ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)  (อ่าน 62836 ครั้ง)

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เห็นคุณ lucea เขียนในเฟสว่าเคลียร์ไปหนึ่งคู่
อ่านตอนแรกนึกว่าคู่ ธีมกับชาฮิด ฮ่าๆๆๆ มีความลับของสองเราเบาๆ
แต่กลับเป็นคู่อาร์มหนึ่ง อยากจะกรี๊ดให้บ้านแตก
น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆ อู๊ยยย หวานเว่อร์ๆ
คู่ตรีกับนัท นี่สีชมพูจริงๆค่ะ คนพิเศษคนนี้
ลุ้นคู่นภ กับ อานนท์นี่แหละค่ะว่าจะเป็นไง
อยากให้นภสมหวังจริงๆ แต่แอบหมั่นไส้ปรมะ ทรมาณเลยค่ะเชอะมาทำนภเสียใจ
ส่วนอานนท์ โดนไล่ออกไปให้พี่สิงห์เลี้ยงแทนล่ะกันน่ะ
ปล.คิดถึงทิมคะน้าจริงๆค่ะ 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2014 22:37:48 โดย bew_yunjae »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
หักมุมไปเลย 5555555
รออีกหลายๆคู่ต่อ  :z2:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
นัทมันร้ายยย
นึกไม่ออกเลยว่าตอนที่จีบคะน้านายพยายามเข้าหาต่ายด้วยวิธีไหน แต่กับตรีนี่แบบ เข้าขากันสุดๆ อีเมียที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นนางพญา กับอีผัวที่พร้อมจะจ๋าจ้ะ ตะล่อมได้เต็มที่
ตอนนี้อ่านไปยิ้มไปจริงๆ
โดยเฉพาะตอนที่อาร์มบอกว่าขอฟังเสียงหัวใจอะ เหมือนลูกหมาเวลาดีใจที่เจ้านายกลับบ้านเลย
โคตร น่า รัก
กรีดร้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
ชาฮิดกับน้องธีม...  อุ๊ยต๊าย...น่าดูเอ็น  เอ๊ย.. น่าเอ็นดูม่อก ๆ     :m1:


อาร์มกะหนึ่ง...  มันน่าร็อกอ้า!  ไอ้เราก็อยากจะเบิร์ดกระโหลกตาอาร์มเสียตั้งนาน เห็นทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เล่นกับความรู้สึกนุ้งหนึ่ง
ที่ไหนได้ตาอาร์มแอบรักมาตั้งแต่แรกพบ  แถมแกล้งจีบหญิงเพื่อกันซีน
ฉากอาร์มโผเข้าซุกอกขอฟังเสียงหัวใจหนึ่ง  คนอ่านตีตั๋วไปเฮลซิงกิเลย     :heaven

 
            "แต่คุณเป็นคนพิเศษไม่ใช่หรือ ทุกที่ที่คุณไปมันกลายเป็นที่พิเศษหมดแหละ"

 :give2:     คุณนัทขา   เอาใจดั๊นไปเลย


ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
สรุปอาร์มหวงหนึ่งเหรอเนี่ย ปล่อยให้เครียดมาตั้งนาน

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๑๒




ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาแห่งความสดใส ท่ามกลางความทรงจำที่ผุผังและกร่อนไปตามกาลเวลา แต่ภาพและเหตุการณ์ในตอนนั้นยังเป็นสิ่งที่ปรมะจดจำอยู่ในใจอย่างแปลกประหลาด แม้จะเลือนรางไปบ้างเพราะผ่านมาเนิ่นนานเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

วันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าว เป็นตอนสายซึ่งคณะดูโล่งว่างกว่าที่ผ่านมาเพราะหลายชั้นปีเริ่มทยอยสอบเสร็จไปหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่คลาสที่ยังค้างเติ่งอยู่เป็นประชากรส่วนน้อยของคนทั้งมหาวิทยาลัย ขอบฟ้าเหนือกิ่งไม้เรียงแนวเป็นกำแพงสูงฉาบสีฟ้าเข้ม แสงแดดอบอุ่นนุ่มนวลเหมือนไม่ใช่แดดของต้นเดือนเมษายน ลำแสงเล็ก ๆ เรี่ยลอดผ่านช่องโหว่ของใบไม้ลงมาสิ่งยิ้มทักทายกองหนังสือที่วางอยู่ตรงม้าหิน มีนกกระจอกตัวน้อยกระโดดโลดเต้นอยู่บนอิฐตัวหนอนสีแสด มีแก้วน้ำผลไม้เย็น ๆ ที่เริ่มละลายจนพื้นโต๊ะเปียกเป็นวง เหล่านี้เป็นสัญญาณบอกว่าฤดูร้อนมาถึงแล้ว

"น้ำ ๆ ยังไม่กลับเหรอ" ปรมะในชุดนักศึกษาทักขึ้นขณะที่เดินผ่านม้าหิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ต้องชะงัก "เดี๋ยว...เป็นอะไรน่ะ ทำไมทำหน้าแปลก ๆ"

ปรายฟ้าส่งมวนบุหรี่เข้าปาก อัดควันสีเทาเข้าปอดแล้วนั่งเงียบ ๆ

ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สาม หลังจากสอบเสร็จ เขาก็เดินผ่านอาคารเพื่อไปรวมกลุ่มที่โรงอาหารแบบทุกที ด้วยความที่ยังเป็นไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ โลกของวัยรุ่นไม่ได้มีอะไรหนักหนานัก เต็มไปด้วยความสนุกสนาน แม้จะมีเรื่องทุกข์ร้อนใจก็ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมาก เพราะเหตุนี้ ใบหน้าของปรายฟ้าในตอนนั้นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ปรมะรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก

ปรมะเคยสูบบุหรี่ที่นี่ และก็เคยเห็นผู้ชายคนอื่น ๆ สูบตอนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งแบบนี้จนชินตา แต่ไม่เคยเห็นผู้หญิงสักคนสูบบุหรี่ในที่เปิดเผยแบบนี้ สนิทสนมกัน เคยไปไหนมาไหนด้วยกันก็มาก แต่ไม่เคยเห็นปรายฟ้าเป็นแบบนี้มาก่อน

เมฆสีเทาลอยขึ้นตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ จางแล้วเลือนหายไป แล้วลูกน้ำพูดขึ้นในตอนนั้น

"เรามาเล่นเกมแลกความลับกันไหม"

ลูกน้ำเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยแปลกกว่าคนอื่น ๆ แม้จะพอชินแล้ว แต่ความรู้สึกในตอนนั้นบอกปืนว่าเกมอะไรที่ว่านี่มันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีแน่ "อะไรอีกล่ะ"

"ไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนว่าเธอลวนลามฉันเดี๋ยวนี้"

"อะไรเนี่ย"

"ก็แค่เล่นสนุก ๆ เอง บอกมาเถอะน่า" เธอกระเซ้าอารมณ์ดี

ก็แค่เล่นตามเกมให้จบเรื่องไปใช่ไหม ปรมะวางหนังสือลง พยายามนึกถึงความลับของตัวเองที่ไม่มีใครรู้

"จริง ๆ แล้วเป็นคนปรุงก๋วยเตี๋ยวไม่เป็น ทำยังไงก็ไม่อร่อย ได้มายังไงก็กินไปแบบนั้นเลย หลัง ๆ เลยไม่ค่อยสั่งก๋วยเตี๋ยวกิน"

ปรายฟ้าหันมาเขม่นตาใส่ "ทุเรศ เอาเรื่องที่มันจริงจังกว่านี้หน่อยสิยะ"

คิดอยู่สักพัก ปรมะก็พูดขึ้นมาใหม่ "ตอนเด็ก ๆ เคยฝันว่าอยากเปิดเพ็ตช็อป ที่จริงแล้วตอนนี้ก็ยังคิดอยู่"

"โอ้โห สุดยอดไปเลยนี่" คราวนี้ดวงตาคู่นั้นลุกวาวด้วยความตื่นเต้น ทำเอาเขารู้สึกเขินขึ้นมานิด ๆ

"อย่างนั้นเหรอ มีไม่กี่คนหรอกที่พูดแบบนั้น"

ปรมะพับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น สูดลมหายใจอย่างเชื่องช้า กลิ่นความฝันลอยคว้างไปทั่วบริเวณ "ที่เข้าคณะนี้เป็นเพราะที่บ้านอยากให้เป็นครู แต่จริง ๆ แล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำเลย พอบอกกี่คนก็โดนด่าว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า เปิดร้านแบบนั้นจะไปเอาตัวรอดได้ยังไง คิดว่าบ้านเป็นเศรษฐีเหรอถึงมีเงินซื้อที่ให้เปิดร้านแล้วรอเจ๊ง ตลกไหมล่ะ นั่นคือสิ่งที่พ่อกับแม่พูดกับความฝันของผม"

ดวงตาที่ปกติคล้ายจะฉาบไปด้วยแสงอุ่น ๆ ของดวงอาทิตย์ดูวูบลงจนเหลือเพียงประกายเล็ก ๆ กระนั้นกลับเป็นประกายที่เจิดจ้ากว่าที่ผ่านมา "คนแรกที่พูดว่ามันเป็นความคิดที่สุดยอดก็คือนภ ถ้าเธอได้เห็นสีหน้าตอนนั้น เธอจะรู้ว่ารู้สึกยังไง กับเรื่องที่ีใครต่อใคร แม้แต่พ่อแม่ตัวเองก็บอกว่างี่เง่า แต่นภกลับบอกว่านั่นดูเป็นสิ่งที่เหมาะดี และผมก็น่าจะทำมันได้ดีแน่ ๆ พอได้ยินแบบนั้น พอรู้ว่ามีคนคอยเชียร์อยู่ มันก็ทำให้กลับมาฮึกเหิมอีกครั้งนะ"  คล้ายกับนกบอบช้ำได้เจอที่พักพิงซึ่งเหมาะกับมัน ปืนตอนที่พูดประโยคนั้นดูกระตือรือร้นกับความสุขที่โอบรอบตัวอยู่เหลือเกิน

รอยยิ้มเล็ก ๆ ของผู้ฟังคลี่ขึ้นบนริมฝีปาก "ก็ทำสิ นายทำได้อยู่แล้ว"

ปรมะพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป สีหน้าก็ปรับเปลี่ยนไปด้วย ไม่มีความละมุนละไม ไม่มีความดีใจ โศกเศร้า เป็นใบหน้าเรียบ ๆ ที่อ่านความรู้สึกไม่ออก "ไม่รู้เหมือนกัน ก็ค่อย ๆ ดูไปน่ะ ความฝันมันก็เป็นความฝัน มีแค่ไม่กี่อันจากเป็นร้อยเป็นพันที่สามารถทำได้จริง จะถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรือเปล่าก็ไม่รู้"

"ก็จริง" ปรายฟ้าอัดมวนบุหรี่อีกครั้ง ก่อนจะวกกลับเข้ามาสู่เกมของเธอต่อ "เอาละ บอกความลับมาสักทีสิ"

"ก็เพิ่งพูดไปหยก ๆ นี่ไง"

หญิงสาวมองคิ้วเข้มของคนตรงหน้าที่ขมวดเป็นปมอย่างไม่ทุกข์ร้อน "อันนั้นไม่นับ ต้องเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้เท่านั้น"

เขาแย้งทันที "ไม่มีหรอก คนเราทำไมต้องมีความลับกันมากมายด้วย"

"มีสิ นายมีความลับที่ไม่เคยบอกใครแน่ ๆ" หญิงสาวตั้งสมมติฐาน

"มันจะไปมีได้ยังไง" แต่เห็นได้ชัดว่าปืนไม่เห็นด้วย

"มีสิ อาทิเช่น จริง ๆ แล้วนายชอบนภ"

"หา ?"

ปรมะรู้สึกเย็บวาบไปทั่วทั้งตัว แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าว เขารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างข้อกล่าวหา แต่หลักฐานที่จะเอามาคัดค้านนั้นคงอยู่สักแห่งตรงช่องแคบที่หายสาบสูญในแผนที่ กลางทะเลที่มีคลื่นลมแรงและระยะทางอีกหลายพันกิโลเมตรกว่าจะไปถึง ชายหนุ่มคิดสะระตะจะหาข้อโต้แย้งให้เจอสักข้อ จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก

ดูคล้ายว่าปรายฟ้าจะสนุกสนานกับเกมการไล่ต้อนครั้งนี้อยู่ไม่น้อย เธอรุกต่อ ดันเขาเข้าไปติดมุม ไม่มีทางให้วิ่งหนี "ตอนที่พูดถึงนภเมื่อกี้ หน้าตามันออกอาการชัดเจนมาก ไม่สิ ไม่ใช่ชอบ นั่นมันรักต่างหาก"

"พูดบ้าอะไรเนี่ย !" ปรมะคิดว่าน้ำเสียงตัวเองคงจะไม่ตะกุกตะกักให้โดนเอามาเป็นประเด็นไล่ต้อนอีก

"เก็บอาการหน่อย เรื่องนี้แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอ ถ้ายังลุกลี้ลุกลนแบบนี้ คงได้รู้ทั้งคณะแน่"

ในหัวสมองของปรมะ เหตุผลสารพัดกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายผู้ที่คว้าชัยชนะกลับกลายเป็นความเงียบ

"แล้วถึงจะโกหกคนได้แนบเนียนมากแค่ไหน ความจริงเป็นยังไง นายย่อมรู้อยู่แก่ใจ ความรู้สึกน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่วิ่งหนีแล้วจะหลบพ้นหรอกนะ" เปลวไฟเล็ก ๆ ในมือสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมกับควันสีเทาจาง ๆ "วางใจเถอะ น้ำไม่บอกใครหรอก ทุกวันนี้ก็พอใจกับที่เป็นอยู่แล้ว ไม่คิดจะแย่งอะไร ปืนจะรักใครก็ไม่คิดจะสนใจด้วย"

ป่วยการจะดื้อแพ่ง ในเมื่อเธอยืนยันแบบนั้น เขาก็ไม่คิดจะแก้ตัวอีก "ขอบใจนะ"

"เราคิดว่าจะเลิกสูบบุหรี่แล้วละ" ลูกน้ำพูด

"ยังคาอยู่ในมือเนี่ยนะ"

"มวนสุดท้าย" เธอตอบง่าย ๆ

เป็นช่วงเวลาหลายนาทีที่ความเงียบกำลังพรรณนาถึงเรื่องราวมากมาย ทั้งความรักหวานซึ้ง ฉากตื่นเต้นเร้าใจ และบทสรุปที่แสนเศร้า มันเป็นนิยายที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความรัก การผจญภัยที่แสนสนุกและช่างแปลกประหลาด ที่แปลกประหลาดก็เพราะมันถ่ายทอดในความเงียบ ในดวงตาคู่นั้น ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีภาษา แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวของความทรงจำที่ชื่นมื่นก่อนจะละลายสลายไป เวลาผันผ่านไปทีละนาทีอย่างเชื่องช้า กระทั่งทุกอย่างจบลงด้วยมวนบุหรีที่ถูกขยี้บนพื้น พร้อมกับเสียงที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ

"น้ำท้องแหละปืน"

"น้ำ..." เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหู "บ้าน่า ! ไม่ตลกนะ"

"สองเดือนแล้ว นี่เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้" มือที่ทิ้งบุหรี่ไปนั้นวางลงเบา ๆ เหนือหน้าท้องของตัวเอง "ปีน...น้ำจะลาออกนะ"

ปรมะกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ

"ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้น บอกแล้วไง ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราวิ่งหนีแล้วจะหลบพ้น น้ำไม่ชอบโกหกใคร แต่ก็ไม่คิดจะบอกใครเรื่องนี้ ก็เลยจะลาออก ตั้งใจทำความฝันของนายนะ เผื่อให้กับคนที่อยากทำแต่ทำมันไม่ได้ด้วย" ท่าทางและน้ำเสียงนั้นยังคงปกติ ดูเหมือนว่าปีกที่บอบช้ำของปรายฟ้านั้นจะได้รับการเยียวยาแล้ว...ด้วยตัวของเธอเอง

"ถึงต้องแลกกับอนาคตตัวเอง แต่น้ำก็ไม่เคยเสียใจนะ คนเราก็มีชีวิตอยู่เพื่อส่งต่อความฝันให้กับครอบครัวไม่ใช่หรือ มันก็เรื่องธรรมดา น้ำไม่คิดจะเอาเด็กออกหรอกนะ และก็จะเลี้ยงเขาเป็นอย่างดีด้วย"

เสียงนั้นยังกึกก้องสะท้อนอยู่ในหู ปรมะจับจ้องไปในความเวิ้งว้างของแสงแดดฤดูร้อน เขาไม่ชอบมัน ไม่ใช่เพราะว่ามันร้อน แต่เพราะว่าเดือนเมษายนทำให้หวนคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่อยากจะลบออกไปจากสมอง ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วแต่เขาก็ยังคงคิดถึงเรื่องเดิม ๆ ยังคิดถึงเรื่องราวคราวนั้น ทั้งที่คิดมาตลอดว่าเติบโตขึ้นและโยนความอ่อนไหวแบบเด็กวัยรุ่นทิ้งลงในถังขยะไปหมดแล้ว แต่ตอนที่กลับไปยืนที่เดิม ตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของนภ มันทำให้เขารู้ทันทีว่าไม่ใช่เลย

ทั้งที่คิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งกว่านี้ ทั้งที่บอกตัวเองจะไม่กลับไปรู้สึกแบบเดิม ๆ อีกแล้ว แต่มันก็ยังกลับไปเป็นแบบนั้น เขานึกถึงช่วงเวลาที่นั่งมองผืนฟ้าสีน้ำทะเล ดูดบุหรี่ ทำตัวงี่เง่า พูดคุยเรื่องราวไร้สาระที่เหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น นึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กับคนคนนั้น และถ้าเลือกได้...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะย้อนทุกอย่างคืนกลับไป ขังตัวเองอยู่ในช่วงเป็นนักศึกษา มีความฝันที่คุยกันได้ไม่รู้จักเบื่อกับนภ

แต่ดูเขาในตอนนี้สิ สภาพของตัวเองในตอนนี้ ทั้งปรายฟ้า ทั้งธีม นี่ควรเป็นสิ่งที่เขาควรนึกถึงก่อนไม่ใช่หรือ ก็เห็นไม่ใช่หรือไงว่าอะไร ๆ มันก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว ทำไมคนคนนั้นถึงเดินมาแล้วพูดว่าจะไม่ยอมเปลี่ยนและจะไม่มีวันลืมได้อย่ากล้าหาญแบบนั้น

"จะกินอีกสักกี่ถ้วยกัน" เสียงของปรายฟ้าที่ดังขึ้นดึงให้ชายหนุ่มก้าวออกมาจากความทรงจำในอดีต สบตากับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า

หญิงสาววางกาแฟถ้วยใหม่บนโต๊ะ แล้วเก็บถ้วยเดิมที่หมดแล้วกลับขึ้นไปบนถาด "นั่งเหม่อแบบนี้จะได้อะไรขึ้นมา"

ท่าทางที่เหมือนคนซังกะตายไม่ทุกข์ร้อนของชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งจิบกาแฟถ้วยแล้วถ้วยเล่าทำให้เธอรู้สึกโมโห นิสัยบางประเภทที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เมื่อไรจะเลิกได้เสียที ปรายฟ้าถอนใจยาวอีกครั้ง พูดในสิ่งที่เธอไม่อค่อยอยากจะเอ่ยถึงมันเท่าไร

"ยังรักเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ เขาเองก็ดูจะรู้สึกกับปืนนะ"

ปืนวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ กลิ่นความทรงจำลอยคลุ้ง

"ตลกดี ทั้งที่ปืนดูเป็นคนที่ทำอะไรได้ตั้งมากมาย อายุก็ไม่ใช่น้อย ชีวิตวัยเรา แต่ละคนก็ผ่านอะไรมาเยอะ จะมาตกม้าตายกับเรื่องแค่นี้เหรอ" หญิงสาวส่ายหน้าไปมา "ก็รู้นี่นาว่าการพบกันอีกครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ทำไมไม่พูดจากันดี ๆ ล่ะ จะปล่อยให้มันเป็นแค่ความทรงจำอย่างนั้นเหรอ"

ก็เป็นแบบนี้ พอถูกจี้ก็เงียบ ทำไมไม่พูดออกมาตรง ๆ ไม่คาดคั้นก็จะไม่พูดหรือไง

"ชีวิตเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจำกัด ให้โอกาสกับตัวเองที่จะมีความสุขบ้างก็ดีนะปืน"

ปรมะนั่งมองควันสีขาวบนถ้วยกาแฟตรงหน้า รสชาติความทรงจำทั้งหอมหวานและเจ็บปวด ถ้าเลือกได้เขาก็อยากมีความสุข สองสามวันที่ผ่านมา ยิ่งได้เห็นนภยิ้มและหัวเราะแบบนั้น หัวใจของเขากลับรู้สึกถึงชีวิตชีวาอย่างประหลาด มีหลายช่วงที่เขาอยากจะพูดสิ่งที่เก็บอยู่ในใจออกไป แต่สิ่งที่อยากจะทำกับสิ่งที่ต้องทำมันรุกไล่กันในความคิดจนปั่นป่วนกระทั่งถึงเวลาที่เอ่ยคำลากัน วันแล้ววันเล่าที่เป็นแบบนี้ สิบกว่าปีที่ผ่านมา ปืนไม่คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตได้โง่งั่งแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งได้พบกับนภอีกครั้ง

เพราะเป็นแบบถึงไม่อยากเจอกันอีก เพราะเป็นแบบนี้ถึงกลัวที่จะต้องได้พบกันอีกครั้ง เพราะว่าจะทำให้คิดถึง เพราะจะทำให้ลืมไม่ได้ ไม่เจอก็ไม่ต้องคิด ไม่ต้องทรมาน ใช้ชีวิตไปแบบคนที่ยอมรับความเป็นจริงว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครให้ไปเจอ ไม่มีใครให้กลับไปหา ไม่มีใครที่รอ ไม่ต้องห่วงใคร ไม่ต้องมีใครให้เป็นห่วง ผ่านไปแต่ละวันแบบคนหาเช้ากินค่ำตายวันตายพรุ่งก็ช่างไปเรื่อย ๆ แต่พอได้เจออีกครั้ง มันทำให้เขาอยากจะรักตัวเอง อยากทำตัวเองให้ดีกว่านี้ เลิกสูบบุหรี่ เลิกใช้ชีวิตไร้แก่นสาร มันทำให้เขาอยากจะครอบครองความสุขที่ขาดหายและคิดเตลิดใหญ่โต

ต้องการเป็นเจ้าของท้องฟ้าที่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง และเอามาเป็นของเขาเพียงผู้เดียว







เด็กชายตัวน้อยในชุดพนักงานเสิร์ฟของร้านเดินนำดนัยและพงษ์พิพัฒน์เข้าไปที่โต๊ะใหญ่สุดซึ่งถูกจองไว้ ที่นั่งเต็มทั้งหมด เว้นว่างไว้เพียงสองตัวที่อยู่ติดกัน พิธีกรหนุ่มรูปหล่อนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ ปากพร่ำไม่หยุดว่าน่าจะหาร้านที่มีห้องพิเศษ อย่างน้อยก็ให้สมศักดิ์ศรีของตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้บ้าง ก็รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ใคร่ถูกจริตเท่าไรกับความธรรมดา

ชาฮิดยืนตื่นเต้น นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้พบกับพิธีกรรูปหล่อคนนี้ ตัวสูง ผิวขาวสะอาด ผมเส้นเล็กเหยียดตรง และมีดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนภาพวาด แต่ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยจดจำผู้ชายตัสอสูงอีกคนที่มาด้วยกันได้ ครั้งที่แล้ว พวกเขามากด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาก็มาด้วยกันอีก

"พี่ครับ พี่เป็นดาราหรือเปล่าครับ วันก่อนผมเห็นในทีวีด้วย กับพี่รูปหล่อคนนี้" เด็กน้อยกลั้นใจถามด้วยความอยากรู้ หันไปมองพิธีกรรูปล่อที่ส่งยิ้มมาให้ หล่อกว่าในทีวีอีก ! ชาฮิดพยายามสะกดอาการประหม่า เด็กน้อยพูดด้วยอาการปลื้มใจเป็นที่สุด

"พี่ตลกดีนะครับ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์หุบยิ้มแทบไม่ทัน

"แม่ผมขำไม่หยุดเลย ทั้งร้านขำจนน้ำตาไหลไปหมดเลยครับ ทำงานไม่ได้เลย ต้องดูพี่ตรีก่อน"

"หยุด !" สุดจะทนได้อีกต่อไป ถ้าจะพูดกันแบบนี้ทำไมไม่ตบหน้าตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ที่ชาโตว์เดอแวร์ซายส์ไปเลยล่ะ "โอ้...ไม่นะ ไม่จริง อย่าพูด หยุด ! ไม่ !"

เสียงตะโกนที่ดังและสองมือที่กางออกทำให้ทุกสายตายในร้านหยุดอยู่ที่ตรี พงษ์พิพัฒน์

ชายหนุ่มค่อย ๆ ยืดหลังตรง กลับมาเป็นท่าปกติเหมือนที่ผ่านมาเมื่อครู่เป็นเพียงภาพนิมิตรจากนักบุญแห่งสรวงสวรรค์ ฝ่ามือได้รูปเปิดเมนูอาหารอย่างมีมารยาท ท่วงท่าสง่างามเหมือนคุณชายในละครที่ชาฮิดเคยดูเหมือนกับลอกกันมา

"เอ๊ะ เด็กคนนี้มองหน้าพี่ทำไมครับ" ตรีหันไปถามเด็กน้อยอีกคนที่เอาแต่จ้องหน้าเขม็งตั้งแต่มานั่งที่โต๊ะแล้ว

ทำไมนะทำไม ตรีถึงมีเสน่ห์กับเด็กนัก ไปไหนก็มีแต่คอยมาตามปลื้ม แต่พอถามอะไรก็ไม่ตอบ ชายหนุ่มถอนใจเหนื่อยหน่าย หยิบปากกาขึ้นมาแล้วเซ็นลายเซ็น พอกำลังจะยื่นให้ เด็กหน้ามุ่ยคนนั้นก็ตะโกนดังลั่นร้าน

"ไม่เห็นจะหล่อเลย ขี้เหร่ หน้าตาน่าเกลียด อย่างกับลิง ชาฮิดไม่ต้องไปสนใจหรอก อยากดูลิงแบบนี้ เดี๋ยววันหลังธีมให้แม่พาไปเอง น่ารักกว่านี้ตั้งเยอะ มีหลายตัวด้วย หมีควาย ฮิปโป สิงโต แรด มีหมดเลย ไม่ต้องไปสนใจหรอก"

ตรี พงษ์พิพัฒน์อ้าปากแบบที่กว้างที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยทำมา

"ไม่ยกให้ลุงหรอก"

พูดจบก็คว้ามือเด็กอีกคนออกไป ทิ้งให้ตรีนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่หันมามองแล้วยิ้มขบขัน

ลุง ! คำนี้มันหยาบคายชัด ๆ แค่อายุมากกว่าสิบปีสิบห้าปีกล้าดีอย่างไรมาเรียกกันว่าลุง ! เด็กผี ! ผีเจาะปากมาพูด ! ตัวกระเปี๊ยก ทำผมทรงหัวหอมเกลี่อนกลาดแบบเด็กบ้าน ๆ ตามท้องถนน กล้ามาก นับว่ากล้ามากที่พูดแบบนี้ !

ไม่อยู่แล้ว ปาร์ตี้บ้าบออะไร หยาบคายที่สุด !

"คุณจะไปไหน" ดนัยคว้าข้อมือหมับ ถามคำถามเหมือนไม่ได้ยินสารพัดถ้อยคำจากเด็กเปรตมาก่อน

"ผมจะไม่มีวันมาเหยียบร้านแบบนี้อีก"

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ทำหน้าสงสัย "ทำไมล่ะ เด็ก ๆ เขาก็พูดไปตามที่คิด น่ารักดีออก"

"หน้าเหมือนลิงเนี่ยนะ ฮิปโป หมีควาย แรดอะไรก็ไม่รู้" ที่สำคัญมันเรียกว่าลุง !

"เขาคงอิจฉาคุณมั้ง"

ห๊ะ ?

ตรีผงะ ความจริงมันเป็นอย่างนี้นั่นเองหรือ เพราะความเป็นเด็กก็เลยอิจฉาผู้ใหญ่ที่หน้าตาดีกว่า แต่ตัวดูกว่า ดูเท่ ดูหรูหรา ฉีดน้ำหอมราคาแพง ไม่มีกลิ่นกะโปโลมาทำให้ฉุนจมูกอย่างนั้นหรือ ? ความจริงมันเป็นอย่างนั้นเองหรือ ?!?

ตรี พงษ์พิพัฒน์นั่งลงช้า ๆ บอกตัวเองว่าควรจะต้องเข้าใจเด็กน้อยมากกว่านี้ แต่เล็กมาตรีก็เป็นแบบนี้ เดินไปไหนก็มีแต่คนอิฉา แต่ไม่คิดเลยว่าจนถึงทุกวันนี้ ทำอะไรก็ยังโดนอิจฉาอีก ช่างเถอะ ตรีจะไม่ตอบโต้ เพราะว่าตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้คือสิ่งเดียวที่ผู้ชายทั้งโลกต่างอิจฉา ไม่เว้นเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา ทุกคนต่างริษยาในรสนิยมที่สมบูรณ์แบบนี้ทั้งนั้น

"เปลี่ยนใจแล้วเหรอ"

ตรีส่ายหน้า ถอนหายใจเสียงเครียด "คุณต้องเข้าใจนะว่าเป็นเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนเป็นผู้ใหญ่เขาไม่เอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใส่ใจกันหรอกนะ"

ชายหนุ่มหยิบน้ำขึ้นมาจิบแล้วตักอาหารชิ้นเล็ก ๆ ตรงหน้าทานด้วยสีหน้ามีความสุข "จริงสิ เคยมีคนบอกคุณไหมว่าคุณเป็นคนที่มีสายตาแหลมคมมากนะ"

"ไม่มี น่าจะเป็นครั้งแรก" ดนัยตอบเสียงเรียบ

อีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจ "นั่นเป็นเพราะผมมักเป็นผู้นำน่ะครับ รู้อะไรไหม ผมมักก้าวไปก่อนคนอื่นเสมอแหละ"

คราวนี้ชายนุ่มถึงกลับหันมามองทึ่ง

"มีอะไรหรือคุณ" ตรีถาม

"ผมค่อนข้างประทับใจมากครับ คิดไม่ถึง อึ้ง เรียกว่าตะลึงเลยแหละ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์หัวเราะคิก ยื่นแก้วออกไปชนกับคนที่พูด(ประชด)หน้าตาเฉย "ดื่มเถอะครับ รสชาติค่อนข้างโอเคนะ"

พี่จ๊อดและทีมงานคนอื่น ๆ ถึงกับมองกันเลิ่กลัก จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มาลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร กราฟความน่าจะเป็นแกว่งแล้วหักมุมครั้งแล้วครั้งเล่าจนเดาทางไม่ถูก เหมือนจะถึงบทบู๊เลือดสาดชวนปวดหัว แต่นาทีต่อมาก็หักมุมเป็นแฮปปี้เอนดิ้งเสียอย่างนั้น

"สองคนนี้เขาญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่" พี่จ๊อดสะกิดถามครีเอทีฟด้วยความอึ้ง

หญิงสาวสะบัดหัวไปมา "ไม่รู้ค่ะ แต่ดาน่าก็ดูไปด้วยกันได้ดีนะคะ"







(ยังมีต่อครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)


อานนท์มองบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองอย่างมีความสุขในร้านอาหารที่แวะซื้อไอศกรีมโคนทานก่อนกลับหอ นึกอยากจะมีช่วงเวลาเหล่านี้บ้างในช่วงที่ใกล้เทศกาลเข้ามาอย่างนี้ อากาศร้อนขึ้นทุกวัน ในใจของอานนท์ก็ไม่ต่างกับอุณหภูมิเหล่านั้นเลย เหลือเพียงอีกวันเดียว แค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าไม่สามารถขายแอร์ให้ได้สักเครื่อง อานนท์ก็จะกลายเป็นคนตกงานทันที

อาหารในถุงหอมฉุยจนท้องร้อง ทั้งที่โดนห้ามในคราวก่อน แต่อานนท์ก็อดไม่ได้ที่จะซื้อติดมาเผื่อพี่สิงห์ ไม่รู้หรอกว่าเจ้าของห้องจะชอบหรือเปล่า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะโดนเอ็ดตะโรไหม แต่เวลาที่เห็นของที่ตัวเองชอบ อานนท์ก็อยากให้พี่สิงห์ได้ลองกิน พิี่สิงห์เพิ่งย้ายมาใหม่ ไม่คุ้นกับร้านอาหารละแวกนี้ อย่างน้อยถ้าได้กินอาหารถูกปากหลาย ๆ มื้อก่อนที่จะย้ายออกไปก็คงจะดี

เคาะประตูไปสองสามครั้งแต่ห้องของพี่สิงห์เงียบจนน่าแปลกใจ วันนี้เป็นวันหยุดของพี่สิงห์ บางทีพี่สิงห์อาจจะออกไปข้างนอกก็ได้ อานนท์เลยกลับไปที่ห้อง วางบะหมี่หมูแดงที่เพิ่มปูเป็นพิเศษสองห่อลงบนโต๊ะ แล้วนอนเล่นบนฟูกไปเงียบ ๆ ตามลำพัง

เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งในตอนโพล้เพล้ เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นพระอาทิตย์ไล้แสงสีทองบนกำแพง อานนท์มองบะหมี่สองห่อที่อยู่บนโต๊ะจนเย็นชืด ถามตัวเองว่าจะเอายังไงดี

อานนท์เดินออกมาจากห้อง ตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้ง เมื่อความเงียบส่งเสียงตอบกลับมา อานนท์ก็เริ่มใจคอไม่ดี ปกติแล้วพี่สิงห์ไม่ค่อยไปไหน หรือแม้แต่ถ้าหลับอยู่ พี่สิงห์ก็เป็นคนที่ตื่นตัวไวกว่าคนขี้เซาแบบเขาเยอะ อานนท์จึงรีบลงไปถามเจ้าของหอพักด้วยความร้อนใจ คำตอบที่ได้ยินนั้นให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ชายหนุ่มร่างเล็กเดินกลับมาชั้นบนอย่างมึนงง เท้าแขนมองมองเด็กสองสามคนวิ่งเล่นไปกับลิ้นห้อยและร้อนแฮ่กจากระเบียง ผ่านมาหลายนาทีแล้วแต่อานนท์ยังคงสะดุ้งอยู่ในความเงียบ รู้สึกเหมือนหัวของตัวเองกำลังหมุนไม่หยุด อานนท์คิดว่าตัวเองกำลังป่วยด้วยอาการว่างโหวง มีความเจ็บปวดอย่างแปลก ๆ เป็นโพรงแหว่งเว้าในอก เด็กหนุ่มเดินกลับเข้าไปในห้องที่คุ้นตา ขังตัวเองอยู่ในนั้น โดยไม่มีใครถามไถ่ ไม่มีคนเอ็ดตะโร ไม่มีคนคอยดุแบบเดิม ๆ บะหมี่ที่เพิ่มเนื้อปูเป็นพิเศษไม่ได้อร่อยแบบที่คาดไว้ อาจเป็นเพราะประสาทรับรู้ยังไม่ฟื้นตัว ยังตั้งหลักไม่ทันที่จู่ ๆ พี่สิงห์ก็ย้ายออกไปจากหอโดยไม่ได้บอกกล่าว ไม่มีกระทั่งเวลาที่จะบอกลากันสักคำ

ทำไมนะ ทำไมพี่สิงห์ถึงชอบทำอะไรแบบนั้น ใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องห่วงใคร ใช้ชีวิตเป็นเหมือนเครื่องจักรในเมืองใหญ่ ไม่มีหัวใจ ทำทุกอย่างเหมือนคนที่ไม่มีความรู้สึก ที่บ้านของอานนท์ที่ต่างจังหวัด ทุกคนเต็มไปด้วยความห่วงใย ใส่ใจกัน มีความเอื้ออารีเป็นน้ำหอมที่พรมผิวกายให้กรุ่นฟุ้ง ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางใด ๆ แบบคนกรุงเทพ ไม่ต้องใช้เครื่องแต่งกายโก้หรู น้ำใจของพี่น้องที่แบ่งปันกันสวยงามยิ่งกว่าเสื้อผ้าชุดไหน ๆ ที่อานนท์เคยเห็น

อยู่ที่นี่ พี่สิงห์ไม่เหงาบ้างเหรอ อยู่ที่นี่ พี่สิงห์ลืมน้ำหอม ลืมเสื้อผ้าอาภรณ์แบบต่างจังหวัดบ้านเราเขาใช้กันแล้วเหรอ ชีวิตถึงมีแต่ความเร่งรีบ รีบร้อน ชีวิตมีแต่การต่อสู้ดิ้นรน พี่สิงห์ถึงไม่มีเวลาแม้แต่นาทีสองนาทีเพื่อบอกลากัน

ทุกอย่างเงียบกริบ ไม่มีเสียงใด ๆ เคลื่อนไหวอีกแล้ว ไม่มีเสียงสะอื้น ทุกอย่างเงียบเหมือนตายไปแล้ว จะมีก็เพียงแค่เด็กหนุ่มตัวเล็ก ๆ ที่หอบความฝันมาจากต่างจังหวัด เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ในห้องแคบเล็กลำพังคนเดียว ไม่มีใครรู้จัก อยากรู้จัก ไม่มีใครให้ทัก ให้กินข้าวเย็นด้วยกัน พระอาทิตย์สาดเข้ามาทางหน้าต่าง แดดเหล่านั้่นไม่ทำให้กายผ่าวร้อนเท่าน้ำตาอุ่น ๆ หยดเล็กที่ไหลออกมาจากสองตา







ถัดไปจากหอพักที่อยู่กลางซอยไปประมาณร้อยเมตร ชาฮิด ธีม และมีรากำลังยืนสบตากับดวงอาทิตย์ ตอนเย็นเป็นช่วงเวลาที่รอคอยที่สุดของเด็กทั้งสามคน เพราะมันเหมาะสำหรับการเล่นที่สุด ไม่มีแดดร้อน ๆ ทำให้แสบผิว งานที่ร้านก็ไม่ยุ่ง เวลานี้จึงถือเป็นชั่วโมงแห่งความสนุกสนานกับการวิ่งแข่งที่โลกจะต้องจดจำ ชาฮิดนั่งยอง ๆ แล้วจับลิ้นห้อยไว้ ขณะที่ธีมก็อยู่ในท่าเดียวกัน สองมือเล็ก ๆ รวบพุงของร้อนแฮ่กเอาไว้ให้มั่น รอจังหวะให้สัญญาณจากมีราแล้วจึงปล่อยมือ

มันคือการวิ่งแข่งที่ีจะไม่มีใครยอมใคร เป็นการต่อสู้ของลูกผู้ชายระหว่างชาฮิด ธีม ลิ้นห้อย และร้อนแฮ่ก โดยผู้ชนะจะได้ของรางวัลที่เป็นเงินกองกลางลงขัน ถ้าเป็นชาฮิดหรือธีม ของรางวัลจะเป็นหมูปิ้งหอมอร่อย แต่ถ้าเป็นลิ้นห้อยหรือร้อนแฮ่ก รางวัลก็จะเปลี่ยนเป็นตับไก่ปิ้งจากร้านเดียวกัน นี่คือกติกาที่ถูกตั้งขึ้นและห้ามโกงเป็นอันขาด

"เข้าที่...ระวัง..." มีราสูดลมหายใจจนปอดแน่นคับแล้วเปล่งเสียงดัง "ไป !"

ทันทีที่ปล่อยมือลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กก็โกยแน่บ ธีมรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามมา โดยมีชาฮิดวิ่งเหยาะ ๆ รั้งท้ายของทั้งสาม ยิ่งวิ่งกวด สุนัขที่อ้วนอย่างกับหมูสองตัวก็ยิ่งคึก โกยแน่บนำโด่งไปไม่หยุด ธีมที่ท่าไม่ดีก้ร้องร้องโยเยประท้วง "ลิ้นห้อย ร้อนแฮ่กหยุดนะ ! อย่าคิดมาแซงฉันนะ อย่านะ บอกว่าให้หยุดไง หมูเอ๊ย !"

"พี่ธีมสู้ ๆ พี่ธีมสู้ ๆ" มีรากระโดดโลดเต้น ทำท่าเหมือนเชียร์ลีดเดอร์แบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์ จะผิดก็ที่ว่ามีราตัวน้อยเต้นมั่วซั่วออกไปทางหางเครื่องมากกว่าจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์อย่างที่ตัวเองตั้งใจ

ใกล้เส้นชัยเข้าไปทุกที ลิ้นห้อยเป็นผู้นำของกลุ่ม ตามมาด้วยธีมผู้แข็งขัน และร้อนแฮ่กที่พร้อมจะชิงที่หนึ่งได้ทุกเมื่อ รั้งท้ายยังคงเป็นชาฮิดที่วิ่งไปยิ้มไปเน้นท่าเข้าสู้มากกว่าจะเป็นความเร็ว

ทว่าที่ปลายเส้นชัย จู่ ๆ ก็มีเท้าคู่เล็ก ๆ ก้าวออกมา เด็กชายตัวหลั่นกันชี้นิ้วใส่หน้าธีมแล้วหัวเราะ "มาอีกแล้วเหรอ ไอ้เปี๊ยก"

หน้าของธีมมุ่ยขึ้นทันตาเห็น ชาฮิดมองเด็กแปลกหน้าคนนั้นอย่างสงสัย คุ้นหน้าอยู่บ้าง รู้ว่าอยู่บ้านหลังที่ถัดไปด้านใน แต่ชาฮิดไม่เคยทักและไม่รู้จักชื่อ แล้วเด็กคนนี้รู้จักกับธีมได้ยังไง หรือว่าจะเป็นคนที่มีเรื่องกันในวันก่อน

"โธ่เอ๊ย...พวกเด็กไม่มีพ่อ" เด็กอ้วนตะโกนใส่พร้อมหัวเราะดังลั่น

ธีมหยุดวิ่งแล้ว ดูจะพยายามระงับความโกรธเต็มที่ "พูดบ้าอะไร !"

แต่เด็กคนนั้นยังไม่เลิกพูด "พวกลูกไม่มีพ่อ !"

ชาฮิดเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด พอใกล้ถึงก็เปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปดูว่ามีเรื่องอะไร ขณะที่มีราที่วิ่งตามมาดูห่าง ๆ ตั้งท่าจะร้องไห้เสียแล้ว

"กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน !" ธีมตะโกนกลับ กำหมัดทั้งสองแน่น

"ไม่มีพ่อ ไม่มีพ่อ ไม่มีพ่อ พ่อไม่รัก" เด็กผู้ชายคนนั้นแลบลิ้นใส่ธีมแล้วหัวเราะชอบใจ แต่ทันใดนั้นก็ล้มคะมำลงไปนอนกลิ้งกับพื้นด้วยแรงหมัดของคนที่วิ่งเหยาะแหยะเป็นที่สุด เด็กแปลกหน้าชกกลับโดนแก้มของชาฮิดไปเต็มรัก มีราร้องไห้แล้วในตอนที่พี่ชายผู้แสนใจดีลงไปคร่อมแล้วซัดหน้าเด็กคนนั้นไม่หยุด หมัดแรก หมัดที่สอง หมัดที่สาม และอีกหลาย ๆ หมัด ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะตะลุมบอนจนเด็กอ้วนร้องไห้โฮ ชาฮิดง้างกำปั้นขึ้นในตอนที่มีราตะโกนเรียกออกมา

"พี่...พอเถอะนะ เขาเจ็บแล้ว พอเถอะนะ"

ลมหายใจยังคงร้อนเป็นไฟ และอารมณ์โกรธก็ยังคงปะทุ ชาฮิดกระชากคอเสื้อของเด็กแปลกหน้าที่เข้ามาหาเรื่องแล้วทำท่าจะต่อยซ้ำอีกรอบ แต่ทุกอย่างก็หยุดอยู่แค่นั้นด้วยมือเล็ก ๆ ของธีมที่มาเกาะไว้

"ชาฮิด..." ธีมส่งเสียงเรียก

พี่คนโตจึงยอมหยุดทุกอย่างเพียงแค่นั้น มองดูเด็กอีกคนที่นอนร้องไห้โฮด้วยลมหายใจซึ่งกรุ่นด้วยความโกรธเกรี้ยว "อย่ามาพูดแบบนี้กับธีมอีก ไม่อย่างนั้นโดนหนักกว่านี้"

มือเล็ก ๆ ของธีมและมีราช่วยกันดึงแขนกับดึงชายเสื้อของชาฮิดขึ้น ผิวที่เป็นสีแทนเปล่งสีแดงก่ำอย่างที่ธีมไม่เคยเห็นมาก่อน ลมหายใจของชาฮิดยังคงฟึดฟัดดูไม่ยอมรามือง่าย ๆ ถ้าไม่ถูกห้ามไว้ก่อน คงจะเป็นการชกต่อยที่ไม่มีวันจบสิ้น เมื่อถูกปล่อยมือ เด็กตัวอ้วนก็วิ่งร้องไห้โฮไปที่บ้าน ชาฮิดยืนมองอยู่สักพัก ก่อนจะหันกลับมาที่ธีม มือที่กำหมัดอัดหน้าเมื่อครู่ค่อย ๆ คลายออกแล้วลูบลงหัวเจ้าตัวเล็กอย่างทะนุถนอม

"ไม่เป็นไรนะธีม"

ธีมส่ายหัวยิก ๆ ทั้งท่าจะร้องไห้ออกมา

ชาฮิดนั่งยอง ๆ ลงบนส้นเท้า เอื้อมมือขึ้นลูบแก้มใสของมีราที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา

"พี่ขอโทษ"

มีราโผเข้ากอดพี่ชายด้วยความเป็นห่วง ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะกลั้น ชาฮิดยกมือข้างหนึ่งกอดน้องไว้อย่างแสนรัก ก่อนจะหันไปยิ้มให้ธีม กางแขนอีกข้างออก แล้งพูดด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ธีมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง

"มานี่มา"

"ชาฮิดดดด..."

อ้อมแขนนั้นโอบเด็กชายตัวเล็กกว่าอย่างอ่อนโยน "ดีมากที่รักษาสัญญากับพี่"

ธีมซบหน้าลงกับบ่าของคนที่ส่งยิ้มให้ ทิ้งน้ำหนักมาทั้งตัวแบบที่เคยชินกับตอนที่นั่งตักจนชาฮิดล้มคะมำไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น ส่วนธีมตัวแสบก็แหกปากแบบไม่อายใคร "ชาฮิดดดดด...เจ็บไหม เจ็บไหม เขาทายาให้นะ โฮฮฮฮ..."

"พี่ชาฮิด...พี่ชาฮิดดดด..." มีราตัวสั่นไม่หยุด

ชาฮิดหัวเราะ ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กสองคนที่แข่งกันร้องไห้อยู่เสื้อยืดลายเบ็นเท็นตัวเก่ง "โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ๆ"






รถของดนัยจอดเทียบเมอร์เซเดสคันหรูของตรี พงษ์พิพัฒน์ แม้เมืองหลวงแห่งนี้จะไม่เคยหลับใหลแต่สตูดิโอที่ค่อนข้างจะอยู่ห่างจากใจกลางเมืองแบบนี้ถือว่าเป็นอีกเรื่อง ตรีก้าวขาลงมาจากรถ ทุกอย่างเหมือนถูกกล่อมด้วยดวงดาวที่ขยับตัวออกจากม่านสีดำมาอวดโฉมเต็มฟ้า ประชันกับแสงไฟที่นับไม่ถ้วนของกรุงเทพในยามค่ำคืน

ความเงียบกลายเป็นความกระสับกระส่ายอันแสนปั่นป่วน แม้จะยืนอยู่บนพื้นคอนกรีตที่มั่นคงแน่นหนาแต่กลับให้รู้สึกเหมือนอยู่กลางทะเลที่มีคลื่นลูกใหญ่ซัดอย่างคลุ้มคลั่ง สายลมที่ไม่ได้หอบความเย็นมาแม้แต่น้อยกระทบแก้มเหมือนจะยั่วเย้า ฝากความร้อนที่ผิวให้ผ่าวเล่นแล้วจากไป ทุกอย่างควรจะอยู่ในความสงบ แต่ลึก ๆในใจของตรีกลับเหมือนกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างผลักไสให้ไกลออกจากแผ่นดินที่มั่นคงทุกที

ดนัยยื่นมือออกมา แล้วตรีก็ยื่นมือให้ มันเป็นการจับมือที่มีความหมายบางอย่าง แต่เริ่มตรีไม่ใคร่จะถูกชะตากับคนตรงหน้านี้สักเท่าไรนัก ดนัยดูเป็นผู้ชายธรรมดาที่...โอเค...หน้าตาดี แต่นอกเหนือจากนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด แต่พอได้ทำงานร่วมกัน คนตรงหน้าคนนี้กลับเผยให้เห็นส่วนที่ไม่ธรรมดา นอกเหนือจากความฉลาดเป็นกรดแล้ว สิ่งสำคัญ...และเป็นเรื่องที่สำคัญมากก็คือ...คนคนนี้เป็นคนที่มีสายตาแหลมคมไม่ธรรมดา

"คุณจะจับมือผมอีกนานไหม" ดนัยถาม

"คุณน่าจะถามาตัวเองว่าเป็นเกียรติแค่ไหนที่ได้จับมือของผม"

มืออีกข้างของผู้ได้รับเกียรติยกขึ้นและกุมมือของตรีไว้เต็มอุ้งมือทั้งสองของเขา

"แบบนี้พอใจหรือยัง"

"คุณควรจะเข้าใจนะว่าผมเสี่ยงมากที่ทำแบบนี้ เพราะอาจถูกปาปาราซซี่ถ่ายเอาได้ สมัยนี้นักข่าวชอบเล่นข่าวทำนองนี้ คุณก็รู้" สีหน้าของตรีดูเคร่งเครียดนักแต่ดวงตากับกะพริบพราว

"แล้วยังไง จะให้ผมชวนคุณไปห้องอย่างนั้นหริอ" เขาตั้งคำถาม มองหน้าตรี คล้ายกับมีคำยั่วเย้าเชิญชวนอยู่บนริมฝีปากนั้น แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา

ตรีขยิบตามอง รอว่าจะมีอะไรออกมาให้เบิกบานใจต่อ แต่ก็ไม่มี เลยต่อเวลาให้สักสิบวินาที แต่ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในความเงียบเชียบ จนในที่สุดอุ้งมืออุ่น ๆ คู่นั้นก็คลายออก

"ขอบคุณสำหรับความตั้งใจ ความทุ่มเทในการทำงานกับผม คุณให้ผลตอบรับมากกว่าที่ใครที่ออฟฟิศผมจะคาดคิด"

ตรียิ้มเหยียด ยืดเต็มคราบ "คุณควรจะรู้ว่าทำงานร่วมกับคนไม่ธรรมดา"

"ผมรู้" นัทพูดต่อ "เพราะคุณมันทั้งแปลก ทั้งประหลาด ทั้งหลงตัวเองได้อย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ"

ตรีสบัดหน้าถลึงตาใส่ทันที "นั่นคือคำชมใช่ไหม"

"คิดว่าอย่างไรล่ะ" ดนัยยักคิ้ว "คุณช่วยผมไว้มาก และผมดีใจที่ได้ร่วมงานกับคุณ...คนที่พิเศษกว่าใคร"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ยกมือป้องปากหัวเราะแช่มชื่น หน้าบานไม่แพ้กับพระจันทร์บนท้องฟ้า "ถึงจะพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้ดีใจหรอกนะ"

"ผมดีใจที่คุณมาร่วมทานข้าวด้วยกันวันนี้ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เราทานข้าวด้วยกัน บรรยากาศมันแปลกไปจากครั้งแรกนิดหน่อย ว่าไหม ?" น้ำเสียงของเขามีพลังแปลก ๆ นัยน์ตาคู่นั้นก็มีประกายแปลก ๆ ไม่แพ้กัน ตรีเผลอมองอยู่นานจนอีกฝ่ายพูดขึ้น

"ดึกแล้ว" เราคงต้องบอกลากันแค่นี้"

"นั่นคุณจะไปไหนน่ะ" ตรีเอ่ยถามในตอนที่ร่างสูง(ซึ่งน่าหมั่นไส้)หันหลังเดินกลับไปที่รถ

"กลับบ้านผมสิครับคุณ"

"เดี๋ยว !" ตรียกมือขึ้น กางนิ้วทั้งห้าห้าม "แม้ว่าจะไม่เคยอยู่ในสายตาผมมาก่อน แต่ในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี...ในระดับปลายแถว ย้ำว่า...ระดับปลายแถว ผมจะให้ของอะไรบางอย่างกับคุณเป็นที่ระลึก"

คิ้วเข้มของดนัยขมวดด้วยความสงสัย ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะคลี่ยิ้มขึ้นอย่างนึกสนุก เขาพลิกตัวกลับมา กอดอกรออย่างไม่เร่งรีบ

ตรีเดินมาใกล้ ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วถ่าย Selfie กับคนที่ยืนยิ้มอยู่ "ผมให้เกียรติถ่ายภาพกับคุณเป็นที่ระลึกแล้ว อย่าแอบไปร้องไห้ดีใจที่บ้านก็แล้วกัน คุณจะเอาไปอวดคนที่ทำงานคุณก็ได้นะ ผมไม่ถือ ชินแล้ว"

"แท็กมาแล้วกัน" เขาพูด "ถึงจะสมัครไว้ แต่ผมก็ไม่เล่นอินสตาแกรมหรอกนะ"

คำตอบที่ได้ยินทำให้ตรี พงษ์พิพัฒน์ถึงกับยกมือขึ้นทาบอก

ไม่ ! ไม่นะ ! นี่มันเยิน ! เยินมากกก ! ไปอยู่หลังเขาที่ไหนมาเนี่ย หรือว่าทุกวันนี้พำนักอยู่ในถ้ำ ขุดรูที่ไหนอยู่ กรุงเทพมีต้นไม้ใหญ่ ๆ ให้อยู่เจาะโพรงนอนด้วยเหรอ เอ๊ะ ! หรืออยู่ท่อระบายน้ำ ไม่นะ ! นั่นมันสกปรกมาก ฉันจะเป็นลม ฉันรับไม่ได้ มนุษย์ไดโนเสาร์เต่าล้านปีอะไรทำไมถึงได้เยินแบบนี้ คนคนนี้ฟื้นชีวิตขึ้นมาจากฟอสซิลอะไร แย่มากกกก...

"คุณงอนผมหรือ" ดนัยกดปลายคงลง มองสีหน้าพิลึกของคนตรงหน้า

"เปล๊า..." ตรีเชิดหน้าตั้งเป็นจานดาวเทียมสู้ "คุณไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้นหรอกนะคุณนัท"

เจ้าของดวงตาคมคายโคลงศีรษะ ครุ่นคิด "ถ้าอย่างนั้นก็คงค่อนแคะผมอยู่ในใจสินะ"

"คุณมาอยู่ในใจผมตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ" ตรี พงษ์พิพัฒน์หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมแล้วหันหน้าไปอีกด้าน

"ระวังหน่อย เดี๋ยวคอจะเคล็ด ผมแค่เดาไปเรื่อยเปื่อยน่ะ" เขาพูด อมยิ้มขณะที่มองคนค้อนจนหน้าคว่ำ

"ถ้ากำลังคิดจะหาแฟน ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าหมอภัทรมีแฟนแล้ว" ดนัยพูดต่ออย่างถืออาการคนตรงหน้าเป็นเรื่องปกติที่เห็นจนชิน "หมอตุลก็ด้วย"

ใบหน้าของตรีลดระดับลงเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อหูก่อนจะเชิดขึ้นอีกสามสิบองศา

"ฮ่า ๆ ผมล้อเล่นนะ แค่ขอทิ้งทวนหน่อย เพราะจากนี้เราคงไม่ได้พบกันอีก ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีผมมาคอยยืนเถียงให้ปวดหู ให้รำคาญใจอีก ทุกอย่างจบแล้ว ขอให้คุณโชคดีกับงานพิธีกรของคุณนะ เรตติ้งขนาดนี้ลืมเรื่องจะหลุดจากผังไปได้เลย" เขาคลายรอยยิ้มแล้วสบตา "ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกราจริงไหม เราคงต้องบอกลากันจริง ๆ เสียทีสินะ ขอบคุณนะคุณ"

"กองไว้ตรงนั้นแหละ" อีกสิบองศาให้กับประโยคปิดท้ายเก๋ ๆ แบบที่ดูไม่แคร์ใคร ตรี พงษ์พิพัฒน์ยักไหล่สองข้างแบบไม่แคร์โลก "คิดหรือว่าผมจะสนคำบอกลาสะตึ ๆ แบบนั้น"

"คุณสน หลักฐานคือการที่คุณเอามาต่อล้อต่อเถียงกับผมอยู่นี่ไง" ดนัยทิ้งท้ายประโยคนั้นไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ "แต่ผมไม่เถียงกับคุณอีกแล้วละ"

เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นตะเพิดความเงียบให้เตลิดกลับเข้าไปในราตรีที่มืดมิด กระจกหน้าต่างรถของดนัยลดลงพร้อมกับรอยยิ้มชวนมองของคนขับ และเสียงพูดเรียบ ๆ

"กู้ดไนท์ครับ" พูดจบรถก็แล่นหายจากไปบนท้องถนนที่ทอดยาว

ชี้นิ้วด่าว่า "จน" ยังจะดูหยาบคายน้อยกว่า





ผ่านไปอีกตอน ปั่นมือแหกกันไปข้าง เหลืออีกไม่กี่ตอนเล้ว ฝากติดตามต่อกันด้วยเน้อ ^ ^

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
เม้นรวบนยอดสองครั้งเลยละกันนะ^^
คู่ชาฮิด-ภีม มุ้งมิ้งกันเข้าไป อิจฉานะรู้ม้ายยย คู่นี้น่ารักมากค่ะ. กรี๊ซซซซ

คู่อาร์ม-หนึ่ง อ่าวไหงเป็นงั้นล่ะ รินใจดีแหะ แฮปปี้ไปคู่ละ

คู่นัท-ตรี คู่นี้บอกเลยว่า ฟินนนมากกกก เคมีเข้ากั้นนนนเข้ากัน ปลาบปลื้มมากค่ะ
ขำตรีโดนน้องภีมว่า ว่าหน้าเหมือนลิง โอ้ยฮาค่ะ
คู่นี้จะไม่ได้เจอกันแล้วจริงดิ แอบเศร้านะ ฮือออ

คู่ปืน-นภ ปืนนนนนรักเค้าก็บอกเค้าไปสิ บางทีนภอาจจะรอแต่คำว่ารักคำเดียวเท่านั้นเองน้าา

พี่สิงห์-อานนท์ สงสารอานนท์ ฮืออออ สู้ๆๆน้าาาา

รอตอนต่อไปค่าาา :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2014 22:56:23 โดย SenzaAmore »

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ตั้งใจอ่านพาร์ทของปืนเป็นพิเศษ
นี่ก็อีกคู่สินะที่ใจตรงกัน แต่ปากไม่ตรงกับใจ
 เพิ่งดีใจกับอาร์ม+หนึ่งไปเมื่อตอนที่แล้ว
นี่เลยต้องมาลุ้นปืนกับนภต่อ
ก็หวังว่าคำพูดของปรายฟ้าจะช่วยทำให้ปืนทำอะไรดีๆมั่ง

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เฮ้ย ดนัยกลับมาเดี๋ยวนี้ เป็นแค่ดนัยกล้าทำอย่างนี้กับชิราโทริ เรโกะ (ตรี) ได้ไง แสบจริง ๆ
ปืนนภอะไรยังไง จะปล่อยเวลาให้ล่วงเลยอีกนานแค่ไหนล่ะ เวลามนุษย์แสนสั้น รีบหาความสุขก่อนตายเถิด
แล้วปืนไม่ได้เป็นพ่อธีมงั้นรึ เดี๋ยวต้องย้อนกลับไปอ่านตอนเก่า
น้องนนท์น่าสงสารที่สุดแล้วตอนนี้ หรือต้องกลับบ้านนอกจริง ๆ อิพี่สิงห์บ้า ไปตายไหนก็ไป ชิ้ว ๆ
เด็กน้อยสามคนน่ารักจริง กอดรวบเลยแล้วกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตรีเป็นคนที่ยากจะรับมือจริงๆค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ สงสัยต้องให้นัทปราบได้คนเดียว
คู่ธีม-ชาฮิด อบอุ่นมากกก น่ารักมากๆเลยค่ะ^^
คู่ปรมะกับนภนี่ค่อยๆคลายปมแล้วสิน่ะ อิอิ ดีใจจัง
คู่อานนท์ ฮือออ มาซบอกพี่มาอานนท์อย่าร้องไห้น๊าาา T^T สงสารอานนท์อ่ะ พี่สิงห์มาเอาอานนท์ไปเลี้ยงเลยน่ะ :katai1: :angry2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2014 22:02:02 โดย bew_yunjae »

ออฟไลน์ grenjewel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ยิ่งอ่านยิ่งสนุก มีเรื่องให้ลุ้นตลอดดดดดด
นัทกับตรีนี่ไม่น่าอยู่ด้วยกันได้แต่ก็เข้ากันได้ดีนะ 5555555555
อาร์มกับหนึ่งก็เข้าใจกันดีแล้ว เหลือคู่ปืนนภกับคู่พี่สิงห์อานนท์นี่แหละที่ต้องลุ้นต่อไป
ชาฮิดกับธีมก็น่ารักมุ้งมิ้งสมวัยดี


ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๑๓




เช้าวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี ดนัยลืมตาขึ้นบนเตียงนอนด้วยอาการเมาค้าง พอเห็นกองผ้าเช็ดตัวเปียก ๆ ที่กองอยู่บนพื้นห้องก็ลุกขึ้นมาหยิบไปโยนลงตะกร้าผ้า เมื่อคืนเขาจิบไวน์ไปเพียงนิดหน่อย อาการที่เป็นอยู่จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ แต่เป็นที่ความรู้สึกมากกว่า ก็จริงอยู่ที่สองสามวันที่ผ่านมานี้เขามีพฤติกรรมเข้าข่ายแบบที่พี่คะน้ามักจะเอามาแซวอยู่บ้าง "ดูมีอินเนอร์เป็นพิเศษ" เดิมที่เดียวเขาก็ไม่ได้คิดแบบนั้น รู้สึกว่าเป็นแค่ความสนุกที่ได้ยั่วเย้าอีกฝ่ายให้เบิกบานใจไปเล่น ๆ ที่แล้วความรู้สึกที่บอกลากันทำให้นัทต้องกลับมาคิดเสียใหม่

ชายหนุ่มขับรถออกจากบ้านในซอยเย็นอากาศ ไม่รู้ว่าตั้งขึ้นมาเพื่อประชดกันให้เจ็บปวดหรือเปล่าเพราะอากาศที่นี่ร้อนตับแลบได้ทั้งปี แสงอาทิตย์สะท้อนกับหน้าต่างของคอนโดมิเนียมจนงดงาม ร่างสูงสูดอากาศยามเช้าจนเต็มปอด กลิ่นของสายลมที่ควรจะอ่อนหวานกลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด มีอะไรบางอย่างที่ดนัยรู้สึกหงุดหงิด และเขาก็เดาสะเปะสะปะไปว่ามันคงจะเป็นเรื่องของอากาศที่ร้อนได้สมราคาคุยเอาเสียจริง ถึงขนาดเร่งแอร์จนสุดก็ยังร้อนผ่าวเหมือนตัวจะปะทุ

เขาโผล่หน้าเข้าไปที่บริษัท ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาทำไมที่นี่ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ดนัยกล่าวอรุณสวัสดิ์กับโต๊ะทำงานที่ไม่มีคนนั่ง เดินมาเปิดคอมพิวเตอร์ ทันที่ที่กดสวิตซ์ หน้าจอสี่เหลี่ยมก็ตื่นขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา ดนัยแสยะยิ้มให้กับมันแล้วเปิดไฟล์เอกเซลทำงบประมาณของครึ่งปีหลังทั้งที่อีกหลายเดือนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องทำ

อีกซีกหนึ่งของกรุงเทพ ชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ในสตูดิโอที่แสนเย็นฉ่ำ จะวันที่ร้อนที่สุด หนาวทีี่สุด หรือวันไหน ๆ ก็ไม่มีผลอะไรกับตรี พงษ์พิพัฒน์ทั้งนั้น เพราะชีวิตของตรีไม่เคยลำบาก และจะไม่มีวันลำบาก เดิมที่เดียววันนี้เป็นวันหยุดของตรี แต่เพราะเป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุดในรอบ 60 ปีและนั่นก็ทำให้ประชาชนทั้งประเทศตื่นตระหนกเสียขวัญเป็นอย่างมาก

ประเทศไทยกำลังต้องการตรีผู้นี้

นี่คือเสียงเรียกร้องของคนทั้่งประเทศ พวกเขาต้องการใครสักคนที่จะมาส่งรอยยิ้มปลอบประโลมและบอกเล่าความจริงว่าเราทุกคนจะจับมือแล้วก้าวผ่านวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีไปด้วยกัน และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมช่องถึงจัดรายการพิเศษ "วันนี้ที่ประเทศไทย" ขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนให้กับคนไทยทั้งประเทศในเวลาคับขัน โอเค ฟังดูอาจจะโอเวอร์ไปหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็เพ้อเจ้ออยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงนั่นแหละ

ความเงียบอันน่ารำคาญเข้ามาคลอบคลุมหัวสมองของตรีอีกครั้งเมื่อกระบวนการในการฆ่าเวลาอย่างไร้สาระนั้นหมดไป มันมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ยังติดค้างอยู่กับคนคนนั้นในตอนที่บอกลากันเมื่อคืน อันที่จริงเมื่อเปรียบเทียบบรรยากาศนับตั้งแต่ตอนที่พบกันครั้งแรกกับตอนที่ลาจากแล้ว เรียกได้ว่าสัมพันธภาพเหมือนถูกประดับประดาด้วยผ้าพันคอของมิวมิวด้วยซ้ำ...ปราด้าก็ได้ อย่างน้อยก็มันก็เป็นแบรนด์แม่ลูกกัน มีสายใยบาง ๆ เชื่อมถึงกัน ตรีกัดริมฝีปากแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง คิดทบทวนดูว่าจริง ๆ แล้วควรจะเอ่ยกู้ดไนท์บอกลากับคนชื่อนัทที่แสนดาษดื่นคนนั้นไปดีไหม อย่างน้อยก็ตามมารยาท แต่อะไรบางอย่างที่ทำให้ตรีไม่สามารถตัดใจทำอย่างนั้นได้

นัทที่แสนดาษดื่นที่ว่ากำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน จ้องมองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางจากมัยมนัสพร้อมกับข่าวดีเรื่องยอดขายที่ทะลุเป้า อีเมลจากฝ่ายขายและมีเดียเอเจนซี่บนหน้าจอสรุปรายละเอียดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยอดการจำหน่ายสินค้า หรือแม้แต่การช่วงชิงพื้นที่สื่อเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งอื่น ๆ ความคิดที่จะทำเป้าสูงกว่าปีที่แล้ว 30 เปอร์เซ็นต์ถือเป็นอันล้มเลิกไป เพราะไจแอนท์โคลากำลังลุ้นสิ่งที่ใหญ่โตกว่านั้น นั่นคือการขึ้นเป็นน้ำอัดลมที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในซัมเมอร์นี้ เขาควรจะยิ้มออกใช่ไหม แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเฉย ๆ กับข่าวดีพิกล

ขณะที่ทีมงานกำลังวุ่นวายกับการเตรียมเทปข่าว เช็กสัญญาณสำหรับถ่ายทอดบรรยากาศสดจากจุดสำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับเดินไปทั่วสตูดิโอ หยิบเสื้อผ้าโน่นนี่แขวนบนราวแล้วก็หยิบมันออก ขยับเก้าอี้นั่นนี่แล้วก็เลื่อนไปไว้จุดเดิม ทำซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้นมาครึ่งชั่วโมง และขณะที่มีความคิดว่าจะลองไปโทรไปจองตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-มิลานแล้วยกเลิกให้เสียเงินเล่น ๆ ตามประสาคนรวย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

หน้าจอสว่างวาบเป็นชื่อของดนัย

โฮ่ ๆ ๆ ตรีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนดังลั่นสตูดิโอ เดินฉุยฉายส่งยิ้มโบกมือให้กับทีมงานที่เหงื่อแตกซิกไปทั่ว จนพี่จ๊อดที่ปกติไม่ค่อยจะญาติดีกับชายหนุ่มเท่าไรถึงกับต้องถามด้วยความรำคาญ

"ตรีทำไมไม่รับโทรศัพท์ ทีมงานกำลังประชุมอยู่ ปวดหูไปหมดแล้ว"

"โอ้...ไม่นะ ! นี่โทรศัพท์กำลังดังอยู่หรือเนี่ย ทำไมไม่ได้ยินเลย โอ้...ไม่ ใครกันนะที่โทรมา ใครนะที่ทำให้ทีมงานต้องรำคาญ นี่คือกำลังโกรธมาก บอกเลย" คนกำลังโกรธยื่นโทรศัพท์ของตัวเองที่แทบจะทิ่มลูกตาของพี่จ๊อด "ใครน่ะ ใครกันนะ"

"คุณนัทโทรมา ทำไมไม่รับ" พี่จ๊อดถามอย่างหงุดหงิด

"ไม่ !" ตรีระเบิดเสียงโกรธ แต่ยิ้มระรื่นชื่นบานเป็นกระด้ง "ตรีโกรธมากกก...โกรธแทนพี่จ๊อดและทีมงานทุกคน และไม่ ! นี่เป็นเวลาทำงาน เราไม่ควรรับโทรศัพท์"

"ก็ทำไมไม่รับให้มันจบ ๆ ไป"

"ไม่ ! นี่คือโกรธมาก เห็นไหม นี่ไม่อยากคุยเลยสักนิด คือเฉย ๆ ...แต่ไม่ใช่เฉย ๆ ธรรมดานะ เฉย ๆ มากกก... ไม่แคร์เลยสักนิด ไม่ได้รอโทรศัพท์อยู่หรอกนะ ไม่ได้เอามาอวดนะ แต่เอามาให้ดูว่าโกรธมากกก... ไม่อยากคุยด้วย" พูดจบก็ยกมือป้องปากหัวเราะลั่นสตูดิโออีกครั้ง ดวงตรีสุกใสวับแวว

พูดเสียขนาดนั้น พี่จ๊อดขึงดึงโทรศัพท์ของตรีไปกดรับเสียเอง "สวัสดีครับคุณนัท ตรีไม่อยากคุยด้วย เขาพูดทำนองว่าเลิกโทรมาได้แล้ว" วางสายเสร็จก็ยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าของเครื่ีองที่กำลังยืนทำท่าตะลึงพรึงเพริศเหมือนกับเห็นภูเขาไฟปะทุอยู่ตรงหน้า

ไม่นะ ไม่ นี่มันหยาบคายมาก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ตรียืนตัวสั่นระริก

เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนเฉย พี่จ๊อดเลยยัดโทรศัพท์กลับคืนเข้ามือของตรีแล้วกำชับเรื่องรายการออกอากาศสดวันนี้ "เอาเวลาไปเตรียมตัวได้แล้ว วันนี้เทปพิเศษ จะฉายในประชุมของบอร์ดผังรายการ พลาดไม่ได้นะ ไปได้แล้ว พี่จะประชุมต่อ"

ไม่นะ นี่มันต้องเป็นเพราะจิตวิญญาณแบบพระเอกที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของตรีแน่ ๆ ขยับตัวทำอะไรก็ต้องโดนตัวร้ายกลั่นแกล้งตลอด ตรียกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่ไหวระริกของตัวเอง

"ยังไม่ไปอีก" พี่จ๊อดหันมาเสียงแข็งใส่

ตรีไม่เป็นอะไร และตรีจะไม่ตอบโต้พวกคุณ เพราะว่าตรีเป็นพระเอก และตรีเป็นคนดี "มาก" ครับ







การมาถึงของวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปีไม่ได้มีความสำคัญไปกว่าการขายแอร์ให้ออกสักเครื่องก่อนจะหมดวันนี้ วันนี้เป็นวันที่ร้อนจัด และเพราะเป็นแบบนั้นคอมเพล็กซ์จึงเต็มไปด้วยลูกค้ามากมายที่มาเดินจับจ่ายซื้อของหรือแม้กระทั่งเดินเล่นผ่อนคลาย ยอดขายโดยรวมถือว่าสูงกว่าปีที่แล้วถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ยอดขายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมากลับไม่ได้สูงดังคาด นั่นก็เป็นเพราะว่าข่าวเรื่องวันนี้จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีทำให้ผู้คนต่างตื่นตัวออกมาซื้อหาแอร์เพื่อไปติดตั้งที่บ้านแต่เนิ่น ๆ แล้ว

ในจำนวนพนักงานที่ถูกอบรมใหม่ทั้งหมด อานนท์เป็นเพียงคนเดียวที่ยังขายแอร์ไม่ได้สักเครื่อง

พยายามแล้ว แต่ลูกค้าที่อานนท์ไปดูแลนั้นเป็นคนที่แวะมาดูโปรโมชั่นเพื่อเปรียบเทียบ ลูกค้าที่เป็นลูกค้าจริง ๆ นั้นกลับไม่มีโอกาสรับรองดูแลเลย สองสามวันนี้อานนท์ทำงานแบบไม่มีพักกลางวัน หิวก็ทน เมื่อยก็ทน ยืนที่หน้าฟลอร์เพื่อทำงานอย่างเต็มที่ ถ้าไม่ไหวก็เดินเข้าไปนั่งด้านหลัง จิบน้ำ กินข้าวเหนียวหมูปิ้งสักไม้ครึ่งไม้รองท้องแล้วออกมายืนประจำหน้าแผนกใหม่ในระยะเวลาไม่ถึงห้านาที อานนท์บอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนฉลาด ความพยายาม ความอดทนเป็นคุณสมบัติที่ดีเพียงไม่อย่างที่ดี และอานนท์จะไม่ยอมละทิ้งมันไปเพียงเพราะถอดใจ

"เหนื่อยหน่อยนะอานนท์" คุณโกวิทเดินเข้ามาทัก "เป็นยังไง ขายได้บ้างไหม"

"ยังเลยครับ" หนุ่มน้อยอ้อมแอ้มตอบ

"เป็นการคำนวนที่ผิดพลาดจริง ๆ ไม่มีปีไหนที่ร้อนเท่าปีนี้ เพราะอย่างนั้นคนถึงแห่กันมาซื้อตั้งแต่ปลายเดือนมีนาฯ แล้วพอใหล้กลางเมษาฯ ยอดก็ตกฮวบเพราะลูกค้าซื้อกันไปหมดแล้ว ยิ่งเฉพาะวันนี้ด้วยแล้ว ยากจริง ๆ" คุณโกวิทพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "ผมจะลองคุยกับผู้ใหญ่ดู มันไม่ยุติธรรมถ้าจะมาประเมินพนักงานขายเท่าไรในช่วงนี้"

"แต่คนอื่นเขาก็ทำกันได้นะครับ มีแค่ผมคนเดียว ผมคงยังพยายามไม่มากพอ" อานนท์ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ทำให้คุณโกวิทผิดหวัง ทำให้พี่สิงห์ต้องเสียเวลามาสอนพนักงานที่ไม่มีประโยชน์กับบริษัทเท่าไรแบบเขา

"อานนท์" โกวิทพูดด้วยลมหายใจอ่อนล้า "คุณเป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน มีความตั้งใจ เรื่องนี้เธอมีมากกว่าคนอื่น ๆ โดยไม่ต้องมีข้อสงสัย ทุกคนที่นี่ยอมรับเธอ บริษัทต้องการพนักงานแบบนี้"

"ผมไม่อยากตกงาน ผมอยากทำงาน อยากเก็บเงินส่งให้ที่บ้าน อยากทำให้พ่อแม่สบายใจ แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมขายแอร์ไม่ได้ สองเดือนก่อนก็ขายที่นอนไม่ได้สักหลัง" หัวไหล่เล็ก ๆ สั่นไหวในขณะที่อานนท์เอาแต่ก้มหน้า

"ผมไม่อยากตกงานเลยคุณโกวิท ผมไม่อยากตกงาน ผมอยากมีงานทำ" แขนเสื้อถูกยกขึ้นปาดบางสิ่งบางอย่างบนใบหน้าที่ก้มอยู่

โกวิทลากลมหายใจยาว ในฐานะหัวหน้างานเขาจำเป็นต้องรักษากฎ และมันถูกตั้งขึ้นบนพื้นฐานของยอดขาย แต่โกวิทกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าอานนท์เป็นเด็กที่ใช้งานได้ อุปนิสัยใจคอดี เป็นคนรับผิดชอบ นอบน้อมซึ่งหาได้ยากเหลือเกินในเมืองที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแบบนี้ แต่การดึงดันจะย้ายแผนกอานนท์และคนอื่น ๆ มาที่แผนกเครื่องปรับอากาศที่มียอดขายสูงสุดในช่วงหน้าร้อนนี่ก็ถือเป็นการที่เขาออกหน้าแล้ว คนพวกนี้เป็นเด็กดี มีฝีมือทั้งนั้น และโกวิทก็ไม่อยากเสียไป แผนการในครั้งนี้สอบผ่านทุกคน จะติดก็แค่อานนท์ที่โชคร้ายยังไม่ได้เจอกับลูกค้าที่ต้องการซื้อจริง ๆ

"ผมรักที่นี่ อยากกินข้าวกลางวันกับมาลี อยากคุยกับตูน ผมอยากอยู่กับทุกคน อยากทำงานกับคุณโกวิท อยากให้พี่สิงห์สอนงานผมอีก"

"เพชรกล้านั่นเหรอ ?" ชายวัยกลางคนถาม "ทั้งที่เพชรกล้าเป็นคนบอกว่าถ้าคุณขายแอร์ไม่ได้สักเครื่องต้องไล่ออกนั่นนะ"

"ครับ"

"ทำไมหรืออานนท์"

"ถึงพี่สิงห์จะเป็นคนเข้าถึงยาก แต่ก็เป็นคนตั้งใจทำงานจริง ๆ ถึงจะดูดุ แต่พี่สิงห์ไม่ได้ดุใครพร่ำเพรื่อ พี่สิงห์จะดุผมในเวลาที่ผมไม่ตั้งใจทำงานเท่านั้นครับ พี่สิงห์ไม่เคยคิดร้ายกับใคร" เด็กหนุ่มสะอึกสะอื้น "และถึงแม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้าผม แต่ผมก็ชอบพี่สิงห์มากครับ"

"อานนท์" โกวิทเรียกเสียงอ่อน "คุณเหมือนลูกของผมมากนะ ถึงจะโตกว่า อายุมากกว่าหลายปี แต่ผมก็รักคุณเหมือนลูก คุณมีนิสัยใจคอยังไง เป็นคนยังไง ทำไมจะไม่รู้ นี่ยังไม่หมดเวลา คุณพยายามตั้งใจทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งท้อถอดใจ"

"ครับ" อานนท์รับปาก

"สิ่งดี ๆ มีไว้สำหรับคนดี ๆ" โกวิทเอื้อมมือขึ้นแปะที่บ่าเล็ก ๆ ที่ไหวสั่นไม่หยุดนั้น "ผมอยากให้คุณจำเอาไว้"







การรอคอยดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาวนาน แต่ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง นี่คือวันอันแสนรื่นรมย์สำหรับสมาชิกชมรมจักรยาน ทุกคนต่างล้วนตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อและมารวมกันยังที่นัดหมายเพื่อร่วมทริปย้อนประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ สถานที่ซึ่งปัจจุบันเราทุกคนต่างรู้จักกันในชื่อของ "กรุงเทพมหานคร" จักรยานหลายสิบคันค่อย ๆ ถูกจูงไปรวมกันอยู่ที่จุดลงทะเบียนบริเวณวังสราญรมย์ ก่อนที่จะปั่นลัดเลาะไปตามเส้นถนนท้ายวัง ถนนสนามไชย สู่ถนนพระอาทิตย์ เลียบคูพระนคร เลาะคลองสายเล็ก ๆ รอบกรุงก่อนจะกลับมาบรรจบที่วังสราญรมย์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น

ระรินกระชับถุงมือทั้งสองข้างแล้วนั่งรออยู่บนจักรยาน นั่งอยู่เงียบ ๆ ทำความคุ้นเคยกับถนนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของกรุงเทพในความทรงจำเก่า ๆ ต้นไม้สูงใหญ่ที่ตัดสีเขียวแซมอาคารที่มีอายุร่วมร้อยปี จนกระทั่งจักรยานคันหนึ่งถูกจูงมาจอดอยู่เทียบกัน

"รินมานานหรือยังคะ" อริยะยิ้มกว้าง สดใสเหมือนฤดูร้อน

"สักพักค่ะ แล้ว...หนึ่งไม่มาด้วยเหรอคะ"

"ชวนแล้วน่ะ แต่ไม่มา ขอโทษนะ" เขายกมือขึ้นขยี้ท้ายทอยอย่างเก้กัง

"ตอนแรกนึกว่าอาร์มจะไม่มาแล้ว"

"มาสิ รับปากแล้ว" อริยะจับเป้ที่สะพายอยู่บนหลังให้เข้าที่ "วันนี้ก็เป็นวันที่ร้อนที่สุดด้วยสินะ แล้วก็ต้องใส่มาแบบนี้ เสื้อแขนยาว แขนสั้นอีกตัวทับ แว่นกันลม หมวก ถุงมือ ไหนจะเป้สะพายหลังนี่อีก ยังมีอะไรอีกนะ"

"กระติกน้ำ" เธอตอบพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ทริปขี่จักรยานเป็นระยะทางค่อนข้างไกล การสวมใส่เครื่องแต่งกายที่เหมาะสมและการเตรียมพร้อมเรื่องสุขภาพร่างกายถือเป็นเรื่องจำเป็น

"ใช่ ๆ กระติกน้ำ ลืมไปเลย" เด็กหนุ่มยังคงวุ่นวายอยู่กับข้าวของที่ไม่คุ้นนัก กว่าจะเข้าที่ก็ใช้เวลาอีกหลายนาที

รถจักรยานของทั้งคู่ถูกจูงไปรวมกลุ่มกันกับสมาชิกคนอื่น ๆ ประธานชมรมกำลังอธิบายเรื่องเส้นทาง การปฐมพยาบาลเบื้องต้นในกรณีที่มีสมาชิกเป็นลม ตลอดจนกำชับว่าจะต้องขี่ไปเป็นกลุ่ม หรือน้อยที่สุดก้ต้องมีบัดดี้เป็นคู่คอยช่วยเหลือในกรณีที่มีเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน ระหว่างนั้น พิธานก็วิ่งหอบเข้ามาแล้วยืนงงอยู่ที่จุดลงทะเบียนเหมือนคนหลงทาง

อาร์มทิ้งจักรยานแล้ววิ่งออกไปทักทายทันที รินมองผู้ชายสองคนหยอกล้อวิ่งไล่เตะกันอย่างมีความสุขด้วยความรู้สึกเว้าแหว่งในใจ เธอเบือนหน้าไปอีกด้าน ไม่อยากเห็นภาพชินตาที่ทำให้รู้สึกเจ็บซ้ำซากแบบนั้นอีก

"ริน...ดูสิ ใครมา" อาร์มคล้องคอของคนที่ยังทำหน้าเหนื่อยไม่หายมายืนตรงหน้า

"ริน...วันนี้สู้ ๆ นะ เราเอาใจช่วย"

รินยิ้มรับ ยึดแฮนด์จักรยานช่วยทรงตัว "ขอบคุณนะคะ ไม่ไปด้วยกันเหรอ"

"ไม่ดีกว่า ขี่ไม่เป็น ไปก็เป็นภาระเปล่า ๆ" รอยยิ้มตรงหน้าของเธอยังเป็นรอยยิ้มของเพื่อนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน และดูคล้ายว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ "ถึงจะไม่ไปด้วย แต่ก็อยากมาให้กำลังใจรินนะ ถ่ายรูปวิวสวย ๆ มาอวดกันบ้างแล้วกัน"

"ได้สิ" ระรินยิ้มบางเบา อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายไปกว่าที่ผ่านมา ยังเป็นเพื่อนที่สามารถพบปะพูดคุยกันได้ไม่ใช่หมางเมินกลายเป็นคนไม่รู้จักกัน วัดดวง พูดออกไปแล้ว ได้ทำที่อยากทำไปแล้ว รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร ตัดใจหรือยั้งรั้นเดินต่อ เป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรให้ติดค้างในใจอีกแล้ว มิตรภาพเองก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งในความสัมพันธ์ที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ

ความรักเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงตอบรับความรักหลายคนที่ก้าวเข้ามาไปแล้ว ไม่ต้องปฏิเสธด้วยความลำบากใจ เจ็บก็ใช่ แต่ก็เธอก็เคยทำให้อีกหลายคนรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน และก็ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้




(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




พิธานเดินเลี่ยงออกไปกับอริยะที่พาไปจักรยานและสารพัดของกินในเป้ ท่าทางของอีกคนเหมือนเด็กที่กำลังอวดของเล่นชิ้นโปรด จนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "ไม่คิดว่าจะแต่งขนาดนี้นะเนี่ย จำแทบไม่ได้เลย เอาอาร์มที่รู้จักกลับมานะ แบบนี้มันดูเท่ไป"

"เท่อะไร ไม่ขนาดนั้นหรอก" คนถูกชมยิ้มเขิน "ไม่คิดว่าจะมา เขินจัง ตื่นเต้นไปหมดเลย"

อ้ำอึ้งกันอยู่สักพักกับความรู้สึกใหม่ที่กรุ่นอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวาน หนึ่งคิดว่าตัวเองใช้ความอดทนมากมายเหลือเกินที่จะไม่แสดงออกแบบกระโตกกระตากต่อหน้าใครต่อใครโดยเฉพาะริน ด้วยรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร และก็คงไม่มีใครที่ชอบให้ตัวเองจมอยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้น หนึ่งพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่ได้แสดงออกถึงอาการเห็นใจ สงสาร หรือทำเหมือนเธอเป็นคนป่วยที่ต้องดูแลให้รู้สึกประดักประเดิกกัน

ความรู้สึกละอายใจยังคงหวั่นไหวอยู่ภายใน เช่นเดียวกับความรู้สึกดีใจที่กระโจนลิงโลดอยู่อีกด้าน ขณะที่หนึ่งในตอนนี้เหมือนคนที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างความรู้สึกที่หลากหลาย ทว่าสิ่งที่ต้องการในตอนนี้ที่สุดคือการทำให้รูปทรงที่อัปลักษณ์กลายเป็นภาพจำหลักที่สวยงามและลงตัวสำหรับทุกคน

"แล้วนี่เลิกกี่โมงเหรอ"

"ไม่รู้เหมือนกัน เลิกแล้วไปหานะ" อาร์มตอบพร้อมรอยยิ้มง่าย ๆ แบบที่หนึ่งแอบชอบ

พอได้มาเห็นใกล้ ๆ หนึ่งคิดว่าตัวเองหน้าไม่แดงในตอนที่เอ่ยรับคำไป

นิ้วมือทั้งห้าของอาร์มสอดเข้ามาระหว่างนิ้วมือของหนึ่งก่อนจะกุมมันไว้หลวม ๆ "กินข้าวเย็นด้วยกันนะ"

"ได้ ๆ"

นี่เป็นแบบฝึกหัดแห่งความอดทนอดกลั้นที่หนึ่งจะต้องฝึกไว้ให้ชิน เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเข้าหาแค่ไหน ลักษณะการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อไม่ใช่สิ่งที่หนึ่งถนัดเลย ตรงกันข้ามกับอีกคนที่ดูจะทำมันได้อย่างเป็นธรรมชาติิไม่เคอะเขินและไม่เคยคิดที่จะระวังท่าที โดนล้อว่าคู่เกย์ก็ยิ้มรับหน้าตาเฉย อาร์มเป็นคนมาแต่ไหนแต่ไร ปัญหาคือก่อนหน้านี้หนึ่งเก็บอาการได้ตลอด แต่พอตอนนี้ที่สถานะดูจะเปลี่ยนไปเป็นแบบที่ล้อกันขึ้นมาจริง ๆ แล้ว บอกตามตรงว่าพิรุธมันออกมาค่อนข้างชัดเจนทีเดียว (เมื่อวานพี่อายส์ถึงกับแซวว่าไม่แต่งงานกันให้จบเรื่องไป)

"หนึ่ง..." อาร์มส่งเสียงอ้อน

"หืม ?"

"ไปด้วยกันไหม อาร์มขี่ให้"

หนึ่งส่ายหน้าแล้วเบี่ยงตัวหันไปอีกด้านแกล้งทำเป็นไม่สนใจสายตาอ้อน ๆ แบบนั้น เจ้าตัวไม่รู้เลยว่านั่นเป็นหมากที่เดินพลาด เมื่อเป็นฝ่ายหนี อาร์มก็ควบไล่และจู่โจมด้วยท่าทีที่จะยากรับมือมากขึ้น ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คำพูดเรื่อยเจื้อย แต่เป็นการรุกไล่ที่ต้นเข้ามาจนประชิด

"อยากอยู่กับหนึ่ง"

"อืม รู้แล้ว ก็เดี๋ยวเลิกก็เจอกันไง"

บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความอ่อนหวานน่ารักในตอนที่ปากอิ่มนั้นขยับเข้ามากระซิบข้างหูก่อนจะถอยตัวกลับเพียงคืบแล้วส่งยิ้ม

"คิดถึงนะคะหนึ่ง"

นั่นเป็นใบหน้าแบบที่มีปฏิกิริยาต่อหัวใจของพิธานที่สุด ชีพจรของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งเวลาที่เห็นเงาสะท้อนบนกระจกแว่นของคนตรงหน้าเป็นภาพของตัวเอง มีสีแดงที่กระจ่างที่สุดวาดระบายอยู่บนกรามแก้ม ตลอดจนล้อมกรอบแววตาที่ไหวระริกเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ประสาต่อความรัก และที่ร้ายกาจไปกว่านั้นคือสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้แผ่นกระจกบางใส

ดวงตาสีดำที่ฉาบด้วยความละมุมละไมที่สุดของสายลมฤดูร้อน

"อาร์มรักหนึ่งนะคะ"

พิธานพยักหน้าหงึกหงัก ล่องลอยไปกับไอแดดที่เจิดจ้า ไร้ระเบียบ ไร้ทิศทาง ละม้ายว่าพระอาทิตย์ในดวงตาคู่นั้นมีพลังงานมากพอจะเผื่อแผ่ไปทั่วทั้งฟ้า ทั้งยินดีปรีดาที่จะเหยียดหยัดกายออกมายืนต่อหน้าใครต่อใคร คนที่เอาแต่เงียบได้แต่ก้มหน้า ปล่อยตัวเองรับแสงอุ่น ๆ นั้นจนร้อนวาบไปทั้งเนื้อตัว

ให้สมกับวันที่ร้อนที่สุดเท่าที่เขารู้จักมา







วันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีมีอิทธิพลต่อความมีชีวิตชีวาของร้านเป็นพิเศษ ผู้คนขวักไขว่ พนักงานมีงานทำกันตลอดเวลา แตกต่างจากช่วงเวลาเดียวกันในไม่กี่วันก่อนเป็นคนละเรื่อง นับตั้งแต่ปรายฟ้าได้มาทำงานในร้านแห่งนี้ ช่วงสายไปถึงกลางวันมีแต่ความวังเวงจนน่าเบื่อ ตอนนี้บรรยากาศความเศร้าสร้อยกลับถูกลืมเลือนไปจนหมด มีการเคลื่อนไหวตลอดทุกนาที แม้แต่ซอกที่เงียบและว่างเปล่าที่สุดก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะตลอดเวลา

"ข้างนอกนี่ร้อนจะตายเลยไหม" ปรายฟ้าเดินมาทักนภที่โต๊ะตัวหนึ่งค่อนมาทางด้านใน

"ก็เอาเรื่องอยู่นะ" นภตอบ เหงื่อกาฬยังชื้นติดอยู่ที่ไรผม เป็นภาพที่เรียกรอยยิ้มให้กับหญิงสาวน่าดู

"ดื่มอะไรดี น้ำเลี้ยงเอง โทษฐานที่ชวนออกมา"

"อะไรก็ได้" เขาตอบ กระพือเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่า

"แย่หน่อยนะนภ ร้านนี้ไม่มีเครื่องดื่มชื่อ 'อะไรก็ได้' เสียด้วย" ลูกน้ำกระเซ้าด้วยรอยยิ้ม "มะนาวโซดาแล้วกัน น้ำเพิ่งหัดทำเอง" พูดแล้วก็เดินกลับเข้าไปด้านในอย่างกระฉับกระเฉง

ท้องฟ้าในวันซึ่งขึ้นชื่อว่าร้อนโหดเหี้ยมที่สุดนั้นแสนจะแจ่มใส แสงแดดเต้นเร่าอย่างมีชีวิตชีวาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานนั้นต้อนผู้คนมากมายให้หลบเข้ามาพักพิงที่ไหนสักที่ รอเวลาจนกว่าความสดใสของพระอาทิตย์นั้นจะยอมบอกลาไป นภนั่งมองภาพที่แสนอลหม่านของกรุงเทพผ่านกระจกหน้าต่างอยู่สักพัก ปรายฟ้าจึงเดินกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นฉ่ำและของทานเล่นอีกนิดหน่อย

"มีอะไรหรือเปล่าน้ำ" คำถามแรกเกิดขึ้นเมื่อจิบน้ำไปอึกใหญ่

"ตายจริง รีบร้อนเป็นวัยรุ่นเลยนะ" ลูกน้ำหัวเราะ หยิบแผ่นมันฝรั่งสไลด์ที่ปรุงพิเศษเข้าปากก่อนจะถามด้วยน้ำเสียกปกติ "นภคิดยังไงกับปืนเหรอ"

คนที่ถูกถามแทบจะสำลักอากาศ ยังตั้งตัวไม่ถูกกับคำถามชนิดที่ไร้ที่มาที่ไปแบบนั้น

"นภก็รู้ว่าน้ำเป็นคนพูดตรง ๆ" เธอเงยหน้าขึ้นไปมองประตูที่เปิดออก สั่งงานลูกสมุนทั้งสาม ชาฮิด มีรา และธีมให้ประจำตรงเครื่องไอศกรีมระหว่างที่คุยธุระอยู่ พอเรียบร้อยแล้ว ปรายฟ้าหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มและคำถามที่ตรงกว่าเดิม "นภรักปืนใช่ไหม"

นภสะอึกไปสักพักก่อนจะพูดเสียงแผ่ว "อะไร"

เงียบกันไปครู่ใหญ่ จากนั้นบทสนทนาก็ดูจะเข้ารูปเข้าร่างกว่าคำถามที่สั้นห้วนแบบที่ผ่านมา

ละม้ายกับปรายฟ้ากำลังจับมือเขาเดินขึ้นบันไดไปขั้นบนสุด ลัดเลาะผ่านระเบียง ก่อนจะพาก้าวขาเข้าสู่ห้องแห่งความลับที่ไม่มีใครเคยได้ย่างกรายผ่านเข้ามา

"นี่เป็นเรื่องที่น้ำไม่สบายใจมาตลอด และคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะเคลียร์ทุกอย่างที่ติดค้างในใจมานานหลายปีให้เสร็จสิ้นเสียที ตอนนั้นพอน้ำลาออกไปแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกับใครอีกเลย นภเองก็ไม่อยู่ที่กรุงเทพอีกแล้ว" เธอเงียบไปอีกสักพักเหมือนกำลังรื้อตะเข็บที่ไม่เรียบร้อยในอดีตอันหมักหมมมานานขึ้นมาเพื่อซ่อมแซม "บอกตามตรงว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะยุ่งด้วยเท่าไหร่ แต่จะไม่เกี่ยวเลยก็คงจะไม่ได้ เหมือนน้ำเป็นตัวที่สร้างเรื่องให้กับทุกคน  น้ำก็ไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างนภกับปืนพูดคุยอะไรกันเอาไว้บ้าง หรือว่าไม่พูดอะไรเลยจนทุกอย่างมันถึงเป็นอย่างทุกวันนี้"

ปลายนิ้วของเธอสะกิดเข็มลงไปที่ปมขนาดใหญ่ แล้วมันก็ถูกจุดพอดี

"นภคิดว่าธีมเป็นลูกของน้ำกับปืนอย่างนั้นเหรอ"

นภเหมือนกับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มีแสงสาดเพียงสลัวรางเลือน และเต็มไปด้วยด้ายปมระโยงระยางจนแกะไม่ถูก "มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ"

คำตอบของนภดูจะไม่ได้ทำให้ปรายฟ้าประหลาดใจอะไร คล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่คาดเดาได้แต่แรกแล้ว เธอจึงพูดอย่างติดตลกด้วยเห็นว่าเป็นข่าวลือที่ไร้สาระสิ้นดี "พูดตรง ๆ นะ น้ำไม่คิดจะเอาคนทึ่มแบบนั้นมาเป็นแฟนหรอก และแน่นอนว่าไม่เคยมีอะไรกันด้วย ไม่เคยอยู่ในสายตาสักนิด"

คนฟังชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตั้งคำถามอย่างไม่เชื่อหู "หมายความว่ายังไง"

"ปืนไม่ใช่พ่อของธีมหรอก น้ำท้องกับคนอื่น คนคนนั้นฉลาดกว่าปืนมาก แล้วก็เป็นคนที่แย่กว่ามาก ๆ ด้วย...แต่น้ำก็รักเขา" ท่ามกลางฉากละครอันหม่นมัว กลิ่นความทรงจำอันปวดร้าวก็ขับกล่อมดั่งบทเพลงที่เหลือเพียงท่วงทำนองที่ขาดวิ่น

"วันที่รู้ว่าตัวเองท้อง น้ำยังนั่งสูบบุหรี่ กินเหล้าเป็นขวด ๆ อยู่เลย ไม่คิดเลยว่าคนแบบตัวเองจะเป็นแม่ใครกับเขาได้ ไม่รู้ตัวสักนิดว่าธีมเขาจะมาอยู่ด้วย น้ำยังนั่งลูบท้องตัวเองแล้วคิดว่าจะทำแท้งให้จบ ๆ เรื่องไปดีไหม แต่ธีมเขาไม่มีความผิดอะไรเลย แล้วเขาก็เกิดขึ้นมาด้วยความรัก...อย่างน้อยก็ในตอนนั้น สองเดือนก่อนที่จะความรักจะกลายเป็นเรื่องงี่เง่าจนไม่มีใครอยากจะจำกันอีกต่อไป"

นภจ้องมองดวงตาอันเศร้าหมองและสิ้นหวังที่วูบขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีสั้น ๆ แล้วหลุบตาลง "เลิกกันก่อนจะรู้ว่าท้องอย่างนั้นเหรอ"

ปรายฟ้ายักไหล่แทนคำตอบว่ามันก็เป็นแบบนั้น "ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปืนเลย แต่ช่วงเวลาที่ทำอะไรไม่ถูก ปืนดันมาเจอเข้า หลังจากนั้นก็กลายเป็นเอาไปเป็นธุระของตัวเองไปหน้าตาเฉย ทึ่มไหมล่ะ ทั้งที่แต่ก่อนคุยกันสักกี่คำเชียว ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้นด้วยซ้ำ"

ผมของปรายฟ้าเคลียไหล่และระแก้ม คล้ายดั่งเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูเธอ เป็นเสียงเบา ๆ ที่แอบซ่อนอยู่ในความทรงจำอันบอบช้ำ ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นคนที่ปกติดูเข้มแข็ง ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยการผจญภัยได้อย่างสนุกสนานเหมือนไม่มีอะไรบนโลกนี้ให้กริ่งเกรง จะเผยร่องรอยแห่งความอ่อนด้อย เปราะบางออกมาให้เห็น

"มีความรู้สึกอยากทำแท้งนับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะบอกกับที่บ้านว่าอะไร จนปืนนี่แหละที่ไปจุ้นจ้านกับบ้านน้ำ บอกกับพ่อแม่ของน้ำว่าตัวเองเป็นพ่อของธีม โดนพ่อน้ำต่อยหน้า โดนที่บ้านตัวเองตำหนิ โดนอาจารย์ โดนเพื่อนทั้งคณะมองเป็นตัวประหลาด ตาทึ่มนั่นทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้น้ำเอาธีมออก จนกลายเป็นภาระติดพัน ทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้สักนิด"

นภเงียบ เหมือนคนที่ถูกคำสาปให้เป็นใบ้ไปชั่วขณะ สิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นคล้ายกับเนื้อเพลงที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวของการเริ่มต้นและแหลกสลาย

"ปืนไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย" เขาพูดเสียงเบาเหมือนพึมพำกับตัวเอง

ปรายฟ้าเอนหลังลงพิงเก้าอี้ ร่างที่ดูทั้งแบบบางและเล็กนั้นคล้ายกับจะกลืนหายลงไปในความอ่อนนุ่มนั้น "นี่เป็นเหตุผลที่น้ำปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือจากปืนมาโดยตลอด แม้แต่ธีม น้ำก็พูดกับลูกตรง ๆ ว่าปืนไม่ใช่พ่อ"

"แล้วพ่อ..."

"ตายไปแล้ว" เธอเอ่ย แววตาเต็มไปด้วยความว่างเปล่าสีดำ "ตายหลังจากที่เลิกกันได้สัปดาห์...เหล้านี่มันแย่จริง ๆ นะ"

ถ้าเป็นเรื่องของแอลกอฮล์ นภพอจะเดาออกเลา ๆ "อุบัติเหตุเหรอ"

หญิงสาวพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันกลับไปนั่งสงบอยุ่ในความเงื่องหงอย เรื่องราวมากมายที่ขมวดเป็นปมและค้างอยู่ในความทรงจำมานานหลายปีถูกสางออก และเมื่อด้ายเหล่านั้นถูกวางลงก็เผยให้เห็นร่องรอยที่เต็มไปด้วยความบอบช้ำโศกศัลย์ของหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ในความลับไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากเศษผ้าและตะเข็บยับย่นไร้ประโยชน์ บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรจึงไม่มีใครอยากหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก

ปรายฟ้าเป็นผู้หญิงที่แปลก แม้จะดูเปราะบาง แต่หัวใจดวงเล็ก ๆ นั้นกลับคล้ายว่าสามารถเยียวยาตัวเองได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเหมือนดอกไม้น้อยที่กางใบรับแสงแดดฤดูร้อนเหมือนคนที่กำลังกำชัยชนะ "หมดเรื่องของตัวเองที่อยากจะพูดแล้ว แต่จะขอพูดในส่วนของคนที่ย้อนอดีตกลับไปทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว"

ลูกน้ำเหยียดตัวเองขึ้นมาจากพนักบุนวมของเก้าอี้ แววตาคู่นั้นคล้ายกับคนที่เรียนรู้มาเป็นอย่างหนักจากประสบการณ์ความล้มเหลว

"คนเราน่ะอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ไม่ได้หรอก ทุกคนต้องการคนให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวในเวลาที่อ่อนแอ กลับกันก็ต้องการเป็นที่ยึดเหนี่ยวของใครสักคนในบางเวลาเช่นกัน เราต้องการเป็นทั้งผู้ดูแล ผู้ที่ถูกดูแล เป็นทั้งคนที่ถูกรัก คนที่ได้บอกรัก"

"น้ำยังรักเขาอยู่ใช่ไหม"

เธอไม่ได้ตอบคำถาม แต่ก็ไม่คิดที่จะหลบสายตา "ของบนโลกนี้ต่างก็เป็นคู่กัน มือทั้งสองข้าง นิ้วพวกนี้ เข่า ขา หู จมูก ตา ปอด ไต ฟันบนฟันล่าง สมองเองก็ยังแบ่งเป็นซ้ายและขวา เคยคิดเล่น ๆ ไหมว่าทำไมพระเจ้าจงใจถึงสร้างให้หัวใจยังไม่มีคู่ของมัน"

รอยยิ้มเล็ก ๆ สยายขึ้นบนใบหน้า ไม่ได้ดูสวยสง่า เป็นรอยยิ้มง่าย ๆ ที่กลับดูทรงพลังกว่ารอยยิ้มไหน

"ทุกครั้งที่เห็นธีม น้ำมักจะคิดว่าหัวใจอีกดวงที่เป็นคู่กับน้ำอยู่ในตัวลูก"

ชายหนุ่มมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาที่เผยให้เห็นถึงความชื่นชมอย่างลึกล้ำก่อนที่ทุกอย่างจะถูกปกคลุมด้วยตวามเงียบงัน

นภมองออกไปที่นอกหน้าต่าง มองไอร้อนที่ลอยวนอยู่ในแสงแดด ก่อนหน้านี้ในสมองของเขามีหมอกควันมากมายที่ไม่อาจคะเนได้ นภเคยตั้งคำถามว่าในนั้นคือความน่ากลัวหรือน่าเศร้า เป็นเล่ห์กลหรือความสิ้นหวัง แต่มันกลับไม่ใช่สักอย่าง ในนั้นคือหุบเหวแห่งชีวิตที่ไม่ว่าใครต่อใครอาจจะพลาดตกลงไปได้ทั้งนั้น สิ่งที่ปรายฟ้าทำมันคือความพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะตะเกียกตะกายขึ้นมาจากความมืดอันแสนทรมานเหล่านั้น ความตื้นเขินอาจหลอกว่าความคิดเราว่ามันก็แค่เรื่องความรัก การมีเพศสัมพันธ์ เรื่องของเด็กใจแตกหรืออะไรทำนองนั้น

แต่ไม่ใช่ ประสบการณ์บอกนภว่ามันคือการเรียนรู้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าความผิวเผินเหล่านั้นมาก

หากแต่เมื่อมองย้อนกลับมาถึงตัวเองแล้ว นภไม่แน่ใจว่าตนเองจะมีเรี่ยวแรงพอจะก้าวข้ามหุบเหวที่ว่านี้ไหม แต่เมื่อมองดูแล้ว เขายังคงติดอยู่บนกับดักที่เรียกว่าความรัก ลืมไม่ลง และยังคงยึดมั่นอยู่อย่างนั้นจนก้าไปไหนไม่ได้ต่อ

"ระหว่างนภกับปืนไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ" นภพูดด้วยเสียงที่นิ่งสงบ คล้ายรู้สึกเจ็บปวด แต่อีกใจก็กลับรู้สึกเหมือนคนที่ยอมรับความเป็นจริงได้ "ขอบคุณมากนะน้ำ แต่หลังจากสงกรานต์ ผมก็ต้องกลับไปสอนต่อที่เยอรมัน บางทีการที่ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตของตัวเองไปแบบเดิม แล้วปล่อยให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันมานี้เป็นแค่ความทรงจำก็อาจจะดีกว่า"

"ความทรงจำในฤดูร้อน" ปรายฟ้าเอ่ยเสียงเยาะหยัน "น่าจะรู้กว่าใครว่าตาทึ่มนั่นเป็นคนดีแค่ไหน"

"ความรักไม่ได้เกี่ยวกับใครดีกว่าใครเลวกว่าหรอก"

"ก็จริง นั่นเป็นเรื่องที่เถียงไม่ได้เลย" ปรายฟ้าเงียบเสียง วางสายตาลงบนความสับสนวุ่นวายที่อยู่ภายนอก "โลกมีคนอยู่เป็นล้านล้านคน การที่คนสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ไม่คิดว่ามันเป็นโชคชะตาเหรอ"

นภหัวเราะขึ้นด้วยความรู้สึกแบบคนที่คุ้นเคยกับความผิดหวัง "เรื่องของนภกับปืน บางทีมันอาจเป็นแค่ความบังเอิญ จากนี้ไปอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว"

ปรายฟ้ามองดูคนตรงหน้าด้วยแววตาเศร้าที่ระคนไปด้วยความสงสาร

"คนที่พูดประโยคนั้นได้อย่างไม่เกรงกลัวน่ะ เกือบทั้งหมดเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักความสูญเสียที่แท้จริง"

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย เสียงเพลง เสียงกระทบกันของช้อนและส้อม และเสียงอุปกรณ์ทำครัวต่าง ๆ ที่ดังขึ้นพร้อมกันจนเซ็งแซ่ ประโยคสุดท้ายของปรายฟ้านั้นเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังก้องซ้ำไปซ้ำมาในทุกประสาทการรับรู้ของนภ

"บนโลกนี้ไม่มีความบังเอิญหรอกนภ"








ช่วงนี้ปั่นแหลก กะว่าไม่คนแต่งก็คงอ่านต้องสลบกันไปข้าง อาจมีคำผิดบ้างต้องขอโทษด้วยนะครับ
ผ่านไปอีกตอน พร้อมกับเบื้องลึกของคู่ปืนนภ ใกล้ความจริงเข้ามาอีกนิด อีกไม่ไกลแล้ว ฮ่าๆๆ
ขอบคุณมากนะครับที่ติดตามอ่านกัน รอติดตามบทสรุปของทุกคู่กันนะ ใกล้แล้ว ^ ^

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ปืน นภ ๆๆๆๆ ค่อยๆคลายปมอีกแว๊ววว
ภาวนาให้พี่สิงห์มาซื้อแอร์กับอานนท์ 555 อานนท์ร้องไห้แล้วน่าสงสารอ่า
ตรีนี่เล่นตัวจริง ฮามากกก
คู่อาร์ม หนึ่ง โอ๊ยยยหวานมากกกก น่ารักมุ้งมิ้ง เขินแทนหนึ่งเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2014 08:21:53 โดย bew_yunjae »

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
คู่นัท-ตรี ตรีฮาอ่าาาา เกรียนมาก นัทจะเข้าใจผิดไหมเนี่ยยยย555

พี่สิงห์-อานนท์ สงสารอานนท์ ทำไงดีง่าาา

คู่อาร์ม-หนึ่ง รินใจดีจัง ขอให้ได้เจอคนดีๆน้าา
ว่าแค่อาร์มจะจีบหนึ่งไปไหน มดขึ้นจอแล้ว!!!!

คู่ปืน-นภ ปืนเป็นคนดีมากๆ น้ำเข้มแข็งจริงๆที่ผ่านมาได้
ก็เข้าใจที่นภพูดอ่ะน้าา ปืนไม่แสดงท่าทีอะไรขนาดนั้น ใครมันจะกล้าล่ะ บางทีปล่อยให้มันผ่านไปอาจเป็นวิธีที่ดีแล้วก็ได้นะ  :hao5:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
หนึ่งกับอาร์มน่ะ พอเข้าใจกันก็มุ้งมิ้งเลยนะ

ยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงขิงพี่สิงห์ ทำไมต้องให้อานนท์ออกจากงานด้วย ใจร้ายยยย

ปืนกับนภเนี้ย ต่างคนต่างพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา จะมีสักคนมั้ยที่ลุกขึ้นมาสู้
ถ้ารักกันจริง ทำไมถึงไม่มีความพยายามเลย
ที่จริง อยากให้ปืนทำอะไรสักอย่างนะ เพราะนภก็ได้บอกความรู้สึกแล้ว
แล้วปืนก็เฉื่อยชากับชีวิตมานานเกินไปแล้วด้วย

ออฟไลน์ grenjewel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตรีคิดถึงนัทก็บอกไปเถอะ เหงาอ่ะดิเวลาไม่มีนัทมากวนใจ มัวแต่ลีลาไม่รับโทรศัพท์นัทคนอื่นเลยรับแทนให้ทีนี้ก็ปรี๊ดแตกเลย 55555555555
อาร์มหนึ่งพอจูนกันแล้วมุ้งมิ้งกันตลอด
เห็นอานนท์ร้องไห้แล้วสงสารอ่ะ คนดีีแบบนี้หาแทบไม่ได้ในเมืองหลวงแสนวุ่นวาย พี่สิงห์ต้องการให้อานนท์ออกแล้วย้ายไปทำงานแผนกเดียวกับพี่สิงห์หรอแบบว่าจะได้มีโอกาสติวกันตัวต่อตัวไรงี้ (มโนล้วนๆ) :hao6:
ลุ้นคู่ปืนนภอยู่นะ เอาใจช่วยจ้าาาา

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ตรีเป็นเอามากจริง ๆ ระวังจะแพ้ของดาษดื่นเข้าให้สักวัน
คู่อาร์มหนึ่งหวานไม่เกรงใจใครเลย
 "อาร์มรักหนึ่งนะคะ"
เป็นฉันคงละลายกองอยู่ตรงนั้น
ก็ถ้าปืนจะทึ่มจนไม่ขยับทำอะไรเลย นภก็ลองลงมือเองบ้างสิ ลูกน้ำก็เฉลยซะขนาดนี้แล้ว
พยายามแล้วไม่ได้ยังดีกว่าให้ทุกอย่างจบลงโดยไม่ทำอะไร
ลุ้นน้องนนท์ให้ขายแอร์ได้ด้วยเถอะ สงสาร

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ปืนนภคือหน่วงอะ หน่วงมาก
นี่จะหน่วงแข่งกับอานนท์เรอะ โอยยย ลุ้น กลัวขายไม่ได้
สงสารนาง นางดูหงอย ๆ ซึม ๆ สุดท้ายจะขายแอร์ได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไปทำอะไรที่ตัวเองถนัดเถอะ
ติดก็แต่เรื่องพี่สิงห์ เวลานี้ไม่ปลอบกันหน่อยแล้วยังหนีหน้าตาเฉย
รอลุ้นกันต่อไปว่าจะเป็นยังไงต่อ
ปล. อีอาร์มแรดมากกกกกกกกกกกก มีนะค้งนะคะ หอยหลอดดดดดดดดดดด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ วันนี้เอามาส่งมาอีกตอนแล้ว
สำหรับตอนนี้ถึงจะเป็นตอนที่สั้น เพราะขอทบไปในตอนหน้า
แต่ก็เป็นตอนที่ตัวหนังสือจะเยอะหน่อยนะครับ อาจต้องอ่านช้านิดหน่อย ไม่งั้นจะงง(หรือเปล่า)
เป็นตอนที่ปูเรื่องสำหรับตอนต่อไปเสียมาก ดังนั้นอาจจะตัดบทๆ หน่อยล่ะนะ
ฝากอีกตอนครับ ใกล้จบแล้ว หลายคนเริ่มเดาเรื่องกันถูกแล้ว คนแต่งเซ็งเลย ฮ่าๆๆ









ตอนที่ ๑๔




ช่วงใกล้เที่ยงประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับหญิงร่างท้วมคนหนึ่งและเด็กจ้ำม่ำที่เดินตามหลังเข้ามา เด็กชายคนนั้นอายุน่าจะไล่เลี่ยกับชาฮิดและธีม มีรอยฟกช้ำบนแก้มที่ปูดเปล่งมากกว่าจะยุ้ยตามใบหน้าที่ติดไปทางเจ้าเนื้อ เธอหยุดยืนสักพักคล้ายกับมองหาอะไรบางอย่างก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาอมริตาที่เดินมารับออเดอร์ ปากก็บ่นไม่หยุดขณะที่เด็กน้อยเองก็ขืนตัวไม่อยากจะถ้าวขา

"เดี๋ยวเถอะ ยังจะมาทำแบบนี้ ไปหาเรื่องเขาก่อนก็รีบขอโทษเขาเลยนะเด็กคนนี้ นิสัยนี้สอนกี่ครั้งไม่รู้จักจำ"

ปากยิ้มกว้าง แต่ดวงตายังสอดส่ายหาคู่กรณีกระทั่งเจอเด็กทั้งสามที่จูงมือกันเดินออกมาจากหลังร้าน "นี่สินะ แหม...หน้าตาหล่อไม่ใช่เล่น โตขึ้นมาเป็นดาราได้นะคะเนี่ย ชื่ออะไรจ๊ะหนุ่มน้อย"

อมริตาพอคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ นึกออกว่าเป็นคนที่อยู่ในบ้านที่อยู่ลึกไปจากร้านราว 500 เมตร เป็นบ้านขนาดกลางทาสีไข่ไก่ ข้างรั้วมีพุ่มต้นทับทิม เธอมองออกว่าผู้หญิงคนนี้มาที่ร้านเพื่ออะไร และก็อ่านเจตนาได้ว่าไม่ใช่เรื่องร้าย

"น้องเขาชื่อธีมน่ะค่ะ ส่วนนี่ชาฮิดลูกดิฉัน แล้วนี่ก็มีราลูกสาวคนเล็ก" อมริตาตอบ

หญิงท้วมคนนั้นมองธีม ชาฮิด มีราอย่างถูกชะตาก่อนจะหันกลับมาที่อมริตา เอ่อขอโทษแล้วแจกแจงเป็นการใหญ่โต "ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะที่น้องหมู ลูกดิฉันเอาแต่ทำให้เดือดร้อนตลอด ตอนอยู่ที่บ้านเอาแต่พูดว่าธีมอย่างนั้นอย่างนี้ วิ่งเล่นกันคนนั้นคนนี้ เล่าให้ฟังไม่หยุด นี่ก็ไม่รู้ว่าธีมไหนจนเกิดเรื่องนี่แหละค่ะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ"

อมริตาลูบผมของธีมเบา ๆ แล้วหันไปสบตาให้กับลูกชายของเธอพร้อมส่ายหัวเนือย เธอตีชาฮิดไปสามครั้งท่มกลางน้ำตาที่นองเต็มหน้าของเด็กอีกสองคนที่ไม่ถูกทำโทษ ไม่ได้ฟาดถึงขนาดเต็มแรง แต่ก็ไม่ได้ตีเบา ๆ ชนิดพอให้เป็นพิธี เธออยากให้ชาฮิดจำ และไม่ไปทำเรื่องแบบนี้อีก เป็นคนตีและก็เป็นคนปลอบประโลมเด็กน้อยเองกับมือ

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลูกดิฉันก็ผิดที่ทำรุนแรงไป ต้องขอโทษคุณเหมือนกันนะคะ"

ร่างท้วมโบกมือเหมือนไม่อยากจะรับด้วยคิดว่าทั้งหมดต้นเหตุก็มาจากลูกชายเธอเอง เธอพร่ำคำขอโทษไม่หยุดจนอมริตายอมเป็นฝ่ายถอยทัพ ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่อย่างนี้ไปทั้งวันแน่ พอสมใจแล้วเธอก็เดินไปหาเด็กทั้งสาม ยิ้มแฉ่งแล้วเอื้อมมือลูบหัวเด็กน้อยทีละคนด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะมาหยุดที่ธีมพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนแบบผู้เป็นแม่

"ถึงหมูจะเป็นเด็กที่ทั้งแสบ ทั้งดื้อ ทั้งไม่ได้เรื่อง แต่ว่าต่อจากนี้ไปน้องธีมพอจะเป็นเพื่อนกับลูกหมูด้วยได้ไหมจ๊ะ"

แม้จะงง ๆ ในตอนแรกแต่ธีมก็บรับคำ "ครับ"

"ชาฮิด กับหนูมีราด้วยนะ เป็นเพื่อนกับหมูด้วยได้ไหม"

เด็กชายพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล พอเห็นพี่ชายรับปาก มีราที่แอบมองอยู่ก็ทำตาม "ว่าง ๆ ก็แวะไปเล่นกับหมูที่บ้านน้าได้นะจ๊ะ เรื่องของเรื่องคือเด็กคนนี้น่ะอยากจะเล่นกับพวกเธอใจจะขาดแต่ก็ท่าเยอะ"

หญิงท้วมดันลูกชายตัวเองให้ออกมายืนตรงหน้า "อ้าว...พูดซะสิจ๊ะ เป็นคนไปหาเรื่องเขาก่อนนะ"

ทิ้งท้ายไว้ด้วยความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย และทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เด็ก ๆ ขอโทษกัน ขณะที่ผู้ใหญ่ก็พูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนที่หญิงร่างท้วมจะจูงมือลูกชายออกจากร้านไป หมดเรื่องแล้ว อมริตาก็พยักหน้าให้เด็ก ๆ อนุญาตให้ออกไปวิ่งเล่นกันได้ตามใจชอบ

พอความซนของทั้งสามเหลือเพียงไอจาง ๆ นุชนารถที่มองทุกอย่างอยู่นานก็เดินเข้ามาหาอมริตาพร้อมรอยยิ้ม "เด็ก ๆ นี่มีเรื่องให้คาดไม่ถึงได้เสมอเลยนะ พอจะทะเลาะก็ทะเลาะกันใหญ่โตจนเหมือนว่าคงจะไม่คุยกันอีกแล้ว พอบทจะดีกันก็ง่าย ๆ แบบนี้"

"เค้ายังบริสุทธิ์กันอยู่มั้งคะ แสดงความรู้สึกไปแบบตรง ๆ อย่างที่คิด ไม่ต้องวางฟอร์มแบบผู้ใหญ่" อมริตาตอบอย่างไม่นึกคร้าน ปรายฟ้าเดินเข้ามาหา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังระคนไปด้วยความประหลาดใจ

"แต่ไม่คิดจริง ๆ นะคะว่าจะเป็นชาฮิดที่ไปตีกับหมูแบบนั้น น้ำคิดว่าน่าจะเป็นธีมเสียมากกว่า"

"ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะถูกล้อเรื่องที่เขาอ่อนไหวด้วยมั้งคะ เขาเองก็เสียพ่อไปแต่เล็ก ชาฮิดมักถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อเรื่องทำนองนี้ ลำพังตัวเขาก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่พอเป็นมีรา เหมือนกับเขาที่เคยเจอมาก่อนรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่แย่ขนาดไหน ความเป็นพี่ที่ไม่อยากให้น้องต้องมาเจออะไรแบบตัวเอง ช่วงนั้นชาฮิดเลยมีเรื่องกับเด็กในโรงเรียนไปทั่ว พอโตขึ้นแล้วเรื่องพวกนี้ก็ค่อย ๆ น้อยลง จนมาครามนี้ที่เป็นน้องธีม"

ฟังแล้ว ปรายฟ้าก็พยักหน้าเข้าใจ

"เด็กอาจไม่คิดอะไรไปตามประสาเด็ก นึกอยากจะพูดอะไรก็พูดกันไป แต่สำหรับคนที่ได้ยิน มันคงเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมาก ที่เป็นเรื่องกันก็เพราะไม่อยากจะได้ยินคำพูดใจดำพวกนั้นอีก อีกใจก็อยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วก็คงเพราะพวกเขาไม่อยากจะยอมรับว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง ไม่มีเด็กคนไหนไม่ต้องการพ่อหรอกค่ะ แม่แต่ตัวดิฉันเองตอนที่เสียสามีไปก็ยังไม่อยากจะยอมรับเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง" อมริตาพูดอย่างข่มความเศร้า ครึ่งหนึ่งเป็นส่วนของลูก ๆ ที่ไม่อยากจะยอมรับกับความสูญเสีย อีกครึ่งเป็นของตัวเองที่ลึก ๆ แล้วก็ยังลืมไม่ลง

"เขาสองคนถึงเชื่อมต่อกันขนาดนี้" ปรายฟ้าเอ่ย "ธีมติดชาฮิดมากนะคะ"

"ชาฮิดกับมีราก็ติดน้องธีมมากเหมือนกันค่ะ"

เรื่องราวของอมริตา ความบอบช้ำ และสิ่งที่เกิดตามมาจากความเว้าแหล่งของครอบครัวที่มองผ่านความทรงจำอันปวดร้าวของอมริตา ทำให้นุชนารถที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดเลือกจะเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย "พี่ขอพูดอะไรหน่อยนะคะน้องน้ำ ในฐานะที่พี่ก็รู้จักกับน้ำ แล้วก็รู้จักกับพ่อของน้องธีมด้วย มันจะเป็นไปไม่ได้เลยหรือคะที่จะลองกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง พี่คิดว่านี่คงเป็นเรื่องที่ธีมเก็บไว้ในใจแต่อาจจะไม่กล้าพูดออกมา ถึงจะดูเหมือนเป็นพ่อลูกที่เข้ากันไม่ได้ แต่พี่ก็พอจะดูรู้ว่าน้องธีมก็รักพ่อมากนะคะ และตัวของพ่อเขาเองก็คงจะรู้สึกไม่ได้ต่างกัน"

"เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะพี่นุช" ปรายฟ้าตอบ เสมองลงไปที่นอกประตูร้านเหมือนว่าอาจจะมีลูกค้าสักคนเปิดประตูเข้ามาในตอนนั้น แต่ไม่มี "พ่อของธีมเสียไปนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาอีกค่ะ"

"ตายจริง แล้ว..."

"ปืนไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของน้องธีมค่ะ เป็นแค่พ่อบุญธรรมเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรทางสายเลือดเลย"

นุชนารถและอมริตานิ่งงันด้วยความสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก

แก้มและริมฝีปากของปรายฟ้าดูเปลี่ยนเป็นสีซีดลง บางสิ่งบางอย่างในอดีตกำลังลุกขึ้นมาแล้วฟาดฟันเธออยู่ในอก หญิงสาวเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "พ่อจริง ๆ ของเขาชื่อธีมะ เป็นรุ่นพี่ที่น้ำคบตั้งแต่ตอนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เขาเป็นคนกวนนิด ๆ ผมสั้นเป็นทรง เรียนก็ไม่ได้เก่งอะไร ออกจะขี้เกียจด้วยซ้ำ ฐานะทางบ้านก็ครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดา เป็นคนที่ดูไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไร ถึงแบบนั้นก็เป็นคนที่น้ำเคยอยากใช้ชีวิตด้วยไปจนแก่เฒ่า"

"ธีมะ...ธีมเลยมีชื่อเล่นแบบนี้สินะคะ"

มีประกายวามวาวผุดขึ้นในดวงตาที่รอยยิ้มเล็ก ๆ บนริมฝีปาก "เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น้ำไม่เคยบอกใคร แม้แต่ปืนก็ไม่เคยรู้ มันผ่านไปแล้ว เขาเองป่านนี้อาจจะดูที่ไหนสักแห่งที่ไกลแสนไกล" ปรายฟ้าเงียบไปอีกสักพัก คล้ายกับว่ากำลังกำราบอดีตที่ผุดขึ้นมาแผดเผาอยู่ในใจ "น้ำไม่อยากให้สังคมโทษว่าใครผิด น้ำโอเคกับทุกอย่างแม้ว่ามันอาจจะดู...ไม่โอเคเท่าไรก็ตาม"

ปรายฟ้าทอดสายตาออกไปยังเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายอีกครั้ง ก้อนเมฆสีเทาปกคลุมท้องฟ้าจนกรุงเทพกลายเป็นภาพวาดในโทนสีที่เย็นลง เสียงหัวเราะของสายลมดังเข้ามาถึงด้านในร้าน ความร้อนเมื่อครู่ฉับพลันก็กลายเป็นภาพโกหกลวงตา

ฝนกำลังจะตก อมริตาได้กลิ่นของไอดินคลุ้งขึ้นในอากาศ กลิ่นชื้นนี้เป็นกลิ่นของฝน กลิ่นของความทรงจำเก่า ๆ ตอนที่ทุกคนในครอบครัวซุกตัวอยู่บนฟูกนุ่ม ๆ ทุกอย่างคับแคบจนเหมือนจะไม่พอสำหรับสี่ชีวิต กระนั้นก็มีรังสีอ่อนอุ่นของความรักแผ่รายรอบ เป็นชั่วเวลาที่ทำให้เธอยิ้มขึ้นมาได้แม้ในวันที่เต็มไปด้วยเรื่องชวนหงุดหงิด หรืออ่อนล้าแค่ไหน แม้ทุกอย่างจะจบไปแล้ว ผ่านไปนานจนชาฮิดและมีราเติบโตขึ้นแล้ว แต่อมริตาก็ไม่เคยลืม

นุชนารถยิ้มให้กับตัวเอง สุดท้ายแล้วทุกคนก็มีความทรงจำซุกเก็บเอาไว้อยู่ในกล่องที่เต็มไปด้วยความลับทั้งนั้น ทั้งเธอ ทั้งอมริตา แม้กระทั่งปรายฟ้า น่าแปลกที่ต่างก็มีความรักที่จบลงด้วยความรู้สึกที่ยังนานแค่ไหนก็ไม่อาจจะลืม

"นี่พี่เปิดร้านนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นหน้าฉากเท่านั้นแหละ จริง ๆ คือกำลังแอบตั้งชมรมสาวโสดไม่ลืมรักเก่า" นุชนารถพูดขึ้นอย่างคนปลงตก แต่อมริตาไม่ได้คิดแบบนั้น

"ดิฉันกับน้องน้ำคงต้องปล่อยไปแล้วล่ะค่ะ เพราะถึงอยากจะแก้ไขเรื่องเก่า ๆ ยังไง พวกขาก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่คุณนุชไม่เหมือนกับดิฉันหรือน้องน้ำนะคะ เขายังอยู่ ทั้งยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็อยู่ในใจของคุณนุชด้วย นอกจากที่เปิดร้านขึ้นมาเพราะเป็นงานที่รักแล้ว คุณนุชไม่ได้ดูแลร้านนี้อย่างดีเพื่อรอวันที่เขากลับมาหรือคะ" เธอแย้ง รู้สึกถึงกลิ่นชื้นของฝนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น "คำแนะนำจากคนที่ไม่มีโอกาสแล้วค่ะพี่นุช"

"เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไง" นุชนารถโบกมือ

ปรายฟ้าส่ายหัว มองออกไปที่นอกกระจกบานใสพร้อมรอยยิ้ม "ฝนยังตกในฤดูร้อนได้เลยค่ะ"

ฝนเม็ดแรกตกลงบนพื้นถนนที่ยังระอุร้อน และไม่กี่วินาทีถัดมาทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าก็เหมืนถูกล้อมไปด้วยความเย็นฉ่ำ เม็ดฝนสะพรั่งดอกพราวราวกับดอกแก้วนับพันนับหมื่นดอกที่ร่วงพรูลงมาจากท้องฟ้า เสียงหยดน้ำที่เคาะเบา ๆ บนกระจก บนหลังคา ส่งยิ้มทักทายหญิงสาวทั้งสามคนอย่างนอบน้อม ขณะที่นุชนารถจับจ้องละอองน้ำเม็ดเล็ก ๆ ที่ประพรมอยู่ด้านนอกอย่างไม่เชื่อสายตา ปรายฟ้าก็อมยิ้มกับก้อนเมฆสีเทาแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"นี่ไม่ใช่วันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีอีกต่อไปแล้ว"








(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อนะครับ)




ฝนตกหนักเหมือนคนที่ทนอดกลั้นมานาน เล่นเอาทีมงานทุกคนหัวหมุนกันไปหมด รายการ "วันนี้ที่ประเทศไทย" ถูกจัดขึ้นเป็นเทปพิเศษเพราะวันนี้เป็นวันที่พระอาทิตย์อยู่ใกล้โลกที่สุด และนั่นจะทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งที่ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาก็พยากรณ์อากาศไว้แบบนั้นมาโดยตลอดแม้กระทั่งในเช้าวันนี้ อุณหภูมิโดยรวมก็มีแนวโน้มไต่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วจู่ ๆ พระพิรุณก็กระหน่ำสายฝนลงมาแบบไม่เกรงใจใครก่อนรายการจะเริ่มต้นขึ้นเพียงไม่กี่นาที

สคริปต์ข่าวทั้งหมดที่เตรียมไว้ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี ว่ากันด้วยเรื่องสงกรานต์ และอากาศร้อนจัด รวมทั้งภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทั้งหมด เทปต่าง ๆ ที่จะตัดสลับในรายการ สกู้ปเกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุด รวมไปถึงทีมงานที่รอรายงานบรรยากาศที่อบอ้าวที่สุดในเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย

ไม่มีอะไรเกี่ยวกับฝนหลงฤดู

ทุกคนยึดมั่นจากข้อมูลดามเทียมที่ได้รับมาจากกรมอุตุนิยมวิทยาเมื่อตอนเช้ามืดและเว็บไซต์พยากรณ์อากาศอื่น ๆ ของต่างประเทศ

และรายการกำลังจะต้องออกอากาศภายในไม่กี่นาทีนี้

ยังไม่นับรวมกับปัญหาอื่น ๆ ที่ตามมา ทั้งการนำเทปเกี่ยวกับฝนและลูกเห็บที่หลงฤดูมาจากคลังข้อมูลเก่าแล้วนำมาตัดต่อกันสด ๆ ที่คอมพิวเตอร์ในสตูดิโอตัดต่อห้องข้าง ๆ ปัญหาเกี่ยวกับไฟล์ขนาดใหญ่และคุณภาพของภาพที่ทำให้ไม่สามารถอัพโหลดผ่านอินเตอร์เน็ตภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ต้องวิ่งนำเทปเบต้ามาส่งที่สตูดิโอ ปัญหาของการจราจรของกรุงเทพที่กลายเป็นอัมพาตทันทีที่ฝนตก และถ้ายังตกต่อเนื่องยาวนานก็จะพ่วงไปด้วยน้ำท่วมอีกหนึ่งกระทง รวมถึงปัญหาจุกจิกต่าง ๆ นานาที่เกิดขึ้นหน้างานเป็นประจำสม่ำเสมอ

ทั้งหมดนี้เทียบไม่ได้เลยกับการที่บอร์ดทั้งหมดฝั่งผังจะชมรายการไปพร้อมกับคนดูทั้งประเทศ

และส่วนหนึ่งของบอร์ด...อยู่ที่สตูดิโอแห่งนี้แล้ว

หากความวุ่นวายของทีมงานหลายสิบชีวิตนั้นไม่อาจกระทบกระเทือนโลกที่ไม่มีใครเข้าถึงของตรีได้ พิธีกรหนุ่มกำลังนั่งเชิดหน้ากับโทรศัพท์มือถือ เหล่มองจนตาเขก็ไม่มีสายโทรเข้ามา ถึงขนาดที่ต้องหยิบขึ้นมาดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า และเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก...ทุกอย่างยังปกติดี

"อีกห้านาทีจะเริ่มรายการแล้วค่ะน้องตรี เข้าไปนั่งรอที่ฉากได้เลยค่ะ" ดาน่าเดินมาตามชายหนุ่มที่จ้องมือถือเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ "มีอะไรหรือเปล่าคะ"

"ไม่ !"

"ไม่อะไรคะ" ดาน่าสะดุ้ง

"ไม่ ! คนแบบตรีไม่เคยต้องรอใคร" ตรีหันมาแผดเสียง เล่นใหญ่ อารมณ์เต็มจัดแบบละครเวที "ต่อให้เป็นสายจากไจแอนท์โคลาก็ไม่รอ"

"ค่ะ ไม่รอก็ไม่รอ" ไม่อยากขัดใจให้เป็นปัญหากว่านี้ หญิงสาวเลยตามน้ำ ลำพังแค่สคริปต์ข่าวที่พิมพ์กันสด ๆ ก็ปวดหัวพอแล้ว ดาน่าดันหลังพิธีกรหนุ่มเจ้าสำอางไปเข้าฉากแล้วเริ่มพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ยังแก้ไขไม่ทัน

"น้องตรีค่ะ ฟังพี่แป๊บนะคะ พวกเรามีปัญหานิดหน่อยค่ะ เรื่องสคริปต์ข่าว รวมถึงเทป VTR และกราฟฟิกทั้งหมด เราเตรียมเอาไว้เพื่ออัดสกู๊ปเกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุด แต่ตอนนี้ฝนกำลังตกหนัก แปลว่าเราใช้ข้อมูลที่เตรียมไว้ได้บางส่วนเท่านั้น คือ...." ดาน่ากลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนลงคอ มองหน้าคนที่นั่งไม่ทุกข์ร้อนอย่างทำใจแล้วว่าจะต้องโดนแหวใส่แน่ ๆ "คือส่วนที่เหลือต้องรื้อใหม่หมด และเรายังทำไม่ทันค่ะ"

แต่ตรีพยักหน้าหงึก ๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ ไม่แม้แต่จะชักสีหน้าไม่พอใจ

"แล้วตอนนี้ผู้ใหญ่ของช่องก็มาดูการทำงานของเราที่สตูดิโอด้วยนะคะ ตอนนี้อยู่ที่หน้ามอนิเตอร์"

ตรี พงษ์พิพัฒน์พยักหน้าอีกรอบ คิ้วขมวดเป็นปมสะท้อนอยู่บนหน้าจอมือถือในมือ ผู้กำกับให้สัญญาณพร้อมกับตัวเลขที่นับถอยหลัง ดาน่าเดินออกมาจากฉาก สีหน้าของตรีทำให้เธอรู้สึกกังวลเหลือกเกิน เสียงนับถอยหลังดังขึ้น ตรีวางโทรศัพท์ลงอย่างอาลัยอาวรณ์ เชิดหน้า พรมรอยยิ้มแบบมืออาชีพประดับใบหน้าหล่อเหลา ไม่หลงเหลือแม้แต่คราบความว้าวุ่นในนาทีก่อนหน้า

"สวัสดีครับ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการวันนี้ที่ประเทศไทย รายการพิเศษ...ในวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี"

อานนท์มองจ้องมองทีวีที่ฉายอยู่ที่แผนกที่เยื้องไปด้านข้าง พิธีกรกำลังยิ้มพร่างพราวขณะที่พูดถึงอากาศซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในวันนี้

"มวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการปะทะกับมวลอากาศร้อนที่ปกคลุมอยู่ในตอนนี้ ก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงหรือที่เราเรียกว่าพายุฤดูร้อนในหลายส่วนของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงทุกเขตของกรุงเทพมหานคร"

เสียงพายุฝนขนาดย่อมนั้นรุนแรงพอจะทำให้อานนท์ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของน้ำฝนที่ตกกระทบกับกระจกทรงโดม กระจกหนาพวกนี้กั้นเป็นตัวอาคารทั้งหมดของคอมเพล็กซ์ตามการออกแบบที่เน้นความโปร่งโล่งสบาย พนักงานในแผนกกำลังส่ายหัวคล้ายรู้ดีว่าเวลาที่ฝนตกหนักจะเป็นอย่างไร  ฝนที่ตกหนักนั้นทำให้คนที่มาเดินห้างสรรพสินค้าคงลดน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัย จากจำนวนที่มีอยู่เพียงบางเบาก็คงชะลอการซื้อหาออกไป อย่างที่รู้ ไม่มีใครอยากให้อุปกรณ์ไฟฟ้าใหม่เอี่ยมของตัวเองเปื้อนน้ำฝนหรอก เพราะถ้าเป็นอานนท์เองก็คงจะไม่ซื้ออะไรในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้ แปลกตรงที่รู้ทั้งรู้ว่าการจัดส่งจะเกิดขึ้นในวันหลัง แต่มันเป็นความรู้สึกที่คนเรามักจะเผลอเอามาโยงกันโดยไม่รู้ตัว

อานนท์เดินออกมาที่โถงทางเดินที่เป็นบนไดเลื่อนตรงกลางห้าง แหงนหน้าขึ้นไปด้านบน ท้องฟ้าสีเทาครึ้มห่อหุ้มทั้งอาคารด้วยสายฝนที่กระหน่ำรุนแรง อีกไม่กี่ชั่วโมง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบลงอย่างที่คิด อานนท์จะได้กลับบ้านจากการยืนโยงมาทั้งกะ แต่การตอกบัตรออกกะในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่อานนท์จะได้ทำ บางทีอานนท์อาจจะต้องกลับไปที่บ้าน รับจ้างเก็บผลไม้จากสวน รับเงินชั่วโมงละยี่สิบบาทพร้อมกับผลไม้สองสามถุงกลับบ้านแบบพ่อและแม่ทำ

พ่อจ๋า แม่จ๋า เดี๋ยวก็คงได้พบกัน อานนท์จะกลับไปอยู่ที่บ้าน ทำงานกับพ่อกับแม่ไม่ต้องให้คอยเป็นห่วงอีกแล้ว กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคนเก่ง ๆ ให้เรียนรู้ แต่บางทีที่นี่อาจจะไม่เหมาะกับอานนท์เท่าไร

คุณโกวิท...ที่ให้โอกาสอานนท์ครั้งแล้วครั้งเล่า ขอบคุณที่รับอานนท์เข้าทำงานทั้งที่แบบทดสอบอะไรก็ทำได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ควรเป็น ทั้งที่อานนท์เป็นแค่เด็กฝาก แต่คุณโกวิทก็เมตตาเสมอ

มาลี...จากนี้ไปคงไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันอีกแล้ว ขอบคุณที่คอยปลุกเวลาที่นอนหลับตอนที่ทำงาน ฟูกนิ่ม ๆ เตียงนอนราคาหลายหมื่น กับแอร์เย็น ๆ เป็นสิ่งที่บ้านอานนท์ไม่มี พอได้อิง มันก็ทำให้อานนท์อยากหลับอยู่ในความฝันแบบนั้น

ตูน...ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือแนะนำ ถึงแม้ว่าจะรู้จักกันแค่ไม่นาน แต่ตูนก็ช่วยอานนท์หลายครั้งเหลือเกิน

พี่สิงห์...ขอบคุณที่คอยเคี่ยวเข็ญ กระทุ้งให้อึดสู้ ไม่ยอมแพ้ พี่สิงห์เป็นคนเก่ง อานนท์อยากจะเก่งให้ได้สักครึ่งของพี่สิงห์ อยากทำงานกับคนเก่ง ๆ แบบพี่สิงห์ไปเรื่อย ๆ ถ้ามีโอกาส อานนท์ก็อยากทานข้าวกับพี่สิงห์อีกสักครั้ง แล้วถ้าพบกัน อานนท์อยากกอดพี่สิงห์สักครั้งแล้วบอกลา ไม่ว่าพี่สิงห์จะรับฟัง ไม่สนใจ และเห็นว่าเป็นเรื่องงี่เง่าแค่ไหนก็ตาม แค่อยากกอดสักครั้งแล้วเอ่ยขอบคุณ

ขอบคุณ

ขอบคุณนะทุกคน

อานนท์เดินกลับไปที่แผนกด้วยรอยยิ้มอย่างคนที่ปลงได้ ยืนมองข่าวลมฟ้าอากาศที่ประกาศอยู่หน้าจอพร้อมกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำอยู่ในใจ

"ขณะเกิดฝนตกฟ้าร้องควรหลบเข้าไปอยู่ในที่ร่ม ไม่ควรอยู่ในที่โล่งแจ้งหรือใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่โดดเดี่ยว และควรอยู่ห่างจากวัตถุที่เป็นสื่อไฟฟ้าทุกชนิด รวมทั้งงดใช้อุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิด เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หรือลิฟต์ สำหรับผู้ที่กำลังเดินทางอยู่บนท้องถนน ขอให้ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง และตรวจสอบเส้นทางแต่เนิ่น ๆ เพราะตอนนี้การจราจรหลายแห่งเริ่มมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นทางหลวงต่าง ๆ หรือแม้แต่ถนนเส้นสำคัญ ๆ ในกรุงเทพมหานคร มีรายงานว่าหลายจุดของกรุงเทพในตอนนี้ได้เกิดอุบัติเหตุแล้ว"

อุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ ?

หนึ่งเบือนหน้าจากหน้าจอแล้วเดินนั่งที่ริมหน้าต่าง ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง โหมกระหน่ำเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หากฝนกำลังตกด้วยปริมาณมากและรุนแรงขนาดนี้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ แล้วทริปจักรยานจะเป็นอย่างไรบ้าง

จักรยานไม่เหมือนกับรถยนต์ มีหลังคาปิด ทั้งโลหะและกระจกที่ออกมามาเพื่อป้องกันฝน จักรยานเหมือนกับรถมอเตอร์ไซด์ ขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่มีเกราะกำบัง แต่เลวร้ายยิ่งกว่าตรงที่ไม่สามารถเร่งความเร็วไปหาที่หลบได้ทันก่อนจะเปียกปอนจนเละเทะ จักรยานต้องอาศัยแรงถีบและเพราะเป็นทริปขี่จักรยานที่จำเป็นต้องตามกันไปทั้งกลุ่ม ไม่อาจทิ้งกันหรือใครไวใครไปก่อนได้ ทั้งความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติที่เหตุก็มากที่สุดเพราะทุกอย่างใช้แรงคนขี่ และน้ำฝนก็เป็นอุปสรรคเสมอ

"ตกหนักมากเลยนะลูก จู่ ๆ ก็ตกลงมาเหมือนฟ้ารั่ว โชคดีแล้วที่ไม่ได้ไปร่วมทริปกับเขา" แม่เปรยขึ้นหลังจากดูพิธีกรในโทรทัศน์พูดถึงฝนที่ตกอย่างรุนแรงจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นพายุฤดูร้อนขนาดย่อม ๆ "แล้วอาร์มล่ะลูก ไปกับเขาไหม"

"ไปครับแม่" หนึ่งตอบ รู้สึกห่วงนิดหน่อย

"อ้าว..." หญิงวัยกลางคนร้อง

"ไปกับเพื่อน ๆ ที่ชมรมจักรยานน่ะแม่"

คนที่ผ่านชีวิตมามากกว่าผ่อนลมหายใจกังวล "ที่แม่ห่วงก็เพราะเป็นผู้ชายนี่แหละ พอเห็นเป็นผู้ชาย คนอื่นก็จะมองข้ามเพราะคิดว่าน่าจะเอาตัวรอดได้ แต่จริง ๆ แล้ว อาร์มก็แค่ระดับคนที่ขี่จักรยานเป็น ความพร้อมของเอง บางทีอาจจะน้อยกว่าผู้หญิงที่ซ้อมบ่อย ๆ ด้วยซ้ำ"

"น่าจะหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งทันมั้งครับ" ตอบออกไปอย่างนั้น ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า

เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากเม้มแน่นขณะที่จ้องดูสายฝนซึ่งกระหน่ำจนมองอะไรไม่เห็น

ฝนยังตกอย่างต่อเนื่องเหมือนกับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ป้ายรถเมล์เก่า ๆ ที่ริมถนนจึงกลายเป็นที่หลบภัยฉุกเฉินสำหรับชาวกรุงเทพ บางจุดที่เป็นป้ายใหญ่อาจจะมีหลายสิบชีวิตไปหลบละอองฝนอันเหน็บหนาวอยู่ที่นั่น แต่ไม่ใช่ที่ป้ายรถเมล์เล็ก ๆ หน้าปากซอยคับแคบบนปลายถนนสีลม

ธีมนั่งขดอยู่กับสุนัขอ้วนปุ๊กสองตัว เพราะกลัวลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กเปียกฝนแล้วจะไม่สบาย เด็กน้อยเลยวิ่งออกมาต้อนมันทั้งสองเข้าไปแอบที่กันสาดหน้าร้าน ธีมโตแล้ว ต้องดูแลสิ่งที่ต้องการปกป้องให้ได้ ธีมแข็งแรง ยกของหนัก ๆ ก็ไหว ทุกวันนี้ธีมเริ่มช่วยงานแม่ได้บ้างแล้ว  ทำไมแค่ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กจะดูแลไม่ได้ เด็กน้อยวิ่งกวดสุนัขตัวอ้วนทั้งสอง แต่ยิ่งวิ่งเจ้าสองตัวก็นึกว่าจะชวนเล่น สี่เท้าโกยสุดกำลังออกมาถึงหน้าปากซอย แล้วฝนก็เทลงมา

เด็กน้อยตัวสั่น มองทุกอย่างรอบตัวด้วยความตกใจ ธีมกลัวฝน กลัวฟ้าผ่าลงมาโดนหัว ทุกครั้งที่ฟ้าร้องดัง ๆ เด็กน้อยจะซุกตัวขดคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มสองชั้น กอดหมอนข้างจนแน่นรอจนกว่าฝนจะหยุด แต่ครึ่งชั่วโมงแล้วที่นั่งอยู่แบบนี้ เปียกไปทั้งตัวจนหนาว เด็กน้อยขดตัวเองกับหน้าแข้ง หวังว่าจะพอทำให้อุ่นขึ้นมาได้บ้าง แต่ลมก็พัดแรง พาน้ำฝนเข้ามาตลอดเวลาจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว และฟ้าก็คำรามครืน ๆ จนเด็กน้อยเกือบจะร้องไห้ ตั้งแต่เล็ก ธีมไม่เคยอยู่คนเดียว ทุกทีจะไปไหนก็จะมีแม่ลูกน้ำหรือคุณครูดูแลตลอด ไม่เคยอยู่ห่างกับผู้ใหญ่โดยเฉพาะในตอนที่ฝนตกหนัก ๆ แบบนี้ ร่างเล็กไหวระริกอยู่เพียงลำพังคนเดียว ตัวสั่นเทาด้วยความหนาว พยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมา

จะต้องเข้มแข็ง จะต้องไม่ร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ ธีมต้องดูแลแม่แทนพ่อ ต้องทำในส่วนที่พ่อทำไม่ได้ จะมาร้องไห้กับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ !

"จะต้องไม่ร้อง จะต้องดูแลแม่น้ำ ดูแลลิ้นห้อย ร้อนแฮ่กให้ได้ ธีมจะดูแลชาฮิด จะปกป้องชาฮิดเอง !" เด็กน้อยจ้องมองสายฝนที่น่ากลัว พูดวนซ้ำ ๆ แบบนั้นกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะพูดแบบนั้นแต่พอท้องฟ้าผ่าลงมาทีไร เด็กน้อยก็ยกสองมือขึ้นอุดหู

"ไม่กลัวฟ้าผ่าหรอก ! ไม่กลัว ! ไม่กลัว ! ฉันไม่กลัว !" ธีมตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าร้อง

สองมือเล็ก ๆ ลดระดับลงแล้วกอดหมาทั้งสองตัวไว้จนแน่น ถึงจะตะโกนบอกสายฝนไปแบบนั้น แต่บนแก้มที่ชื้นไปด้วยน้ำฝน หยดน้ำเล็ก ๆ กำลังไหลพรูออกมาจากตาทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัว

นิ้วโป้งปาดซับความาเปียกชื้นบนแก้มตัวเอง นภเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง คำพูดของปรายฟ้ายังวนเวียนอยู่ในหัว มองจากภายนอกแล้วนภยังคงวางเฉย ทำตัวเป็นปกติ ไม่แสดงออกถึงความรู้สึก ทว่าในใจในตอนนี้กลับกำลังเปราะบางเหมือนแก้วที่รอวันแตก

สิบกว่าปีที่ชีวิตเอาแต่หนีไปเรื่อย ๆ เลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ ไม่ถามอะไรสักอย่าง นภใช้ชีวิตแบบนั้นมานานแสนนาน ทั้งที่ถ้าเพียงวันนั้นนภเลือกที่จะเดินไปถามเรื่องราวทุกอย่าง ช่วยเหลือปืนแบบที่ตั้งใจจะทำ นภอาจไม่ต้องหนีตัวเองไปต่างประเทศ คงไม่ต้องปล่อยให้เวลาค่อย ๆ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป จากเพื่อนสนิทกลายเป็นแค่เพื่อน สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงแค่คนที่เคยรู้จักกัน

มันคงช้าไปแล้วจริง ๆ เพราะพูดกันตามตรงแล้ว การที่โชคดีได้รู้ความจริงทุกอย่างในวันนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร เมื่อทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้วเพราะการกระทำของตัวนภเองในวันนั้น

ก็ต้องยอมรับผลจากการกระทำนั้นเองไม่ใช่หรือ

เรื่องที่เกิดขึ้น นภไม่โทษปืน ถึงจะรู้สึกโมโหที่ไม่พูดเหตุผลให้ฟังสักข้อทั้งที่เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่พอลองมาคิดกลับกันแล้ว ถ้าเป็นนภ ถึงจะไม่ใจกล้าบ้าบิ่นขนาดออกมาสวมบทเป็นพ่อของธีม แต่ก็เป็นไปได้มากที่จะเลือกรักษาความลับของลูกน้ำเอาไว้แม้แต่กับปืนก็ตาม การที่ใครสักคนต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันด้วยเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนอายุแค่สิบเก้า ทั้งแรงกดดันจากที่บ้าน ทั้่งคำถามจากสังคม แค่นี้ก็เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสพอแล้ว ถ้าการรักษาความลับเอาไว้จะช่วยให้อะไร ๆ ไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิม นภก็คงเลือกจะทำแบบนั้น

เพราะโตพอจะคิดได้แล้วถึงไม่ปล่อยใจให้เตลิดไปแบบนั้น แต่ไอ้จะห้ามความรู้สึกแปลบ ๆ ที่เป็นอยู่นี้ มันทำไม่ได้จริง ๆ นภเงยหน้าขึ้นมองโทรทัศน์ที่แขวนอยู่มุมหนึ่งของผนังในร้าน รายงานสดบอกว่าบางแห่งของประเทศมีฝนตกหนักจนถึงขั้นเป็นพายุฤดูร้อน ขณะที่บางแห่งนั้นอุณหภูมิกลับแตะเกือบถึง 45 องศาเซลเซียส โดยที่บางแห่งกลับหนาวถึงขั้นมีพายุลูกเห็บหล่นทำบ้านเรือนเสียหาย

ไม่อาจคาดเดาได้เลย

ถ้าที่เยอรมัน ฤดูร้อนที่นั่นคงจะพอคาดเดาอุณหภูมิได้ ฤดูร้อนที่ร้อนทึ่สุดอากาศจะตกอยู่ที่ราว ๆ ยี่สิบองศาเซลเซียส แต่ที่ประเทศไทย ฤดูร้อนหรือฤดูไหน ๆ อากาศที่นี่เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย ฤดูร้อนอาจมีฝนตก ฤดูหนาวกลับร้อนจัด หรือแม้แต่ฤดูฝนที่อบอ้าวจนเพลีย ทั้งที่อยู่มานาน รู้จักกันเป็นสิบปี แต่ก็ไม่มีอะไรคาดเดาได้สักนิด

คนที่นี่ก็คงไม่ต่างกัน ถึงจะรู้จักกันจนสนิท แต่พอถึงเวลากลับรู้สึกว่ายังรู้จักกันน้อยเหลือเกิน

"เมษายนเป็นเดือนที่ขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์ จึงเป็นช่วงระยะเวลาที่ตอนเที่ยง พระอาทิตย์จะอยู่ตรงกับศีรษะเรามากที่สุดของปี และเมื่อกระทบกับมวลอากาศเย็นที่กระจายเข้ามาอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดสภาพอากาศที่ปั่นป่วนรุนแรง ก่อให้เกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศที่พบได้บ่อยครั้ง พักชมสิ่งที่น่าสนใจ แล้วกลับมาพบกับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปีในช่วงหน้า สักครู่ครับ"

สัญญาณตัดเข้าสู่ช่วงโฆษณา พร้อมกับความโล่งใจของทีมงานทุกคนที่ตรีสามารถพยุงรายการให้ผ่านไปอีกเบรกได้อย่างราบรื่นจนไม่น่าจะสังเกตได้ว่าสคริปต์ข่าวและการตัดออกรายงานสดจากภูมิภาคต่าง ๆ นั้นเพียงพอแค่การรายงานเพียง 70 - 80 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

แต่นับจากนี้ นี่แหละปัญหา

ข้อมูลที่เตรียมไว้สำหรับช่วงต่อไปนั้นมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะส่วนที่เหลือคือเทปที่ยังเดินทางมาไม่ถึงสตูดิโอด้วยติดฝนที่ตกหนักจนการจราจร

"ตรี เบรกหน้าเรามีปัญหานะ เทปที่เราเตรียมไว้ยังไงก็ไม่น่าจะมาทำแน่ ๆ" พี่จ๊อดเดินคิ้วขมวดเข้ามาในฉากพร้อมกับสคริปต์รายการในเบรกต่อไปที่มีเพียงสองแผ่น "ที่เหลือเราอาจจะต้องพึ่งการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า"

"ตัดสลับการรายงานสดอาจพอช่วยได้อีกสัก 20 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับน้องตรีอาจจะต้องด้นสดเองอีกประมาณหกนาทีโดยไม่ให้เกิดหลุมอากาศ จะไหวไหมคะ" ดาน่าเองก็กังวลอย่างเห็นได้ชัด

"ไม่ไหวก็ต้องไหว ทำยังไงได้ เรามีเวลาอีกสามสิบวินาที มีอะไรจะถามไหม" พี่จ๊อดถามหน้าเครียด

แต่คนที่หน้าเครียดที่สุดคือตรี ชายหนุ่มหันมากระแทกมือลงกับโต๊ะแล้วส่งเสียงดัง !

"สัญญาณมือถือโอเคกันใช่ไหม"

"อะไรนะ ?" สองคนอ้ำอึ้ง

"ก็ไม่เห็นมีสักข้อความส่งมา ไลน์ SMS อีเมล ไม่มีอะไรเลย" ตรีส่งเสียงเศร้า ความมั่นใจถดถอยไป 55 เปอร์เซ็นต์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ปกติแล้วตรีไม่เคยต้องมาคิดหนักกับเรื่องพวกนี้เลยแท้ ๆ ! เสียงทีมงานตะโกนบอกว่าอีกยี่สิบวินาจะตัดกลับเข้ารายการ

"มั่นใจไหม ?" พี่จ๊อดถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

"ไม่ !"

ทำไมไม่โทรมาอีก ! ทำไม ! ทำไม ! ทำไม !

"ตั้งสติหน่อยตรี ไม่มีเวลาแล้ว เบรกต่อไป ยังไงก็ทำให้ดีที่สุด" โปรดิวเซอร์ผู้เจนจัดพูดเสียงเครียด ซึ่งแน่นอนว่าต้องสะดุดหูคนแบบตรี พงษ์พิพัฒน์ผู้แสนจะเจ้าระเบียบพิธีการเป็นแน่

"จะดีเหรอ ?" ตรีถามอย่างไม่เชื่อหู

ดาน่าที่เห็นท่าไม่ค่อยดีรีบไกล่เกลี่ย "ดีแน่นอนค่ะ เพื่อทีมงานของเราทุกคนค่ะน้องตรี"

"ถ้าทำเต็มที่ มันจะไม่ดีเกินรายการดาษ ๆ ในฟรีทีวีแบบนี้เหรอครับ ?" ตรี พงษ์พิพัฒน์ยกมือขึ้นทาบแผ่นอกตัวเองด้วยอาการตกใจยิ่งนัก







ตอนนี้เป็นตอนที่นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ของกันเสียมาก เลยตัวหนังสือติดกันเป็นตับ ๆ นิดนึงนะครับ
สำหรับตอนหน้าจะเป็นตอนจบของเรื่องแล้ว ฝากติดตามด้วยนะครับ

หลังจากจบแล้ววางแผนจะรวมเล่มด้วยเผื่อให้คนที่อยากเก็บด้วยครับ
อาจจะเปิดจองสำหรับพรีออเดอร์ประมาณหนึ่งเดือนครับ
ไว้เดี๋ยวโรงพิมพ์ประเมินราคามาจะเอามาแจ้งคร่าวๆ ครับ

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับที่ติดตามอ่านกัน พบกับบทสรุปของเรื่องในตอนหน้าครับ :D

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ฝนหลงฤดูจะทำให้อะไร ๆ เปลี่ยนไปบ้างไหม
คนที่รอก็ไม่อยากให้หมดหวัง ไม่ว่าจะรออะไรก็ตาม
ปล.แม่น้องหมูน่ารักจัง เห็นส่วนใหญ่เวลาเด็กทะเลาะกัน
ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายแทนที่จะเจรจารอมชอมกลายเป็นทะเลาะกันใหญ่โตทุกที

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
เป็นห่วงอาร์มไปด้วย กลัวจะเกิดเหตุร้าย
อาร์มรีบกลับมาอย่างปลอดภัยนะสงสารหนึ่ง นั่งไม่ติดที่แล้ว

ปืนไม่ออกมาสองตอนแล้ว ไปซุ่มอารมณ์ติสท์อยู่ไหน
นภไม่ควรโทษตัวเองนะ ปืนก็ผิดเหอะ!

พี่สิงห์ก็อีกคน นี่แอบไปซุ่มอยู่กับอีตาปืนแน่ๆ
อานนท์น่าสงสารนะ ทำไมไม่ทำอะไรสักอย่างเล่าาาาาา ฮึ๊ย หงุดหงิด

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ลุ้นอานนท์มากสุด ไม่ไหวแล้ว แต่โผล่มาให้พอหน่วง
ีพี่สิงไม่ออกหลายตอนแล้วคิดถึ้งคิดถึง ตอนหน้าจะจบแล้วใจหายเลย
คู่ปืนกับนภก็ยังมองไม่เห็นทาง
รออ่านตอนต่อไป ขอให้ทุกคนสบายดีในวันที่ฝนตกนะฮะ TvT

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เป็นห่วงอาร์มจังเลยค่ะ ขอใหัปลอดภัยน้าา อย่ามีเรื่องร้ายๆเลย
อานนท์ นายทำเราร้องไหัมาหลายตอนแล้วน่ะ ฮืออออ สงสาร อิพี่สิงห์มารับผิดชอบเลยน่ะ
นภกับปืนจะเป็นไงน้า
ธีมรอให้ชาฮิดมาช่วยน่ะ
ตรียังคงเกรียนเสมอต้นเสมอปลาย
รอๆๆตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ววว
จะรอจองน้าาา

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
ปรายฟ้าเป็นคนที่เข้มแข็งมาก สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าลืมอดีตที่ไม่ดีทิ้งไป แต่เลือกที่จะอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุขต่างหากล่ะที่สำคัญ  o13

เอาล่ะสิจะเป็นไงต่อไปน้าาา. รอตอนจบค่าา :mew1:

ruins

  • บุคคลทั่วไป
จะติดตามตอนต่อไป พอดีอินไปนิดเดียว
เลยว่าจะรอจองด้วย รวมเล่มเมื่อไหร่บอกด้วยนะ
 :mew3:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ มาถึงตอนจบแล้ว ขออนุญาตขู่ก่อนที่จะได้อ่านกันนะครับ
ตอนนี้มีขนาดที่ค่อนข้างยาวมากหน่อย อาจต้องใช้เวลาอ่านนานพอสมควร
ตัวหนังสือเยอะ แน่น และทดสอบความอึดของคนอ่านเต็มที่
จำเป็นต้องใช้สมาธิในการอ่านพอสมควร เพราะตัวละครแห่กันมาเหมือนจัดงานบุญบั้งไฟ
คนแต่งเองยังหน้ามืดลงไปนอนสลบคร่อกฟี้มาแล้ว ขอท้าทายคนอ่านทุกคนเลยครับ 555










ตอนที่ ๑๕



กลิ่นกับข้าวหอมฉุยออกมาจากในครัว ระหว่างที่แม่กำลังยืนทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่ คนเป็นลูกชายกลับยืนอยู่ที่ประตูด้วยหัวใจว้าวุ่น พิธานเดินกลับไปกลับมาเหมือนหนูติดจั่น ทั้งดวงตาและดวงใจมองผ่านกระจกบานเกล็ดที่ปิดอยู่ไปในสีทึมเทาด้านนอกรั้ว

ฝนซาลงนิดหน่อย แต่โลกของหนึ่งยังคงดูเป็นพื้นที่อันไร้ชีวิตแสงสี หนึ่งไม่ชอบอากาศร้อน เกลียดมาโดยตลอด ฝนซึ่งตกกระหน่ำอาจเป็นข่าวดีในวันที่ร้อนที่สุดสำหรับใครหลายคน แต่ไม่ใช่กับเขา หนึ่งอยากให้ทุกอย่างเป็นแบบเดิมที่ควรเป็น แดดร้อน อากาศอบอ้าวจนคนก่นด่าทั้งเมืองแบบนั้น มองเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรดี แต่อย่างน้อยอากาศร้อนจัดก็ทำให้อุ่นใจได้ว่าน่าจะไม่มีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะถนนลื่น

พิธานนั่งลงบนโซฟา หันหลังให้กับความเห็นของสายฝนที่ตกกระหน่ำ ดูรายการพิเศษในทีวีที่เกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีของประเทศไทย ภาพในจอโทรทัศน์ไม่ใช่แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าแต่เป็นภาพการจราจรที่ติดขัดมีปัญหาในความอึมครึมของสายฝน

"ขณะนี้ท้องถนนหลายจุดในกรุงเทพเริ่มมีปัญหาน้ำท่วมขัง เนื่องจากฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะหมดไปในไม่ช้า เพราะขณะนี้ทางกรุงเทพมหานครได้เปิดเครื่องสูบน้ำเต็มกำลังและฝนที่เริ่มตกน้อยลง คาดว่าระดับน้ำจะลดลงภายในไม่เกิดนสองชั่วโมง"

หนึ่งถอนหายใจแล้วเบนสายตากลับไปจ้องที่บานประตูไม้ ภาวนาอยู่ในใจให้มันเปิดออก แล้วมันก็เปิดออกจริง ๆ จากที่นั่งซึมเซาอยู่ เด็กหนุ่มแทบจะกระโจนออกไปหา หนึ่งวิ่งไปหน้าประตู มองคนตรงหน้าให้เต็มตาเหมือนจะพิสูจน์ว่านี่คือของจริง

มือที่ยังเปียกชื้นซึ่งกุมอยู่บนแขนยืนยันในคำตอบได้เป็นอย่างดี อาร์มส่งยิ้มแฉ่ง ยังคงสวมชุดที่เห็นเมื่อเช้าแต่อยู่ในสภาพเปียกมะลอกมะแลก "พอดีมันคิดถึง เลยเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว แต่ยังมาไม่ถึง ฝนดันตกเสียก่อน"

พอเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่มโนภาพให้ดีใจเล่น น้ำตาซึมก็มาโดยไม่รู้ตัว "ประสาทจริง"

คนฟังหน้าระรื่น ยื่นปากที่ชื้นไปด้วยน้ำฝนหอมลงบนแก้มของคนที่ยืนบ่นอย่างรวดเร็ว สูดกลิ่นผิวนุ่มนิ่มไปจนชุ่มปอด "คิดถึงนะคะ"

หนึ่งยกมือขึ้นปิดแก้มด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างความเขินและตื่นตะลึง ไม่คิดจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำซึ่งหน้าแบบนี้ "เดี๋ยวแม่เห็น"

อาร์มมองคนแยกเขี้ยว คำรามลอดไรฟันแล้วก็ชื่นใจ ไม่ให้หอมก็ไม่หอม อีกข้างติดเอาไว้หลังจากเปลี่ยนชุดข้างบนก็ได้ คนสวมชุดปั่นจักรยานเต็มยศเอาผมที่เปียกชื้นไถไปบนคอของอีกฝ่ายเล่นเหมือนลูกแมวช่างอ้อน "โธ่ ก็คนมันคิดถึงนี่นา อย่าดุสิ อาร์มอยากอยู่ใกล้ ๆ หนึ่งนี่คะ"

"ใครมาเหรอจ๊ะ" เสียงของแม่ที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้หนึ่งสะดุ้งแล้วหันกลับไปมอง แต่ไม่ได้มาแค่เสียง ตัวก็เดินมามองให้ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ด้วย "อาร์มเหรอลูก ได้ข่าวว่าไปขี่จักรยาน ไหนเปียกมาเป็นลูกหมาตกน้ำเลยจ๊ะ"

"ฝนตกครับคุณแม่ นี่กำลังทำโทษหนึ่งอยู่ มาทิ้งกันหน้าตาเฉย เอาให้เปียกไปด้วยกัน" ไม่พูดเปล่า อาร์มโผเข้ากอดหนึ่งเต็มตัว เอาหัวไถ ๆ ถู ๆ ชนิดไม่ได้เกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่สักนิด

หน้าด้านอะไรแบบนี้

หนึ่งหลับตาปี๋แล้วก่นด่าในใจ เด็กหนุ่มร้อนวูบ ๆ ไปทั้งหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้เป็นมารดาจะมองด้วยความรู้สึกแบบไหน ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ช่างเพิกเฉยกับเรื่องกาลเทศะได้อย่างเหลือเชื่อ แจ่มแจ้ง (ตรงการกระทำ) แดงแจ๋ (ตรงแก้ม) ยิ่งกว่าตอนสมัยที่โดนล้อว่าเป็นคู่เกย์กันเสียจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน

"พอกันเลย เปียกหมด ไป ๆ ไปอาบน้ำกันทั้งคู่เลยนะ หนึ่งเอาชุดให้อาร์มใส่ด้วยนะลูก แล้วลงมากินข้าวด้วยกัน อาร์มอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวแม่ทำให้"

"ขอกินหนึ่งได้ไหมครับ" หนึ่งสะดุ้งโหยง หันมามองคนที่พูดเต็มเสียงเหมือนตัวเองหูฝาด

"โอ๊ย...เขินจัง ไม่คิดว่าพูดแล้วจะเขินแบบนี้เลย" คนพูดหน้าแดงก่ำกับตัวเอง อาร์มยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ผมเปียก ๆ แล้วหัวเราะแหยให้กับแม่ของหนึ่ง ปิดท้ายด้วยการหันไปเขินใส่คนที่ตัวเองบอกว่าอยากกินอีกรอบ

"มุกอะไรของเราน่ะ พูดเองก็เขินหน้าแดงเอง" หญิงวัยกลางคนส่ายหัวระอา เธอแก่เกินกว่าจะสนใจมุกตลกของเด็กวัยรุ่นที่มีมาใหม่เป็นรายเดือนอีกแล้ว "รีบลงมากินไว ๆ ใกล้เสร็จแล้ว"

อ้าว...แม่ หนึ่งอ้าปากค้าง มองตามแผ่นหลังของหญิงร่างเล็กที่เดินกลับเข้าไปในครัวโดยไม่ทักไม่ท้วงอะไร ทำนองว่าเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นจนชินตามาหลายปีแล้ว บ่อยจนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร

"ปล่อย พูดอะไรแบบนั้น แม่จะรู้สึกยังไง" หนึ่งตะโกนเสียงดัง แต่ที่เล็ดลอดออกมากลับเป็นได้เพียงเสียงกระซิบ

"แล้วหนึ่งรู้สึกยังไงคะ"

"อะไรเล่า ?"

"คิดถึงอาร์มไหมคะ"

หนึ่งเบือนสายตาออกไปหยุดกับภาพสีเทาที่นอกหน้าต่าง มองจ้องทุกสิ่งอย่างขมักเขม้น คล้ายกับจะสืบค้นคำตอบบางอย่างที่ตกหล่นอยู่ท่ามกลางเม็ดฝนที่พรูลงจากฟ้า

ฝนยังตกอยู่จริง ๆ นั่นหรือ ทำไมถึงได้รู้สึกร้อนวูบวาบแปลก ๆ แบบนี้




"อากาศเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ เราอาจจะตีค่าวัดเป็นอุณหภูมิได้ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นที่ประกอบ ขณะที่พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า อาจจะวัดอุณหภูมิได้ประมาณ 42 องศาเซลเซียส แต่ท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆกำบัง หรือไม่มีลมพัดเลยนั้น อาจให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในอุณหภูมิที่สูงถึงเกือบ 50 องศาเซลเซียส แม้กระทั่งขณะนี้ที่ฝนตก ก็อาจจะรู้สึกหนาว หรืออาจจะรู้สึกอบอุ่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ด้านของแต่ละคน เพราะมนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิต มีความรู้สึก มีความรับรู้ และนั่นคือตัวแปรที่สำคัญที่สุด"




การมาของฝนทำให้เรื่องราวทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในด้านที่เลวร้ายมากขึ้น อานนท์รู้สึกหนาวขึ้นเรื่อย ๆ อากาศในคอมเพล็กซ์เย็นฉ่ำเพราะสายฝน ผู้หญิงหลายคนเดินกอดอก หลายคนบ่นว่าหนาว ยิ่งกับแผนกพัดลมและเครื่องปรับอากาศที่มีเปิดพัดลมไอน้ำอยู่ตลอดเวลานั้นยิ่งหนาวเป็นพิเศษ

อานนนท์พ่นลมหายใจอุ่น ๆ ลงบนอุ้งมือตัวเอง ก่อนจะหยิบใบปลิวของแอร์ยี่ห้อต่าง ๆ มาจัดให้เป็นระเบียบ เขานึกถึงวันแรกที่เริ่มต้นงานในห้างแห่งนี้ ทุกอย่างโอ่อ่าอย่างที่อานนท์ไม่เคยเห็นมาก่อน แอร์เย็นสบาย มีดนตรีเพราะ ๆ เปิดคลออยู่ตลอด หรูหราเสียจนเด็กบ้านนอกคนหนึ่งได้แต่มองอย่างทึ่ง คิดตั้งคำถามว่าคนที่เป็นเจ้าของจะรวยขนาดไหน จะมีความสุขแค่ไหนที่มีทรัพย์สินมหึมาได้มากถึงขนาดนี้ ว่ากันว่าแค่กระจกบานเดียวที่กรุขึ้นเป็นโดมก็ราคาหลายหมื่นแล้ว อานนท์ฟังแล้วเข่าอ่อน บ้านของเขาที่ต่างจังหวัด ช่วงไหนที่ผุพังต้องซ่อม แล้วถ้าบังเอิญอยู่ในช่วงที่บ้านไม่มีสตางค์ อานนท์กับพ่อยังต้องเดินไปเก็บป้ายหาเสียงของพวกนักการเมืองที่ไม่ใช่แล้วมากรุก่อตอกตะปูยึดขึ้นเป็นผนังบ้านชั่วคราวอุดรอยรั่วให้พอใช้ไป พักหลังที่อานนท์เข้ามาทำงานในกรุงเทพก็มีเงินช่วยที่บ้านมากขึ้นจนที่บ้านพอมีเก็บออม เรื่องเหล่านี้จึงเพลาลงไป

แต่มันกำลังจะจบแล้ว

เข็มนาฬิกาบอกเวลาที่เหลือน้อยลงอีกชั่วโมง อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลงพร้อมกับฝนพวกนี้ สถานะเป็นคนกรุงเทพชั่วคราวก็จะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับฤดูร้อนที่เขาว่าร้อนจัดกว่าทุกปี อานนท์หยุด คิด บวกลบต่าง ๆ ด้วยนิ้วมือ อีกประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็จะต้องออกจากกะแล้ว และในตอนที่ความหวังค่อย ๆ ถูกฝนชะล้างจนแทบไม่เหลือใด ๆ ร่างสูงใหญ่ซึ่งมีผมหยักศกเรี่ยบ่านั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่คนที่เดินไปมา เขาคนนั้นดึงดูดสายตาของอานนท์ให้ขยับเข้าไปใกล้ ใกล้จนกระทั่งเจ้าตัวสังเกตเห็นและหยุดยืนนิ่ง เมื่อมั่นใจว่าเป็นใคร คราวนี้เท้าทั้งสองข้างของอานนท์ก็คล้ายจะกระโจนออกไปเอง

"พี่สิงห์" อานนท์ทัก รู้สึกใจเต้นตึก ๆ ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุที่ควร

คนตัวสูงดื่มกาแฟปั่นในมือแล้วส่งสายตาดุ ๆ กลับมาที่อานนท์แบบทุกครั้ง "เดินออกมาจากแผนกทำไม ขายแอร์ได้แล้วเลยอู้งานก็ได้ ?"

"เปล่าครับ พอดีเห็นพี่สิงห์" คนตัวเล็กกว่าเกือบครึ่งตอบ "อันที่จริงแล้ว ผมยังขายไม่ได้สักเครื่องเลยครับ"

คล้ายกับแววตาคู่นั้นจะร้อนขึ้นจนอานนท์ไม่กล้าจะสบตาด้วย เด็กหนุ่มหลุบหน้าหนีลงมองพื้นพร้อมความรู้สึกบางอย่างที่กดดันจนท่วมท้นใจ เป็นเวลาไม่กี่วินาทีที่ทุกสิ่งประดังประเดเข้ามา ใจหนึ่งก็เอ่อล้นไปด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็ได้เจอกันอีกครั้ง ได้พูดคุยบอกลากันก่อนอะไร ๆ จะจบไป อีกใจ อานนท์ถามตัวเองว่าพี่สิงห์จะผิดหวังในตัวเขาหรือเปล่า เมื่อหลายวันที่ผ่านมาความทุ่มเทของพี่สิงห์มีค่าเพียงความว่างเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ เขายังขายแอร์ไม่ได้ พยายามเท่าไรก็ยังเป็นคนที่ไม่เอาไหนเหมือนเดิม

"ก้มหน้าทำไม เงยหน้าขึ้น" เสียงเข้มของคนตรงหน้าดังขึ้น

"เปล่าครับ"

"เงยหน้าขึ้นมาอานนท์ !" คราวนี้เพชรกล้าตวาดเสียงแข็ง "เป็นอะไร นิด ๆ หน่อย ๆ ร้องไห้เลยเหรอ เหยาะแหยะแบบนี้จะทำอะไรกิน"

ร่างสูงยักษ์ดึงมืออานนท์ให้เดินเข้ามาในแผนก ท่าทีดุดันนั้นน่ากลัวจนเหล่าพนักงานขายคนอื่นเดินเลี่ยงไปหมด ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของพี่สิงห์จากแผนกช่าง ไม่มีใครอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับสิงห์ร้ายผู้โดดเดี่ยวที่ไม่เคยคิดไว้หน้าใครแบบนั้น

เพชรกล้าหยุดยืนที่กลางแผนกแล้วคลายมือออก "ไหนบอกสิว่าสองรุ่นนี้ต่างกันยังไง !"

สั่นอยู่สักพัก พอตั้งสติได้ อานนท์ก็เงยหน้าขึ้น มองจ้องเครื่องปรับอากาศทั้งสองรุ่นที่พี่สิงห์ตั้งคำถาม ทบทวนถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านการท่องจำมานับครั้งไม่ถ้วนจนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสมอง อานนท์จะทำให้ดีที่สุด จะให้พี่สิงห์ได้รู้ว่าอย่างน้อยสิ่งที่พร่้ำสอนนั้นก็ใช่ไม่มีความหมายกับเขา

"รุ่นนี้เป็นแอร์ติดผนังครับ เสียงเงียบ กินไฟน้อย แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานหนักที่ต้องเปิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ส่วนรุ่นนี้เป็นแบบตั้งพื้นหรือแขวน ให้พลังลมและความเย็นดีกว่า แต่ทรงจะดูไม่ทันสมัยเท่าไหร่และค่อนข้างกินไฟ ถ้าเป็นแอร์บ้าน แบบติดผนังจะเหมาะกว่า" แม้จะมีอาการเคอะเขินอยู่บ้าง แต่อานนท์ก็พูดอย่างไม่ติดขัด "จุดต่างอีกจุดระหว่างสองรุ่นนี้คือในส่วนของระบบการฟอกอากาศครับ รุ่นแรกจะใช้แค่ระบบการกรอง เป็นแผ่นกรองที่ต้องเอามาทำความสะอาดเรื่อย ๆ แต่อีกรุ่นใช้ระบบการปล่อยประจุไฟฟ้าลบ มันจะคอยดักจับประจุบวกของพวกฝุ่นละออง แล้วทำให้มั่นร่วงลงบนพื้นห้อง แบบไอออไนเซอร์นี้จะไม่ต้องทำความสะอาดมากครับ"

"ก็ตอบได้คล่องแคล่วนี่" เพชรกล้าพูดด้วยเสียงที่ยอมรับขึ้น "แล้วถ้าห้องขนาดประมาณยี่สิบตารางเมตรควรซื้อกี่บีทียู จะแนะนำยังไง"

"ห้องขนาดยี่สิบตารางเมตร ถ้าเป็นห้องปกติก็แนะนำที่ 12,000 บีทียูครับ แต่ถ้าเป็นห้องที่โดนแดดจัดแนะนำเป็นรุ่น 18,000 บีทียูจะดีกว่าครับ ไม่อย่างนั้นอาจสู้แดดไม่ไหว" อานนท์ตอบอย่างฉะฉาน

เพชรกล้าเงียบไปชั่วขณะ มองดูตัวเครื่องปรับอากาศตรงหน้าเหมือนสืบค้นข้อมูลบางอย่างขึ้นมาเพื่อทดสอบอีก

แล้ววินาทีนั้นก็มาถึง เมื่อผู้ชายร่างสูงยักษ์เอ่ยขึ้นเต็มเสียง

"เอาแบบนี้ยี่สิบเครื่อง"

ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ แต่เป็นคำพูดที่อานนท์ไม่คิดว่าจะได้ยิน

"ส่งให้ได้เมื่อไหร่"

อานนท์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความงง หัวสมองรับข้อมูลไม่ทัน หรือพี่สิงห์จะล้อเล่นอะไร

"อานนท์ ! อย่าให้ต้องพูดซ้ำ ! ถามว่าส่งได้เมื่อไหร่ !"

"ส่งอะไรครับ" อานนท์ถาม ยังคงสับสน

"แอร์สิ ! ขายน้ำส้มปั่นเรอะ !" เพชรกล้ากระแทกแก้วกาแฟปั่นในมือลงกับเชลฟ์แล้วจ้องหน้าเคร่งจนอานนท์กลืนน้ำลายเอื้อก

"พี่สิงห์...พี่สิงห์จะซื้อแอร์เหรอครับ ซื้อทำไมยี่สิบเครื่อง" เด็กหนุ่มลำล่ำละลักถาม หากแต่ท่าทีของพี่สิงห์นั้นบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเริ่มหงุดหงิดกับตนเพียงใด สมมติว่านี่เป็นเรื่องจริง สมมติว่าเป็นอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับพี่สิงห์เลย "คือถ้าพี่สิงห์ใช้สิทธิ์พนักงานจะได้ส่วนลดนะครับ อย่าซื้อหน้าร้านแบบนี้เลยครับ ประหยัดกว่าตั้งหลายพัน"

"อานนท์ !"

"ครับ"

"ไปคิดเงินกับแคชเชียร์ ! เดี๋ยวนี้ !" เพชรกล้าเสียงแข็ง

"แต่พี่สิงห์ครับ..."

เพชรกล้าคว้าแถบบาร์โค๊ดจากหน้าเชลฟ์ แล้วใช้มืออีกข้างที่แข็งเหมือนคีมเหล็กบีบที่ข้อมือของอานนท์ ลากแขนและก้าวอาด ๆ ไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ พอถึงก็วางแถบรหัสสินค้าลงแล้วดึงป้ายพนักงานที่เหน็บไว้ตรงกระเป๋าเสื้อของอานนท์ออกมาวาง

"ซื้อแอร์ ! ซื้อกับเซลคนนี้ ! ยี่สิบเครื่อง ! คิดเงิน !" เพชรกล้าวางบัตรเครดิตลงแล้วหันมาจ้องหน้าคนที่ยืนค้างอ้าปากหวอ "แค่นี้มันยากเย็นนักหรือไง !"

คนที่ถูกตะคอกยังคงยืนนิ่ง พอเพชรกล้าจ้องหน้ากลับทำนองว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เหมือนโลกใบน้อย ๆ ของอานนท์จะเริ่มหมุนเคว้ง เด็กหนุ่มเซเหมือนจะล้ม เป็นเหตุให้คนตัวสูงดึงเข้ามายึดไว้กับตัวก่อนจะทำให้ข้าวของล้มระเนระนาด เพชรกล้าหันไปพูดกับแคชเชียร์ว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมาจัดการสลิป ก่อนจะพาอานนท์กลับไปที่เชลฟ์แสดงเครื่องปรับอากาศรุ่นต่าง ๆ

"กรอกเอกสารใบรับประกันและที่อยู่จัดส่งเป็นที่หอพักที่นายอยู่ ใส่เบอร์โทรศัพท์หอลงไปด้วย"

"อะไร" อานนท์ครางเสียงแผ่ว ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

เพชรกล้าหลับตาแล้วถอนหายใจยอมแพ้ในความซื่อ คิดดูแล้วเด็กอย่างอานนท์คงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก วันทั้งวันชีวิตมีแต่หอพักกับที่ทำงาน ไม่ค่อยได้พูดคุยกับใคร อาศัยอยู่กับความเงียบเหงาในห้องแคบ ๆ เพียงคนเดียวลำพัง

"หอพักที่นายอยู่น่ะรู้ไหมว่าเขาจะปรับบางส่วนให้เป็นห้องติดแอร์"

อานนท์ส่ายหน้าไม่รู้ ซึ่งก็ไม่นับว่าเกินความคาดหมายของคนที่เอ่ยถามนัก

"แล้วรู้ไหมว่าเจ้าของหอพักที่อยู่นั่นน่ะชื่ออะไร"

"พลอยแก้วอพาร์ตเมนต์" เด็กหนุ่มร่างเล็กตอบ

"พลอยแก้วคนนั่นน่ะ เป็นของแม่ฉัน" เพชรกล้าแจกแจง "สารพัดอาหารที่นายซื้อมาให้นั่นน่ะ ฉันกินมาหมดแล้ว ร้านค้าละแวกนั้นมีอะไรก็รู้จักเกือบทั้งหมด อาจจะรู้กว่านายด้วยซ้ำ ข้ามถนนแล้วเดินเข้าซอยที่เยื้องจากซอยบ้านไปประมาณห้าสิบเมตรมีร้านอาหารตามสั่ง ร้านนั้นอร่อยใช้ได้ ถัดไปจากปากซอยประมาณห้าร้อยเมตรมีร้านข้าวมันไก่ ร้านนั้นต้มไก่ดี น้ำจิ้มอร่อย ข้าง ๆ เป็นร้านข้าวหมูแดง หมูแดงน่ะไม่ได้เรื่อง แต่หมูกรอบถือว่าเข้าขั้น พวกนี้น่ะนายรู้ไหม"

อานนท์ยืนค้าง ร่างกายเหมือนจะโงนเงน ทรงตัวไม่ไหว "โกหก"

เพชรกล้าถอนใจอีกครั้งแล้วพูดต่อ "มีหอพักที่ไหนให้คนอยู่ได้ไม่ถึงเดือนแล้วย้ายออก ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าซ่อมบ้านอยู่ แล้วมันหนวกหูก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว แอร์นี่แม่ก็ใช้ให้มาซื้อตั้งนานแล้ว พอช่างซ่อมบ้านฉันเสร็จ ก็จะมาเริ่มซ่อมหอต่อ จะติดแอร์ก็ช่วงนี้แหละ"

"เจ้าของไม่ใช่ลุงมาเหรอ"

"แม่ฉันไม่ได้มีแรงมานั่งเฝ้าได้ทุกวันหรอกนะ ลุงมาเขาเป็นลูกจ้าง"

"โกหก" แข้งขาอ่อนไปหมด อานนท์ได้แต่พึมพำซ้ำ ๆ อย่างนั้น "ไม่จริงหรอก โกหกแน่ ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไง"

"หน้าฉันเหมือนคนที่ชอบพูดโกหกนักหรือ"

"ไม่ได้โกหกนะ"

แววตาที่จริงจังกว่าทุกครั้งของคนตรงหน้าทำให้อานนท์ปล่อยโฮออกมาแบบไม่อาย เด็กหนุ่มโผเข้ากอดเพชรกล้า งอแงเป็นเด็ก ๆ ชนิดที่ไม่กลัวสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาว่าจะจับจ้องตนเองด้วยสายตาอย่างไร "พี่สิงห์...พี่สิงห์...ผมไม่ตกงานแล้ว ไม่ต้องกลับบ้านนอกแล้ว ไม่ต้องทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแล้ว ผมได้อยู่ที่นี่ ยังได้อยู่กรุงเทพ กินข้าวกับอ้อย ได้ทำงานกับคุณโกวิท ได้ทำงานกับพี่สิงห์ พี่สิงห์...ผมดีใจ พี่สิงห์...พี่สิงห์..."

มือที่แข็งกระด้างยกมือขึ้นลูบหัวที่สั่นไปมาสองสามครั้ง เพชรกล้าไม่ใช่คนอ่อนโยน มือหนักและหยาบกร้านแบบคนที่ทำงานชนิดที่บู้ออกแรงมาตลอดชีวิต สิ่งที่หัวหน้าช่างทำได้โดยไม่รู้สึกว่าตนเองขัดเขินคือการโอบร่างที่ไหวสะท้านไม่หยุดนั้นแล้วจ้องมอง

"มันไม่ได้สะอาดอะไรนัก จะเอาหน้าไปซบทำไม" เสียงแข็งกระด้างขัดขึ้น แต่อานนท์กลับคิดว่าผ้าแข็ง ๆ แบบนี้มันอ่อนโยนและอบอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มแพง ๆ เสียอีก ตัวแข็ง ๆ ของพี่สิงห์ก็นุ่มยิ่งกว่าหมอนไหน ๆ ที่เคยหนุนนอนร้องไห้มานับตั้งแต่เข้ามาอยู่กรุงเทพ

"พี่สิงห์...พี่สิงห์...พี่สิงห์..." เด็กหนุ่มพร่ำพูดซ้ำ ๆ เหมือนคนที่เพ้อกับความสุข "จะไม่ลืม จะไม่ลืมเลย ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย มันดีจนผมคิดว่านี่ต้องเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่เรื่องจริง พี่สิงห์...ขอบคุณมากครับ ขอบคุณจริง ๆ"

"จะพูดซ้ำ ๆ ทำไม หนวกหู ก็แค่ซื้อแอร์ติดหอของที่บ้าน" เพชรกล้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด หากแต่สองมือยังตระกองร่างที่สั่นโยกไว้กับอก

โกวิทที่ยืนมองดูทุกอย่างอยู่นานเดินเข้ามาหาพร้อมกับสลิปบัตรเครดิตที่ยื่นให้เพชรกล้า หัวหน้าแผนกขายเอียงคอมองลูกน้องของตัวเองที่ฟูมฟายอย่างกับเด็ก ๆ น้ำตานองเต็มสองแก้ม ตาหูแดงไปหมด

"ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นคนที่ยอดขายสูงสุดในแผนกเลยนะอานนท์"

"คุณโกวิท ขอบคุณมากครับ" อานนท์พนมมือไหว้

"ไปขอบคุณคนซื้อจะดีกว่า ถึงขนาดทำให้คนแบบเพชรกล้ายอมทำแบบนี้นี่ ผมมองคนไม่ผิดจริง ๆ" โกวิทยิ้ม "อย่าลืมดูแลลูกค้าของตัวเองให้ดีที่สุดนะ นี่เป็นหน้าที่ของพนักงานขาย"

เห็นอานนท์รับคำ โกวิทก็เดินกลับออกไปพร้อมกับความรู้สึกโล่ง คิดเหมือนกันว่าตอนที่เพชรกล้ากลับมาด้วยข้อเสนอโหดแบบนั้น พูดได้หน้าตารเฉยและเจ้าตัวก็ดูจะไม่กริ่งเกรงแม้แต่น้อย แววตายังคงมองไปข้างหน้าอย่างแข็งกร้าวแบบเดิม ติดจะเจือด้วยประกายประหลาดด้วยซ้ำ ทั้งหมดน่าจะแปลว่าเพชรกล้าได้เห็นอะไรบางอย่างในตัวของลูกน้องที่ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องของเขา โกวิทไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมากว่าสี่สิบปีบอกว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง เขามั่นใจในอานนท์แบบที่มั่นใจในลูกน้องทุกคนที่ตัวเองรับมา ทุก ๆ คนเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นพนักงานของธาดาพิพัฒน์คอมเพล็กซ์แห่งนี้ แน่นอนว่าโกวิทมั่นใจว่าใครก็ตามที่ได้ลงมาคลุกคลีสัมผัสก็ต้องคิดแบบนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนทีี่ใคร ๆ ต่างขนานนามว่า...พี่สิงห์

"จะกอดอีกนานไหม" เพชรกล้าเสียงแข็งขึ้น "เช็ดน้ำตาให้หมด ส่องกระจกดูสารรูปตัวเองเสียบ้างว่ามันดูได้ไหม"

อานนท์ยอมถอยตัวออกห่าง ยกสองมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างอดกลั้น ถึงตอนนี้ก็ยังแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง

"อีกชั่วโมงกว่า ๆ เลิกงานใช่ไหม"

ใบหน้าที่ยังเปรอะไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นแล้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถาม พี่สิงห์ก็ยังเป็นพี่สิงห์คนเดิมที่รู้จัก หน้านิ่ง ตาดุ และพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ ปราศจากความอ่อนโยน และไม่เคยมีความอบอุ่นใดเจือปนอยู่ในนั้น

"ฉันจะรอ"

อานนท์ยังคงยืนงง ไม่เข้าใจทุกอย่างเช่นเดิม "มีธุระอะไรหรือครับ หรือว่ามีอะไรอยากให้ผมช่วยทดแทนหรือเปล่า พี่สิงห์บอกมาได้เลยนะครับ ผมยินดีทำทุกอย่าง"

"อะไรพวกนั้นไม่มีหรอก" เพชรกล้าตอบเสียงดุแบบเคย "เห็นว่าไม่ชอบกินข้าวคนเดียวไม่ใช่หรือไง"

"พี่สิงห์..." แล้วอานนท์ก็โผเข้ากอดพี่สิงห์อีกครั้ง ปล่อยโฮออกมาเสียงดังกว่าครั้งไหน ๆ

แล้วผู้ชายที่ใคร ๆ ในที่ทำงานต่างก็พูดว่าเป็นคนแข็งกระด้างไม่เคยเอาใครก็ยกมือขึ้นลูบผมคนในอ้อมกอด...แค่เพียงสองสามครั้ง เพียงแค่นั้นและกลับไปนิ่ง ยืนมองร่างเล็กที่ไหวสั่นในวงแขนตัวเองแบบเคย




"เหตุการณ์ฝนตกในวันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้เรารับรู้ว่า อากาศนั้นเป็นเรื่องที่เกินกว่าจะคาดเดาได้ สุดท้ายแล้ววันนี้ที่เคยว่ากันว่าจะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีนั้นกลับเป็นแค่เพียงเรื่องโกหก อากาศที่เลวร้ายที่สุดในปีนี้คือเมื่อวาน และมันก็ผ่านไปโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว เช้าวันนี้เป็นวันที่มีอุณหภูมิต่ำสุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา อากาศเย็นสบาย สดชื่น แม้ว่าฝนอาจสร้างปัญหาตะกุกตะกักไปสำหรับหลายคนในตอนแรก แต่เมื่อปรับตัวได้ พายุฤดูร้อนนั้นกลับทำให้เรายิ้มได้ด้วยสายฝนเย็นฉ่ำ และอากาศที่แช่มชื่น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะมวลอากาศร้อนที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน พอถึงเวลาที่เหมาะ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่อนคลายลง"




หลังกระจกบานเก่าในโรงแรมเล็ก ๆ ละแวกนานา เสียงโทรทัศน์ยังคงเจื้อยแจ้ว คนง่วงแต่นอนไม่หลับมองท้องฟ้าสีหม่นที่แผ่กว้างอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างในสายฝนช่างดูน่าเศร้า หม่นมัว ในชั่วโมงแรกที่ความจริงทุกอย่างเปิดเผย ความทรงจำเก่าคร่ำคร่าก็ซ่อมแซมตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จากฝุ่นที่เกาะอยู่ตามชิ้นส่วนต่าง ๆ จากซอกหลืบเล็ก ๆ จากคราบบาง ๆ ที่เคลือบอยู่ในทุกชิ้นส่วนอวัยวะ

ใช่เพียงแค่สมองที่ยังจดจำเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตาของเขาก็ยังจำรอยยิ้มนั้นได้ หูก็ยังคุ้นเสียงทุ้มแหบของเสียงพูด เสียงหัวเราะ จมูกยังจำกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ ที่เจืออยู่ในอากาศ บ่าก็ยังจำน้ำหนักของวงแขนที่วางทับได้ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นที่ภายใน ขณะที่ภายนอกของนภยังคงเป็นเหมือนผู้ชายวัยกลางคนปกติธรรมดาที่ดูเรียบเฉย

ความจริงที่เป็นเหมือนกุญแจได้ไขโซ่ตรวนซึ่งจองจำทุกอย่างในอดีตไว้ให้คลายออก จิตวิญญาณของนภเป็นเหมือนท้องฟ้าสีคราม เสรี อิสระ ไร้ขนบ ปราศจากกรอบกำแพงกั้น เขาหลุดจากการจองจำทุกอย่างในอดีต ตามทฤษฎีมันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริง ทุกอย่างตรงกันข้ามไปหมด

นภเพิ่งรู้ว่าพันธนาการพวกนั้นไม่เคยมีผลแต่แรก ทุกอย่างคือความสมัครใจที่เลือกจะขังตัวเองอยู่ในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนนั้น และทุกสิ่งก็จะดำเนินต่อไปแบบนี้ ปี สองปี ห้าปีสุดแล้วแต่ อยู่กับเรื่องเก่า ๆ ความทรงจำที่เริ่มต้นบทที่หนึ่งด้วยความตื่นเต้น เข้าสู่บทต่อ ๆ ไปด้วยความสุขสนุกสนาน มาถึงจุดหักมุมที่เต็มไปด้วยความโศกศัลย์ และหยุดอยู่แค่นั้นโดยไม่มีใครกล้าพลิกไปสู่ตอนจบที่เป็นบทสรุป

"Housekeeping, please" เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง

นภหันกลับมาที่ประตู ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า แล้วเดินโงนเงนไปหาต้นเสียง บิดลูกบิดแล้วเปิดมันออก แต่คนที่ยืนอยู่หลังกรอบไม้สี่เหลี่ยมนั้นกลับไม่ใช่แผนกแม่บ้านอย่างที่นภเข้าใจ

"ไง" ปืนเอ่ยทัก

ไม่มีเสียงเอ่ยทักตอบ มีแต่ความชาไปทั่วร่างจนขยับตามการสั่งการไม่ไหว นภมองร่างกายที่เปียกปอนไปด้วยฝนเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นนัก และคนที่มาเยือนก็เอ่ยต่อ

"อย่างน้อยระหว่างที่ยังอยู่ที่กรุงเทพ ก็น่าจะพาเที่ยวแหละนะ"

ความงุนงงทำให้ปฏิกิริยาของนภเชื่องช้า เขาตะกุกตะกัก ยังคงไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ทันกับอีกฝ่ายซึ่งวิสาสะก้าวเข้ามาในห้องแล้วตรงไปที่ห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาที่เปียกไปด้วยน้ำฝน

"แต่วันนี้ฝนตก" นภพูดไปตามสภาพ เป็นข้อมูลงี่เง่าที่ไม่ว่าใครก็รู้ดี

เจ้าของผิวสีแทนหัวเราะขึ้นขณะที่ใช้อุ้งมือยีศีรษะ ปืนก้มหน้าลงกับอ่างเล็ก ๆ วักน้ำชะโลมหน้าจนหัวไหล่งองุ้ม

นภผละสายตาจากมิติภาพตรงหน้า ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับปลายเท้าตัวเองที่ขยับย่างบนพรมสีตุ่น และยังคงส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อกับสิ่งทืี่ได้เห็น ชายหนุ่มเดินเหมือนคนละเมออกมาจากบานประตู หยุดยืนนิ่งสักครู่และตั้งหลัก ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เตียงแล้วใช้ความคิด

จากครั้งที่แล้ว นภคิดว่าตัวเองค่อนข้างชัดเจนในส่วนของความรู้สึก และเพราะชัดเจนจึงไม่คิดว่าจะตนเองวนกลับมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ลูกน้ำพูดเหมือนว่าเมื่อก่อนนั้นปืนเป็นอย่างไร ปัจจุบันเจ้าตัวก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่เที่ยวแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น

และถ้ามันเป็นความจริง...

หัวใจค่อย ๆ เต้นแรงขึ้นจนกลับมาอุ่นอีกครั้ง จากมือและเท้าที่เย็นจัด ชีวิตชีวาเริ่มกลับมาใหม่ กระทั่งฝนสีหม่นมัวที่นอกหน้าต่างก็ซาลงจนเห็นสีเขียวชะอุ่มของต้นไม้เล็ก ๆ ชูกิ่งก้านสดชื่น เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง หรือแท้จริงแล้วจะอาจจะเพียงไม่วินาที กระนั้นก็นานเหลือเกินในความคิดของนภก่อนที่ร่างสูงของอีกคนจะปรากฏขึ้นตรงหน้าในสภาพที่มีเพียงผ้าขนหนูปิดท่อนล่าง

"ไม่เป็นไรใช่ไหม ?" ปืนยกสองมือกางออกแล้วไล่ลงจากระดับอกให้ดูสภาพของตนเองในตอนนี้



(มีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อๆๆๆ)



ใบหน้าของนภไหวไปมาสองสามครั้งก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่าย แล้วเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ห้องเพื่ออะไรจุดอะไรที่น่าสนใจกว่าคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ซึ่งมันดูประสาทสิ้นดีกับการจ้องม่านสีพื้นแล้วเพ่งกระแสจิตเหมือนจะให้มันมีลวดลายขึ้นมา

นภคิดว่าข้อศอกที่วางลงบนหัวเข่าทั้งสองข้างนั้นน่าจะมีน้ำหนักมากพอกดสติไม่ให้กระเจิดระเจิงไปไหน เขานั่งอยู่อย่างนั้นครึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ นึกอยากจะนั่งนิ่ง ๆ ไม่คิดอะไร แต่ที่ทำอยู่กลับกลายเป็นการประกอบส่วนเล็กส่วนน้อยที่อยากจะลืมอยู่ในความทรงจำอย่างขมีขมัน และเกือบทั้งหมดก็ไม่พ้นเรื่องของคนที่นั่งกึ่งเปลือยอยู่ข้าง ๆ

"เราจะนั่งเงียบ ๆ แบบนี้กันอีกนานไหม" สุุดท้ายนภก็พูดขึ้น ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เท่าไรนัก

จากสองแขนเหยียดยาวที่ค้ำร่างอยู่ มืออุ่น ๆ ข้างหนึ่งของปืนก็เอื้อมมาจับหัวไหล่ของนภ และพูดอย่างง่ายดายว่า

"ฟังเสียงฝนสิ"

เสียงกระซิบนั้นเหมือนจะสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง ปลุกนภให้ตื่นจากภวังค์ในทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ปืนทำเสียงจุปากแล้วส่งยิ้มมาให้ ขณะที่ร่างกายก็เขยิบเข้ามาช้า ๆ จนชิดติดกัน

ฉับพลันห้องที่เหน็บหนาวก็เหมือนจะกลับคืนสู่บรรยากาศอันสดใสของฤดูร้อน มีแดดสาดส่องอยู่ที่หน้าต่าง นกตัวเล็ก ๆ โบยบินไปมา ทะเลบนท้องฟ้าถูกเจิมด้วยปุยเมฆขาว

"จำได้ไหมเมื่อก่อนที่เราติดฝนด้วยกัน" เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"อย่าพูดถึงมันเลย" นภพูด ตะกุกตะกักเต็มที

ปรมะกลับไปทิ้งน้ำหนักตัวลงบนแขนทั้งสองข้าง เอนกายไปด้านหลังแบบที่มักทำเป็นประจำ "สูบบุหรี่ได้ไหม"

"ไหนวันก่อนว่าจะเลิก"

"พูดแบบนี้มาเป็นพันครั้งแล้ว แต่ทำไม่เคยได้สักที" เสียงทุ้มนั้นเหมือนจะเยาะตัวเองให้เจ็บแสบ ปรมะควานมือไปหยิบซองบุหรี่ที่อยู่หัวเตียง ดึงออกมาหนึ่งมวนแล้วจุดไฟแช็ก เผาความทรงจำอุ่น ๆ ให้หอมคลุ้งขึ้นมาในรอยเท้าที่กรีดกรายของสายฝน

"ฝนตกนายมักจะง่วงนอนไม่ใช่เหรอ จะหลับก็ได้นะ"

ปืนมักจะเป็นแบบนี้ เขารู้ทาง และมีวิธีการพูดแบบที่รู้ว่าจะทำให้นภยิ้มออกได้เสมอ หงุดหงิดแค่ไหน ไม่สบายใจเรื่องอะไร ทุกครั้งที่ได้คุยกับปืน นภจะยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย

"พิงมาก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจนั่นนะ" เขาพูด ส่งยิ้มแบบมักจะทำเสมอมาให้

นภนั่งนิ่ง ไม่ได้ตอบรับคำเชื้อเชิญนั้น

มีแววเก้ออยู่ในรอยยิ้มแบบที่มักใช้ประดับบนหน้าเสมอ ปืนหัวเราะน้อย ๆ ตอนที่แหงนหน้าแล้วพ่นควันสีเทาขึ้นคลุ้งในอากาศ "แต่ก่อนพอฝนตกทีไร ไม่เกินสิบนาทีนายก็จะเริ่มง่วง แล้วแป๊บเดียวก็จะหลับเป็นตาย นอนหนุนไหล่ฉันจนเมื่อยไปหมด ทำยังไงก็ไม่ตื่น ขี้เซาชะมัด ตอนนี้ที่อยู่บนเตียง มีหมอนนุ่ม ๆ ผ้าห่มอุ่น ๆ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่เข้าท่านะ"

ศีรษะของนภโคลงไปมา ผ่านมาสิบกว่าปี เติบโตจนกลายเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะมีใครกลับไปทำอะไรแบบนั้น

"หรือกลัวว่าจะถูกล้อว่าน้ำลายยืดแบบเมื่อก่อน" ปืนกลั้วหัวเราะ

และยิ่งหัวเราะมากขึ้นเมื่ออีกคนทำหน้าตูมใส่ "ไม่เป็นไรหรอก เหมือนกับตอนเรียนนั่นแหละ ยังไงเราก็ติดฝนอยู่แล้วนี่"

แววตาที่สบมองอยู่อย่างไม่คิดหลบหลีกเฉกเช่นที่ผ่านมาทำให้ชีพจรของนภเต้นแรงขึ้น...และแรงขึ้น มีคำพูดบางอย่างอยู่ในแววตาที่เป็นประกายอุ่น ๆ คู่นั้น นภหลับตาลง จงใจลบภาพที่สะกิดใจให้ไหววูบนั้นด้วยสีดำที่มืดสนิท

ร่างที่เล็กกว่าเล็กน้อยเอนตัวลงบนฟูก ขดตัวกับกองผ้าห่มอันยับย่น ฟังเสียงฝนที่ตกกระทบกับกระจกหน้าต่างทีละเม็ด ทั้งที่ทุกอย่างควรสงบลง หากแต่ในใจกลับว้าวุ่นจนอดไม่ได้ที่จะลืมตามองคนที่นั่งสูบบุหรี่อีกครั้ง

ตาคู่นั้นยังจับจ้องที่ใบหน้าเช่นเดิม และรอยยิ้มนั้นก็ยังพร่างพราวจากความทรงจำที่ลึกที่สุดในหัวใจของนภ

"นอนเถอะ สัญญาว่านั่งเป็นเพื่อนตรงนี้" ปืนชูสามนิ้วขึ้นแบบลูกเสือสามัญเวลาตั้งสัตย์ปฎิญาณ "จนกว่าจะตื่น"

หลายนาทีต่อมา พอได้ยินลมหายใจที่เปลี่ยนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ปืนก็หันกลับมามองคนที่นอนอยู่เต็มตา

"หลับแบบนี้แหละดีแล้ว" นิ้วมืออุ่น ๆ ลูบผะแผ่วไปบนผมที่เรียงตัวเป็นพู่ไหม เมื่ออีกฝ่ายยังคงพริ้มตาไม่ไหวติง ชายหนุ่มที่นั่งเฝ้าอยู่ก็กระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

"จะได้ขโมยจูบอีกไง"

สัมผัสนุ่มนวลแตะลงบนริมฝีปากของนภอย่างเชื่องช้า และคลอเคลียอย่างอ้อยอิ่งราวกับจะไม่ผละจากไปไหน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ความอุ่นชื้นนั้นกดตัวลง ตักตวงอย่างเด็กที่ไม่รู้จักพอในความหวานหอมของขนมหวานชิ้นโปรด เนิ่นนานกว่าที่หัวขโมยจะยอมถอยร่มออกไปเพียงคืบ ลมหายใจที่ร้อนผ่าวพร่างพรมไปทั่วใบหน้าของคนที่นอนอยู่ ร่ายมนต์สะกดให้ผู้ที่หลับใหลพบกับฤดูร้อนที่ไม่มีวันจบสิ้น

"นภ...ระหว่างเรามันจะเป็นไปได้ไหม" เสียงแหบแห้งนั้นดังขึ้นในความเงียบที่กรุ่นไปด้วยความทรงจำ

ในความมืดดำที่มองไม่เห็นอะไร นภยังรู้สึกตัวอยู่ตลอด ได้ยินทุกอย่าง รับรู้ทุกการสัมผัส ตั้งแต่ในตอนที่ฝ่ามือนั้นลูบเบา ๆ บนผม ตอนที่ปลายนิ้วชี้เกลี่ยเล่นบนแก้ม กระทั่งสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่าบนริมฝีปาก ไออุ่นที่พรมที่กรามแก้ม หรือแม้แต่...คำพูดสุดท้ายที่กระซิบข้างหู

แทรกมากับเสียงของหยาดฝน และโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้




"เหล่านี้ล้วนเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อมนุษย์เรียนรู้ธรรมชาติและเข้าใจกับมันจะพบว่าอากาศที่ร้อนจัดก็เป็นเพียงปรากฏการณ์อย่างหนึ่งสำหรับประเทศที่อยู่ใกล้บริเวณเส้นศูนย์สูตร

อากาศก็ไม่ต่างกับกลางวัน กลางคืน ฤดูกาลต่างก็วนเวียนไป มีฤดูร้อนก็มีฤดูฝน พอสิ้นฤดูฝนก็จะกลายเป็นฤดูหนาว และแล้วฤดูร้อนก็จะเวียนกลับมาอีกครั้ง คล้ายกับว่าเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กัน พอจากไปก็จะกลับมาพบกันใหม่ และทุกครั้งตอนที่พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกเก่า ๆ ก็จะกลับมาเสมอ คุณผู้ชมยังจำฤดูร้อนในปีที่ผ่าน ๆ มาได้ไหมครับ มีเรื่องราวอะไรให้จดจำบ้าง"





ทุก ๆ ปี ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อสำหรับธีม ต้องเดินทางลงมาจากเชียงใหม่เพื่อมากรุงเทพ เรื่องที่น่าดีใจไม่ใช่วันหยุดปิดเทอมฤดูร้อน หรือเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการได้พบกับพ่อปืน และปีนี้ ธีมก็ได้พบกับชาฮิดด้วย

เด็กน้อยปล่อยความคิดออกมากับน้ำตาและหยดน้ำฝนที่ร่วงลงมาจากฟ้าสีเทา ความหวาดกลัวเบาบางลงไปบ้างเมื่อฝนที่แรงดั่งพายุนั้นกลายเป็นเพียงเม็ดฝนปรอย ๆ แตาธีมก็ไม่กล้าวิ่งออกไปไหน ยังคงนั่งอยู่กับที่พร้อมกับหมาตัวอ้วนจ้ำม่ำสองตัว

ร่างเล็กที่ขดตัวอยู่ใต้กันสาดของป้ายรถเมล์สะดุ้งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเห่าของสุนัขข้าง ๆ สิ่งแรกที่เห็น และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ท่ามกลางเม็ดฝนที่หล่นจากฟ้าอย่างไม่คิดจะหยุดนั้นคือชาฮิด และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ตัวเองพร่ำบอกซ้ำ ๆ ว่าจะเป็นคนปกป้องเสียแล้ว ธีมร้องสุดเสียง ร่ำไห้ไม่หยุดด้วยความรู้สึกเสียขวัญ

"ไม่เป็นไรนะธีม พี่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไร"

"ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าด้วย" เด็กชายผู้เสียขวัญสะอื้นฟ้อง

"ไม่แล้ว ฟ้ากลัวพี่ มันไม่กล้าแล้ว"

"ชาฮิดดด..." ธีมปล่อยสุดเสียงแล้วกอดคนตัวสูงกว่าสุดกำลัง

ชาฮิดลูบผม เอาแขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาให้คนที่อยู่ในอ้อมกอด "ธีมวิ่งออกมาทำไม รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง น้าน้ำก็เป็นห่วงธีมนะ"

"แต่ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กจะเปียกฝน เดี๋ยวมันจะเป็นหวัด" คนกลัวฝนยังมีแรงจะเถียงสะอึกสะอื้น "สัญญาแล้ว สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะต้องดูแลคนที่อยากจะดูแลให้ได้ ทั้งแม่ ทั้งชาฮิด ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กด้วย"

เสียงเล็ก ๆ นั้นสั่นเครือจนแทบจะฟังไม่เป็นภาษา "สัญญาแล้วก็ต้องทำให้ได้ ต้องดูแลแม่แทนพ่อให้ได้ ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ไว ๆ ทำอะไรแบบผู้ใหญ่ได้ ถ้าทำแค่นี้ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องแข็งแรง แบกของหนัก ๆ ได้" แม้จะร้องไห้จนหอบ แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจในแบบของธีมนั้นไม่ได้ลดลงไปกับความกลัวเลย และชาฮิดก็ทั้งรักและทึ่งในความคิดที่จะรักษาสัญญาของธํีมนัก

พ่อของชาฮิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พ่อก็ไม่รักษาสัญญาว่าจะดูแลแม่ พ่อหย่ากับแม่แล้วเดินทางกลับไปอินเดีย ทุกคืนชาฮิดเห็นแม่แอบนอนร้องไห้ และนับแต่นั้นก็บอกตัวเองว่าจะต้องเข้มแข็งและปกป้องแม่ให้ได้ ธีมก็เป็นเหมือนกับชาฮิด อยากจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อยากจะแข็งแรง ช่วยแม่ได้ ดูแลคนที่ตัวเองรักได้

และเช่นกัน เพราะอยากรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง ชาฮิดถึงอยากปกป้องและดูแลธีมให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ธีมร้องไห้อีก จะไม่ยอมให้ธีมต้องเจ็บตัว เป็นแผล และต้องเสียใจอีกแล้ว

"แม่ของพี่บอกว่ายกของหนักไหว ไม่สำคัญเท่ายกมุมปากขึ้นยิ้มไหว"

มือเล็กที่แสนจะเข้มแข็งลูบไปผมผมที่กระเซอะกระเซิงของธีมอย่างอ่อนโยน "ความสุขเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต่อให้ธีมยกของได้เยอะ ๆ ทำอะไรได้แบบผู้ใหญ่ แต่ถ้าธีมไม่มีความสุข มันก็ไม่มีประโยชน์ ทุกวันนี้ธีมมีความสุขหรือเปล่า ยกยิ้มไหวไหม"

นิ้วมือที่เล็กกว่าค่อนเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ เช็ดน้ำตาหยดเล็ก ๆ บนแก้มของน้องชายที่ยังคงสั่นสะท้านแล้วส่งยิ้มให้ "ที่ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ เหนื่อยหรือเปล่า ธีมไม่อยากเล่นกับพี่แล้วเหรอ"

ธัมส่ายหัวไปมา แววตาฉายคำประท้วงอย่างเห็นได้ชัด

เรียกรอยยิ้มให้อีกคนที่รอคำตอบอยู่ ชาฮิดหอมลงไปบนแก้มที่เปรอะไปด้วยน้ำตาแล้วเอ่ยขึ้นแผ่วเบา "งั้นก็ไม่ต้องรีบนะ ค่อย ๆ โต พี่จะดูแลธีมเอง"

"ชาฮิดดดด...." เด็กน้อนร้องลั่นจนลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กสะดุ้ง ลุกขึ้นมาหอน

ชาฮิดมองคนที่ร้องโยเย สลับกลับลูกสมุนที่ช่วยประสานเสียงจนหนวกหู "ไม่เอานะ ไม่ร้อง"

"ไม่ร้อง...ไม่ร้อง..." ธีมพูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่น้ำตากลับทะลักออกมายิ่งกว่าเดิม

ชาฮิดยิ้มขณะที่แหงนหน้าขึ้นมองเม็ดฝนที่หล่นมาเรื่อย ๆ เอาเถอะ ตกให้นานกว่านี้อีกนิดก็ได้ ตกจนกว่าจะพอ

นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เลวร้ายอะไรเลยสักนิด เด็กน้อยกอดคนในอ้อมแขนจนกระชับขึ้น...พร้อมกับรอยยิ้มบนปากที่กว้างขึ้น




"แล้วเดือนเมษายนในปีนี้ของคุณ ในปีที่ขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณบ้าง อาจเป็นช่วงเวลาที่คุณได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่คุณรู้สึกดีด้วย แฟน คนรัก ครอบครัว"




"เห็นไหมว่าเขาบอกว่าให้ใช้เวลากับคนรัก" ทิมผิวปากขณะขับรถออกไปนอกเมือง เคี่ยวเข็ญจนถึงขั้นขู่เข็ญให้คนที่นั่งข้าง ๆ ยอมลาพักร้อนออกไปเที่ยวทะเลให้สมกับที่ได้มีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์บ้าง เป้าหมายคือเกาะส่วนตัวที่แอบซุ่มไปจองที่พักเอาไว้ทันทีที่รู้ว่าจะได้มีวันหยุดกับเขา

"ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องขับรถไปทะเลไหม" คะน้าถอนหายใจแล้วพูดเสียงหน่าย แค่รายการเล่าข่าวในวิทยุก็อุตส่าห์โยงมาเป็นประเด็นได้

ผิดกับคนที่ขับรถ ติดแค่ไหนก็ยังระรื่นชื่นบาน "เอาท์ดอร์ ! เอาท์ดอร์ ! เอาท์ดอร์ !"

โวยวายเป็นเด็ก ๆ จนปวดหู คร้านจะเถียงไหว คะน้าได้แต่มองดูรถที่ติดชะงักบนท้องถนนอย่างคนปลงตก ทางหนีทีไล่ไว้ค่อยว่างกันเอาดาบหน้า

วิศวกรหนุ่มผู้กลัดมันยังคงเจื้อยแจ้วไม่หยุด เริ่มจากแนะนำกิจกรรมท่องเที่ยวที่เกือบทั้งหมดจะเน้นไปที่กิจกรรมเข้าจังหวะโจ๊ะพรึม ๆ เบรกฟัสต์ก็เป็นฮ็อตด็อกเสิร์ฟถึงปากจนกว่าจะอิ่ม เติมได้ไม่หยุดจนกว่าจะอิ่มเอม สายก็เป็นกิจกรรมส่องดูปะการัง ลูบ จับ สัมผัสได้ตามอัธยาศัย พอเที่ยงก็ทานอาหารกันบนเตียง All You Can Eat ได้หมด ต่อด้วยกิจกรรมเอาท์ดอร์เย้ยฟ้าท้าแดด และอื่น ๆ อีกมากมายที่วน ๆ เวียน ๆ อยู่กับเรื่องสองแง่สามง่ามไปตามประสาจนคะน้าไม่ได้คิดจะสนใจให้รกสมอง

คนที่นั่งหลังพวงมาลัยยังคงโอ้อวด "เกาะมันนอกเลยนะ เน้นมันข้างนอก ไม่เน้นมันข้างในรโหฐาน"

ยิ่งฟังก็ยิ่งเพลีย คะน้าหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเช็กงานต่อ คิดเสียว่าทุกอย่างที่เข้าหูเป็นเสียงนกเสียงกาหรือไม่ก็เสียงฝน




"หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาที่ใครอีกหลาย ๆ คนใช้เวลากับเพื่อนร่วมงาน ทำงานในช่วงวันหยุดยาวที่หลายต่อหลายคนพักผ่อน"




ที่สตูดิโอ พี่จ๊อด ดาน่าและทีมงานคนอื่น ๆ ต่างก็จ้องที่หน้าจอมอนิเตอร์อย่างลุ้นระทึก ผ่านไปอีกเบรกอย่างแนบเนียน และกำลังจะตัดเข้าสู่เบรกสุดท้าย บรรยากาศแม้จะเคร่งเครียดแต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย และเปี่ยมด้วยพลังงาน งานโทรทัศน์แบบนี้ไม่มีวันหยุด ไม่มีงานเทศกาล ไม่มีวันแรงงาน วันจักรี เข้าพรรษา ออกพรรษา ไม่มีวันปีใหม่ คริสต์มาส ไม่มีแม้แต่วันสงกรานต์

วันสงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่ทำรายได้เป้นกอบเป็นกำสำหรับคนทำมาค้าขาย อีกด้านหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้า หลังจากปิดกะด้วยยอดขายผ้าขนหนูถล่มทลาย มาลีก็เดินนำแฟ้มเอกสารจากแผนกขายลงมาที่ห้องช่าง เดิมทีเดียวหน้าที่พวกนี้เป็นของเลขาฯ คุณโกวิท และเพราะฝนที่ตกหนักทำให้เธอไม่อาจกลับเข้ามาจากธุระด้านนอกได้ทันเวลา กิตติศัพท์ของพี่สิงห์ใช่หยอกเสียเมื่อไร ก่อนที่จะร้อนไปทั้งแผนกขาย คุ้มกว่าเป็นไหน ๆ ที่จะหอบเอกสารไม่กี่แผ่นมาที่ฝ่ายช่างให้สิ้นเรื่องไป

ดันประตูเข้าไปก็มองหาสัตว์ร้ายประจำแผนก แต่มองเท่าไรก็ไม่เจอ กระทั่งใครคนหนึ่งมาหยุดยืนที่ด้านหลังของมาลีโดยไม่รู้ตัว

"อุ๊ย...คืออ้อยมาส่งเอกสารให้พี่สิงห์ค่ะ จากแผนกเซล"

ชายหนุ่มในชุดช่างที่ดุสะอาดสะอ้านกว่าคนอื่นในแผนกตามที่มาลีเคยเห็นส่งยิ้มแล้วยื่นมืออกมารับ "ให้ที่ผมได้เลยครับ ผมเป็นคนทำเอกสารของแผนกช่างทั้งหมดเอง"

"คุณอยู่แผนกนี้เหรอคะ" เธอเอ่ยถาม รู้สึกปลื้มกับท่าทีเป็นมิตรนั้นอย่างบอกไม่ถูก

"ครับ ผมชื่อตูนครับ กินนอนอยู่ในห้องนี้ไม่ค่อยได้ไปไหน เป็นแอดมินของคนเดียวก็แบบนี้ล่ะครับ" รอยยิ้มของคนตรงหน้าแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในที่ทำงานแห่งนี้เท่าที่หญิงสาวเคยทำงานมา

"แล้วพี่สิงห์ล่ะคะ"

"วันนี้วันหยุดของพี่สิงห์ครับ" ตูนตอบ

มาลีไม่รู้เลยว่าคนที่มาหานั้นกำลังยืนรอเพื่อนสนิทตนเองเปลี่ยนกะออกงานอยู่ที่แผนกขายนั่นเอง เพชรกล้ายืนอยู่ที่ห้องล็อกเกอร์รูมของแผนกขาย นี่น่าจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำงานที่เขาแวะมาที่บริเวณนี้

"พี่สิงห์รอนานไหมครับ" อานนท์เอ่ยขึ้นพร้อมอาการหอบ รีบสุดตัวด้วยเกรงใจคนที่รออยู่

"หิวหรือยัง"

อานนท์พยักหน้าอย่างซื่อ ๆ

เพชรกล้าจ้องผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า ดูอย่างไรก็ชวนให้อารมณ์ดีได้ทุกครั้ง "งั้นก็ไปกินข้าวกัน"

เขาก้าวขาเดินออกไปข้างหน้า เบื้องหลังเป็นผู้ชายตัวเล็กที่วิ่งตามมาด้วยสีหน้าที่มีความสุข




"มีช่วงเวลาที่น่าจดจำ อาจจะเป็นแค่มื้ออาหารค่ำเล็ก ๆ หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้นจะกลายมาเป็นช่วงเวลาสุดแสนประทับใจ...จนกลายมาเป็นความทรงจำสุดพิเศษสำหรับฤดูร้อนในปีนี้สำหรับคุณหรือไม่ ไม่มีใครรู้...เหมือนกับอากาศที่ไม่เคยมีอะไรคาดเดาได้"




ที่แผงขายปีนฉีดน้ำ ปรายฟ้ามองเด็ก ๆ เลือกปืนฉีดน้ำชิ้นแล้วชิ้นเล่าวุ่นวาย ตามคำสัญญา ถ้าชาฮิด มีรา และธีมตั้งใจทำงานอย่างแข็งขัน เธอจะซื้อปืนฉีดน้ำให้กับเด็ก ๆ เป็นของขวัญพิเศษฉลองสงกรานต์ ดูเหมือนชาฮิดและมีราจะได้อาวุธประจำตัวแล้ว จะเหลือก็แต่ลูกชายเจ้าปัญหาของเธอที่หยิบนั่นหยิบนี่ไม่เลิกเสียที

ปรายฟ้าหันไปมองสองหนุ่มที่เลือกปืนฉีดน้ำเล่นอย่างกับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งรู้จักความรักแล้วลอบยิ้ม

ท่าทีที่อ่อนลงของปืนรวมถึงสีหน้าที่ดูผ่อนคลายของนภทำให้หญิงสาวเบาใจ ดูเหมือนว่าความเข้าใจจะค่อย ๆ ต่อเติมวันเวลาที่ขาดหายไปในอดีตทีละเล็กละน้อย เพียงสิ่งเดียวที่ยังหวาดหวั่นอยู่ก็คือสิ่งเหล่านั้นมันจะเพียงพอกับช่วงเวลาที่สั้นลงทุกทีของทั้งคู่หรือเปล่า เมื่อความเข้าใจล้วนต้องใช้เวลา และหลังเทศกาลสงกรานต์นี้ นภก็ต้องบินกลับไปทำงานของตัวเองต่อที่ต่างประเทศแล้ว

ทุกอย่างมันจะยังทันไหม

"อันนี้ดีไหม" ปืนชูอุปกรณ์ฉีดน้ำหน้าตาแปลกประหลาดแล้วหันมาถามนภ

"ชื่อปืนแท้ ๆ จะมาถามคนอื่นเนี่ยนะ" นภส่ายหัว แล้วหยิบหาสักชิ้นสำหรับตัวเอง เห็นอีกคนยืนนิ่งไม่ขยับตัวก็หันไปถาม "งอนอะไรหรือเปล่า"

"ก็เปล่านี่" ปื่นตอบ

สีหน้าเฉยเมยนั้นเรียกรอยยิ้มให้กับคนถามจนแทบจะหลุดหัวเราะ นภกวาดตามองปืนฉีดน้ำมากมายที่แผง หยิบอันที่คิดว่าพอดีมือขึ้นมาหนึ่งอันแล้วส่งให้คนที่ยืนนิ่งขวางคนอื่นอยู่ "อันนี้แล้วกัน"

"อันนี้เหรอ" ปรมะมองปืนฉีดน้ำตรงหน้า ยักหัวไหล่ทำท่าว่าก็ไม่เห็นจะเท่าไร แต่แกะซองพลาสติกแล้วหันไปเล่นกับเด็ก ๆ ทันที

"ไปไงมาไงถึงมาด้วยกันได้คะ แล้วเสื้อผ้านั่นก็ดูไม่ใช่สไตล์ที่ปืนใส่แบบทุกทีด้วยหรือเปล่านะ" ปรายฟ้าหลิ่วตามาที่นภ

"เขามาหาที่ห้องน่ะ เปียกโชกมาทั้งตัวเลย บอกว่าอย่างน้อยระหว่างที่อยู่ที่นี่ก็น่าจะพาเที่ยวให้ครบทุกวัน" นภก้มหน้า ทำเป็นสนใจปืนฉีดน้ำ หยิบ ๆ วาง ๆ ไม่จบสิ้น

มองอยู่นาน ปรายฟ้าก็เอ่ยขึ้น "นภชอบปืนมากเหรอ"

"หา ?"

"ถามว่าชอบปืนมากเหรอ ถึงตัดใจไม่ได้สักที ถือไม่ปล่อยเลย" เห็นหน้าตาเหรอหราของอีกฝ่าย ปรายฟ้าก็ปล่อยรอยยิ้มที่ขืนไว้ในตอนแรก หญิงสาวเอานิ้วชี้จิ้มไปที่กระบอกปืนฉีดน้ำ ก่อนจะหันกลับไปหาเด็ก ๆ ที่เล่นอยู่กับผู้ชายที่ชื่อพ้องกับสิ่งที่นภถืออยู่

ธีมยังคงวุ่นวายไม่หยุดจนหญิงสาวอ่อนใจ ปรายฟ้าหยิบของชาฮิดและมีราไปคิดเงิน ก่อนจะบอกคนขายให้หยิบขึ้นมาอีกชิ้นสำหรับเด็กที่เลือกไม่เสร็จเสียที แล้วเติมน้ำให้ไปเลย แน่นอนว่าธีมก็โวยวายอีกครั้ง เสียงดังสนั่นจนคนหันมองกันทั้งถนน

ปืนเดินมาหานภแล้วส่งยิ้มให้ "พรุ่งนี้ว่างไหม ไปเล่นสงกรานต์กันนะ"




"และในวันพรุ่งนี้ที่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย ประเพณีสงกรานต์ ขอให้เล่นน้ำด้วยความระมัดระวัง อย่าใช้น้ำแข็ง สี แป้ง หรือเม็ดแมงลักผสมกับน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ และสำหรับผู้ที่กำลังตั้งคำถามถึงสภาพอากาศในวันพรุ่งนี้ รายงานจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้บอกว่าในวันพรุ่งนี้ท้องฟ้าจะแจ่มใส ปราศจากเมฆฝน ดังนั้นขอให้อดทนรออีกนิดนะครับ จะถึงวันแห่งความสุขที่คุณรอคอยแน่นอน"




อีกฟากหนึ่งของกรุงเทพ ระรินละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่ฉายอยู่ที่ร้านของชำเล็ก ๆ ข้างทาง หลังจากล้อหมุนมาได้สักพัก ทุกคนก็ตัดสินใจกระจายตัวออกเป็นกลุ่ม ๆ แล้วหลบหาที่กำบังฝน อาร์มยืนกระสับกระส่ายเหมือนคนงุ่นง่านอยู่สักพัก แล้วไม่ถึงห้านาที ก็อ้อมแอ้มเดินมาพูดอย่างเกรงใจกับเธอว่าขอตัวกลับบ้านดีกว่า พอดีมีธุระด่วน คิดขึ้นมาได้ว่าต้องทำ

เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยจะขึ้นเท่าไรนักสำหรับระริน แต่เธอก็เข้าใจ เดิมทีเดียวก็พอจะเอะใจบ้างอยู่แล้วถึงการตอบรับง่าย ๆ ของอาร์มที่จะมาร่วมทริปจักรยานนี้ เหตุผลของอาร์มก็คล้ายกับเธอ นั่นคือคิดว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ใช้เวลากับหนึ่ง จะต่างกันก็ที่ระรินนั้นครึ่งหนึ่งคือความชื่นชอบในการขี่จักรยาน แต่อาร์มไม่ใช่ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกอะไรนักถ้าเจ้าตัวจะบอกลาเอาง่าย ๆ แต่เริ่มแบบนี้ ระรินหยิบถุงมือทั้งสองข้างขึ้นมาสวม ฝนซาลงแล้ว ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่งและกลับมาเป็นสีฟ้าเข้มอีกครั้ง

อีกไม่นาน...

เด็กสาวก้มลงลูบบนแฮนด์จักรยาน บอกตัวเองว่าให้อดทนรออีกนิด แค่อีกไม่นาน...ก็คงจะไปข้างหน้าได้อีกครั้ง




ธุระสำคัญของคนที่ขอตัวกลับมาบ้านก็คือการได้เดินจับมือของหนึ่ง และใช้เวลาของวันที่เคยขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดด้วยกัน หลังจากฝนซา อริยะก็ชวนหนึ่งออกมาเดินถนนละแวกสีลมด้วยกัน ย่านนี้มีของกินที่ขายแทบตลอดทั้งคืน และมีข้าวของต่าง ๆ ให้เดินดูเล่นฆ่าเวลา รวมทั้งเป็นย่านที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพระอาทิตย์คล้อยไปแล้ว สงครามที่ว่ากันด้วยน้ำของที่นี่เริ่มต้นอย่างมีชีวิตชีวาที่สุด ไม่แพ้กับย่านดัง ๆ อย่างถนนข้าวสารเลย

เด็กผู้หญิงคนหน้าตาน่ารักคนหนึ่งหันกระบอกปืนฉีดน้ำใส่หนึ่ง แต่คนที่เปียกกลับกลายเป็นอาร์มที่เอาตัวมาขวางไว้

"ไม่เปียกใช่ไหมคะ"

น้ำเสียง ท่าทาง และแววตาขณะที่พูดนั้นทำเอาหนึ่งร้อนวาบขึ้นทั้งสองแก้ม "โอเวอร์ แค่นี้่ก็ต้องเอาตัวมาบังให้"

"ไม่รู้ว่าอยากเล่นน้ำหรือเปล่า ถ้ายังไม่หยากเล่น อาร์มก็ไม่อยากให้เปียกนะคะ" อริยะลดมือลงมากุมมือของพิธานเอาไว้อีกครั้ง แล้วจูงมือเดินต่อไปข้างหน้า

ถนนสีลมยังไม่ปิดการจราจร และยังมีรถวิ่งอยู่เป็นระยะ ขณะที่ฝูงคนเริ่มยึดลงพื้นที่ของถนนเพื่อเริ่มต้นความสนุกสนานของประเพณีสงกรานต์ที่เล่นแบบนี้กันทุกปี อาร์มจับมือของหนึ่งไว้แน่น แล้วเดินเบียดเข้าสู่กลุ่มคนที่ใหญ่ที่สุดบนท้องถนน

"ทำไมต้องจับมือกันแบบนี้" ไม่รู้จักอายบ้างหรือไง

อริยะหันกลับมาแล้วส่งยิ้มให้ "กว่าจะได้มาต้องรอตั้งนาน ไม่ยอมให้หายหรอก"




"อย่างไรก็ตาม อยากจะให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับของมีค่า พบปัญหาสูญหายในช่วงเทศกาลสงกรานต์บ่อยครั้ง และเมื่อสูญหายก็ยากที่จะได้คืน โปรดระมัดระวังอุบัติเหตุ ถนนลื่นจะทำให้ควบคุมรถได้ยาก ดังนั้นจึงควรขับด้วยความเร็วต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียครับ"




ปรายฟ้าที่เดินจูงเด็ก ๆ ทั้งสามปะปนอยู่กลับกลุ่มฝูงชน ความที่เบียดเสียดแออัด ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะเดินเบี่ยงลงมาสู่ถนนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดกับเด็ก ๆ แม่เธอมักเตือนว่ามากรุงเทพในช่วงเทศกาลแบบนี้ให้ระวังแก๊งลักเด็ก แล้วก็ให้ระวังข้าวขายที่อาจจะถูกฉกชิงไปโดยไม่รู้ตัว ปรายฟ้าห่างจากกรุงเทพไปนาน แต่ห่างไกลจากเทศกาลสงกรานต์ที่ถนนสายนี้ชนิดคนละโลก

ทุก ๆ ปีปรายฟ้าแค่มาอาศัยในช่วงหน้าร้อนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และอยู่ในย่านอื่นไม่ไม่วุ่นวายอะไรนัก ภาพของกลุ่มคนที่คลาคล่ำขนาดนี้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเธอไปไกลนัก เสียงกรีดร้องพร้อมกับกลุ่มคนที่แตกกระเจิงทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ภาพที่เห็นทำให้ปรายฟ้าตื่นตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก

รถที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาในถนนตรงเข้ามาด้วยความเร็ว เสียงแตรที่ร่ำร้อวอย่างโกรธเกรี้ยวสลับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มราวกับเสียงสาปของอเวจีทำให้เธอเข่าอ่อน ปรายฟ้าตัดสินใจผลักมีราด้วยสติและกำลังทั้งหมดที่มี เสี้ยววินาทีที่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นระความตาย ปรายฟ้าไม่่รับรู้อะไรนอกจากความเป็นแม่และสิ่งที่เธอจะต้องทำเพื่อลูก

โดยสัญชาตญาณ ปรมะคว้าธีมและชาฮิดไว้ทันทีเมื่อเด็กน้อยทั้งสองตั้งท่าจะวิ่งเข้าไปหาปรายฟ้า เขาขยับตัวไม่ได้ เคลื่อนไหวอะไรไม่ถนัดเพราะเด็กสองคนที่ออกแรงเต็มที่เพื่อวิ่งออกไปหาผู้เป็นแม่ ซ้ำยังต้องรีบฉวยคว้ามีราที่ลงไปนั่งร้องไห้โฮกับพื้น

ก่อนที่ร่างที่อ่อนแรงจะล้มลง มือของเธอก็ถูกกระชากขึ้นมาพร้อมกับแรงเหวี่ยงที่ผลักทั้งตัวของเธอเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงคน นภเป็นคนที่ดันปรายฟ้าเข้ามา แต่จังหวะที่เร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วนั้นทำให้เขาต้องการชั่วเวลาอีกอึดใจเพื่อจะกลับมาทรงตัวแล้ววิ่งหลบกลับเข้าไปได้

เสียงเบรกดังมาแต่ไกลพร้อมกับกลิ่นฉุนของยางที่เสียดสีกับพื้นถนน ก่อนที่แรงอัดเต็มท้องจะทำให้นภกระเด็นขึ้นมานอนนิ่งบนบาทวิถี



(ยังไม่จบครับ คราวนี้ยาวจริง ต้องแบ่งเป็นสามแน่ะ)  :mew5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด