บทที่สิบหก --- ออกค่าย
หลังจากที่ผมตกลงเลือกพี่นิค(อย่างเป็นทางการในใจแล้ว) ผมก็ทำตัวกับทุกคนเหมือนเดิมตามปกติ ไม่ได้ลดน้อยลงแต่ประการใด แต่สำหรับพี่นิคแล้วผมเพิ่มให้มากเป็นพิเศษเท่านั้น และดูเหมือนว่าพี่นิคก็พอจะรู้อยู่เป็นนัยๆ ช่วงระยะนี้ชีวิตของผมเป็นปกติสุขมากขึ้น ถ้ามันไม่ใช่ระยะเวลาสอบปลายภาคของเทอมหนึ่ง
“สวัสดีครับคุณพ่อ วันนี้เอสอบวันสุดท้ายแล้ว เอขอโทรมาขอพรคุณพ่อครับ”ผมพูดโทรศัพท์ก่อนออกจากหอไปสอบวิชาสุดท้าย (ผมมีความเชื่อส่วนตัวของผมว่า ก่อนสอบทุกครั้งจะต้องโทรไปขอพรคุณพ่อคุณแม่ เพราะพรที่ได้จากคุณพ่อคุณแม่คือสิ่งที่วิเศษสุดแล้วสำหรับผม ผมทำอย่างนี้ทุกทีตั้งแต่ม.1แล้ว)
“สอบวันสุดท้ายแล้วซินะ พ่อรู้ว่าเอต้องทำได้ ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจ ถ้าเอตั้งใจและพยายามทำมันก็จะสำเร็จ เอต้องเป็นคนที่เข็มแข็งและอดทนนะ อนาคตของพ่อ คุณแม่และโอ๊ตก็อยู่ที่เอนะ”นั่นคือพรของคุณพ่อ
“ครับ”
“แล้วนี่จะกลับบ้านหรือเปล่า สอบเสร็จแล้ว”คุณพ่อถาม
“เอว่าจะไปค่ายที่ชัยภูมิก่อนห้าวัน แล้วถึงจะกลับครับ ฝากบอกคุณแม่ด้วย”ผมตอบ
“งั้นก็มาถึงวันที่ 12 พอดีเลยวันที่ 13 เป็นวันอาทิตย์เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวด้วยกัน เราไม่ได้ไปเที่ยวแบบครบสี่คนด้วยกันนานแล้ว ตั้งแต่เอไปอยู่มหาลัย”คุณพ่อบอก
“แต่คุณพ่อก็แอบพาคุณแม่ไปสวีทบ่อยๆทิ้งโอ๊ตให้อยู่บ้านคนเดียว ใช่ม้า”ผมแซว
“เจ้าโอ๊ตรายงานเหรอ พ่อชวนแล้วมันไม่ยอมไปเอง ทีโอ๊ตยังแอบไปเที่ยวกับสาวๆได้เลย เอ อยู่นั้นก็เที่ยวบ่อยละซิ อาอี๊บอกเอไม่ค่อยไปบ้านอาอี๊เลย”คุณพ่อแก้ตัวแล้วถามคืน
“ไม่เลย ตั้งแต่มาอยู่ในมอยังไม่ได้ไปไหนเลย มีแต่เรียนกับทำงานส่งอย่างเดียว”ผมรีบบอกคุณพ่อ
“รีบปฏิเสธเชียว มีพิรุธ สงสัยจะมีแฟนแล้วแน่ๆเลย พามาให้พ่อดูตัวบ้างนะ”คุณพ่อแซวเล่น แต่ผมรู้สึกเหมือนอะไรมันมาทำให้ผมเสียวสันหลัววาบ
“ยังไม่มีๆ ครับ เอจะไปชอบใครได้ แล้วอีกอย่างจะมีใครมาชอบเอ ยังไม่มีครับ”ผมบอกออกไปอย่างไม่เต็มปาดมากนัก
“เรื่องอย่างนี้มันเป็นธรรมดาของวัยรุ่น พ่อเข้าใจ ชายหนุ่มเจอหญิงสาวมันก็มีบ้างแหละ แต่พ่อไม่อยากให้เอ จริงจังอะไรมากนัก เพราะชีวิตเอยังต้องเจออะไรอีกเยอะ”คุณพ่อบอก ใจผมแป้วๆยังไงชอบกล (ชายกับหญิง แล้วถ้าชายกับชายล่ะ)
“ครับๆ งั้นแค่นี้นะครับ เอไปสอบแล้วสวัสดีครับ”ผมรีบตัดบทเอาดื้อๆ ก็ที่จะมีเรื่องให้คิดมากก่อนเข้าห้องสอบ
และแล้วการสอบวิชาสุดท้ายก็จบลง ผมกับเพื่อนๆพากันไปหาอะไรกินกันก่อนที่จะเข้าไปประชุมเตรียมค่ายที่องค์การนักศึกษา เหมือนเป็นทำเนียมประเพณีปฏิบัติของชมรมต่างๆที่พอหลังจากสอบเสร็จในภาคเรียนที่หนึ่งจะมีระยะปิดเทอมสั้นๆประมาณเดือนกว่าๆ ก็มักจะพากันออกค่ายตามแต่และแนวของรูปแบบชมรมนั้นๆ อย่างเช่น ชมรมอาสาพัฒนา ก็จะพาสมาชิกไปออกค่ายตามโรงเรียนหรือหมู่บ้านที่ชนบทเอามากๆ ไปสร้างอาคารเรียน ศาลาที่พักกลางหมู่บ้านหรืออะไรทำนองนี้ ถ้าเป็นชมรมพุทธศาสน์ก็จะพากันไปปฏิบัติธรรมที่วัด ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติก็จะพากันไปเดินป่า ไปแต่ละทีก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนและงบประมาณที่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็น 3วัน 5วัน เป็นอาทิตย์เลยก็มี
ค่ายขององค์การนักศึกษาที่เราจะไปกันในครั้งนี้เป็นค่าย 5วัน เรียกว่าเป็นค่ายประยุกต์ก็ว่าได้ เพราะเปิดรับทุกคนที่อยากไปและงานที่จะลงไปทำกันที่ค่ายก็หลากหลาย ไม่ว่าจะไปสร้างห้องน้ำให้กับวัด ซ่อมโรงอาหารให้โรงเรียน สอนหนังสือเด็กนักเรียน ตรวจสุขภาพชาวบ้าน ตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง ให้ความรู้และแนะนำเรื่องพืชผลทางการเกษตร ซ่อมดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
ชาวค่ายทุกคนจะมีหน้าที่ให้ทำโดยเลือกตามความสนใจและความถนัดในงานนั้นๆ การไปอยู่คราวนี้พวกเราจะไปพักกันที่โรงเรียนซึ่งอยู่ติดกับวัด อยู่ในจังหวัดชัยภูมิ ห่างออกจากตัวอำเภอไปไกลพอสมควร เรื่องอาหารการกินก็ต้องทำกินอยู่กันเอง อาจจะมีชาวบ้านเอามาเลี้ยงสมทบบ้างเป็นบางมื้อ
ผมกับเพื่อนทั้งจากกลุ่มโรงเรียนเก่าและเพื่อนกลุ่มในคณะ ที่เคยลงสมัครองค์การเอาไว้เลยตัดสินใจว่าจะไปด้วยกันทั้งหมดเลย ผมก็ชวนหนึ่งไปด้วย ตอนแรกหนึ่งทำท่าไม่อยากไป ผมบอกว่าลองดูไปหาประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ น่าสนุกดีออก หนึ่งเลยยอมไป
...
“แหวว ช่วยเช็คให้พี่หน่อยว่า พวกชมรมต่างๆตอบรับมากี่ชมรม”ผมได้ยินเสียงพี่นิคถามพี่แหววขณะที่พวกผมกำลังเดินเข้าไปในองค์การ เห็นพวกพี่ๆกำลังยุ่งเลยยกมือไหว้แบบเงียบๆ
“ค่ะๆ อ้าวพวกน้องๆ มาพอดีเลย มาช่วยกันจัดเอกสารเข้าร่วมประชุมหน่อยเร็ว”พี่แหววทักพร้อมส่งเอกสารตั้งใหญ่มาให้พวกเราช่วยเรียงหน้าแล้วเย็บเล่ม ผมแอบมองหน้าพี่นิคนิดหนึ่ง ก่อนที่พี่นิคจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้
“เอ เดี๋ยวเรามาช่วยพี่เอารายชื่อนี่ลงในคอมที่ห้องประชุมเล็กให้หน่อย”พี่นิคบอกผม
“หนูช่วยอีกคนคะพี่”ทรายเสนอตัว
“ไม่เป็นไรคนเดียวก็พอ”พี่นิคบอกแล้วเดินเข้าไปในห้องประชุมเล็ก ผมเดินตามไป หนึ่งกับอ๊อฟหันมามองผมแล้วยิ้มให้
“พี่รายชื่อคนไปค่ายนี่ใช่ไหมครับ”ผมถามพร้อมนั่งลงหน้าคอมแล้วพิมพ์อย่างรวดเร็ว
“อืม... เอ พี่ดีใจนะที่เรากับพวกเพื่อนๆเราไปค่ายขององค์การ”พิ่นิคพูดขึ้นหลังจากผมพิมพ์ไปได้ซักพัก
“ครับ ก็อยากลองหาประสบการณ์ดูอ่ะครับ”ผมตอบ แล้วพี่นิคที่นั่งอยู่ก็ลุกเดินเข้ามายืนข้างๆผม
“เอ แต่ไปค่ายมันไม่ใช่สนุกอย่างเดียวนะ ไปครั้งนี้ค่อนข้างกินอยู่ลำบากและงานที่ไปทำก็หนัก
เอจะไหวหรือเปล่า”พี่นิคพูดแล้วมองจ้องหน้าผม (อย่าจ้องดิ่ฟ่ะ เขินนะโว้ย พิมพ์ไม่ออกเลย)
“ได้ดิ่พี่ เห็นผมเป็นคุณหนูไปได้ แค่นี้เอง เสร็จแล้วพี่ปริ๊นเลยป่าว”ผมบอกแล้วกด SAVE งาน
“เอ พี่เป็นห่วงเอนะครับ ไม่อยากให้เอลำบาก”พี่นิคไม่พูดเปล่า เอามือมาลูบผมเหมือนกับทำกับเด็กๆ (จะมาไม้ไหนว่ะเนี่ยะ หลอกใช้งานป่าว)
“เออ เพื่อนผมไปได้ ผมก็ไปได้ครับ พี่ห่วงตัวเองเถอะ เป็นถึง ผอ.ค่าย เหนื่อยกว่าผมอีก งานตั้งแยะ”ผมบอกพร้อมก้มหน้าลงอาย แล้วพี่นิคก็เอามือพี่เขามาจับมือผมยกออกจากแป้นพิมพ์
“นิ้วเอ ยาวเรียวสวยดี มือก็นุ่ม ไหนจะหอมหรือเปล่าน้า”พี่นิคพูดพร้อมยกมือผมจะขึ้นไปดม หัวใจผมพองโต เลือดสูบฉีดอย่างแรง
“เอ.....”เสียงอ๊อฟเรียกพร้อมเปิดประตูเข้ามา พี่นิคที่กำลังจะหอมมือผมต้องรีบปล่อยมือผมอย่างเร็ว
“เอ ปริ๊นออกมาเลย เร็วๆด้วย ทำงานชักช้าจริงๆ”พี่นิคสั่งผมด้วยเสียงที่เข้ม (อะไรว่ะ เมื่อกี้ยังเสียงหวานๆอยู่เลย ปรับอารมณ์ไม่ทัน) แต่ผมก็รับคำแต่โดยดี “ครับ”
“เอ เสร็จยัง ออกมานี่หน่อย”อ๊อฟบอกผมมองหน้าพี่นิคอย่างหลบสายตา แล้วผมก็เดินตามมันออกไป
“มีอะไรอ๊อฟ”ผมถาม
“ที่หลังจะทำไรกันนะ ล็อคประตูหน่อยนะ จะได้ไม่เข้าไปขัดจังหวะ”อ๊อฟพูดประชดเล็กๆ
“ทำไรก็ทำงานอยู่”ผมอ้าง
“ทำงาน หรือจะทำอะไรกันในที่ทำงาน”อ๊อฟแซว
“มั่วแล้วๆ ว่าแต่มีอะไร”ผมถามแบบตัดบท
“นี่ๆ แกมาดูนี่ เห็นสองคนนั่นไหม นั่นไง นั่นแหละพี่คิมกับพี่ตี๋แหละ เห็นว่าจะไปค่ายนี้ด้วยนะ”อ๊อฟบอก ผมมองตาม เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อคณะวิดวะกำลังป้อนลูกชิ้นให้ผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อกราวน์สั้นของคณะสัดแพทย์ เห็นแล้วดูน่ารักดี
“อือ แล้วไหมอ่ะ”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
“อ้าว แกนี่ ก็ถือโอกาสนี้ไปทำความรู้จักพี่เขา แล้วแกก็ค่อยๆแอบสืบเรื่องพี่หมอใสซื่อกับพี่นายกดีเจไง ว่าเขาเคยคบกันจริงไหม แล้วเลิกกันเพราะแกเป็นมือที่สามจริงป่าว”อ๊อฟอธิบาย
“ไร้สาระว่ะ”ผมบอก (แต่ในใจพี่เขาเคยคบกันจริงเหรอ แล้วเราเป็นมือที่สามเหรอว่ะ)แล้วเดินขึ้นไปที่ห้องประชุมใหญ่ชั้นสอง
...
ที่ห้องประชุมใหญ่ชั้นสองมีคนประมาณแปดสิบกว่าคนได้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยสมัครองค์การเอาไว้ในงานวันเปิดโลกกิจกรรม มีบางส่วนที่มาจากสโมสรนักศึกษาของคณะต่างๆและที่มาเป็นตัวแทนของชมรมต่างๆก็มี (ก็มีพี่เก่งมาในนามชมรมถ่ายภาพ พี่แป้งมาในนามชมรมเชียร์ พี่คิมมาในนามสโมสรสัดแพทย์ พี่ตี๋มาในนามชมรมฟันดาบ พี่ริชมาในนามสโมสรวิดวะ ส่วนพี่หมอทีพี่แหวว พี่ปอ พี่นิคเป็นคนมีตำแหน่งขององค์การอยู่แล้ว)
พี่นิคเข้ามากล่าวทักทายทุกคนในนาม ผอ.ค่าย แล้วชี้แจงวัตถุประสงค์ของการออกค่าย สถานที่ วันระยะเวลาที่จะไป สุดท้ายลงเอ่ยด้วยการวางกำหนดการในแต่ละวันและแบ่งบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบให้แต่ละคน โดยแบ่งตามเนื้องานเป็นหลักและให้แต่ละฝ่ายมีหัวหน้าฝ่ายคอยดูแลอีกที
อย่างเช่นพี่หมอทีและพวกสายแพทย์ก็จะอยู่ฝ่ายสุขภาพ มีหน้าที่ตรวจสุขภาพและให้ความรู้เรื่องสุขภาพแก่พวกชาวบ้านในชุมชน อย่างพวกที่มาจากชมรมกีฬาต่างๆก็จะมีหน้าที่จัดตารางการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชาวค่ายกับชาวบ้าน พวกที่มาจากศึกษาศาสตร์ก็จะมีหน้าที่สอนหนังสือเด็ก พวกที่มาจากวิดวะก็จะสร้างห้องน้ำซ่อมโรงอาหาร พวกคณะเกษตรก็จะลงพื้นที่ในไร่ในสวนให้ชาวบ้านอย่างนี้เป็นต้น พอประชุมเสร็จก็เกือบๆหนึ่งทุ่ม พวกพี่เลยชวนพวกผมไปกินหมูกระทะที่อยู่แถวกังสดาล พวกเราก็ยินดีอย่างยิ่ง(ของฟรีนี่ เจ้าภาพมื้อนี้ก็ไม่ใช่ใคร พี่ริชนั่นเอง)
พอไปถึงร้านหมูกระทะพวกเราก็ต่อโต๊ะกันยาวเลยเพราะไปกับยี่สิบกว่าคน ผมนั่งข้างหนึ่งอีกข้างก็เป็นอ๊อฟ มีพี่นิคนั่งหัวโต๊ะ ไล่ลงมาก็เป็นพี่ริช พี่ปอ พี่แหวว พี่แป้ง พี่เก่ง พี่หมอที พี่คิม พี่ตี๋ แล้วค่อยเป็นกลุ่มพวกเพื่อนของพวกผม
“น้องๆ ขอเบียร์สดสองเหยือก”พี่ริชตะโกนสั่ง แล้วหันมาถามทางพวกผมว่า “จะเอาด้วยป่าว”
พวกผู้หญิงปฏิเสธ มีโจ้กับเอ็กซ์และไอ้ปอนด์พยักหน้า ผมกับหนึ่ง ต้าร์ บอย นั่งเฉยๆ พี่ริชเลยสั่งมาเพิ่มให้อีกเหยือก
“ไอ้พี่คนนี้มันเป็นใครว่ะ โคตรซกมก สั่งของไม่เกรงใจคนเลี้ยงบ้างเลย”น้อยบ่นเบาๆแบบไม่ค่อยพอใจพี่ริช ผมหันไปมองกำลังจะบอกว่านี่แหละคนเลี้ยง แต่อ๊อฟมันก็ชวนผมไปตักอาหารก่อน
ระหว่างกินหมูกระทะผมก็แอบสังเกตว่าพี่ตี๋คอยเอาใจพี่คิมดีมากๆ เดี๋ยวตักโน่นตักนี่ ป้อนนั่น เห็นแล้วน่าอิจฉา พี่ปอก็เอาใจพี่แหววดี ผมแอบมองพี่แป้ง พี่เก่ง พี่หมอที พี่นิค ต่างคนต่างกินแล้วก็คุยกันอย่างออกรสออกชาติเรื่องงานค่าย (ไม่เห็นมาเอาใจเราเลยว่ะ หรือเขาจะคิดว่าเราหลายใจเลยทิ้งเราไปพร้อมๆกันเลย – ผมคิดในใจ) ผมสังเกตเห็นต้าร์เอาใจปูเป้ คอยชวนให้กินนั่นกินนี่ (มันคงเอาจริงซินะ ปกติไอ้ต้าร์จะคุยกับใครที่ไหน) น้อยก็ดูหงุดหงิดพิลึกคอยมองแต่พี่ริชแล้วก็บ่นว่า กินแต่เหล้าแต่เบียร์ไม่เกรงใจคนที่เขาจะจ่ายเงินเลย (น้อยคงยังไม่รู้ว่าพี่ริชนี่แหละเจ้ามือ และบ้านพี่เขาก็รวยมากๆเลยด้วย)
ซักพักพี่ริชก็เดินไปเข้าห้องน้ำ น้อยเดินตามไปทันที น้อยกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วดูหน้าตาหายหงุดหงิด แต่พี่ริชยังไม่กลับ อีกซักครู่ใหญ่ๆ พี่ริชก็เดินเข้ามาหาผมบอกว่าขอคุยอะไรด้วยหน่อย ผมเดินตามออกไปทันที
“อะไรนะครับพี่ ผมขอโทษแทนน้อยจริงๆนะครับ เพื่อนผมมันคงไม่รู้อ่ะครับ ก็ถ้าใครเห็นพี่ริชก็คงคิดว่าเป็นพวกแบบว่า...เกาะเพื่อนกินอ่ะครับ....”ผมรีบขอโทษทันทีหลังที่พี่ริชเล่าให้ฟังว่าพอเข้าห้องน้ำเสร็จเดินออกมาก็เจอน้อยยืนอยู่ น้อยเข้าไปต่อว่าพี่ริชต่างๆนานาเรื่องที่สั่งเหล้าเบียร์มาดื่มมากมาย ไม่มีความเกรงใจเห็นว่ามีคนเลี้ยงก็จะกินเอาๆ พี่ริชบอกว่าตอนแรกโกรธมากถ้าไม่ใช่ผู้หญิงจะซัดปากซักสองสามที แต่พอน้อยพูดคำว่า “ยังเรียนอยู่แท้ๆ เงินก็ขอพ่อมาใช้ จนแล้วไม่เจียม” ออกมาแล้วตบหน้าพี่เขาไปหนึ่งที พี่ริชก็อึ้งแล้วน้อยก็เดินหนีไปที่โต๊ะทันที
“ไม่เป็นไรๆ พี่ชอบว่ะ ตรงดี อย่างนี้น่ารัก เราช่วยพี่ได้ไหม” พี่ริชถาม
“ห๊า....อะไรนะครับ”ผมงงกับพี่ริช
“หาอะไรว่ะ เราอย่าเพิ่งไปเปิดเผยกับน้อยนะว่าพี่เป็นยังไง ให้เขาคิดอย่างนี้แหละว่าพี่มันจน พี่มันเกาะเพื่อนกิน พี่มันดิบๆเถื่อนๆ เข้าใจ”พี่ริชกำชับผม
“ครับๆ”ผมรับปาก
“เอ่อ แล้วเพื่อนเรามีใครที่รู้จักพี่บ้าง ไปบอกด้วยนะว่าห้ามบอกน้อย”พี่ริชย้ำ
“ก็มีหนึ่งที่รู้มั้งครับผมเคยเล่าให้ฟัง แต่คนอื่นๆก็คงคิดว่าพี่จนมาก พี่เกาะเพื่อนกินเหมือนน้อยมั้งครับ”ผมบอกออกไป
“อะไรว่ะ กูมันดูสถุนขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ”พี่นิคสบถ
“ก็ถ้าพี่ลองเปลี่ยนการแต่งตัว วางบุคลิกใหม่ ผมว่าพี่ก็โอแล้วครับ”ผมเสนอ
“ช่างมันเถอะ เราไปได้แล้ว อย่าลืมนะ นี่ถือเป็นการชดใช้ขวดเหล้าที่เราทิ้งของพี่ไป”พี่ริชย้ำ ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ไม่คิดว่าพี่เขาจะจำได้อยู่
ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ น้อยมองมาทางผม ผมทำเป็นไม่เห็นแล้วแกล้งหันไปพูดกับหนึ่งว่า พี่เขาเรียกไปถามเรื่องค่ายไม่มีอะไร แล้วบนเวทีที่นักดนตรีกำลังเล่นเพลงอยู่ก็เงียบแล้วมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า
“เพลงนี้ผมร้องให้กับคนที่ไปสั่งสอนผมหน้าห้องน้ำครับ”พี่ริชพูดแล้วดนตรีก็ขึ้น ทุกคนในโต๊ะอึ้ง งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ปอจะไปลากตัวพี่ริชลงมาเพราะคิดว่าพี่ริชเมาจนไม่รู้เรื่อง แต่พี่นิคกับพี่แหววห้ามไว้ ผมแอบมองน้อยเห็นน้อยทำหน้าทั้งอายทั้งหงุดหงิดรำคาญไม่พอใจ
(เพลงที่พี่ริชร้องให้น้อย http://www.imeem.com/hurty/music/aRK3E5Fy/ )
<object width="300" height="80"><param name="movie" value="
http://media.imeem.com/m/CV0e8iwERQ"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="
http://media.imeem.com/m/CV0e8iwERQ" type="application/x-shockwave-flash" width="300" height="110" wmode="transparent"></embed></object>
...................รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง รู้ว่าเหนื่อย ถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง ยังไงจะขอลองดูสักที
รู้ว่าเราแตกต่างกันเท่าไร รู้ว่าเธออยู่ไกลอยู่สูงขนาดไหน
ใครๆ ก็รู้เป็นไปไม่ได้หรอก แต่คำว่ารักมันสั่งให้ฉันต้องปีนขึ้นไป
ได้เกิดมาเจอเธอทั้งที ไม่ว่ายังไงจะลองดีสักวัน
อยากรักก็ต้องเสี่ยง ไม่อยากให้เธอเป็นเพียงภาพในความฝัน
ลำบากลำบนไม่สนใจ ตะเกียกตะกายสักเพียงใด
ก็ดีกว่าปล่อยเธอไปจากฉัน ตกหลุมรักจริงๆ เพราะรักจริงๆ เธอคงไม่ว่ากัน
แม้ต้อยต่ำ แต่ยังมีหัวใจ แม้ต้องเจ็บ แต่มันก็คุ้มก็สุขใจ
ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันไม่เจียมตัว
เมื่อคำว่ารักมันสั่งให้ฉันทำตามหัวใจ ...................
พี่ริชร้องเพลงไปก็มองมาที่โต๊ะ (น้อยเอ๊ย ตกถังข้าวสารไม่รู้ตัวซะแล้ว เพลงที่พี่เขาร้องนะ น้อยมันน่าจะร้องให้พี่เขามากกว่า ถ้ามันรู้สถานที่จริงของพี่ริชจะเป็นไงว่ะเนี่ยะ ไม่อยากคิดเลย พี่ริชนี่ก็พิลึกคน อย่างพี่ริชก็ไม่น่าหาผู้หญิงยาก มาชอบน้อยได้ไงก็ไม่รู้ น้อยออกจะสวยทึกบึกบึนขนาดนั้น แปลกคนจริงๆ --- ผมคิด) พี่ริชร้องเพลงจบกลับมานั่งที่โต๊ะแอบมองมาทางน้อยทีหนึ่ง น้อยทำตาเขียวใส่ พวกเพื่อนพากันแซวพี่ริช เราพากันนั่งกินกันอีกซักพักก็กลับ
...