สวัสดีครับ มาถึงตอนจบแล้ว ขออนุญาตขู่ก่อนที่จะได้อ่านกันนะครับ
ตอนนี้มีขนาดที่ค่อนข้างยาวมากหน่อย อาจต้องใช้เวลาอ่านนานพอสมควร
ตัวหนังสือเยอะ แน่น และทดสอบความอึดของคนอ่านเต็มที่
จำเป็นต้องใช้สมาธิในการอ่านพอสมควร เพราะตัวละครแห่กันมาเหมือนจัดงานบุญบั้งไฟ
คนแต่งเองยังหน้ามืดลงไปนอนสลบคร่อกฟี้มาแล้ว ขอท้าทายคนอ่านทุกคนเลยครับ 555
ตอนที่ ๑๕ กลิ่นกับข้าวหอมฉุยออกมาจากในครัว ระหว่างที่แม่กำลังยืนทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่ คนเป็นลูกชายกลับยืนอยู่ที่ประตูด้วยหัวใจว้าวุ่น พิธานเดินกลับไปกลับมาเหมือนหนูติดจั่น ทั้งดวงตาและดวงใจมองผ่านกระจกบานเกล็ดที่ปิดอยู่ไปในสีทึมเทาด้านนอกรั้ว
ฝนซาลงนิดหน่อย แต่โลกของหนึ่งยังคงดูเป็นพื้นที่อันไร้ชีวิตแสงสี หนึ่งไม่ชอบอากาศร้อน เกลียดมาโดยตลอด ฝนซึ่งตกกระหน่ำอาจเป็นข่าวดีในวันที่ร้อนที่สุดสำหรับใครหลายคน แต่ไม่ใช่กับเขา หนึ่งอยากให้ทุกอย่างเป็นแบบเดิมที่ควรเป็น แดดร้อน อากาศอบอ้าวจนคนก่นด่าทั้งเมืองแบบนั้น มองเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรดี แต่อย่างน้อยอากาศร้อนจัดก็ทำให้อุ่นใจได้ว่าน่าจะไม่มีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะถนนลื่น
พิธานนั่งลงบนโซฟา หันหลังให้กับความเห็นของสายฝนที่ตกกระหน่ำ ดูรายการพิเศษในทีวีที่เกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีของประเทศไทย ภาพในจอโทรทัศน์ไม่ใช่แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าแต่เป็นภาพการจราจรที่ติดขัดมีปัญหาในความอึมครึมของสายฝน
"ขณะนี้ท้องถนนหลายจุดในกรุงเทพเริ่มมีปัญหาน้ำท่วมขัง เนื่องจากฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะหมดไปในไม่ช้า เพราะขณะนี้ทางกรุงเทพมหานครได้เปิดเครื่องสูบน้ำเต็มกำลังและฝนที่เริ่มตกน้อยลง คาดว่าระดับน้ำจะลดลงภายในไม่เกิดนสองชั่วโมง"
หนึ่งถอนหายใจแล้วเบนสายตากลับไปจ้องที่บานประตูไม้ ภาวนาอยู่ในใจให้มันเปิดออก แล้วมันก็เปิดออกจริง ๆ จากที่นั่งซึมเซาอยู่ เด็กหนุ่มแทบจะกระโจนออกไปหา หนึ่งวิ่งไปหน้าประตู มองคนตรงหน้าให้เต็มตาเหมือนจะพิสูจน์ว่านี่คือของจริง
มือที่ยังเปียกชื้นซึ่งกุมอยู่บนแขนยืนยันในคำตอบได้เป็นอย่างดี อาร์มส่งยิ้มแฉ่ง ยังคงสวมชุดที่เห็นเมื่อเช้าแต่อยู่ในสภาพเปียกมะลอกมะแลก "พอดีมันคิดถึง เลยเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว แต่ยังมาไม่ถึง ฝนดันตกเสียก่อน"
พอเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่มโนภาพให้ดีใจเล่น น้ำตาซึมก็มาโดยไม่รู้ตัว "ประสาทจริง"
คนฟังหน้าระรื่น ยื่นปากที่ชื้นไปด้วยน้ำฝนหอมลงบนแก้มของคนที่ยืนบ่นอย่างรวดเร็ว สูดกลิ่นผิวนุ่มนิ่มไปจนชุ่มปอด "คิดถึงนะคะ"
หนึ่งยกมือขึ้นปิดแก้มด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างความเขินและตื่นตะลึง ไม่คิดจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำซึ่งหน้าแบบนี้ "เดี๋ยวแม่เห็น"
อาร์มมองคนแยกเขี้ยว คำรามลอดไรฟันแล้วก็ชื่นใจ ไม่ให้หอมก็ไม่หอม อีกข้างติดเอาไว้หลังจากเปลี่ยนชุดข้างบนก็ได้ คนสวมชุดปั่นจักรยานเต็มยศเอาผมที่เปียกชื้นไถไปบนคอของอีกฝ่ายเล่นเหมือนลูกแมวช่างอ้อน "โธ่ ก็คนมันคิดถึงนี่นา อย่าดุสิ อาร์มอยากอยู่ใกล้ ๆ หนึ่งนี่คะ"
"ใครมาเหรอจ๊ะ" เสียงของแม่ที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้หนึ่งสะดุ้งแล้วหันกลับไปมอง แต่ไม่ได้มาแค่เสียง ตัวก็เดินมามองให้ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ด้วย "อาร์มเหรอลูก ได้ข่าวว่าไปขี่จักรยาน ไหนเปียกมาเป็นลูกหมาตกน้ำเลยจ๊ะ"
"ฝนตกครับคุณแม่ นี่กำลังทำโทษหนึ่งอยู่ มาทิ้งกันหน้าตาเฉย เอาให้เปียกไปด้วยกัน" ไม่พูดเปล่า อาร์มโผเข้ากอดหนึ่งเต็มตัว เอาหัวไถ ๆ ถู ๆ ชนิดไม่ได้เกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่สักนิด
หน้าด้านอะไรแบบนี้
หนึ่งหลับตาปี๋แล้วก่นด่าในใจ เด็กหนุ่มร้อนวูบ ๆ ไปทั้งหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้เป็นมารดาจะมองด้วยความรู้สึกแบบไหน ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ช่างเพิกเฉยกับเรื่องกาลเทศะได้อย่างเหลือเชื่อ แจ่มแจ้ง (ตรงการกระทำ) แดงแจ๋ (ตรงแก้ม) ยิ่งกว่าตอนสมัยที่โดนล้อว่าเป็นคู่เกย์กันเสียจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน
"พอกันเลย เปียกหมด ไป ๆ ไปอาบน้ำกันทั้งคู่เลยนะ หนึ่งเอาชุดให้อาร์มใส่ด้วยนะลูก แล้วลงมากินข้าวด้วยกัน อาร์มอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวแม่ทำให้"
"ขอกินหนึ่งได้ไหมครับ" หนึ่งสะดุ้งโหยง หันมามองคนที่พูดเต็มเสียงเหมือนตัวเองหูฝาด
"โอ๊ย...เขินจัง ไม่คิดว่าพูดแล้วจะเขินแบบนี้เลย" คนพูดหน้าแดงก่ำกับตัวเอง อาร์มยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ผมเปียก ๆ แล้วหัวเราะแหยให้กับแม่ของหนึ่ง ปิดท้ายด้วยการหันไปเขินใส่คนที่ตัวเองบอกว่าอยากกินอีกรอบ
"มุกอะไรของเราน่ะ พูดเองก็เขินหน้าแดงเอง" หญิงวัยกลางคนส่ายหัวระอา เธอแก่เกินกว่าจะสนใจมุกตลกของเด็กวัยรุ่นที่มีมาใหม่เป็นรายเดือนอีกแล้ว "รีบลงมากินไว ๆ ใกล้เสร็จแล้ว"
อ้าว...แม่ หนึ่งอ้าปากค้าง มองตามแผ่นหลังของหญิงร่างเล็กที่เดินกลับเข้าไปในครัวโดยไม่ทักไม่ท้วงอะไร ทำนองว่าเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นจนชินตามาหลายปีแล้ว บ่อยจนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร
"ปล่อย พูดอะไรแบบนั้น แม่จะรู้สึกยังไง" หนึ่งตะโกนเสียงดัง แต่ที่เล็ดลอดออกมากลับเป็นได้เพียงเสียงกระซิบ
"แล้วหนึ่งรู้สึกยังไงคะ"
"อะไรเล่า ?"
"คิดถึงอาร์มไหมคะ"
หนึ่งเบือนสายตาออกไปหยุดกับภาพสีเทาที่นอกหน้าต่าง มองจ้องทุกสิ่งอย่างขมักเขม้น คล้ายกับจะสืบค้นคำตอบบางอย่างที่ตกหล่นอยู่ท่ามกลางเม็ดฝนที่พรูลงจากฟ้า
ฝนยังตกอยู่จริง ๆ นั่นหรือ ทำไมถึงได้รู้สึกร้อนวูบวาบแปลก ๆ แบบนี้
"อากาศเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ เราอาจจะตีค่าวัดเป็นอุณหภูมิได้ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นที่ประกอบ ขณะที่พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า อาจจะวัดอุณหภูมิได้ประมาณ 42 องศาเซลเซียส แต่ท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆกำบัง หรือไม่มีลมพัดเลยนั้น อาจให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในอุณหภูมิที่สูงถึงเกือบ 50 องศาเซลเซียส แม้กระทั่งขณะนี้ที่ฝนตก ก็อาจจะรู้สึกหนาว หรืออาจจะรู้สึกอบอุ่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ด้านของแต่ละคน เพราะมนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิต มีความรู้สึก มีความรับรู้ และนั่นคือตัวแปรที่สำคัญที่สุด"การมาของฝนทำให้เรื่องราวทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในด้านที่เลวร้ายมากขึ้น อานนท์รู้สึกหนาวขึ้นเรื่อย ๆ อากาศในคอมเพล็กซ์เย็นฉ่ำเพราะสายฝน ผู้หญิงหลายคนเดินกอดอก หลายคนบ่นว่าหนาว ยิ่งกับแผนกพัดลมและเครื่องปรับอากาศที่มีเปิดพัดลมไอน้ำอยู่ตลอดเวลานั้นยิ่งหนาวเป็นพิเศษ
อานนนท์พ่นลมหายใจอุ่น ๆ ลงบนอุ้งมือตัวเอง ก่อนจะหยิบใบปลิวของแอร์ยี่ห้อต่าง ๆ มาจัดให้เป็นระเบียบ เขานึกถึงวันแรกที่เริ่มต้นงานในห้างแห่งนี้ ทุกอย่างโอ่อ่าอย่างที่อานนท์ไม่เคยเห็นมาก่อน แอร์เย็นสบาย มีดนตรีเพราะ ๆ เปิดคลออยู่ตลอด หรูหราเสียจนเด็กบ้านนอกคนหนึ่งได้แต่มองอย่างทึ่ง คิดตั้งคำถามว่าคนที่เป็นเจ้าของจะรวยขนาดไหน จะมีความสุขแค่ไหนที่มีทรัพย์สินมหึมาได้มากถึงขนาดนี้ ว่ากันว่าแค่กระจกบานเดียวที่กรุขึ้นเป็นโดมก็ราคาหลายหมื่นแล้ว อานนท์ฟังแล้วเข่าอ่อน บ้านของเขาที่ต่างจังหวัด ช่วงไหนที่ผุพังต้องซ่อม แล้วถ้าบังเอิญอยู่ในช่วงที่บ้านไม่มีสตางค์ อานนท์กับพ่อยังต้องเดินไปเก็บป้ายหาเสียงของพวกนักการเมืองที่ไม่ใช่แล้วมากรุก่อตอกตะปูยึดขึ้นเป็นผนังบ้านชั่วคราวอุดรอยรั่วให้พอใช้ไป พักหลังที่อานนท์เข้ามาทำงานในกรุงเทพก็มีเงินช่วยที่บ้านมากขึ้นจนที่บ้านพอมีเก็บออม เรื่องเหล่านี้จึงเพลาลงไป
แต่มันกำลังจะจบแล้ว
เข็มนาฬิกาบอกเวลาที่เหลือน้อยลงอีกชั่วโมง อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลงพร้อมกับฝนพวกนี้ สถานะเป็นคนกรุงเทพชั่วคราวก็จะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับฤดูร้อนที่เขาว่าร้อนจัดกว่าทุกปี อานนท์หยุด คิด บวกลบต่าง ๆ ด้วยนิ้วมือ อีกประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็จะต้องออกจากกะแล้ว และในตอนที่ความหวังค่อย ๆ ถูกฝนชะล้างจนแทบไม่เหลือใด ๆ ร่างสูงใหญ่ซึ่งมีผมหยักศกเรี่ยบ่านั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่คนที่เดินไปมา เขาคนนั้นดึงดูดสายตาของอานนท์ให้ขยับเข้าไปใกล้ ใกล้จนกระทั่งเจ้าตัวสังเกตเห็นและหยุดยืนนิ่ง เมื่อมั่นใจว่าเป็นใคร คราวนี้เท้าทั้งสองข้างของอานนท์ก็คล้ายจะกระโจนออกไปเอง
"พี่สิงห์" อานนท์ทัก รู้สึกใจเต้นตึก ๆ ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุที่ควร
คนตัวสูงดื่มกาแฟปั่นในมือแล้วส่งสายตาดุ ๆ กลับมาที่อานนท์แบบทุกครั้ง "เดินออกมาจากแผนกทำไม ขายแอร์ได้แล้วเลยอู้งานก็ได้ ?"
"เปล่าครับ พอดีเห็นพี่สิงห์" คนตัวเล็กกว่าเกือบครึ่งตอบ "อันที่จริงแล้ว ผมยังขายไม่ได้สักเครื่องเลยครับ"
คล้ายกับแววตาคู่นั้นจะร้อนขึ้นจนอานนท์ไม่กล้าจะสบตาด้วย เด็กหนุ่มหลุบหน้าหนีลงมองพื้นพร้อมความรู้สึกบางอย่างที่กดดันจนท่วมท้นใจ เป็นเวลาไม่กี่วินาทีที่ทุกสิ่งประดังประเดเข้ามา ใจหนึ่งก็เอ่อล้นไปด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็ได้เจอกันอีกครั้ง ได้พูดคุยบอกลากันก่อนอะไร ๆ จะจบไป อีกใจ อานนท์ถามตัวเองว่าพี่สิงห์จะผิดหวังในตัวเขาหรือเปล่า เมื่อหลายวันที่ผ่านมาความทุ่มเทของพี่สิงห์มีค่าเพียงความว่างเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ เขายังขายแอร์ไม่ได้ พยายามเท่าไรก็ยังเป็นคนที่ไม่เอาไหนเหมือนเดิม
"ก้มหน้าทำไม เงยหน้าขึ้น" เสียงเข้มของคนตรงหน้าดังขึ้น
"เปล่าครับ"
"เงยหน้าขึ้นมาอานนท์ !" คราวนี้เพชรกล้าตวาดเสียงแข็ง "เป็นอะไร นิด ๆ หน่อย ๆ ร้องไห้เลยเหรอ เหยาะแหยะแบบนี้จะทำอะไรกิน"
ร่างสูงยักษ์ดึงมืออานนท์ให้เดินเข้ามาในแผนก ท่าทีดุดันนั้นน่ากลัวจนเหล่าพนักงานขายคนอื่นเดินเลี่ยงไปหมด ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของพี่สิงห์จากแผนกช่าง ไม่มีใครอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับสิงห์ร้ายผู้โดดเดี่ยวที่ไม่เคยคิดไว้หน้าใครแบบนั้น
เพชรกล้าหยุดยืนที่กลางแผนกแล้วคลายมือออก "ไหนบอกสิว่าสองรุ่นนี้ต่างกันยังไง !"
สั่นอยู่สักพัก พอตั้งสติได้ อานนท์ก็เงยหน้าขึ้น มองจ้องเครื่องปรับอากาศทั้งสองรุ่นที่พี่สิงห์ตั้งคำถาม ทบทวนถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านการท่องจำมานับครั้งไม่ถ้วนจนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสมอง อานนท์จะทำให้ดีที่สุด จะให้พี่สิงห์ได้รู้ว่าอย่างน้อยสิ่งที่พร่้ำสอนนั้นก็ใช่ไม่มีความหมายกับเขา
"รุ่นนี้เป็นแอร์ติดผนังครับ เสียงเงียบ กินไฟน้อย แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานหนักที่ต้องเปิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ส่วนรุ่นนี้เป็นแบบตั้งพื้นหรือแขวน ให้พลังลมและความเย็นดีกว่า แต่ทรงจะดูไม่ทันสมัยเท่าไหร่และค่อนข้างกินไฟ ถ้าเป็นแอร์บ้าน แบบติดผนังจะเหมาะกว่า" แม้จะมีอาการเคอะเขินอยู่บ้าง แต่อานนท์ก็พูดอย่างไม่ติดขัด "จุดต่างอีกจุดระหว่างสองรุ่นนี้คือในส่วนของระบบการฟอกอากาศครับ รุ่นแรกจะใช้แค่ระบบการกรอง เป็นแผ่นกรองที่ต้องเอามาทำความสะอาดเรื่อย ๆ แต่อีกรุ่นใช้ระบบการปล่อยประจุไฟฟ้าลบ มันจะคอยดักจับประจุบวกของพวกฝุ่นละออง แล้วทำให้มั่นร่วงลงบนพื้นห้อง แบบไอออไนเซอร์นี้จะไม่ต้องทำความสะอาดมากครับ"
"ก็ตอบได้คล่องแคล่วนี่" เพชรกล้าพูดด้วยเสียงที่ยอมรับขึ้น "แล้วถ้าห้องขนาดประมาณยี่สิบตารางเมตรควรซื้อกี่บีทียู จะแนะนำยังไง"
"ห้องขนาดยี่สิบตารางเมตร ถ้าเป็นห้องปกติก็แนะนำที่ 12,000 บีทียูครับ แต่ถ้าเป็นห้องที่โดนแดดจัดแนะนำเป็นรุ่น 18,000 บีทียูจะดีกว่าครับ ไม่อย่างนั้นอาจสู้แดดไม่ไหว" อานนท์ตอบอย่างฉะฉาน
เพชรกล้าเงียบไปชั่วขณะ มองดูตัวเครื่องปรับอากาศตรงหน้าเหมือนสืบค้นข้อมูลบางอย่างขึ้นมาเพื่อทดสอบอีก
แล้ววินาทีนั้นก็มาถึง เมื่อผู้ชายร่างสูงยักษ์เอ่ยขึ้นเต็มเสียง
"เอาแบบนี้ยี่สิบเครื่อง"
ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ แต่เป็นคำพูดที่อานนท์ไม่คิดว่าจะได้ยิน
"ส่งให้ได้เมื่อไหร่"
อานนท์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความงง หัวสมองรับข้อมูลไม่ทัน หรือพี่สิงห์จะล้อเล่นอะไร
"อานนท์ ! อย่าให้ต้องพูดซ้ำ ! ถามว่าส่งได้เมื่อไหร่ !"
"ส่งอะไรครับ" อานนท์ถาม ยังคงสับสน
"แอร์สิ ! ขายน้ำส้มปั่นเรอะ !" เพชรกล้ากระแทกแก้วกาแฟปั่นในมือลงกับเชลฟ์แล้วจ้องหน้าเคร่งจนอานนท์กลืนน้ำลายเอื้อก
"พี่สิงห์...พี่สิงห์จะซื้อแอร์เหรอครับ ซื้อทำไมยี่สิบเครื่อง" เด็กหนุ่มลำล่ำละลักถาม หากแต่ท่าทีของพี่สิงห์นั้นบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเริ่มหงุดหงิดกับตนเพียงใด สมมติว่านี่เป็นเรื่องจริง สมมติว่าเป็นอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับพี่สิงห์เลย "คือถ้าพี่สิงห์ใช้สิทธิ์พนักงานจะได้ส่วนลดนะครับ อย่าซื้อหน้าร้านแบบนี้เลยครับ ประหยัดกว่าตั้งหลายพัน"
"อานนท์ !"
"ครับ"
"ไปคิดเงินกับแคชเชียร์ ! เดี๋ยวนี้ !" เพชรกล้าเสียงแข็ง
"แต่พี่สิงห์ครับ..."
เพชรกล้าคว้าแถบบาร์โค๊ดจากหน้าเชลฟ์ แล้วใช้มืออีกข้างที่แข็งเหมือนคีมเหล็กบีบที่ข้อมือของอานนท์ ลากแขนและก้าวอาด ๆ ไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ พอถึงก็วางแถบรหัสสินค้าลงแล้วดึงป้ายพนักงานที่เหน็บไว้ตรงกระเป๋าเสื้อของอานนท์ออกมาวาง
"ซื้อแอร์ ! ซื้อกับเซลคนนี้ ! ยี่สิบเครื่อง ! คิดเงิน !" เพชรกล้าวางบัตรเครดิตลงแล้วหันมาจ้องหน้าคนที่ยืนค้างอ้าปากหวอ "แค่นี้มันยากเย็นนักหรือไง !"
คนที่ถูกตะคอกยังคงยืนนิ่ง พอเพชรกล้าจ้องหน้ากลับทำนองว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เหมือนโลกใบน้อย ๆ ของอานนท์จะเริ่มหมุนเคว้ง เด็กหนุ่มเซเหมือนจะล้ม เป็นเหตุให้คนตัวสูงดึงเข้ามายึดไว้กับตัวก่อนจะทำให้ข้าวของล้มระเนระนาด เพชรกล้าหันไปพูดกับแคชเชียร์ว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมาจัดการสลิป ก่อนจะพาอานนท์กลับไปที่เชลฟ์แสดงเครื่องปรับอากาศรุ่นต่าง ๆ
"กรอกเอกสารใบรับประกันและที่อยู่จัดส่งเป็นที่หอพักที่นายอยู่ ใส่เบอร์โทรศัพท์หอลงไปด้วย"
"อะไร" อานนท์ครางเสียงแผ่ว ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
เพชรกล้าหลับตาแล้วถอนหายใจยอมแพ้ในความซื่อ คิดดูแล้วเด็กอย่างอานนท์คงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก วันทั้งวันชีวิตมีแต่หอพักกับที่ทำงาน ไม่ค่อยได้พูดคุยกับใคร อาศัยอยู่กับความเงียบเหงาในห้องแคบ ๆ เพียงคนเดียวลำพัง
"หอพักที่นายอยู่น่ะรู้ไหมว่าเขาจะปรับบางส่วนให้เป็นห้องติดแอร์"
อานนท์ส่ายหน้าไม่รู้ ซึ่งก็ไม่นับว่าเกินความคาดหมายของคนที่เอ่ยถามนัก
"แล้วรู้ไหมว่าเจ้าของหอพักที่อยู่นั่นน่ะชื่ออะไร"
"พลอยแก้วอพาร์ตเมนต์" เด็กหนุ่มร่างเล็กตอบ
"พลอยแก้วคนนั่นน่ะ เป็นของแม่ฉัน" เพชรกล้าแจกแจง "สารพัดอาหารที่นายซื้อมาให้นั่นน่ะ ฉันกินมาหมดแล้ว ร้านค้าละแวกนั้นมีอะไรก็รู้จักเกือบทั้งหมด อาจจะรู้กว่านายด้วยซ้ำ ข้ามถนนแล้วเดินเข้าซอยที่เยื้องจากซอยบ้านไปประมาณห้าสิบเมตรมีร้านอาหารตามสั่ง ร้านนั้นอร่อยใช้ได้ ถัดไปจากปากซอยประมาณห้าร้อยเมตรมีร้านข้าวมันไก่ ร้านนั้นต้มไก่ดี น้ำจิ้มอร่อย ข้าง ๆ เป็นร้านข้าวหมูแดง หมูแดงน่ะไม่ได้เรื่อง แต่หมูกรอบถือว่าเข้าขั้น พวกนี้น่ะนายรู้ไหม"
อานนท์ยืนค้าง ร่างกายเหมือนจะโงนเงน ทรงตัวไม่ไหว "โกหก"
เพชรกล้าถอนใจอีกครั้งแล้วพูดต่อ "มีหอพักที่ไหนให้คนอยู่ได้ไม่ถึงเดือนแล้วย้ายออก ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าซ่อมบ้านอยู่ แล้วมันหนวกหูก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว แอร์นี่แม่ก็ใช้ให้มาซื้อตั้งนานแล้ว พอช่างซ่อมบ้านฉันเสร็จ ก็จะมาเริ่มซ่อมหอต่อ จะติดแอร์ก็ช่วงนี้แหละ"
"เจ้าของไม่ใช่ลุงมาเหรอ"
"แม่ฉันไม่ได้มีแรงมานั่งเฝ้าได้ทุกวันหรอกนะ ลุงมาเขาเป็นลูกจ้าง"
"โกหก" แข้งขาอ่อนไปหมด อานนท์ได้แต่พึมพำซ้ำ ๆ อย่างนั้น "ไม่จริงหรอก โกหกแน่ ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไง"
"หน้าฉันเหมือนคนที่ชอบพูดโกหกนักหรือ"
"ไม่ได้โกหกนะ"
แววตาที่จริงจังกว่าทุกครั้งของคนตรงหน้าทำให้อานนท์ปล่อยโฮออกมาแบบไม่อาย เด็กหนุ่มโผเข้ากอดเพชรกล้า งอแงเป็นเด็ก ๆ ชนิดที่ไม่กลัวสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาว่าจะจับจ้องตนเองด้วยสายตาอย่างไร "พี่สิงห์...พี่สิงห์...ผมไม่ตกงานแล้ว ไม่ต้องกลับบ้านนอกแล้ว ไม่ต้องทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแล้ว ผมได้อยู่ที่นี่ ยังได้อยู่กรุงเทพ กินข้าวกับอ้อย ได้ทำงานกับคุณโกวิท ได้ทำงานกับพี่สิงห์ พี่สิงห์...ผมดีใจ พี่สิงห์...พี่สิงห์..."
มือที่แข็งกระด้างยกมือขึ้นลูบหัวที่สั่นไปมาสองสามครั้ง เพชรกล้าไม่ใช่คนอ่อนโยน มือหนักและหยาบกร้านแบบคนที่ทำงานชนิดที่บู้ออกแรงมาตลอดชีวิต สิ่งที่หัวหน้าช่างทำได้โดยไม่รู้สึกว่าตนเองขัดเขินคือการโอบร่างที่ไหวสะท้านไม่หยุดนั้นแล้วจ้องมอง
"มันไม่ได้สะอาดอะไรนัก จะเอาหน้าไปซบทำไม" เสียงแข็งกระด้างขัดขึ้น แต่อานนท์กลับคิดว่าผ้าแข็ง ๆ แบบนี้มันอ่อนโยนและอบอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มแพง ๆ เสียอีก ตัวแข็ง ๆ ของพี่สิงห์ก็นุ่มยิ่งกว่าหมอนไหน ๆ ที่เคยหนุนนอนร้องไห้มานับตั้งแต่เข้ามาอยู่กรุงเทพ
"พี่สิงห์...พี่สิงห์...พี่สิงห์..." เด็กหนุ่มพร่ำพูดซ้ำ ๆ เหมือนคนที่เพ้อกับความสุข "จะไม่ลืม จะไม่ลืมเลย ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย มันดีจนผมคิดว่านี่ต้องเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่เรื่องจริง พี่สิงห์...ขอบคุณมากครับ ขอบคุณจริง ๆ"
"จะพูดซ้ำ ๆ ทำไม หนวกหู ก็แค่ซื้อแอร์ติดหอของที่บ้าน" เพชรกล้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด หากแต่สองมือยังตระกองร่างที่สั่นโยกไว้กับอก
โกวิทที่ยืนมองดูทุกอย่างอยู่นานเดินเข้ามาหาพร้อมกับสลิปบัตรเครดิตที่ยื่นให้เพชรกล้า หัวหน้าแผนกขายเอียงคอมองลูกน้องของตัวเองที่ฟูมฟายอย่างกับเด็ก ๆ น้ำตานองเต็มสองแก้ม ตาหูแดงไปหมด
"ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นคนที่ยอดขายสูงสุดในแผนกเลยนะอานนท์"
"คุณโกวิท ขอบคุณมากครับ" อานนท์พนมมือไหว้
"ไปขอบคุณคนซื้อจะดีกว่า ถึงขนาดทำให้คนแบบเพชรกล้ายอมทำแบบนี้นี่ ผมมองคนไม่ผิดจริง ๆ" โกวิทยิ้ม "อย่าลืมดูแลลูกค้าของตัวเองให้ดีที่สุดนะ นี่เป็นหน้าที่ของพนักงานขาย"
เห็นอานนท์รับคำ โกวิทก็เดินกลับออกไปพร้อมกับความรู้สึกโล่ง คิดเหมือนกันว่าตอนที่เพชรกล้ากลับมาด้วยข้อเสนอโหดแบบนั้น พูดได้หน้าตารเฉยและเจ้าตัวก็ดูจะไม่กริ่งเกรงแม้แต่น้อย แววตายังคงมองไปข้างหน้าอย่างแข็งกร้าวแบบเดิม ติดจะเจือด้วยประกายประหลาดด้วยซ้ำ ทั้งหมดน่าจะแปลว่าเพชรกล้าได้เห็นอะไรบางอย่างในตัวของลูกน้องที่ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องของเขา โกวิทไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมากว่าสี่สิบปีบอกว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง เขามั่นใจในอานนท์แบบที่มั่นใจในลูกน้องทุกคนที่ตัวเองรับมา ทุก ๆ คนเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นพนักงานของธาดาพิพัฒน์คอมเพล็กซ์แห่งนี้ แน่นอนว่าโกวิทมั่นใจว่าใครก็ตามที่ได้ลงมาคลุกคลีสัมผัสก็ต้องคิดแบบนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนทีี่ใคร ๆ ต่างขนานนามว่า...พี่สิงห์
"จะกอดอีกนานไหม" เพชรกล้าเสียงแข็งขึ้น "เช็ดน้ำตาให้หมด ส่องกระจกดูสารรูปตัวเองเสียบ้างว่ามันดูได้ไหม"
อานนท์ยอมถอยตัวออกห่าง ยกสองมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างอดกลั้น ถึงตอนนี้ก็ยังแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง
"อีกชั่วโมงกว่า ๆ เลิกงานใช่ไหม"
ใบหน้าที่ยังเปรอะไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นแล้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถาม พี่สิงห์ก็ยังเป็นพี่สิงห์คนเดิมที่รู้จัก หน้านิ่ง ตาดุ และพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ ปราศจากความอ่อนโยน และไม่เคยมีความอบอุ่นใดเจือปนอยู่ในนั้น
"ฉันจะรอ"
อานนท์ยังคงยืนงง ไม่เข้าใจทุกอย่างเช่นเดิม "มีธุระอะไรหรือครับ หรือว่ามีอะไรอยากให้ผมช่วยทดแทนหรือเปล่า พี่สิงห์บอกมาได้เลยนะครับ ผมยินดีทำทุกอย่าง"
"อะไรพวกนั้นไม่มีหรอก" เพชรกล้าตอบเสียงดุแบบเคย "เห็นว่าไม่ชอบกินข้าวคนเดียวไม่ใช่หรือไง"
"พี่สิงห์..." แล้วอานนท์ก็โผเข้ากอดพี่สิงห์อีกครั้ง ปล่อยโฮออกมาเสียงดังกว่าครั้งไหน ๆ
แล้วผู้ชายที่ใคร ๆ ในที่ทำงานต่างก็พูดว่าเป็นคนแข็งกระด้างไม่เคยเอาใครก็ยกมือขึ้นลูบผมคนในอ้อมกอด...แค่เพียงสองสามครั้ง เพียงแค่นั้นและกลับไปนิ่ง ยืนมองร่างเล็กที่ไหวสั่นในวงแขนตัวเองแบบเคย
"เหตุการณ์ฝนตกในวันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้เรารับรู้ว่า อากาศนั้นเป็นเรื่องที่เกินกว่าจะคาดเดาได้ สุดท้ายแล้ววันนี้ที่เคยว่ากันว่าจะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีนั้นกลับเป็นแค่เพียงเรื่องโกหก อากาศที่เลวร้ายที่สุดในปีนี้คือเมื่อวาน และมันก็ผ่านไปโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว เช้าวันนี้เป็นวันที่มีอุณหภูมิต่ำสุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา อากาศเย็นสบาย สดชื่น แม้ว่าฝนอาจสร้างปัญหาตะกุกตะกักไปสำหรับหลายคนในตอนแรก แต่เมื่อปรับตัวได้ พายุฤดูร้อนนั้นกลับทำให้เรายิ้มได้ด้วยสายฝนเย็นฉ่ำ และอากาศที่แช่มชื่น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะมวลอากาศร้อนที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน พอถึงเวลาที่เหมาะ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่อนคลายลง"หลังกระจกบานเก่าในโรงแรมเล็ก ๆ ละแวกนานา เสียงโทรทัศน์ยังคงเจื้อยแจ้ว คนง่วงแต่นอนไม่หลับมองท้องฟ้าสีหม่นที่แผ่กว้างอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างในสายฝนช่างดูน่าเศร้า หม่นมัว ในชั่วโมงแรกที่ความจริงทุกอย่างเปิดเผย ความทรงจำเก่าคร่ำคร่าก็ซ่อมแซมตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จากฝุ่นที่เกาะอยู่ตามชิ้นส่วนต่าง ๆ จากซอกหลืบเล็ก ๆ จากคราบบาง ๆ ที่เคลือบอยู่ในทุกชิ้นส่วนอวัยวะ
ใช่เพียงแค่สมองที่ยังจดจำเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตาของเขาก็ยังจำรอยยิ้มนั้นได้ หูก็ยังคุ้นเสียงทุ้มแหบของเสียงพูด เสียงหัวเราะ จมูกยังจำกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ ที่เจืออยู่ในอากาศ บ่าก็ยังจำน้ำหนักของวงแขนที่วางทับได้ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นที่ภายใน ขณะที่ภายนอกของนภยังคงเป็นเหมือนผู้ชายวัยกลางคนปกติธรรมดาที่ดูเรียบเฉย
ความจริงที่เป็นเหมือนกุญแจได้ไขโซ่ตรวนซึ่งจองจำทุกอย่างในอดีตไว้ให้คลายออก จิตวิญญาณของนภเป็นเหมือนท้องฟ้าสีคราม เสรี อิสระ ไร้ขนบ ปราศจากกรอบกำแพงกั้น เขาหลุดจากการจองจำทุกอย่างในอดีต ตามทฤษฎีมันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริง ทุกอย่างตรงกันข้ามไปหมด
นภเพิ่งรู้ว่าพันธนาการพวกนั้นไม่เคยมีผลแต่แรก ทุกอย่างคือความสมัครใจที่เลือกจะขังตัวเองอยู่ในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนนั้น และทุกสิ่งก็จะดำเนินต่อไปแบบนี้ ปี สองปี ห้าปีสุดแล้วแต่ อยู่กับเรื่องเก่า ๆ ความทรงจำที่เริ่มต้นบทที่หนึ่งด้วยความตื่นเต้น เข้าสู่บทต่อ ๆ ไปด้วยความสุขสนุกสนาน มาถึงจุดหักมุมที่เต็มไปด้วยความโศกศัลย์ และหยุดอยู่แค่นั้นโดยไม่มีใครกล้าพลิกไปสู่ตอนจบที่เป็นบทสรุป
"Housekeeping, please" เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง
นภหันกลับมาที่ประตู ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า แล้วเดินโงนเงนไปหาต้นเสียง บิดลูกบิดแล้วเปิดมันออก แต่คนที่ยืนอยู่หลังกรอบไม้สี่เหลี่ยมนั้นกลับไม่ใช่แผนกแม่บ้านอย่างที่นภเข้าใจ
"ไง" ปืนเอ่ยทัก
ไม่มีเสียงเอ่ยทักตอบ มีแต่ความชาไปทั่วร่างจนขยับตามการสั่งการไม่ไหว นภมองร่างกายที่เปียกปอนไปด้วยฝนเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นนัก และคนที่มาเยือนก็เอ่ยต่อ
"อย่างน้อยระหว่างที่ยังอยู่ที่กรุงเทพ ก็น่าจะพาเที่ยวแหละนะ"
ความงุนงงทำให้ปฏิกิริยาของนภเชื่องช้า เขาตะกุกตะกัก ยังคงไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ทันกับอีกฝ่ายซึ่งวิสาสะก้าวเข้ามาในห้องแล้วตรงไปที่ห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาที่เปียกไปด้วยน้ำฝน
"แต่วันนี้ฝนตก" นภพูดไปตามสภาพ เป็นข้อมูลงี่เง่าที่ไม่ว่าใครก็รู้ดี
เจ้าของผิวสีแทนหัวเราะขึ้นขณะที่ใช้อุ้งมือยีศีรษะ ปืนก้มหน้าลงกับอ่างเล็ก ๆ วักน้ำชะโลมหน้าจนหัวไหล่งองุ้ม
นภผละสายตาจากมิติภาพตรงหน้า ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับปลายเท้าตัวเองที่ขยับย่างบนพรมสีตุ่น และยังคงส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อกับสิ่งทืี่ได้เห็น ชายหนุ่มเดินเหมือนคนละเมออกมาจากบานประตู หยุดยืนนิ่งสักครู่และตั้งหลัก ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เตียงแล้วใช้ความคิด
จากครั้งที่แล้ว นภคิดว่าตัวเองค่อนข้างชัดเจนในส่วนของความรู้สึก และเพราะชัดเจนจึงไม่คิดว่าจะตนเองวนกลับมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ลูกน้ำพูดเหมือนว่าเมื่อก่อนนั้นปืนเป็นอย่างไร ปัจจุบันเจ้าตัวก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่เที่ยวแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น
และถ้ามันเป็นความจริง...
หัวใจค่อย ๆ เต้นแรงขึ้นจนกลับมาอุ่นอีกครั้ง จากมือและเท้าที่เย็นจัด ชีวิตชีวาเริ่มกลับมาใหม่ กระทั่งฝนสีหม่นมัวที่นอกหน้าต่างก็ซาลงจนเห็นสีเขียวชะอุ่มของต้นไม้เล็ก ๆ ชูกิ่งก้านสดชื่น เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง หรือแท้จริงแล้วจะอาจจะเพียงไม่วินาที กระนั้นก็นานเหลือเกินในความคิดของนภก่อนที่ร่างสูงของอีกคนจะปรากฏขึ้นตรงหน้าในสภาพที่มีเพียงผ้าขนหนูปิดท่อนล่าง
"ไม่เป็นไรใช่ไหม ?" ปืนยกสองมือกางออกแล้วไล่ลงจากระดับอกให้ดูสภาพของตนเองในตอนนี้
(มีต่อนะครับ)