http://www.youtube.com/watch?v=Drus79gNU6gตอนที่ ๖ : ลักลอบ [ตอนต้น]
หลังจากวันนั้น ทุกอย่างเหมือนเดิม เปลี่ยนไปแค่เล็กน้อย เพราะตอนนี้ ผมกับไอรยาสนิทกันมากทีเดียว เธอเป็นคนเฟรนด์ลี่ แต่ข้อเสียของไอรยาคือชอบกรอกหูผมเรื่องกันอย่างนู่นอย่างนี้
“นิ่มดูสิ กันชอบเค้กดาร์กช็อกโกแลตแล้วก็วานิลา เลือกไม่ถูกอ่ะ นิ่มเลือกให้หน่อย”
ตอนนี้ผมกับไอรยาสนิทกันมาก...ก และวันนี้เรามาเลือกเค้กครับ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดกัน พวกผมจัดแผนเซอร์ไพรซ์
“งั้นเอาเค้กวานิลา แต่ท๊อปปิ้งดาร์กชอกโกแลต” ผมชี้เค้กอีกก้อน รสวานิลา ข้างบนเป็นท๊อปปิ้งดาร์กชอกโกแลต
“โหย คิดได้ไง” ไอรยาฉีกยิ้มกว้าง เธอลูบหัวผมแรงๆ
“เธอคิดไม่ถึงละสิ แต่เราคิดถึงน่ะ”
อ้วกกกก...ก
ไอรยาทำหน้าประมาณว่า เล่นมุขนี้เลยหรอ ผมหัวเราะคิกคักเดินไปจ่ายเงิน
“เอาเค้กเก็บไว้กับไอก่อน พรุ่งนี้ไปเซอร์ไพรซ์ นิ่มก็กักตัวกันออกจากห้องทำงานด้วยล่ะ หมอนี่วันๆ เอาแต่ทำงาน น่าเบื่อจริงๆ” ไอรยาบ่นไปเรื่อย ผมฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง
พวกผมกำลังจะกลับ แต่สายตาผมดันเหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตา เขาอยู่ท่ามกลางคนชุดดำมากมาย ผมจำโครงสร้างร่างกายที่คุ้นเคยนั้นได้ดี
ทันทีที่ผมมองเห็นเขา สายตาเราสบกัน ผมเบิกตากว้าง เช่นเดียวกันกับเขา
วินาทีนั้นมันเหมือนความทรมานทั้งหมดมันหายวับ อยากปาเค้กที่ถือไว้ในมือทิ้งแล้ววิ่งไปหาผู้ชายคนนั้น
‘พี่อาร์มของนิ่ม’
เขาเห็นผม สายตาของเราสบกัน รู้สึกน้ำตามันรื้นออกมา พี่อาร์มหันซ้ายหันขวา การ์ดพวกนั้นคงเป็นคนของพ่อ ผมอยากจะถลาไปหา กอดคนรัก ทว่าสายตาที่จ้องมองมาห้ามปรามไว้
พี่อาร์มอาจบ้าในบ้างครั้งเมื่อทนไม่ไหว แต่ปกติเขาเป็นคนรอบคอบ สุขุม ผมรู้จักนิสัย ‘คนรัก’ ผมดี ผมยืนนิ่ง รู้สึกถึงแรงสะกิดของไอรยา ความสนใจผมจับจ้องเพียงร่างสูงคุ้นตาเท่านั้น
พี่อาร์มหยิบกระดาษโน้ตเล็กๆ ออกมาจากเสื้อ เขาจดข้อความขยุกขยิก แล้วขย้ำเป็นก้อนกลมๆ ก่อนโยนมันทิ้งลงถังขยะ การ์ดที่อยู่รอบตัวพี่อาร์มทำท่าสงสัย แต่คงไม่มีใครกล้าถาม ไม่นานร่างนั้นก็หายลับไปจากตาผม
ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานทีเดียว เราสองคนยืนอยู่ไม่ห่างกัน เดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถโอบกอดกันได้แล้ว แต่ความจริงมันทำไม่ได้...
“นิ่ม! นิ่ม!”
“หะ หือ อ้อ โทษทีไอ”
“ป่ะ เรากลับกันเถอะ เมื่อกี้เป็นไรอ่ะ เหม่อนานเชียว” ผมไม่ตอบ สายตาจ้องถังขยะ ผมส่งถุงเค้กในมือให้ไอรยา
“ไอกลับไปก่อนนะ นิ่มมีธุระ” ผมบอกเธอ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“อะไรกันเนี่ย”
“โทษจริงๆ เดียวนิ่มไปส่งที่รถ” ผมดุนหลังไอรยา พาเธอไปส่งที่รถ
ไอรยาทำหน้างง แต่เหมือนเห็นท่าทางผมรีบๆ เลยไม่ซักถามอะไรมาก ส่งไอรยาเสร็จ ผมก็รีบไปหาของที่พี่อาร์มโยนทิ้งไว้
ในตอนนั้น ผมวิ่งเข้าห้างเหมือนคนบ้า หูอื้อตาลาย มันเป็นสภาพที่แบบว่า ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ สิ่งที่ทำให้ผมช็อคยิ่งกว่านั้นก็คือถุงขยะมันหายไปแล้ว ผมเจอแค่ถุงยะอันใหม่
ผมทรุดนั่งลงกับพื้น หมดแรง เหมือนชีวิตมันเหนื่อย จนเกินทานทน
เหนื่อยจริงๆ
แต่...ถ้าเพื่อคนที่ผมรัก ผมจะสู้
ผมลุกขึ้น...ปัดคราบน้ำตาออก รู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา คงเห็นของแปลก นั่งร้องไห้ข้างถังขยะในห้าง ผมไม่สนสายตาคนอื่น...ผมไม่เคยแคร์ว่าใครจะมองผมเป็นเกย์ ชอบเพศเดียวกัน สิ่งที่ผมแคร์มีเพียงแค่พี่อาร์ม ต่อให้คนทั้งโลกเกลียด ขอแค่เพียงเรารักกัน เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับผม
“พี่ครับ พวกแม่บ้านที่ทำความสะอาดเขาอยู่ตรงไหน” ผมถามพนักงานแถวนั้น เขาบอกผม ไม่รอช้าผมก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องของพวกแม่บ้าน
“โทษครับ เมื่อกี้มีใครเก็บขยะจากชั้น 4 มาบ้าง” ผมถามแม่บ้าน
“เพิ่งเอาไปทิ้งเมื่อกี้เองจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมเผลอทิ้งของสำคัญไปนะครับ”
“ป้าเอาไปรวมกับขยะกองอื่นแล้ว...เอ่อ งั้นเดียวป้าพาไปดูละกัน แต่ไม่รู้นะว่าถุงไหน มันเยอะ” แม่บ้านบอก ผมพยักหน้าตกลงทันที
แม่บ้านพาผมมาลานทิ้งขยะ กลิ่นมันเหม็นแทบอ้วก ขยะถุงดำๆ กองบนเป
“ป้าเพิ่งเอามาทิ้งเมื่อกี้นะ คงอยู่แถวๆ กองเนี่ย ไอ้ถุงขยะชั้นสี่” แม่บ้านชี้มาที่กองขยะที่เพิ่งถูกทิ้งรวมกันไว้
ผมขอบคุณ ส่งรอยยิ้มฝืนๆ ให้แม่บ้าน เธอมองแปลกๆ ผมไม่รอช้ารีบเทขยะออก รื้อหาเศษกระดาษนั่นทันที ถ้าหากเป็นนิ่มคนก่อนที่มีพี่อาร์มคอยปกป้อง ผมคงเป็นคุณหนู ไม่หยิบจับสิ่งพวกนี้ แต่เวลามันขัดเกลาชีวิตเรา
“พ่อหนุ่มเอ้ย พอเถอะ ห้างจะปิดแล้ว” เสียงของป้าแม่บ้าน ผมหันกลับไปยิ้มฝืนๆ รู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นตามเสื้อผ้า
“ผมขอเวลาอีกสิบนาที ถ้าผมหาไม่เจอพรุ่งนี้ผมขอมาหาใหม่ได้ไหม”
“คงเป็นของสำคัญ ของคนรักหรือ...” ป้าแม่บ้านพูด น้ำเสียงแกเหมือนสงสาร
“แค่กระดาษแผ่นเดียว แต่มันมีค่ากับผมมากที่สุด”
ผมตอบ ป้าแม่บ้านกลับไปเก็บของแล้ว ผมพยายามหา ไม่ปริปากบ่น กลิ่นเหม็นพวกนี้ผมทนได้เป็นชั่วโมง แต่ถ้าต้องทนเจ็บปวดเจียนตายเหมือนที่ผ่านมา ผมไม่ยอม
“กลับเถอะ ป้าจะกลับแล้ว” เสียงของป้าแม่บ้านฉุดผมขึ้นจากกองขยะ ผมลุกขึ้นยืน ขาสั่นๆ คงเป็นเพราะคุกเข่านานเกินไป
“พรุ่งนี้ผมจะมาหาใหม่”
“ได้ แต่รถขยะมันมาเก้าโมงนะ”
“ครับ”
ตุบ!
“กุญแจหล่นครับ” ผมก้มลงหยิบของให้ป้าแม่บ้าน รู้สึกปวดขาตุบๆ
“ขอบใจจ๊ะ พ่อหนุ่มนี่เป็นคนดีจริงๆ กระดาษแค่แผ่นเดียว หาได้เป็นชั่วโมง นั่น อาจเป็นกระดาษแผ่นนั่นก็ได้นะ” ป้าแกยิ้ม พูดเหมือนล้อเล่นขำๆ ผมหันไปมองไม่จริงจังอะไรนัก เพราะทั้งวันผมผิดหวังมามากเกินพอ
แผ่นกระดาษเล็กๆ ติดอยู่ตรงเหล็กกั้นท่อระบายของเสีย ผมก้มลงไปหยิบ คลี่กระดาษแผ่นนั่นออกมาดู
พรุ่งนี้ ห้าทุ่ม สวนกลางเมือง
รักนุ่มนิ่ม
ข้อความสั้นๆ สองบรรทัด ผมปล่อยโฮทันทีเมื่ออ่านจบ น้ำตาไหลทะลักเหมือนทำนบแตก คว้าตัวป้าแม่บ้านมากอด พร่ำพูดขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
วินาทีนั่น ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับนัดตอนห้าทุ่ม สวนกลางเมืองอีกแล้ว
>W e d d I n g<
ตอนที่ ๖ : ลักลอบ [ตอนกลาง]
อาหารทะเลหลากหลายชนิด กุ้งเผา ปลาหมึกย่าง ปูผัดผงกระหรี่ ถูกจัดเรียงบนโต๊ะเยอะแยะสวยงาม ส่วนหนึ่งเป็นฝีมือทำอาหารของป้าบัว ผมหยิบจาน จัดเรียงกุ้งตัวโตๆ ใส่จาน เพิ่งรู้จากไอรยาว่ากันชอบอาหารทะเล วันเกิดเขาเราจึงทำอาหารเลี้ยงกันเองในบ้าน
“ป้าบัวๆ นิ่มยกไปสวนเลยนะ” ผมพูดพร้อมหยิบจานกุ้งเผากับปลาหมึกย่าง พวกเราตกลงว่าจะกินเลี้ยงกันในสวน ประมาณทุ่มกว่าๆ มีคนร่วมงานไม่กี่คน เพราะกันเพื่อนน้อยมาก
“ถือระวังๆ นะค่ะคุณนิ่ม...นานๆ ป้าจะเห็นคุณนิ่มอารมณ์ดีแบบนี้ สงสัยว่าเป็นวันเกิดคุณผู้ชาย คุณนิ่มถึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” เสียงป้าบัวพูดไปเรื่อย
“ฮะ ฮะ” ผมหัวเราะเจื่อนๆ วูบหนึ่งความรู้สึกผิดคับแน่นเต็มอก
ผมอารมณ์ดี เพราะจะได้เจอพี่อาร์ม แต่ถึงไม่มีเหตุการณ์นั่นแทรกเข้ามา ผมก็คิดว่า วันเกิดกันผมก็จะยิ้มอย่างมีความสุขให้เขาอยู่ดี อาจแปลกแค่ผมยิ้มกว้างกว่าปกติ ร่าเริงกว่าเดิม
ผมผิดด้วยเหรอ?
บนโต๊ะในสวนมีชายร่างยักษ์นั่งรออยู่ก่อน ผมยิ้มกว้าง คิดว่าวันนี้เป็นวันดีจริงๆ กอลิล่าชุดสูทตอนนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์นั่งอ้าขาอ้าซ่า กระดกเหล้าเข้าปากเอาเป็นเอาตาย
“ดื่มขนาดนี่ กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอไงว่าเมา” ผมเย้าคนตัวโต พิชหันมายิ้มให้ตาเยิ้ม กอลิล่าตัวโตเริ่มเลื้อยเป็นปลาหมึก เอาหัวมาซบไหล่ผม แต่ตานี้จ้องกุ้งตัวโตๆ ที่ผมยกมาตาเป็นมัน
“ไม่กลัวคร้าบ เมาไม่กลับ หลับสนิทห้องเมียเพื่อนคร้าบ...บ”
“ฮะ ฮะ” ผมหัวเราะ พร้อมๆ กับร่างสูงของกันโผล่มา
ผมสลัดตัวออกจากพิชเล็กน้อยให้ไม่น่าเกลียด วางจานกุ้งเผากับปลาหมึกไว้ ไม่นานไอรยาก็มาถึงครับ เธออยู่ในชุดสีแดง เป็นเดรสตัวเดียว สั้นเลยเข่า ชุดของเธอแหวกอกจนเห็นเนินอกขาวอวบอิ่ม ผิวขาวๆ ยิ่งถูกขับเน้นเมื่อเจอเพชรเม็ดเล็กบนคอระหง
ไอรยาสวยมาก ขนาดผมมีคนรักเป็นตัวเป็นตนยังเผลอมองเธอตาค้าง
“...” แรงบีบแน่นตรงไหล่ ผมละสายตาจากไอรยา มองคนตัวโตที่จับไหล่ ส่งสายตาปรามๆ มาให้ ผมหัวเราะแหะๆ กันหน้าตามึนตึง
ผมคงจ้องไอรยามากเกินไป แฟนตัวจริงของเธอถึงได้ออกอาการ
“มาช้าจัง” ผมทักไอรยา
“แต่ก็มาทันใช่ปะละ...ปะ นิ่ม ไปเอาของ นี่กัน...เดียวไอมานะ” เธอส่งยิ้มหวานให้กัน แล้วลากผมไปครับ
ไอรยาพาผมมาที่รถเธอ มีเค้กกล่องใหญ่วางไว้อยู่ ไอรยาดูตั้งใจและมีความสุขมาก เธอตั้งใจปักเทียนแต่ละเล่ม ผมมองไอรยาแล้วนึกถึงตัวเอง ผมรู้แล้วว่าไอรยานิสัยเหมือนใคร...เธอก็เหมือนผม ถ้าเพื่อคนรัก ทุกสิ่งที่ทำต่อให้ลำบากแค่ใน ก็สุขใจ...
“วันนี้ไอขอค้างที่นี้ได้ไหม” ไอรยาถามผม ขณะจุดเทียน
“หือ มีอะไรหรือเปล่า”
“เฮ้อ...กระดากปากไงไม่รู้ นิ่มเป็นภรรยากัน จะให้พูดแบบนี้มัน...เอาเป็นว่า ไออยากอยู่กับกันเป็นคนสุดท้ายในวันเกิดเขา”
“ได้สิ เดียวนิ่มจะออกไปข้างนอกพอดี” ผมตอบรับง่ายดาย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
“ไม่ๆ ไอไม่ได้ตั้งใจไล่นิ่มออกจากบ้านนะ...ทำเหมือนไอเป็นตัวร้ายไปได้” ไอรยาห่อปาก
“นิ่มมีธุระพอดี คงกลับมาดึกๆ”
“ธุระวันนี้เนี่ยนะ?”
“อ่าฮะ...นี่เปิดทางให้สุดๆ เลยนะ ถ้าเป็นคนอื่นขออยู่กับสามีตัวเองแบบนี้โดนตบล้างน้ำไปหลายรอบล่ะ” ผมบอกไอรยาอย่างอารมณ์ดี
“โหย ใจกว้างอ่ะ” เธอกอดคอผม ยิ้มกว้าง
เราสองคนพากันเข้าไปในบ้าน คนยกเค้กเป็นไอรยาครับ กันทำหน้าตกใจนิดหน่อย ผมกับกันเราสมตากับหน่อยหนึ่ง ผมหลบตากัน ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ก้มหน้ามองเค้ก
การเป่าเค้กจบลงด้วยดี ผมเหลือบตามองนาฬิกาเป็นระยะๆ ตอนนี้พวกเราสี่คนนั่งกินกับแกล้มคุยเรื่องสับเพเหระ ไอรยานั่งอยู่หัวโต๊ะกับกัน เธอคอยเอาอกเอาใจเขา ทั้งตักทั้งป้อน ใบหน้าแย้มเยื้อนมีความสุข
เห็นคู่นั่นมีความสุขแล้วทุกข์ใจจัง...
เป็นผมเองซะอีกที่ต้องติดแหงกอยู่กับกอลิล่าหน้าโหดเนี่ย
“น้องจ๊ะ แกะกุ้งอะเป็นไหม ทำเร็วๆ สิน้อง เดียวพี่ให้ติ๊บ”
เขาว่าคนเราเมาแล้วมีสภาพเหมือนหมา
ปวดใจจริงๆ เพราะตอนนี้ไอ้คุณพิชัยมันกลายเป็นหมาไปแล้ว
เกาะแข้งเกาะขา อ้อนนู่นอ้อนนี่ จะโมโหก็โมโหไม่ลง
“พี่แกะเป็นก็เกะเองสิครับ ผมไม่ใช่เมียพี่นะครับ” พูดจบผมอดใจไม่ไหว ยัดกุ้งใส่ปากไอ้ลิงตัวโต
“ใช่ซี้ๆ สามีเจ้านั่งป้อสาวอยู่นู่น ไอ้เรามันก็ตัวสำรอง กระซิก...กระซิก” ปากพูดทั้งๆ ที่มีกุ้งอยู่ในปาก
เห็นไหม...ใครจะโกรธหมอนี่ลง ผมเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง เข็มสั้นชี้เลขสิบ นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มแล้ว หัวใจผมพองโต
ผมจะได้เจอพี่อาร์มแล้ว
ผมผละจากวงข้างล่าง ขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว ผมใส่ชุดมิดชิด กางเกงขายาวแบบหลวมๆ แต่ก่อนผมเป็นพวกชอบใส่กางเกงขาสั้น แต่พี่อาร์มบอกว่าหวง ตั้งแต่นั้นผมก็ใส่กางเกงขายาวมาตลอด น้ำหอมกลิ่นโปรดของผมก็เป็นกลิ่นขนมหวานเลี่ยนๆ ผมชอบกลิ่นนี้ เพราะพี่อาร์มอีกนั่นแหละ พี่อาร์มบอกว่าเวลาได้กลิ่นนี้จากตัวผมที่ไรเป็นอยากกินทุกที
ชีวิตนี้ผมมีแต่พี่อาร์มจริงๆ
ระยะเวลาขับรถไปสวนกลางเมืองใช้เวลาสิบนาทีกว่าๆ ดึกแล้วคนใช้ถนนเลยไม่เยอะ ผมลงมาจากห้อง ไม่อยากจะโม้ว่าวันนี้แต่งตัวซะหล่อเชียว เห็นทุกคนยังนั่งกินเหล้ากันอยู่เหมือนเดิมเลยไม่อยากเข้าไปขัด ผมเดินไปเปิดประตูบ้าน
“ไปไหน” เสียงเข้มดังขึ้นด้านหลัง ผมชะงักมือที่กำลังเปิดประตูรถ
“...ผมมีธุระ”
สายตาที่จ้องมองมาวาววับ ความรู้สึกผิดแล่นพล่านในอก นี่ไม่ใช่บทในหนังที่ภรรยาแอบมีชู้ สวมเขาให้สามี แต่ถึงจะไม่ใช่ละครหรือหนัง บทบาทมันก็ไม่เปลี่ยนไปมากนัก ผมโกหกกัน และเขาก็เชื่อ...
“ดึกแล้ว...กลับดึกไหม” ผมฟังจากประโยคที่ถูกตัดจนสั้น กันเป็นคนพูดน้อยมาก ระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมา ทำให้ผมพอเข้าใจว่า เขากำลังเป็นห่วงผมอยู่ เพราะนี้มันสี่ทุ่มครึ่งแล้ว
“เอ่อ...ไม่มั้ง”
“จะรอ”
คำพูดสั้นๆ กันหมุนตัวเดินกลับไปแล้ว ผมมองแผ่นหลังเดินจากออกไปด้วยความหวาดวิตก กันจะรอผมกลับมา...ผมไม่รู้ว่าจะได้กลับมาไหม ไม่รู้ว่าพี่อาร์มจะเอายังไง ‘เรื่องของเรา’ เราสองคนอาจหนีไปด้วยกัน
แต่...กัน...
ผมสลัดเรื่องไรสาระออกจากหัว ตอนนี้ในหัวมีเพียงใบหน้าหล่อเหลาของพี่ชายในสายเลือด ถ้าหากเราเจอกัน มันจะเป็นยังไงนะ...
ที่แน่ๆ ผมคงกอดพี่อาร์มแน่นๆ
บอกเขาว่าผมรักเขา และคิดถึงเขา
ผมเตรียมประโยคต่างๆ ไว้มากมาย รู้ตัวอีกที ร่างกายมันก็หยุดอยู่ตรงม้าหินอ่อนสวนสาธารณะเสียแล้ว ผมจ้องนาฬิกา ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวัน เพ่งมองแล้วมองอีก
“นิ่ม”
สัมผัสอ่อนโยนที่ผมเฝ้าหามาตลอด กลิ่นน้ำหอมเคยคุ้น ร่างกายอุ่นหนา ไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าชายคนรักกำลังกอดผมอยู่
ความร้อนไหลแตะตรงไหล่ พี่อาร์มกำลังร้องไห้ แรงกอดรัดจากด้านหลังแนบแน่นกว่าเดิมเมื่อร่างสูงกำลังปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมา
“นิ่มอยู่ตรงนี้นะครับ อย่าร้องไห้ ที่รัก” ผมอยากร้องไห้ ทำใจแข็งฝืนปลอบคนตัวโต พี่อาร์มอยู่กับพ่อตลอดคงต้องทนเจอคำพูดเสียดสีต่างๆ นาๆ
พี่อาร์มเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อคงทนรับมันเอาไว้อย่างเงียบๆ แต่คนตรงหน้าผม เป็นคนที่ผมรัก คนที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิต เขาคงคิดเหมือนผม เขาถึงปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นออกมา...แบบนี้
“พี่ไม่อยากทนแล้ว พี่เกลียดพ่อ พี่รักนิ่มคนเดียว พ่อไม่เคยเข้าใจเราสองคน” เสียงพูดเบาๆ ข้างหู ผมหันหน้ากลับไป มองใบหน้าพี่อาร์มร้องไห้
“นิ่มรักพี่อาร์ม”
ผมบอกเขา คำพูดแรกที่ตั้งใจจะพูดกับพี่อาร์ม เราสบตา สัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายอย่างห่วงแหน จากนั้น ริมฝีปากผมสัมผัสกับริมฝีปากเขา เราจูบกัน
ร่างกายตอบสนองอย่างเคยคุ้น ริมฝีปากของผมเป็นของพี่อาร์มคนเดียว เหมือนกับที่เขาเป็นของผมเพียงคนเดียว ความร้อนจากการถูกสัมผัส ร่างกายตอบสนองโดยอัตโนมัติ ผมเอื้อมมือคล้องคอร่างสูงแกร่ง บดเบียดริมฝีปากแนบชิดกว่าเดิม เรียวลิ้นอุ่นภายในเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ ผมถดตัวถอยจากสัมผัสดังกล่าว
กลัว...กลัวว่าผมจะปล่อยตัวปล่อยใจ ให้พี่อาร์มสัมผัสตัวเองตามใจชอบ...ไม่ใช่ไม่ต้องการ...ทว่าบางสิ่งบางอย่างคอยกระตุ้นเตือนอยู่เสมอว่าการกระทำแบบนี้มันไม่สมควรเกิดขึ้น
ผมไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร...แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เราได้สบตากัน
เราได้โอบกอดกัน
เราได้จูบกัน
นั่นคือความปรารถนาของผม
“อย่าร้องไห้สิค่ะ เด็กดี” ผมเงยหน้ามองร่างสูงให้เต็มตา พี่อาร์มที่กลับมาเข้มแข็งคนเก่า ในขณะที่ผมกำลังปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่น
“นิ่มหาทางออกไม่เจอแล้ว พี่อาร์มรู้ไหมพ่อให้นิ่มแต่งงาน...แต่งงานกับผู้ชาย! พี่อาร์มรู้ไหม!” ผมถามเขาเสียงดัง มือทุบอกเขา ระบายความคับแค้นใจ
“รู้สิค่ะ นิ่มรู้ไหมวันนั้นนิ่มสวยมาก สวยจนพี่ตะลึงไปเลย”
“แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พี่อาร์ม! พี่อาร์มไม่หึงนิ่มบ้างหรอ”
“หึงทำไมคะ...ตรงนี้ของเรา เป็นของพี่ไม่ใช่หรอคะ”
พี่อาร์มชี้ไปที่หน้าอกของผม โอบตัวผมไว้อีกครั้ง และมอบสัมผัสเล็กๆ ตรงริมฝีปากอีกหน ผมอาจบ้า คำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาทำให้ผมรู้สึกเขินอาย มุดหน้าลงกับอกแข็งแกร่ง มือโอบกอดรอบตัวร่างสูงไว้แน่น พี่อาร์มสูงกว่าผมมาก เมื่อผมได้โอบกอดเขา จึงรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้อง
“พี่อาร์มดูจะไว้ใจนิ่มจังน่ะ” ผมล้อเขา
“พี่ไว้ใจคนที่รัก แต่ถ้าวันหนึ่งนิ่มเปลี่ยนไป พี่คง...”
“แค่นั่นก็พอแล้วครับ” ผมพูดแทรกประโยคต่อมา
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ผมพยายามย้ำเตือนหัวใจของตัวเอง ด้วยคำพูดนั้น
>W e d d I n g<
ตอนที่ ๖ : ลักลอบ [ตอนจบ]
วีออสสีเทาขับแล่นท่ามกลางความมืดอันเงียบสงบ เสียงเครื่องยนต์ครางเบาๆ ต่างกับใจอันระทึกของคนขับ ผมกำพวงมาลัยแน่น หวนนึกถึงร่างกายอบอุ่นของคนรัก และคำพูดเหมือนดังคำสั่งกลายๆ
‘หย่ากับผู้ชายคนนั้นให้ได้ภายในครึ่งปีนี้ ส่วนพี่จะทำงานเก็บเงินให้มากที่สุด เราจะหนีไปต่างประเทศด้วยกัน’
ยอมรับว่าได้ยินคำพูดของพี่อาร์ม แวบแรกที่นึกถึงคือใบหน้าคมกร้านของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี คนที่นอนเคียงข้างมาตลอดเดือน ใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ทว่าการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ผู้ได้รับ รับรู้ถึงความรู้สึกห่วงใย
บ่วงบางอย่างเริ่มพันธนาการร่างกายตัวเองไว้
หัวใจ...ทั้งหมด...มอบให้ชายคนรัก ทว่าร่างกาย...ตามกฎหมาย...กลับเป็นของผู้ชายอีกคน
เสียงในหัวใจย้ำเตือนสถานภาพของตัวเอง
การทำแบบนั้น ไม่ต่างกับการสวมเขาให้สามี...แต่ว่า...กันมีไอรยาแล้ว
ทั้งที่ควรจะดีใจ...มีความสุข...ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวด...มาก...ขนาดนี้
ผมคิดว่าควรจะบอกเรื่องทั้งหมดให้กันรู้หรือเปล่า หากบอกไปก็รู้สึกกลัว...กลัวคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี...การแสดงออกของกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้เพียงเล็กน้อย...
กันเริ่มรักผม
เพราะผมคือคนที่เขาแต่งงานด้วย ส่วนผมมองเขาเป็นเพียงตัวขัดขวางความสุข มองเขาเป็นเพียงอุปสรรคความรัก คิดได้แบบนี้ เริ่มรู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดี
“ป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านกันอีกหรอเนี่ย” ผมบ่น เมื่อเห็นแสงสว่างจากหลอดไฟในสวน
เวลาตอนนี้ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ คิดว่าทุกคนคงหลับหมด จึงพกกุญแจบ้านติดตัวไปด้วย ที่ไหนได้ กลับมาถึง ประตูหน้าบ้านเปิดอาซ่า ไฟทั้งหลังยังสว่างจ้า
ผมแวะไปสวนก่อน ไม่มีใครนั่งอยู่ มีเพียงซากจานถูกทิ้งไว้ ผมขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกไม่พอใจนิดๆ
“ให้ตายเหอะ”
ปกติผมเป็นคนเจ้าระเบียบ ตามนิสัยครูทั่วๆ ไป จะปล่อยทิ้งไว้ก็ดูน่าเกลียด เก็บจาน เทขยะทิ้ง ดูเวลาปาเข้าไปตีสอง จานกองพะเนินยังไม่ได้ล้าง อยากล้างเสียตอนนี้ แต่หนังตาเริ่มปิด กองจานแยกไว้เป็นสัดส่วน พรุ่งนี้ป้าบัวตื่นมาคงเป็นคนล้าง
ผมล้างมือ เดินไปห้องรับแขก เสียงโฆษณาทีวีดังแว่วออกมา ผมส่ายหัว เดินไปปิดทีวี พร้อมกันนั้น ผมเห็นสามีตัวเองนั่งถือแก้วเหล้าอยู่ตรงนั่น
ตกใจ...กลัว
ความรู้สึกหวาดหวั่นแล่นพล่าน
“ไอ...ไอรายากลับไปแล้วเหรอ” ผมถามกันเสียงตะกุกตะกัก
“ให้กลับไปนานแล้ว” เสียงที่ตอบกลับมาไม่เหมือนคนเมาสักนิด ทั้งๆ ที่ผมเห็นขวดเหล้าหมดไปเกือบขวด ผมเดินเลี่ยงไปปิดประตูบ้าน กลับมาอีกทีกันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มีเพียงสายตาที่จ้องเขม็งมา
“นอนก่อนนะ” ผมบอกเขา
“ธุระ สำคัญมากหรือไง” น้ำเสียงที่ถามไม่ต่างกับเวลาพูดปกติ ผมไม่หันกลับไปมอง เดินเลยร่างสูงไป
“ก็มากอยู่”
“ทางไปยุงคงเยอะ รอยแดงเต็มคอ”
ผมชะงักเท้า ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด หยุดนิ่งอยู่บนทางขึ้นบันได ก้มมองลำคอ รอยตีตราเป็นเจ้าของเด่นชัดเจน ผมลูบร่องรอยบนลำคอ ไม่กล้าหันไปเผชิญหน้ากับคนตัวโตบนโชฟา
“นะ นั่นสิ...”
“คราวหลังทายากันยุงด้วย” ผมรู้สึกอยากหัวเราะ อยากร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน เสียงของกันราบเรียบเสมอ ไม่รู้ว่าเขากำลังประชดหรือพูดจริง
“ผมไปนอนก่อนนะ” ผมบอกเขา สาวเท้าขึ้นบันได หลบเลี่ยงการเผชิญหน้า
ผมอาบน้ำลวกๆ เปลี่ยนเป็นชุดนอน ล้มนอนลงบนเตียง พยายามข่มตาหลับ แต่เสียงเปิดประตูทำให้ผมสะดุ้ง กลิ่นเหล้าคละคุ้งโชยเข้ามากระทบจมูก กันเดินไปโต๊ะเครื่องแป้ง เขาค้นหาของในนั้นสักครู่ ผมมองท่าทางเขาด้วยความมึนงง
“เจ็บไหม” เสียงถามแผ่วเบา กันทรุดลงนั่งคุกเข่าข้างเตียง มือหนาไล้เบาๆ บนรอยแดงบนลำคอ
“ไม่ ไม่เจ็บ” ผมตอบเขาเสียงสั่น
“ทายา” พูดจบ กันบีบครีมในมือทาบนลำคอให้ มองเสี้ยวหน้าคมเข้มก้มทายาบนลำคออย่างตั้งใจ
ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดี
กันกำลังประชด...หรือผมกลัวจนคิดมากไปเอง
“ดึกแล้ว นอนเถอะ” เขาพูด พลางลุกขึ้นไปปิดไฟ กลิ่นเหล้ายังคงโชยออกมาจากร่างสูง ผมพยายามข่มตาให้หลับ เตียงอีกด้านยุบลงไปพร้อมกับร่างสูงที่นอนลง
ความรู้สึกเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัว ณ ตอนนี้ คือ ความรู้สึกผิด ต่อผู้ชายที่ชื่อ กัน
>W e d d I n g<