทย ๆ ชงแม่โขงใส่แก้วเติมโซดา พอเหล้าเข้าปาก บรรยากาศปาร์ตี้ก็เปลี่ยนเป็นการคุยซักประวัติส่วนตัว 


“How long have you known him?”

“4 years”


ผมตอบไปตามจำนวนชั้นปีที่เรียน ถึงผมจะรู้จักกับไอ้เก้ามาตั้งแต่ยังเป็นเฟรชชี่ แต่พวกเราก็คุยกันน้อยมาก เหมือนเพิ่งจะมาสนิทกันจริง ๆ จัง ๆ เมื่อสองสามวันที่อยู่ด้วยกันนี่เอง ดังนั้น แม้ปากจะพูดไป แต่ลึก ๆ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่ารู้จักกับเก้าดีพอมั้ย

หากความคิดของผมคงตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายอย่างลิบลับ เพราะไอ้เก้ารีบยกมือขึ้นมากอดคอผม เอ่ยด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด


“Yes! He is my best boyfriend!”


ผมสะดุ้งเฮือก รีบหันไปโวยวายใส่ไอ้เก้า


“Friend เฉย ๆ สิว่ะ boyfriend มันแปลว่า แฟน”

“อ้าวเหรอ ไม่ได้แปลว่าเพื่อนผู้ชายเหรอ”


มันพูดด้วยสีหน้าซื่อ ๆ เหมือนตอนแกล้งแหย่ผมเรื่องเสียน้ำ ทำเอาผมมองด้วยความระแวง


“มึงไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่ะ”

“กูไม่รู้จริงจริ๊ง!”


ไอ้เก้ายืนยันเสียงสูง ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ว่ากำลังโกหก แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันจะแกล้งโกหกไปทำไม หรือคิดจะแหย่ผมเล่นเหมือนเคยตามนิสัยกวนตีนของมัน

ผมเหลือบมองไอ้เก้า พอมันรู้สึกตัวว่าโดนแอบมองก็ส่งยิ้มตอบกลับมา ผมเลยเสไปหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม รู้สึกมึน ๆ อีกแล้วสงสัยผมจะเป็นไข้หนักจริง ๆ หรือไม่ก็อาจเพราะยาแก้หวัดที่กินไปก่อนหน้ากำลังออกฤทธิ์


“กูปวดหัว ขอไปนอนก่อนนะ”


หาข้ออ้างขอตัวลาจากวงเหล้าทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะสามทุ่ม  ไอ้เก้ายอมปล่อยผมมาง่าย ๆ เพราะรู้ว่าผมไม่สบาย ผมจึงเดินกลับเข้ามาในห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ มุดเข้าเตียงนอน หากสมองก็ยังเผลอคิดไปเรื่องอื่น


...หลายครั้งที่ไอ้เก้าพูดกำกวมถึงสถานะของผมกับมัน ผมไม่เข้าใจว่าไอ้เก้ากำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อใจของมันมีไอ้ภีมอยู่แล้ว และผมมาที่นี่ในฐานะ ‘เพื่อนที่คอยปลอบ’ เพราะความเป็นห่วงเท่านั้น


ผมปวดหัวแปล็บขึ้นมาอีกครั้ง เลยจำใจต้องปล่อยให้เรื่องที่ยังสงสัยลอยค้างอยู่ในอากาศ ก่อนจะค่อย ๆ ผล่อยหลับไป




..

.


ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยอาการสะลึมสะลือ หันมองเตียงข้าง ๆ ก็ยังคงว่างเปล่า นาฬิกาดิจิตอลข้างหัวเตียงบอกเวลา 00.10  เที่ยงคืนแล้ว อย่าบอกนะว่าไอ้เก้ายังนั่งกินเหล้ากับเคนไม่เลิกอีก

ผมตั้งใจจะออกไปตาม เผื่อมันอาจเมาสลบไปที่โต๊ะแล้วก็ได้ ทว่าพอเดินไปถึงวงเหล้า ผมกลับตัวแข็งค้าง เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า


ชายหนุ่มสองคนกำลังประกบปากจูบกันอย่างดูดดื่ม มือของไอ้เก้าล้วงเข้าไปในเสื้อของเคนที่กำลังผลักอีกฝ่ายออกห่างด้วยท่าทางเหมือนจะขัดขืน


ผมรีบวิ่งไปดึงตัวเก้าออกมาตะโกนถามเสียงดัง


“เฮ้ย! ไอ้เก้าทำอะไรวะ!”


กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งจากลมหายใจหอบ ๆ ของไอ้เก้า ผมเหลือบมองเห็นขวดแม่โขงที่ว่างเปล่า


“เก้า มึงเมาแล้วนะ หยุดเหอะ”

“อย่ายุ่งกับกูน่าไอ้ติ๋ม! กูจะจูบกับใครก็เรื่องของกู”


คนหน้าแดงกร่ำขืนสะบัดตัวออกห่าง ผมรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่งมที่ไม่เอะใจตั้งแต่แรก


...เป็นไปได้เหรอที่คนโดนแบบไอ้เก้าจะไม่เศร้า จะไม่ทุกข์ใจ  ที่ยังเห็นมันยิ้ม มันหัวเราะได้ ก็เพราะแกล้งทำทั้งนั้น ความรู้สึกมากมายถูกกดเก็บเอาไว้ยังส่วนลึกภายใน ที่สุดเมื่อทนไม่ไหว ทุกอย่างก็ต้องระเบิดออก 


“มึงทำแบบนี้มันก็ไม่ดีขึ้นมาหรอก”


ผมพยายามเรียกสติ รู้ว่าไอ้เก้ากำลังใช้วิธีประชดชีวิตเป็นการแก้ปัญหา แต่มันกลับผลักผมออกโดยแรง ตะโกนเถียงลั่น


“มึงมันไม่เคยรักใคร มึงไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง!”


ถ้อยคำดูถูกเสียดแทงให้ผมรู้สึกโมโหขึ้นมาบ้าง ผมโต้มันกลับด้วยแรงอารมณ์


“แล้วไงวะ! มึงแค่อกหักนะโว้ย!!”


“กูไม่ได้อกหัก แต่กูเป็นเกย์!  มึงเข้าใจมั้ย กูเป็นเกย์!! ทำไมกูต้องรักผู้ชายด้วยวะ!!”



สิ้นประโยคนั้น ทุกอย่างเหลือเพียงความเงียบ



....ความเงียบที่ได้ยินเสียงความรู้สึกภายในใจของไอ้เก้าดังชัดเจน



ผู้ชายแบบไอ้เก้า ต้องทนอยู่กับความสับสน


...สับสนที่ตัวเองแอบรักเพื่อน ...สับสนที่ตัวเองต้องรักกับผู้ชาย



ผมนึกว่าไอ้เก้ามันเข้มแข็งที่สามารถผ่านพ้นเรื่องพวกนี้ไปได้อย่างสบาย ๆ  แต่แท้จริงแล้ว มันฝืนตัวเองอยู่กับความกลัวตลอดเวลา


“มึงไม่ได้เป็นเกย์หรอกไอ้เก้า”


ผมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง ไอ้เก้าเงยหน้าขึ้นมามอง


“มึงรู้ได้ไง”


“ถ้ามึงอยากพิสูจน์ว่ามึงเป็นเกย์จริงมั้ย มึงก็มาพิสูจน์กับกูสิ!”


ไอ้เก้าชะงัก เมื่อได้ยินผมพูดท้า ดวงตาคมสบเข้ากับดวงตาภายใต้กรอบแว่นของผม ผมไม่หลบ จ้องมันนิ่ง ๆ ให้รู้ว่าผมเอาจริง


เก้าจึงขยับเข้ามาใกล้ เอื้อมมือมาดึงแว่นผมออก แล้วค่อย ๆ ใช้นิ้วโป้งลูบขี้แมลงวันเล็ก ๆ ใต้ตาอย่างเบามือ
 

ผมหลับตาลง ในขณะที่ใบหน้าคมค่อย ๆ โน้มริมฝีปากลงมา รับรู้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว หัวใจผมเต้นรัวสั่นไหว...



...และทุกสิ่งก็หยุดนิ่ง




“กูขอโทษว่ะ ติณ กูทำไม่ได้”




ไอ้เก้าผละออกห่าง ก่อนมันจะก้มหน้าซบลงกับฝ่ามือ ไหล่ของมันสั่นเทิ้มจนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปกอด บ่าของผมเปียกชื้นจากน้ำตามากมายของผู้ชายตัวโต ๆ



...หลังจากผ่านเรื่องมากมาย นี่เป็นครั้งแรกที่ไอ้เก้าร้องไห้




และเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันแสดงความรู้สึกจากใจจริง ๆ




ภาพทุก ๆ อย่างตลอดสองวันที่อยู่กับไอ้เก้าไหลย้อนเข้ามาในความทรงจำ


ผมน่าจะรู้ว่าไอ้เก้าเศร้าขนาดไหน

ผมน่าจะรู้ว่าบทสนทนาที่เก้าเคยถามผมล้วนแฝงไว้ซึ่งความไม่แน่ใจ

ผมน่าจะรู้ว่ากำลังเป็นตัวแทนของใคร



ผมน่าจะรู้...



ใช่...ผมรู้ แต่ผมเองต่างหากที่แกล้งทำเป็นไม่รู้



...เก้าไม่ได้ชอบผู้ชาย เก้าชอบภีมแค่คนเดียว



ผมนึกถึงคำพูดที่มันเคยปรามาสเอาไว้ ตอนนี้ผมอยากบอกมันเหลือเกินว่า “การรักใครสักคนเป็นยังไง” 





...ไอ้เก้า มึงคิดเหรอว่ากูจะไม่รู้จริง ๆ




-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




TBC




หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: e-ga-g ที่ 06-09-2014 16:15:11
 :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 06-09-2014 16:19:21
สงสารทั้งคู่เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-09-2014 17:05:19
เรียนรู้จากความผิดหวังและเจ็บปวด
เพื่อที่วันหนึ่งจะรับมือได้ดีกว่ากว่า
และเราก็จะเข้มแข็งขึ้น
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 06-09-2014 17:27:09
เศร้าไปอีก โฮฮฮฮ ;___;
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 06-09-2014 18:03:52
 :sad4: เศร้าคูณสองเข้าไปอีก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: hibarihao ที่ 06-09-2014 18:07:37
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: toou ที่ 06-09-2014 18:58:46
ไปจูบกับเคนทำม้ายยยยยยยยยย
หน่วงมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 06-09-2014 19:47:45
 :z3:  หน่วงมาก  เศร้าไปแล้ว  เฮ้อออ
รอตอนต่อไปค่ะ +1 :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: kor.korn ที่ 06-09-2014 20:36:44
อ่านแล้วรู้สึกเจ็บปวดแบบหนุบๆ

เฮ้อ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-09-2014 20:42:49
เจ็บนะแบบนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 06-09-2014 20:49:17
เฮ้อ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 06-09-2014 21:31:07
 :z3: ทำไมมาม่ามาไวกว่าที่คิด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 06-09-2014 22:38:15
 :o12: :o12: :o12: :o12:
น่าสงสาร..
แล้วตกลงเก้าพิมพ์อะไรส่งให้ภีม..
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Phoenix_SM ที่ 07-09-2014 08:28:59
เจ็บนี้อีกนานนนนนนนน  :m15:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 07-09-2014 09:39:05
เศร้าจัง T_T
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-09-2014 09:54:57
เจ็บบบบบบบ   :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 07-09-2014 09:57:36
 :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: pachth ที่ 07-09-2014 12:56:18
แล้วมึ๊งงงงงงงงงงงงงไปจูบเคนทำม๊ายยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 07-09-2014 13:20:08
ออกมาจากไหดองของพี่ bittersweet ในที่สุด :)
 
เริ่มได้กลิ่นมาม่าลอยมาแต่ไกล

หน่วงแทนติณ ติณแอบชอบเก้ามาตั้งนานแล้ว?   :sad11:

ป.ล. นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนกว่าเป็น 00.10 นะคะ ไม่ใช่ 24.10

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 07-09-2014 15:45:53
เศร้าเลย สงสารน้องติ๋ม  :m15:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 08-09-2014 16:40:51
 :z10:
หึยยย !
ฉึกอะ แบบว่าฉึก
หน่วงชิบหาย ตกลงอะไรยังไงเนี่ย ติณ หรือแกเพิ่งจะมาหลงชอบเก้าเอาตอนไม่กี่วันนี้ใช่ปะ
เห้ยแก บางทีนี่แค่หลงเพราะอยู่ใกล้กันเฉยๆก็ได้นะเว้ย อย่าไปหลงมันจริง เดี๋ยวเจ็บ
แค่อ่านตอนนี้ก็จี๊ดละ
ส่วนเก้านี่แกอะไรยังไง ไปจูบเคนทำไม คุยอะไรกันก่อนหน้าวะเห้ย
นี่แบบอยากรู้มาก

รีบมาอัพเรื่องนี้นะคะ
ถ้าไม่อัพเรื่องนี้ก็ขอเรื่อง ความรัก Is Following ก็ได้คะ (นี่มึงมีสิทธิเลือกด้วยเหรอ)
เรื่องโน้นสนุกมากเล่อะ แบบว่าติดใจหนุ่มถาปัตย์ห้องข้างๆมาก

รอติดตามตอนต่อไปของทั้ง 2 เรื่องนี้นะคะ
สวัสดีค่ะ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 08-09-2014 16:52:16
 :ling1: หน่วง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #6 ★ [06/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 08-09-2014 17:04:41
ดีใจที่เห็นเรื่องนี้มาต่ออีก อยากรู้ว่าจะดำเนินเรื่องไปอย่างไร จะเป็นเรื่องสั้นได้จริงไหม
ดูท่าเจ็บนี้อีกนานนนนน ^_^
ถึงจะดองยังไงก็ขอให้แต่งให้จบนะฮะ
ชอบทั้งเก้าและติณเลย เชียร์ทั้งคู่เลยล่ะกัน ให้สมหวังไม่ว่าจะออกมาแบบไหน
ขอบคุณคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 09-09-2014 16:57:41
7.




...ผมรู้ว่าเช้าวันนี้จะไม่เหมือนเดิม



เมื่อวานหลังจากที่ไอ้เก้าร้องไห้ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมด ผมก็ทำหน้าที่ที่สมควรจะทำตั้งแต่แรกคืออยู่ปลอบใจมัน

พอคลายอาการสะอื้น และผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ ก็คล้ายความเมาจะสร่างลงด้วย


“I’m sorry”


เก้าเอ่ยขอโทษเคน ซึ่งโชคดีที่เคนดูเหมือนจะเข้าใจ แม้เขาจะไม่รู้ว่าระหว่างผมกับไอ้เก้าคุยอะไรกัน แต่การที่ไอ้เก้าระเบิดร้องไห้ออกมาก็คงถือเป็นการอธิบายได้ดีโดยไม่ต้องใช้คำพูด


“Never Mind”


เคนบอกด้วยท่าทางไม่คิดมาก ไอ้เก้าจึงหันมาหาผม


“กูไปล้างหน้าก่อนนะ”


แล้วมันก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้อง  ผมกำลังจะตามไอ้เก้าไปด้วยความเป็นห่วง แต่เคนกลับรั้งตัวผมไว้


“Hey, Is he okay?”

“He’s broken-hearted. Don’t worry, I will take care him”


ผมอธิบายไปตามความจริง หากเคนดูเหมือนจะตกใจ


“Oh! I thought you are his boyfriend”

“No! We are just friend”


ผมรีบแก้ไขความเข้าใจผิด คงเป็นเพราะไอ้เก้าชอบเล่นมุกเลยทำให้เคนคิดว่าเราเป็นแฟนกัน เคนเงียบไปพักหนึ่งเหมือนลังเล ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจได้ แล้วช่วยเฉลยเรื่องราวของเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย


“He asked me have I ever been in love someone. I told him I’m gay ‘cause I thought you are a couple. He paused for a moment and before I said anything, he was kissing me”



...ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเก้าถึงจูบเคนไปแบบนั้น

มันคงสับสนว่าแท้จริงตัวมันเป็นเกย์รึเปล่า เลยทดลองจูบกับผู้ชายคนอื่น


แต่ผลก็อย่างที่เห็น ....เก้าจูบผมไม่ได้


“I’m sorry about that”


ผมเอ่ยขอโทษแทนเก้าอีกครั้ง เคนส่ายหน้า ถามผมเพียงสั้น ๆ ด้วยสายตาที่เป็นห่วง


“And you?”

“What?”

“Are you a broken hearted man too?”


คำถามนั้นสะท้อนลึกลงไปในใจ ทว่าผมได้ยินเสียงตัวเองฝืนตอบแผ่วเบา


“No I’m not.”



...ผมไม่ได้อกหัก


...ผมไม่มีหวังตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก



ผมบอกลาเคน แล้วเร่งเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ไอ้เก้านอนนิ่งอยู่บนเตียงคล้ายจะหลับไปแล้ว ก็ไม่แปลกทั้งเมา ทั้งร้องไห้หนักขนาดนั้น มันคงจะเพลีย 


ผมหย่อนตัวนั่งบนเตียงฝั่งตัวเอง เหม่อมองร่างของคนตัวโตที่นอนหันหลังให้ และไม่ได้หลับอีกเลยตลอดทั้งคืน


...

...


ไอ้เก้าตื่นขึ้นมาในตอนสาย พร้อมอาการตาบวมด้วยสภาพดูไม่จืด ผมไล่ให้มันลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาพลางเปรยถาม


“วันนี้จะไปเที่ยวไหนต่อเปล่า”

“กูว่าจะกลับแล้ว”


อีกฝ่ายตอบเสียงนิ่ง ๆ ดูเงียบลงไปกว่าเคย หลังจากผ่านเรื่องเมื่อคืนที่สารภาพความจริง มันคงฝืนทำตัวร่าเริงต่อไปไม่ไหว   


ผมกับไอ้เก้าเลยพากันมาเช็คเอาท์ แล้วก็ได้เจอเคนอยู่หน้าฟรอนท์กำลังเช็คเอาท์เหมือนกัน เคนชวนไปเที่ยวต่อในเมืองกาญ แต่พวกผมบอกว่าจะกลับกันแล้ว เจ้าตัวค่อนข้างเสียดาย เราจึงแลกอีเมล์กัน เคนยังคุยต่อว่าถ้ามีโอกาสมานิวยอร์ก ก็แบ็คแพ็คมาหาได้ เขาจะพาเที่ยวให้ 

ผมขอบคุณน้ำใจของเขา รู้สึกดีที่ได้เพื่อนใหม่จากการมาเที่ยวครั้งนี้ พอบอกลาเคน พวกเราก็นั่งรถกลับมายังสถานีน้ำตกอีกครั้ง แล้วซื้อตั๋วไปธนบุรีสองที่


...อีกครึ่งชั่วโมงรถไฟจะออก


ผมกับไอ้เก้าหาที่นั่งว่าง ๆ รอบนชานชาลา ระหว่างเราไม่ได้มีบทสนทนาใด ๆ ท่ามกลางความเงียบ ในที่สุดผมก็ลุกขึ้น ทิ้งไอ้เก้าไว้เกือบห้านาที แล้วก็กลับมาพร้อมของบางอย่างยื่นให้


“อ่ะ กินมั้ยมึง”


ไอ้เก้าเงยหน้าขึ้นมามองถุงลูกชิ้นกับไส้กรอกทอดถุงใหญส่งกลิ่นหอมพร้อมควันฉุย


“ทริปตระเวนชิมของมึงไม่ใช่เหรอ”


ผมแกล้งเอ่ยแซว ก็เพราะตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางไอ้เก้าก็ไม่เคยหยุดหาอะไรใส่ปาก มันเองก็รู้ตัวเลยรับเอาถุงลูกชิ้นไป พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ เป็นครั้งแรกของวัน


“ขอบคุณว่ะติ๋ม”

“ถ้าจะขอบคุณกูจริง ๆ เรียกชื่อกูให้ถูกก่อน”

“ครับ คุณติณ”


ไอ้เก้าเติมคำสุภาพนำหน้าประชด ก่อนผมกับมันจะหัวเราะพร้อมกัน บรรยากาศความอึดอัดค่อย ๆ จางหาย ผมนั่งลงข้าง ๆ คนที่กำลังเคี้ยวลูกชิ้นกลืนเข้าปากพลางได้ยินเสียงถาม


“มึงว่าพระจันทร์อยู่ห่างจากโลกเท่าไร”

“จะลองภูมิกูอีกแล้วเหรอ”


ผมกลืนลูกชิ้นทอด แล้วตอบตามประสาเด็กภูมิศาสตร์


“385000 กิโลเมตร”

“ไม่ค่อยไกลเท่าไรเนอะ”


ไอ้เก้าให้ความเห็น ผมไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ มันถึงถาม แต่ไอ้เก้ามันก็เป็นแบบนี้ จนถึงตอนนี้ผมยังเดานิสัยมันไม่ถูก


เพียงไม่นานเสียงหวูดรถไฟก็ดังจากที่ไกล ๆ  ผมกับไอ้เก้าลุกขึ้นไปยืนรอเตรียมตัว


“ติณ”

“หือ”


ไอ้เก้าพึมพำอะไรบางอย่าง แต่เสียงล้อรถไฟเคลื่อนเข้าจอดที่สถานีทำให้ผมไม่ได้ยินจนต้องตะโกนถามมันใหม่


“ห่ะ? เมื่อกี๊มึงว่าอะไรนะ กูไม่ได้ยิน”

“เปล่า ไม่มีอะไร มึงรีบขึ้นไปเหอะ”


ไอ้เก้าปฏิเสธ แล้วดันตัวผมให้ขึ้นไปบนรถไฟ มีคนจับจองที่นั่งอยู่ประปราย ผมกำลังจะเดินผ่านไปอีกโบกี้ แต่อยู่ ๆ ไอ้เก้าก็พูดเหมือนที่เคยทำตอนรถไฟเที่ยวขามา


“มึงไปหาที่นั่งก่อนไป เดี๋ยวกูไปซื้อหมูปิ้งแป๊บ”


จบคำ มันก็เร่งเดินหายไปที่โบกี้ก่อนหน้า สงสัยไอ้อาการกระเพาะหลุมดำของมันจะกลับมาแล้ว ผมจึงเดินต่อไปได้ที่นั่งว่าง ๆ แล้วก็นั่งรอคนไปซื้อหมูปิ้ง ทว่ารอจนได้ยินเสียงหวูดรถไฟเตือนออกมันก็ยังไม่มา

ผมพยายามลุกขึ้นชะโงกมองไปยังด้านหน้า แต่ก็ไม่เห็นวี่แววจนชักร้อนรน  ลางสังหรณ์ของผมรอเตือนอะไรบางอย่าง ผมรีบสาวเท้าไปตามขบวนรถไฟ เร่งมองหาไอ้เก้า แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อนายสถานีเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้ประตูปิด


อย่าบอกนะว่า...


รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออก ผมรีบวิ่งไปที่ประตูรถมองออกไปนอกหน้าต่าง และก็ได้เห็นคนที่ตามหายืนนิ่งอยู่บนชานชาลา


“ไอ้เก้า!”


ผมตะโกนตกใจ ไม่คิดว่ามันจะหลอกผมด้วยวิธีนี้ ผมพยายามอย่างโง่ ๆ ที่จะดึงประตูให้เปิดออก ตะโกนด่ามันเสียงดัง


“ไหนมึงบอกว่าจะไม่ทิ้งให้อยู่คนเดียวไง!”


มีเพียงดวงตาคมมองผมด้วยแววตาเสียใจ 


“ติณ กูขอโทษ!”


เสียงนั้นกลืนหายไปกับเสียงรถไฟที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจนร่างสูงกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยแมกไม้



ในที่สุด...ผมก็รู้แล้วว่าคำสุดท้ายที่ผมไม่ได้ยินจากปากมันคืออะไร



ผมเดินกลับมานั่ง เคว้งคว้างอย่างคนจับต้นชนปลายไม่ได้ ไม่รู้จะหาทางติดต่อมันยังไง แล้วอยู่ ๆ ผมก็นึกถึงโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ไอ้เก้าเคยบอกไว้ว่าอย่าเปิดเครื่องจนกว่าจะกลับห้อง แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว คงไม่เป็นไรถ้าผมจะเปิดเช็ค

ผมกดปุ่มโทรศัพท์โนเกียรุ่นเก่า รอสัญญาณให้เต็ม หากยังไม่ทันจะกดปุ่มอะไร SMS เตือนบริการฝากข้อความก็ร้องดังขึ้น


มีข้อความจากแม่โทรเข้า 3 สาย แล้วอีก 25 สายจาก...ภีม


แล้วกว่าจะรู้ตัว นิ้วของผมก็เผลอไปกดปุ่มโทรออก รอสัญญาณอยู่ครู่เดียว ปลายสายก็กดรับแล้วยิงคำถามด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว


“ฮัลโหล ติณ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

“กูอยู่บนรถไฟ”

“รถไฟเนี่ยนะ แล้วไอ้เก้าเป็นไงบ้าง”

“มันแยกไปคนเดียวแล้ว”


พอผมพูดไปอย่างนั้น ไอ้ภีมก็ทำเสียงตกใจร้องโวยวาย


“ห่ะ! แล้วทำไมมึงปล่อยมันไปคนเดียว เกิดมันเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง!”

“แล้วจะให้กูทำยังไง!”


ผมขึ้นใส่อีกฝ่ายอย่างหมดความอดทน ก่อนจะพรั่งพรูทุกสิ่งที่เก็บไว้


“กูพยายามช่วยมันแล้ว แต่กูช่วยมันไม่ได้! มึงเป็นคนที่ไอ้เก้าสนิทมากที่สุด มึงก็น่าจะรู้ว่าไอ้เก้าคิดอะไร!”


...ผมโมโหไอ้เก้า ผมโมโหภีม และที่สำคัญ...ผมโมโหตัวเอง


ตลอดสองวันที่ผ่านมา ไอ้เก้าพยายามทำตัวเข้มแข็งมาตลอด แต่พอถึงวันที่ผมคิดว่าผมจะช่วยมันได้ มันก็กลับทิ้งผมไป ผมคิดว่าถ้าเป็นคนที่สนิทกันมากกว่านี้ คงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าควรทำยังไง ไม่ใช่ปล่อยให้ไอ้เก้าเก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียว


“มึงไม่ได้เป็นคนส่งข้อความนั้นมาให้กูเหรอ”


เสียงภีมย้อนถาม ผมขมวดคิ้วงง


“ข้อความอะไร”


แล้วความทรงจำก็ย้อนกลับมา ไอ้เก้าเคยเอาโทรศัพท์ไปกดข้อความแล้วเป็นคนปิดเครื่องยื่นมาให้ผม ผมรีบวางสายจากภีม แล้วกดไปที่โปรแกรมถาดข้อความส่งออก ซึ่งปรากฏตัวอักษรสั้น ๆ


“ไม่ต้องห่วง กูจะอยู่ข้าง ๆ มันเอง”


หยดน้ำค่อย ๆ หล่นใส่แว่นจนตัวอักษรพร่ามัว


ผมถอดแว่นออก ปาดน้ำตา  ลูบจุดดำเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ตาขวา ผมรู้ว่าภีมก็มี และไอ้เก้าใช้ผมเป็นตัวแทนของภีมมาตลอด


...โลกอยู่ห่างจากพระอาทิตย์ไกลแสนไกล โลกจึงใช้พระจันทร์ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อหวังว่ามันจะส่องสว่างเท่าดวงอาทิตย์บ้าง



แต่แล้ว...พระจันทร์ก็ยังเป็นพระจันทร์ เป็นดาวดับแสงที่ลอยเคว้งคว้างเพียงลำพัง



เสียงหวูดรถไฟดัง เสียงล้อเหล็กเบียดไปตามราง ผมนึกถึงรอยยิ้มของไอ้เก้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตอนขามา



...แต่ตอนนี้เหลือแค่ผมที่ต้องจบการเดินทางนี้เพียงคนเดียว



----------------------------------------------------------------------------------------------------------


END





จบแล้วค่ะ   :m15:
เป็นการจบที่ดราม่า เราอาจเขียนได้ไม่ถึงอารมณ์เท่าที่ควร แต่ก็พยายามจะสื่อถึงความคิดของน้องติณ ซึ่งเราตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
Lonely Planet มีสองความหมาย คือ “ดาวเคราะห์ดวงเดียว” และ “การเดินทางเพียงลำพัง”
น้องติณโคจรอยู่รอบ ๆ ตัวเก้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางได้เข้าไปใกล้ ทำได้แค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ด้วยฐานะของเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์มาก ๆ นะคะ (แม้จะแอบดองไปหลายเดือนก็ตาม)
และที่สำคัญขอบคุณที่ทุกคนที่คอยให้กำลังใจมาตลอดค่ะ

 :กอด1:

 BitterSweet




หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 09-09-2014 17:10:45
โอ้ยยยย จบแบบนี้หดหู่ไปนิด แต่ก็เรียลไปอีกแบบ  ถึงจะแอบหวังให้คู่กันและแฮปปี้เอนดิ้ง ฮือ~~~

ตกลงว่าเก้าพูดอะไรก่อนขึ้นรถไฟ??
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-09-2014 17:13:41
เอ่ออออออออออออออออออออออออออออออออ

เงิบไปสิบนาที

จบได้จวนจะร้องไห้เลยค่ะ

ขอ after story ได้ม้ายยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 09-09-2014 17:19:23
เงิบมากกกกกก ทำใจว่าจะดราม่า แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะจบแบบนี้
จบแบบไม่ได้คู่กันก็พอโอเค แต่อันนี้คล้ายๆกับจบแบบปาหมอนด้วย  :z3: :z3: :z3:
อย่างน้อยขอตอนพิเศษส่งท้ายซักตอนมาทำให้รู้เหอะว่าจะเป็นยังไงต่อ
ยังงี้มันค้างคาใจมากกกกกกก  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: hibarihao ที่ 09-09-2014 17:21:01
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: toou ที่ 09-09-2014 17:45:49
เหยยยยยยยยยยยยยยยยยย   จบงี้จิงๆเหรอ
สงสารติณที่สุดอ่ะพูดเลย
จะโกรธเก้าแล้วน๊ะ!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-09-2014 17:56:18
ติณอกหักแต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ เพราะดูจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ดี
ห่วงก็แต่เก้า จะเคว้งคว้างไปทางไหน อ่อนไหวซะขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 09-09-2014 17:58:10
เราค่อนข้างเข้าใจเก้านะ บางครั้งเราก็จะเข้าใจไปเองว่าถ้าเรามีตัวเเทนของคนที่เราชอบ เราก็จะลืมคนๆนั้นได้ แต่ความจริงแล้ว...ไม่มีอะไรแทนกันได้หรอก ฟังแล้วอาจจะดูใจร้าย แต่เก้าทำถูกแล้วล่ะ ปล่อยติณไป เค้าจะได้มีชีวิตที่ดีไม่ต้องมาหยุดที่เรา :hao5:

 :o12:  อินไปหน่อย5555
เศร้าค่ะ แต่จะเศร้ากว่าถ้าไม่อัพเรื่องอื่น5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 09-09-2014 17:58:41
เอ๊ะะะะะะะะะ จบแบบนี้เลยเหรอคะ??


จบแล้วเหรอคะ??


เอ๊ะะะ  :z3: :ling2: :ling1:




...




โอเคค่ะ สงบสติแปป..



ขอบคุณมากค่ะ สนุกมาก หน่วงมาก ขอบคุณจริงๆค่ะ

โฮรรรรรรรรรรรรรรรรรร :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 09-09-2014 18:15:27
ไม่นร้าาาาาาา คนเขียนใจร้ายกับน้องติ๋มจัง T^T
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: pachth ที่ 09-09-2014 18:26:34
ห๊ะ
เอางี๊เลยนะ
แต่ก็อาจจะดีก็ได้ที่จบแบบนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Goodfellas ที่ 09-09-2014 18:37:52
เฮ้อ....  :m15:

เอาเหอะ  ขอไปจิ้นต่อเอาเองว่าพอเวลาผ่านไป เก้าจะเริ่มมองเห็นติณในอีกแบบนึง  ที่ไม่ใช่แค่เพื่อน... ก็แล้วกันนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 09-09-2014 18:39:44
 :o12: ถึงจะเดาว่าจะจบแบบเศร้าพอจบแบบนี้ก็ทำใจไม่ได้แอบหวังเล็กๆว่าจะสมหวัง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 09-09-2014 19:37:52
จบดีกว่าที่คิดไว้หน่อย อ่านตอนจะจบแล้วแอบคิดว่าเก้าจะกระโดดให้รถไฟชนตรงนั้นเลย เหอๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 09-09-2014 19:50:10
กลัวเก้าคิดสั้น คงไม่หรอกเนอะ  :katai1:
ช่วงเวลาที่อ่อนแอสุดก็คงไม่อยากให้ใครเห็นอะ แล้วติณก็คงยังไม่ใช่คนที่เก้าไว้ใจมากพอจะให้เห็นด้วยอันนี้ก็เข้าใจ
คิดซะว่าได้ทำอะไรเพื่อคนที่ตัวเองชอบแล้วกันนะติณ
แต่หลังจากนั้น เก้าคงไม่กระโดดให้รถไฟทับใช่ม๊ายย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 09-09-2014 20:12:20
ชอบมากๆค่ะ ..
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 09-09-2014 20:42:41
 :ling2: :ling2: :ling2: :ling2: :ling2: :ling2:
ตอนแรกเกริ่นเรื่องพระจันทร์
คิดว่าจะสื่อว่า นอกจากดวงอาทิตย์ยังมีดวงจันทร์อยู่ใกล้ๆคอยให้ความสว่างเช่นกัน ถึงจะไม่สว่างเท่าก็เถอะ..
นึกว่าจะตกลงปลงใจกันแล้ว

 :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 09-09-2014 21:02:48
 :hao5:
ง่ะ จบงี้เหรอ TT
แต่ก็โอเค อ่านตอนที่เก้าถามถึงพระจันทร์ก็แอบคิดในใจว่า
พระจันทร์คอยอยู่เคียงข้างโลกไม่ไปไหน ถึงแสงจะไม่สว่างเท่าดวงอาทิตย์ แต่ระยะทางก็ไม่ไกลเลย
แล้วก็จะเห็นความน่ารักของติณบ้าง หรือรู้สึกดีกับติณขึ้นมาบ้าง อะไรแบบเน้
ฮึก ผิดหวังเล็กน้อย
แต่ไม่เป็นไรค่ะ จบแบบนี้ก็พอเข้าใจเก้าดี
เค้ารักของเค้ามาตั้งหลายปีเนอะ

เอาล่ะ รออ่านเรื่อง ความรัก is following you และ เรื่องของวันสุขกับปรานปริญ(?) อยู่น้าา
 :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mox2224 ที่ 09-09-2014 21:23:56
โห ทำร้ายกันได้ลงพี่พลอย
หน่วงมากกก สุดท้ายน้องติณก็อยู่คนเดียวเฮ้อ
แต่ก็เข้าใจความหมายที่จะสื่อตั้งแต่ชื่อเรื่องละ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Phoenix_SM ที่ 09-09-2014 21:25:59
ก็ว่าทำไมจบเร็ว ทั้งที่ดราม่ายังคงหนักหน่วง................

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-09-2014 21:31:40
จบแบบนี้จริงดิ ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-09-2014 21:55:32
จะมา happy ending ก็จะดูไม่ใช่เก้านะ
แอบรักภีมมานานแล้วเปลี่ยนใจหลังอกหัก ติณจะช้ำใจไปใหญ่ แต่นี้ก็แย่แล้ว นะ

อาจมีตอนพิเศษ ประมาณหลายปีผ่านไป แล้วเก้ากะติณมาเจอกันอีกที
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-09-2014 22:02:26
ติณต้องเจอชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้นะ แอบเสียใจที่จบดราม่า แต่ก็ถูกแล้วไม่คัดค้านนน TT
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 09-09-2014 23:28:57
เชื่อว่าติณจะเจอรักครั้งใหม่ ที่ไฉไลกว่าเดิมมากกกก
เอาให้อิจฉาตัวเองไปเลย
แอบรักเพื่อน มันเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 09-09-2014 23:34:34
ทุกครั้งที่ความรักผ่านเข้ามาทักทาย
ไม่เคยมีใครนิยามไว้หนิ  ว่ามันจะต้องสมหวังทุกครั้ง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 10-09-2014 00:07:42
ง่ะ จบแบบนี้เลย แงงงงง เศร้าไป
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 10-09-2014 04:56:22
เจ็บหนักเลย...หมายถึงคนอ่านอ่ะนะคะ แต่ชอบมากๆ
สเปฯสักหน่อยไหม? เค้าขอกันไหมกับเรื่องสั้น
ชื่อตอน คืนความสุขให้ไอ้ติ๋ม ไรงี้
แบบว่า 5 ปีต่อมา ทั้งสองเจอกันโดยบังเอิญ . . .

ปล. เจ็บหนักๆตรงที่...การเป็นคนไม่ถูกรักไม่ถูกมองเห็น เป็นคนที่อยู่แค่วงนอก ก็ยังต้องเป็นแบบนั้นอยู่ร่ำไป กระซิกๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 10-09-2014 10:32:33
เห็น THE END ตั้งแต่เมื่อคืน
แต่ก็คิดแล้วว่าคงจะจบแบบไหน เลยไม่อ่าน เดี๋ยวฝันร้าย ฮ่าาาาา
เข้ามาอ่านวันนี้ ก็นะ
หนึบๆ เจ็บๆ
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 10-09-2014 11:03:10
จบแล้วจริงๆเหรอ

ไม่อยากจะเศร้าแต่....

มันเศร้าไปแล้ว

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 10-09-2014 13:13:15
ง่ะ จบแล้ว จบแบบนี้คนอ่านค้างคาใจมากเลยอ่ะว่าเก้าจะเป็นยังไงต่อไป จะทำใจกลับมาเข้มแข็งได้เหมือนเดิม หรือว่าจะยอมแพ้ไปผูกขื่อใต้ต้นมะขามตายกันล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 10-09-2014 13:55:54
รู้แต่แรกแล้วละ ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จบคบกัน แต่การที่เก้าทำแบบนี้ โกธรมากบอกเลย ถึงตอนแรกติณจะเสือกเองก้เถอะ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีความหมายอะไรเลยหรอ แค่มิตรภาพดีๆยังให้ไม่ได้   เอาเถอะเบนอาจจะตีความผิดไปเอง แต่สำหรับเบนเก้าไม่โอเคเลย คงอยากบอกติณสินะ ว่าไม่มีใครแทนภีมได้ แร้วไงวะ  แคร์ไหม รู้แต่แรกแล้วเว้ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 10-09-2014 19:50:01
แง๊ เศร้าจุง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: janek_alo ที่ 10-09-2014 21:16:10
คนอน่าเก้านี้ต้องปล่อยให้มันเสียใจมากๆๆๆ
การมีคนที่รักไม่ว่าเป็นรูปแบบไหนดีทั้งนั้น
ติณก็ไม่ได้มีท่าทางที่จะเกินเลยด้วยซ้ำ
บางครั้งคำว่ารักมันก็ไม่ได้การสิ่งตอบแทนหรอกนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Fuzz ที่ 10-09-2014 22:18:22
 :mew2: งือ สงสารติณติณอ่ะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 11-09-2014 14:46:34
จิกดึงทึ้งผมตัวเองตอนอ่านตอนจบ

 :serius2: :katai1: :ling1: :hao7: :z3:

ไม่ได้ไม่ชอบนะ

แต่หน่วงงงงงงงงงงงงแทนติณ โกรธเก้าด้วย ใช้ติณเป็นตัวแทนได้ไง

ถูกใช้เป็นตัวแทนคนอื่นนี่เจ็บกว่าถูกปฏิเสธอีกนะ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 11-09-2014 19:03:03
จบเศร้าจัง อยากอ่านต่ออะเก้าจะคิดสั้นไหมเนี่ยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ordinary_y ที่ 13-09-2014 05:11:16
เห็นจากชื่อเรื่องก็พอจะเดาได้ว่าจะจบแบบไหน แต่พอเอาเข้าจริงๆ.......ขอชนกำแพงตายแป๊บ เศร้าเกิ๊น  :o12: :z3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: bobby_bear ที่ 13-09-2014 10:48:48
เราชอบสไตล์การเขียนของคนแจ่งมากนะ
มันเอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ แต่ไม่เรื่อยเปื่อย คล้ายตอนเขียนเต่าน้อยอ่ะ
สนุกดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 14-09-2014 13:46:11
โอยมันจุกอก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

สงสารติณอ่ะ

 ฮืออออออออออ

ถึงเก้าจะเห็นติณเป็นแค่พระจันทร์ แต่ติณเป็นพระอาทิตย์ของเรานะ

โอย อยากจะร้องไห้

 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 16-09-2014 21:15:43
เศร้าจังเลย  เจ็บนะกับการเป็นตัวแทนของใครสักคน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 26-10-2014 17:52:27
แอบเงิบนิดนึง .. คือไม่ได้เตรียมใจมาอ่านนิยายที่สุดท้ายไม่แฮปปี้น่ะค่ะ
ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยด้วยซ้ำมั้งคะที่เราอ่านแล้วจบไม่สมหวัง คืออย่างบางเรื่องถึงจะมีใครตายเราก็ยังถือว่าสมหวังนะคะ
อย่างน้อยก็คือรักนั่นแหละ แต่แบบ ไม่รักกันนี่คือเจ็บจริง ที่จริงก็เริ่มรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนที่ถามเรื่องพระจันทร์แล้วแหละค่ะ
แอบหวังไว้ลึกๆว่าสุดท้ายแล้วเก้าจะรักติณนะคะ ตอนที่พูดที่สถานีรถไฟแล้วติณไม่ได้ยินน่ะค่ะ เผื่อว่าจะยังมีหวังบ้าง

เฮ้อ ..

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: numilddy ที่ 26-10-2014 20:38:58
อ้าวเชี้ยจบแบบนี้
อารมณ์แบบเห็นติณเป็นตัวแทนอ่ะเก้าแม่งงงง
 :z3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 29-10-2014 07:38:01
โอ๊ยยยยยยย
จบเศร้าอ่ะ   เก้าน่าจะกลับไปด้วยกัน
อยู่แบบนี้มันน่าเป็นห่วงไปนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: I-Icezz ที่ 29-10-2014 12:39:54
ไม่โอเคกับเก้านิดหน่อยอ่ะ คือ..ไหนบอกจ่ะไม่ทิ้งให้ติณอยู่คนเดียวไง
ผิดคำพูดหนิหน่าาาา ก็รู้ว่าแทนที่ไม่ได้ แต่ติณก็มาเพื่อนเป็นเพื่อนคอยปลอบใจหรือป่าว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: natt lUcky ที่ 09-11-2014 20:12:15
เศร้าเลยอะ ดราม่าสุดๆ
เก้าทำงี้เลย ไหนบอกจะไม่ทิ้งไง
แงๆ สงสารติณ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 07-02-2015 21:57:34
อืม เศร้ามากมายเลยแบบนี้ ไม่รู้จะสงสารใครดี เก้า หรือ ติณ

ขอบคุณสำหรับเรื่องสั้นดี ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 05-06-2015 17:48:43
ติณสู้ต่อไปยังมีคนอีกมากมายที่เราต้องพบเจอ
เก้าก็ด้วย สู้ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 11-06-2015 21:47:35
จบแบบนี้ตะเตือนไตที่สุด :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: RinNam ที่ 06-07-2015 19:16:42
จบแบบเหงาๆ

แบบว่า ก็แอบคิดนะว่าไม่น่าจะได้คู่กัน

แต่ก็อดเหงาไม่ได้อยู่ดี

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: tomybsl ที่ 07-07-2015 12:58:03
น่าจะมีต่ออีกนิดนะค่ะ อยากรู้ว่าหลังจากนี้ไปความสัมพันธ์ทั้งติณ เก้า แล้วก็ภีมจะเป็นไง :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 20-07-2015 00:13:23
สงสารติณว่ะ ไม่อยากจะโทษแต่เก้าแม่งผิดเต็มๆเลย
ไม่ว่าเราจะเสียใจขนาดไหน...ก้ไม่ควรใช้คนอื่นเป็นตัวแทนอีกคนไม่ใช่หรอวะ...
ตอนที่บอกว่าจูบติณไม่ได้
ยังไม่เจ็บเท่าสุดท้ายมารู้ว่าตลอดเวลาที่เราคิดว่าเราใกล้เค้ามากขึ้นแล้ว
แต่เค้ากลับมองเราเป็นแค่ ตัวแทน ของอีกคน

เพราะนี่คือโลก...พระจันทร์เลยมีแค่ดวงเดียว...
แต่ถ้านี่ไม่ใช่ดาวเคราะห์โลก...และพระจันทร์ไม่ไม่มีแค่ดวงเดียว...
ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะเหลือใครมาเป็นห่วงและรอคอยอีกมั้ย...ถ้าทำตัวแบบดาวโลก...
เพราะพระอาทิตย์มันอยู่ไกล...และไม่สามารถเข้าใกล้ได้อยู่แล้ว...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-07-2015 14:35:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-07-2015 17:24:42
เงิบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Rong ที่ 21-07-2015 14:59:02
แอบหวังว่าจะคู่กัน

สุดท้ายก็จบแบบเหงา ๆ
ชอบการเปรียบเปรยมาก ๆ มันดูลึกซึ้ง แล้วเห็นภาพดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: cbqx ที่ 26-07-2015 00:32:07
ปวดใจจจ

ติณน่าสงสารรรรร
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ORabbit ที่ 30-07-2015 01:50:44
โอ้ยยย จบเศร้าอ่ะะะะ สงสารติณ สงสารเก้าด้วย
รักที่ไม่สมหวังมันก็เจ็บปวดเป็นธรรมดา T^T
คือตอนแรกก็เหมือนจะดีแล้วนะ
ไอเราก็คิดว่าเห้ยยย หรือจะสลับคู่ แต่เก้าก็เห็นติณเป็นแค่ตัวแทน
สุดท้ายลงรถไฟไปกลางทาง ทิ้งให้ติณเป็นพี่ปั๊ปเลย (ทิ้งไว้กลางทาง//ไม่เกี่ยว55555)

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: แพรวฐา ที่ 20-10-2015 14:52:01
ฮืออออ แอบเศร้าแทนติณ อยากให้มีตอนพิเศษจัง :hao5: :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 12-11-2015 22:14:24
 :a5:  จบแบบเศร้ามากเลย ไม่รู้จะสงสารใครดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 15-11-2015 00:02:16
เก้า.....เกลียดมึงว่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 14-05-2016 17:20:38
เยี่ยมค่ะ คิดว่าติณเป็นใคร แทนใครได้หรอ

ติณน่าสงสารกว่านะ

เก้าคนบ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 09-06-2016 15:33:57
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: taltal020441 ที่ 09-06-2016 23:43:06
โห จบงี้เลยหรอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 10-06-2016 18:46:19
เฮ่ออออ ก็เป็นงั้นไป  :hao4:
สมเพชตัวเองที่เปิดดูเรื่องไหนก็มีแต่ดราม่า โว๊ะ แม่งเอ้ยไอ้เชี่ยเก้า ไอ้ดอกทอง เห็นติณเป็นตัวแทนได้ไงวะ สมน้ำหน้ามึงแล้วที่ภีมไม่เลือกส้น!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 10-06-2016 22:32:19
ขอบคุณผู้เขียนมากๆ ค่ะ ที่ได้เขียนเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องนี้มาแบ่งปันกันอ่าน ดิฉันชอบอารมณ์ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ โดยทางรถไฟของเรื่องนี้มาก ให้ความรู้สึกเหมือนช่วงอดีตหรือวันวานที่ผ่านมา คล้ายมีสีเซเปียมาอาบย้อมบรรยากาศไว้ได้อย่างงดงาม

คิดไว้ตั้งแต่แรกอ่านแล้วว่า คงจบไม่สวยแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะจบไม่สวยขนาดนี้ แอบเสียใจแทนติณเหมือนกันค่ะที่เป็นได้แค่เพียงตัวแทนของภีม แต่คิดว่าติณคงไม่เจ็บลึกมากเท่าใดนัก เพราะติณเองก็เพิ่งเริ่มรู้สึกกับเก้า หมายถึงเพิ่งค้นพบว่าตัวเองก็รู้สึกกับเก้า ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้ถลำลึกอะไรมาก และคงจะใช้เวลาไม่นานเพื่อการลืมสิ่งที่เริ่มต้นไม่ดีนั้นเสีย

แม้เก้าจะผิดในสิ่งที่กระทำกับติณ แต่ดิฉันก็เห็นใจเขาว่า คนกำลังอกหักเพราะรักมานานและไม่สมหวังก็น่าจะไม่ค่อยมีสติกับเนื้อตัวเท่าไรนัก จะทำอะไรก็คงไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ได้แต่ใช้อารมณ์อันรุนแรงกระทำการออกมา อย่างเช่นการจูบกับเคนนั้นเป็นต้น ห่วงก็แต่ว่าหลังจากแยกกับติณแล้ว เก้าจะไปไหนต่อ กลัวเขาจะไม่ห่วงความปลอดภัยตัวเอง คนอกหักเหมือนเดินอยู่บนหน้าผา พอถูกแรงลมเป่าอาจพลัดตกลงมาได้ ก็หวังว่าเขาจะคิดถึงตัวเองและพ่อแม่ให้มากๆ และตระหนักว่าอย่างน้อยแม้ภีมไม่ได้รักเขาอย่างนั้น แต่ภีมก็ยังห่วงเขาในแบบเพื่อน และติณเองก็เป็นอีกคนที่จะห่วงเขาไม่แพ้คนอื่นๆ

ขอบคุณ BitterSweet มากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-06-2016 15:18:18
เศร้าเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 18-06-2016 17:52:28
That's life.
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: nopkar ที่ 05-01-2017 18:17:10
ส่วนตัวแล้วชอบการจบนิยายแบบนี้นะครับ. ไม่ใช่เพราะมันเศร้า แต่เพราะมันทำให้เราได้คิดต่อ ...

ทำให้เราได้คิดต่อว่า  ชีวิตของตัวเราเองก็ต้องเดินทางไปเรื่อยๆ
อาจมีแวะพักตามสถานีบ้าง เจอตนแปลกหน้ามานั่งด้วยบ้าง แล้วก็มีจากกันไปบ้างตามสถานที่ต่างๆ 
แต่เราก็คงต้องเดินทางไปจนถึงปลายทางของตัวเราเอง

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 02-05-2017 20:23:15
อ่าววววววววว
 :mew2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet #7 ★ END [09/09/14]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 07-05-2017 13:34:26
ง่า....เศร้ามาก :mew4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet ที่ 28-05-2017 18:08:51
Lonely Planet Side Story



“ไอ้ติ๋ม”


...ถ้าเป็นในเวลาปกติ ผมคงไม่หันกลับไปตอนได้ยินเสียงเรียกตั้งแต่ครั้งแรก


เหตุผลเพราะนั่นไม่ใช่ชื่อผม ถึงแม้ฟังแล้วจะออกเสียงคล้ายๆ กันก็ตาม ความจริงผมควรจะก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับเฟซบุ๊คบนสมาร์ทโฟน เพื่อฆ่าเวลาขณะรอรถไฟฟ้า BTS เทียบชานชาลาสถานีหมอชิต แต่บังเอิญนิ้วมือดันสไลด์ผ่านภาพพรีเวดดิ้งของคู่บ่าวสาวที่เป็นเพื่อนมหา’ลัย

และผมก็ดันปล่อยให้ตัวเองหยุดมองมัน


...เผลอแป๊บเดียวก็ถึงวัยที่พวกเราต้องตัดสินใจแต่งงานกันแล้วเหรอเนี่ย เรียนจบมาได้สามปี ยังรู้สึกเหมือนเมื่อวานนี้ที่นั่งกลุ้มกับการสอบไฟนอล ต้องท่องติวหนังสือยันโต้รุ้งกันอยู่เลย

ความทรงจำสมัยเรียนย้อนกลับมาชวนให้นึกถึง ในช่วงขณะหนึ่งบรรยากาศของสถานีรถไฟฟ้าตอนหกโมงเย็น จึงคล้ายเปลี่ยนแปลงไปเป็นถนนหน้าตึกคณะอักษร

กลิ่นชื้นของไอดินจากต้นชมพูพันทิพย์ นักศึกษาเดินจอแจสวนผ่านไปมา กลุ่มเพื่อนที่นั่งยึดโต๊ะประจำข้างใต้ตึก และเสียงเรียกของคนที่คุ้นเคย...


“ไอ้ติ๋ม”


ร่างสูงของใครคนหนึ่งโบกมือพร้อมกับส่งยิ้มกวนๆ มาให้ ภาพนั้นแทบจะซ่อนทับกับความทรงจำเก่าๆ

ยกเว้นแค่ว่า...ผมไม่ได้เจอมันข้างนอกมหา’ลัยอีกเลย หลังจากที่พวกเราเรียนจบ

ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษา สวมแค่เสื้อยืดทับด้วยเสื้อยีนส์สีซีดกว่ากางเกง รองเท้าหนังบูทหุ้มข้อเยินๆ หนวดเคราตามคางโผล่ขึ้นมานิดหน่อยตามประสาคนไม่ใส่ใจจะโกนมันออกบ่อยๆ

ดูรวมๆ แล้ว สไตล์ยังคงห่างไกลความเนี้ยบ ไม่ต่างไปจากนิสัยง่ายๆ ที่เริ่มต้นทักทาย


“ตอนแรกกูก็สงสัยอยู่ว่าใช่มึงรึเปล่า เห็นมึงตัดผมสั้นกว่าเดิม แต่ยังดีที่มึงยังใส่แว่นอยู่ ติ๋มๆ แบบนี้กูก็เลยจำได้”

ผมย่นหัวคิ้วรีบเถียงกลับ

“กูบอกแล้วไงว่า กูไม่ได้ชื่อติ๋ม”

คนถูกโวยวายยกมือยอมแพ้ แก้ไขคำพูดให้ใหม่

“เออๆ ไอ้ติณ มึงนี่ยังเหมือนเดิมเป๊ะ”

ผมก็อยากบอกมันคืนด้วยประโยคเดียวกัน


...มึงก็ยังเหมือนเดิม...ไอ้เก้า...นับตั้งแต่ที่มึงแยกจากกูบนรถไฟในวันนั้น


มีคำถามมากมายที่ผมอยากจะได้คำตอบ ทว่าในตอนนี้ เรื่องราวผ่านพ้นไปนานพอให้ผมลืมเลือน

เวลาทำให้ทุกอย่างค่อยๆ กลายเป็นแค่ความทรงจำ เราต่างเติบโตขึ้น เหมือนที่ไอ้เก้าเริ่มสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ

“หือ? แต่มึงมีอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไปนะ”  ใบหน้าคมพยักเพยิดไปที่วัตถุในมือผม

“อ้อ ก็มันสะดวกกว่านี่หว่า”

ผมไหวไหล่ เมื่อพูดถึงไอโฟนที่ถอยมาได้ครบสองปี แทนโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่ากึกที่ใช้คงทนมาตั้งแต่มัธยมจนถึงมหา’ ลัย และอาจเพราะผมเป็นคนใช้ของอย่างทะนุถนอมนี่เองล่ะมั้ง ไอโฟนเลยยังดูเหมือนใหม่พอที่ไอ้เก้าจะทัก

ผมยัดอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคลงในกระเป๋ากางเกง ขณะเจ้าหน้าที่เป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้รถไฟฟ้าเคลื่อนเข้ามาเทียบ ก่อนย้อนถามคนข้างตัวบ้าง


“แล้วมึง...สบายดีไหม?”

ไอ้เก้ายิ้ม...ผมสังเกตเห็นเช่นกันว่ารอยยิ้มของมันต่างออกไปจากเดิม


...ผ่อนคลาย...และไม่ฝืนปิดบัง


“กูโอเคดี”


คำตอบมาในจังหวะที่ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก ไอ้เก้าตบบ่าผม แล้วเดินนำหน้าเข้าไป ราวกับเรียกให้ผมตามไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า มันความหมายตามที่พูดจริงๆ
รถไฟฟ้าต้นสถานีไร้ผู้คน มีที่นั่งเหลือเฝือพอให้จับจอง แต่พวกเราดันเลือกไปยืนพิงผนังในช่วงรอยต่อของขบวนแทน ด้วยเหตุนี้ ถึงจะยืนใกล้กัน แต่ผมกับมันก็ยังคงอยู่คนละโบกี้

แล้วบทสนทนาก็ดำเนินไปต่อโดยไอ้เก้าเป็นคนนำ


“มึงจะไปลงสถานีไหน” 

“อ่อนนุช แล้วมึงอ่ะ ลงไหน?”

“อ่อนนุชเหมือนกัน มึงทำงานอยู่แถวนั้นเหรอ?”

“เปล่า หอกูอยู่นู้น กูแค่แวะมาหาลูกค้า”

“มึงทำงานอะไรนะ?”

“ขายประกัน”


ไอ้เก้าทำสีหน้าทึ่งๆ คงเซอร์ไพรซ์ที่เห็นผมเลือกทำอาชีพผิดไปจากที่มันคิด

แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่า เด็กเอกภูมิศาสตร์บุคลิกเงียบๆ จะต้องมาใส่เชิ้ต กางเกงแสล็ก หิ้วแฟ้มเอกสารไปเจรจาโน้มน้าวขายของให้ลูกค้า

...ความฝันในตอนเด็ก กับ ความจริงในตอนเริ่มต้นทำงานย่อมแตกต่างกัน ไม่แปลกที่นักศึกษาส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพที่ไม่ตรงกับสายที่เรียน เพื่อนๆ ของผมเลยมีตั้งแต่ นายธนาคาร ยันตำรวจหญิง

ส่วนคนตรงหน้า ผมเดาไม่ออกเช่นกันว่า ตอนนี้มันทำงานอะไร แต่ไม่ต้องเก็บความสงสัยไว้นาน เพราะไอ้เก้าดันเฉลยออกมาเอง


“ตอนนี้กูเปิดร้านอาหารอยู่ มึงคิดไม่ถึงอ่ะดิว่ากูจะเป็นเชฟ”

หนุ่มเรียนจบเอกสังคมยักคิ้วโชว์ภูมิ

แต่ขอโทษที...

“กูไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะกูรู้ว่ามึงตะกละ”

ไอ้เก้าทำตาโตกับคำสรรเสริญ

“กูเนี่ยนะตะกละ?”

“โห มึงอ่ะโคตรตะกละ ก็อย่างตอนเราไปนำ้ตกด้วยกัน...”

ผมชะงักไปกลางคัน


ปิ๊บ..ปิ๊บ..ปิ๊บ..


สัญญาณปิดประตูของรถไฟฟ้ากรีดร้อง เสมือนเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าผมกำลังเข้าไปใกล้เขตแดนต้องห้ามโดยไม่ทันระวัง

รถไฟฟ้าเคลื่อนออกจากสถานีหมอชิต ระหว่างที่พวกเราทั้งคู่เงียบลง หน้าต่างด้านนอกเป็นวิวเมืองของตึกสูงใหญ่ แตกต่างจากวิวทุ่งหญ้าและบ้านหลังเล็กๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี


“ขอโทษที่กูทิ้งมึงไว้บนรถไฟ”


ในที่สุดผมก็ได้ยินถ้อยคำทำลายความเงียบ

ต่อให้คิดว่าจะลืม แต่รถไฟที่บรรทุกความทรงจำของผมกับไอ้เก้าก็เคลื่อนตัวออกไปข้างหน้า ซ้ำยังบรรทุกคำถามที่ผมเคยคาใจในคราวนั้นย้อนให้กลับมา


...หลังจากแยกกันมึงไปทำอะไร?

...แล้วมึงไปอยู่ที่ไหน?

...ทำไมมึงถึงไม่พากูไปด้วย?


ผมพยายามติดต่อกับไอ้เก้า แต่ก็ไม่เคยโทรหามันติดอีกเลย ไอ้เก้าคงไม่ได้แค่ปิดเครื่อง มันอาจเปลี่ยนเบอร์ไปด้วย เพื่อตั้งใจจะตัดขาดจากทุกความสัมพันธ์ กระทั่งวันงานรับปริญญามันก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้า

เราคงไม่มีทางกลับมาคุยกันได้เหมือนเดิมอีกต่อไป...ผมสรุปกับตัวเองแบบนั้น

ทุกคำถามจึงถูกเก็บเอาไว้ในหีบต้องห้ามส่วนลึกที่ไม่เคยไขเปิดออก

รวมถึงคำถามสำคัญที่สุด


...มึงทำใจจากไอ้ภีมได้รึยัง?


คู่สนทนาเห็นผมเงียบไปนาน เลยเอ่ยเสียงอ่อนแบบคนมีความผิดตัวตัว

“มึงยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ?”

ผมถอนหายใจ หันไปสบตามันตรงๆ ครั้งแรกในรอบสามปี

“กูไม่ได้โกรธ กูแค่เป็นห่วง”

ไอ้เก้าถึงได้ยิ้มออก สีหน้าที่แสดงความโล่งใจของมัน ทำให้ผมคิดว่า เรื่องนี้คงเป็นหนึ่งในปมที่ไอ้เก้าอยากแก้มาตลอด

“มึงจำเคนได้ป่ะ ฝรั่งนิวยอร์กที่กูเก็บกระเป๋าตังค์ได้”

“จำได้สิ”

จะลืมลงได้ยังไง วีรกรรมบ้าๆ ของมันที่เมาแล้วไปจูบผู้ชาย เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเบี่ยงเบนรึเปล่า

“เออ พอกูแยกจากมึง กูดันมาเจอเขาอีกรอบเลยรู้ว่าเขาเป็นเชฟ คุยไปคุยมา เขาชวนกูไปเรียนทำอาหารกับเขาที่นิวยอร์ก กูเลยกลับบ้านมาเตรียมเอกสาร แล้วเก็บกระเป๋าบินตามเขาไป นี่กูเพิ่งกลับมาไทยได้สองเดือนเอง”

ไม่ใช่แค่น้ำตก ภูเขา หรือทะเล แต่ไอ้เก้าเล่นหนีอาการอกหักไปเมืองนอก มิน่าล่ะ ผมถึงไม่ได้ข่าวจากมันอีกเลย

“อาทิตย์หน้าไอ้ภีมขอให้กูเป็นคนทำอาหารในงานทั้งหมด กูถึงได้มาเลือกจานชามแถวจตุจักรไง”

“อาทิตย์หน้า?” ผมเลิกคิ้วงง
 
“มึงก็เห็นในเฟซแล้วไม่ใช่เหรอ?”

คำถามนั้นทำให้ผมเพิ่งตระหนักได้ว่า ไอ้เก้าไม่ได้สังเกตเห็นแค่สมาร์ทโฟนอันใหม่ แต่ยังสังเกตเห็นภาพพรีเวดดิ้งบนเฟซบุ๊คที่ผมเปิดค้างเอาไว้ด้วย


...เนตรกับภีมกำลังจะแต่งกัน นั่นหมายความว่า มีคนคนหนึ่งอกหักถาวร


แต่ดูเหมือนไอ้เก้าจะปล่อยวางเรื่องเหล่านี้ไปนานมากแล้ว มันเลยบ่นด้วยท่าทีไร้อาการเจ็บช้ำ ซ้ำยังดูสนุกสนานไปกับงาน

“กูต้องวิ่งวุ่นเป็นทั้งเชฟ ทั้งเพื่อนเจ้าบ่าว โคตรวุ่นวายเลย เออ...มึงจะมาด้วยใช่ป่ะ มีคู่ควงไปงานยัง? แต่ให้กูเดาน่ะว่าต้องไม่มีแหงๆ ขนาดหล่อๆ อย่างกูยังหายากเลย”

“ปากอย่างมึงใครจะมาเป็นคู่ให้วะ!?”

ผมส่งประโยคเหน็บแนมคืนมันกลับไปบ้าง แต่ไอ้เก้าดันรู้ทันว่านั่นก็เป็นแค่วิธีกลบเกลื่อนของผม

“แสดงว่ากูเดาถูก”

มันยักคิ้วยียวน ผมไม่ทันอ้าปากเถียง เพราะรถไฟฟ้าจอดลงที่สถานีสยาม ผู้โดยสารทยอยเข้ามาเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่า จังหวะสนทนาของพวกเราเลยหยุดลงไปพักหนึ่ง

ใช่...มันเดาถูก ผมโสด แต่นั่นเพราะมัวยุ่งอยู่กับงาน ไม่ใช่เพราะอกหักเลยทำใจยังไม่ได้ซะหน่อย


ผมยอมรับ...ผมเคยรักไอ้เก้า...


รู้ตัวชัดๆ ก็หลังจากที่มันลงจากรถไฟไปแล้ว ผมนอนคิดถึงมันทุกคืน คิดถึงเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม สถานที่ที่เราไปเที่ยวด้วยกัน

ตอนไอ้เก้าอกหักมันพาผมตระเวนกินไปทั่ว แต่พอถึงคราวตัวเองบ้าง น้ำหนักผมกลับลดลงฮวบฮาบ ซูบผอมจนแม่คิดว่าผมป่วย

ผมหลบเลียแผลใจอยู่ที่บ้านนานหลายเดือน กว่าจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ก็ตอนเริ่มต้นหางานทำจริงๆ จังๆ

เมืองใหญ่ การจราจร ผู้คน ทำให้ผมใช้ชีวิตโคจรในวิถีเร่งรีบ ไม่เหลือพื้นที่ให้กับความคิดฟุ้งซ่าน หรือใส่ใจพิจารณาทุกอย่างรอบข้าง

ผมก้มหน้ามองดาวบนดิน มากกว่าดาวบนฟ้าที่ตัวเองชื่นชอบ

แต่บุคคลซึ่งผมไม่เคยคิดว่ามันจะสนใจดาราศาสตร์ ดันเปิดประเด็นขึ้นมา ตอนที่พวกเราอยู่ตรงสถานีอโศก

“มึงรู้เรื่องระบบสุริยะใหม่ป่ะ?”

“TRAPPIST-1อ่ะเหรอ?”

“แปลกดีเนอะ ไม่คิดว่าจะเจอระบบสุริยะที่คล้ายๆ กับโลกเราด้วย มึงคิดว่าจะมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ที่นู้นไหม?”

“ก็อาจเป็นไปได้ ระบบสุริยะ TRAPPIST-1 มีดวงอาทิตย์ขนาดเล็กกว่าของระบบสุริยะของเรามาก พวกดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ใกล้ๆ เลยได้รับทั้งแสงสว่างและความร้อนที่เหมาะสมพอจะทำปฏิกิริยาเคมีให้เกิดน้ำ...และที่ไหนมีน้ำ โอกาสที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตก็ยิ่งสูง”

ไอ้เก้าตาโตเหมือนเด็กน้อยฟังนิทานไซไฟท่องอวกาศ

“มึงนี่วิชาการสมกับเป็นติ๋มจริงๆ”

แถมด้วยคำชมที่ผมไม่ค่อยจะปลื้ม

“เมื่อไรมึงจะเลิกเรียกกูว่าติ๋มสักทีวะ ถ้ากูถอดแว่นแล้วมึงจะเรียกกูว่าติ๋มอยู่อีกไหม”

“กูเคยบอกแล้วไง มึงใส่แว่นไว้อ่ะเหมาะดีแล้ว”

จุดเล็กๆ ใต้ตาขวาของผมร้อนขึ้นมานิดๆ


เมื่อก่อนตอนไปเที่ยวด้วยกัน ผมคิดเสมอว่า ไอ้เก้าใช้ผมเป็นตัวแทนของไอ้ภีม แต่มานั่งนึกย้อนดู ข้อสันนิษฐานพวกนั้น อาจเป็นแค่ความสับสนและน้อยใจของผมเองเพียงคนเดียว


…ไม่มีใครแทนใครได้


สำหรับเก้า...ไม่มีใครแทนที่ภีม
สำหรับผม...ไม่มีใครแทนที่เก้า


ผมพิสูจน์มาแล้ว


ที่สำคัญ ผมรู้สถานะของตัวเองตั้งแต่แรก


“แต่ถ้าได้เจอสิ่งมีชีวิตนอกโลกก็ดีอย่าง”

คนสนใจระบบสุริยะยังคงให้ความเห็นต่อ

“ยังไง?” 

ไอ้เก้ายิ้มมุมปาก

“อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า...เราไม่ได้อยู่เดียวดายในจักรวาลนี้ไง”

…น้ำเน่า ผมทำสีหน้าเอือมๆ ล้อมัน

“นี่มึงเหงาถึงขนาดอยากหาเอเลี่ยนจากนอกโลกเลยเหรอวะ?”

ไอ้เก้ายิ้มกว้างกว่าเก่า

“ไปทำไมนอกโลก...ใกล้ๆ นี่ก็มี...”

ไม่แน่ใจว่าท้ายประโยคมีความนัยอะไรสื่อถึงผมรึเปล่า


ผมรู้ตัว...สถานะของผมยังคงเป็นได้เพียงแค่คนข้างๆ ของไอ้เก้ามาตลอด เหมือนกับที่มันเคยพิมพ์ SMS ส่งให้ภีม

แต่ตราบใดที่เราต่างโคจรอยู่ใกล้กัน...ผมก็คิดว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร


สถานีอ่อนนุชมาถึงเร็วกว่าทุกวัน คราวนี้ผมเดินนำ ส่วนไอ้เก้าเดินตามออกมาจากรถไฟฟ้า พลางถามไล่หลัง

“มึงจะไปไหนต่อ?”

“ก็กลับหอเลยมั้ง”

“งั้นมึงไปกินข้าวร้านกูไหม เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”

…ก็ดีเหมือนกัน เพราะท้องผมก็ชักจะร้องโครกคราก แถมประหยัดไปได้อีกมื้อ

“เอาดิ ร้านมึงอยู่ไหน ต้องเข้าซอยไปป่ะ”

ผมเตรียมเดินลงบันไดจากชานชาลา จะได้เลือกช่องทางออกถูก แต่คำตอบของไอ้เก้าทำให้ผมชะงัก

“ร้านอยู่แถว BTS สะพานตากสิน”

BTS สะพานตากสิน เดี๋ยวนะ...ถ้าจำไม่ผิดมันต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีสยามไม่ใช่เหรอ

“แล้วมึงจะมาอ่อนนุชทำไม?” ผมขมวดคิ้วงง

ไอ้เก้าไม่ได้พูดอะไรในเดี๋ยวนั้น มันสูดลมหายใจคล้ายเรียกความกล้า ก่อนสารภาพด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“กูอยากแก้ตัวกับมึงใหม่”

ผมสบมองดวงตาของคนที่ยอมลงทุนนั่งรถไฟเลยจุดหมายของตัวเองมา

หรือจริงๆ...ไม่ได้เลย...ไอ้เก้าอาจตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกที่จะลงพร้อมผมไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหน


“มึงจะนั่งรถไฟไปกับกูไหม ครั้งนี้กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงกลางทางอีกแล้ว”


ถ้อยคำวอนขอหนักแน่น จังหวะหัวใจของผมเต้นแรงกว่าปกติ หากถูกกลบด้วยเสียงรถไฟฟ้าขบวนที่เพิ่งแล่นมาเทียบชานชาลาฝั่งตรงข้าม จนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองขณะพยักหน้าตอบรับ


“เออ”


แล้วไอ้เก้าก็ส่งรอยยิ้มที่ทำให้ผมตกหลุมรักมาให้อีกครั้ง


พวกเราสองคนเดินลงบันไดไป เพื่อไปขึ้นชานชาลาฝั่งตรงข้าม รอรถไฟขบวนใหม่

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินย้อมโลกทั้งใบให้กลายเป็นสีส้ม ค่ำคืนนี้ในเมืองใหญ่อาจมองไม่เห็นดวงดาวมากนัก แต่ไม่เป็นไร ผมยังมีเวลาอีกเหลือเฟือพอจะค้นหา


...เพราะการเดินทางโคจรรอบกันและกันของผมกับไอ้เก้า


...มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น




——————————————————————————————————

END


สวัสดีค่ะ ไม่ได้พบกันนานเลย สบายดีกันนะคะ  :กอด1:

เมื่อวันก่อน บังเอิญเปิดอ่านเรื่องสั้นของตัวเองเลยคิดถึงติณกับเก้าขึ้นมา นึกๆ ดูตอนนั้นทั้งสองคนต้องแยกย้ายกันไป ต่างฝ่ายต่างเจ็บ เก้ายังตัดใจจากภีมปุ๊บปั๊บไม่ได้ ถึงแม้จะเริ่มรู้สึกดีกับติณแล้วก็ตาม

เขาถึงว่ากันว่า...กับคนบางคน...ก็ต้องรอจังหวะเวลาที่ใช่และเหมาะสม

Side Story พิเศษนี้เลยเขียนขึ้นมาแบบเรียลไทม์ ให้เวลาผ่านไปสามปี เพื่อความสมจริง (ฮา) ในที่สุดคู่นี้ก็จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งสักทีค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน เป็นดาวดวงน้อยที่โคจรอยู่ข้างๆ กันมาตลอดนะคะ

 :pig4:

BitterSweet

 

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 28-05-2017 19:28:52
ถ้ารอแล้วจะแฮปปี้ก็ยินดีรอ ว่าไหม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-05-2017 21:00:37
เหมือนกับว่า เวลาช่วยเยียวยาทุกสิ่ง
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-05-2017 21:52:03
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 30-05-2017 23:00:40
มาได้ถูกที่ ถูกเวลาแล้วล่ะเก้า.. ขอให้เดินทางไปด้วยกันอย่างมั่นคง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 31-05-2017 18:17:13

ขอบคุณมากนะคะที่มาต่อ Side Story ย้อนอ่านตั้งแต่ต้น

เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว..ครั้งนั้นก็ชอบการจบแบบนั้นมาก รู้สึกว่ามัน real ดี สำหรับความรัก 4 ปี ให้เริ่มต้นใหม่กับใครได้ชั่วข้ามคืน

ก็คงไม่ใช่รัก..

และสำหรับครั้งนี้ก็ชอบอีกเช่นกัน เวลามันทอดนานจนไม่แปลกที่ถ้าอยากจะเริ่มใหม่กับใคร ก็น่าจะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเราตอนเราเจ็บปวดที่สุด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 02-06-2017 00:08:21
โอ้ยยยย จำได้ว่าเอาเรื่องนี้ไปบ่นแช่งชักหักกระดูกอยู่นานสองนาน

มาจบแบบนี้แล้วคงต้องไปไล่หาสเตตัสตัวเองแล้วลบทิ้งล่ะมั้งค่ะเนี่ย

ขอบคุณที่เขียนตอนจบแบบนี้ให้นะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 04-06-2017 22:21:05
ขอบคุณที่ทำให้คนสองคนไม่ต้องเดินทางตามลำพังอีกแล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 10-06-2017 15:00:13
ขอบคุณที่ทำให้ทั้งสองมาโคจรรอบกันอีกครั้ง  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 11-06-2017 16:38:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-06-2017 22:26:49
อ่านจบตอนแรกก็เจ็บปวดนะ ความจริงบางทีไม่ได้สวยงามเสมอไป
แต่ก็ยอมรับว่ามีอย่างนี้จริงๆ พอจะทำใจได้ แล้วมาต่อใหม่
ทำให้รู้สึกว่า บางทีโลกเราก็ไม่ได้โหดร้ายเสมอไป
ขอบคุณนะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 13-06-2017 10:18:52
ชอบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 29-09-2017 09:33:25
จุดเริ่มต้นก็ยังเป็นรถไฟเหมือนเดิม
ดีใจที่กลับมาเจอกันอีก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 29-09-2017 15:07:18
เพิ่งได้อ่าน ตอนจบพาร์ทแรก ช็อกมากอะ แบบเห้ย จบงี้จริงดิ :a5:
ขอบคุณที่มาต่อ เรียลจริงๆเรื่องนี้ ประทับใจ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 29-09-2017 20:35:03
เรื่องนี้เป็นอีก 1 เรื่องที่ชอบมาก จบแฮปปี้แล้วแต่เรายังรู้สึกสุขไม่สุด อาจเพราะถ้าเป็นเราเป็นติณเราคงโกรธเก้ามากที่ทิ้งเราไว้อะไรแบบนี้ทกลับมาขอคืนดีแบบง่ายๆเลยขัดใจเล็กๆ555555 แต่ว่าทุกอย่างที่คนเขียนแต่งคือลงตัวหมดแล้วเรารู้สึกดีมากที่เรื่องจบลงแบบนี้ ทุกอย่างดูลงตัวแล้ว ขอบคุณนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ★ Lonely Planet Side Story ★ END [28/05/17]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 07-01-2018 11:42:46
 :hao5: