ตอนที่ ๑๕ : คาตา
เคยคิดว่าใจตัวเองมันแข็งพอ ไม่อ่อนแอ พูดกับคนอื่นเสมอว่าหากเรารักจริงจะต้องไม่นอกใจคนที่รัก แต่พอเจอเหตุการณ์จริงกับชีวิตตัวเอง สิ่งที่เคยพูด เคยย้ำเตือนตัวเองตลอดที่ผ่านมามันก็ไม่ต่างกับพูดลอยลม
คำว่ารักที่บอกผ่าน หากเป็นเมื่อก่อน คงไม่รู้สึกรู้สา แต่ตอนนี้กลับทำให้ใจเต้นระรัวไหวหวั่น เพียงสัมผัสที่ชิดใกล้ เร่งให้ร่างกายร้อนผ่าว ไม่ต่างจากอ้อมกอดของคนที่รักเพียงสักนิด
รู้สึกสมเพชตัวเองเป็นบ้า ตีอกชกหัว หวังให้หัวใจไม่รักดีกลับมาเป็นเหมือน แต่ก็ทำไม่ได้ หวังเพียงหลีกหนีสัมผัสจากคนๆ นั้น กลับไปอิงแอบแนบกายกับความรักเดิม
หนีไม่พ้น...เจอทุกวัน ต่างกับอีกคน ที่ทั้งรัก ทั้งห่วง ก็ทำได้เพียงแค่ฟังเสียงผ่านโทรศัพท์
ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท เนคไทด์ที่ติดตรงทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าเจ้าระเบียบมากแค่ไหน ผมมองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกคู่กับเขา กันตัวสูงมาก สูงจนหัวผมอยู่เพียงไหล่เขา
กันยังเป็นคนที่พูดน้อย ตั้งแต่รู้จักเขามาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงสำหรับเขามีไม่กี่อย่าง เห็นได้ชัดก็คือดวงตาคมโตที่อ่อนโยนจนคนมองรู้สึกอ่อนไหว เขาจับมือผมแผ่วเบา จูงผมมายังข้างล่างของบ้าน ไม่มีการขืนใจ ผมเดินตามเขาอย่างว่าง่าย
BMW Z4 สีดำแล่นผ่านบรรยากาศที่เริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงค่ำคืน คนขับเป็นกัน ผมนั่งข้างเขา ปกติเวลาผมไปไหนมาไหนกับพี่อาร์ม ถ้าเป็นงานแบบทางการ พี่อาร์มมักจะใช้คนขับรถส่วนตัว ต่างกับกัน เขาชอบขับไปไหนมาไหนเอง วันนี้ก็เช่นกัน เขากำลังพาผมไปงานเลี้ยงผู้ถือหุ้น ในฐานะภรรยาประธานบริษัท
“มากันเร็วจัง กันค่ะ ผู้ถือหุ้นคนอื่นอยากคุยกับคุณ” เสียงใสเอ่ยทัก ไอรยาอยู่ในชุดเดรสสีดำ สร้อยเพชรเม็ดโตยิ่งขับเน้นความขาวของเธอมากจนน่าหลงใหล
“อืม” ร่างสูงพยักหน้าตอบรับ กันจับมือผมแน่น ขณะกำลังเดินตามไป มือก็ถูกฉุดโดยข้อมือเรียวบางของไอรยา
“กันไปคนเดียวได้ไหม ไอขอยืมตัวนิ่มสักพักนะ” ผมมองเธออย่างงงๆ กันมองมาผมปราดหนึ่ง บีบข้อมือผมแน่น ก่อนเดินไปทางชายใส่สูทสูงวัย
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามเธอ ไอรยาฉีกยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่แปลกจากปกติ รอยยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนจากเธอ
“มีคนอยากเจอนิ่มนะ” ร่างบางดันหลังผมให้พ้นจากโซนงานเลี้ยง ไอรยาพาผมเดินออกห่างจากงานมาพอสมควร เป็นซอกเล็กๆ ที่ไม่มีใครเข้ามาเพ่นพ่าน ไม่นานสายตาผมก็ปะทะกับชายร่างสูงที่เคยคุ้น
พี่อาร์ม
ถ้าการเจอกันโดยบังเอิญระหว่างเราผมคงไม่แปลกใจเท่าใดนัก เพราะพี่อาร์มเป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งในเครือธำรงค์คุณ แต่การถูกชักชวนให้มาพบโดยหญิงสาวร่างบอบบางข้างกาย ทำให้สมองสับสนงุนงง
พี่อาร์มกับไอรยา รู้จักกัน?
“ไอได้ยินนะ วันนี้ที่นิ่มคุยโทรศัพท์ ไอช่วยนิ่มแล้วนะ” เธอกระซิบที่ข้างหู ก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งอย่างงุนงง
“คิดถึงนะครับ” เสียงที่เคยคุ้น สัมผัสที่อบอุ่น แทบจะทันที มือทั้งสองข้างโอบกอดอีกฝ่าย เหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย
แรงกอดรัดแน่นๆ จากคนที่รัก ไม่มีอะไรอุ่นใจเท่านี้อีกแล้ว ผมซุกหน้าลงกับอกแกร่ง สูดดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย...พี่อาร์มของนิ่ม
“อือ” ตอบรับเสียงอู้อี้
“ไปเที่ยวดอย สนุกไหม” เสียงถามหวานหู คงเป็นเพราะอยากเอาใจจากเรื่องผิดพลาดเมื่อหลายวันก่อน ผมฉีกยิ้มเล็กน้อย ก่อนขมวดคิ้วงงๆ พี่อาร์มรู้ได้ยังไงว่าผมไปเที่ยวดอย?
“เอ๊ะ พี่อาร์มรู้ได้ไงว่านิ่มขึ้นดอย” ผมถามหลังจากผละใบหน้าออกจากหน้าอกแข็งแรง
“พี่มีสายสืบ” คนตัวสูงบอกพลางยิ้มกว้าง ผมหัวเราะ มือบีบจมูกโตๆ นั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ใคร? นิ่มรู้จักหรือเปล่า” ผมถาม
“อือ เด็กคนนั้นที่พี่เคยส่งเงินให้อยู่ช่วงหนึ่ง จำได้ไหม” คำพูดจากร่างสูง
ผมย้อนนึกไปถึงช่วงที่เราอยู่บ้านหลังเดียวกัน จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง พี่อาร์มมาปรึกษาว่าจะให้เงินเด็กคนหนึ่งเรียน เขาเป็นเด็กอัจฉริยะ แต่ครอบครัวมีหนี้สินติดตัวล้มละลาย ความจริงเด็กคนนั้นต้องถูกส่งไปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่พี่อาร์มไปเจอเข้าพอดี เพราะพ่อแม่เด็กคนนั้นติดหนี้เครือสิยะวงศ์อยู่ และนับแต่นั่นพี่อาร์มจะส่งเงินให้เป็นค่ากิน ค่าเรียน โดยมีข้อแม้ว่าเรียนจบต้องมาทำงานให้กับสิยะวงศ์
ผมจำอะไรไม่ได้มากนัก ชื่อก็จำไม่ได้ จำได้แค่เพียงเป็นเด็กร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเท่านั้น
“นิ่มจำชื่อไม่ได้”
“ชื่อเปรม เปรมปรีย์ ติณณานันท์” คำตอบจากพี่อาร์มทำให้หัวผมสว่างวาบ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ตามติดคุณพร้อมไท คนที่หันมายิ้มให้ผมบางๆ คนนั้น
“อ๋อ...อ” ลากเสียงยาว
พี่อาร์มหัวเราะเบาๆ จากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อคนตัวสูงดันหลังผมติดกำแพง ใบหน้าที่ตอนนี้อยู่ใกล้แค่คืบ สายตาที่มองมาเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ และวาววับ
“คิดถึงพี่ไหมครับ” คำถามพร้อมกับริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่ตรงจมูกจนรู้สึกจักกะจี้
“ไม่มั้ง...ง” ยิ้มอย่างหยอกล้อ เหมือนเรื่องทุกข์ใจทั้งหมดจะหายไปเมื่อกลับมาอยู่ในบรรยากาศเก่าๆ ที่คุ้นเคย
“แต่พี่คิดถึงแทบขาดใจตาย” สิ้นเสียงพูด ก็ตามมาด้วยริมฝีปากร้อนผ่าวที่ทาบทับลงมา
เพียงสัมผัสแผ่วเบาก็ฉุดหัวใจให้เต้นตุบตับ ความร้อนผ่าวของริมฝีปากที่ไม่ว่ากี่ครั้งก็ยังร้อนแรงไม่เปลี่ยนแปลง ผมเปิดปากให้เรียวลิ้นหนาแทรกเข้ามาตวัดเกี่ยว พี่อาร์มใช้มือโอบรอบเอว รั้งเอวให้เข้ามาแนบชิด ริมฝีปากของเราแนบสนิทกัน
“ฮื้อ” ปะท้วงออกมาเหมือนคนกำลังจะขาดอากาศ
“อีกแค่เดือนเดียว เราก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะครับ” คนพูดใช้ริมฝีปากคลอเคลียที่ใบหู ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังยิ้มดีใจ ทว่าส่วนลึกในใจปฎิเสธไม่ได้ ผมกำลังเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง
“นิ่มรักพี่อาร์มนะ” พูดย้ำอย่างที่ตัวเองชอบพูดบ่อยๆ พี่อาร์มยิ้มหวาน จูบผมแผ่วเบา ใช้ริมฝีปากงับเล่นปากของผม ก่อนเลื่อนลงมายังซอกคอ
ผมจับบ่าคนตัวสูงแน่น แม้ตรงนี้จะเป็นมุมอับ แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะไม่มีใครผ่านมา
“อ...อื้อ...” ผมครางเสียงแผ่ว อยากผลักไสคนตัวสูงที่กำลังใช้ลิ้นลากเลียตรงลำคอให้ออกไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะสัมผัสรัญจวนใจที่เคยคุ้น
“พี่อยากกอดนิ่ม” คำพูดเสียงสั่นพร่า พร้อมกับมือหนาที่ค่อยๆ ลูบไล้แขนมาจนถึงไหล่ ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ
“พี่อาร์ม อย่าดูด!” ผมเอ่ยเตือนเสียงเข้ม แต่ร่างสูงคงไม่สนใจหรอก ผมส่ายหัวอย่างระอาใจ พี่อาร์มเอาแต่ใจที่สุด! แต่ผมก็ยอมทุกครั้ง...
ผลัก!
“เฮ้ย!”
แรงกระชากอย่างรุนแรงเกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว กว่าจะได้สติก็เห็นเพียงร่างของชายคนรักล้มลงไปนอนกองกับพื้น สายตาที่มองพี่อาร์มอยู่เบิกกว้าง ตื่นตระหนก ทันทีที่มีสติ ผมรีบถลาเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แต่สิ่งที่น่ากลัวก็เกิดขึ้นแล้ว...มือข้างหนึ่งถูกดึงอย่างแรง ผมเซไปซบกับหาคนที่ดึงแขนไว้ ดวงตายิ่งเบิกกว้างยิ่งกว่า
กัน
ใบหน้ายิ่งซีดเผือด กัดริมฝีปากแน่นเมื่อสายตาบังเอิญมองเห็นใครอีกคนที่อยู่ด้านหลัง... พ่อ!
ผมเลิกลั่ก มองพี่อาร์มที่ลงไปนอนกองกับพื้น ยิ่งหวาดหวั่นขึ้นไปอีกกับสายตาแข็งกร้าวจากกัน
ถ้าหากใช้สายตาเป็นอาวุธ ผมแน่ใจว่า สายตาของกันที่มองมา มันสามารถฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น
“ไอ้อาร์ม” เสียงคำรามลั่นจากคนเป็นพ่อ
พ่อเข้าไปหาพี่อาร์ม กระชากคนที่ล้มตัวลงอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้น พ่อตบหน้าพี่อาร์มจนเห็นรอยแดงเถือก พ่อไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียว พ่อตบพี่อาร์มหลายครั้ง ผมยืนตะลึงเมื่อเห็นคนเป็นพ่อทำร้ายลูกชายตัวเอง
“พ่ออย่าทำพี่อาร์ม!” กรีดร้องเสียงดัง อยากเข้าไปคว้าร่างสูงที่ปล่อยให้โดนตบอยู่ฝ่ายเดียวใจแทบขาด แต่ไม่อาจผละจากมือหนาที่ล็อคแขนตนเองไว้ราวคีบเหล็ก
ผมสะบัดแขนแรงๆ หลายครั้ง ไม่สนใจกันที่ยืนนิ่งในบรรยากาศมาคุ หัวใจยิ่งบีบคั้นเมื่อเห็นเลือดสีแดงข้นไหลออกมาจากริมฝีปากที่ช้ำเจ่อ
“ปล่อยผมสิกัน ปล่อยผม!” ผมดึงแขนตัวเองแรงๆ อย่างคนไร้สติ มองคนตัวโตที่ยืนนิ่งจนน่าประหลาด
“...” มีเพียงแรงดึงจากร่างสูง ผมขืนตัว ไม่ยอมไปตามแรงกระชาก
“ผมจะไปหาพี่อาร์ม! ปล่อยผมสิกัน ปล่อย!” ตะโกนบอกเสียงดัง ห่วงคนที่โดนทำร้ายใจแทบขาด
“หุบปาก!!!” กันตวาดเสียงดัง ผมสะดุ้งกับใบหน้าแข็งกร้าวและสายตาน่ากลัว แรงบีบที่มือแรงเสียจนปวดไปหมด
“มึงปล่อยเมียกู!” พี่อาร์มที่ผลักพ่อลงไปนอนกับพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เข้ามาคว้ามือผมไว้อีกข้าง
“พี่อาร์ม...” ผมครางเสียงแผ่ว สายตามองพ่อที่ล้มลงไปนอนกับพื้นเพราะแรงผลัก สลับกับใบหน้าแดงกร่ำและเลือดตรงริมฝีปากของคนรัก หยดน้ำตาร่วงลงมาเพาะ
ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นี้ได้
“ไอ้สารเลว!” คำด่าของคนที่เงียบขรึมมาตลอด พร้อมกับหมัดลุ้นๆ ที่ปล่อยออกไป ผมร้องเรียกชื่อพี่อาร์มเสียงหลง
“ทำบ้าอะไรของคุณ” ตะโกนด่าคนที่ลงมือรุนแรง
“หน้าด้าน”
อะไรกัน...
ผมกำลังโดนกันด่าใช่ไหม
“ค คุณไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้น! คุณ...คุณไม่รู้อะไรเลย!”
“แค่นี้ก็เกินพอ...” ผมสะอึกนิ่งกับคำพูดของเขา
“ไม่! ผมจะไปหาพี่อาร์ม” ออกแรงสะบัดตัวเองจากคนตัวโตอย่างรุนแรง ทิฐิในหัวทำให้ผมไม่ยอมโอ่นอ่อนให้เขาง่ายๆ
เพียะ!
อารมณ์โมโหฉุดรั้งสติไว้ ผมเผลอตัวใช้มือฝาดใบที่ใบหน้าของกัน ใบหน้าคมสันหันไปตามแรงกระแทก ผิวสีแทนแดงขึ้นเป็นรอยฝ่ามือ ผมรั้งมือตัวเองกลับ ป้องปากไว้อย่างตกใจ
ขอโทษ...อยากพูดคำนี้ใจแทบขาด เมื่อเห็นตนตัวโตแค่นยิ้มอย่างเย็นชา
“...” กันลากผมออกมาากบริเวณนั้น ผมไม่ขัดขืนปล่อยให้ตัวเองถูกลากไป สายตามองพี่อาร์มที่โดนพ่อระดมหมัดใส่ใบหน้าด้วยสายตาเว้าวอน
ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นี้ได้
ทำไมถึงเป็นแบบนี้
ทำไม...
ดวงใจทรราชยังไม่มีไอเดียแต่งต่อเลยค่ะ กำลังไล่แต่งนิยายที่แต่งค้างๆเอาไว้