ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)  (อ่าน 62812 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)



อริยะยิ้มแหยเมื่อเผลอเดินชนกับเด็กชายตัวเปี๊ยกที่ต่อแถวซื้ออาหารอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เดือดร้อนให้ระรินต้องเป็นฝ่ายเข้ามาไกล่เกลี่ย เจ้าเด็กหน้ายักษ์ถึงเลิกตะโกนด่าเขาให้ขายขี้หน้าคนทั้งร้าน อาหารมื้อเร่งด่วนถือเป็นความจำเป็นในการประทังความหิวหลังจากดูหนังรักโรแมนติกที่ระรินฟุ้งนักหนาว่าห้ามพลาด สามทุ่มครึ่งอาร์มก็เดินออกจากร้านเคเอฟซีพร้อมกับชุดไก่ทอดใส่กล่องกลับบ้านเซ็ตใหญ่โดยมีหญิงสาวเดินเคียงข้าง พอมาถึงบันไดเลื่อน เด็กสาวก็หันมาหาทางเขาพร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความขอบคุณ

“หนักไหมคะ คือจริงๆ รินถือเองก็ได้” เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ ลำพังแค่อาหารที่เขาซื้อกลับบ้านก็ไม่น้อยแล้วยังช่วยถือข้าวของจุกจิกที่เธอซื้อเล่นฆ่าเวลาก่อนเข้าโรงหนังอีก

“ไม่เลยค่ะ ให้อาร์มช่วยถือนะคะ” คนใส่แว่นตรงหน้าส่งยิ้มให้กับเธอ

“เสียดายจัง หนึ่งน่าจะมาทานด้วยกัน” ดวงตาสดใสหม่นลงชั่ววูบ แต่เพียงครู่ก็กลับมาเป็นประกายดั่งน้ำค้างยามเช้าเช่นเดิม

“ก็ชวนแล้ว แต่มันเล่นตัวไม่ยอมมา” เด็กหนุ่มยักคิ้วตอบพร้อมส่งเสียงหัวเราะ “เดี๋ยวรินจะไปไหนต่อคะ หรือจะทานขนมอีกหน่อยไหม”

“ไม่ดีกว่าค่ะ อาร์มเถอะ อิ่มแน่นะ ทานไปนิดเดียวเอง”

“เดี๋ยวกลับไปก็ต้องกินอีก” อารยะยกมือขึ้นตีหน้าท้องตัวเองแล้วยิ้มเผล่ จนระรินอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำ

“จริงสิ จำที่รินเคยบอกอาร์มได้ไหม เรื่องกิจกรรมปั่นจักรยานชมกรุงเทพของชมรมน่ะ สรุปว่าเป็นวันที่ 11 เมษาฯ นะ อาร์มไปได้ไหม”

“ก่อนวันหยุดสงกรานต์นั่นเหรอ”

“ใช่ค่ะ เห็นพี่ ๆ บ่นกันว่าถ้าหลังจากช่วงสงกรานต์กลัวความกระตือรือร้นจะไม่มีเหลือ น้อง ๆ คงได้หมดพลังไปกับการเล่นสาดน้ำกันแล้ว”

“ฮ่า ๆ ก็จริงนะ แต่ถ้าไปมันจะเป็นตัวประหลาดไหมนะ ไม่รู้จักใครนี่สิ”

“ก็รู้จักรินไง หรือจะลองชวนหนึ่งมาด้วยก็ได้นะ ปั่นจักรยานกันหลาย ๆ คนก็สนุกดี”

อริยะยักหัวไหล่ตอบแล้วส่งยิ้มให้เธอ

หลังจากนั่งรถไฟฟ้าไปส่งระรินที่สถานีวงเวียนใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มก็นั่งย้อนกลับมาที่สถานีอารีย์ ชุดไก่ทอดในกล่องระอุจนกลายเป็นไอน้ำ ซึ่งเขาก็ได้แต่หวังว่ามันยังจะพอกรอบให้สมกับเป็นไก่ทอดอยู่บ้าง ไม่กลายเป็นไก่นึ่งให้ขายขี้หน้าไปเสียก่อน ลงจากสถานีรถไฟฟ้าได้ อริยะก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างออกไป

ลัดเลาะเข้าซอยแคบ ๆ ไม่ถึงห้านาที เด็กหนุ่มตัวโย่งก็กระโดดลงมายืนอยู่หน้าทาวน์เฮาส์หลังเล็ก ๆ ที่มีต้นเฟื่องฟ้าปลูกอยู่หน้าบ้าน อริยะกดกริ่งที่หน้าประตูรั้ว ไม่นานนักหญิงสาววัยกลางคนก็ชะโงกหน้าออกมาจากด้านในพร้อมรอยยิ้ม เห็นดังนั้นแขกผู้มาเยือนก็ยกมือไหว้อย่างคุ้นเคย

“อาร์มมาหาหนึ่งเหรอลูก มาเสียดึกเลย”

“ขอโทษคุณแม่ที่รบกวนนะครับ” คนที่ยืนเกาะประตูรั้วประจบเสียงหวาน “พอดีไปกินข้าวกับเพื่อนมา เลยซื้อมาฝากคุณแม่ด้วยครับ ไก่ทอด”

นาตยาส่ายหัวยอมแพ้กับกลิ่นหอมฉุยตรงหน้า เธอไม่สันทัดกับอาหารเร่งด่วนแบบวัยรุ่นชอบทาน “ของโปรดคนข้างบนโน่น เอาไปกินกับเจ้าหนึ่งเถอะ แม่อิ่มแล้ว หนึ่งน่าอยู่บนห้องนั่นน่ะ สงสัยนั่งเล่นเกมอยู่”

“ทานบนห้องได้ไหมครับ” อาร์มชูไก่ทอดถุงโต ขออนุญาต

“จ้า...อย่าลืมเก็บลงมาทิ้งถังขยะด้วยแล้วกัน”

พูดจบ หญิงสาวก็เห็นเพื่อนซี้ของลูกชายกระโดดแผล็วขึ้นบันไดบ้านอย่างเชี่ยวชาญ อริยะมาหาลูกชายเธอบ่อย เห็นหน้ากันจนกลายเป็นคนคุ้นเคย เพื่อนซี้ย่ำปึ๊กของพิธานคนนี้ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อเรื่องความหล่อเหลา กิตติศัพท์เรื่องเข้าหาผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย ไม่เพียงแต่เฉพาะคนในบ้าน กับเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงเด็กหนุ่มก็ประเหลาะปากหวานไปทั่วเล่นเอาคุณปู่ คุณย่า คุณป้า คุณลุงทั้งซอยบ่นคิดถึงเป็นประจำ

ได้ยินเสียงโวยของลูกชายจากบนบ้านพร้อมสัตว์เลี้อยคลานที่ดังกระหึ่มเผื่อแผ่ไปละแวกใกล้เคียง นาตยาก็เอนตัวลงบนโซฟาพร้อมรอยยิ้มขัน ก่อนจะนั่งสนใจละครหลังข่าวเรื่องโปรดของเธอต่อไป



“บ้านช่องไม่มีอยู่หรือไง มาบ่อยเหมือนเป็นบ้านเอ็งเลยนะ” พิธานโหวกเหวกเมื่อเห็นตัวกวนประสาทมายืนสลอนอยู่หน้าประตูห้องนอน

“ก็พี่อายส์ห้ามเปิดแอร์ในห้องนอนก่อนสี่ทุ่มนี่ ร้อนจะตาย ใครจะไปทนไหว”

พิธานถอนหายใจ “นี่มันสี่ทุ่มครึ่งไปแล้ว กลับไปบ้านแต่แรกก็เปิดแอร์ได้แล้ว ซื่อบื้อ”

“เออ...ก็จริงเนอะ เอาเถอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว” อริยะแทรกตัวผ่านบานประตู วางถุงไก่ทอดบนโต๊ะที่มุมห้องเสร็จก็กระโจนขึ้นบนเตียงละม้ายว่าเป็นห้องนอนของตนเอง “ซื้อไก่ทอดมาฝากด้วยนะ แต่คงเย็นแล้ว มากินกัน”

“เพิ่งไปกินกับหญิงมา แล้วนี่หิวอีกแล้วเหรอ”

“กินไปนิดเดียวไง” อาร์มตอบพร้อมลุกขึ้นมาแกะถุงพลาสติกออก เพ่งมองหาชิ้นที่ใหญ่สุด

“แล้วไม่กินเยอะ ๆ จะซื้อกลับทำไม แบบนี้รินไม่โมโหตายเหรอ”

“ก็บอกว่าซื้อไปฝากคนที่บ้าน ขืนรู้สิ โดนงอนแน่” คนพูดทำหน้าแขยง

“โกหกไปเรื่อย พูดเหมือนนี่เป็นบ้านน้อยมึงเลยนะ มีกูเป็นเมียน้อยงั้นสิ” พิธานทำหน้ายุ่ง แต่ก็เดินมาหยิบไก่ทอดกิน อริยะหยิบแบบปรุงรสเผ็ดส่งให้ด้วยรู้นิสัยของเพื่อนรักเป็นอย่างดี

“ไม่รู้อะไร หนึ่งน่ะเมียหลวง มาก่อน แถมรู้ใจกันกว่าใคร”

เกิดความรู้สึกปั่นป่วนประหลาดในใจของคนที่ได้ยิน พิธานแอบเหลือบตามองผู้พูด แต่อริยะก็เคี้ยวไก่ทอดไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่ได้เอ่ยอะไรที่ผิดแปลกออกมา เห็นดังนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตาจัดการของโปรดตรงหน้าบ้าง กินไปได้สองชิ้น หนึ่งก็ถอยลงไปนั่งพุงกาง ทว่าอีกคนยังกินต่อไปเรื่อย ๆ

“อดอยากมาจากไหน”

“ก็หิว”

อาร์มยังคงทานต่อเรื่อย ๆ ชิ้นแล้วชิ้นเล่าจนหนึ่งนึกสงสัยว่าหมอนี่เอากระเพาะจากไหนมายัดอาหารมากมายแบบนี้ หรือว่าตอนไปเดตกับรินจะเผื่อท้องมาเพื่อกินกับเขา ถ้าเป็นใช่นั่นถือว่าเป็นความคิดที่บ้าบอมาก

แล้วถ้าใช่ล่ะ?

กลางอกของพิธานรู้สึกอุ่นขึ้น เจ้าตัวจะเคยรู้ไหมว่าพักหลัง ๆ ความสนิทใกล้ชิดและคำพูดหยอกล้อแบบไม่คิดอะไรนั้นทำให้เพื่อนแบบเขารู้สึกหายใจไม่ปกติทุกครั้ง

“คราวหลังไม่ต้องซื้อมาหรอก เปลืองเงินเปล่า ๆ เก็บเงินไว้เลี้ยงข้าวสาวไป”

“เป็นอะไร ทำเป็นงอนไปได้ ก็ชวนแล้วไม่ไป” หัวคิ้วของอริยะมุ่นขึ้นด้วยความฉงน

“ใครงอน?”

“ก็หนึ่งไง”

“ไม่เคย”

“นี่ไง หลักฐาน”

อาร์มปล่อยสะโพกไก่ทอดในมือแล้วจูงเจ้าของห้องมาที่กระจกบานสูงซึ่งติดอยู่ที่ผนัง จากนั้นก็ยึดหัวไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้จากด้านหลังไม่ให้หนีไปไหน ขืนตัวอยู่สักพักจนจับคนยุกยิกให้อยู่มั่นคง คนใส่แว่นจึงชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังของบ่า มองแววตาที่บูดบึ้งผ่านเงาสะท้อนของกระจกด้วยรอยยิ้มกวนประสาทแบบที่ทำเป็นประจำ

“ใครน้อ...”

“อะไร” หนึ่งตวัดเสียงแข็ง

“คนขี้งอน”

“อย่ามาบ้า”

“โอ๊ะ ยิ้มแล้ว”

“ประสาทเปล่า ร้อนจะตาย ใครจะไปบ้ายิ้ม” หนึ่งค้านหัวชนฝาทั้งรอยยิ้มที่เปื้อนหน้า

คางของคนที่อยู่ด้านหลังค่อย ๆ ทาบลงบนหัวไหล่ พิธานได้ยินเสียงลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่ข้างใบหู และนั่นก็ดึงเอาความรู้สึกวูบไหวอันแปลกประหลาดกลับมาก่อกวนความรู้สึกอีกครั้ง เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกเหมือนชีพจรตัวเองเต้นเร็วขึ้น หัวใจก็สูบฉีดด้วยจังหวะคึกโครมเหมือนดนตรีเต้นรำ

“หนึ่งไง หนึ่งกำลังยิ้ม”

“เปล่า”

“จริงสิ”

“จริง”

“ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้มมม...”

เสียงทุ้มที่เจือเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ กระซิบที่ข้างหู หนึ่งคุ้นเคยกับเสียงนี้มาเนิ่นนาน แล้วอันที่จริงอาร์มก็ไม่ได้กระซิบอะไรเลย ตัวกวนประสาทยังคงพูดด้วยเสียงปกติ และใช้ชีวิตเหมือนทุกวันที่ผ่านมา คงมีแต่เพียงเขาคนเดียวกระมังที่ทำให้เรื่องปกติคุ้นเคยกลายให้กลายเป็นเรื่องพิเศษ

“วันที่ 11 ไปขี่จักรยานกันนะ รินชวน”

“ไม่ไป”

“ทำไมล่ะ”

“ขี่ไม่เป็น”

“ไม่ยากหรอก เดี๋ยวสอนให้”

พิธานถอนหายใจแล้วส่ายหัว

“ไปนะ”

คนที่ถูกรบเร้ายังคงยืนนิ่ง พยายามนึกทบทวนว่านับตั้งแต่รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็เข้าปีที่สาม จะมีสักกี่ครั้งที่ตนเองไม่ใจอ่อนตามแววตาออดอ้อนคู่นั้น และเมื่อยิ่งค้นหาก็ยิ่งจะพบความจริงที่ว่าเกินกว่าครึ่งคือความล้มเหลว หนึ่งไม่รู้ว่าเพราะตัวเองใจแข็งไม่พอ...หรือเพราะว่าแพ้ทางเจ้าของเสียงทุ้มที่กรอกหูอยู่ทุกวันกันแน่

“ไปเถอะ”

“คราวหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากเพื่อเป็นสินบนก็ได้นะ”

“ไม่ใช่สินบน นี่ซื้อมากินกันเฉย ๆ ไง” อริยะออกน้ำหนักกดคางลงที่หัวไหล่เขาเบา ๆ จากนั้นก็เริ่มโหม่งหัวของพิธานไปมาจนอีกฝ่ายถึงกับต้องพึมพำอย่างอ่อนใจ

“ก็ไปกินเวลาอื่นเอา กินดึก ๆ มันอ้วนนะ”

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอะไรกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น หลายวันมานี้เขาต้องนับหนึ่งถึงสิบ พยายามอย่างหนักที่จะควบคุมมันไว้...กดเอาไว้เพื่อไม่ให้ความคิดแปลก ๆ มันเปิดเผยออกมาให้เจ้าตัวได้รับรู้

“ไหนดูหน่อย”

ไม่รอให้อนุญาต สองมือของคนที่อยู่ด้านหลังก็เลื่อนลงจากหัวไหล่แล้วถลกเสื้อยืดของเขาขึ้นมาจนถึงอก อาร์มขยับหน้ายื่นเข้าใกล้อีกนิด สำรวจหน้าท้องของหนึ่งจากกระจกแต่ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติตรงไหน สักพักรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ผุดผาดขึ้นบนมุมปาก พร้อมกับปลายนิ้วชี้ที่ค่อย ๆ กดลงบนพุงของคนตรงหน้า

หนึ่ง...สอง...แล้วก็สาม...

จิ้ม...จิ้ม...จิ้ม...

“ไอ้บ้า !” หนึ่งหัวเราะจักจี้

“ไม่เห็นอ้วนเลย” อริยะยืนยันพร้อมรอยยิ้ม

พูดจบมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มก็ปล่อยมือจากชายเสื้อแล้วเปลี่ยนมาสวมกอดเต็มตัว คางที่วางอยู่บนบ่ากลายเป็นศูนย์ถ่วงของศีรษะไปโดยอัตโนมัติ อริยะโยกหัวตัวเองไปมา ซ้ายขวา...ซ้ายและขวา...โขกศีรษะด้านข้างของคนกลัวอ้วนเป็นจังหวะเบา ๆ

“ห่วงหล่อเสียจริง อยู่บ้านต้องใส่โคโลญจน์ซะด้วย นี่กลิ่นใหม่ใช่ไหม”

“อืม แม่ซื้อมาให้”

“จริง ๆ ชอบกลิ่นเก่ามากกว่า”

พิธานยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นจับวงแขนที่โอบอยู่ ตั้งใจจะดึงให้คลายออก แต่เหมือนแขนของเขาจะปรปักษ์ต่อความคิดของสมองที่สั่งการ ความตั้งใจที่มีจึงหยุดลงเพียงมือซึ่งเกาะกุมอยู่บนอ้อมแขนอุ่น ๆ นั้น หากจะพูดกันตรง ๆ แล้วพิธานก็ไม่ค่อยชอบตัวเองในตอนนี้เท่าไรนัก หรืออันที่จริงอาจจะไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ

“ปล่อยเถอะ อากาศยิ่งร้อน ๆ อยู่”

คนที่กอดอยู่หัวเราะเบา ๆ ข้างหู “ที่ชอบห้องหนึ่งก็เพราะเปิดแอร์ตลอดนี่แหละ”

คราวนี้เป็นเสียงกระซิบจริง ๆ







แม้จะเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว อากาศอบอ้าวก็ยังคงวนเวียนอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร นภที่ออกมาเดินยืดเส้นยืดสายเล่นเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจเสียแล้วว่าการออกมาหาอะไรรองท้องยามดึกด้านนอกจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการสั่งอาหารจากรูมเซอร์วิสของโรงแรม ปริมาณคนที่เบียดเสียดอยู่ตามร้านขายของริมฟุตปาธเมื่อพ่วงเข้ากับอากาศร้อนทำให้เหงื่อซึมออกมาจนเริ่มเปียกแผ่นหลัง สุดท้ายนภก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จบแผนการทั้งหมดลงกับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดตรงหน้า พลิกประตูเปิดเข้าไปได้ ชายหนุ่มแปลกถิ่นก็หยุดชะงักอยู่กับที่ ปลายเท้าทั้งสองข้างถูกหมุดที่มองไม่เห็นตรึงไว้ไม่ให้ขยับไปไหน

เช่นเดียวกับปรมะที่นั่งอยู่ในร้าน ขณะนั้นเป็นจังหวะที่ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับมาจากบรรยากาศด้านนอกพอดี ปืนนิ่งค้างไปชั่วขณะ กระทั่งปรายฟ้าเอี้ยวตัวหันกลับมามองตาม แล้วก็เป็นหญิงสาวที่ลุกขึ้นยืนโบกมือทักทายเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

“นภหรือเปล่า จำน้ำได้ไหม”

นภที่กำลังยืนอ้ำอึ้งสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกสติ เขาจำเธอได้ ไม่เคยลืมเธอเลย

“ลูกน้ำ”

เจ้าของรอยยิ้มน่ามองหัวเราะสดใส “แล้วมาได้ไง เห็นว่าย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วไม่ใช่เหรอ”

“พอดีพาเพื่อนมาเที่ยวสงกรานต์น่ะ” ปรายฟ้าเหลียวซ้ายแลขวามองหาเพื่อนที่ว่า จนอีกฝ่ายต้องอธิบาย “คือเขาเจ็ตแล็กนิดหน่อยน่ะ”

“งั้นดีเลย ไปนั่งด้วยกัน”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ ปรายฟ้าก็ดึงแขนชายหนุ่มที่ห่างหายไปจากประเทศไทยร่วมสิบปีให้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน หญิงสาวดันนภให้เข้าไปนั่งด้านในสำเร็จก็เอาตัวเองกั้นอีกฝ่ายไม่ให้หนีไปไหน

มันนานมาแล้ว นานจนเธอเกือบลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเรียนพร้อม ๆ กับสองหนุ่มนี้ รักสนิทสนมกันพอสมควรจนกระทั่งเกิดเหตุให้ปรายฟ้าลาออกในคราวนั้น นับจากนั้นหญิงสาวก็ตัดขาดจากเพื่อนในมหาวิทยาลัยทั้งหมด ไม่พูดอธิบาย ไม่ชี้แจงอะไรทั้งสิ้น จะมีก็เพียงแค่ปืนเท่านั้นที่ยังติดต่อกัน

“นายมาได้ยังไง” ปืนถามขึ้น

“ไม่มีมารยาทเลยปืน” ปรายฟ้าส่ายหัว “นภพาเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวสงกรานต์ แล้วตอนนี้เพื่อนที่ว่าก็เมาเครื่องบินอยู่ในห้องพัก เลยออกมาหาอะไรกินคนเดียว มีอะไรสงสัยอีกไหม” เธอตอบแทนอย่างฉะฉาน

ประมะกะพริบตาเหมือนกับยังงอยู่ ช่วงจังหวะนั้นธีมก็เดินกลับมาที่โต๊ะ เด็กน้อยทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนโผล่มาที่โต๊ะ รูปร่างหน้าตาแบบไม่คุ้นเคย จะเป็นใครก็ช่าง แต่หมอนั่นก็ทำให้เขาต้องย้ายไปนั่งกับตาแก่กวนประสาทแบบพ่อ ซึ่งธีมไม่ชอบเลย

“นั่งสิธีม นี่เพื่อนแม่กับพ่อตั้งแต่สมัยเรียน ยกมือสวัสดีสิครับลูก”

แม้จะยังหน้าตูบไม่หาย แต่เด็กชายชวิศก็กระพุ่มมือขึ้นไหว้อย่างว่าง่าย

“ลูก ?” นภเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

ปรายฟ้ายักไหล่ตอบอย่างอารมณ์ดี “ก็...อย่างที่รู้กันน่ะ”

ชายหนุ่มยังคงอ้ำอึ้ง แม้อยากจะไถ่ถามต่อ หากแต่อยู่ต่อหน้าเด็กตัวน้อย นภก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ ส่วนสิ่งที่อยากรู้ คำตอบอะไรก็ไม่ชัดเจนเท่ากับเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าในขณะนี้

“แล้วนี่จะอยู่ถึงเมื่อไร วางแผนจะไปเที่ยวไหนบ้าง” เธอถาม

“คงถึงสิ้นสงกรานต์แหละน้ำ แต่จะไปที่ไหนบ้าง บอกตามตรงว่ายังไม่รู้เลย ไม่ได้กลับมาหลายปี เห็นอีกทีกรุงเทพทำเอางงไปหมด”

ใบหน้าเรียวได้รูปพยักหงึก ๆ แล้วลูกน้ำก็พูดขึ้นขณะที่เอาหลอดเขี่ยก้อนน้ำแข็งขึ้นมาเคี้ยวเล่นในปาก “ไม่เห็นยากเลย ให้ปืนพาเที่ยวสิ”

ข้อเสนอนั้นทำให้ชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่นิ่งเงียบไปสักพักคล้ายกับมีกำแพงหนาก่อตัวขึ้นในอากาศ เงียบไปสักเสี้ยวนาที สุดท้ายปืนก็เป็นฝ่ายทำลายกำแพงที่กักกั้นบรรยากาศที่เงียบเชียบนั้น

“ผมต้องทำงาน”

“งั้นก็ทำเวลาอื่น งานของปืนจะทำที่ไหน ทำเมื่อไรก็ได้นี่ ถ้าคุ้นทางกรุงเทพ น้ำคงอาสาไปแล้ว นาน ๆ ได้เจอกันที นายจะใจดำกับเพื่อนเก่าได้ลงคอเชียวเหรอ” พูดจบ ปรายฟ้าก็สะกิดธีมให้ลุกขึ้นยืนแล้วหันมาส่งยิ้มให้ชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ “นี่ก็ดึกแล้ว เห็นทีจะต้องพาธีมกลับบ้านเสียที”

“ไม่เอา ยังไม่กลับ แม่อย่าเพิ่งกลับ ไม่เอา”

พอเป็นแม่ เสียงดื้อรั้นก็ดูจะเปลี่ยนโทนเสียงไปเป็นกึ่งออดอ้อน แต่ปรายฟ้าไม่คิดจะฟัง ความเอาแต่ใจทำให้หญิงสาวเลี้ยงธีมตัวน้อยแบบคอมมิวนิสต์ผูกขาด คำสั่งคำไหนคำนั้น ไม่มีข้อยกเว้นทั้งลูก...และพ่อ

“พรุ่งนี้อย่าลืมนัด” ลูกน้ำพูดกับปืนแล้วหันกลับมาที่ธีมตัวน้อย “สวัสดีคุณพ่อกับพี่นภสิจ๊ะ”

รอยยิ้มของหญิงสาวทำเอาเด็กชายชวิศห่อไหล่ลงทันที ผลจากระบอบเผด็จการที่ว่าทำให้ไม่กี่นาทีต่อมา ปรายฟ้าก็จากไปพร้อมกับเด็กชายตัวจ้อยที่ยังมุ่ยหน้าไม่เลิก ส่วนธีม...แม้จะออกอาการชัดแจ้งว่าไม่อยากกลับ แต่ดวงตาดื้อแพ่งของเด็กน้อยที่ดูจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่กลับชวนขันในสายตาของผู้เป็นพ่อยิ่งนัก

“เฮ้อ...อยู่ใกล้กับคนเอาแต่ใจตัวเองนี่ลำบากนะ ว่าไหม ?” เสียงทุ้มที่คุ้นหูดูจะผ่อนคลายลงจนเป็นโทนเสียงที่ติดอยู่ในความทรงจำ ปืนเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้กับเขา “หิวไหม ?”

ผิวสีแทนที่ดูจะคล้ามแดดขึ้น เสียงทุ้มอ่อนโยน และรอยยิ้มที่คุ้นตาตรงหน้าทำให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย และแม้แต่ตัวนภเองก็อธิบายไม่ถูกว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่คืออะไร

“ก็นิดหน่อย งั้น...เดี๋ยวขอไปซื้อก่อนนะ” นภลุกขึ้นแต่มือกว้างของปรมะกลับคว้าข้อมือเขาไว้

“นายกินอันนี้ก็ได้ เพิ่งซื้อมา ยังไม่ได้กินเลย”

ศีรษะของปรมะโคลงมาทางจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ เห็นแบบนั้น คนที่ยืนขึ้นจึงจำต้องนั่งลงอีกครั้งด้วยความเกรงใจ นภนั่งมองนิ้วมือทั้งสองข้างของปืนแกะกล่องกระดาษออก ก่อนที่มือกว้างจะหยิบขวดซอสมะเขือเทศขึ้นมาพร้อม ๆ กับประกายสีดำอุ่นอ่อนซึ่งตวัดขึ้นมาหยุดจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของตน

“ยังชอบกินซอสมะเขือเทศอยู่หรือเปล่า ?”

นภอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก

ความเงียบที่เป็นคำตอบทำให้รอยยิ้มของอีกฝ่ายฉีกตัวกว้างขึ้น ปรมะบีบซอสมะเขือเทศลงไปบนจาน หยิบแท่งมันฝรั่งจุ่มซอสจนชุ่มแล้วค่อย ๆ ยื่นมันมาจนใกล้ริมฝีปากคนที่นั่งตรงข้าม

“กินสิ”

นภกลั้นหายใจนั่งนิ่ง

“อุตส่าห์ป้อนเลยนะ”

คนถูกป้อนกดใบหน้าลง จ้องมองแผ่นอกแน่นของปรมะที่ขยายตัวด้วยลมหายใจที่สูดเข้าปอดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ที่สุดของระดับสายตานั้น ริมฝีปากอิ่มซึ่งล้อมกรอบด้วยไรหนวดอ่อนกำลังโค้งตัวเป็นรอยยิ้ม ทุกอย่างกำลังเปลี่ยน...เปลี่ยนไปสู่เหตุการณ์เก่า ๆ ที่เคยทำให้นภเจ็บปวด

“ไม่เป็นไร เรากินเองได้”

“เถอะน่า” อีกฝ่ายพยักเพยิด ไม่ล้มเลิกความคิดจนสุดท้ายนภก็ยอมละทิฐิให้จบเรื่องไป

นภกัดเฟรนช์ฟรายส์จุ่มซอสมะเขือเทศไปเพียงครึ่ง หากแต่สัมผัสที่รู้สึกบนปลายลิ้นกลับมีเพียงรสชาติของความทรงจำมากมาย

มีเพียงไม่กี่ครั้งหรอกที่ความเจ็บปวดทำให้นภอยากหนีปัญหา และเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นได้ หากทิมคือคนที่ทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะกลับมากรุงเทพตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา

คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็คือคนที่ทำให้นภต้องหนีจากกรุงเทพไปเรียนต่อที่เยอรมัน

นภตอบตัวเองไม่ได้ว่าความรู้สึกในตอนนี้คืออะไร มันคงเป็นส่วนผสมระหว่างความดีใจ สุขใจ ตื่นเต้น ประหลาดใจ ที่แฝงด้วยเจ็บปวดและความหวาดกลัวในอัตราส่วนที่สมมาตรกัน เท่ากันทุกอย่างจนสรุปไม่ได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกอย่างไรแน่

ปืนส่งเฟรนช์ฟรายส์อีกครึ่งที่เหลือจากนภเข้าปากตนเองแล้วส่งยิ้มแบบที่เจ้าตัวมักจะทำตอนสมัยเรียน นภหยุดสายตาอยู่บนรอยยิ้มนั้น มองดูนิ้วโป้งที่เกลี่ยปาดเกลือเม็ดเล็ก ๆ ออกจากหยักปากสีแดงฝาดอย่างเชื่องช้าด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ นภต้องหยุดมัน จบเรื่องทุกอย่างก่อนที่ความรู้สึกของเขาจะกลับไปเป็นแบบเดิม

“เรื่องพรุ่งนี้...”

“นานแล้วนะที่ไม่ได้นั่งคุยกันสองคนแบบนี้” ปรมะพูดแทรกขึ้นเบา ๆ รอยยิ้มชวนมองยังคงแต่งแต้มเหนือริมฝีปากอิ่มเอิบนั้น

นภเลื่อนสายตาขึ้นไป พยายามเลี่ยงรอยยิ้มนั้นจึงเผลอสบประสานกับแววตาที่คุ้นเคยตรงหน้า ก่อนที่เข็มนาฬิกาจะหมุนย้อนกลับ ร่างสูงโปร่งก็รีบเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วนิ่งเงียบ แม้ทุกอย่างจะดูปกติไม่มีอะไร แต่ในหัวใจของนภกลับเต้นแรงเหมือนเจียนจะระเบิด ใบหน้า...แขนขา...แม้กระทั่งอวัยวะทุกส่วนของร่างกายจู่ ๆ ก็ร้อนผ่าวเหมือนจะมอดไหม้

นี่เป็นเพราะเขายังไม่ชินกับอากาศร้อน ๆ ของกรุงเทพใช่ไหม ?







ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ ตัวละครหลักออกมาครบแล้ว เส้นเรื่องเริ่มชัดแล้วว่าใครจับคู่กับใคร
จากนี้ไปคิดว่าน่าจะจำกันได้ง่ายขึ้นครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน ติดตามตอนต่อไปนะครับ :)

+ 1 สำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ คำแนะนำ และความเวิ่นร่วมกันครับ 5555

ป.ล.1 ตัวละครออกครบแล้วนะครับ จากนี้ไปน่าจะอ่านง่ายขึ้นแล้วววว :mew3:
ป.ล.2 พี่สิงห์ไม่ใช่ช่างแอร์ในตำนานนะ! สงสารอานนท์เถอะ 55555555
ป.ล.3 นัง เอ๊ย! น้องแม็กซ์ปลายสัปดาห์นะขอรับ

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
น่าติดตามทุกคู่เลย
อยากรู้ปมหลังของรักสามเส้า เราสามคนอ่ะ ปรมะ ลูกน้ำ นภ

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
 :heaven ในที่สุดก็เข้าใจความเป็นมา พออ่านแยกๆคู่แล้วงงมาก ไม่รู้เป็นอยู่คนเดียวรึเปล่า
พอกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่แรกก็ชักจะสนุกละ มันเริ่มเข้าใจ55

คู่หนึ่ง-อาร์มนี่ชักจะสงสารหนึ่งแล้วอ่ะ อาร์มเหมือนคนหลายใจ :katai1:

คู่ดนัย-ตรีดูน่ารัก มุ้งมิ้งดีนะ

สงสารนภ ชีวิตนี้อะไรจะอกหักตลอดๆ สงสัยจะได้คู่กับปืน
เดาว่าก่อนหน้านี้ปืนกิ๊กกับลูกน้ำ และนภเป็นเพื่อนสนิทที่แอบชอบปืน
แต่สุดท้ายปืนก็ลงเอยลูกน้ำเพราะลูกน้ำท้องแน่เลย((เดาเอานะ))

รอตอนต่อไปค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-04-2014 08:44:02 โดย SenzaAmore »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อาร์มนี่ยังไง เที่ยวกับแฟนแล้วมานัวเนียกับเพื่อน ถ้าไม่คิดก็อย่าเที่ยวทำให้ใครหวั่นไหวสิ
ตรี-นัทจะตีกันตายก่อนงานเสร็จ คนนึงก็กวนโอ๊ยอีกคนก็เครียดเกิน
ที่นึกไม่ถึงคือปืน-นภ แอบเจ็บเล็ก ๆ สินะ ชอบอิเด็กธีมจริง ๆ แสบมาก

ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
จนถึงตอนนี้ ก้หลงรักนิยายเรื่องนี้อย่างจังซะแล้ว
อย่างที่รู้กันว่านิยายในเล้ามีหลายแบบหลายสไตล์
นิยายเรื่องนี้เหมือนเรากำลังดูหนังประมาณ Love Actually ที่เนื้อเรื่องเกี่ยวพันทุกตัวด้วยเหตุการณ์หลัก
เดาว่าในหลังเรื่องนั้นคือ คริสมาสต์ เรื่องนี้ก็คงเป็นสงกรานต์
ชอบจัง

อ่านคู่หนึ่งอาร์มแล้วอยากตบกะโหลกอาร์มซักที
เข้าใจความรู้สึกของหนึ่ง มันก้ำกึ่งอ่ะ แบบจะเข้าตัวเองก็ทำได้ไม่หมด เพราะอีกฝั่งก็มีแฟนอยู่แล้ว
คือเคยตกอยู่สถานการณ์นั้น สุดท้ายคนที่เจ็บสุดก็คือฝ่ายหนึ่ง

คู่นภกับปืนก็น่าสนใจนะ
นภเป็นที่ฝังกับอดีตเยอะ แค่เจอปืนวันเดียวภาพในอดีตก็เต็มไปหมด
อยากรู้ว่าเรื่องคู่นี้จะเป็นยังไง

ตรีกับนัท เหอ ๆ ๆ ๆ
คู่นี้นี่น่าจะมัน 5555 ตรีนี่อีโก้อย่างเยอะ
น่าสนุก

ชอบมากครับ สัญญาว่าจะติดตามครับผม

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ตรีดูราชินีชอบกล หรือเราคิดไปเอง
เรื่องของปืนกับนภบีบใจมากกก คนรักเก่า หรือแอบรักเขาข้างเดียว เอ๊ะยังไง แล้วน้ำรู้อะไรมากน้อยแค่ไหน คืออยากรู้ กรี๊ดดด
ตอนแรกชอบคู่อาร์มมากก แต่ตอนนี้อยากอ่านปืนนภมากกว่าแล้ว มันคาใจ
จะว่าไปคู่อาร์มหนึ่งก็สงสารหนึ่งนะ นังอาร์มนี่ยังไง มาหลอกแต๊ะอั๋งทั้งๆ ที่มีแฟนอยู่แล้วเหรอ
เดี๋ยวจะโดนเพ่นกบาลล

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
มีความรู้สึกว่า พงษ์พิพัฒน์ นี่น่าหมั่นไส้ม๊ากมากกกกก
อ่านแล้วอยากหยิกให้เอวเขียว โอ้ยยย หลงตัวเองงงงงงงงง 555555
เชียร์คุณดนัยค่ะ ขอให้สู้นะคะ ร้ายมาขอให้ร้ายกว่า คู่นี้ดูท่าจะร้อนจนลุกเป็นไฟ กร้ากกกก  :hao7:

แต่เราชอบอาร์มหนึ่งงงง แงงงงงงงงงงงงงงงง T___T
ทำไมให้ฟีลหวาน น่ารัก แล้วก็ดราม่าไปพร้อมกันได้ขนาดนี้ ฮือออออออออออ
อาร์มนี้ยังไง หนึ่งก็ดูพิเศษขนาดนั้น แต่ตัวเองก็มีระรินอยู่แล้ว โอ้ยยย ปวดใจหนึบๆ แทนหนึ่ง
แค่ชอบตอนอยู่หน้ากระจกมากเลย ฉากนี้พีคมาก แงงงงง T___T

ส่วนคู่ปืน นภ ตอนแรกเรานึกว่าจะเจอทิมซะอีก แอร๊ยยยยย
ลูกชายพี่ปืนน่ารักจังเลยค่ะ 55555555555 เป็นเด็กที่เซี้ยวมาก นั่นพ่อนะ ก้ากกกกก
มีความรู้สึกว่าความสัมพันธ์ปืน นภ ลูกน้ำ นี่มันต้องมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้นภไม่อยู่ไทย
แล้วลูกน้ำก็เลือกที่จะเลี้ยงลูกคนเดียวเป็นพ่อปรมะตัวดีนี่แหละ กลิ่นรักสามเศร้าเราสามคนลอยมา อรั้งงงง
ชอบบบบบบบบบบบ

ปาดเหงื่อ (เพราะอากาศร้อน 55555) รอติดตามตอนหน้าค่าาาา  :hao5:


ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนดูซีรี่ย์เลยอ่ะ
มีตัดสลับฉากไปมาสนุกดี

+ 1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ schneesturm_fubuki

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: เรื่องนี้หลายคู่จนเกือบงง แต่ก็สนุกดีนะได้อ่านมุมมองงความรักหลายๆแบบ

อารมณ์ประมาณ Love actually อ่านมาจนถึงตอนที่สามรู้สึกว่าเราจะถูกจริตกับคู่ ปืน นภ ที่สุด (สองตอนแรกชอบ อาร์ม หนึ่ง)

เป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งในรอบหลายปี ที่ติ่งดราม่าชื่นชอบ

ปล. จะรอตอนต่อไปนะคะ  o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-04-2014 16:54:32 โดย schneesturm_fubuki »

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

ตอนนี้ช่างแอร์ในตำนานไม่ออกมาเบย  :ruready คิดถึงอ่ะ อาร์มหนึ่งแอบหวานแต่ยังอึนและหน่วงอยู่อ่ะ ชอบแนวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อจัง ส่วนปืน(ทำไมนภเรียกทิว-แอบสับสน  :mew2: ) กับนภนี่งงๆนะ ตอนทร่เจอนภตอนแรกปืนเหมือนไม่อยากเจอ เพราะน้ำอยู่ด้วยเหรอ  :mew5: แน่พอน้ำกลับไปปืนเปลี่ยนโหมดเหมือนรุก+ยั่วนภ บอกไม่ถูกอ่ะ แต่ว่าถ่าปืนทำแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เรียนด้วยกันก็ไม่แปลกใจนะที่นภหนีไป-คือต้องการอะไรจากกรรรรรรู๊!!!  :z6:  ส่วนนัทกับตรีคู่นี้ท่าทางแรงอ่ะนะ ขิงเจิอข่าแล้วสินะ ท่าจะมันส์นะคู่นี้  :hao6:  ว่าแต่นังตรีนี่อ่านแล้วเหมือนนังแมกซ์ภาคคุณชายนะ คิือนางมโนทุกอย่างเข้าข้างตัวเอง และโลกต้องหมุนรอบตัวนางเลย นางดีสุด นางเริ่ดสุด ประมาณนี้ล่ะมั้ง  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
ทิมที่ว่า เป็นเรื่องนี้ป่ะ  ผมไ่ม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์

สรุปเอาตัวละคร ในหลายๆเรื่องของคนเขียนมาเป้น เรื่องพิเศษ ใช่ไหมครับ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ต้องขอโทษจริงๆ ที่หายไป จู่ๆ ก็โดนงานเทหล่นมาทับจนขยับมาแต่งนิยายต่อไม่ได้เลย
ตอนนี้เริ่มเคลียร์ออกไปได้บ้างแล้ว แตว่าก็ยังไม่ทั้งหมดเลยรีบมาต่อก่อนครับ
ที่ต่อเรื่องนี้ก่อนเพราะว่าพอมีค้างไว้แล้วบางส่วน แต่เพิ่มอีกไม่เยอะเท่าไหร่
ส่วน LIE ขอเวลาอีกสักหน่อยครับ จะรีบมาไวที่สุดเนอะ ไม่นานครับๆ

จะว่าไปแล้วของเรื่องนี้นี่ลืมๆ กันหรือยังนะ ตัวละครยิ่งเยอะๆ อยู่
เยอะขนาดที่คนแต่งยังเบลอๆ จำไม่ได้ในบางทีเหมือนกัน 55555555
แต่ว่าเริ่มเข้าเนื้อเรื่องแต่ละคู่แล้วครับ หลังจากนี้จำไม่ยากแล้ว ตอนนี้มีสองคู่ ลองอ่านดูนะครับ


   







ตอนที่ ๔





รุ่งเช้า อานนท์หอบความสยองมาเต็มกระเป๋า ชายหนุ่มร่างเล็กมาถึงที่ทำงานในเวลาเช้ากว่าปกติและเลือกที่จะไปดักรอคุณโกวิท ผู้จัดการฝ่ายขายที่หน้าเครื่องตอกบัตรตรงทางเข้าก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

แม้จะไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากเหตุการณ์เผชิญหน้าอย่างไม่คาดฝัน แต่ที่จำได้อย่างแม่นยำก็คือเสียงตวาดเข้มและดวงตาดุเหมือนกับสิงโตซึ่งจ้องเหมือนจะขย้ำให้แหลกคามือ รู้ตัวอีกทีอานนท์ก็ตื่นขึ้นที่ห้องนอนของตัวเองในตอนเช้าเสียแล้ว

เขาวิ่งกระหืดกระหอบผ่านทางแคบ ๆ ที่วนเข้าด้านข้างของอาคารจอดรถ ทางที่ทั้งอับและมืดนี้แยกส่วนออกจากลูกค้าที่มาเดินห้างเพื่อเป็นทางเฉพาะพนักงานเข้าออกคอมเพล็กซ์ หัวใจของอานนท์กำลังสั่นพั่บ ๆ ด้วยอาการตื่นเต้น ขณะที่สองขาวิ่งพล่านไปทั่ว สองตาก็คอยชะเง้อมองหาหัวหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ความที่ลนลานจัดจนไม่ระวัง อานนท์จึงเผลอวิ่งไปชนกำแพงเข้า แรงปะทะทำให้เขากระเด้งไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นในทันที

“โอ๊ยยย...” ชายหนุ่มร้องเสียงยาว ฝ่ามือกุมตรงสะโพกด้วยความปวด และเมื่อแหงนหน้าขึ้น สิ่งที่ได้เห็นทำให้คนซุ่มซ่ามลืมความเจ็บจนร้องไม่ออก

ฉิบ - หาย - แล้ว

เพชรกล้าระบายลมหายใจตัวเองอย่างเหลืออด ดวงตาสีเข้มเรืองรองเหมือนจะฉาบด้วยเปลวไฟ อานนท์เพิ่งรู้ว่าความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ตัวเองชนเข้าเต็มรักนั้นก็คือหน้าอกของพี่สิงห์ และนั่นก็ห่างไกลกว่าจะเรียกได้ว่ากำแพงไปมากโข

“ขะ..ขอโทษ..ครับ” สองมือกระพุ่มไหว้โดยอัตโนมัติ เห็นทีจะไม่รอดชีวิตไปถึงคุณโกวิทเอาเสียแล้ว

เพชรกล้าพยายามข่มโทสะ ร่างสูงใหญ่ขบกรามแน่น เขม้นมองคนที่นั่งทรุดอยู่บนพื้น เห็นอีกฝ่ายยังอ้ำอึ้ง เอาแต่ไหว้ปลก ๆ มือขวาของชายหนุ่มที่สูงเป็นยักษ์ก็ยื่นออกไปคว้าคอเสื้อแล้วกระชากขึ้น พริบตา น้ำหนักหกสิบกิโล ฯ ของอานนท์ก็ลอยหวือขึ้นในอากาศเหมือนปุยนุ่น เด็กหนุ่มร่างเล็กกลืนน้ำลาย...เอื้อกใหญ่ มือไม้แข้งขาอ่อนปวกเปียกจนทำอะไรไม่ถูก

“จะสร้างปัญหาให้กับคนอื่นอีกนานไหม อานนท์ !”

“เปล่าครับ...ผม...ขอโทษ”

เพชรกล้าจ้องเขม็งกลับพลางนึกค่อนในใจในความไม่ได้เรื่อง ร่างสูงใหญ่คลายมือจากคอเสื้อ ยังไม่ทันจะปล่อยนิ้วมือทั้งห้าออกดี อานนท์ก็โงนเงนแล้วทรุดลงไปนั่งพับกับพื้นใหม่ นายช่างใหญ่พรูลมหายใจด้วยความรำคาญลูกตา “อ้อนแอ้นเสียจริง เป็นผู้ชายประสาอะไร”

“อูยยย...เจ็บ” อานนท์ร้อง ยกมือจับข้อเท้าที่ดันกระแทกพื้นอีกรอบ

สบตากับดวงตาที่ชื้นไปด้วยน้ำตา อารมณ์ที่เริ่มเย็นลงของเพชรกล้าก็เดือดขึ้นปุด ๆ “คราวนี้อะไรอีก มันเป็นอะไรนักหนา !”

“ไม่เป็นอะไรครับ”

“สรุปว่าไม่เป็นอะไร ?” เพชรกล้ามองอย่างชั่งใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางอวดเก่งที่น่ารำคาญของคนตรงหน้า เขาก็ทรุดตัวนั่งลงแล้วเอื้อมมือออกไปจับข้อเท้าอานนท์ช้า ๆ แล้วเริ่มออกแรงบีบเต็มแรง

มือที่แข็งเป็นคีมของคนตรงหน้าเล่นเอาอานนท์ทำหน้าเหยเก อยากร้องออกมาใจจะขาด แต่ก็ฝืนเงียบไว้ด้วยไม่อยากถูกด่าว่าอ้อนแอ้นขี้โรคให้ได้ขายขี้หน้าอีก

เพชรกล้าอ่านความรู้สึกนั้นออกทุกอย่าง ริมฝีปากยิ้มแสยะด้วยรู้สึกสาสมใจ “ก็ดี ถ้าไม่มีธุระอะไรช่วยรีบตามมาที่ห้องช่างด้วย เข้าใจใช่ไหมว่าฉันไม่ได้มีเวลาทั้งวัน”

อานนท์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่สิงห์ให้ตามไปที่ห้องทำไม แต่พอจะเอ่ยปากถาม ผู้ชายหน้าเข้มคนนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไปเสียแล้ว ชายหนุ่มได้แต่มองข้อเท้าตัวเอง รู้สึกปวดตุบเหมือนถูกเหล็กร้อนจี้ และเมื่อเปิดปลายขากางเกงออกดูก็มีเพียงรอยบวมแดงและอาการที่เริ่มชาไม่รับรู้อะไร

ห้องช่างอยู่ถัดจากทางเข้าพนักงานส่วนพลาซ่าไปประมาณห้าร้อยเมตร เป็นทางเบี่ยงแคบ ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยลมร้อนที่เป่าออกจากท่อเครื่องปรับอากาศของคอมพล็กซ์ กลิ่นของน้ำยาเคมี ประกายไฟบัดกรี และเสียงกระทบของโลหะตลอดเวลาจนอานนท์เริ่มเวียนหัว เท้าซ้ายของเขาก็เริ่มแปลบขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งปวดจนแทบไม่อยากก้าวขาต่อเมื่อมาถึงประตูห้องช่าง

“มาหาพี่สิงห์ใช่ไหม อยู่ด้านในโน่น” ฝ่ายธุรการของช่างเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วบุ้ยหน้าไปด้านใน แต่เมื่อเห็นท่าเดินกระเผลกของอานนท์ เขาก็รีบลุกขึ้นมาช่วยพยุง “นี่โดนอะไรมาเนี่ย”

“คือเมื่อกี้หกล้มนิดหน่อยน่ะ”

“แล้วไหวไหม ถ้าปวดมากลาพักไม่ดีกว่าเหรอ เห็นพี่สิงห์บอกว่าจะมีคนมาอบรมพิเศษวันนี้ก็ไม่คิดว่าจะเจ็บมาด้วย”

“พอไหว ๆ แค่อบรมคงไม่เป็นไร” เห็นอีกฝ่ายมองเหมือนแย้ง อานนท์ก็ยิ้มแหย “คือผมเป็นคนซุ่มซ่ามน่ะ เจอแบบนี้จนชินแล้ว เรื่องเล็กเดี๋ยวก็หาย แต่อบรมนี่สิเรื่องใหญ่ ฟังเท่าไรมันก็ไม่เข้าหัว ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยจะได้ ก็เลยต้องอดทน พยายามหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ตามเขาไม่ทัน”

ฟังแล้ว คนที่ช่วยพยุงอยู่ก็หันมาส่งยิ้มให้ “โอเค เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ถ้าไม่ไหวหรือมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ ผมชื่อตูน เป็นแอดมิน ดูพวกเอกสารในออฟฟิศช่าง อานนท์ใช่ไหม”

คนถูกถามยิ้มแฉ่ง พยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ถามหน่อยสิ พี่สิงห์นี่แกเป็นคนโหดมากไหม”

“โธ่...ถามอะไรก็ไม่รู้”

ห้องทำงานของเพชรกล้าเป็นห้องที่ไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศแบบห้องธุรการ พื้นที่แคบ ๆ แออัดไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากประเภทจนแทบไม่มีที่ยืน อานนท์ยืนอยู่นิ่ง ๆ มองผู้ชายร่างยักษ์ตรงหน้าที่เคลื่อนไหวไปมาราวกับว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนเอง กระทั่งเจ้าของห้องที่กำลังวุ่นวายอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง

“คิดว่าฉันต้องมาทำงานในวันหยุดเพื่อมามองใครสักคนมายืนทำหน้าโง่แบบนั้นเหรอ อานนท์”

แม้จะยังกลัวอยู่บ้าง แต่อานนท์ก็เริ่มชินแล้วกับเสียงตวาดและถ้อยคำเชือดเฉือนของพี่สิงห์ ชายหนุ่มค่อย ๆ กระย่องกระแย่งเดินเข้ามาหาผู้ชายตัวโตในชุดบอยเลอร์สูทของช่าง แต่ข้อเท้าที่ปวดจนบวมเปล่งทำให้ผู้ชายตัวเปี๊ยกอดไม่ได้ที่จะร้องโอ๊ยขึ้นมาเบา ๆ เป็นระยะ

“จะเป็นจะตายขึ้นมาเชียว ทำไม ? พอได้อ้อนตูนแล้วรู้สึกติดใจหรือไง ?”

“เปล่าครับ” อานนท์ตอบหน้ายุ่งแล้วนั่งจ๋องลงข้าง ๆ จอมโหด

“ไม่รู้หรอกนะว่านายโกวิทเห็นอะไรในคนไม่ได้เรื่องแบบนี้ ถึงขนาดออกปากขอร้องเองให้ช่วยอบรมต่อ ดูจะมั่นใจเหลือเกินนะว่านายจะทำได้”

คนที่ดูก่นด่านั่งเงียบ พอปะติดปะต่อเรื่องได้ อานนท์รู้ดีกว่าทั้งคู่ไม่กินเส้นมาแต่ไหนแต่ไร และถ้าคนแบบหัวหน้าเขาถึงกับยอมออกปากไหว้วานกับพี่สิงห์ นั่นแปลว่าคุณโกวิทเชื่อมั่นในคนไม่เอาอ่าวแบบเขา และนั่นทำให้อานนท์บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ เขาจะไม่ทำให้หัวหน้าต้องเสียหน้าและผิดหวังเป็นอันขาด

“ผ..ผมจะตั้งใจครับ ผมจะทำให้ได้”

เพชรกล้ามองหัวไหล่เล็ก ๆ ที่สั่นพั่บไม่หายแล้วนึกขำ “เอาเถอะ ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็ได้รู้กันก่อนถึงสงกรานต์นี่แหละ”

พูดจบพี่สิงห์ก็หัวเราะ อานนท์ทำหน้างง ไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจยิ่งกว่าก็คือรอยยิ้มของคนตรงหน้า ว่ากันว่าพี่สิงห์เป็นคนจริงจังจนเหมือนคนไม่มีความรู้สึก ไม่พูดเล่น ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะกับใคร แม้อานนท์จะรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังย้อนแย้งกับทุกคำพูดที่ได้ยินมานั้นคือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในความโง่เขลาไม่ได้เรื่องของตนเอง ถึงอย่างไรภาพตรงหน้านั้นก็คือรอยยิ้มไม่ผิดเพี้ยน และนั่นก็ทำให้อานนท์เริ่มจะลืมท่าทีเกรี้ยวกราดตลอดเวลาที่ผ่านมาไปเอาดื้อ ๆ

“มองอะไร”

“เปล่า...เปล่าครับ”

“งั้นฟังนี่” อานนท์มองคนตรงหน้าที่หยิบหาอะไรบางอย่าง “ทุกวันนี้แอร์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟมากที่สุด ไฟฟ้ามากกว่าร้อยละ 60 ที่เสียกันก็มาจากแอร์ที่เห็นนี่แหละ ดังนั้นการจะซื้อตัวผลาญเงินแบบนี้สักเครื่องมาไว้ที่บ้านเลยเป็นเรื่องที่ลูกค้าจะคิดรอบคอบกว่าโปรโมชั่นสินค้าทั่วไป ประหยัดไฟไหม ทนทานหรือเปล่า”

พี่สิงห์ขยับเข้ามาใกล้ เริ่มหยิบอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นมาอธิบาย กลิ่นฉุนอ่อน ๆ ที่ไม่คุ้นลอยคลุ้งขึ้นในจมูก อานนท์มองหัวเข่าที่เบียดกัน รู้สึกถึงความใกล้ชิดและบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าในระยะใกล้ คิ้วเข้มของพี่สิงห์ดูหนาและเรียงตัวกว่าคิ้วของเขามาก จมูกที่มีสันหยักก็ดูเป็นผู้ชายไม่เหมือนของเขา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรูปร่าง มาลีมักบอกว่าเขาเป็นผู้ชายประเภทจิ้มลิ้มกระจุ๋มกระจิ๋ม คำพูดนั้นดูชัดเจนขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายแบบลูกผู้ชายของพี่สิงห์ ไม่นับรวมกับประสิทธิภาพของร่างกาย ถ้าต้องทำงานในห้องอับที่ไม่มีแอร์แบบนี้ อานนท์คงเป็นลมล้มพับในไม่กี่ชั่วโมง แต่พี่สิงห์คนนี้กลับดูมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด ฝ่ามือกว้างที่กร้านหยาบ ผมหยักศกที่ชื้นกระเซิงไปด้วยเหงื่อ และดวงตาอันมุ่งมั่นคู่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ทำให้อานนท์ลืมภาพเก่า ๆ ที่เคยเห็นของพี่สิงห์ไปเสียหมด

“หน้าฉันมีอะไร”

“เปล่าครับ” คนตัวเล็กสะดุ้ง อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เหมือนขโมยที่โดนจับได้ แต่อานนท์ก็แค่แอบมอง ไม่ได้ทำอะไรเสียหายหรือคิดร้ายอะไรนี่นา

“อานนท์ !”

“เปล่านะครับ เปล่า ๆ ไม่มีอะไร”

“ถามว่าสรุปว่าพัดลมส่งลมเย็นกับพัดลมระบายความร้อนต่างกันยังไง วันนี้จะได้คำตอบไหม !”

พอได้ยินชัด ๆ อานนท์ก็อ้าปากค้าง ชายหนุ่มพยายามนึกถึงเสียงที่อาจพอตกค้างอยู่ที่ไหนสักแห่งในหยักสมอง จนแล้วจนรอดก็พบแต่ความว่างเปล่าที่โหดร้าย “คือ...”

“ตอบ !”

“ตอบ ๆ ตอบแล้ว” อานนท์ร้องลั่น “มันก็คือ...พัดลมเหมือนกันไม่ใช่เหรอพี่สิงห์ ?”

ใบพัดลมโลหะฟาดโป๊กเข้าที่กลางหัวทันที คนตัวเล็กยกมือขึ้นจับหัวตัวเอง เจ็บน้อยกว่าที่คิด แม้จะไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจแต่หัวแข็งก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่อานนท์พอจะยืดแบบเงียบ ๆ ได้ มันเกิดขึ้นหลังจากโดนใครต่อใครรุมเขกหัวแต่เด็ก ทั้งยาย พ่อแม่ คุณครู แม้กระทั่งเพื่อน พอโดนบ่อย ๆ ก็ชิน แล้วพอชินก็เริ่มรู้สึกว่าปกติธรรมดา

คนบางประเภทก็ต้องเจ็บก่อนถึงจะจำ เพชรกล้าคิดแบบนั้น ร่างสูงใหญ่ตวาดเสียงเข้มด้วยความโมโหก่อนจะยิ้มเย้ย “เจ็บไหม !”

แต่คนบางประเภทนั้นไม่ได้นับรวมอานนท์ คนถูกฟาดหัวยกสองมือขึ้นลูบกระหม่อมป้อย ๆ ดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กน้อยอ่อนเดียงสาที่ถูกหวดก้นแบบไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร “ไม่ค่อยเจ็บครับ พอทนไหว”

เพชรกล้าชะงัก เกิดมาเขาไม่เคยพบเคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน ตาคู่นั้นบอกว่าคนพูด...พูดทุกคำจากใจจริง ไม่ได้ตั้งใจยวนประสาทแม้แต่น้อย และนั่นก็เล่นเอาหัวหน้าช่างจอมโหดทำอะไรต่อไม่ถูก “ถามให้สำนึก ไม่ใช่ให้ตอบ !”

“อ้าววว...” อานนท์ทำหน้างง “ผมไม่รู้”

“โอ๊ย...มันโง่เป็นวัวเป็นควายอะไรขนาดนี้ !”

นี่ก็ชินแล้ว อานนท์นั่งมองตาใส เขาโดนยายด่าแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ (แน่นอนว่าบางครั้งมาลีก็ด่า) เหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และชายหนุ่มร่างเล็กก็นั่งมองพี่สิงห์ที่เริ่มออกอาละวาดทำลายข้าวของในห้องด้วยความรู้สึกชินชา มีเพียงสิ่งเดียวที่ดูจะต่างต่างกว่าทุกครั้งก็คือความรู้สึกแปลก ๆ เวลาเห็นผู้ชายร่างยักษ์ตรงหน้า

“ในหัวมันเป็นสมองหรือขี้เลื่อย !” เพชรกล้าอาละวาดพร้อมยิ้มหยัน

อานนท์รู้สึกกระตุก ถึงมันจะแฝงแววเย้ยเยาะแต่ก็ไม่ชิน...ยังไม่ชิน...ไม่ชินสักครั้ง...กับรอยยิ้มของคนคนนี้


   





(ยังมีต่อครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับๆ)




ดนัยเหลือบมองเข็มนาฬิกาที่ข้อมือขวาของตัวเองแล้วกลับมาเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะอย่างอารมณ์ดี จนมัยมนัสที่นั่งประชุมอยู่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

“อากาศมันร้อนถูกใจหรือไง วันนี้ถึงยิ้มอารมณ์ดีแต่เช้า”

คนอารมณ์ดีที่ว่าเงยหน้าขึ้นมองคนที่ส่งเสียงถาม มัยมนัสหรือคะน้า เป็นผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ซึ่งนั่นทำให้ดนัยที่เป็นผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดซึ่งมีหน้าที่ดูแลพวกสื่อโฆษณาและภาพลักษณ์ทั้งหมดขององค์กรต้องประสานงานด้วยบ่อย ๆ

นอกจากใบหน้าที่ถูกชะตาแล้ว รุ่นพี่คนนี้ยังเป็นผู้ชายที่มีนิสัยน่ารักเหลือเชื่อ เรียกได้ว่าเป็นแบบที่เขาชอบทุกอย่าง หลายปีก่อนดนัยเคยแม้ถึงกระทั่งตามจีบ ปลูกต้นรักเป็นเวลานานหลายเดือน หมั่นรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายที่ได้เด็ดดอมกลับกลายเป็นแห้วหลายไร่ คราวนั้นเล่นเอาเขาเสียความมั่นใจไปไม่น้อย ถึงขนาดล่วงเลยมาหลายปีก็ยังไม่คิดจะมีใคร

“ปกติก็ยิ้มแบบนี้ตลอดนะ”

“ไม่ใช่มั้ง” คนฟังส่ายหัว อมยิ้มน้อย ๆ “นัทก็น่าจะรู้ว่าพี่พอจะคุ้นเคยกับคนนิสัยประเภทนี้เป็นพิเศษไม่ใช่หรือ”

“พอก่อน” ดนัยยกมือห้าม “โอเค ผมรู้ว่าพี่คุ้นเคยแค่ไหน แต่อย่าพูดถึงพี่ทิมอะไรนั่น...ได้โปรดเถอะ แค่ได้ยินชื่อก็เซ็งแล้ว”

คะน้าหัวเราะ พอจะรู้ว่าเจ้าตัวโดนแผลงฤทธิ์อะไรใส่ไว้จนขยาด “สรุปว่ามีเรื่องดี ๆ อะไร ?”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่รอเวลา” ดนัยตอบอย่างแจ่มใส

ประมาณเก้าโมง...น่าจะเก้าโมง ไม่เกินนี้

ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม ความสุขเบ่งบานจนเก็บไม่มิด เมื่อคืนหลังจากที่แยกกับตรี พงษ์พิพัฒน์ เขาก็โทรล้อบบี้บริษัทโฆษณาหลายแห่ง รวมไปถึงฝ่ายโฆษณาของสถานีด้วย ออกอุบายนิดหน่อยว่าเรตติ้งของรายการเช้านี่ที่ประเทศไทยไม่กระเตื้องมาหลายเดือนแล้ว ในขณะที่คู่แข่งรายการประเภทเล่าข่าวสถานีอื่นกลับปรับเปลี่ยนกุลยุทธ์กันมากมาย แล้วรายการที่ไจแอนท์โคล่าให้การสนับสนุนอยู่จะไม่ทำอะไรแปลกใหม่ให้กับรายการเลยหรือ

“ถ้าปรับให้ดูมีความแปลกใหม่ขึ้น มันก็จะตรงกับสิ่งที่ไจแอนท์โคล่ามองหา งบที่เหลืออีก 15 ล้านปีนี้ผมจะได้มีที่ลงเสียที”

“จริงหรือครับ ความแปลกใหม่คือคอนเซ็ปต์ของเช้านี้ที่ประเทศไทยเลยครับ แบบนี้คุณนัทคิดว่าทางรายการควรจะปรับอะไรดีครับ”

“ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรายการทีวีหรอกครับ”

“เราทำให้คนแบบคุณนัทดูนี่แหละครับ ไม่ใช่ทำให้คนทีวีดูกันเอง เอาแบบนี้สิครับ ถ้าเป็นคุณนัทคิดว่าอะไรที่ควรจะปรับให้มันดูสดใส ทันสมัยขึ้น”

“พวกรายการเล่าข่าว สำคัญก็ที่พิธีกรหรือเปล่าครับ”

คำตอบนั้นเป็นแค่หมัดแย็บที่น่าจะทำให้มึนกันไปบ้าง ดนัยมั่นใจว่าเช้านี้ จะเป็นเช้าที่ร้อนระอุยิ่งกว่าเช้าวันไหน ๆ ของตรี พงษ์พิพัฒน์เลยทีเดียว

มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาก็แค่ทำงานของตัวเอง ในเมื่ออะไร ๆ มันไม่สมน้ำสมเนื้อกับที่เสียไป เขาก็แค่จะเอาที่ส่วนที่สมควรได้คืนให้บริษัทตามเกมกติกา และด้วยระยะเวลาอันจำกัด พงษ์พิพัฒน์คนนั้นย่อมไม่มีทางเลือกอื่นเว้นแต่จะหันกลับมาทุ่มเทให้กับไจแอนท์โคล่าเต็มที่

อุณหภูมิร้อนขึ้นกว่าเมื่อวานอีกหนึ่งถึงสององศา ชายหนุ่มจิบคาปูชิโนเย็นแล้วคลายปมเนคไทออก ดนัยคิดว่าฤดูร้อนปีนี้น่าจะเป็นสังเวียนเดือดของธุรกิจเครื่องดื่มและไอศกรีมอย่างแน่นอน

เก้านาฬิกาสี่สิบห้านาที คะน้าละสายตาจากเข็มนาฬิกาที่ค่อย ๆ หมุนไปตามจังหวะของมัน หลายนาทีที่ผ่านมา เขาเห็นเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องเอาแต่ผุดลุกผุดนั่ง คอยจ้องโทรศัพท์มือถือ หน้าตาที่ดูยิ้มกริ่มเมื่อครู่เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และยิ่งนานอาการกระสับกระส่ายก็ดูจะรุนแรงขึ้น ดนัยหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาดูด พอเห็นว่ามันหมดเกลี้ยงไปนานแล้วก็โยนทิ้งลงถังขยะอย่างหัวเสีย

ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้นแล้วถอนหายใจขึ้นในความว่างเปล่า เขาทรุดตัวลงนั่งดูสรุปตัวเลขด้วยอาการหงุดหงิดแต่ยังไม่ทันจะพลิกหน้ากระดาษแผ่นใหม่ ประตูห้องประชุมก็เปิดออกพร้อมกับผู้ชายร่างสูงสง่าในชุดสูทอย่างดีพร้อมกระเป๋าถือแบรนด์เนมใบใหญ่ ดนัยเงยหน้ามองร่างสูงสมส่วนที่ยืนเชิดหน้าราวกับคุณชาย รู้สึกว่าการรอคอยสิ้นสุดเสียที

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจแฮะ

ดนัยยกมือขึ้นลูบคางตัวเองเบา ๆ แล้วส่งยิ้มให้ดาน่า ครีเอทีฟสาวของรายการยืนหน้าแห้งอยู่ด้านหลังตรี เดิมทีเดียวเขาแค่คะเนว่าจะได้รับแค่โทรศีพท์นัดไปคุยงานแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียที ใครจะคิดคนอวดดีแบบนั้นจะโผล่มายืนคอตั้งอยู่ในออฟฟิศเขาแบบนี้

“เพราะคุณไม่รับโทรศัพท์ และผมรู้ว่าไจแอนท์โคล่าคงรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งที่ผมแวะมาประชุมเกี่ยวกับงานถ่ายถึงออฟฟิศ จริงไหมครับคุณบอมบ์”

ดนัยโคลงหัวอย่างไม่ใส่ใจ “สองสิ่งที่คุณควรรู้คือ...หนึ่ง...ไม่มีโทรศัพท์ของคุณมาถึงผม และสอง...ผมชื่อนัท”

ข้อแรกชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ แต่พอถึงข้อสอง พงษ์พิพัฒน์ทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ “ไม่จริง เมื่อวานคุณเองบอกว่าชื่อ...อะไรสักอย่าง เอาเถอะครับ ผมมีทางออก ทำไมคุณไม่เปลี่ยนชื่อเป็นบอมบ์ล่ะ ?”

ดนัยคิ้วกระตุก เขาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดแล้วยกมือขึ้นกอดอก

“โอเค คุณชื่ออะไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อเช้าผมโทรเข้าที่ออฟฟิศคุณแล้วแต่สุภาพสตรีสุดสวยคนนั้นก็บอกว่าไม่มีคนชื่อบอมบ์ที่ออฟฟิศนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความผิดผม และ...คุณต้องเข้าใจว่าเทปแรกของไจแอนท์โคล่าจะถ่ายตอนหกโมงเย็นวันนี้ ผมอยากประชุมเรื่องไอเดียที่ไม่ธรรมดาของคุณคร่าว ๆ เราจะร่วมกันคิดโปรเจ็กต์นี้ด้วยกัน”

“คือ...คุณนัทคะ ดาน่าบอกแล้วแต่น้องตรีเธออยากเข้ามาด้วยตัวเองค่ะ” เห็นสีหน้าลำบากใจของหญิงสาว ดนัยก็โบกมือบอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“นี่คุณคะน้าครับ เป็นซีเนียร์เมเนเจอร์ฝ่ายการตลาด” ดนัยแนะนำ ดาน่ายกมือไหว้อ่อนหวาน ทว่าตรี พงษ์พิพัฒน์กลับชะงักไปสามวินาที

“ชื่อเก๋ มีสไตล์ ไม่เหมือนคนอื่น” พงษ์พิพัฒน์ก็พูดขึ้นในที่สุด “หรือผมควรเปลี่ยนชื่อบ้างดีนะ ที่ผ่านมาผมลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย จริงสิ ! คิดว่า...ฟัวกราส์ดีไหมครับ ผมว่าให้ความรู้สึกหรูหราแบบยุโรปดี”

ดาน่าทำท่าเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ดนัยทำท่าไม่สบอารมณ์ แต่คะน้ากลับดูจะนึกสนุกไปด้วย ชายหนุ่มจับตาดูดนัยมาตั้งแต่แรกที่ผู้ชายชื่อตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ก้าวเข้ามาในห้อง แม้รุ่นน้องเขาจะแสดงออกว่าเฉยชาหรือกระทั่งฉุนเฉียว แต่นัยน์ตาที่วาวระยับนั้นกลับซ่อนความจริงไม่ได้แม้แต่น้อย

“เข้าเรื่องเถอะครับ พูดธุระของคุณมา คุณตรี” ดนัยพูดแทรกขึ้น

“โอเค เราจะเริ่มประชุมกันเดี๋ยวนี้” ตรีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้ว selfie ภาพตัวเองกับนัทและคะน้าไปสี่ห้ารูป จากนั้นก็เลือกรูปที่ดีที่สุดอัพรูปขึ้นอินสตาแกรมหน้าตาเฉย “เช้านี้มีมีตติ้งกับลูกค้าที่ออฟฟิศไจแอนท์โคล่า ประชุมเครียด อากาศร้อนจัง เสร็จแล้วก็แท็กไปที่สถานี แล้วก็พี่จ๊อด โปรดิวเซอร์ แล้วใครอีกดีนะ”

พึมพำกับตัวเองเสร็จ ตรีก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่เหลือในห้องประชุม พอเห็นทุกคนทำท่างงเหมือนรออะไร พิธีกรรูปหล่อก็พูดต่อ

“ประชุมกันเลยครับ” ริมฝีปากของตรีคลายออกจนกลายเป็นรอยยิ้มแบบมืออาชีพ จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบมือถือขึ้นมาดูใหม่ “โอ๊ะ...พี่จ๊อดกดไลค์แล้ว !”

ดนัยพ่นลมหายใจอย่างเหลืออด “เลิกทำอะไรไร้สาระแล้วหันมาทำงานเสียที มันหน้าที่ของคุณไม่ใช่หรือที่จะเสนอโครงการมา”

“คือเรื่องนี้...” ดาน่าอ้าปากจะพูด แต่ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับยกมือขึ้นห้าม

“โธ่...คุณนุ้ยครับ เอ๊ะ...หรือวัฒน์ คุณเชษฐ์ โอเค ! คุณ...whatever คือผมอยากจะทำความเข้าใจว่าชีวิตจริงมันไม่เหมือนที่เห็นในละครหรอกครับ เรื่องประชุมออกไอเดียมันเป็นไปตามบทบาท ส่วนหน้าที่จริง ๆ ของผมก็คือแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเรามีประชุมที่สำคัญมาก และที่สำคัญมากเพราะมีผม...ซึ่งทำหน้าที่การประชาสัมพันธ์ให้คนนับแสนได้รู้”

“คุณพูดอะไรของคุณ นั่นมันสคริปต์รายการใหม่หรือไง” ดนัยเสียงเข้มอย่างไม่เชื่อหู

“ยิ่งกว่านั้นอีกครับ อันนี้เป็นของจริง เมื่อเช้ามีใครสักคนบอกว่าผมดูไม่มีภาพลักษณ์ของความเป็นรุ่นใหม่ ทันสมัย คล่องแคล่วพอ และตอนนี้ผมก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่ามันไม่เป็นความจริง”

“ยังไง ?”

“อัพรูปลงไอจี”

“แล้วมันช่วยคุณได้ตรงไหน ?”

ดวงตาของพงษ์พิพัฒน์เบิกกว้างเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน “คุณดูคนกดไลค์สิ สามร้อยกว่าคนในเวลาไม่ถึงสองนาที ไม่คิดว่านี่เป็น epic moment เหรอ My Gosh...ทำงานแบบนี้คุณต้องอัพเดทบ้างนะครับ”

ริมฝีปากของดนัยเม้มเน้น สักพัก เกมในแท็บเล็ตที่คนที่อัพเดทข่าวสารตลอดเวลากำลังเล่นอยู่ก็ส่งเสียงน่ารำคาญจนปวดหัว ตรี พงพษ์พิพัฒน์ คนคนนี้หลุดมาจากโลกไหนกัน !

ดนัยเลื่อนสายตาขึ้นไปมองชุดสูทสามชิ้นพอดีตัวแบบยุโรปที่ตรีสวมใส่อยู่ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบถูกสวมทับอีกชั้นด้วยเสื้อกั๊กพอดีตัว แล้วทับอีกชั้นด้วยสูทเบรเซอร์สุดเนี้ยบ เขามองไล่ไปถึงกระเป๋าแบรนด์เนมใบโตที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้าของของมัน นั่นคือสร้างความเกะกะให้กับเขา

“นี่คุณรีบร้อนออกมาจากกอง พร้อมเสื้อผ้าเต็มยศแบบนี้นั่นนะ”

“ไม่ครับ ผมมาจากบ้าน คุณคงไม่คิดหรอกนะว่าเสื้อผ้าทีมงานจะใช้อิตาเลียนคัทแบรนด์หรูอย่างนี้”

“แล้วคุณใส่แบบนี้ออกจากบ้านเนี่ยนะ”

“ผมมีประชุมสำคัญกับคุณ และ First Impression เป็นเรื่องสำคัญเสมอนะครับ”

“ในเดือนเมษายน ที่กรุงเทพซึ่งอากาศร้อนแบบนี้นั่นหรือ”

พงษ์พิพัฒน์วางแท็บเล็ตในมือช้า ๆ แล้วหันมาถอนหายใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ เกิดเป็นคนมีชื่อเสียงมันไม่ง่ายเลย”

ดนัยส่ายหัวเหมือนคนเจียนจะคลั่ง ขอพักศึกชั่วครู่เพราะมึนจนขี้เกียจจะหาความต่ออีกแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นหยิบกระเป๋าใบโตที่วางเกะกะอยู่บนโต๊ะแล้วตั้งท่าจะยกวางลงกับพื้น

“หยุด...หยุดก่อนครับ ! นั่นคุณจะทำอะไร ?” ตรีทำหน้าตาตื่น

“ผมทำงานไม่ได้ถ้ามีกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้มาวางกองบนโต๊ะประชุม”

“งั้นวางมันลงช้า ๆ เบา ๆ นะครับ คุณกำลังเข้าใจผิด เพราะมันไม่ใช่แค่กระเป๋า”

“มีของที่แตกได้อย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่ครับ ไม่มีของที่แตกได้ แต่สิ่งที่คุณกำลังถืออยู่มันสำคัญกว่านั้น”

ดนัยมองกระเป๋าในมือแล้วถามด้วยความสงสัย “แล้วมันอะไร”

ตรี พงษ์พิพัฒน์ไหวศีรษะไปมาอย่างเหนื่อยใจ ชายหนุ่มกระชับปกเสื้อสูทอิตาเลียนคัท ยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะพูดเสียงทุ้มจริงจังซึ่งเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ

“มันคือหลุยส์ วิตตอง”

พูดจบ ดนัยก็โยนกระเป๋าที่ถืออยู่ในมือลงกับพื้นดังโครมอย่างไม่คิดเสียดาย







เริ่มเข้าเส้นเรื่องของแต่ละคู่แล้ว น่าจะพอเห็นบรรยากาศของแต่ละคู่และเนอะ
สำหรับตอนต่อไปจะเป็นคู่อาร์ม – หนึ่ง / ปืน – นภ / ชาฮิด – ภีม นะครับ
จะรีบไปแต่งเร็วไว แต่ขอคั่นด้วย LIE ก่อนสักตอนนะครับ ค้างไว้นานแล้ว
+ 1 ให้กับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันครับ

ออฟไลน์ LiqueuR

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบเรื่องนี้ ฮี่ๆๆ

 :z2:

รออ่านนะค่ะะะ

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
นาย ทำไมเลาหมั่นไส้ตรีจังเลยยย
/เอาหลุยส์ วิคตองแช่น้ำรัว ๆ ด้วยความหมั่นไส้
เชื่อว่านัทเองก็คิดเหมือนกัน
แล้วนี่จะรักกันยังไงไหว ดูท่าทางตรีไม่สนใจอะไรนัทเลยสักนิดเนี่ย
ส่วนคู่พี่สิงห์กับอานนท์น่ารักดี เคะเรื่องนี้เหมาะกับคำว่าโง่แบบไม่มีข้อสงสัย
ล้มลุกคลุกคลานสอนกันให้รู้เรื่องนี้
เหนื่อยใจแทนสิงห์จริงๆ

ออฟไลน์ schneesturm_fubuki

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao5: :hao5: :hao5: สงสารน้องนนท์ พี่สิงห์ แกหฤโหดไปนะ
หมั่นไส้ ตรี และรอ ปืน นภ คริคริ

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
พี่สิงห์น่ากลัวจริงๆ 55555555555555

โอ้ยยย สงสารอานนท์ ชีวิตไม่ค่อยดี พี่สิงห์ทั้งดุทั้งด่า
แต่น้องน่ารักค่ะ นางไม่หือ ไม่อือ เป็นเคะตัวน้อยใสซื่อ โอ้ยยยย น่ารัก
ชอบตอนโดนเขกหัว ดีนะที่ตอบมาแบบนั้นแล้วพี่สิงห์ไม่พ่นไฟใส่
เอาน้ำแข็งใสมั้ยคะ? เผื่อจะได้ลดความรุ่มร้อนทางอารมณ์ลงบ้าง ถถถถถ  :hao7:

ส่วนอีกคู่นี้ คุณตรียังทำตัวน่าหมั่นไส้เหมือนเดิมเลยค่ะ โฮกกกกกกกกกก
อยากจับนางมาหยิกเอวมาก โอ้ยยย หมั่นนนนน ขอแบรนด์เนมใบนั้นจากคุณดนัยได้มั้ยคะ?
ไม่ต้องเสียแรงทุ่มพื้น เดี๋ยวเลาเอาไปจุดไฟเผาให้เอง 5555555555555 นี่หมั่นไส้มาก
เอาใจช่วยคุณดนัยอีกที ขอให้สู้นะคะพี่ อย่าไปยอม!

รอตอนหน้าค้าบบบบ  :mew1:

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
เฮโฮ! คงต้องอ่านใหม่อีกสักรอบค่ะ
คนอ่านยังงงๆโก๊ะๆอยู่ >_<   :ling1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คู่สิงห์-นนท์ บางทีก็แอบเห็นใจพี่สิงห์เหมือนกันนะ คือบางทีน้องก็...ก็โง่นั่นแหละ
ส่วนตรี-นัทหรือนัท-ตรี เอิ่ม ขอแนะนำให้ตบกันเลยดีกว่าค่ะ

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
ผีสิง เอ้ยพี่สิงห์ โคตรโหด :ling3:
น้องเค้าก็แค่บื้อบ้างอะไรบ้างเท่านั้นเอ้ง55

คู่ตรี-ดนัยมาจากเรื่องของน้องคะน้าหรอเนี่ย ลืมสังเกตไปเลย
อยากให้พระเอกเป็นตรีจังเลย ชอบพระเอกกวน.... :m20:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
อ่านแล้ว ตึ๊บเลย คือ...จำตัวละครไม่ได้ ลืมไปหมดแล้ว
ต้องไปค้นสมุดโน้ตที่จำได้ว่าเคยเขี่ย(มันสวยงามเป็นระเบียบมากกกก)แผนภูมิตัวละครไว้
ทำความเข้าใจใหม่ รื้อฟื้นออกมาจากก้นบึ้งเลยล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

เห็นว่าตอนหน้าจะมีชาฮิด+ภีม นี่มันเด็กน้อยไม่ใช่เหรอ อะไรยังไง???

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
ละลานตาจริง ๆ  หลายคู่มว๊าก

ชอบคู่นนท์กับพี่สิงห์ที่สุด

หนึ่งกับอาร์มนี่เป็นอะไรที่โดนมาก ๆ

ตรีนี่กวนส้นสวด ๆ แอบเข้าข้างคุณนัท

รออ่านคู่ชาฮิดกับน้องภีม ชาฮิดนี่ต้องตาสวยขนตางอนแน่ ๆ

แอบรำคาญนภอะ ไม่ชอบคนคาแร็คเตอร์แบบเนี้ย ถ้าเจอในชีวิตจริงจะรีบหลีกให้ไกล

สนุกฝุด ๆ ฮะเรื่องนี้


ปล. ยังรอตอนใหม่ของพี่รุตน์กะอีแม๊กซิมอยู่นะครัช




ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

รอตอนใหม่ครับผม    :m5:

ออฟไลน์ Nemasis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
 :catrun:

เลาจะลอ ตอนต่อไป

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ต้องขอโทษจริงๆ ที่หายไปนานเลย พอดีวุ่นกับภารกิจมากมาย
พอมีเวลาว่างเลยปั่นยิบตามาก่อนครับ ฮ่าๆ
สัปดาห์หน้าจะพยายามเปิดโรงงานนรกปั่นมาอัพให้ได้อ่านกันอีกไวๆ ครับ
ขอบคุณมากๆ ที่ยังติดตามอ่านกันนะครับ เป็นเรื่องที่ตัวละครเยอะมาก
เยอะชนิดว่าคนแต่ง แต่งเองยังลืมเองเลยครับ +_+ ฝากตอนต่อไปด้วยนะครับ










ตอนที่ ๕




เป็นเวลาสิบโมงกว่า ขณะที่อมริตากำลังช่วยคุณนุชนารถ เจ้าของร้านตรวจรับตู้กดไอศกรีมแบบเหลวที่จะเอามาลงที่ร้าน ชาฮิดก็ออกมานั่งเล่นกับลิ้นห้อยและร้อนแฮ่ก สุนัขพันธุ์ทางที่อยู่ในซอยแบบทุกครั้ง เด็กชายตัวน้อยของสตางค์ผู้เป็นแม่มาซื้อตับปิ้งให้กับขนเกรียนทั้งสอง คิดว่าลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กคงหิวน่าดูถึงมานอนกระดิกหางส่งตาละห้อยอยู่หน้าร้านอาหารแบบนี้

"อย่าแย่งกันนะ" มือเล็กๆ ลูบไปบนหัวร้อนแฮ่กก่อนส่งตับปิ้งให้ รับไปได้ เจ้าขนเกรียนสีขาวก็คาบของโปรดออกไปแอบแทะที่มุมอับริมเสาไฟฟ้าไม่ห่างออกไป ขณะที่ลิ้นห้อยจอมขี้เกียจนอนแทะตับปิ้งอยู่กับที่สบายใจเฉิบ

เมื่อเช้าพี่ชายใจดีคนนั้นไม่ได้แวะให้ตับปิ้งกับลิ้นห้อยและร้อนแฮ่กแบบทุกครั้ง เช้านี้พี่คนนั้นดูรีบร้อนแปลกๆ สีหน้าเป็นกังวลไม่เหมือนทุกวัน ชาฮิดเห็นเขาวิ่งหน้าตั้งผ่านเจ้าสี่ขาทั้งสองตัวไป เจ้าหูตั้งได้แต่ร้องหงิง ๆ มองตาละห้อยด้วยความผิดหวัง ชาฮิดเห็นพี่ชายคนนั้นครั้งแรกในตอนที่เขากำลังส่งกระดูกไก่ให้เจ้าหมูอ้วนสองตัวนี้แล้วส่งเรียกว่าลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่ก ชาฮิดเคยคุยกับพี่ชายใจดีคนนั้นครั้งสองครั้งเรื่องมันทั้งสองตัว แต่ก็ไม่เคยถามว่าชื่ออะไร เพิ่งจะมานึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อก็ตอนที่นึกจะสงสัยขึ้นมานี้เอง

สำเร็จโทษไปหนึ่งไม้ ลิ้นห้อยก็ยกขาสะกิดหน้าแข้งเด็กน้อยตาคม ชาฮิดยกมือบ๋อแบ๋ อยากจะให้มากกว่านี้แต่แม่จำกัดงบมาแค่ตัวละไม้เท่านั้น ลิ้นห้อยลงไปนอนกลิ้งเอาหัวถูรองเท้าประจบเต็มที่ หางแกว่งเรี่ยพื้นเหมือนไม้กวาดตอนที่แม่ใช้กวาดบ้าน ส่วนร้อนแฮ่กหลังจากหม่ำเสร็จแล้วก็เริ่มขุดต้นไม้ข้างทางเล่นไปตามประสา ในตอนนั้นเองที่ชาฮิดเห็นผู้ใหญ่สองคนจูงมือเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับเขาเดินตรงมาที่ร้าน พวกเขาเด่นสะดุดตากว่าจะเป็นคนที่อยู่อาศัยในละแวกนี้ คนผู้ชายถึงจะดูเซอร์แต่ก็สูงหล่อมาแต่ไกล ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็สวยมีเสน่ห์ ตาคมชวนมอง

อย่างกับ อมิตาบ บาห์จัน ควงมากับ ไอศวรรยา ไร ยังไงยังงั้น !

ดวงตากลมโตของชาฮิดเลื่อนไปมองเด็กชายที่สูงไล่กับเขาที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ไม่แปลกใจเลยที่เด็กคนนั้นจะดูดีกว่าเด็กทั่วไป ผิวขาวอย่างกับไม่เคยโดนแดด ผมสั้น จัดแต่งเป็นทรงด้วยเจล ขนคิ้วดำแต่ไม่เป็นสีเข้มจัดและหนาแบบเขา ทุกอย่างเหมือนถูกย่อส่วนจนกลายเป็นของกระจุ๋มกระจิ๋มชวนมอง ถึงขนาดที่ทำหน้ามุ่ยแบบนั้นยังอดไม่ได้ที่จะแอบเหล่ดูสักนิดเลย ที่สำคัญ เด็กคนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าลายการ์ตูนเบ็นเท็น (ชาฮิดชอบดูถึงขนาดมีนาฬิกาข้อมือไว้ฝึกแปลงร่างแบบพระเอกที่บ้าน) คิดแล้วก็ได้แต่อิจฉา ชาฮิดอยากรู้ว่าถ้าตัวเองถูกจูงมือด้วยคนที่หน้าตาดีแบบนั้นจะรู้สึกแบบไหนกันนะ เขาคงจะยืดโก้เอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนได้เป็นสัปดาห์

ชาฮิดเผลอมองอย่างลืมตัว แล้วจู่ ๆ เด็กคนนั้นก็หันมาสบตาเขา สักพัก จากหน้าที่บึ้งตึงกลายเป็นยิ้มเบิกบานทันตา ชาฮิดนึกถึงดอกไม้ตอนที่ค่อย ๆ แย้มออก สดใส น่ารัก และอยากเข้าไปใกล้ ๆ ตอนนั้นเองที่เด็กชายตัวเล็กกว่าเขาคนนั้นดึงมือออกจากอมิตาบ บาห์จันและไอศววรยา ไรแล้ววิ่งโบกมือมายังเขา ชาฮิดค่อย ๆ ยกมือโบกตอบโดยไม่รู้ตัว

"ชื่ออะไรน่ะ"

"ชาฮิด" คนถูกถามยิ้มแฉ่งตอบ

"ชาอะไรนะ"

"ชาฮิด"

"ชื่ออะไรแปลก ๆ" เด็กชายคนนั้นมุ่ยหน้าแล้วย่อตัวนั่งลง จากนั้นก็ลูบหัวลิ้นห้อย "ไอ้หมูเอ๊ย ทำไมแกไม่ชืิ่อให้มันเรียกง่าย ๆ หน่อย ชานม ชาเขียวอะไรก็ได้"

ชาฮิดยิ้มเก้อ เข้าใจแล้วว่าชื่อที่ถูกถามคือชื่อหมาไม่ใช่ตัวเอง

"เอ่อ...ถ้าหมาน่ะ มันชื่อว่าลิ้นห้อย ชาฮิดชื่อฉันเอง"

เด็กคนนั้นมองตาขวางมาทางชาฮิด หลิ่วตาลงทำนองว่าใครจะไปอยากรู้ชื่อกัน แต่พอหันกลับไปมองลิ้นห้อยก็หัวเราะสดใสแบบเดิม เจ้าลิ้นห้อยก็ช่างกระไร หงายพุงขึ้นให้เกาแล้วหลับตาพริ้ม กวนประสาทเสียจริง

"ลิ้นห้อย ๆ ชื่อนี้เหมาะกับแกเสียจริง อ้วนเอ๊ย"

ชาฮิดมองลิ้นห้อยห้อยลิ้นแดงแจ๋หล่นมาข้างปาก แหม...สบายอกสบายใจเสียจริงนะ

"ยังมีอีกตัว ชื่อร้อนแฮ่ก อยู่ตรงโน้น" ชาฮิดยกมือขึ้นชี้

"ร้อนแฮ่กเหรอ ร้อนแฮ่กอยู่ไหน"

เด็กแปลกหน้าคนนั้นชะโงกหาทันที ชาฮิดตั้งใจจะเรียกร้อนแฮ่กแต่คนที่สวยเหมือนไอศวรรยา ไรกลับดึงไว้แล้วก้มหน้า โน้มตัวลงมาถามชาฮิด "ฮัลโหล น้องอยู่ร้านนี้หรือเปล่าจ๊ะ" เด็กน้อยพยักหน้าตอบ "ตายจริง ดูสิปืน เด็กอะไรก็ไม่รู้ หล่อแต่เด็กเลย หน้าคม ยิ้มสวย มาดูใกล้ ๆ สิ ตาสวยมาก ขนตายาวกว่าน้ำอีก"

อมิตาบ บาห์จันที่เหมือนจะชื่อว่าปืนมองมาทางเขาแล้วยิ้มให้แบบขรึม ๆ ชาฮิดกำลังยืนงง ในละแวกชุมชนที่เขาอาศัยอยู่ เด็กคนไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนเคาะมาจากพิมพ์ ผิวสีแทน คิ้วเข้มคม มีดวงตาที่กลมและโต แต่ชาฮิดชอบมองคนผิวขาวมากกว่า เด็กชายชอบตาเล็ก ๆ แบบครอบครัวคนจีนมากกว่าตาที่กลมเป็นไข่นกกระทาแบบคนเชื้อสายอินเดียที่เห็นจนชินมาตั้งแต่เกิด

"คุณนุชนารถอยู่ไหม" ผู้ชายคนนั้นถาม

ชาฮิดพยักหน้าอีกครั้ง แล้วมือกว้างอย่างกับจะหุ้มศีรษะได้ทั้งหัวก็วางลงบนผมชาฮิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไป วูบหนึ่ง หัวใจชาฮิดอบอุ่นขึ้นประหลาด เด็กน้อยหงายสองมือตัวเองขึ้นดู มันช่างเล็กจ้อยจนเทียบไม่ได้กับฝ่ามือนั้นเลย

ถ้าพ่อยังอยู่ มือของพ่อจะกว้างและอบอุ่นแบบพี่ชายคนนี้ไหมนะ ?

"สุดหล่อ...เรียกเรานั่นแหละ ชื่อว่าชาฮิดใช่ไหม" ไอศวรรยาที่เหมือนจะชื่อว่าน้ำเรียกชาฮิด เด็กน้อยพยักหน้า "เป็นเจ้าของร้านตัวน้อยหรือเปล่านะ"

"เปล่าครับ ผมมาช่วยแม่ทำงานตอนปิดเทอมเฉย ๆ"

แล้วจู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เอานิ้วชี้จิ้มหัวเด็กผู้ชายที่นั่งเล่นลิ้นห้อยอยู่จนเกือบคะมำ "หัดมีมารยาทบ้าง แนะนำตัวเองบ้างสิจ๊ะเจ้าตัวแสบ"

"ไม่ !"

"งดไก่ทอดเคเอฟซีเย็นนี้" เธอยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะคางตัวเองแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าแสบกำลังจ้องหน้าชาฮิดจนตาแทบถลน

"น้าชื่อลูกน้ำนะ จะเรียกว่าน้าน้ำก็ได้ ส่วนเจ้าหน้ามะเหงกนี่ชื่อว่าชวิศ ชื่อเล่นว่าธีม ถึงตัวจะเปี๊ยกแบบนี้แต่ก็สิบเอ็ดขวบแล้วนะ สุดหล่ออายุเท่าไหร่แล้วครับ"

"สิบสองครับ"

"สนิทกับพี่ชาฮิดเข้าไว้นะธีม" น้าลูกน้ำพูดแล้วก็เดินเข้าร้านไป

ชาฮิดยืนเก้อ ๆ อยู่สักพัก เพื่อนใหม่ก็พูดเสียงขุ่นขึ้นมา

"บอกไว้ก่อน ฉันไม่คิดจะเรียกพี่หรอกนะ เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน" ชาฮิดยืนอึ้ง "แล้วเมื่อไหร่จะเลิกจ้องเสียที มันน่ารำคาญนะ ไม่เคยเห็นคนเหรอไงกัน"

ด้านในร้าน ปรมะเดินเข้ามาก็เห็นนุชนารถกำลังยุ่งอยู่กับการติดตั้งตู้กดไอศกรีม ทันทีที่เห็นเขา เธอก็ส่งสัญญาณบอกให้รออีกสักพัก ปรมะมองไปรอบ ๆ ร้าน ไม่กี่อึดใจต่อมาปรายฟ้าก็เดินมาสมทบ ซึ่งเป็นช่วงที่มีราตัวน้อยยกแก้วน้ำเย็นออกมาเสิร์ฟให้กับทั้งสอง

"ตายจริง น้องสาวของชาฮิดหรือเปล่าคะ หน้าเหมือนกันเลย ตาโตน่ารักมาก"

มีรากระถดตัวถอยหลัง เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มเขินแล้วรีบวิ่งไปหลบหลังอมริตาผู้เป็นแม่ ในเวลานั้นนุชนารถก็เดินมาหาทั้งคู่ ปรายฟ้าจึงไม่คิดจะถามต่อ

"ไงจ๊ะ ไม่ได้แวะมาซะนาน"

"พี่นุชสบายดีนะครับ" นุชนารถพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันไปหยุดที่ปรายฟ้า "นี่ลูกน้ำครับ เอ่อ...ภรรยาผม"

"แค่อดีตน่ะค่ะ" ปรายฟ้าฉีกยิ้ม ตอบฉะฉานพร้อมหัวเราะตามแบบฉบับของเธอ "คุณนุชคงไม่ได้คิดจริง ๆ ใช่ไหมว่าจะมีผู้หญิงคนไหนทนอยู่กับผู้ชายทึ่ม ๆ แบบปืนได้นาน ๆ"

นุชนารถยิ้มตอบ เธอพอรู้เรื่องที่ปรมะเคยแต่งงานแล้วมาบ้างแต่ก็ไม่รู้ลึกไปถึงรายละเอียด ในตอนนั้นเธอแค่คิดว่าคงเป็นฝ่ายปรมะแน่แท้ที่เป็นฝ่ายสลัดรักจากผู้หญิง วันนี้ได้มาเห็นปรายฟ้า นุชนารถคิดว่าที่ผ่านมาเธอคงคิดผิดมาโดยตลอด ดูเหมือนเกมจะพลิกเป็นฝ่ายปืนที่คอยเป็นธุระห่วงใยให้ลูกน้ำตลอด แต่คิดแล้วก็น่าขัน ปรายฟ้าคนนี้เป็นผู้หญิงที่พูดจาหยิกเหน็บได้ตรงจุดเสียจริง บางครั้ง นุชนารถก็คิดว่ารุ่นน้องสุดเซอร์ของเธอออกจะตรงจนทึ่มไปเสียหน่อยอย่างเธอพูดนั่นแหละ

"ร้านน่านั่งมากเลยนะคะ ถึงจะกะทัดรัดแต่ก็ให้บรรยากาศที่รู้สึกเหมือนเป็นที่ของเราจริง ๆ มีมุมที่อยากจะนั่งฝังตัวอยู่แบบนั้นทั้งวันจนไม่อยากจะลุกไปไหน ถ้ามีหัวกว่านี้สักนิด น้ำคงจะเปิดร้านแบบนี้ที่เชียงใหม่แน่ ๆ"

นุชนารถยิ้มขอบคุณ รู้สึกว่าปรายฟ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองจินตนาการก่อนหน้านี้สักนิด ตรง ดูมั่นใจก็ใช่ แต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาที่ดูมีเสน่ห์ประหลาด นุชนารถไม่รู้สึกถึงความก้าวร้าว ไม่น่าคบอะไรจากผู้หญิงตรงหน้าคนนี้เลย "พี่ลงเครื่องทำซอฟต์ไอศกรีมพอดี อากาศร้อน ๆ แบบนี้น่าจะดีกับลูกค้า มีเด็ก ๆ มาช่วยก็น่าจะเหมาะ เฮ้อ...ปีนี้มันร้อนอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้"

"แต่เด็กคงดูแลไม่ได้หรอกนะครับ มีหวังเจ้าธีมได้ทำเครื่องพังแน่"

"ว่าจะรับเด็กรายวันมาดูน่ะปืน เดี๋ยวพรุ่งนี้คงติดประกาศ เอาเฉพาะช่วงหน้าร้อน อยากขายพวกลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่ได้นั่งกินที่ร้านด้วย"

ปรายฟ้าเดินสำรวจไปทั่ว ก่อนจะเอนตัวลงไปนั่งกับโซฟาแล้วทำท่าจะเอนตัวนอน ปรมะที่เห็นเข้าก็ทำหน้าเหนื่อย ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปปราม แต่จู่ ๆ ปรายฟ้าก็พูดขึ้น

"น้ำสมัครได้ไหมคะ ชักจะติดใจบรรยากาศร้านนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก"

ปรมะยกมือตะปบหน้าผากตัวเองอย่างอ่อนใจ ขณะที่นุชนารถกลับดูจะสนใจในสิ่งที่ปรายฟ้าโพล่งขึ้นมา

"ไม่ทำเครื่องเจ๊งหรอกน่า" เธอยักคิ้วให้เขา "ยังไงเสีย น้ำก็ต้องมาส่งธีมที่นี่อยู่ดี น้ำชอบคุณนุช ชอบบรรยากาศของร้านนี้ แถมพี่น้องคู่นั้นก็น่ารักอย่างกับตุ๊กตา ชื่ออะไรนะ ชาคริต"

"ชาฮิดกับมีราค่ะ ลูกของอมริตานั่นน่ะ" นุชนารถบุ้ยใบ้ไปทางหญิงสาวร่างเล็กชาวอินเดียในชุดแม่ครัว ปรายฟ้าหันไปยิ้มให้อมริตาแล้วทำปากบอกเธอว่าลูกน่ารักมาก อมริตาโค้งขอบคุณแล้วเดินเข้าครัวไป ปรายฟ้าหันมาโน้มน้าวนุชนารถต่อ "นะคะคุณนุช น้ำอยากลองทำ"

ปรมะตั้งท่าจะปรามแต่นุชนารถกลับพูดว่า "เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่พี่จะไม่มีเงินจ้างคุณน้ำเอาน่ะสิคะ"

"ค่าจ้างสักบาทก็ไม่เอาค่ะ น้ำทำเพราะแค่อยากทำอะไรแปลก ๆ บ้าง แต่ไม่ทำครัวนะคะ ทำไม่เป็น ไม่เสิร์ฟด้วยค่ะ เดี๋ยวจะทำจานแตกให้ขายขี้หน้าเอา เฝ้าแค่ตู้พอ ถ้าแค่กดไอศกรีมแบบนี้น้ำคิดว่าคงพอไหว"

"ไม่เอาน่าน้ำ"

"เงียบเถอะน่า ผู้หญิงเขาจะคุยกัน"

นุชนารถหลิ่วตามองหน้ายุ่ง ๆ ของปรมะแล้วลอบหัวเราะ เธอชักจะถูกชะตาความตรงไปตรงมาที่ดูแปลกไม่สนใจโลกของปรายฟ้าเข้าให้แล้วสิ







"ไม่เป็นไรนะ เราอยู่ตรงนี้ไง"

ระหว่างเสียงทุ้มที่ดังขึ้นที่ข้างหูกับเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นอยู่ในตอนนี้ พิธานไม่รู้ว่าเสียงไหนจะได้ยินชัดไปกว่ากัน ลำพังทรงตัวให้มั่นคงบนจักรยานก็ถือว่าเป็นเรื่องลำบากแล้ว แต่ต้องฝืนทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติไม่มีอะไรด้วยถือว่าเป็นเรื่องยากเหลือเกิน

"ทรงตัวได้ยัง" อริยะถามอีกครั้งที่ข้างหู ชิดจนขาแว่นฝังลงบนแก้มของเขา

พิธานเกร็งคอจนกลืนน้ำลายไม่ลง เขาไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เลย พักหลัง ๆ การใกล้ชิดกับอาร์มเหมือนจะทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองแม้แต่น้อย เหมือนจะมีความสุข แต่ก็เหมือนกับทุกข์จนแทบทนไม่ไหวในเวลาเดียวกัน สุขที่ได้อยู่ใกล้ ได้รู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับตัวเขามากกว่าใคร ๆ แต่ก็ทุกข์ใจทุกครั้งที่เมื่อมองดูโลกความเป็นจริง ยิ่งสุขเท่าไรมันก็ยิ่งทุกข์เท่านั้นเมื่อเห็นอาร์มเดินกับริน กินข้าวกับริน ทำทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างกับรินไม่ต่างกับที่ทำกับเขา หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เหมือนกันก็คงจะเป็นสถานะ

คนหนึ่งแฟน อีกคน...เป็นแค่เพื่อน

"มันไม่เวิร์กหรอก ปล่อยเถอะ"

พิธานไม่รู้ว่านั่นเป็นประโยคที่พูดกับอริยะ "ปล่อยเถอะ การหัดขี่จักรยานมันไม่เวิร์กหรอก" หรือเป็นประโยคที่พูดกับใจตัวเอง "ปล่อยเถอะ หลอกตัวเองไปวัน ๆ อยู่แบบนี้มันไม่เวิร์กหรอก" กันแน่

"อีกนิดน่า มันจะต้องเวิร์กสิ ทุกอย่างมันก็มีอุปสรรคหมดแหละ อย่าเพิ่งยอมแพ้" อริยะพูด กระชับทั้งสองมือที่ประคับประคองศูนย์ถ่วงการทรงตัวอยู่ที่เอวของคนที่หัดขี่จักรยานอยู่ขึ้นอีกนิด "นะ มันเวิร์กแน่ ๆ ขอร้อง อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ"

มันจะเวิร์กเหรอ จะให้เขาแข่งกับอะไรเล่า แข่งเพื่ออะไร ทำอะไรแบบนี้เพื่ออะไร

"ไม่เอา เหนื่อยแล้ว พอแล้ว" เสียงแผ่วนั้นคล้ายว่าจะพูดกับตัวเอง

ดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นเจือไปด้วยแววผิดหวัง อริยะปล่อยมือทั้งสองข้างที่กุมเอวพิธานออกแล้วถอนใจ "เงียบไปเลย สัญญากันแล้ว"

"ไว้คราวหน้าแล้วกัน"

"คราวนี้แหละ ไปกับรินสองคนก็แปลก ๆ ไม่รู้จักคนในชมรมนั้นเลย แต่ก็อยากไปนะ ดูกรุงเทพตอนพระอาทิตย์ตกดินน่าจะสวยดี ถนนแถวกระทรวง ฯ ก็สวยด้วย"

พิธานก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีทั้งกับอริยะ...ทั้งกับความรู้สึกตัวเอง

เมื่อคืนเขาฝัน มันอาจชวนสะอิดสะเอียนสำหรับบางคน มันงี่เง่า เขารู้ มันโคตรงี่เง่าสิ้นดี ไม่มีเหตุผล ที่มาที่ไป แล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่มันก็ฝันแบบนั้นไปแล้ว โดยไม่เจตนา โดยไม่คาดคิดให้มันเป็นอย่างนั้นมาก่อน ในนั้น จู่ ๆ อาร์มก็เดินมากอดเขา สารภาพว่ารัก มันรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว เขาตกใจ แปลกใจ ดีใจ  ทำอะไรไม่ถูก กล้ามเนื้อหัวใจขยายตัวจนพองคับอก มันเหมือนดูคลิปวิดีโอในยูทูปที่เลือนลาง จำอะไรไม่ค่อยได้ คล้ายกับมีงานปาร์ตี้ที่แสนอลหม่านหมุนอยู่รอบ ๆ ตัว และที่กลางจุดศูนย์กลางของทุกอย่าง อาร์มจูบเขา โอบบ่า แล้วดึงเข้ามาซบ พูดตามนิสัยไม่มีลังเลแบบทุกครั้งว่าเป็นแฟนกันนะ ในตอนนั้นเหมือนอากาศของโลกทั้งใบกำลังอัดเข้าสู่ตัวเขา สูบเข้ามา...อัดเข้ามาจนแน่นจนเหมือนจะระเบิด แต่แปลกที่หัวใจมันก็ดูเหมือนจะพร้อมขยายรับพื้นที่มหาศาลแบบนั้นได้เรื่อย ๆ เพียงเพราะคำคำนั้น อาการคับไปทั้งอกที่ว่ายังคงลามมาถึงตอนเช้าที่ตื่น ก็รู้ว่าเป็นฝัน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาบ้ายิ้มอยู่บนเตียงไม่ลุกไปไหนอีกเป็นชั่วโมง ยิ้มโง่งมกับแสงแดดของฤดูร้อนที่เกลียดแสนเกลียด กอดหมอน ฟัดแล้วฟัดอีกแบบจะให้มันแหลกไปคามือ หลับตาแล้วฝันกลางวันบ้า ๆ บอ ๆ ว่ามันคือตัวอุ่น ๆ ของไอ้แว่นสุดเบื๊อกที่ยืนเสนอหน้าสอนเขาขี่จักรยานไม่รู้อะไรในตอนนี้ พวกเขานั่งโอบกันเงียบ ๆ ในที่ที่ไม่มีใคร เอาหัวพิงกัน สบตากัน แล้วต่างคนต่างก็ยิ้มเขิน มันคงไม่หยุดอยู่แค่นี้ถ้าไม่ใช่เพราะโทรศัพท์ของมันที่โทรมา เคยมีเวลาที่ทำตัวปัญญาอ่อนไหม คุยโทรศัพท์ไป เอานิ้วชี้จิ้ม ๆ วน ๆ อยู่บนหมอนตัวเองไป นั่นแหละ สิ่งที่เขาทำตอนที่คุยโทรศัพท์กับมันเมื่อเช้านี้

"ลองดูอีกสักตั้งไหม ถ้าจับจังหวะได้ ของแบบนี้มันก็ได้เลยนะ"

"ไม่แล้วละ ขี้เกียจ ไปกับรินสองคนเถอะ จะลากคนอื่นไปเป็น ก.ข.ค. ทำไม"

"โห...ขืนไปสองคนแบบนั้นมีหวังโดนล้อแย่"

พิธานก้าวขาลงจากจักรยาน เห็นแบบนั้น อริยะก็ทอดลมหายใจแล้วเดินอ้อมมาด้านหน้า มือทั้งสองข้างเอื้อมไปจับแฮนด์แล้วจูงไปใต้ร่มไม้ เดินไปข้าง ๆ กัน ต่างฝ่ายต่างเงียบไปสักพัก ก่อนที่คนซึ่งจูงจักรยานอยู่จะทำลายความเงียบด้วยรอยยิ้ม หัวใจของพิธานแกว่งเหมือนถูกจับโล้ชิงช้าขึ้นมาทันที

"อากาศร้อนเนอะ จะเผากันให้สุกเลยเหรอไง"

"วันก่อนทีวีก็เห็นก็บอกว่าจะร้อนกว่าทุกปี"

อริยะถอนหายใจแล้วถอดเสื้อมาม้วนพาดไว้บนหน้าขาตัวเอง "ไม่ไหวเลยเนอะ เหนียวเหนอะไปทั้งตัว"

คนที่นั่งข้าง ๆ เสมองไปอีกด้านโดยอัตโนมัติ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องทำอะไรงี่เง่าแบบนั้น

จักรยานถูกพิงไว้ใต้เงาไม้ มีแสงอาทิตย์แทงทะลุเพดานสีเขียวลงมาคล้ายกับจะบอกว่าการหลบหนีแดดในเมืองที่อุดมไปด้วยความร้อนแบบกรุงเทพนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกิน...การหนีจากความรู้สึกตัวเองก็คงไม่ต่างกัน

ที่เขาว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมันคงประมาณนี้ล่ะมั้ง ทั้งที่บอกตัวเองแล้วว่าจะเลิกสนใจ แต่วัชพืชที่เรียกว่าความไม่ซื่อสัตย์นี้ก็หยั่งรากลงแน่นเกินกว่าจะกำจัดให้หมดไปง่าย ๆ สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยลมหายใจแบบขาด ๆ เกิน ๆ แล้วจู่ ๆ อาร์มที่จับเสื้อกระพืออยู่ก็ร้องขึ้นพร้อมกับหันหน้ามาทางเขา

"โอ๊ย...หนึ่งช่วยถอดแว่นที"

"เป็นอะไร" พิธานถามพร้อมมองคนตรงหน้าที่หลับตาปี๋

"แสบ เหงื่อเข้าตา มือเลอะอยู่ ช่วยที เช็ดให้ด้วย"

"จะเช็ดให้ได้ยังไง มือก็เลอะเหมือนกัน"

"เถอะน่า แสบ เอาแว่นออกก่อน ไว ๆ เลย"

เขารีบทำตามที่บอกทุกอย่่าง พอแว่นถูกดึงออก อาร์มก็ฝังหน้าลงซบกับหัวไหล่ของหนึ่งทันที ตาขวาที่หลับอยู่ไถเบา ๆ กับแขนเสื้อตรงหัวไหล่ ให้ความอ่อนนุ่มของเนื้อผ้าซับเหงื่อบนตา คิ้ว ไล่ไปจนถึงหน้าผาก แล้วก็ซบค้างไว้แบบนั้นเหมือนนึกจะขี้เกียจขยับตัวขึ้นมาดื้อ ๆ

"ขอบใจนะ"

"เสร็จแล้วก็ออกไปซะที สกปรกโสโครก"

ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับหนึ่ง การทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่ลุกลน หรือพูดเฉยเมย ไม่แสดงความห่วงใยอะไรมากไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งพอจะทำได้ล้วนเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นจริง ๆ ทุกอย่างดูจะสวนทางกันไปหมด

"แค่นี้ทำเป็นรังเกียจ" อาร์มหัวเราะ เอาผมไถต้นคอเขาเบา ๆ แล้วแกล้งเขย่าหัวให้ผมชื้นเหงื่อจิ้มหน้าจิ้มตาให้รำคาญเล่น "ขนเม่นทิ่มคอ"

"ออกไปเลย"

"ม่ายยย..." เม่นปัญญาอ่อนลากเสียงยาวแล้วหัวเราะคิกในลำคอ อริยะยกสองมือขึ้นรวบเอวของพิธานไว้ไม่ให้หนีไปไหน เอียงแก้มลงแนบเหนือหน้าอกที่กำลังเต้นโครมคราม "ชอบกลิ่นนี้จริง ๆ นะ รู้สึกเหมือนเหมาะกับหนึ่งกว่า"

หัวใจของพิธานเหมือนจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ ทุกอย่างเงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง

"บ้าเปล่า มีแต่กลิ่นเหงื่อ"

"ถึงอะไรจะไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่เราจมูกดีนะ" อาร์มยกหัวขึ้นจากบ่าแล้วส่งยิ้ม ขณะที่หยิบแว่นขึ้นสวมกลับก็พูดไปเรื่อยเปื่อย "กลิ่นเดิมไม่ใช่กลิ่นเมื่อวาน ได้กลิ่นตั้งแต่ตอนสายที่เจอแล้ว ตอนนี้ก็ยังได้กลิ่นอ่อน ๆ อยู่เลย"

คนสวนแว่นเอาเสื้อพาดบ่าตัวเองแล้วลุกขึ้น อริยะสะบัดข้อเท้าไปมาแล้วยกมือขึ้นโอบบ่าพิธานไว้ "ไปขี่จักรยานกันต่อเถอะกัน"

"ขี้เกียจหัดถีบแล้ว ร่วงทุกที"

"ขี่ให้ หนึ่งซ้อนก็พอ"

ก็เป็นเสียแบบนี้ พิธานนึกค่อนกับตัวเองในใจ เขาไม่ได้ขี้เกียจจะขี่อะไรพวกนี้สักนิด เพียงแค่ไม่อยากจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนถูกเล่นกับความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงได้ตกหลุมรักเพื่อนสนิทเข้าเต็ม ๆ อย่างแน่นอน อริยะพาดเสื้อยืดตัวเองกับโครงเหล็กระหว่างแฮนด์จักรยาน บุ้ยหน้าไปทางข้างหลังเหมือนส่งสัญญาณให้ขึ้นซ้อนเสียที เอาวะ ช่างหัวปะไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยถีบเอง

"เวลาถีบจักรยานต้องอย่ากลัวจะล้ม มองไปข้างหน้า ไม่ต้องกังวลว่าจะทรงตัวได้หรือเปล่า แค่รักษาจังหวะของขาทั้งสองข้างให้พอดี ๆ กันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็พอ แล้วสักแป๊บมันก็จะรู้จังหวะไปเอง"

พิธานทอดถอนใจ อือออรับปากตามน้ำไป

"เกาะเอวเราไว้สิ จับเต็ม ๆ สองมือเลยจะได้ไม่สั่นไง"

"แค่เกาะก็พอใช่ไหม" พิธานมองอย่างลังเล ก่อนจะยกสองมือขึ้นเกาะเอวคนตรงหน้าแบบกล้า ๆ กลัว ๆ

"จับดี ๆ สิ ยังไม่ค่อยกล้าขึ้นไม่ใช่เหรอ"

"เออน่า" พิธานไม่ใช่คนโกหกเก่งเล่นละครแนบเนียบแบบนั้น คนมีชะนักติดหลังจะให้ทำเหมือนคนไม่คิดอะไรดูจะเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

เห็นท่ารั้งรอไม่ทำอะไรเสียที อริยะก็พักขาแล้วดึงทั้งสองแขนของเพื่อนรักเข้ามากอดตัวเองจนแนบไปทั้งตัว พิธานออกแรงขืนตัวไว้แต่จังหวะของอริยะดีกว่า แค่รวบข้อมือทั้งสองข้างแล้วกระตุก ร่างของพิธานก็คลอนไปข้างหน้า แนบตัวทั้งตัวเข้ากับแผ่นหลังอุ่น ๆ ของคนที่บังคับเหมือนถูกล็อกด้วยแม่กุญแจ

"กอดแบบนี้แล้วกัน" แล้วจักรยานก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อาร์มหลิ่วตามองมาทางด้านหลัง "เป็นไง รู้สึกอะไรไหม"

"อะไร"

"สมดุลย์ไง พอกอดแล้วตัวเราสองคนก็จะแนบกันใช่ไหม เราสองคนจะใช้สมดุลย์เดียวกัน สักพักก็จะเริ่มจับจังหวะมันได้ นี่ไง รู้สึกไหม จังหวะซ้ำ ๆ เท่าเดิม"

สายลมแตะแก้มทั้งสองข้างของพิธานจนร้อนผ่าว อุณหภูมิของร่างกายเหมือนจะระอุขึ้นจนใกล้เคียงกับแดด แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าใจตัวเองกำลังสั่นหรือเต้นคึกโครมอยู่กันแน่

"เกย์สัส จำเป็นไหมที่ต้องถอดเสื้อเนี่ย ไหนจะเหงื่อโสโครกนี่อีก"

"เจ็บว่ะ คู่จิ้นกันเขาต้องด่ากันขนาดนี้เลยเหรอ" อริยะหัวเราะชอบใจ ไม่ได้รู้สึกกระดากอายแม้น้อยนิด ไม่แม้แต่จะเอะใจว่าคนที่กอดอยู่นั้นรู้สึกแบบไหนกับสัมผัสที่ก้ำกึ่งแบบนี้ ดวงตาคู่นั้นเอาแต่มองไปข้างหน้า มองตรงไปที่จุดหมายเท่านั้น

"นี่..."

"หืม ?"

"มีเรื่องจะบอก แต่บอกแล้วอย่าปล่อยมือนะ ล้มแน่"

"อืม ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อย"

"เราขี้โกงหนึ่ง จริง ๆ แล้วเทคนิกขี่จักรยานอะไรแบบนี้มันไม่มีหรอก โกหกหมดเลย"

"ก็ว่างั้น"

"นี่..."

"คราวนี้อะไรอีก"

"หอมนะ พออยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ เวลาลมจะพัดเหมือนกลิ่นมันจะวน ๆ อยู่รอบตัวเลย" อริยะหันกลับมาส่งยิ้ม "จริง ๆ ก็ไม่ได้โกหกทั้งหมดหรอกนะ ถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะรู้" ใต้กรอบแว่นที่เป็นกระจกบาง ๆ ดวงตาคู่นั้นทอดมองมาที่เขา อริยะเอียงหัวลงนิดหน่อย พยักเพยิดคางมาทางพิธาน

"รู้แล้วใช่ไหม ถ้ากอดแน่น ๆ แบบนี้ เราก็จะเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน ใช้สมดุลย์เดียวกัน"

"อืม...ถึงไม่ปล่อยมือไง"

พิธานหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มสดใสของคนตรงหน้า เสียงพูดที่เหมือนจะมีเสียงหัวเราะเจืออยู่ตลอดเวลาดังขึ้นท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสายลม

"กินข้าวเย็นด้วยกันนะ"

พูดอย่างกับเขาเคยปฏิเสธอะไรได้สักครั้ง








(ยังมีต่อนะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2014 01:28:34 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




สงครามเย็นระหว่างดนัยและพงษ์พิพัฒน์ดูท่าจะไม่จบง่าย ๆ จะต่างกับสามชั่วโมงที่แล้วก็เพียงแค่ย้ายสถานที่จากออฟฟิศของไจแอนท์โคลามายังสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำรายการเช้านี้ที่ประเทศไทย แถมลูกหลงยังเริ่มจะลุกลามไปสู่ทีมงานคนอื่น ๆ จนปวดหัวกันไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ดาน่าที่กำลังนั่งทำตาปริบ ๆ มือที่ถือโทรศัพท์อยู่สั่นหงึกคล้ายคนหมดแรง

"เดี๋ยวนะคะ เรามาทำความเข้าใจกันอีกที น้องตรีโทรไปยกเลิกอาจารย์หมอที่ทางทีมงานติดต่อเอาไว้ใช่ไหมคะ"

ตรี พงพิพัฒน์มองไปที่หญิงสาว ยิ้มสบายอกสบายใจขณะที่หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม "ไม่ต้องขอบคุณก็ได้นะครับ"

"ขอบคุณ ?"

"ที่ผมเลือกเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อรายการของเรา"

"เก๋ค่ะ เก๋ไก๋มาก" ดูเหมือนว่าผมหยิกหย็องของเธอจะฟูขึ้นอีกเท่าตัว ดาน่าหัวเราะร่วนแล้วจู่ ๆ ก็ทรุดลงนั่งกับเก้าอี้เหมือนคนหมดแรง "เก๋สุดตรงที่เราต้องอัดเทปกันเย็นวันนี้นี่แหละค่ะ ค่าสตูดิโอเอย อุปกรณ์ถ่ายทำเอย กล้องเอย ไฟเอย ค่าตัวทีมงานเอย ไหนจะคิวออกอากาศเอย เก๋มากค่ะ ถ้าเจอพี่จ๊อดฝากบอกทีนะคะว่าพี่รออยู่ที่ทางช้างเผือก วิญญาณพี่จะอยู่ที่นั่นค่ะ"

ดนัยเดินออกมาเห็นเหล่าทีมงานวิ่งพล่านเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง นึกโทษตัวเองเหมือนกันที่เป็นตัวต้นเรื่อง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาล้อบบี้ผู้ใหญ่เรื่องตรี พงษ์พิพัฒน์เมื่อคืน เหตุการณ์ต่าง ๆ คงไม่อลหม่านแบบนี้ แต่ใครจะคิดเล่าว่าพิธีกรงี่เง่าคนนั้นจะออกฤทธิ์เดชเผื่อแผ่ทีมงานคนอื่น ๆ ไปด้วย ถ้าเป็นคนปกติคงเจียมเนื้อเจียมตัว ตั้งใจทำงานเต็มที่ไปแล้ว ไม่ใช่ยิ่งแผลงฤทธิ์เดชอย่างกับพระอาทิตย์ฤดูร้อนที่สาดแดดเผาไปทั่วแบบนี้

ดนัยเห็นทีมงานหลายคนสุมหัวด่าตรี พงษ์พิพัฒน์กันขรม ชัดเจนขนาดเขาที่เป็นคนนอกแต่มองปราดเดียวก็ยังรู้ ถึงขนาดนี้แล้วตรี พงษ์พิพัฒน์จะไม่รู้ตัวเชียวหรือ หรือว่ารู้แต่แกล้งไม่รู้กันแน่

"ทำแบบนั้นไปได้ยังไง ไม่เห็นใจทีมงานกันบ้างเลย จบนอกแล้วไง หน้าตาดีแล้วไง ก็แค่เด็กเมื่อวานซืนที่ทำงานไม่เป็น"

ทีมงานคนหนึ่งเดินผ่านหน้าดนัยไปพร้อมกับคำพูดทำนองนั้นอีกชุดใหญ่ นี่จะเป็นเทปแรกที่มี Product Placement ของไจแอนท์โคลา ดูออกจะเป็นเรื่องไม่เข้าท่าสักเท่าไรที่เอาน้ำอัดลมมาเจอะกับหมอที่แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ แม้แต่เด็กก็ยังรู้ จุดขายของน้ำอัดลมมันไปกับเรื่องของสุขภาพเสียที่ไหน

"ผมว่ามันก็ดีอยู่แล้ว จะไปเปลี่ยนทำไม แล้วนี่ไม่ได้บอกทีมงานสักคน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะอัดเทปอยู่แล้วจะให้ทำยังไง" เสียงคุณจ๊อด โปรดิวเซอร์ของรายการพูดใส่อารมณ์กับตัวปัญหา อันที่จริงจะเรียกว่าตะคอกก็คงไม่ผิด "คิดดูมันก็สมควรแล้วที่ผู้ใหญ่จะพิจารณาปรับในส่วนของพิธีกรใหม่หลังช่วงสงกรานต์ อะไรที่มันน่าเบื่อก็เปลี่ยนซะบ้างก็ดีเหมือนกัน"

ตรี พงษ์พิพัฒน์แค่ยิ้มแล้วยักหัวไหล่ และมันก็จบแค่นั้น

กระดาษปึกใหญ่ที่ดนัยเดาว่ามันคงเป็นสคริปต์สำหรับบันทึกเทปตอนเย็นถูกเขวี้ยงลงบนพื้นต่อหน้าคนที่นั่งไขว่ห้างทันที คุณจ๊อด โปรดิวเซอร์ของรายการด่าอีกสองสามประโยคต่อหน้าทีมงานทั้งหมดแล้วหยิบมือถือเดินคุยโทรศัพท์ออกไป ตรีดูจะรับมือได้ดีกว่าคาด ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย เจ้าตัวยังก้มหน้าก้มตาฟังเพลงต่อไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนครีเอทีฟอย่างดาน่าก็ทำท่าจะร้องไห้เอา ดนัยมองทุกอย่างอยู่สักพัก แล้วเลือกจะเดินเข้าไปหาหญิงสาว

"มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ไหมครับ"

"คุณนัท ดาน่าคิดไม่ออกจริง ๆ ค่ะ หัวจะแตกอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะไปหาคุณหมอที่ไหนมาถ่ายรายการ นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว ปกติน้องตรีเธอก็ไม่ใช่แบบนี้นะคะ ให้ทำอะไรก็ไม่มีปัญหา แต่คุณนัทไม่ต้องห่วงนะคะ ดาน่าจะทำให้อย่างดีที่สุด" พูดจบแล้วเธอก็หันไปขยุ้มหัวตัวเอง พึมพำเหมือนคนสติหลุด "โอ๊ย...แล้วนี่จะทำยังไงกันดีล่ะเนี่ย"

ดนัยครุ่นคิด โอเค ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะเขา ถึงแม้จะไม่ได้ชอบอะไรคุณจ๊อดหรือแม้แต่เธอคนนี้นัก แต่เขาไม่ได้มีเจตนาจะให้มันกระทบกับทุกฝ่ายแบบนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตรี พงษ์พิพัฒน์คนเดียว

"ผมจะลองหาทางช่วยดูครับ"

ดาน่าขอบคุณเขาเป็นการใหญ่โต จากนั้นก็ขอตัวไปจัดการงานอื่น ๆ ต่อ ดนัยยืนมองรอบ ๆ ตัวอยู่สักพัก ก่อนที่ดวงตาคมจะไปหยุดอยู่ที่คนที่นั่งกระดิกเท้าอารมณ์ดีอยู่ตรงนั้น เขาเดินเข้าไปหา เมื่อเข้าระยะประชิดดนัยก็ดึงหูฟังข้างหนึ่งออกจากหูของตรี

"หยุดเล่นเกมสักพักแล้วคุยกับผมหน่อย" ดนัยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ผมไม่ได้อยากยุ่งอะไรกับคุณนักหรอกนะ แต่อยากรู้ว่าคุณทำแบบนั้นไปทำไม"

"แบบไหน"

"ยกเลิกคิวของอาจารย์หมอที่จะอัดเทปเย็นนี้แล้วนั่งเฉย ๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

พงษ์พิพัฒน์ส่ายหัวระอาแล้วพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน "ไม่เอาน่า คุณอยากดูคนแก่ที่ไหนก็ไม่รู้ ขึ้นตัวหนังสือด้านล่างจอว่าเป็นหมอ แล้วมานั่งพูดเรื่องเคล็ดลับหน้าร้อนที่ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ"

"เอาจริง ๆ ก็ไม่"

"แล้วคุณจะเปลี่ยนช่องไหม"

ดนัยแสยะยิ้มขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวก็คงไม่ทันเอะใจ พงษ์พิพัฒน์คนนี้ถึงจะชอบทำตัวเหมือนคนไม่มีสมอง ไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น แต่เพราะไม่แคร์ใครนั่นแหละ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็พูดแบบรักษามารยาท ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับให้เหตุผลที่จริงยิ่งกว่าจริง

"อุปสรรคของการทำสิ่งที่ดีที่สุดก็คือคำพูดที่ว่า ก็โอเค ก็ดีอยู่แล้ว นี่แหละ"

ดนัยมองคนที่ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมกดไร้สาระในมือถือตัวเองต่อ ยอมรับตามตรงว่ารู้สึกทึ่งกับด้านนี้ของตรี พงษ์พิพัฒน์อยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เขานิ่งเงียบสักพัก จู่ ๆ สมองก็เริ่มตั้งคำถามใหม่ว่าอะไร ๆ มันจะง่ายแค่นั้นจริงนั่นหรือ เขารู้สึกสะดุดบางอย่างในใจ และมันก็เป็นความรู้สึกที่รุนแรงจนไม่อาจจะปล่อยมันผ่านไปได้

"ที่คุณจ๊อดโกรธขนาดนั้น คงไม่ใช่แค่เพราะยกเลิกคิวอาจารย์หมอใช่ไหม"

รอยยิ้มที่ดูอย่างไรก็ไม่เข้าตาน่าจะเป็นคำตอบให้กับดนัยได้เป็นอย่างดี

"คุณตรี พงษ์พิพัฒน์...ไม่ตลกเลยนะครับ ทั้ง tie-in ทั้ง Product Placement ของไจแอนท์โคลา ผมไม่ได้จ่ายเกือบสองล้านเพื่อมาเจออะไรแบบนี้หรอกนะ"

ในที่สุดคนที่ถูกเรียกชื่อก็กดหยุดเกมแล้วหันมามองหน้า

"คุณจะใส่แว่นกันแดดในที่ร่มทำไม"

"สองเหตุผลใหญ่ครับ ข้อแรก เพราะมันทำให้รู้ว่าผมแตกต่างจากคนอื่น นั่นหมายความว่าผมเป็นคนพิเศษ และสอง เพราะว่ามันดูดีมากในชุดที่ผมสวมวันนี้"

ดนัยอ้าปากค้าง นึกอยากจะต่อว่าอะไรสักอย่างแต่ก็หาคำที่เหมาะสมกับคนตรงหน้าไม่ถูกจริง ๆ

"แทนที่จะมานั่งบ่นแบบนี้ คุณ...ที่เป็นหนึ่งในทีมงาน"

"ผมเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่" ดนัยสวนขึ้นทันควันโดยไม่ต้องรอฟังให้ครบประโยค

"ตั้งแต่คุณเซ็นสัญญานั่นแหละ เวลาของรายการก็เป็นเวลาของคุณไม่ใช่หรือ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะ ทำไมเราไม่ร่วมมือกัน คุณก็ได้โฆษณาของคุณเต็มที่ ส่วนผมก็ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะไอเดียน่าเบื่อที่ไม่ดึงดูดพอแบบนี้"

"จะให้ผมทำอะไร"

"ถึงมันจะซ้ำซากจำเจ แต่ยังไงข้อมูลพวกนี้ก็จำเป็น สิ่งที่คุณต้องทำก็คือหาหมอสักคน ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ สาขาไหนก็ได้ เน้นที่หน้าตาดีเอาไว้ก่อน" ดนัยมองเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ตรี พงพิพัฒน์ยังคงพูดต่อเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา "ไม่ต้องหน้าตาดีถึงขนาดผมก็ได้ นั่นอาจจะยากเกินไป เลือกที่หน้าตาธรรมดาหน่อย อืม...ประมาณคุณ ผมคิดว่าก็คงน่าจะพอใช้ได้ ขออายุไม่เกินสามสิบนะครับ"

คนฟังถึงกับแค่นหัวเราะ ก่อนจะหันกลับมาเค้นเสียงหนักแน่น "งั้นช่วยบอกผมทีว่าในขณะที่ทุกคนวิ่งวุ่น คุณทำอะไร"

"ผมทำในสองสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือการเป็นพิธีกรซึ่งเป็นหน้าฉากของทีมงานทุกคน...รวมทั้งคุณด้วย และอีกอย่างที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย" พงษ์พิพัฒน์เว้นจังหวะคำพูด สีหน้าดูเคร่งเครียด "ผมต้องเป็นเครื่องหมายของสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน"

ดนัยนั่งอึ้ง เกิดมาจนอายุร่วมจะสามสิบ เห็นอะไรมาก็มาก รับมือกับเสือสิงห์กระทิงแรดด้วยชั้นเชิงทางธุรกิจมาสารพัด แต่กลับไม่เคยพบเคยเจอกับคนแบบนี้มาก่อนเลย

"ถ้าคุณจะชมก็ชมได้นะ ถึงจะชินแล้วแต่ก็สัญญาว่าจะทนฟังไม่ให้เสียน้ำใจแน่นอนครับ" พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มแล้วหันมากะพริบตาให้เขาหนึ่งที







แทนที่จะฝังตัวอยู่แต่ในห้อง นภชวนคนที่อยากสัมผัสบรรยากาศกรุงเทพนักหนาออกมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง เขาเลือกจะชวนฮานส์นั่งรถไฟฟ้าออกไปเดินย่านใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แต่อาจารย์รุ่นน้องคนนี้ก็เอาแต่ส่ายหัว ฮานส์ไม่สนใจความหรูหราแบบนั้นเท่าไรนัก เขาไม่อยากบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพืิ่อดูในสิ่งที่ประเทศตัวเองมี ซ้ำยังมีมากกว่า ดีกว่า และครบกว่าแบบนี้ ความเป็นไทยต่างหากที่ฮานส์สนใจจนต้องจ่ายค่าตัวเครื่องบินหลายยูโรมาที่กรุงเทพ ไม่ใช่สินค้าซูเปอร์แบรนด์พวกนั้น

"ผมอยากไปจตุจักร" ชายผมทองยืนยันแบบนั้น

"ที่นั่นร้อนมากนะฮานส์ แค่นี้ยังไม่ฟื้นตัวเลย ไปที่ร้อนแบบนั้นมีหวังได้เป็นลมแน่ ๆ" นภพยายามพูดช้า ๆ ให้รุ่นน้องที่ไม่คล่องภาษาไทยนักฟังทัน ซึ่งฮานส์ก็รับฟังด้วยดี ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพักแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความลังเล

"งั้นเราจะไปหลังจากที่ผมแข็งแรง...โอ๊ก...ดีแล้ว" พูดจบ ฮานส์ก็กระโจนลงจากเตียง วิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำทันที

ได้ยินเสียงอาเจียนไม่หยุด นภก็ได้แต่ถอนหายใจ อาการปรับตัวไม่ทันจากการเดินทางเมื่อมาเจออาการร้อนจัดทำให้ฮานส์มีอาการคล้ายกับคนเป็นลมแดด และดูเหมือนกับว่าจะไม่หายเอาง่าย ๆ ในชั่วโมงสองชั่วโมงแน่ นภได้แต่หวังว่ายาที่เขาแวะไปซื้อมาให้จะพอทำให้อาการล้มหมอนนอนเสื่อของฮานส์ดีขึ้นในเร็ววัน

คนป่วยโซซัดโซเซออกมาจากห้องน้ำได้ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง "วันนี้นภจะไปไหนก็ไปเถอะ ผมแล้วคงแรงไม่มี"

ผมคงไม่มีแรงแล้ว นภแก้ภาษาให้แต่ในใจ รู้ดีว่าพูดออกไป เพื่อนร่วมห้องก็คงไม่รับไม่รู้อะไรสักอย่างในเวลานี้

ชายหนุ่มเดินไปปิดม่านชั้นในที่เป็นผ้าทึบ เจตนาไม่ให้แสงแดดที่เป็นของแสลงสำหรับฮานส์ผ่านเข้ามาในห้องได้อีก เสร็จแล้วก็เดินมานั่งจับเจ่าที่เตียง เปิดโทรทัศน์ดูทีวีไปเรื่อยเปื่อยให้พอมีเสียงเป็นเพื่อน นภไม่รู้จะไปไหน เดิมที่เดียวเขาก็ไม่ได้วางแผนอยากจะเที่ยวอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว

นภหยิบมือถือขึ้นมา ไล่ดูรายชื่อของคนที่เพิ่งแอดไปเมื่อคืน เขากดภาพดิสเพลย์ให้ขยายขนาดขึ้นแล้วจ้องมอง ภาพนั้นเป็นภาพถ่ายย้อนแสง จึงเห็นเพียงสีดำของเงาที่เป็นเค้าโครงหน้า แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้รู้ว่าคนในภาพนั้นคือปืน มีรอยยิ้มบาง ๆ อยู่ในเงาสีดำนั้น มีดวงตาที่เหมือนจะตั้งคำถามกับสิ่งรอบ ๆ ตัวได้เสมอทุกเวลา มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่รวมเป็นองค์ประกอบที่มากมาย มากพอพอที่จะบอกว่าหลายปีผ่านไป ปืนยังดูคล้ายกับคนที่เขาพร้อมจะกลับไปตกหลุมรักได้อย่างง่ายดาย

นิ้วมือขวาของนภเลื่อนไปบนหน้าจอ ภาพดิสเพลย์นั้นถูกย่อให้กลับไปมีขนาดเล็กลงจนกลืนหายไปกับรายชื่ออื่น ๆ ในนั้น นภมองไปที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ถูกตั้งเป็นชื่อแทนเจ้าของภาพที่เพิ่งกดดู

"Falling in Love with The Sky... as Always"

แน่นอนว่าปรายฟ้าคือท้องฟ้า เมื่อวานก็เห็นแล้วว่าทั้งคู่ก็ดูสนิทสนมกันดี มีด้ายเส้นบาง ๆ ระหว่างทั้งคู่ที่มองไม่เห็น เส้นใยที่กันอาณาเขตให้เขาอยู่ด้านนอก แต่แค่ประโยคภาษาอังกฤษสั้น ๆ สิ่งที่ฝังอยู่ในหน้าอกข้างซ้ายของเขาก็กลับเต้นเร่าเหมือนไม่รักดี นภวางโทรศัพท์มือถือลง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปแง้มม่าน ทอดสายตามองท้องฟ้าของกรุงเทพในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี

แน่นอนว่านภย่อมจำได้ ชื่อของเขา... "นภ" ก็แปลว่าท้องฟ้าเช่นกัน







ภัทรพลวางหูโทรศัพท์แล้วมองคนตรงหน้าที่วุ่นวายอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ หลายนาทีผ่านไปก็ดูไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าของห้องจะละสายตาออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั่นเลยสักนิด กระแอมไปสองครั้ง จิบน้ำแล้วจงใจวางขวดดังกว่าปกติไปอีกสี่รอบ ยังไม่รวมกับล้วงแคะแกะเกานับไม่ถ้วน ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ทั้งที่ตัวเองก็เป็นหมอเหมือนกับตุลธร แม้ว่าจะยังเป็นแค่แพทย์ใช้ทุนก็ตามที แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีหมอคนไหนที่วุ่นวายกับงานตัวเองได้เท่ากับคนที่อยู่ตรงหน้าสักครั้ง คบกันมาหลายเดือน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีเวลาหวานแหววแบบคู่รักคนอื่น ๆ เขาเป็นกันสักที

"เมื่อกี้พี่นัทโทรมา อยู่ ๆ ก็บอกว่าคิดถึง แบบนี้จะทำยังไงดีนะ"

ดนัยหรือพี่นัทเป็นญาติห่าง ๆ ของเขา ถือเป็นลูกพี่ลูกน้องที่นาน ๆ จะได้เจอะเจอกันที ภัทรพลไม่ได้สนิทกับพี่นัทนัก ยังนึกแปลกใจไม่ได้ที่จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ อันที่จริงเขาเคยวางอุบายหลอกตุลธร ยกชื่อพี่นัทขึ้นมาอำว่าเป็นคนที่เขาแอบปลื้มนักหนา มันได้ผลที่ยอดเยี่ยมทีเดียวในตอนนั้น แต่พอหลังจากที่ตกลงเป็นแฟนกัน ชื่อของพี่นัทก็ไม่มีผลอะไรกับพี่ตุลเขาอีกเลย

"บอกว่าอยากเจอด้วย แบบนี้ก็ลำบากใจจัง"

ภัทรพลแสร้งถอนหายใจเบื่อ แต่ความเป็นจริงกลับจ้องหุ่นยนต์ตรงหน้าเขม็ง ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ตุลธรยังคงง่วนอยู่กับการตอบอีเมลต่อไป คุณหมอหนุ่มจึงแกล้งหยิบดินสอขึ้นมาวาดการ์ตูน ได้ตัวการ์ตูนโง่ ๆ มาหนึ่งตัว แต่ปฏิกิริยาของอีกฝ่านนี่สิ ยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน

"เย็นนี้เลยนะ พอนึกอยากจะเจอก็ต้องเจอให้ได้ เป็นแบบนี้ทุกทีเลย" ปลายดินสอเคาะกับพื้นโต๊ะเป็นจังหวะ ตัวการ์ตูนโง่ ๆ เสร็จเป็นตัวที่สอง...แล้วก็สาม

ก็ได้ ถ้าจะเป็นแบบนี้ก็ได้ อย่าหาว่าเขาไม่เตือนก็แล้วกัน

"เหมือนหน้าผากจะเถิกขึ้นหรือเปล่านะครับ"

เสียงแป้นพิมพ์ชะงักไปหนึ่งจังหวะ แต่เพียงครู่เดียวเสียงรัวก็ดังขึ้นอีกครั้ง "ภัทร...พี่บอกแล้วนะว่าต้องตอบเมลด่วน เสร็จแล้วพี่จะคุยด้วยนะครับ"

ต้องให้เล่นปมเด่นถึงจะยอมฟังสินะ ริมฝีปากของภัทรพลโค้งตัวขึ้นด้วยความหมั่นไส้

ความรักที่มีช่องว่างระหว่างวัยไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าจะอายุต่างกัน 18 ปี แต่ภัทรพลกลับไม่รู้สึกถึงระยะที่ห่างกันนั้นแม้แต่น้อย ออกจะภาคภูมิใจด้วยซ้ำ ก็แฟนทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด เซ็กซ์ก็ยอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบจนคนทั้งโรงพยาบาลอยากจะมานั่งในตำแหน่งเขาจนตัวสั่น ดังนั้นก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมที่เขาจะมานั่งเฝ้าแฟนตัวเองทุกวันที่มีเวลาว่าง คอยปัดพวกมดแมลงที่พยายามจะมาเกาะแกะให้พ้นทาง

"หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...หน้าผากมีตั้งห้าชั้น โบท็อกซ์จะเอาอยู่ไหมนะ"

"ภัทรพล"

"พี่ให้ผมร้อยไหมให้ไหมครับ"

เสียงผ่อนลมหายใจที่ได้ยินคือสัญญาณของชัยชนะ ในที่สุดตุลธรก็ยอมทิ้งงานสักที คนอะไรก็ไม่รู้ ตามจีบอยู่ตั้งนานกว่าจะได้มาเป็นแฟน แต่พอเป็นแล้วก็ไม่เห็นจะมีช่วงเวลาหวานซึ้งแบบที่เคยจินตนาการไว้สักนิด ไม่รู้หรือไงกันนะว่ารักแค่ไหน

"เลิกแซวว่าแก่สักที พี่แก่จนปลงแล้ว จะเอาอะไรว่ามาเถอะ ไม่ต้องเอานัทมาอ้างกับพี่หรอก"

"โธ่...จะหึงกันสักนิดก็ไม่มี"

รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่น่ามองตรงหน้าแทบจะหยุดลมหายใจของภัทรพล เขาชอบรอยยิ้มนี้ ชอบฟังเสียงทุ้ม ๆ ที่คอยเจ้ากี้เจ้าการสั่งสอนเขาแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พักหลัง ๆ แฟนสุดที่รักรู้ทันอุบายเขาไปหมดทุกอย่างแต่ก็ไม่เคยคิดจะดุกันสักครั้ง ยังตามใจทุกอย่างเหมือนเคย ดูจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป

"แล้วนัทโทรมาทำไมล่ะครับ"

"เรื่องของเรื่องคือพี่นัทมีเรื่องนิดหน่อยครับ เห็นว่าโดนป่วนจากใครสักคนในทีมงานนั่นแหละ เดิมทีเดียวจะต้องเชิญหมอไปออกรายการเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับตัวในช่วงหน้าร้อน แต่ก็ยกเลิกคิวอาจารย์หมอท่านนั้นไปเฉย ๆ ป่วนไปทั้งกอง นี่เลยโทรมาขอให้ผมไปแทน"

"ภัทรว่างหรือเปล่าล่ะครับ ถ้าว่างพี่ว่าก็น่าไปช่วยนะ"

"ว่าง แต่ไม่อยากไป"

ตุลธรยิ้มกว้างขึ้นเหมือนรู้ทันกัน แผ่นหลังกว้างเอนลงพิงพนักก่อนที่แววตาอ่อนโยนคู่นั้นจะทอดมองมาที่เขาอย่างเอ็นดู "คราวนี้จะเอาอะไรอีก หืม ?"

"เปล๊า...ไม่มี้" ภัทรพลตอบเสียงสูง

"แบบนี้ดีไหม ถ้าไม่ดื้อ กลับบ้านแล้วพี่จะให้ภัทรจูบหนึ่งที"

ภัทรพลส่ายหน้ายิก แต่แอบอมยิ้ม มันต้องแบบนี้สิ รู้ทันเขาไปทุกอย่าง

"ไม่เห็นจะคุ้มเหนื่อย"

"พี่จะไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย"

"สักชิ้น ?"

"ครับ ไม่มีสักชิ้นครับ"

ภัทรพลไหวศีรษะด้วยจังหวะที่ช้าลง อยากจะตอบตกลงใจจะขาดแต่ต้องกลั้นใจเพื่อแพ็คเกจที่คุ้มกว่า ตุลธรรู้ทุกอย่างผ่านกรามแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีฝาดชนิดรวดเร็วฉับไวของคนตรงหน้า ร่างสูงใหญ่โน้มตัวกลับมาด้านหน้าอีกครั้ง เท้าศอกกับพื้นโต๊ะแล้ววาดรอยยิ้ม

"แล้วพี่จะจัดเต็มให้ครับ"

"ไม่โกหกกันนะ"

"ครับ คืนนี้ภัทรหมดเนื้อหมดตัวแน่นอน"

ภัทรพลฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วไม่พูดไม่จาอะไรอีก ตุลธรใช้ปลายนิ้วชี้เคาะเบา ๆ ที่พื้นโต๊ะข้างหูคนที่ซุกหน้าอยู่ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง

"ตกลงว่ายังไงครับ"

"พี่ตุลขับรถไปส่งได้เปล่า"

"ได้สิครับ"

เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ข้อแลกเปลี่ยนถือเป็นอันตกลง ประทับตราลงนามด้วยสีแดงเรื่อบนใบหูของคนที่ฟุบหน้าอยู่ ภัทรพลขยับตัวยุกยิก ก่อนจะเอ่ยข้อต่อรองสุดท้ายด้วยเสียงที่แผ่วเพียงเสียงกระซิบ

"แล้ว...มัดจำก่อนได้เปล่าครับ"

"เงยหน้าขึ้นสิครับคนดี"

ภัทรพลค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เป็นจังหวะที่ของมัดจำถูกส่งมอบบนริมฝีปาก นุ่มนวล...ทว่าร้อนวาบกว่าพระอาทิตย์ดวงใด ๆ ในจักรวาลที่แสนกว้างใหญ่แห่งนี้







มีตัวละครรับเชิญมาจากเรื่อง Paper Moon ด้วยนะครับ โผล่มาให้พอหายคิดถึงกันนิดนึง 555
จบจากตอนนี้คิดว่าน่าจะพอจำตังละครได้ขึ้นอีกนิด เพราะเริ่มโยงเข้ากันแล้ว (หรือเปล่า 55)
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ คำแนะนำ เสนอแนะ ติชม และเวิ่นเว้อไปด้วยกันครับ
+1 ให้กับทุกคนเลยนะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ จะพยายามมาต่อให้ไวๆ ครับ

ออฟไลน์ Windyne

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1
    • Windyne Page on Facebook
อุ๊ย! น้องภัทรจะไปถ่ายรายการ!!!!

ตอนนี้คู่พี่สิงห์หายแฮะ เรารอลุ้นคู่นั้น ^^

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
หายไปนานเลยนะคะ อยากบอกว่าแอบลืมตัวละครไปบ้างเหมือนกัน หลายคู่มากเรื่องนี้เลยแอบบลืมบ้าง คงไม่ว่ากันนะคะ อิ อิ
มีตัวละครจากเรื่องpaper moon มาด้วย ชอบค่าา หวานกันจริงคู่นี้

ออฟไลน์ lovekimkina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โฮกกกก ชอบคู่ปืนนภ มากๆๆๆๆ ดูแบบคลุมเครือดี
อยากอ่านต่อแล้วววว มาต่อไวๆนะคะ  :hao6:
และก็รออ่านเรื่องแม็กกี้อยู่น้า โลภภ

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
อย่าบอกนะว่ามีคู่ชาฮิด-ภีมด้วย(มโนไกล5555)

อาร์ม-หนึ่ง ทำตัวชวนจิ้นว่าเป็นแฟนกันมากๆ
อาร์มจะเอายังไงเนี่ย ทำตัวเหมือนจีบหนึ่งเลย หรือความจริงก็แอบชอบหนึ่ง แต่กลัวความลับแตกเลยเอาผู้หญิงอื่นมาบังหนัา :hao3:

คู่ปืน-นภนี่ชักจะยังไงๆ. แต่ชอบบบบ55

คู่พี่ตุลย์-น้องภัทร หวานเว่อร์  :o8:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด