พิมพ์หน้านี้ - ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Lucea ที่ 04-04-2014 21:40:17

หัวข้อ: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-04-2014 21:40:17
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0




ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
หัวข้อ: Re: กรุงเทพ...กับความทรงจำในฤดูร้อน : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-04-2014 21:40:41
เรื่องย่อ



ฤดูร้อนปีนี้ ทุกหนทุกแห่งเหมือนถูกสุมอยู่บนเตาเผา และอากาศที่ร้อนเป็นไฟนรกนั้นก็ทำให้ผู้คนหงุดหงิดจนแทบคลั่ง แม้จะไม่แน่ใจว่าที่นี่คือประเทศไทยหรือเตาไมโครเวฟ ทว่าหัวใจใครบางคนกลับฟูฟ่องด้วยความรัก พบกับเรื่องราวน่ารักของผู้ชาย 10 คนที่จะทำให้คุณอมยิ้มไปกับน้ำแข็งไสเย็นฉ่ำข้างถนน คราบชื้นตรงคอเสื้อ รอยแดดเผาที่ข้างแก้ม และท้องฟ้าสีครามของเดือนเมษายน

ความรักครั้งเก่าที่รอวันหวนคืนมาของโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์กับอาจารย์ที่ใช้ชีวิตต่างแดนกว่าสิบปี เจ้าหน้าที่สื่อสารการตลาดกับพิธีกรรายการโทรทัศน์...คู่กัดที่ต้องหันมาร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านฤดูร้อนอันแสนวิกฤตินี้ให้ได้ นักศึกษามหาวิทยาลัยสองคนกับเรื่องราวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ ช่างซ่อมแอร์ความอดทนต่ำและพนักงานขายที่นอนสุดทึ่มกับสถานะของโจทก์จำเลยที่ต้องกลายมาเป็นเพื่อนบ้านกัน รวมไปถึงมิตรภาพวัยเยาว์ที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนของเด็กอินเดียที่มีกรุงเทพเป็นบ้าน กับเด็กกรุงเทพที่มีดันมีบ้านอยู่เชียงใหม่

ทั้งหมดเกิดขึ้นที่กรุงเทพ ในเดือนเมษายนที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี


ภาพปกครับ

(http://image.ohozaa.com/i/54c/iyrUgG.jpg)

รายละเอียดหนังสือและการสั่งจอง

(http://image.ohozaa.com/i/g7f/z9MRF4.jpg)

(http://image.ohozaa.com/i/2b0/ixBZ5V.jpg)




:m31: สารบัญ :m31:


๘ เมษายน
ตอนที่ ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2667462#msg2667462)
ตอนที่ ๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2668733#msg2668733)
ตอนที่ ๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2670658#msg2670658)
๙ เมษายน
ตอนที่ ๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2691761#msg2691761)
ตอนที่ ๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2730281#msg2730281)
ตอนที่ ๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2734510#msg2734510)
๑๐ เมษายน
ตอนที่ ๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2737232#msg2737232)
ตอนที่ ๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2742421#msg2742421)
ตอนที่ ๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2745439#msg2745439)
๑๑ เมษายน
ตอนที่ ๑๐ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2749666#msg2749666)
ตอนที่ ๑๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2751476#msg2751476)
ตอนที่ ๑๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2752233#msg2752233)
๑๒ เมษายน
ตอนที่ ๑๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2753098#msg2753098)
ตอนที่ ๑๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2755572#msg2755572)
ตอนจบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41628.msg2759693#msg2759693)

ในวันที่ร้อนจนจะเป็นบ้า ใครที่ทำให้คุณยิ้มได้?
หัวข้อ: Re: กรุงเทพ...กับความทรงจำในฤดูร้อน : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-04-2014 21:43:20
ตอนที่ ๑




อานนท์ปาดเหงื่อที่ไหลซึมอยู่ตรงไรผมออกด้วยความอึดอัด ขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่รายการพยากรณ์อากาศในโทรทัศน์มือก็ทำหน้าที่ส่งช้อนซึ่งตักอาหารจนพูนเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย เดือนนี้เป็นเดือนเมษายน ร้อนจัดจนเหมือนมีเปลวไฟไหลวนอยู่ในอากาศ อบอ้าวจนแม้แต่การเคี้ยวก้อนน้ำแข็งก็ไม่ทำให้รู้สึกเย็นขึ้นแม้แต่น้อย

โรงอาหารสำหรับพนักงานไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำแบบในส่วนของห้างสรรพสินค้า ที่นั่งก็ไม่สะดวกสบายเท่า กระนั้นก็มีโทรทัศน์สองสามเครื่องเพื่อให้พนักงานผ่อนคลายบ้าง อานนท์เป็นพนักงานขายในแผนกเครื่องนอนซึ่งถือเป็นส่วนเล็ก ๆ ในคอมเพล็กซ์ที่โอ่อ่าของเครือธาดาพิพัฒน์แห่งนี้ แต่นั่นกำลังจะกลายเป็นอดีต เมื่อผู้จัดการฝ่ายขายออกคำสั่งย้ายพนักงานส่วนหนึ่งไปยังแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วน รองรับกำลังซื้อมากมายที่แห่มาจับจองพัดลมและเครื่องปรับอากาศในหน้าร้อนปีนี้ตามแผนส่งเสริมการขาย และอานนท์ก็เป็นหนึ่งในผู้โชคร้ายเหล่านั้น

“ย่างเข้าสู่เดือนเมษายนมาไม่กี่วัน สภาพอากาศบ้านเราก็ร้อนอบอ้าวจนทำลายสถิติปีที่แล้วไปเป็นที่เรียบร้อย โดยในปีนี้หลายจังหวัดมีระดับอุณหภูมิสูงสุดทะลุเกินกว่าสี่สิบองศาเซลเซียสไปแล้ว และบางจังหวัด รวมไปถึงกรุงเทพมหานครนั้นก็เรียกได้ว่าร้อนเป็นประวัติการณ์” เสียงพิธีกรในโทรทัศน์กำลังแจกแจงถึงความน่ากลัวของฤดูร้อนในปีนี้

“ถึงว่าสิ ร้อนจนจะประสาทแล้ว เมื่อเช้านะฉันอาบน้ำเสร็จยังไม่ทันจะเช็ดตัวเสร็จแท้ ๆ เหงื่อออกเสียแล้ว อยากจะบ้าตาย” มาลี...เพื่อนพนักงานขายในแผนกผ้าขนหนูบ่นอุบ ความที่พนักงานขายแต่ละส่วนต้องสลับกันมาพักทานข้าว มาลีซึ่งอยู่แผนกติดกับเขาจึงกลายเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารอยู่เสมอ

“ก็มันร้อนแบบนี้นั่นสิ ผู้จัดการถึงให้ย้ายไปช่วยขายแอร์ รู้เรื่องกับเขาเสียทีไหน เกิดขายไม่ได้สักเครื่องแล้วเดือนนี้จะเอาอะไรกินนะ” อานนท์บ่นด้วยความเศร้า

ถ้าเลือกได้อานนท์ไม่อยากถูกย้ายแผนกเลย งานขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นงานที่ต้องได้รับการอบรมมาก่อน แล้วคนที่ไม่มีความรู้แบบเขาจะปิดการขายอะไรได้ รุ่นไหนดีกว่ารุ่นไหนอานนท์ไม่รู้สักนิด ภาษาอังกฤษก็ได้แค่งู ๆ ปลา ๆ อานนท์เคยเห็นเครื่องปรับอากาศจากที่ทำงานเท่านั้น ห้องพักที่เขาเช่าอยู่ยังเป็นพัดลมอยู่เลย (ห้องพักติดแอร์มันถูกเสียที่ไหน) แล้วพนักงานขายที่กินเงินเดือนกว่าครึ่งจากคอมฯ แบบเขาจะมีชะตากรรมอย่างไร อานนท์ไม่อยากจะคิด ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ

พิธีกรรายงานอากาศในจอโทรทัศน์ยังคงพูดต่อ “กรมอุตุนิยมวิทยาได้แจ้งเตือนว่าในปีนี้อากาศจะร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี หลายจังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานครอาจจะอุณหภูมิสูงถึง 43 - 45 องศาเซลเซียส โดยคาดว่าในปีนี้ วันที่มีอากาศร้อนที่สุด หรือวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะในประเทศไทยจะตรงกับวันที่ 12 เมษายน จึงขอเตือนให้คุณผู้ชมรักษาสุขภาพให้ดี หลีกเลี่ยงที่จะอยู่กลางแจ้งในเวลาที่แดดจัดเป็นเวลานาน ๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และสวมใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย วันนี้เวลาหมดลงแล้ว กลับมาพบกับผม...พงษ์พิพัฒน์และรายการ เช้านี้ที่ประเทศไทย ได้ใหม่ในวันพรุ่งนี้ สวัสดีครับ”

“หล่อเนอะแก ฉันว่าในบรรดานักข่าวทีวีทั้งหมด คนนี้หล่อสุดเลย หน้าตาแบบนี้ไปเป็นดาราเสียดีกว่า”

อานนท์เพ่งมองชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินยกมือสวัสดีแล้วหันมาส่งยิ้มให้กล้อง หน้าตาหล่อเหลาสมกับเธอพูดจริง ๆ หล่อถึงตอนขนาดยกถ้วยกาแฟปรุงสำเร็จยี่ห้อดังขึ้นจิบแบบในตอนนี้ กาแฟที่ว่ารสชาติห่วยแตกนักหนากลับดูน่ากินขึ้นมาทันตาเห็น (อานนท์รู้เพราะมาลีเคยเอาตัวอย่างจากแผนกซูเปอร์ฯ ขึ้นมาให้ชิม)

“อย่ากินเยอะ เดี๋ยวบ่ายนี้แกก็ได้ไปหลับโชว์หรอก” มาลีพูดแล้วเอื้อมมามาดึงช้อนออกจากมือเขา เห็นอีกฝ่ายยังไม่เลิกทำหน้าจ๋อย หญิงสาวก็พูดปลอบใจ “นนท์...แกอย่าคิดมากเลย แกต้องขายได้สักเครื่องสองเครื่องแหละ เชื่อสิ”

“ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีสิอ้อย ยังไม่รู้เลยว่าอบรมจะหัวหรือก้อย” อานนท์สั่นหัวแขยง

“ห้วหรือก้อยไม่รู้แต่ไม่หมูแน่นอน เห็นว่าคนอบรมจะเป็นคนชื่อพี่สิงห์ที่อยู่แผนกช่างฯ ใช่ไหม ยายเล็กที่อยู่เครื่องทำน้ำอุ่นเคยบอกว่าคนนี้ผู้จัดการปลื้มนักหนา ข่าวว่าเป็นหัวหน้าช่างที่ดูจะเก๋ายิ่งกว่าฝ่ายอบรมเสียอีก”

“ก็ดีสิ แบบนี้น่าจะง่ายขึ้นมั้ง”

“ง่ายกับผีแกสินนท์ ฟังให้จบก่อน แกคงไม่รู้สินะว่าคนชื่อพี่สิงห์นั่นน่ะ สิงห์เนี่ย...ไม่ใช่ชื่อของเขาจริง ๆ หรอกนะ แต่เป็นชื่อที่ทุกคนตั้งให้เพราะว่าดุอย่างกับเสือกับสิงห์ ลองไปแอบหลับแบบตอนที่อยู่แผนกหรือไม่สนใจสักนิดเถอะ จะได้เห็นเขี้ยวกัน”

“อ้าว...” อานนท์ทำหน้าเหรอหราและกว่าจะได้ซักอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็คำรามขึ้นที่ปากทางเข้าโรงอาหาร

“สมเดช ประกิต จเร พจนี วิไลพร สดศรี คเชนทร์อยู่ไหม !”

ชายหนุ่มหน้าคมเข้มยืนจังก้าอยู่กับที่ ไม่สนว่ามีสายตากี่คู่หันไปจ้องมองตนเอง

แม้โรงอาหารจะเต็มไปด้วยเหล่าผู้คนขวักไขว่ ทว่าผู้ชายหน้าดุคนนั้นกลับดูโดดเด่นขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ ไม่นับกับเสียงตะคอกดุเดือดนั่น แค่ร่างกายที่สูงใหญ่ ชุดเครื่องแบบช่างที่ไม่เหมือนใคร แล้วก็ทรงผมที่เป็นลอนหยิกกระเซิงไม่เหมือนคนอื่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้หัวหน้าช่างซึ่งถูกขนานนามว่า “พี่สิงห์” คนนี้ดูเด่นสะดุดตานัก

“ตกลงอยู่ไหม !” เจ้าของเสียงคำรามเข้มตวาดซ้ำอีกรอบ

นาทีต่อมาอานนท์เห็นพนักงานชายหญิงจำนวนหนึ่งทยอยลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาคนที่ยืนอยู่ ใบหน้าแต่ละคนเหมือนกันที่ความซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด คนชื่อสิงห์ไม่ได้พูดอะไร และเหมือนจะไม่เสียเวลารอให้คนเหล่านั้นเดินมาถึงด้วยซ้ำ เพราะพูดจบ เจ้าตัวก็หันหลังกลับแล้วเดินออกจากโรงอาหารไป ไม่คิดแม้แต่จะหันมองกลับมา อานนท์เห็นกลุ่มพนักงานเหล่านั้นวิ่งตามไปเป็นแถวด้วยอาการหวาดกลัว

“เป็นไง? คนนั้นแหละที่จะอบรมแกบ่ายนี้” มาลีพูดพร้อมกับเขี่ยผัดผักในจานไปมา หมดความอยากอาหารขึ้นมาเอาเสียดื้อ ๆ “นนท์เอ๊ย...หน้าร้อนปีนี้ได้ร้อนเหมือนตกนรกแน่”

อานนท์มองชุดช่างสีน้ำเงินที่ค่อย ๆ หายไปจากสายตา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอกลืนน้ำลายไปแล้วกี่อึก



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคับคั่งไปด้วยผู้คน นภมองทุกอย่างรอบ ๆ ตัวคล้ายกับว่าทุกสิ่งที่นี่เป็นของแปลกตา หลังจากไปศึกษาต่อด้านปริญญาโทภาษาที่ประเทศเยอรมันแล้วตัดสินใจสมัครรับทุนศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ควบคู่ไปกับการทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ที่นั่น เรื่องที่จะกลับมาเหยียบผืนแผ่นดินเกิดอีกครั้งนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของอาจารย์หนุ่มเลย หากแม้ฮานส์...เพื่อนอาจารย์ในภาคเอเชียศึกษาที่เขาประจำอยู่ไม่รบเร้าวันละหลาย ๆ ครั้งให้พามาเที่ยวเทศกาลสงกรานต์อันเลื่องชื่อข้ามโพ้นทะเลไปถึงที่นั่น นภคงได้แต่เห็นกรุงเทพจากภาพในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มผมทองยิ้มแฉ่ง ทักทายกับพนักงานประจำพื้นดินของท่าอากาศยานอย่างคนร้อนวิชา ซุ่มอุตส่าห์ฝึกออกเสียงวันละคำจากแผ่นซีดีฝึกหัดภาษาที่ขายตามร้านหนังสือจนได้ภาษาไทยระดับเด็กประถมมาเพื่อใช้เที่ยวในทริปในฝัน เห็นแบบนี้แล้วเขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร

ฮานส์จะรู้ไหมว่านภในตอนนี้ก็ไม่แตกต่างกับนักท่องเที่ยวต่างชาติคนหนึ่ง ไม่รู้จักถนนหนทาง ไม่รู้ว่าจะเที่ยวที่ไหน เดินทางอย่างไร สิ่งที่เหนือกว่าฝรั่งผมทองอย่างฮานส์คงมีเพียงเรื่องเดียวคือเขาพูดและฟังภาษาไทยได้

อาจารย์หนุ่มที่เขาเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงปีดีนักยืนส่งสายตาเหมือนตั้งคำถามว่าจะเอาอย่างไรต่อ ซึ่งนภเองก็จนปัญญาเหลือเกิน อันที่จริงแล้วเขาพอจะรู้จักเพื่อนชาวไทยบ้าง ถ้าทุกอย่างไม่กะทันหันอย่างนี้นภคงมีเวลาส่งอีเมลมาไหว้วานให้สหายเหล่านั้นช่วยแนะนำเรื่องต่าง ๆ ประเภทที่พัก อาหารการกินได้บ้าง แต่ตัวการทั้งหมดคงหนีไม่พ้นชายหนุ่มร่างสูงเกือบ 190 เซนติเมตรที่กำลังยืนยิ้มเผล่ไม่รู้เรื่องราวอยู่ในตอนนี้

ชะเง้อมองอยู่สักพักจนตัดสินใจได้ นภก็เอ่ยเป็นภาษาเยอรมัน “Wir nehmen ein Taxi zum Hotel.”

ฮานส์ยกมือขึ้นทำเครื่องหมายกากบาททันที “เท่านั้นภาษาไทยครับ”

เสียงดังฟังชัดจนนภอดอมยิ้มไม่ได้ ไวยากรณ์ที่ผิดเพี้ยนเป็นปัญหาพื้นฐานของคนที่ฝึกภาษาใหม่ ๆ และนภก็มองว่ามันเรื่องน่าชื่นชมมากกว่าอะไรที่น่าอาย “ต้องพูดว่า...ภาษาไทยเท่านั้นครับ” เขาแก้ให้ใหม่

ฮานส์ทำหน้าเหรอหราก่อนจะหยิบสมุดขึ้นมาจดเป็นภาษาคาราโอเกะ นภรอให้เพื่อนตัวสูงโย่งจดยุกยิกให้เสร็จก่อนจึงเอ่ยปากอีกครั้ง “เร็วเถอะ เราจะไปโรงแรมด้วยแท็กซี่กัน”

ทุกอย่างของกรุงเทพเปลี่ยนไปจากภาพในความทรงจำของอาจารย์หนุ่มอย่างสิ้นเชิง มีรถไฟฟ้าจากสนามบินมุ่งเข้าสู่ใจกลางเมือง แต่คนที่ไม่รู้ว่าตนเองจะไปที่ไหนแบบเขา สู้บอกแท็กซี่ให้พาไปหาโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่พอใช้สักแห่งดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า นอกจากความทันสมัยที่เปลี่ยนไปจากภาพในอดีตแล้ว อะไร ๆ ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ผู้คนที่ดูจะเยอะขึ้นจนผิดตา รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน อาคารรูปทรงทันสมัย ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จำนวนมากมาย ถนนที่รถติดจนน่ากลัว หรือป้ายโฆษณาริมทางที่แน่นขนัดจนคล้ายฮ่องกงไปทุกที เพียงสิ่งเดียวที่ดูจะไม่ต่างจากความคุ้นเคยในสิบปีก่อนของนภเลยก็คืออากาศที่ร้อนจัดในเดือนเมษายน

นภซื้อซิมโทรศัพท์แบบเติมเงินมาสองเลขหมายก่อนขึ้นแท็กซี่ เบอร์แรกสำหรับฮานส์และอีกเบอร์สำหรับเขาเอง หลังจากเปลี่ยนมันแล้วชั่งใจอยู่สักพัก สิ่งแรกที่นภทำคือส่งข้อความไปหาทิวัตถ์ นั่นเป็นตัวเลือกเดียวที่เขามี แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อความรู้สึกตนเองก็ตาม

“พาเพื่อนมาเที่ยวสงกรานต์ที่กรุงเทพ ตอนนี้งงไปหมด ว่าจะถามข้อมูลทิมสักหน่อย”

ทิวัตถ์...หรือจะให้เรียกแบบที่เขาติดปากก็คือทิม ผู้ชายคนนั้นคือคนในความทรงจำของเขา ในตอนนั้นที่นภเพิ่งเดินทางมาถึงเยอรมันไม่นาน ทิมก็ย้ายเข้ามาพักร่วมกับเขาและพี่คนไทยอีกคน ช่วงนั้นเขาสนิทกับทิมมาก อาจเพราะต้องเป็นครูสอนภาษาเยอรมันให้ด้วยยังไม่คล่อง ประกอบกับพี่คนไทยอีกคนที่เรียนหมอก็ใช้เวลาอยู่ในแล็บเสียมากกว่าในอพาร์ตเมนต์ ความใกล้ชิดจึงค่อย ๆ พัฒนาขึ้นทีละน้อยจนเป็นความชอบ แล้วมันก็พัฒนามาเป็นความรักในเวลาไม่นานนัก นภแอบเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจเพราะรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะฝันเฟื่องไปวัน ๆ ว่ามันอาจจะ...น่าจะเป็นไปได้

ทิมรู้ความจริงหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แล้วทั้งหมดที่สร้างมาก็กลายเป็นปราสาททรายที่ถูกน้ำซัดจนเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่พูด ไม่มองหน้ากัน ไม่เหลือความสนิทสนม ไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อน โดยปกติแล้วนภเป็นคนไม่ท้อถอยกับปัญหา แต่มีเพียงไม่กี่เรื่องที่นภต้องยอมแพ้แล้วหลบหนีจากโลกแห่งความจริงซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล มันเจ็บปวด และความเจ็บปวดคราวนั้นก็รุนแรงมาก มากพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่เยอรมันถาวร นภย้ายจากเบอร์ลินไปแฟรงเฟิร์ต และไม่กี่ปีต่อมาพ่อและแม่ก็ย้ายจากไทยไปตั้งรกรากอยู่ด้วยกันที่นั่นด้วยกัน

ห่างกันจนลืมไปแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตาก็เล่นตลกกับนภ เขาเจอทิมโดยบังเอิญจากการไปทำงานที่ตุรกี นภรู้สึกดีใจมากที่ได้พบกับทิมอีกครั้ง แต่แล้วฉับพลันก็รู้สึกเหมือนโลกอันสว่างไสวหยุดหมุนเอาเสียดื้อ ๆ การพบกันในครั้งนี้ทำให้นภรู้ว่าทิมมีคนรักแล้ว หมายถึงคนรักแบบที่คิดจะอยู่กินจริงจังและคน ๆ นั้น...เป็นผู้ชาย

ใช่...เป็นผู้ชายเหมือนกับนภ แต่นภไม่ใช่คนที่ถูกเลือก

ที่ผ่านมา นภไม่ได้คิดอะไรกับทิมแล้ว แต่พอได้รู้ข่าวก็อดจะรู้สึกบางอย่างขึ้นมาไม่ได้ และแม้คิดว่ากลบฝังความทรงจำทุกอย่างไว้ที่ตุรกีเมื่อปีที่แล้ว แต่วันนี้เขากลับเป็นคนทิ้งความตั้งใจนั้นเสียเอง กลับมาที่นี่...และกลับไปติดต่อกับทิมอีกครั้ง

นภมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ ดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ริมถนน คนไทยเหมือนคนแปลกหน้า และนภก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนแปลกถิ่น กรุงเทพไม่ใช่ที่ของเขา  แฟรงเฟิร์ตต่างหากที่เป็นบ้าน ลำพังแค่ตัวนภคนเดียวคงไม่เป็นไร แต่เขาแบกความหวังของฮานส์มาด้วยเต็มกระเป๋า ทิฐิที่มีกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อนภไม่มีทางเลือกอื่น แม้จะต้องสวมหน้ากากใส่กัน แต่อย่างน้อย ทิมก็น่าจะพอแนะนำอะไรเกี่ยวกับกรุงเทพในตอนนี้ให้กับเขาได้บ้าง

หลายนาทีหลังจากส่งข้อความไปทางไลน์ แต่ปลายทางก็ยังคงเงียบ นภจึงพยายามไล่หาเบอร์ติดต่อคนรู้จักอื่น ๆ ที่เก็บไว้ในเครื่อง ค่อย ๆ โทร ค่อย ๆ ส่งออกไปหาทีละรายชื่อแล้วลุ้นว่าจะติดต่อได้ไหม ซึ่งโดยมากไม่ต้องเสียเวลาลุ้นให้เมื่อยด้วยหมายเลขเหล่านั้นถูกบอกยกเลิกไปแล้ว

“ร้อนจริง ๆ กรุงเทพร้อนมาก” ฮานส์บ่น เนื้อตัวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ คนตาน้ำข้าวเอาแต่กระพือคอเสื้อดังพรึ่บพรั่บจนโชเฟอร์ที่บังคับพวงมาลัยอยู่เร่งเครื่องปรับอากาศให้แรงขึ้นอีก

“Ich dir schon gesagt. ก็เตือนแล้ว” นภเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือแล้วหัวเราะ ไม่แปลกเลยสำหรับฮานส์ที่จะออกอาการแบบนั้น ก่อนขึ้นเครื่องบิน อุณหภูมิที่แฟรงค์เฟิร์ตอยู่ราวสิบองศาฯ หรือแม้แต่ฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดก็ไม่เกินยี่สิบองศา ซึ่งเทียบกับอากาศที่กรุงเทพในตอนนี้แล้ว นภไม่อาจคะเนได้จริง ๆ ว่ามันตรงกันข้ามกันขนาดไหน กรุงเทพ...อาจจะประมาณ 30 องศาฯ ได้กระมัง

“พี่ครับ ตอนนี้ที่นี่มันกี่องศาฯ น่ะ”

“วันนี้คงประมาณ 40 องศาฯ ได้”

“ร้อนอะไรขนาดนั้น” นภอุทานอย่างไม่เชื่อหู แต่เมื่อกวาดตาออกไปมองนอกบานกระจกก็เห็นไอระอุขึ้นมาจากพื้นถนนมากมาย และเมื่อจินตนาการถึงภาพที่เขาพาเพื่อนฝรั่งผมทองคนนี้ออกไปเล่นน้ำประแป้งสู้กับแดดและฝูงคนมากมายในอนาคตอันใกล้แล้วก็ยิ่งเครียด ลำพังเขาคงใช้เวลาปรับตัวไม่เท่าไร แต่อีกคนนี่สิ

นภวางโทรศัพท์ลงบนตัก ถึงตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่ถอนใจหมดแรง เสียงบ่นของคนข้างตัวสลับเป็นภาษาไทยบ้างเยอรมันบ้างจนหมดอารมณ์จะติดต่อใครอีกแล้ว ส่วนฮานส์...ตัวต้นเรื่องก็ยังบ่นร้อนไม่เลิก และนภคิดว่าคงจะบ่นแบบนี้ไปตลอดทริป

“เห็นพยากรณ์อากาศบอกว่าปีนี้จะร้อนสุดในรอบ 60 ปี ช่วงสงกรานต์จะหนักสุด น่าจะประมาณ 43 - 45 องศาฯ เลยเชียว” โชเฟอร์ร่างท้วมพูดขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปเปรับช่องแอร์ให้ตรงไปที่ชายหนุ่มผมทอง ฟังแล้วนภได้แต่ยิ้มแห้ง

“เขาพูดอะไรครับนภ ช้า ๆ” ฮานส์สะกิดถาม คะยั้นคะยอให้อธิบายด้วยยังไม่เข้าใจภาษาไทยนัก

นภได้แต่ยิ้มสู้ รู้แล้วว่าการกลับมากรุงเทพ (โดยไม่มีแผนการมาก่อน) ในครั้งนี้เป็นเรื่องน่ากลัวเหลือเกิน



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)


(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: กรุงเทพ...กับความทรงจำในฤดูร้อน : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-04-2014 21:44:43
(ต่อครับ)




พิธานหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากชั้นแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะไม้เล็ก ๆ ตรงมุมห้อง ห้องสมุดเป็นพื้นที่พิเศษสำหรับเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดแบบนี้ ใบหน้าเล็กกะทัดรัดฟุบลงบนโต๊ะเก่า ๆ หากแต่ดวงตากลับย้อนไปจ้องเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งที่กำลังนั่งหยอกล้อกับหญิงสาวหน้าตาน่ารักอีกคน

อริยะเป็นเพื่อนสนิทเขา ทุกครั้งที่เอ่ยขานชื่อเล่นจะพ่วงคำขยายนำหน้าชื่อเป็น “ไอ้อาร์ม” ซึ่งน่าจะบ่งวัดปริมาณความซี้ได้เป็นอย่างดี ตัวติดเป็นปาท่องโก๋จนใครก็แซวว่าเขาและมันว่าเป็นคู่เกย์ผลัดกันเป่าขลุ่ยเช้าเย็น เล่นเอาพิธานถึงกับวางตัวไม่ถูก ผิดกับ (ไอ้) อาร์มที่ดูเหมือนจะเห็นเป็นเรื่องสนุก

แน่ละ ก็ของจริงอยู่ตรงหน้าขนาดนั้น

พูดถึงระริน...ผู้หญิงผิวขาวหน้าตาน่ารักคนนั้น หลังจากที่สนิทสนมกับอาร์มมากขึ้น จากที่ไม่เคยคุยกันนักเธอก็เริ่มพูดคุยกับเขาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่การพูดคุยเพียงผิวเผินอย่างเพื่อนทั่วไป “สวัสดีค่ะหนึ่ง” เธอมักจะเอ่ยทักเขาด้วยรอยยิ้มน่ารัก แล้วส่วนมากมันก็จะจบลงเพียงประโยคทักทายสั้น ๆ แค่นั้น และเมื่อเขาพยายามชวนคุยตอบ รินก็เอาแต่ยิ้มรับเป็นส่วนใหญ่ นานทีจะมีคำตอบอือออสักครั้ง แต่ส่วนมากก็แค่นั่งเงียบ ๆ พอบ่อยเข้า ความพยายามของเขาก็หมดลงไปเอง

ทุกสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่อาร์มคิด ระรินไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเพื่อนแบบเขาเป็นพิเศษ หัวสมองของหนึ่งไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสนิทหรือไม่สนิทเหล่านี้นัก แล้วก็ไม่เคยนึกอยากฝืนตัวเองไปตีซี้อะไรกับระรินแบบนั้นด้วย เด็กหนุ่มหลับตาลง สูดกลิ่นไม้ที่ยังให้ความรู้สึกขลังแบบที่โต๊ะหนังสือในห้องสมุดทุกตัวเป็น เขาชอบอ่านหนังสือมันก็ใช่ แต่พักหลังพิธานกลับไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่ที่ตัวหนังสือเลย เป็นแบบนั้นซ้ำซาก บ่อยจนหงุดหงิด ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอ่านอะไรแล้วพอรู้สึกตัวอีกที ตาของเขาก็มาลงเอยอยู่ที่อาร์มทุกครั้ง หรือเพราะคนที่สนิท ๆ กันมันก็เป็นแบบนี้ เอะอะก็คอยมองหาอะไรที่คุ้นตาไว้ก่อน

น้ำหนักที่กดลงบนหัวไหล่อย่างฉับพลันทำให้พิธานสะดุ้ง อารามตกใจไพล่นึกอยากจะโวยวายขึ้นมา หากแต่เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมคุ้นจมูก ดวงตาเรียวก็เปลี่ยนเป็นปรือขึ้นอย่างไม่รีบร้อน...พร้อมกับริมฝีปากที่ค่อย ๆ โค้งตัวขึ้นจนกลายเป็นครึ่งวงกลม “อะไรของมึง...ไอ้อาร์ม”

อริยะหัวเราะเสียงเบา ๆ ในลำคอ เขายกมือขึ้นขยับขาแว่นที่ข้างหูให้กระชับขึ้นแล้วพริ้มดวงตาลง วางศีรษะลงบนหัวไหล่เพื่อนสนิทอย่างวิสาสะ “แอบมาหลับอยู่นี่เอง”

“อืม...พักสายตาบ้างน่ะ ร้อนจนมึน แถวนี้ก็คนน้อยดี”

อาร์มหลิ่วตาเล็กน้อย เด็กหนุ่มถอนหายใจหน่ายก่อนจะตะแคงตัวเบียด ยกมือข้างซ้ายขึ้นโอบบ่าเขาแล้วเอนตัวลงมานอนหมอบอยู่ข้างกัน “แล้วนี่อ่านอะไรวะหนึ่ง”

พิธานลืมไปแล้วว่าตัวเองหยิบหนังสืออะไรมาเป็นข้ออ้างในการใช้ห้องสมุดระหว่างหนีมาหลบตรงนี้ ได้แต่อ้ำอึ้งนึกไม่ออก ลงท้ายก็บ่นหงุดหงิดออกมาแทน “เซ้าซี้น่า”

คำบ่นของหนึ่งไม่เคยมีผลใด ๆ กับอีกฝ่ายอยู่แล้ว เมื่อความสงสัยไม่ได้รับคำตอบ อริยะก็เอื้อมมืออีกข้างไปพลิกหน้าปกของหนังสือขึ้นดูเอง แต่พอเห็นว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก็ทำหน้าแหยแล้วถอยกลับไปนอนฟุบอยู่แบบเดิม

พิธานนึกอยากจะพูดว่าสมใจไหม แต่ที่แสดงออกมามีเพียงเสียงหัวเราะจนถูกดุจากสายตาคนรอบข้าง เด็กหนุ่มรีบเบือนออกไปมองนอกหน้าต่าง ไอแดดร้อนจ้าจนต้องหรี่ตา “ปีนี้ร้อนจริง”

“กินไอติมกันไหม” อาร์มเสนอ

“พารินไปเถอะ เอาเพื่อนไปเป็น ก. ข. ค. ทำไมเล่า”

“ก. ข. ค. บ้าอะไร บ้าจี้ตามพวกนั้นไปได้” อริยะหัวเราะขำ มือซ้ายที่โอบอยู่บนบ่าลดลงมาโอบที่เอว “หนึ่งชอบกินไอติมไม่ใช่เหรอ หน้าร้อนปีที่แล้วยังนั่งจ้วงกันเป็นควอร์ตอยู่เลย”

“มันเหมือนปีที่แล้วที่ไหนเล่า” หนึ่งถอนหายใจเหนื่อย ขืนไปสิ ดีไม่ดีจะโดนรินเขม่นเอาให้

แต่เพื่อนคู่หูยังไม่เลิกรบเร้า อริยะยกมืออีกข้างขึ้นมา เปลี่ยนจากโอบเป็นกอดจากด้านข้างเต็ม ๆ ตัว “ไปเห้อออ...”

“ไอ้อาร์ม...ปล่อยมือน่า”

อาร์มส่ายหัวปฏิเสธหน้าระรื่น ลอยหน้าลอยตาขมุบขมิบปาก...จ้างก็ไม่ปล่อย

“เดี๋ยวรินเห็นจะหัวเราะให้”

“อีกนานกว่าจะกลับ ไปคุยกับเพื่อนอยู่โต๊ะตรงโน้นนน...โน่น” อริยะลากเสียงยาว กอดแน่นกว่าเดิม “ซีเรียสอะไรวะ รินไม่คิดมากเรื่องพวกนี้หรอก”

“อึดอัดน่าไอ้อาร์ม ยิ่งร้อน ๆ อยู่”

“วอลล์ สเวนเซ่นส์ ไอเบอร์รี่ บาสกิ้น ฮาเก้น-ดาซส์ ไผ่ทอง หรือจะเอาร้านไหน” อาร์มนับไล่นิ้ว

คนฟังส่ายหัวยิก ปฏิเสธลูกเดียว จนสักพักปลายนิ้วชี้ของคนถามก็เปลี่ยนมาจิ้มลงที่แก้มของหนึ่ง เด็กหนุ่มร่างกะทัดรัดสะดุ้ง กระถดตัวถอยห่าง เว้นระยะออกมามองคนตรงหน้า

ในระยะห่างเพียงคืบ อริยะกำลังเพ่งมองมาที่เขา คิ้วเข้มขมวดจนยุ่งอยู่เหนือกรอบแว่นตาเหมือนไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าจะเล่นตัวไปทำไม “งั้นไอติมกะทิหน้าคณะแล้วกัน ร้อนจะตาย ร้อนจนหน้ามึงแดงแล้วเนี่ย”



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ดนัยกอบเอกสารมากมายขึ้นมาถือเต็มสองมือ ไม่ลืมที่จะตรวจทานให้เรียบร้อยไม่ให้ขาดตกอะไรไป ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาท้าทายความสามารถสำหรับนักการตลาดบริษัทน้ำอัดลมทุกยี่ห้อ โดยเฉพาะเดือนเมษายนที่ยอดขายจะพุ่งขึ้นสูงที่สุดในรอบปี...ซึ่งนั่นอาจจะมากกว่ายอดขายทั้งไตรมาสแรกของปีรวมกันเป็นเท่าตัว

โปรแกรมกระตุ้นยอดขายถูกวางแผนมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขชนิดสัปดาห์ต่อสัปดาห์หลังจากประเมินแนวโน้มของบริษัทคู่แข่ง เขาทำงานเฉลี่ยวันละ 14 ชั่วโมงในช่วงเวลาคาบเกี่ยวอย่างนี้ ตรวจแบบอาร์ตเวิร์ก ดูถ่ายหนังโฆษณา กระทุ้งการทำงานของเอเจนซี่ต่าง ๆ ให้คลอดงานออกมาได้ทันตามแผน ขณะที่ตนเองก็ต้องจัดสรรงบประมาณทั้งหมดของฝ่ายพัฒนาภาพลักษณ์องค์กร ประสานงานกับฝ่ายการตลาด ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และสายงานจัดส่งให้ลงตัว รวมถึงดูแลควบคุมการ tie-in ผลิตภัณฑ์กับรายการต่าง ๆ อย่างนี้ด้วย

“คุณจ๊อดได้ลองคุยกับทางฝ่ายครีเอทีฟหรือยังครับว่าทางเราพอจะ tie-in เข้ารายการในรูปแบบไหนได้บ้าง” ดนัยวางเอกสารทั้งหมดลงบนโต๊ะ ส่วนหนึ่งเป็นหนังสือสัญญาโฆษณา อีกส่วนเป็นงานทำตัวเลขจัดสรรงบประมาณประจำไตรมาส และส่วนที่เหลือคือตัวอย่างงานโฆษณาสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ที่ติดมือมาตรวจระหว่างดูการถ่ายทำรายการ

เห็นอีกฝ่ายซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ของรายการยังคงวุ่นวายอยู่กับการประสานงานส่วนต่าง ๆ คนไม่มีเวลาอย่างดนัยจึงเสนอทางเลือกอื่นให้ “หรือให้ผมลองคุยกับฝ่ายครีเอทีฟโดยตรงดูก่อนก็ได้นะครับ จะได้สื่อสารกันง่า...”

“วันนี้ฉุกละหุกนิดหน่อย ต้องรบกวนคุณนัทด้วยนะครับ” ดนัยยังไม่ทันพูดจบ อีกฝ่ายก็ตอบรับข้อเสนอเขา ซ้ำยังลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปทันที ทิ้งชายหนุ่มให้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความมึนงง

ราวสิบนาที หญิงสาวผมฟูเป็นลอนก็ปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมกล่าวทักทาย ดนัยปิดแฟ้มที่เต็มไปด้วยตัวอย่างชิ้นงานโฆษณาแล้วยกมือขึ้นรับไหว้

“ดาน่าค่ะ ครีเอทีฟเช้านี้ที่ประเทศไทย” เธอทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ดวงตากลมรับกับกรอบแว่นลายกระบนหน้า “ต้องขอโทษด้วยนะคะ รบกวนคุณนัทให้รอตั้งนาน พอดีวุ่นนิดหน่อยค่ะ วันนี้มีอัดส่วนที่เป็นเทป”

ดนัยพนักหน้ารับ เข้าใจดีว่ากระบวนการผลิตของรายการทางโทรทัศน์ยุ่งยากแค่ไหน อะไรที่เตรียมไว้มักจะไม่ได้ใช้ และอะไรที่ไม่ได้เตรียมมาก่อนมักจะดีกว่าเสียทุกที แทบจะเรียกได้ว่าเผาเอาใหม่ ๆ หน้างานตลอด ไม่เว้นแม้จะเป็นรายการแห้ง อัดเทปไว้ออนแอร์สลับช่วงกับส่วนที่ถ่ายทอดสดก็ตาม

“คือไจแอนท์โคลาของคุณนัทเนี่ย ดาน่าคุยกับฝ่ายเซลแล้วเห็นว่าจะเริ่ม tie-in วันมะรืนนี้เลย คุณนัทมีคอนเซ็ปต์ในใจหรือยังคะ”

“นอกจากขึ้นโลโก้กับวางน้ำอัดลมบนโต๊ะแล้ว ให้แขกรับเชิญเล่นกับสินค้าได้บ้างไหมครับ”

หญิงสาวถอยหลังกลับ ผมที่ดัดฟูทำให้แรงไหวหน้าเพียงเล็กน้อยสั่นสะเทือนเกินจริง “คงยากค่ะคุณนัท แขกรับเชิญบางคนจ่ายหนักเขาก็ไม่รับค่ะ ติดสัญญาเจ้าอื่นอยู่ แตะไม่ได้ พูดถึงไม่ได้ หมูเห็ดเป็ดไก่น่ะค่ะ แต่คือทางเราก็จะช่วยที่สุดนะคะ อยากให้ลูกค้าพอใจ คุณนัทเข้าใจดาน่านะ”

“ผมทำอะไรได้บ้างครับ”

“อืม...ถ้าเล่นกับพิธีกรโอเคไหมคะ ดาน่าว่าก็แปลกใหม่น่าสนใจดีนะ ลูบคลำขยำเขย่าได้หมดทุกอย่าง ไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ” หญิงสาวเสนอ

ไม่มีปัญหาน่ะใช่ แต่ความแปลกใหม่นี่ยังห่างไกล ดนัยครุ่นคิด ต่อรองกับครีเอทีฟหัวหมอนี่ไม่ง่ายเลย “มีแบบอื่นอีกไหมครับ”

“มีแน่นอนค่ะ”

“อะไรบ้างครับ”

“ตอนนี้มีเท่านี้ค่ะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างทันควัน

“โอ้...” ชายหนุ่มถึงกับร้อง โปรแกรม tie-in จะเริ่มในอีกไม่กี่วัน นั่นคือเวลาที่ออกอากาศจริง แต่ถ้าหมายถึงเวลาที่ใช้ในการทำงานเท่ากับว่าเขาถูกมัดมือชกให้เลือกคำตอบ...จากตัวเลือกเดียว ดนัยถอนหายใจเหนื่อย เดิมทีเดียวชายหนุ่มก็ไม่คิดว่ารายการประเภทคุยข่าวตรงกับกลุ่มเป้าหมายหลักที่มองไว้แต่ต้นอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะคำสั่งตรงจากเบื้องบนด้วยเจ้าของรายการกับเจ้าของบริษัทซี้ย่ำปึ๊กกัน หัวเด็ดตีนขาดดนัยก็ไม่คิดจะ เอาทั้งงบที่มีจำกัดและเวลา (ที่มีจำกัดเสียยิ่งกว่า) มาลงกับรายการเช้านี้ที่ประเทศไทยอย่างแน่นอน

เห็นลูกค้าหนุ่มนั่งเงียบ ครีเอทีฟสาวก็เอ่ยสรรพคุณต่อ “คุณตรีตอนนี้กำลังมาเลยค่ะ ไอจีก็มีคนตามหลักแสนแล้ว แกน่ารักค่ะ จบนอกหมาด ๆ ทำงานง่าย ๆ แบบฝรั่ง โอเคเลยนะคะ ที่สำคัญ...สาว ๆ กริ๊ดค่ะ อัดสดเมื่อไร ป้ายไฟพรึ่บเต็มสตูฯ คอนเฟิร์มว่าคุณตรีแกหน้าตาหล่อจริง ๆ ค่ะ หล่อมาก...”

หญิงสาวลากเสียงยาวทำหน้าชวนฝัน กระนั้นก็ไม่วายจะหันกลับมาโปรยยาหอมกับชายหนุ่มที่ฟังอยู่ “หล่อคนละแบบกับคุณนัทค่ะ คุณนัทจะดูหล่อเท่ ๆ แต่คุณตรีจะดูหล่อน่ารัก ๆ หน่อยค่ะ”

ดนัยถอนหายใจ ลองถ้าจะโฆษณาสรรพคุณขนาดนี้ เห็นทีต่อให้ยืนกรานไม่เอา หล่อนก็คงสรรหาเหตุผลอื่นมาแย้งให้ปวดหัวไม่จบ ถึงอย่างไรตัวเลือกเขาก็มีแค่นี้แต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

“แล้วคุณตรีนี่คือใครครับ ผมไม่ค่อยรู้จักคนวงการบันเทิง”

“พงษ์พิพัฒน์ค่ะ ตรี พงษ์พิพัฒน์ น่าจะรุ่นคุณนัทนี่แหละค่ะ ยี่สิบกว่า ๆ”

“ถ้าผมจะขอคุยกับเขาสักหน่อยจะได้ไหมครับ”

“ได้แน่นอนค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงหวาน ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วลง “ได้แน่ ๆ ...แต่ไม่ใช่วันนี้นะคะ”

ดนัยมองตาขวาง คิ้วเข้มยกขึ้นขมวดเป็นเครื่องหมายคำถาม

“อย่ามองดาน่าแบบนั้นสิคะ พอดีวันนี้น้องตรีกำลังอัดรายการอยู่ น่าจะเลิกค่ำเลย ถ้าให้รอก็จะเสียเวลา เกรงใจคุณนัทเปล่า ๆ เดี๋ยวดาน่านัดให้ดีกว่าค่ะ เสร็จแล้วไลน์ไปแจ้งคุณนัท”

“แบบนั้นก็ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบแล้วหอบกองเอกสารลุกขึ้นยืน “ผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วพบกันครับคุณดาน่า”

หญิงสาวส่งยิ้มหวานพลางลอบถอนหายใจโล่งที่ปิดงานได้สำเร็จ เธอเดินไปส่งเขา ชวนคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยกระทั่งถึงหน้าประตูสตูดิโอก็ช่วยเขาดันประตูเปิดออก แต่ภายนอกกับภายในอาคารนั้นราวกับคนละโลก เมื่อร่างกายปะทะกับไอร้อน หญิงสาวก็แทบจะถอยหลังกลับไปตั้งหลักทันที แสงแดดที่ร้อนจัดก็ทำให้ดนัยต้องหรี่เปลือกตาสักพักกว่าจะปรับสายตาให้คุ้นชินได้เช่นเดียวกัน

“ปีนี้ร้อนมาก ๆ เลยนะครับ”

“ร้อนค่ะ ต้องดื่มไจแอนท์โคลา ชื่นใจ” หญิงสาวเอ่ยตาหยีเหมือนพร้อมแล้วที่จะละลายไปกับแสงแดดตอนเที่ยง “แต่ดาน่าว่าซัมเมอร์นี้จะต้องเป็นฮ็อตซัมเมอร์ สนุกแน่นอนค่ะคุณนัท”

ดนัยเพียงยิ้มแสยะที่มุมปาก คิดในใจว่าหากเป็นจริงได้สักเสี้ยวอย่างที่เธอพูดก็คงจะดี

“เดี๋ยวคอนเฟิร์มน้องตรีแล้วจะไลน์ไปหาคุณนัทนะคะ” ครีเอทีฟสาวโบกมือลาหย็อย ๆ

“ครับ ผมจะรอ”

เขาตอบ ก้าวขายาว ๆ ไปขึ้นรถ แล้วขับออกจากสตูดิโอไป



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




สวัสดีครับ เปิดเรื่องใหม่ด้วยอารมณ์ชั่ววูบจริง ถือว่าเป็นโปรเจ็กต์พิเศษสำหรับซัมเมอร์ก็แล้วกันนะครับ
มันร้อนจนหงุดหงิดจนอารมณ์เสีย โอ้ย...คือมันจะร้อนอะไรขนาดนี้ นั่งเฉยๆ ยังรู้สึกโมโหขึ้นมาเลย ฮ่าๆ
และด้วยความที่ไม่รู้จะไปบ่นระบายความร้อนที่ไหน เลยเอามาลงกับนิยายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
ความตั้งใจคืออยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่านสบายๆ สำหรับช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดจนเรารู้สึกหงุดหงิด
อย่างน้อย การอ่านนิยายสบายๆ สักเรื่องคงทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้มั้ง (คิดเอง เออเอง มโนเอง 555+)

ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะครับ ตัวละครเยอะหน่อย อ่าน ๆ ไปคงเริ่มคุ้นกันเองครับ วะฮะฮ่า

เอาละโหวย เข้าสู่เดือนที่ร้อนที่สุดของปีกันครับ! :m31:
หัวข้อ: Re: กรุงเทพ...กับความทรงจำในฤดูร้อน : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 04-04-2014 21:47:45
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: กรุงเทพ...กับความทรงจำในฤดูร้อน : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Saantos ที่ 04-04-2014 22:00:44
ยาวดีจังชอบๆ :katai2-1: :katai2-1:

ติดตามจ้าๆ

 :pig2: :pig2: :L1:
หัวข้อ: Re: กรุงเทพ...กับความทรงจำในฤดูร้อน : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 04-04-2014 22:09:22
แอบเล็งหนึ่งกับอาร์มไว้แหละ ฮริ้งงงง

ร้อนๆ แบบนี้มีนิยายสบายๆ มาอ่านคลายร้อนก็ฟินดีเหมือนกันค่า
แต่จะร้อนมากขึ้นรึเปล่าน้า? ร้อนเพราะพี่สิงห์นี่แหละ เปิดตัวมาครั้งแรก
พี่แกก็ดุเลย ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก 55555555555


 :pig4:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 04-04-2014 23:42:23
เลาลุ้นหนึ่งอาร์มม
นัทโผล่มาแล้ว แต่หลายคู่จริงอะไรจริง
รออ่านตอนต่อไป
นิยายร้อนๆนี่ตัวละครควรแข่งกันแก้ผ้านะ
แอร๊ ไม่ได้หื่นอะไรหรอก
แค่อยากให้มันเข้ากับสถานการณ์น่ะฮะ :D
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 05-04-2014 03:24:52
ขอเจิมก่อนนะค้าาาาา
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 05-04-2014 05:25:14
โอ้ เป็นโปรเจคที่น่าสนใจมากค่ะ
(ก็มันร้อนจริงๆ TT)
ว่าแต่...มันหลายคู่จังเลยง่ะ
แต่เราก็เชียร์ทุกคู่นะคะ 5555

ช่วงนี้เพิ่งมีเวลาไล่ตามอ่านนิยายที่เคยติดตามและอ่านค้างไว้ เจอว่าจบไปแล้วก็หลายเรื่องก็แอบตกใจ
พอดีเห็นชื่อคุณ Lucea เลยรีบจิ้มเข้ามาก่อน แค่เปิดเรื่องก็น่าสนใจแล้ว
ติดตามเป็นกำลังใจให้นะคะ อาจจะไม่ได้มาเม้นท์ทุกตอนเพราะงานคงเข้าเป็นช่วงๆ คงไม่โกรธกันนะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: schneesturm_fubuki ที่ 05-04-2014 09:05:08
ตามมาติ่ง...เริ่มเป็นแฟนนิยายของ Lucea ได้ไม่นาน ติดใจสำนวนการเขียน
และวิธีการเล่าเรื่อง มุมมอง นิสัย คำพูดของตัวละครในเรื่อง สะท้อนตัวตนของผู้แต่งได้ดี
เราว่านิยายของ Lucea ดูมีเสน่ห์ และที่ชอบอีกอย่างคือ Lucea สามารถแต่งนิยายเรื่องต่อๆไป
โดยใช้ตัวละครรองในเรื่องก่อนๆได้ดี เชื่อมโยงเหตุการณ์ได้เนียน ชอบมาตั้งแต่ paper moon ละ
เลิฟเลยฮะ  o13
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-04-2014 09:27:55
มีให้ลุ้นหลายคู่
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 05-04-2014 15:20:00
แอบลำเอียงชอบคู่อาร์ม-หนึ่งมากกว่าเล็กน้อย
แหม่มุ้งมิ้งกันดีจริงๆ

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 05-04-2014 15:47:17

แค่ตอนแรกก็สนุกแล้ว

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 05-04-2014 18:55:48
มาตามด้วยคน ตัวละครเยอะดี
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 05-04-2014 21:27:28

เลาลุ้นพี่สิง์ห์หนุ่มช่างแอร์ในตำนาน (รึเปล่า?) กับอานนท์เซลส์ขายแอร์ฝึกหัด อีกคู่คงเป็นคู่หนุ่มฮ็อตที่ใครๆต่างก็รอลุ้นอาร์ม-หนึ่งนั่นเอง คู่นี้น่าจะดราม่ากรุบกริบนะ หนึ่งชอบอาร์มยังไม่รู้ตัวเลย อาร์มก็ถึงเนื้อถึงตัวเกิน โผล่มาแป๊บเดียวทั้งลูบทั้งโอบทั้งกอดหนึ่งตลอดอ่ะ  ส่วนมาม่าอืดแน่นอนน่าจะเป็นนภหนุ่มไทยที่จะได้คนเยอรมันมาดามอกหรือป่าวนะ เวิ่นยาวอ่ะ  ปูลิง  อย่าลืมน้องแม็กซี่นะจ๊ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 20
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 06-04-2014 15:07:27
ตอนที่ ๒




ท้องฟ้าในฤดูร้อนที่อิ่มสีฟ้าจัดและกว้างสุดลูกหูลูกตา นอกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมซึ่งเต็มไปด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมมิ่งตามคำสั่งของลูกค้า ตาของชายหนุ่มมักจะถูกแม่เหล็กที่ไร้ตัวตนของสีครามเข้มนั้นดึงให้หยุดหันมองอยู่เสมอ บางทีเขาก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่ามีอะไรในท้องฟ้านั่น เมื่อสิ่งที่ตามองเห็นนั้นมีเพียงความเวิ้งว้าง...เป็นความว่างเปล่าที่เหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุดเอาเสียเลย

บุหรี่ไม่ได้ช่วยแก้เครียดอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ สำหรับเขามันช่วยให้ชีวิตเรื่อยเปื่อยในแต่ละวันดูมีความรื่นรมย์ขึ้น ควันสีเทาที่พ่นออกจากปากช่วยสร้างม่านควันเล็ก ๆ ให้ท้องฟ้าไม่ดูโล่งจนเกินไป และเมื่อออกแรงเป่าอีกนิด...แค่เพียงแผ่วเบา พวกมันก็พร้อมจะสลายไปในพริบตา

สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มวัยย่างเข้าสามสิบห้าแบบปรมะ เลือกที่จะทำงานอิสระแทนที่จะสวมเชิ้ตผูกไทอยู่ในตึกสูงก็คือคำว่าอิสระ เขาชอบความไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีอะไรตายตัว ปรมะไม่ชอบความวุ่นวาย และเจ้างานโปรแกรมเมอร์นี่ก็ดูจะตอบโจทย์ไปเสียทุกอย่าง แค่มีคอมพิวเตอร์หนึ่งตัว อินเตอร์เน็ต เขาจะทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกนี้ ไม่ต้องวุ่นวายกับใครให้ปวดหัว

ดื่มเบียร์ตอนเก้าโมงแล้วทานข้าวเช้าตอนบ่ายสองครึ่งดูจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาไปเสียแล้ว ผมสั้นยุ่งเหยิงแทบจะตลอดเวลาและหนวดเคราครึ้มเขียวที่ล้อมกรอบใบหน้านั่นกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวอีกเช่นกัน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่จบฤดูร้อนในปีนั้น ปีที่เด็กนักศึกษาทุกคนสลัดคราบเดียงสา ก้าวเข้ามาสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัว ชีวิตชายหนุ่มเหมือนจิตวิญญาณแห่งผืนฟ้าที่เสรี ไม่มีกรอบกำแพง เมื่อไรก็เมื่อนั้น เขาไม่ได้เป็นคนเอาแต่ใจ ปรมะเป็นเพียงแค่คนที่ผ่อนปรนกับตัวเอง

เจ้าของผิวสีแทนเหมือนบ่มแสงดวงอาทิตย์จนสุกอิ่มอัดควันสีเทาเฮือกสุดท้าย แล้วขยี้ปลายบุหรี่เข้ากับฝากระป๋องเบียร์ที่หมดเกลี้ยง ปรมะคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เห็นสายที่ไม่ได้รับจากเบอร์ซึ่งไม่รู้จักหนึ่งสาย ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่สนใจ เขาโยนมันกลับลงบนโต๊ะทำงานที่รกไปด้วยข้าวของมากมายอย่างเดิม อากาศร้อนจนเหงื่อไหลไปทั้งตัว ร้อนจนขี้เกียจจะสนใจอะไรอีก

ขายาวเก้งก้างของชายหนุ่มขยับอีกครั้ง หนึ่งก้าว...สองก้าว...แล้วก็เซไปเตะกระป๋องเบียร์และขวดน้ำอัดลมที่กองอยู่ที่พื้นก่อนจะตรงไปที่ตู้เย็น อากาศอันร้อนจัดทำให้เขาค่อนข้างหัวเสียที่ในตู้สี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัดนั้นว่างเปล่า ฝ่ามือหนาขยี้หัวอย่างเซ็ง ๆ แล้วคว้าเสื้อกล้ามยับ ๆ บนปลายเตียงขึ้นมาสวมทับท่อนบนที่เปล่าเปลือย หยิบซองบุหรี่ ไฟแช็ก และกุญแจ นาทีถัดมาห้องนอนที่เป็นเหมือนห้องทำงานของปรมะก็ไร้เงาของผู้เป็นเจ้าของเหมือนกับท้องฟ้าที่ปราศจากเงาเมฆ

สองเท้าก้าวไปบนทางเดินริมถนนที่คุ้นตา ร่างสูงเด่นสวนทางกับผู้คนมากมายที่มุ่งตรงไปอีกด้าน จุดหมายของคนเหล่านั้นคงจะเป็นสถานีรถไฟฟ้าหรือห้างสรรพสินค้าหรูหรา แต่จุดหมายปลายทางของปรมะคือมินิมาร์ตเล็ก ๆ ที่เขาฝากท้องเอาไว้เสมอ เบียร์หลายกระป๋องและอาหารแช่แข็งอีกหลายกล่องถูกนำมาวางหน้าเคาน์เตอร์ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าโลกนี้ปราศจากร้านค้าที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงแบบนี้

ทางเท้าริมถนนเต็มไปด้วยเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัย เห็นแล้วก็อดคิดถึงวันเก่า ๆ ของตัวเองไม่ได้ วันที่ดูอย่างไรโลกก็ช่างสวยงาม เต็มไปด้วยความฝัน และมีอะไรให้เรียนรู้มากมาย เขาหยุดยืนข้างๆ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ จุดบุหรี่อัดมวลอากาศสีขาวเข้าปอด มองหนุ่มสาววัยไม่ถึงยี่สิบดีหยอกล้อกันไปมา

“รินเหนื่อยไหมคะ ดื่มอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวอาร์มไปซื้อให้” เด็กหนุ่มใส่แว่นประเหลาะเสียงหวาน

ปรมะหลุบตาลงต่ำ กระตุกรอยยิ้มขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนนั้นหยุดยืนหน้ามินิมาร์ตแล้วยิ้มเขิน ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นแบบนี้ เหมือนโลกทั้งใบถูกมองผ่านแว่นตาสีชมพู ความรักดูหวานชื่น อะไรก็ดูดีไปหมด สวยงามจนเขาหลงลืมไปชั่วขณะว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่เป็นนิรันดร์

แค่เพียงอึดใจขวดน้ำหวานก็ถูกส่งให้เด็กสาวจากมือของแฟนหนุ่มพร้อมรอยยิ้มใส “ได้แล้วค่ะ รินจะดื่มเลยหรือเปล่า เดี๋ยวอาร์มเปิดให้นะ”

ปรมะยิ้มให้กับความไม่ประสาของตัวเองในอดีต ความรักก็เป็นแบบนี้ เหมือนกับฤดูร้อนที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด ร่างกาย ผิวหน้า กระทั่งหัวใจอุ่นระอุไปด้วยโทนสีแดงที่ถูกธรรมชาติบรรจงแต่งแต้ม ความรักก็เหมือนกับอากาศร้อนในกรุงเทพ มันอยู่กับทุกชีวิตที่นี่ตั้งแต่เกิดจนคุ้นชิน จนรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน กระทั่งจนคล้ายกับว่าจะไม่มีวันจากไป แต่นั่นมันก็แค่ความคิดจินตนาการเท่านั้น พอถึงสิ้นสุดฤดูกาล มันก็หายวับ ไม่มีอากาศอบอ้าว ไม่มีฟ้าสีเข้มแบบเดิม รู้สึกตัวอีกทีเม็ดฝนก็เข้ามาเคาะหน้าต่างทักทายเหมือนเพื่อนใหม่แปลกหน้าเสียแล้ว

ชายหนุ่มผู้มีผมที่ยุ่งเหยิงดีดเถ้าบุหรี่ในมือลงพื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง ฟ้ายังเป็นสีฟ้าจัดและคงความว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด ดวงตาสีเข้มหลุบลงพร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไป บางทีเหตุผลที่เขาชอบแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในเดือนเมษาฯ นั่น อาจเป็นเพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเป็นสีครามจัด ไร้ก้อนเมฆ เป็นฟ้าใสอันเวิ้งว้าง เหมือนเพดานสีน้ำทะเลที่กว้างใหญ่กำลังถูกห่อคลุมด้วยโลกสูญญากาศ ท้องฟ้าที่เหงา ๆ แบบนั้นมันทำให้อุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้มีเพียงแต่เขาที่อยู่ลำพังคนเดียวอย่างนั้นใช่ไหม หรือเพราะท้องฟ้า...ทำให้นึกถึงชื่อของใครคนนั้น

เขาไม่ได้เหงา มีความสุขกับการรอคอยบางสิ่งบางอย่าง แม้จะรู้ว่าสิ่งที่รอคอยมาเนิ่นนานนั้นจะไม่มีวันกลับคืนมาก็ตาม เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก้มลงมองหน้าจอมือถือที่กระพริบอยู่ มือกว้างของปรมะเสยผมตัวเองอย่างลวก ๆ แล้วขยับเท้าเดินย้อนกลับไปยังที่ที่จากมา

ห้องที่ว่างเปล่าและไม่มีใคร



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



หลังจากฝ่าไอร้อนตระเวณเกือบจะทั่วย่านโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยว นภและฮานส์ก็ได้ห้องพักแบบเตียงทวินในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนนานา อาบน้ำและนอนพักให้พอสดชื่น พอตื่นขึ้นมาก็พบกับเหตุการณ์ชวนหัว

ฮานส์อาเจียนจนหมดแรง ปวดหัว แสบตา แข้งขาอ่อนปวกเปียกจนต้องล้มเลิกแผนที่จะออกไปเดินสำรวจรอบๆ ที่พักอย่างที่ตั้งใจไว้ นักท่องเที่ยวหนุ่มเตรียมพร้อมมาทุกอย่าง เป้าหมายคือก่อนจะเล่นสาดน้ำสงกรานต์ ฮานส์ตั้งใจไว้แล้วว่าจะลิ้มรสอาหารไทยแบบต้นตำรับ เดินตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่างจตุจักร ดูสารพัดของก้อปปี้ที่ตรอกข้าวสาร เที่ยวไนท์คลับที่สีลม แล้วปิดท้ายด้วยมีเซ็กซ์อันน่าตื่นตาตื่นใจ แต่คนที่ไม่เคยมาประเทศไทยอย่างเขาไม่รู้เลยว่ากรุงเทพจะร้อนเหมือนนรกได้ขนาดนี้ ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับเตาเผาขนาดใหญ่ ฮานส์ไม่เข้าใจเลยว่าคนที่นี่ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร

หลังจากอัดยาแก้ปวดหัวไปสองเม็ด อาการต่าง ๆ ก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างสรรพคุณเขียนไว้ที่ข้างขวด ความรู้สึกคลื่นเหียนยังคงกลับมาทักทายเป็นระยะ ๆ อาเจียนทั้งน้ำทั้งเนื้อไปสามครั้ง เรียกได้ว่าหมดไส้หมดพุง กระทั่งผล็อยหลับไปเองเพราะอ่อนเพลียจากพิษไข้

นภที่นั่งเฝ้าไข้อยู่ใกล้ ๆ เมื่อเห็นคนไม่สบายหลับใหลไปก็ลุกขึ้นเดินไปหน้าต่าง ท้องฟ้าที่แสนว่างเปล่าเป็นสีน้ำทะเลที่กำลังเดือด อบอ้าว ไม่มีอะไรให้น่ามองสักนิด ชายหนุ่มลดม่านลงแล้วหันหลังกลับมาปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้ลดลงอีกหลายองศา เดิมทีเดียวนภเลือกพักโรงแรมที่สภาพดีกว่านี้ แต่เป็นฮานส์เองที่ยืนกรานจะพักที่นี่ หนุ่มเยอรมันคนนี้ถือว่าการพักโรงแรมในย่านที่มีรถไฟฟ้าผ่านด้วยสนนราคาคืนละหนึ่งพันบาท (ซึ่งเทียบแล้วก็เป็นเพียงไม่กี่ยูโร) เป็นเรื่องที่ถือเป็นความภาคภูมิใจ สามารถเอาไปคุยโวกับคนอื่นได้ ซึ่งผลก็เป็นอย่างที่เห็น สภาพทุกอย่างเป็นไปตามสนนราคาของโรงแรมสามดาวไม่ผิดเพี้ยน

จบปัญหาไปหนึ่งเรื่อง นภก็เริ่มจัดการปัญหาเรื่องต่อไป ทิมไม่ได้ติดต่อกลับ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนกับหน้าร้อนปีที่แล้ว การพบกันในตอนนั้นคงเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าจะเก็บมาคิดใส่ใจให้ความสำคัญ แต่คนที่อยู่แค่ในฐานะของเพื่อนคนหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษนอกเหนือไปกว่านั้นจะพูดอะไรได้

ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงนอนของตน ถอนหายใจอีกครั้งแล้วพยายามติดต่อเพื่อนฝูงคนอื่นให้ได้สักคน แต่โชคเหมือนก็จะไม่เข้าข้าง จนบัดนี้ความหวังที่ริบหรี่ก็ยังคงริบหรี่ต่อไป

เห็นทีคงไม่พ้นพึ่งเจ้าหน้าที่ของโรงแรมเป็นแน่ คิดแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจเหนื่อย มือกว้างยกขึ้นโบกรับลมหน้าช่องที่ปล่อยไอเย็นซึ่งก็พบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โรงแรมราคาประหยัดก็แบบนี้ คาดหวังอะไรมากคงไม่ได้ ลองคิดสภาพแอร์ที่ต้องทำงานสู้กับอากาศร้อนข้างนอกแทบทั้งวันแล้ว นภก็ไม่แปลกใจเลยที่อุปกรณ์ไฟฟ้าชิ้นนั้นจะมีสภาพจวนเจียนสิ้นใจอย่างที่เห็น

พ้นจากคืนนี้ไปถือว่าเรื่องที่จะหวังสอบถามจากคนรู้จักเป็นอันสิ้นสุด ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมาจิบไปหนึ่งอึก แล้วลองพยายามดูอีกครั้ง



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



โทรศัพท์มือถือส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง ร่างสูงกำยำที่เพิ่งพ้นจากบานประตูมายังชื้นหมาดจากละอองน้ำซึ่งปรมะก็อธิบายไม่ถูกว่ามันคือเหงื่ออันเป็นผลพวงของฤดูร้อนที่ร้อนมหาโหดนี้หรือเพราะยังเช็ดตัวไม่แห้งดีกันแน่ เจ้าของผิวสีแทนเห็นแสงกระพริบจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่โยนทิ้งไว้ลวก ๆ บนปลายเตียงก็เดินฝ่าข้าวของอันรกระเกะระกะเต็มพื้นห้องแล้วหยิบมันขึ้นมาดู เส้นสีดำที่ขนานอยู่เหนือดวงตาขมวดเป็นความสงสัย เฉพาะวันนี้เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จักนี่โทร.เข้าเครื่องเขาสองสามครั้งแล้ว และนี่ก็คือครั้งที่สี่

“ครับ” ปรมะตัดสินใจกดรับสายในที่สุด

“เล่นตัวจริงนะ ใจคอจะไม่รับเบอร์แปลก ๆ เลยหรือไร”

“ลูกน้ำ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นพร้อมอาการปวดหัวตุบ จำเสียงหวาน ๆ ที่กำลังส่งเสียงหัวเราะสดใสได้ดี “น้ำกับธีมสบายดีไหม”

“น่าดีใจแทนน้องธีมจริง ๆ เจอกันแค่ปีละครั้งแต่คุณพ่อก็ยังไม่ลืม ไม่เสียแรงที่ลงมาเร็วกว่าทุกปี” เสียงหวานกระเซ้ากลับพร้อมเสียงหัวเราะ “น้ำกับลูกสบายดีค่ะ”

ปรายฟ้า หรือที่ใคร ๆ รู้จักกันในชื่อลูกน้ำ ความเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นทั่วไปทำให้ลูกน้ำดูมีเสน่ห์ประหลาดดึงดูดประหลาด หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงสวยจัดแต่กลับมีอะไรบางอย่างที่สะดุดตาจนทุกคนต่างเหลียวมอง ซึ่งนั่นก็ไม่เว้นแม้แต่เขา ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยตอนนั้น ทุกอย่างก็เข้าท่าดี

กระทั่งปีสุดท้ายที่ลูกน้ำท้อง

และนั่นก็นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของอะไรมากมาย เธอตัดสินใจลาออก ทิ้งอนาคตทั้งหมดไว้เบื้องหลังแล้วหันมาสวมบทบาทของแม่โดยไม่ลังเล ส่วนเขาก็กลายเป็นพ่อของเด็กอย่างไม่คาดฝัน ทุกอย่างรวดเร็วจนปืนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เขายังจำได้ดีในตอนที่คุณแม่ของลูกน้ำรู้ข่าว ดุจเดือนเอาแต่นิ่งเงียบ ทว่าสองหน่วยตากลับคลอไปด้วยหยดน้ำแห่งความผิดหวัง เวลาผ่านไปพร้อมกับความรู้สึกที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เขายังคงเรียนต่อจนจบท่ามกลางข่าวลือที่แพร่สะพัด แล้วพอรู้ตัวอีกที เด็กชายชวิศ หรือ น้องธีม ก็ลืมตาขึ้นมาดูโลก หลังจากนั้นลูกน้ำก็หอบเด็กน้อยขึ้นไปอยู่ที่บ้านของเธอที่เชียงใหม่ ปล่อยให้เรื่องนินทามากมายในหมู่เพื่อนฝูงหายไปพร้อมกับชื่อของเธอ นั่นคือความทรงจำทั้งหมดที่เขามีต่อผู้หญิงที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป...ผู้หญิงที่มีชื่อว่าท้องฟ้า

“ปืนเป็นอะไร จู่ ๆ ก็เงียบไป” เธอเอ่ยถาม ปรมะไหวหัวสลัดเรื่องเก่า ๆ ในความคิดไป

“นี่เปลี่ยนเบอร์ทำไม”

“ไม่คิดว่ามันเซอร์ไพรซ์เหรอ เป็นผู้ชายที่ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย”

“อย่ากวนน่า”

“เลี้ยงมื้อเย็นหน่อยสิ เพิ่งมาถึงกรุงเทพวันนี้เอง อยากกินอะไรที่อร่อย ๆ หน่อย”

อีกครั้ง...ที่ปรมะถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่ชินกับนิสัยอยากทำอะไรก็ทำของหญิงสาวเสียที “ได้สิ แต่วันนี้คงยุ่งมาก ขอเป็นวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

“โอเค เอาเป็นว่าค่ำนี้เจอกัน ธีมอยากกินอะไรอร่อย ๆ แล้ว” ปรายฟ้าตัดบทสนทนาแล้ววางสายไปดื้อ ๆ แบบนั้น ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนค้างอยู่กับโทรศัพท์ด้วยอารมณ์โทโส



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 20
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 06-04-2014 15:08:51
(ต่อครับ)




ร่างสูงใหญ่ในชุดช่างมอหม่นพ่นลมหายใจอย่างเหลืออด ปอดของเพชรกล้าพองขยายเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ขณะที่ดวงตาอันเกรี้ยวกราดคู่นั้นกำลังจ้องอยู่บนเพดานห้อง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่คลุ้มคลั่งของตนเองเต็มสองหูชนิดวินาทีต่อวินาที ทั้งหมดเป็นกิริยาอาการที่ใกล้เคียงกับคำว่า “เหลืออด” สำหรับเขายิ่งนัก

“คอยล์เพรสเซอร์ครับ เป็นแผ่นอัดความร้อนเข้าท่อแอร์ คิดหน่วยเป็น...เป็น...บีทีเอส...หรือเปล่าครับ”

“นี่มันครั้งที่ห้าแล้วนะอานนท์!” เพชรกล้าตวาดเสียงแข็ง นัยน์ตาลุกวาวเหมือนน้ำร้อนกำลังเดือด คอมเพรสเซอร์ ฟิลเตอร์ คอยล์ร้อน คอยล์เย็น บีทียู คือคนละเรื่องกันทั้งหมด แต่หมอนี่ก็เอาทุกอย่างมารวมกันได้หน้าตาเฉย !

“คิดว่าฉันว่างนักหรือไง !”

“ผะ..ผมขอโทษ”

เพชรกล้าเบือนสายตาจากพนักงานตัวเล็กที่นั่งตัวสั่นงันงก เขาเป็นคนมีความอดทนค่อนข้างน้อยกับคนเหยาะแหยะ ไม่รักษาระเบียบ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่รู้จักคิด และเมื่อผนวกกับรูปร่างสูงใหญ่ หนวดเคราและผมเป็นลอนใหญ่ยุ่งเหยิงบนใบหน้าที่เข้มดุ ทั้งลักษณะการพูดที่สั้นและห้วน ตลอดจนน้ำเสียงอันดุเดือด เพชรกล้าจึงถูกคนในที่ทำงานขนานนามว่า “พี่สิงห์” ทำนองว่าน่ากลัวเหมือนเสือสิงห์ นับจากนั้นมาคนทั้งหมดก็เรียกเขาแบบนั้นจน “เพชร” ซึ่งเป็นชื่อเล่นจริง ๆ ของชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของทุกคน

ฮึ...พี่สิงห์อย่างนั้นหรือ ก็เพราะคนอย่างอานนท์นี่แหละที่ทำให้เพชรกล้ากลายร่างเป็นสิงโต

“คุณทำงานมากี่ปีแล้ว !”

“หนะ..หนึ่งปีครับ”

“อายุเท่าไรแล้วอานนท์ !”

“ยะ..ยี่สิบสองครับ”

“ยี่สิบสองมีสมองแค่นี้เรอะ !”

สิ้นคำถาม ร่างที่สูงไม่น่าจะถึง 170 เซนติเมตรตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม

เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เพชรกล้าก็ตวาดเสียงกร้าวขึ้นอีก “สั่นอะไรนักหนา มันหนาวนักหรือไง จะได้ย้ายไปสอนที่ห้องช่าง !”

“ผ..ผะ” ความกลัวทำให้อานนท์ทำอะไรไม่ถูก จะออกเสียงพูดจาก็ผิดเพี้ยนไปหมด “ผะ..ผีสิง”

จากพี่สิงห์กลายเป็นผีสิงไปเสียแล้ว อานนท์อยากร้องไห้เหลือเกิน

“อะไร !” ดวงตาดุดันของเพชรกล้าตวัดกลับมาจ้องถมึงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เรียกชื่อคนยังเรียกไม่ถูก ประสาอะไรกับชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า

“พะ..พี่...พี่ครับ...พี่สิงห์ ผมขอไปเข้าห้องน้ำ...ได้ไหมครับ”

เป็นอีกครั้งที่เพชรกล้าเหลือบตาขึ้นจ้องเพดานอันงี่เง่า นี่งานหัวหน้าช่างซึ่งสังกัดหน่วยบริการหลังการขายของเขาดูว่างจัดขนาดมีเวลามาสอนพนักงานใหม่แทนฝ่ายอบรมพนักงานเลยหรือ โกวิท ผู้จัดการฝ่ายขายถึงยัดเยียดให้เขาช่วยดูแลพนักงานที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้เกี่ยวกับเรื่องระบบการทำงานของเครื่องปรับอากาศ

“ผะ..ผี...”

“ผีไหน ? เห็นฉันเป็นผีหรือไง !” เพชรกล้าตวัดสายตาลงมาจ้องหน้า

“เปล่า ๆ เปล่าครับ” อานนท์ละล่ำละลัก กลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก “พะ..พี่สิงห์ครับ คือ...มัน...จะแตกแล้ว”

“ได้สิ ฉันไม่ใช่คนใจร้าย” เสียงของเพชรกล้าดังก้องจนพนักงานอีกสี่คนที่เหลือกลืนน้ำลายเอื้อก “แต่ช่วยหยิบของกลับบ้านไปด้วย แล้วไม่ต้องโผล่หัวมาให้เห็นอีก เพราะถ้าเห็นอีกครั้งก็ไม่รับประกันว่าจะมีความอดทนมากพออย่างตอนนี้ !”

อานนท์ลุกพรวดขึ้นยืนอ้าปากหวอ ขาทั้งสองข้างสั่นค้างเหมือนสปริงที่ดีดไม่หยุด

“เชิญ !”

พอเพชรกล้าส่งเสียงอีกครั้ง อานนท์ก็คว้าสมุดจดแล้วหัวซุกหัวซุนเหมือนคนที่วิ่งหนีห่ากระสุนออกไปทันที



หลังจากเข้าห้องน้ำแล้ว อานนท์ไม่ได้กลับบ้านทันทีอย่างที่เพชรกล้าออกปากไล่ ร่างผอมเล็กกลับไปที่แผนกขายเครื่องนอนที่ตนเองสังกัดอยู่ และได้พบกับมาลี เพื่อนพนักงานขายในแผนกใกล้เคียง

“อ้าวนนท์ มานี่ได้ไง มีอบรมไม่ใช่เหรอ”

“โดนพี่สิงห์เขาตะเพิดมาน่ะ คนอะไรก็ไม่รู้น่ากลัวชะมัด” แค่คิดถึงหน้าโหด ๆ นั่น อานนท์ยังขนลุกไม่หาย

“ก็ฉันบอกแล้วไง ให้ตั้งใจ ไม่ฟังกันบ้าง” มาลีทำหน้าเหมือนโดนน้ำร้อนลวก “แล้วนี่จะทำยังไงต่อ ออนฟลอร์เต็มหมดแล้วนะ มายืนตรงนี้เดี๋ยวผู้จัดการว่าเอา”

อานนท์ส่ายหัวยิก ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำอย่างไรดี เดิมทีเดียวเขาตั้งใจจะย้อนกลับไปในห้องอบรม แต่เมื่อเดินผ่านหน้าห้อง ประตูก็ถูกปิดลงเสียแล้ว ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีแผ่นกระดาษแปะที่หน้าห้องพร้อมกับตัวหนังสือหวัด ๆ เขียนด้วยปากกาเมจิคพะเต็มหน้ากระดาษ

อยู่ระหว่างอบรม ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด

อานนท์คิดว่าตัวหนังสือที่เกรี้ยวกราดและน่าเกรงขามนั้นน่าจะเป็นของพี่สิงห์ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าประตูถูกล็อคหรือไม่ แต่แค่ยันต์ที่แปะอยู่หน้าห้องก็ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดจับลูกบิดแล้ว

“แบบนี้ไหมนนท์ ตอนนี้กลับบ้านไปนอนพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เดี๋ยวอ้อยลองคุยกับคุณโกวิทให้”

“ไปคุยตอนนี้เลยไหม” อานนท์ถาม เล่นเอามาลีสะดุ้งร้อง

“อุ๊ย...อย่าเชียวนะ เธออยากเห็นคุณโกวิททะเลาะกับพี่สิงห์เหรอ คราวก่อนเล่นเอาแทบทั้งคอมเพล็กซ์ลุกเป็นไฟ”

อานนท์เข้าใจสิ่งที่มาลีพูดทันที คอมเพล็กซ์ของธาดาพิพัฒน์มีพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร แต่การที่คนเจ้าอารมณ์สองคนทะเลาะกันนั้นกลับทำให้ทั่วทุกตารางนิ้วของที่นี่เหมือนอยู่ในนรก (เป็นช่วงที่เขาเข้างานใหม่ ๆ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก) แน่นอนว่าอานนท์ให้ภาษีกับคุณโกวิทมากกว่า เพราะอย่างน้อยหัวหน้าของเขาก็ไม่ตะคอกใส่หน้าแบบที่พี่สิงห์ทำ

“งั้นเรากลับบ้านก่อนนะ”

“เออ แล้วเดี๋ยวจะโทรไปส่งข่าว”

อีกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่พูด พอเลิกเร็วกว่ากำหนด อานนท์จึงแวะวัดแถวบ้าน ถวายสังฆทานและปัจจัยให้กับหลวงพี่ที่วัด หวังว่าบุญกุศลจะทำให้พ้นเคราะห์พ้นโศกกับพี่สิงห์เสียที สัปหงกไปเล็กน้อยขณะที่ฟังหลวงพี่ให้พรแต่จิตใจก็ร่มเย็นเป็นสุขนักที่ได้ทำบุญ อานนท์นั่งรถสองแถวต่อเข้าบ้าน โดยไม่ลืมที่จะแวะซื้อตับไก่ปิ้งสิบไม้ แจกสมุนสี่ขาหลายตัวในซอยบ้านแทนคำขอบคุณที่ช่วยดูแลที่พักให้ปลอดภัยแม้ตอนที่เขาไม่อยู่

ชายหนุ่มพักอยู่ห้องเช่าขนาดกะทัดรัดพอดี มีเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และห้องน้ำในตัว แค่นี้พร้อมสรรพแล้วสำหรับชีวิตพนักงานขายที่มีเงินเดือนไม่มาก แถมที่นี่ก็ยังเดินทางสะดวกและอยู่ไม่ห่างจากคอมเพล็กซ์ซึ่งเป็นที่ทำงานของอานนท์ เรียกว่าสมบูรณ์แบบไปเสียหมด

จะขาดก็เพียงเครื่องปรับอากาศ

ทุกวันนี้อานนท์นอนกับพัดลม เข้าหน้าร้อนทีไร ชีวิตของชายหนุ่มแทบไม่เป็นปกติ เขานอนแทบไม่หลับเพราะอากาศที่แสนอบอ้าว บางวันก็ร้อนจัดจนต้องแก้ผ้านอนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำไปก็เท่านั้น ตัวเขาก็ยังคงเหนียวเหนอะหนะและไม่ได้รู้สึกสบายตัวขึ้นเลย

หน้าร้อนปีนี้ ร้อนจนเหนื่อย แล้วพอเหนื่อยก็หมดแรงทำอะไรทุกอย่าง เอาแต่ขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไร



เสียงกุกกักที่ดังขึ้นข้างห้องทำให้อานนท์สะดุ้งตัวตื่นขึ้น คราบเหงื่อชื้นไปทั่วทั้งคอเสื้อและหลัง อานนท์ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ที่จำได้ก็คือหลังจากบิดประตูเข้ามาในห้องแล้วเขาก็นั่งลงบนเตียง โมโหอากาศร้อน ๆ ที่ทำให้นอนไม่เต็มอิ่ม จากนั้นก็คิดอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ

นั่งมึนอยู่สักพัก ร่างกะทัดรัดก็ยืนขึ้น จะว่าไปแล้วข้างห้องของอานนท์เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ความที่ทำงานกะบ่ายมาโดยตลอด กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าซึ่งเพื่อนบ้านเขาก็หลับไปเสียแล้ว เลยคลาดที่จะได้ทำความรู้จักกันไว้มาเกือบสิบวัน

เช็ดหน้าเช็ดตาแล้ว อานนท์ก็เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น ก่อนจะเดินออกไปเคาะประตูห้องข้าง ๆ ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ ที่หน้าประตูห้อง ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมสะอาดออกมาจากด้านใน เพื่อนบ้านของเขาจะเป็นคนอย่างไรกันนะ อาจจะเป็นผู้หญิงสาวที่ใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบเรียบร้อย สังเกตได้จากระเบียงหน้าห้องที่เก็บกวาดสะอาดเอี่ยมทุกวัน (จนผู้ชายแบบอานนท์ต้องอาย) หรือบางทีอาจะเป็นผู้ชายเจ้าระเบียบ รักความสะอาด ทุกอย่างต้องเนี้ยบหมดจดแบบนั้นก็เป็นได้ เสียงกุกกักดังขึ้นใกล้ ๆ ทำให้ชายหนุ่มหยุดความคาดเดาทั้งหมด

แล้วประตูก็เปิดออก

ภาพที่เห็นทำให้อานนท์อึ้งผงะจนอ้าปากหวอ แม้ตนเองจะยืนจนเต็มความสูง (165 เซนติเมตร) แล้ว แต่ระดับสายตาของกลับอยู่เพียงช่วงอกของผู้ชายร่างยักษ์ตรงหน้า และเมื่อไล่วิถีการมองขึ้นไปด้านบน ขาเจ้ากรรมทั้งสองข้างก็ออกอาการสั่นเหมือนติดสปริงเด้งดึ๋งโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ผะ..ผี...ห้องผีสิง”

ผี...คราวนี้คงเป็นผีจริงแท้แน่นอน!

เพชรกล้ายกหัวคิ้วแล้วหลิ่วตาลงมองคนที่สูงเพียงระดับอก พอได้เห็นหน้าชัด ๆ ว่าเป็นใคร มือซ้ายของชายหนุ่มก็กระชากคอเสื้อของไอ้ตัวเปี๊ยกตรงหน้าจนลอยมากระแทกกับตัวของเขา

“นี่ตามมากวนประสาทอะไรอีก !”

แล้วอานนท์ก็ล้มพับเป็นลมคาอกของเพื่อนบ้านที่ยืนจังก้าเต็มความสูง (185 เซนติเมตร)



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ผ่านไปอีกตอน ตัวละครเพิ่มออกมาอีก แต่........ยังไม่ครบนะ ยังมีอีก 5555555555
จริงๆ ก็ขู่เอาไว้แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัวละครเยอะมาก ช่วงแรกๆ จะงงๆ เรื่อยๆ เอื่อยๆ นิดหน่อย
กว่าจะเปิดตัวละครกับเรื่องราวแต่ละคนได้ก็ไม่น้อยแล้ว เดี๋ยวจะรีบลงตอนต่อไปเร็วๆ นะ

ส่วนใครที่รอนังแม็กซ์อยู่ ปลายสัปดาห์เจอกันนะ ฮิฮิ ตอนนี้อ่านเรื่องนี้ไปพลางๆ ก่อน
ขอบคุณสำหรับทุกเมนต์นะครับ ฝากเรื่องใหม่ ฝากเนื้อ ฝากตัว ฝากหัวใจด้วยนะ ฮิ้วววววว
+ 1 สำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ สำหรับกำลังใจครับ พบกันใหม่ตอนหน้า ไม่ช้าไม่นาน :katai3:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 1 (Apr 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 06-04-2014 15:14:07
อ๊ะ อ๊ะ...เทอว์มาต่อ เลามาจิ้ม  :z13:

ตัวละครเพิ่ม  ปรมะคือใครตอนแรกนึกว่าทิว

แล้วตกลงอิอาร์มเป็นแฟนกับนีจริงอ่ะ โถถถถ

น้องหนึ่งของเลา  :hao5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 06-04-2014 15:20:32
อ๊ะ อ๊ะ...เทอว์มาต่อ เลามาจิ้ม  :z13:

o22 o22 o22
ไวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก / ขอบคุณฮับ :hao5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 06-04-2014 15:53:18
อานนท์ นายเป็นภาคต่อของแม็กซ์ใช่มั้ย ตอบ!
พี่สิงห์นี่ก็จะโหดไปไหน เด็กๆแม่ให้กินของหวานเยอะเหรอ ฮือออออออ
อ่านไปแล้วสะดุ้งด้วยตามเลย
จะว่าไปเลิกงานแล้วยังกลับมาเจอกันอีกนี่เรียกพรหมลิชิตหรือเปล่านะ
รอดุกันต่อไป
นภกับฮานส์นี่คู่กันหรือเปล่า? แว้บมาแว้บไป อะไรยังไง เอ๊ะ
หัวข้อ: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 06-04-2014 16:17:48
พี่สิง น่ากลัวจัง
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 06-04-2014 19:39:05
ต้อนรับเรื่องใหม่แบบงงๆค่า ^^
ตัวละครเยอะ จำยังไม่ได้หมด
กลัวจะเป็นลมอย่างอานนท์เหมือนกัน 5555
ช่วงนี้อากาศร้อนดื่มน้ำเยอะๆนะคะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-04-2014 21:07:22
อื้อหือ ยิ่งกลัวยิ่งเจอ หนีไม่พ้นผีสิงแน่ ๆ อานนท์
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: beamintron ที่ 06-04-2014 21:59:23
อุ้ย อยากดูพี่สิงต่อจัง จิ่มๆๆๆๆ
หัวข้อ: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 07-04-2014 00:12:38
เพิ่งมาอ่านจ้า ตัวละครเยอะมากจริง ๆ นั่นแหละ แต่ตอนนี้ก็ยังพอจำได้อยู่นะ ชอบที่ตัวละครเยอะ
เหมือนแต่ละคู่จะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีการโยง ๆ ถึงกันบ้าง ให้ความรู้สึกถึงการอยู่ในสังคมใหญ่ดี
อย่างที่ปรมะเจอ อาร์มกับรินหน้ามินิมาร์ท อานนท์ดูโทรทัศน์ ที่มี พงษ์พิพัฒน์ รายงานข่าว อะไรอย่างเนี้ย

แต่ละคู่ ก็แตกต่างกันไป อย่างนภกับฮานส์ ก็เหมือนเพื่อนกันมากกว่า ฮานส์ เป็นฝรั่งที่น่ารักดี ส่วนนภ
ก็รู้สึกชีวิตหม่น ๆ ยังไงไม่รู้ น่าเห็นใจเรื่องแอบรักเพื่อนเนี่ย ส่วนคู่อาร์ม กับ หนึ่ง นี่ก็แอบรักเพื่อนเหมือนกัน
แต่เหมือนหนึ่งจะยังไม่เข้าใจตัวเอง อาร์ม ก็ดูให้ความสำคัญกับหนึ่งมาก ๆ มากจนแฟนสาว
จะพาลมาหมั่นไส้หนึ่งเข้าให้ แต่ชอบการแสดงออกของหนึ่งนะ ไม่จำเป็นต้องฝีนสนิทกับคนที่ไม่อยากสนิทกับเรา
ถึงคนนั้น จะเป็นแฟนของเพื่อนสนิทก็ตาม คู่นี้จะเป็นยังไงต่อไป รอติดตามน้า จะว่าไป เหมือนปรมะ
จะยังไม่มีคู่อยู่คนเดียวสินะ แล้วก็เหมือนยังรัก ลูกน้ำ อยู่ด้วย อ่านแล้วไม่ค่อยชอบนิสัยลูกน้ำเลยแฮะ
ตัวละครยังไม่หมด อย่างนี้จะมีใครจะมาทำให้ห้องที่เงียบเหงาของปรมะ สดใสขึ้นได้มั้ยนะ
คู่ของดนัย กับ ตรี พงษ์พิพัฒน์ ก็น่าติดตาม เป็นหนุ่มฮอทซะด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เจอกันเลย
แล้วก็มาถึง คู่ที่ชอบมากที่สุด ผีสิง เอ้ย พี่สิงห์กับอานนท์  :m3: พี่สิงห์ดุมากเลย ปากร้ายจริง ๆ สงสารอานนท์
ชอบอานนท์เป็นพิเศษเลยอ่ะ เพราะนิสัยคล้าย ๆ ตัวเองเนี่ยแหละ เป็นคนธรรมดา ๆ ไม่ได้เก่งกาจมาจากไหน
ก็แค่พนักงานเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีฝีมือโดดเด่น แถมรายได้ก็น้อย งานที่ไม่ได้อยากไปทำ แต่ก็จำเป็นต้องทำ
โดนด่า โดนดูถูก ก็ต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก ทั้งที่เป็นงานที่ไม่ถนัดก็เถอะ แต่อานนท์ ก็อดทนดีนะ
เป็นเราโดนด่าว่า มีสมองแค่นี้เรอะ คงช็อคแน่ จะทนฟังคำด่าแบบอานนท์ได้รึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วก็ชอบ
ที่อานนท์ มีเมตตากับสัตว์ด้วยนะ แสดงถึงความมีจิตใจอ่อนโยนเลยนะเนี่ย ว่าแต่ว่า พี่สิงห์ แค่เจอที่ทำงาน
ก็แย่แล้ว ดั๊น โผล่มาอยู่เป็นเพื่อนบ้านกันซะอีก อย่างนี้มันเป็นพรหมลิขิตรักรึเปล่าเนี่ย  :o8: เจอหน้ากัน
ก็โหดใส่น้องอีกแล้ว แหม่ คิดได้ไงว่าน้องตามมากวนประสาท ช็อคจนเป็นลมขนาดนั้น รอติดตามคู่พี่สิงห์กับอานนท์
ที่สุดเลยล่ะ จะมารักกันได้ยังไงอยากรู้จัง พี่สิงห์โหดเกินผู้เกินคนขนาดนั้น
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :L2:
 
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: zvonek ที่ 07-04-2014 02:20:07
แนวเรื่องน่าสนใจมากเลยค่ะ

มาร์คไว้ก่อนน้าเดี๋ยวกลับมาอ่าน อรั๊ย พี่สิงค์ดูโหดจัง
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 07-04-2014 09:44:53
ตัวละครเยอะจัง55
แต่ที่ทำให้ดึงดูดใจแปลกๆ คือ ปรมะ ไม่รู้ทำไมชอบตัวเอกนิสัยอย่างนี้  :-[

รออ่านคู่อาร์ม หนึ่งต่อไป
แต่ฮาจริง ที่อานนท์เรียกพี่สิงห์กลายเป็นผีสิง :laugh:
ว่าแต่แอบสงสัยเหมือนกันว่าใช่อานนท์ จากlove is evolหรือเปล่าน้า หรือแค่ชื่อเหมือน :hao3:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 2 (Apr 06, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 07-04-2014 14:26:41
ตอนแรกนี่นึกว่าปรมะคือทิมซะอีก
เลยกำลังนั่งไล่ลำดับเหตุการณ์จากตอนแรกว่าทำไมชื่อนี้ไม่คุ้นนะ
ที่แท้ก็ตัวละครใหม่นี่เอง แหม ตำแหน่งพ่อม่าย(?) ซะด้วย ก๊าวใจจุงเบยยย  :impress2:

ว่าแต่พี่สิงห์นี่น่ากลัวแท้ ฮือออออออออ
แม่จ๋าหนูกลัว คนอะไรดุชิหายวายหวอด กร๊าซซซซ ไม่แปลกใจเลยทำไมน้องนนท์กลัวจนเป็นลม 5555555
นี่เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผีสิงห์ กับสิงโตนี่อันไหนจะน่ากลัวกว่ากัน ดุม๊ากกกกกกกก โอ้ยยยย อ่านแล้วยังสั่นพั่บๆ แทน

 :hao5:

รอตอนหน้านะค้าาา ชอบสำนวนการเขียนมากเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 08-04-2014 21:20:21
สวัสดีครับ ขอบคุณที่ติดตามกันครับ เรื่องนี้จะอัพถี่หน่อยนึง พยายามจะให้จบในฤดูร้อนนี้ครับ
รีบแวะมาส่งตอนที่ 3 แล้ว เดี๋ยวก็ลืมชื่อตัวละครกันเสียก่อน 5555
ใครจะคู่ใครอ่านตอนนี้แล้วจะเริ่มชัดแล้วครับ จากนี้ง่ายแล้ว (มั้ง)

ขู่นิดนึงนะครับ เป็นตอนที่ยาวมากกกกกก อาจต้องใช้เวลา + สมาธิในการอ่านนิดนึงครับ  :hao3:




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ตอนที่ ๓


บ้านของชาฮิดอยู่ย่านลิตเติลอินเดีย ชุมชนเล็ก ๆ ในพาหุรัดอันเป็นเขตที่อยู่อาศัยของชาวอินเดียละแวกหนึ่งในกรุงเทพ ปีนี้เด็กชายมีอายุ 12 ปีแล้ว โตพอที่จะทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แบ่งเบาภาระของพ่อและแม่ ซึ่งโดยมากก็คืองานช่วยดูแลมีรา น้องสาวที่อ่อนกว่า 3 ปี แม้ว่าจะมีเชื้อชาติอินเดีย แต่ชาฮิดก็ถือกำเนิดที่กรุงเทพ มีหัวใจเป็นไทยไม่ต่างกับเด็กไทยทั่วไป เด็กชายตัวน้อยเรียนโรงเรียนไทย เขียน พูด และอ่านเป็นภาษาไทยแบบเด็กวัยเดียวกันคนอื่น ๆ จะแตกต่างก็เพียงเวลาอยู่ที่บ้าน อมริตาผู้เป็นแม่จะพูดกับเขาและมีราเป็นภาษาอินเดียบ้างด้วยเห็นว่าเมื่อเติบใหญ่ทักษะทางภาษาเหล่านี้อาจจะมีประโยชน์กับลูกทั้งสอง ซึ่งชาฮิดก็ใช้เพื่อทักทายสั้น ๆ กับผู้ใหญ่ในละแวกบ้านเท่านั้น ในการดำรงชีวิตทั่วไปซึ่งส่วนมากก็อยู่ในโรงเรียน เด็กหนุ่มพูดคุยด้วยภาษาไทยทั้งสิ้น

เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ร้อนจัด ซึ่งนั่นเป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่เด็กชายชาฮิดคิดออก ที่เหลือล้วนเป็นข้อดีทั้งนั้น หนุ่มน้อยรักเดือนแห่งความร้อนเพราะนอกจากโรงเรียนจะปิดเทอมแล้ว เขาและมีราจะได้เล่นน้ำสนุกในช่วงสงกรานต์ ชาฮิดจึงตั้งตารอช่วงเวลานี้ของทุกปีเพราะแม่จะพาเขาและน้องไปที่ทำงานด้วย และที่ทำงานของแม่ก็มีแต่อาหารอร่อยทั้งนั้น

“เอาไปส่งให้โต๊ะสิบสองทีลูก ระวังอย่าให้หกนะ” อมริตากำชับ ชาฮิดพยักหน้ารับ สองมือน้อย ๆ ยกขึ้นประคองจานซาโมซาไปส่งให้ลูกค้า โดยที่ผู้เป็นแม่จะคอยมองบริกรตัวน้อยอยู่ห่าง ๆ จากหน้าครัว

อมริตาทำงานเป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ร้านอาหารเล็ก ๆ ในย่านสีลม สามีเสียชีวิตตั้งแต่มีราอายุเพียงสองขวบ อมริตาจะพาชาฮิดและมีรามาช่วยงานจุกจิกที่ร้านในช่วงปิดเทอม สอนให้รู้จักทำงาน ใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยแต่เยาว์ ดีกว่าจะปล่อยให้ลูกทั้งสองอยู่บ้านเฉย ๆ เพียงลำพัง

“พี่สั่งอาหารใช่ไหมครับ” เด็กชายตัวเปี๊ยกส่งเสียงถาม

พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มให้เจ้าของดวงตากลมใสด้วยรอยยิ้มไร้ที่ติ ก่อนจะหันมาสนใจซาโมซาแกะตรงหน้า อันที่จริงก็คือตรีจงใจเพิกเฉยต่อชายหนุ่มร่วมโต๊ะอีกคนที่นั่งหน้าหงิกเป็นมะเหงก แค่มาช้าหนึ่งชั่วโมงก็ใช่ว่าจะใหญ่โตอะไรนักหนา วงการบันเทิงมันก็ต้องยืดหยุ่นกันบ้าง

หลังจากพบว่าหน้าตาอาหารเป็นที่ถูกใจไม่น้อย พิธีกรรูปหล่อก็หันมากล่าวขอบคุณบริกรตัวเล็กที่ยังคงยืนค้างอยู่กับที่อีกครั้ง ชาฮิดรับคำขอบคุณพร้อมซ่อนถาดไว้ด้านหลัง ดวงตาคู่นั้นเบิกโตกว่ายามปกติ

“พี่เป็นดาราหรือเปล่าครับ”

ฟังแล้วพงษ์พิพัฒน์ก็อมยิ้ม “ไม่ใช่หรอกครับ พี่ชื่อตรี...ตรี พงษ์พิพัฒน์ครับ พี่เป็นนักข่าว”

“หล่ออย่างกับดาราเลย ไม่สิ หล่อกว่าอีก” ชาฮิดชมจากใจจริง ก่อนที่จะถลากลับไปพร้อมใบหน้าดีใจเป็นนักหนา เด็กน้อยอวดมีราที่ยืนอยู่กับแม่ที่ด้านในของร้าน คุยโตว่าได้เสิร์ฟอาหารให้กับนักข่าวชื่อดัง

“เด็กหนอเด็ก” คนรูปหล่อหันมาส่ายหัวแล้วหยิบส้อมขึ้นจิ้มอาหารใส่ปาก

พงษ์พิพัฒน์ชอบให้คนจดจำเขาในเรื่องความสามารถว่าเป็นนักวิเคราะห์ข่าวที่เฉียบคม หาตัวจับได้ยาก ส่วนเรื่องหน้าตา ชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าตนเองอยู่ในระดับไหน หากเทียบกับรถก็เป็นรถยุโรปเปิดประทุนสุดหรู ไม่ใช่รถญี่ปุ่นดาษดื่นที่ขับทั่วไปเต็มท้องถนน

“คุณพัดทานอาหารก่อนสิครับ รสชาติดีนะ” เขาพูด

“ผมเรียบร้อยแล้ว เชิญคุณเถอะ” คนคิ้วยุ่งตอบ “และผมชื่อนัท ไม่ใช่พัด”

ก็ไม่เห็นว่าจะต่างกันตรงไหน พงษ์พิพัฒน์เหยียดรอยยิ้ม จะพัด นัท บอล เอ็ม หรืออะไรก็ช่าง พะยี่ห้อว่าเป็นชื่อโหล จะเรียกอะไรก็ไม่เห็นจะต่าง แม้จะค่อนในใจจนไม่มีชิ้นดี ทว่าใบหน้ากลับวาดยิ้มสวย “ครับ คุณนัท”

ดาน่านัดให้เขามาพบกับดนัย...ลูกค้ารายใหญ่ที่ซื้อโฆษณาของรายการเช้านี้ที่ประเทศไทยซึ่งชายหนุ่มเป็นพิธีกรอยู่ ซึ่งถ้าเธอและคุณจ๊อด...โปรดิวเซอร์ของรายการไม่ลงทุนกราบกรานชนิดเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น ตรีคงไม่เอาเวลาทำเฟซโยคะของทุกวันมานั่งทานอาหารอยู่ตรงนี้แน่นอน

“ระหว่างที่คุณทานอยู่ ผมขอพูดเรื่องงานไปคร่าว ๆ เลยแล้วกัน”

มารยาททราม

ตรีตวัดตาขึ้นมอง ไม่รู้หรือไรว่าคนทานข้าวแปลว่าต้องการเวลาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน หน้าตาก็ไม่ใช่ขี้เหร่ แต่ทำไมไม่รู้จักมารยาทสังคมแบบนี้ นั่นคือความคิดเพียงเสี้ยววินาทีของชายหนุ่ม ที่คนทั่วไปสังเกตเห็นจึงเป็นเพียงภาพของดวงตามีเสน่ห์ชวนฝันที่ช้อนขึ้นมองเพียงเสี้ยววินาที แล้วเพียงหลุบลงเหมือนเป็นเพียงกิริยาอาการทั่วไป

“ไจแอนท์โคลาของเราเป็นน้องใหม่ ภาพลักษณ์ของสินค้าเราคือความสด แตกต่าง ไม่เหมือนใคร ผมอยากคุยกับคุณเพื่อที่เราจะได้มองภาพทุกอย่างตรงกัน ไจแอนท์โคลาต้องการอะไรที่สร้างสรรค์มากกว่าเอากระป๋องน้ำอัดลมธรรมดาไปวางเฉย ๆ อยู่บนโต๊ะแล้วพูดขอบคุณ สิ่งที่เรามองหาคือความพิเศษ คุณพอจะเข้าใจนะครับ”

เข้าใจสิ เข้าใจเป็นอย่างดีเลย

พงษ์พิพัฒน์พยักหน้าเห็นด้วย แตกต่าง ไม่เหมือนคนอื่น เป็นความคิดที่ฟังดูเข้าท่า แต่ไหนแต่ไรมาเขาเองก็ชอบอะไรที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน และถ้าจะพูดกันตามความจริง พิธีกรหนุ่มหล่อก็คิดว่าเขาเหมาะกับนิยามคำว่า “พิเศษ” กว่าใคร

“ติดคริสตัล” ตรีเสนอ

“อะไรนะ ?”

“ติดคริสตัลที่กระป๋องน้ำอัดลม” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบพลางส่งซาโมซาเข้าปากอีกชิ้น จำใจผิดธรรมเนียมปกติที่ไม่ทานหนักหลังสามทุ่มด้วยรสชาติของเนื้อแกะตรงหน้าอร่อยกว่าที่คิดไปไกล “ผมแนะนำให้ใช้ของสวารอฟสกี้เท่านั้น คัดเฉพาะเกรดดีที่สุด อิมพอร์ตจากออสเตรียแล้วหาแฟชั่นดีไซเนอร์เจ๋ง ๆ สักคนจัดการ”

“ดีไซเนอร์ ? คุณจะเอามาทำอะไร ?”

“ออกแบบไงครับ เลือกเฉพาะระดับชั้นนำเท่านั้น พวกมือสมัครเล่นหรือพวกรุ่นใหม่ผมว่าธรรมดาไป ซึ่งก็แน่นอนว่าระดับอินเตอร์ย่อมดูน่าสนใจกว่าระดับโลคัล เลือกสักคนจากในนั้น เดี๋ยวนี้ดีไซเนอร์ไทยที่ดังไกลระดับสากลมีอยู่ไม่น้อยเลยนะ”

ดนัยนั่งเงียบเชียบโดยไม่พูดอะไร จะมีก็แค่สายตาดุเดือดเหมือนโกรธเคืองใครสักคนมาจากไหน

ดนัยถอนลมหายใจหนัก ก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “ผมขอตัวสักครู่”

พงษ์พิพัฒน์เห็นเขาคว้ามือถือแล้วก้าวขาฉับ ๆ ออกไปยืนอยู่หน้าร้าน สักพักก็ทำท่าตะคอกใส่ใครสักคนผ่านทางโทรศัพท์ ชายหนุ่มส่ายหัวระอาแล้วจิ้มเนื้อแกะทานต่อ อดที่จะเซ็งขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้

ตรีคิดถึงลอนดอน เมษายนคือซัมเมอร์ของที่นั่น เป็นฤดูที่ฝนตกน้อยที่สุดของปี และมีอากาศที่กำลังน่ารักนัก ช่วงฤดูร้อนเขามักจะนั่งรถไฟยูโรสตาร์ข้ามฝั่งไปปารีส เดินเล่นดูร้านรวงต่าง ๆ ข้างทางแล้วนั่งจิบกาแฟที่นั่นสองสามชั่วโมงก่อนจะกลับมาทานมื้อค่ำที่ลอนดอน  เมษายนเคยเป็นเดือนที่เขารักที่สุด

แล้วดูนี่สิ ดูกรุงเทพ !

นี่มันเมืองหลวงหรือใจกลางเตาไมโครเวฟกันแน่ แค่ร้อนตรีก็อารมณ์เสียมากแล้ว แต่นี่เขาต้องมานั่งปั้นหน้ายิ้มให้กับลูกค้าขี้โมโหที่ไม่มีทั้งมารยาทและความเป็นมืออาชีพอีกคำรบ ชายหนุ่มถอนหายใจเหนื่อยหน่าย หน้าร้อนปีนี้คงเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทนเสียแน่



พ้นประตูร้านออกมาได้ ดนัยก็กดโทรศัพท์หาดาน่าด้วยความเดือดดาล ความร้อนพุ่งฉิวแข่งกับอุณหภูมิของกรุงเทพในเดือนเมษายน โมโหพิธีกรมาดคุณชายนี่ก็เรื่องหนึ่ง โมโหสิ่งที่ครีเอทีฟสาวพูดกับเขาก็อีกเรื่อง

“อธิบายผมมาที ตอนนี้ผมมีนัดกับพิธีกรคนเดียวกับที่คุณพูดถึงเมื่อตอนเที่ยงใช่ไหม”

“อุ๊ย...คุณนัท ใช่แน่นอนที่สุดค่า น้องตรีของแท้”

“แน่นะ ?”

“แน่สิคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวกรอกเสียงกลับมาทางโทรศัพท์

ดนัยตอบกลับทันควัน “ถ้าใช่คนที่คุณบอกว่าน่ารัก ทำงานง่ายคนนั้นนั่นแล้วก็...ผมมีแน่นอน”

“ทำไมหรือคะ เอ๊ะ...หรือยังไปไม่ถึง ?”

“ถึงน่ะถึงแล้ว”

“หรือโต๊ะที่จองไว้มีปัญหาคะ อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า ?”

“คุณดาน่า...มันไม่ใช่เรื่องพวกนั้น”

“แล้วอะไรหรือคะ ?”

ดนัยกลั้นลมหายใจ พยายามจะไม่หัวเสียมากกว่าเดิม

“ว้าย ! หรือน้องตรีหน้าตาไม่น่ารักคะคุณนัท”

คนกำลังฉุนถึงกับชะงัก พูดต่อไม่ถูก แม้จะไม่ชอบท่าทางการพูดจาโอ้อวดตลอดเวลาแบบนั้น กระทั่งความคิดที่ดูไม่ต่างกับคนไม่มีหัวสมองนั่นก็ไม่เข้าท่าสักนิด แต่สิ่งหนึ่งที่ดนัยไม่อาจแย้งคำพูดของครีเอทีฟสาวโอ้อวดไว้ได้เลยก็คือ...ตรี พงษ์พิพัฒน์มีใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักและรอยยิ้มที่ชวนมองสมราคาคุยไม่ขาดไม่เกิน

ร่างสูงสูดลมหายใจ ฮึดสู้อีกครั้ง “ทำงานง่ายประสาอะไรของคุณ นี่มันห่างไกลไปจากสิ่งที่คุณพูดมากนะ”

“คือแบบนี้ค่ะ” หล่อนพยายามแจกแจง เสียงสลดลงจนสัมผัสได้ “คุณนัทคะ ดาน่าหมายถึงน้องตรีแกทำงานง่ายจริง ๆ นะคะ คือเอาง่ายกับตัวเองเข้าว่า แกไม่ชอบความลำบากน่ะค่ะ แต่ถึงวิธีทำงานจะยาก ในด้านผลลัพธ์ออกมาดีทุกครั้งนะคะ เนียนกริบไม่มีใครรู้หรอกค่ะ ดาน่ายืนยัน”

คำตอบที่ได้ยินทำให้อุณหภูมิรอบตัวชายหนุ่มร้อนขึ้นอีกสิบองศา เห็นได้ชัดว่าแม่สาวผมฟูคนนั้นจงใจทำให้เขาคิดไปอีกอย่างเพื่อปิดงานในส่วนของตนเองให้ได้ และแม้ว่าดนัยนึกคร้ามอยากจะถอยเพียงไหน แต่สัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรไปแล้วมัดเขาจนดิ้นไม่หลุด เอาเถอะ เขาจะจัดการกับแม่ครีเอทีฟจอมแสบนี่ทีหลัง ตอนนี้ขอจัดการกับปัญหาชิ้นหลักก่อน ดนัยกดวางสายในนาทีต่อมา ก่อนจะผลักประตูกลับเข้าไปในร้านแล้วก้าวขายาว ๆ ไปนั่งที่โต๊ะ

ชายหนุ่มหยิบเมนูอาหารขึ้นมาเปิด กวาดตาสำรวจไปยังรายการต่าง ๆ

“อ้าว เปลี่ยนใจแล้วหรือคุณ”

“คุณทานน่าอร่อย ผมอยากลองมั่ง”

“พอเข้าใจครับ” ตรียิ้มกว้าง อารมณ์ดีขึ้นอีกนิด

เกิดเป็นคนหน้าตาดีก็แบบนี้ ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูแพง หยิบจับทานอาหารก็ดูอร่อย ทำอะไรก็ดูดีไปหมด นี่เป็นหนึ่งในพรจากสรวงสวรรค์ที่บางทีเขาก็เหนื่อยหน่ายเหลือเกิน หน้าตาดีก็แย่แล้ว นี่เทวดาท่านยังบันดาลให้เกิดมารวยอีกต่างหาก “เอาสิคุณ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

“แหม...ดีจัง” ดนัยส่งยิ้ม เลือกสั่งเอารายการที่แพงที่สุดห้ารายการ ก่อนจะปิดท้ายด้วยเปิดไวน์ราคาแพงระยับ “แบบนี้ต้องฉลองเสียหน่อย”

“เป็นความคิดที่ดี” ตรีส่งยิ้มเจ้าเสน่ห์แล้วกวักมือเรียกพนักงาน

สั่งรายการอาหารเสร็จ ดนัยก็เอนหลังพิงพนักแล้วส่งยิ้ม ถ้าคิดว่าแค่นี้เขาจะถอยง่าย ๆ ตามใจทีมงานแล้วก็...ขอให้คิดเสียใหม่ บทจอมเฮี้ยบถึงแม้จะเหมาะกับเขาแค่ไหน แต่บทของปีศาจกลับเป็นบทบาทที่ดนัยถนัดถนี่เสียยิ่งกว่า

ลองดูกันเสียตั้งจะเป็นอะไรไป คอยดูก็แล้วกันว่าใครจะร้ายกว่าใคร



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ปรมะไปถึงที่นัดหมายในเวลาสามทุ่มเศษ ช้ากว่าเวลานัดไปสิบนาที ปรายฟ้านั่งอยู่ในร้านพร้อมกับน้องธีมแล้ว เขาก้าวเข้าไปที่โต๊ะอาหาร มองไปที่เจ้าตัวเปี๊ยกซึ่งไม่ได้เจอร่วมปี ธีมสูงกว่าหน้าร้อนปีที่แล้วมาก แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลยก็คือท่าทางหัวแข็งซึ่งถอดมาจากเขาไม่ผิดเพี้ยน เด็กชายตัวน้อยดูจะเอร็ดอร่อยกับไก่ทอดตรงหน้า ขณะที่คนเป็นแม่นั่งเอาหลอดเขี่ยก้อนน้ำแข็งในแก้วกาแฟเย็นเล่นเหมือนไม่มีอะไรทำ

“รอนานไหม” ปรมะเอ่ยทักเธอแล้วหันมาทางเด็กตัวเล็กที่เคี้ยวตุ้ยอยู่ “เป็นไงบ้างเจ้าเปี๊ยก”

ธีมเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาขวางแล้วมุ่ยหน้าลงจัดการชิ้นไก่ทอดตรงหน้าต่อ “ไม่ได้เปี๊ยก! จะมาทำไมเนี่ย”

“เงียบไปเลยไอ้อวดดี จะมาหรือจะไม่มามันก็เรื่องของฉัน” ปรมะตอบกลับหน้าตาเฉย ฟังดูอาจจะแปลกแต่นี่คือเรื่องปกติระหว่างเขากับธีมจนทุกคนรู้สึกว่าความแปลกคือเรื่องปกติไปเสียแล้ว

มีโอกาสได้พบกันทั้งหมดก็เพียงช่วงฤดูร้อนของทุกปี เพราะเหตุนี้กระมังเขาจึงค่อนข้างเหินห่างกับลูกแบบนั้น ธีมเป็นเด็กหัวแข็ง ซ้ำยังถูกเลี้ยงด้วยคนนิสัยประหลาดแบบลูกน้ำ ก็ไม่แปลกเลยที่เวลาเจอกันทีไรต้องมีสู้รบกันได้ตลอด ปืนกดสายตามองเด็กหน้าหงิก โตขึ้นไม่เท่าไร แต่ความเอาแต่ใจพัฒนาไปไกลกว่าส่วนสูงนัก ฝ่ามือกว้างกดหัวของเด็กตัวน้อยคะมำลงด้วยความรักและเอ็นดู ยิ่งเห็นยิ่งมันเขี้ยว

“อย่ามาจับหัวนะ ผมเสียทรงหมด ก็บอกว่าอย่ามาจับไงเล่า !” มือเล็ก ๆ ของธีมปัดป่ายไม่เลิก ซึ่งทั้งปรมะและปรายฟ้าเองก็ดูจะชินแล้วกับเสียงแข็ง ๆ แบบนั้น

นับตั้งแต่คลอดธีม เขาและปรายฟ้าก็แยกกันอยู่ตัวใครตัวมัน โดยเธอและคุณแม่ดุจเดือนเป็นคนดูแลเจ้าตัวเล็ก ฟังดูเหมือนเขาเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ คนเห็นแก่ตัว ซึ่งบางทีปรมะก็คิดเช่นนั้น เขาเคยพยายามย้ายไปทำงานที่เชียงใหม่แล้วแต่เธอกลับเป็นฝ่ายรำคาญที่แบ่งห้องกับใคร ลูกน้ำเลยเผ่นหนีย้ายไปอยู่ข้างนอกคนเดียว สุดท้ายครอบครัวก็ไม่เป็นครอบครัวอย่างที่ผู้ใหญ่นึกไว้ ด้วยปรายฟ้าเป็นผู้หญิงที่มีความคิดแปลกประหลาด รักอิสระ แล้วก็ดูเหมือนจะไม่คิดจะฟังคำพูดของใคร เงินสักบาทก็ไม่ยอมรับ เขาเองที่เทียวไปเทียวมาเป็นเวลาปีเศษ กระทั่งที่สุดก็ยอมถอดใจย้ายกลับมาทำงานที่กรุงเทพอย่างที่เห็น

“ปล่อยซะทีเถอะ ยืนเก็กอยู่ได้ ผมอายเขานะ” ธีมยังไม่เลิกโวยวาย

แกล้งจนพอใจ ปืนก็ชักมือกลับแล้วยิ้มขำ ชายหนุ่มไล่สายตาไปบนหน้า เห็นรอยฟกช้ำเป็นจ้ำเขียวอยู่ที่แก้มซ้ายขวาก็อดถามไม่ได้ “แล้วนั่นแผลอะไรทั้งหน้า ตกต้นไม้หรือไปฟัดกับหมาที่ไหนมา ถ้าให้เดาคงไม่พ้นไปหาเรื่องกับใครมาอีกใช่ไหม”

“อะไรก็ช่าง เป็นพ่อภาษาอะไรแทนที่จะปลอบ เข้าข้างลูกตัวเอง เลี้ยงก็ไม่เลี้ยงยังจะไปเข้าข้างคนอื่น ไม่ต้องมาเต๊ะจุ๊ยเลย ดูสารรูปสิหัวก็ไม่เป็นทรง แต่งตัวก็โหลยโท่ย หนวดเคราก็เฟิ้มน่าเกลียด”

“ไม่ตอบดี ๆ ก็นั่งเงียบไปเลย” ชายหนุ่มออกอาการหงุดหงิดกับลูกชายจอมดื้อ ผิดกับปรายฟ้าที่หัวเราะถูกใจนักหนา มือเล็ก ๆ ของเธอขยี้ไปบนหัวของลูกชายตัวน้อยแล้วหันมาตอบคำถามแทน

“เด็กผู้ชายก็แบบนี้แหละ มีเรื่องชกต่อยบ้างตามประสา ทำอย่างกับตัวเองไม่เคยเป็น”

มันจะไม่ตามประสานี่สิ ปรมะมีคำพูดติดอยู่ที่ปากมากมายอยากจะแย้ง แต่เมื่อคิดดูแล้ว นิสัยทำอะไรตามใจตัวเองเป็นหลักติดมาตั้งแต่สมัยเรียน จนถึงบัดนี้ก็ยังแก้ไม่หาย (แถมยังถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาสู่ชวิศอีก) เรียกว่าต่อให้พล่ามอะไรไปใช่ว่าหล่อนจะสนใจตอบ

“แล้วคราวนี้จะให้ธีมเรียนอะไร”

ปรายฟ้ายกหัวไหล่ “ยังไม่รู้เลย แต่ธีมอยากเรียนชกมวย” พูดจบ เด็กชายตัวน้อยก็พยักหน้าหงึก ๆ ดวงตาใสเป็นประกาย

“เรียนภาษาจะไม่ดีกว่าเหรอ”

ปรมะส่ายหน้าไม่เห็นด้วย ปีที่แล้วก็เรียนยูโด ปีก่อนหน้าก็เทควันโด ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น แผลถลอกเปิดไปทั้งตัว ศิลปะ ดนตรีก็ไม่สน

“น้ำไม่อยากให้ลูกเครียด เรียนปกติก็หนักสำหรับแล้ว”

ปืนครุ่นคิดอยู่สักพัก ถ้าเลือกได้เขาอยากฝึกให้ธีมเป็นผู้ใหญ่ รู้จักความรับผิดชอบมากขึ้น “ลองให้ฝึกงานที่ร้านรุ่นพี่ไหม เป็นร้านอาหาร มีขนมให้กินเล่นได้ทั้งวัน เด็กน่าจะชอบ”

เด็กที่ว่ารีบหันหน้าไปทางแม่แล้วตั้งท่าปฏิเสธ แต่ลูกน้ำกลับดูถูกอกถูกใจ “น่าสนใจนะ ถ้าพรุ่งนี้สะดวก ไม่ติดอะไรก็ลองพาเจ้าตัวแสบนี่ไปดูกัน”

“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” ธีมหันมาแยกเขี้ยวทำหน้ายักษ์ใส่ชายหนุ่มร่างโย่ง

ปรมะมองกลับอย่างไม่สนใจ เปลี่ยนเรื่องคุยเอาดื้อ ๆ “ที่เชียงใหม่ไม่มีเคเอฟซีหรือไง ต้องมาถึงนี่”

“มีแต่ไม่อยากกิน ถ้าไม่พอใจนายก็กลับบ้านไปสิ” ธีมโวยวายกลับทันควัน ส่วนลูกน้ำยังยิ้มเรื่อย ๆ คล้ายกับทุกย่างเป็นเรื่องปกติ “แล้วไม่ไปทำงานร้านอะไรนั่นด้วย ไม่ต้องมาจุ้นเลย”

ปรมะถอนใจ (ครั้งที่เท่าไรไปแล้วก็จำไม่ได้) แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม พอจนปัญญาจะหาความ ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่สนใจต่อล้อต่อเถียงต่อ เขาแค่ทำหน้าที่พ่อ (ในแบบที่ปรายฟ้าต้องการ) ก็พอ พอนั่งลงแล้วปรมะก็ยื่นซองกระดาษสีขาวให้หญิงสาว แต่หล่อนดันมันกลับ ไม่คิดจะสนใจแม้จะเปิดออกดูด้วยซ้ำ

“ถ้าอยากจะให้ก็ขอเป็นเวลาดีกว่า เราตกลงกันแล้วนี่ ในเมื่อน้ำตัดสินใจเก็บน้องธีมไว้ในวันนั้นเอง น้ำก็จะรับผิดชอบทุกอย่าง” เธอพูด “น้ำกับปืนแยกกันอยู่ ปีหนึ่งจะได้เจอกันแค่ช่วงปิดเทอมใหญ่เท่านั้น ถ้าอยากจะช่วยก็ขอแค่โผล่หน้ามาเจอะเจอกันบ้างก็พอ”

“น้ำ” ปรมะเอ่ยเสียงอ่อนใจ เขาอยากจะนึกตำหนิปรายฟ้าหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งก็คือการพูดเรื่องของผู้ใหญ่แบบนี้ต่อหน้าธีม เด็กเป็นวัยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา และนั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรต้องมารับรู้ความสกปรกของผู้ใหญ่เลย

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น น้ำไม่ได้เลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาเป็นคนอ่อนแอ ธีมโตแล้ว มีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ความจริง ไม่ใช่อยู่กับคำโกหกเพราะ ๆ ที่ผู้ใหญ่สร้างให้ น้ำพูดกับธีมตรง ๆ ทุกเรื่อง เราเป็นแม่ลูก เป็นพี่น้อง และเป็นเพื่อนกัน” เธอส่งยิ้มให้เด็กน้อยที่นั่งข้าง ๆ แน่นอนว่าเจ้าตัวเปี๊ยกก็ยืดอกรับเต็มที่

“เถียงไม่เคยชนะเสียที” ปรมะพึมพำกับตัวเอง

ก็จริงอย่างที่ลูกน้ำพูด พอโตขึ้น นิยายความรักมันไม่ได้หวานแหววแบบความเข้าใจในวัยเด็ก ในความรักมีความเจ็บปวด ความกังวล ความทุกข์ใจปะปนเสมอ พอต้องเจอกับด้านที่ไม่มีใครพูดถึง คนที่ประมาทกับความรักมันจะเสียสูญ ไปต่อไม่ถูก ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสอนบทเรียนนี้แก่เขา อาจจะเรียกก็ได้ว่าปรายฟ้าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปรมะดูจะเฉยชากับความรู้สึกรัก ๆ ใคร่ ๆ ไปเสียแล้วก็ว่าได้

“อย่าบอกใครว่าเป็นพ่อฉันนะ ฉันอายเขา” ธีมโวยไม่เลิก เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับลูกน้ำ ด่าเขาเสร็จก็พากันหัวเราะชอบใจจนปืนเหมือนกับชายหนุ่มเป็นเนื้องอกส่วนเกิน

“โอเค...ยอม” ร่างสูงยกสองมือขึ้นเหนือหัวอย่างผู้พ่ายแพ้ เห็นได้ชัดว่าลูกชายตัวแสบเลือกที่จะเข้าข้างใคร

น้ำในแก้วของธีมพร่องจนเกือบหมด ปรมะจึงหยิบธนบัตรส่งให้เจ้าตัวจ้อย วานให้ช่วยซื้ออาหารนิดหน่อยมาเผื่อเขาด้วย ธีมแสดงท่าทางฉุนเฉียวเล็กน้อย แต่ก็ยอมลุกออกไปซื้อให้ด้วยดี

ปรมะมองตามเด็กตัวน้อยแผลงฤทธิ์ขณะต่อแถวรอซื้ออาหารอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ รอยยิ้มเล็ก ๆ แย้มขึ้นบนริมฝีปากของชายหนุ่มโดยที่เจ้าตัวอาจไม่เคยรู้ ดวงตาสีเข้มเบือนออกไปทางบานกระจก ปรมะแหงนหน้าขึ้นมองเหม่อไปยังดาวดวงน้อย ๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้าที่ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำ

“ธีมเหมือนกับเธอเมื่อก่อนเลยนะ” เสียงทุ้มนั้นอ่อนลงราวกับคนละคน

“ไม่หรอก” คนที่ชื่อแปลว่าท้องฟ้าอมยิ้มแล้วยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นดื่ม “ต่างกันเยอะเลย”



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 08-04-2014 21:24:05
(ต่อครับ)



อริยะยิ้มแหยเมื่อเผลอเดินชนกับเด็กชายตัวเปี๊ยกที่ต่อแถวซื้ออาหารอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เดือดร้อนให้ระรินต้องเป็นฝ่ายเข้ามาไกล่เกลี่ย เจ้าเด็กหน้ายักษ์ถึงเลิกตะโกนด่าเขาให้ขายขี้หน้าคนทั้งร้าน อาหารมื้อเร่งด่วนถือเป็นความจำเป็นในการประทังความหิวหลังจากดูหนังรักโรแมนติกที่ระรินฟุ้งนักหนาว่าห้ามพลาด สามทุ่มครึ่งอาร์มก็เดินออกจากร้านเคเอฟซีพร้อมกับชุดไก่ทอดใส่กล่องกลับบ้านเซ็ตใหญ่โดยมีหญิงสาวเดินเคียงข้าง พอมาถึงบันไดเลื่อน เด็กสาวก็หันมาหาทางเขาพร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความขอบคุณ

“หนักไหมคะ คือจริงๆ รินถือเองก็ได้” เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ ลำพังแค่อาหารที่เขาซื้อกลับบ้านก็ไม่น้อยแล้วยังช่วยถือข้าวของจุกจิกที่เธอซื้อเล่นฆ่าเวลาก่อนเข้าโรงหนังอีก

“ไม่เลยค่ะ ให้อาร์มช่วยถือนะคะ” คนใส่แว่นตรงหน้าส่งยิ้มให้กับเธอ

“เสียดายจัง หนึ่งน่าจะมาทานด้วยกัน” ดวงตาสดใสหม่นลงชั่ววูบ แต่เพียงครู่ก็กลับมาเป็นประกายดั่งน้ำค้างยามเช้าเช่นเดิม

“ก็ชวนแล้ว แต่มันเล่นตัวไม่ยอมมา” เด็กหนุ่มยักคิ้วตอบพร้อมส่งเสียงหัวเราะ “เดี๋ยวรินจะไปไหนต่อคะ หรือจะทานขนมอีกหน่อยไหม”

“ไม่ดีกว่าค่ะ อาร์มเถอะ อิ่มแน่นะ ทานไปนิดเดียวเอง”

“เดี๋ยวกลับไปก็ต้องกินอีก” อารยะยกมือขึ้นตีหน้าท้องตัวเองแล้วยิ้มเผล่ จนระรินอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำ

“จริงสิ จำที่รินเคยบอกอาร์มได้ไหม เรื่องกิจกรรมปั่นจักรยานชมกรุงเทพของชมรมน่ะ สรุปว่าเป็นวันที่ 11 เมษาฯ นะ อาร์มไปได้ไหม”

“ก่อนวันหยุดสงกรานต์นั่นเหรอ”

“ใช่ค่ะ เห็นพี่ ๆ บ่นกันว่าถ้าหลังจากช่วงสงกรานต์กลัวความกระตือรือร้นจะไม่มีเหลือ น้อง ๆ คงได้หมดพลังไปกับการเล่นสาดน้ำกันแล้ว”

“ฮ่า ๆ ก็จริงนะ แต่ถ้าไปมันจะเป็นตัวประหลาดไหมนะ ไม่รู้จักใครนี่สิ”

“ก็รู้จักรินไง หรือจะลองชวนหนึ่งมาด้วยก็ได้นะ ปั่นจักรยานกันหลาย ๆ คนก็สนุกดี”

อริยะยักหัวไหล่ตอบแล้วส่งยิ้มให้เธอ

หลังจากนั่งรถไฟฟ้าไปส่งระรินที่สถานีวงเวียนใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มก็นั่งย้อนกลับมาที่สถานีอารีย์ ชุดไก่ทอดในกล่องระอุจนกลายเป็นไอน้ำ ซึ่งเขาก็ได้แต่หวังว่ามันยังจะพอกรอบให้สมกับเป็นไก่ทอดอยู่บ้าง ไม่กลายเป็นไก่นึ่งให้ขายขี้หน้าไปเสียก่อน ลงจากสถานีรถไฟฟ้าได้ อริยะก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างออกไป

ลัดเลาะเข้าซอยแคบ ๆ ไม่ถึงห้านาที เด็กหนุ่มตัวโย่งก็กระโดดลงมายืนอยู่หน้าทาวน์เฮาส์หลังเล็ก ๆ ที่มีต้นเฟื่องฟ้าปลูกอยู่หน้าบ้าน อริยะกดกริ่งที่หน้าประตูรั้ว ไม่นานนักหญิงสาววัยกลางคนก็ชะโงกหน้าออกมาจากด้านในพร้อมรอยยิ้ม เห็นดังนั้นแขกผู้มาเยือนก็ยกมือไหว้อย่างคุ้นเคย

“อาร์มมาหาหนึ่งเหรอลูก มาเสียดึกเลย”

“ขอโทษคุณแม่ที่รบกวนนะครับ” คนที่ยืนเกาะประตูรั้วประจบเสียงหวาน “พอดีไปกินข้าวกับเพื่อนมา เลยซื้อมาฝากคุณแม่ด้วยครับ ไก่ทอด”

นาตยาส่ายหัวยอมแพ้กับกลิ่นหอมฉุยตรงหน้า เธอไม่สันทัดกับอาหารเร่งด่วนแบบวัยรุ่นชอบทาน “ของโปรดคนข้างบนโน่น เอาไปกินกับเจ้าหนึ่งเถอะ แม่อิ่มแล้ว หนึ่งน่าอยู่บนห้องนั่นน่ะ สงสัยนั่งเล่นเกมอยู่”

“ทานบนห้องได้ไหมครับ” อาร์มชูไก่ทอดถุงโต ขออนุญาต

“จ้า...อย่าลืมเก็บลงมาทิ้งถังขยะด้วยแล้วกัน”

พูดจบ หญิงสาวก็เห็นเพื่อนซี้ของลูกชายกระโดดแผล็วขึ้นบันไดบ้านอย่างเชี่ยวชาญ อริยะมาหาลูกชายเธอบ่อย เห็นหน้ากันจนกลายเป็นคนคุ้นเคย เพื่อนซี้ย่ำปึ๊กของพิธานคนนี้ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อเรื่องความหล่อเหลา กิตติศัพท์เรื่องเข้าหาผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย ไม่เพียงแต่เฉพาะคนในบ้าน กับเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงเด็กหนุ่มก็ประเหลาะปากหวานไปทั่วเล่นเอาคุณปู่ คุณย่า คุณป้า คุณลุงทั้งซอยบ่นคิดถึงเป็นประจำ

ได้ยินเสียงโวยของลูกชายจากบนบ้านพร้อมสัตว์เลี้อยคลานที่ดังกระหึ่มเผื่อแผ่ไปละแวกใกล้เคียง นาตยาก็เอนตัวลงบนโซฟาพร้อมรอยยิ้มขัน ก่อนจะนั่งสนใจละครหลังข่าวเรื่องโปรดของเธอต่อไป



“บ้านช่องไม่มีอยู่หรือไง มาบ่อยเหมือนเป็นบ้านเอ็งเลยนะ” พิธานโหวกเหวกเมื่อเห็นตัวกวนประสาทมายืนสลอนอยู่หน้าประตูห้องนอน

“ก็พี่อายส์ห้ามเปิดแอร์ในห้องนอนก่อนสี่ทุ่มนี่ ร้อนจะตาย ใครจะไปทนไหว”

พิธานถอนหายใจ “นี่มันสี่ทุ่มครึ่งไปแล้ว กลับไปบ้านแต่แรกก็เปิดแอร์ได้แล้ว ซื่อบื้อ”

“เออ...ก็จริงเนอะ เอาเถอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว” อริยะแทรกตัวผ่านบานประตู วางถุงไก่ทอดบนโต๊ะที่มุมห้องเสร็จก็กระโจนขึ้นบนเตียงละม้ายว่าเป็นห้องนอนของตนเอง “ซื้อไก่ทอดมาฝากด้วยนะ แต่คงเย็นแล้ว มากินกัน”

“เพิ่งไปกินกับหญิงมา แล้วนี่หิวอีกแล้วเหรอ”

“กินไปนิดเดียวไง” อาร์มตอบพร้อมลุกขึ้นมาแกะถุงพลาสติกออก เพ่งมองหาชิ้นที่ใหญ่สุด

“แล้วไม่กินเยอะ ๆ จะซื้อกลับทำไม แบบนี้รินไม่โมโหตายเหรอ”

“ก็บอกว่าซื้อไปฝากคนที่บ้าน ขืนรู้สิ โดนงอนแน่” คนพูดทำหน้าแขยง

“โกหกไปเรื่อย พูดเหมือนนี่เป็นบ้านน้อยมึงเลยนะ มีกูเป็นเมียน้อยงั้นสิ” พิธานทำหน้ายุ่ง แต่ก็เดินมาหยิบไก่ทอดกิน อริยะหยิบแบบปรุงรสเผ็ดส่งให้ด้วยรู้นิสัยของเพื่อนรักเป็นอย่างดี

“ไม่รู้อะไร หนึ่งน่ะเมียหลวง มาก่อน แถมรู้ใจกันกว่าใคร”

เกิดความรู้สึกปั่นป่วนประหลาดในใจของคนที่ได้ยิน พิธานแอบเหลือบตามองผู้พูด แต่อริยะก็เคี้ยวไก่ทอดไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่ได้เอ่ยอะไรที่ผิดแปลกออกมา เห็นดังนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตาจัดการของโปรดตรงหน้าบ้าง กินไปได้สองชิ้น หนึ่งก็ถอยลงไปนั่งพุงกาง ทว่าอีกคนยังกินต่อไปเรื่อย ๆ

“อดอยากมาจากไหน”

“ก็หิว”

อาร์มยังคงทานต่อเรื่อย ๆ ชิ้นแล้วชิ้นเล่าจนหนึ่งนึกสงสัยว่าหมอนี่เอากระเพาะจากไหนมายัดอาหารมากมายแบบนี้ หรือว่าตอนไปเดตกับรินจะเผื่อท้องมาเพื่อกินกับเขา ถ้าเป็นใช่นั่นถือว่าเป็นความคิดที่บ้าบอมาก

แล้วถ้าใช่ล่ะ?

กลางอกของพิธานรู้สึกอุ่นขึ้น เจ้าตัวจะเคยรู้ไหมว่าพักหลัง ๆ ความสนิทใกล้ชิดและคำพูดหยอกล้อแบบไม่คิดอะไรนั้นทำให้เพื่อนแบบเขารู้สึกหายใจไม่ปกติทุกครั้ง

“คราวหลังไม่ต้องซื้อมาหรอก เปลืองเงินเปล่า ๆ เก็บเงินไว้เลี้ยงข้าวสาวไป”

“เป็นอะไร ทำเป็นงอนไปได้ ก็ชวนแล้วไม่ไป” หัวคิ้วของอริยะมุ่นขึ้นด้วยความฉงน

“ใครงอน?”

“ก็หนึ่งไง”

“ไม่เคย”

“นี่ไง หลักฐาน”

อาร์มปล่อยสะโพกไก่ทอดในมือแล้วจูงเจ้าของห้องมาที่กระจกบานสูงซึ่งติดอยู่ที่ผนัง จากนั้นก็ยึดหัวไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้จากด้านหลังไม่ให้หนีไปไหน ขืนตัวอยู่สักพักจนจับคนยุกยิกให้อยู่มั่นคง คนใส่แว่นจึงชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังของบ่า มองแววตาที่บูดบึ้งผ่านเงาสะท้อนของกระจกด้วยรอยยิ้มกวนประสาทแบบที่ทำเป็นประจำ

“ใครน้อ...”

“อะไร” หนึ่งตวัดเสียงแข็ง

“คนขี้งอน”

“อย่ามาบ้า”

“โอ๊ะ ยิ้มแล้ว”

“ประสาทเปล่า ร้อนจะตาย ใครจะไปบ้ายิ้ม” หนึ่งค้านหัวชนฝาทั้งรอยยิ้มที่เปื้อนหน้า

คางของคนที่อยู่ด้านหลังค่อย ๆ ทาบลงบนหัวไหล่ พิธานได้ยินเสียงลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่ข้างใบหู และนั่นก็ดึงเอาความรู้สึกวูบไหวอันแปลกประหลาดกลับมาก่อกวนความรู้สึกอีกครั้ง เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกเหมือนชีพจรตัวเองเต้นเร็วขึ้น หัวใจก็สูบฉีดด้วยจังหวะคึกโครมเหมือนดนตรีเต้นรำ

“หนึ่งไง หนึ่งกำลังยิ้ม”

“เปล่า”

“จริงสิ”

“จริง”

“ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้มมม...”

เสียงทุ้มที่เจือเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ กระซิบที่ข้างหู หนึ่งคุ้นเคยกับเสียงนี้มาเนิ่นนาน แล้วอันที่จริงอาร์มก็ไม่ได้กระซิบอะไรเลย ตัวกวนประสาทยังคงพูดด้วยเสียงปกติ และใช้ชีวิตเหมือนทุกวันที่ผ่านมา คงมีแต่เพียงเขาคนเดียวกระมังที่ทำให้เรื่องปกติคุ้นเคยกลายให้กลายเป็นเรื่องพิเศษ

“วันที่ 11 ไปขี่จักรยานกันนะ รินชวน”

“ไม่ไป”

“ทำไมล่ะ”

“ขี่ไม่เป็น”

“ไม่ยากหรอก เดี๋ยวสอนให้”

พิธานถอนหายใจแล้วส่ายหัว

“ไปนะ”

คนที่ถูกรบเร้ายังคงยืนนิ่ง พยายามนึกทบทวนว่านับตั้งแต่รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็เข้าปีที่สาม จะมีสักกี่ครั้งที่ตนเองไม่ใจอ่อนตามแววตาออดอ้อนคู่นั้น และเมื่อยิ่งค้นหาก็ยิ่งจะพบความจริงที่ว่าเกินกว่าครึ่งคือความล้มเหลว หนึ่งไม่รู้ว่าเพราะตัวเองใจแข็งไม่พอ...หรือเพราะว่าแพ้ทางเจ้าของเสียงทุ้มที่กรอกหูอยู่ทุกวันกันแน่

“ไปเถอะ”

“คราวหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากเพื่อเป็นสินบนก็ได้นะ”

“ไม่ใช่สินบน นี่ซื้อมากินกันเฉย ๆ ไง” อริยะออกน้ำหนักกดคางลงที่หัวไหล่เขาเบา ๆ จากนั้นก็เริ่มโหม่งหัวของพิธานไปมาจนอีกฝ่ายถึงกับต้องพึมพำอย่างอ่อนใจ

“ก็ไปกินเวลาอื่นเอา กินดึก ๆ มันอ้วนนะ”

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอะไรกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น หลายวันมานี้เขาต้องนับหนึ่งถึงสิบ พยายามอย่างหนักที่จะควบคุมมันไว้...กดเอาไว้เพื่อไม่ให้ความคิดแปลก ๆ มันเปิดเผยออกมาให้เจ้าตัวได้รับรู้

“ไหนดูหน่อย”

ไม่รอให้อนุญาต สองมือของคนที่อยู่ด้านหลังก็เลื่อนลงจากหัวไหล่แล้วถลกเสื้อยืดของเขาขึ้นมาจนถึงอก อาร์มขยับหน้ายื่นเข้าใกล้อีกนิด สำรวจหน้าท้องของหนึ่งจากกระจกแต่ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติตรงไหน สักพักรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ผุดผาดขึ้นบนมุมปาก พร้อมกับปลายนิ้วชี้ที่ค่อย ๆ กดลงบนพุงของคนตรงหน้า

หนึ่ง...สอง...แล้วก็สาม...

จิ้ม...จิ้ม...จิ้ม...

“ไอ้บ้า !” หนึ่งหัวเราะจักจี้

“ไม่เห็นอ้วนเลย” อริยะยืนยันพร้อมรอยยิ้ม

พูดจบมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มก็ปล่อยมือจากชายเสื้อแล้วเปลี่ยนมาสวมกอดเต็มตัว คางที่วางอยู่บนบ่ากลายเป็นศูนย์ถ่วงของศีรษะไปโดยอัตโนมัติ อริยะโยกหัวตัวเองไปมา ซ้ายขวา...ซ้ายและขวา...โขกศีรษะด้านข้างของคนกลัวอ้วนเป็นจังหวะเบา ๆ

“ห่วงหล่อเสียจริง อยู่บ้านต้องใส่โคโลญจน์ซะด้วย นี่กลิ่นใหม่ใช่ไหม”

“อืม แม่ซื้อมาให้”

“จริง ๆ ชอบกลิ่นเก่ามากกว่า”

พิธานยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นจับวงแขนที่โอบอยู่ ตั้งใจจะดึงให้คลายออก แต่เหมือนแขนของเขาจะปรปักษ์ต่อความคิดของสมองที่สั่งการ ความตั้งใจที่มีจึงหยุดลงเพียงมือซึ่งเกาะกุมอยู่บนอ้อมแขนอุ่น ๆ นั้น หากจะพูดกันตรง ๆ แล้วพิธานก็ไม่ค่อยชอบตัวเองในตอนนี้เท่าไรนัก หรืออันที่จริงอาจจะไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ

“ปล่อยเถอะ อากาศยิ่งร้อน ๆ อยู่”

คนที่กอดอยู่หัวเราะเบา ๆ ข้างหู “ที่ชอบห้องหนึ่งก็เพราะเปิดแอร์ตลอดนี่แหละ”

คราวนี้เป็นเสียงกระซิบจริง ๆ



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



แม้จะเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว อากาศอบอ้าวก็ยังคงวนเวียนอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร นภที่ออกมาเดินยืดเส้นยืดสายเล่นเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจเสียแล้วว่าการออกมาหาอะไรรองท้องยามดึกด้านนอกจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการสั่งอาหารจากรูมเซอร์วิสของโรงแรม ปริมาณคนที่เบียดเสียดอยู่ตามร้านขายของริมฟุตปาธเมื่อพ่วงเข้ากับอากาศร้อนทำให้เหงื่อซึมออกมาจนเริ่มเปียกแผ่นหลัง สุดท้ายนภก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จบแผนการทั้งหมดลงกับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดตรงหน้า พลิกประตูเปิดเข้าไปได้ ชายหนุ่มแปลกถิ่นก็หยุดชะงักอยู่กับที่ ปลายเท้าทั้งสองข้างถูกหมุดที่มองไม่เห็นตรึงไว้ไม่ให้ขยับไปไหน

เช่นเดียวกับปรมะที่นั่งอยู่ในร้าน ขณะนั้นเป็นจังหวะที่ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับมาจากบรรยากาศด้านนอกพอดี ปืนนิ่งค้างไปชั่วขณะ กระทั่งปรายฟ้าเอี้ยวตัวหันกลับมามองตาม แล้วก็เป็นหญิงสาวที่ลุกขึ้นยืนโบกมือทักทายเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

“นภหรือเปล่า จำน้ำได้ไหม”

นภที่กำลังยืนอ้ำอึ้งสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกสติ เขาจำเธอได้ ไม่เคยลืมเธอเลย

“ลูกน้ำ”

เจ้าของรอยยิ้มน่ามองหัวเราะสดใส “แล้วมาได้ไง เห็นว่าย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วไม่ใช่เหรอ”

“พอดีพาเพื่อนมาเที่ยวสงกรานต์น่ะ” ปรายฟ้าเหลียวซ้ายแลขวามองหาเพื่อนที่ว่า จนอีกฝ่ายต้องอธิบาย “คือเขาเจ็ตแล็กนิดหน่อยน่ะ”

“งั้นดีเลย ไปนั่งด้วยกัน”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ ปรายฟ้าก็ดึงแขนชายหนุ่มที่ห่างหายไปจากประเทศไทยร่วมสิบปีให้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน หญิงสาวดันนภให้เข้าไปนั่งด้านในสำเร็จก็เอาตัวเองกั้นอีกฝ่ายไม่ให้หนีไปไหน

มันนานมาแล้ว นานจนเธอเกือบลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเรียนพร้อม ๆ กับสองหนุ่มนี้ รักสนิทสนมกันพอสมควรจนกระทั่งเกิดเหตุให้ปรายฟ้าลาออกในคราวนั้น นับจากนั้นหญิงสาวก็ตัดขาดจากเพื่อนในมหาวิทยาลัยทั้งหมด ไม่พูดอธิบาย ไม่ชี้แจงอะไรทั้งสิ้น จะมีก็เพียงแค่ปืนเท่านั้นที่ยังติดต่อกัน

“นายมาได้ยังไง” ปืนถามขึ้น

“ไม่มีมารยาทเลยปืน” ปรายฟ้าส่ายหัว “นภพาเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวสงกรานต์ แล้วตอนนี้เพื่อนที่ว่าก็เมาเครื่องบินอยู่ในห้องพัก เลยออกมาหาอะไรกินคนเดียว มีอะไรสงสัยอีกไหม” เธอตอบแทนอย่างฉะฉาน

ประมะกะพริบตาเหมือนกับยังงอยู่ ช่วงจังหวะนั้นธีมก็เดินกลับมาที่โต๊ะ เด็กน้อยทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนโผล่มาที่โต๊ะ รูปร่างหน้าตาแบบไม่คุ้นเคย จะเป็นใครก็ช่าง แต่หมอนั่นก็ทำให้เขาต้องย้ายไปนั่งกับตาแก่กวนประสาทแบบพ่อ ซึ่งธีมไม่ชอบเลย

“นั่งสิธีม นี่เพื่อนแม่กับพ่อตั้งแต่สมัยเรียน ยกมือสวัสดีสิครับลูก”

แม้จะยังหน้าตูบไม่หาย แต่เด็กชายชวิศก็กระพุ่มมือขึ้นไหว้อย่างว่าง่าย

“ลูก ?” นภเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

ปรายฟ้ายักไหล่ตอบอย่างอารมณ์ดี “ก็...อย่างที่รู้กันน่ะ”

ชายหนุ่มยังคงอ้ำอึ้ง แม้อยากจะไถ่ถามต่อ หากแต่อยู่ต่อหน้าเด็กตัวน้อย นภก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ ส่วนสิ่งที่อยากรู้ คำตอบอะไรก็ไม่ชัดเจนเท่ากับเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าในขณะนี้

“แล้วนี่จะอยู่ถึงเมื่อไร วางแผนจะไปเที่ยวไหนบ้าง” เธอถาม

“คงถึงสิ้นสงกรานต์แหละน้ำ แต่จะไปที่ไหนบ้าง บอกตามตรงว่ายังไม่รู้เลย ไม่ได้กลับมาหลายปี เห็นอีกทีกรุงเทพทำเอางงไปหมด”

ใบหน้าเรียวได้รูปพยักหงึก ๆ แล้วลูกน้ำก็พูดขึ้นขณะที่เอาหลอดเขี่ยก้อนน้ำแข็งขึ้นมาเคี้ยวเล่นในปาก “ไม่เห็นยากเลย ให้ปืนพาเที่ยวสิ”

ข้อเสนอนั้นทำให้ชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่นิ่งเงียบไปสักพักคล้ายกับมีกำแพงหนาก่อตัวขึ้นในอากาศ เงียบไปสักเสี้ยวนาที สุดท้ายปืนก็เป็นฝ่ายทำลายกำแพงที่กักกั้นบรรยากาศที่เงียบเชียบนั้น

“ผมต้องทำงาน”

“งั้นก็ทำเวลาอื่น งานของปืนจะทำที่ไหน ทำเมื่อไรก็ได้นี่ ถ้าคุ้นทางกรุงเทพ น้ำคงอาสาไปแล้ว นาน ๆ ได้เจอกันที นายจะใจดำกับเพื่อนเก่าได้ลงคอเชียวเหรอ” พูดจบ ปรายฟ้าก็สะกิดธีมให้ลุกขึ้นยืนแล้วหันมาส่งยิ้มให้ชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ “นี่ก็ดึกแล้ว เห็นทีจะต้องพาธีมกลับบ้านเสียที”

“ไม่เอา ยังไม่กลับ แม่อย่าเพิ่งกลับ ไม่เอา”

พอเป็นแม่ เสียงดื้อรั้นก็ดูจะเปลี่ยนโทนเสียงไปเป็นกึ่งออดอ้อน แต่ปรายฟ้าไม่คิดจะฟัง ความเอาแต่ใจทำให้หญิงสาวเลี้ยงธีมตัวน้อยแบบคอมมิวนิสต์ผูกขาด คำสั่งคำไหนคำนั้น ไม่มีข้อยกเว้นทั้งลูก...และพ่อ

“พรุ่งนี้อย่าลืมนัด” ลูกน้ำพูดกับปืนแล้วหันกลับมาที่ธีมตัวน้อย “สวัสดีคุณพ่อกับพี่นภสิจ๊ะ”

รอยยิ้มของหญิงสาวทำเอาเด็กชายชวิศห่อไหล่ลงทันที ผลจากระบอบเผด็จการที่ว่าทำให้ไม่กี่นาทีต่อมา ปรายฟ้าก็จากไปพร้อมกับเด็กชายตัวจ้อยที่ยังมุ่ยหน้าไม่เลิก ส่วนธีม...แม้จะออกอาการชัดแจ้งว่าไม่อยากกลับ แต่ดวงตาดื้อแพ่งของเด็กน้อยที่ดูจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่กลับชวนขันในสายตาของผู้เป็นพ่อยิ่งนัก

“เฮ้อ...อยู่ใกล้กับคนเอาแต่ใจตัวเองนี่ลำบากนะ ว่าไหม ?” เสียงทุ้มที่คุ้นหูดูจะผ่อนคลายลงจนเป็นโทนเสียงที่ติดอยู่ในความทรงจำ ปืนเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้กับเขา “หิวไหม ?”

ผิวสีแทนที่ดูจะคล้ามแดดขึ้น เสียงทุ้มอ่อนโยน และรอยยิ้มที่คุ้นตาตรงหน้าทำให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย และแม้แต่ตัวนภเองก็อธิบายไม่ถูกว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่คืออะไร

“ก็นิดหน่อย งั้น...เดี๋ยวขอไปซื้อก่อนนะ” นภลุกขึ้นแต่มือกว้างของปรมะกลับคว้าข้อมือเขาไว้

“นายกินอันนี้ก็ได้ เพิ่งซื้อมา ยังไม่ได้กินเลย”

ศีรษะของปรมะโคลงมาทางจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ เห็นแบบนั้น คนที่ยืนขึ้นจึงจำต้องนั่งลงอีกครั้งด้วยความเกรงใจ นภนั่งมองนิ้วมือทั้งสองข้างของปืนแกะกล่องกระดาษออก ก่อนที่มือกว้างจะหยิบขวดซอสมะเขือเทศขึ้นมาพร้อม ๆ กับประกายสีดำอุ่นอ่อนซึ่งตวัดขึ้นมาหยุดจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของตน

“ยังชอบกินซอสมะเขือเทศอยู่หรือเปล่า ?”

นภอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก

ความเงียบที่เป็นคำตอบทำให้รอยยิ้มของอีกฝ่ายฉีกตัวกว้างขึ้น ปรมะบีบซอสมะเขือเทศลงไปบนจาน หยิบแท่งมันฝรั่งจุ่มซอสจนชุ่มแล้วค่อย ๆ ยื่นมันมาจนใกล้ริมฝีปากคนที่นั่งตรงข้าม

“กินสิ”

นภกลั้นหายใจนั่งนิ่ง

“อุตส่าห์ป้อนเลยนะ”

คนถูกป้อนกดใบหน้าลง จ้องมองแผ่นอกแน่นของปรมะที่ขยายตัวด้วยลมหายใจที่สูดเข้าปอดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ที่สุดของระดับสายตานั้น ริมฝีปากอิ่มซึ่งล้อมกรอบด้วยไรหนวดอ่อนกำลังโค้งตัวเป็นรอยยิ้ม ทุกอย่างกำลังเปลี่ยน...เปลี่ยนไปสู่เหตุการณ์เก่า ๆ ที่เคยทำให้นภเจ็บปวด

“ไม่เป็นไร เรากินเองได้”

“เถอะน่า” อีกฝ่ายพยักเพยิด ไม่ล้มเลิกความคิดจนสุดท้ายนภก็ยอมละทิฐิให้จบเรื่องไป

นภกัดเฟรนช์ฟรายส์จุ่มซอสมะเขือเทศไปเพียงครึ่ง หากแต่สัมผัสที่รู้สึกบนปลายลิ้นกลับมีเพียงรสชาติของความทรงจำมากมาย

มีเพียงไม่กี่ครั้งหรอกที่ความเจ็บปวดทำให้นภอยากหนีปัญหา และเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นได้ หากทิมคือคนที่ทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะกลับมากรุงเทพตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา

คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็คือคนที่ทำให้นภต้องหนีจากกรุงเทพไปเรียนต่อที่เยอรมัน

นภตอบตัวเองไม่ได้ว่าความรู้สึกในตอนนี้คืออะไร มันคงเป็นส่วนผสมระหว่างความดีใจ สุขใจ ตื่นเต้น ประหลาดใจ ที่แฝงด้วยเจ็บปวดและความหวาดกลัวในอัตราส่วนที่สมมาตรกัน เท่ากันทุกอย่างจนสรุปไม่ได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกอย่างไรแน่

ปืนส่งเฟรนช์ฟรายส์อีกครึ่งที่เหลือจากนภเข้าปากตนเองแล้วส่งยิ้มแบบที่เจ้าตัวมักจะทำตอนสมัยเรียน นภหยุดสายตาอยู่บนรอยยิ้มนั้น มองดูนิ้วโป้งที่เกลี่ยปาดเกลือเม็ดเล็ก ๆ ออกจากหยักปากสีแดงฝาดอย่างเชื่องช้าด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ นภต้องหยุดมัน จบเรื่องทุกอย่างก่อนที่ความรู้สึกของเขาจะกลับไปเป็นแบบเดิม

“เรื่องพรุ่งนี้...”

“นานแล้วนะที่ไม่ได้นั่งคุยกันสองคนแบบนี้” ปรมะพูดแทรกขึ้นเบา ๆ รอยยิ้มชวนมองยังคงแต่งแต้มเหนือริมฝีปากอิ่มเอิบนั้น

นภเลื่อนสายตาขึ้นไป พยายามเลี่ยงรอยยิ้มนั้นจึงเผลอสบประสานกับแววตาที่คุ้นเคยตรงหน้า ก่อนที่เข็มนาฬิกาจะหมุนย้อนกลับ ร่างสูงโปร่งก็รีบเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วนิ่งเงียบ แม้ทุกอย่างจะดูปกติไม่มีอะไร แต่ในหัวใจของนภกลับเต้นแรงเหมือนเจียนจะระเบิด ใบหน้า...แขนขา...แม้กระทั่งอวัยวะทุกส่วนของร่างกายจู่ ๆ ก็ร้อนผ่าวเหมือนจะมอดไหม้

นี่เป็นเพราะเขายังไม่ชินกับอากาศร้อน ๆ ของกรุงเทพใช่ไหม ?



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ ตัวละครหลักออกมาครบแล้ว เส้นเรื่องเริ่มชัดแล้วว่าใครจับคู่กับใคร
จากนี้ไปคิดว่าน่าจะจำกันได้ง่ายขึ้นครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน ติดตามตอนต่อไปนะครับ :)

+ 1 สำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ คำแนะนำ และความเวิ่นร่วมกันครับ 5555

ป.ล.1 ตัวละครออกครบแล้วนะครับ จากนี้ไปน่าจะอ่านง่ายขึ้นแล้วววว :mew3:
ป.ล.2 พี่สิงห์ไม่ใช่ช่างแอร์ในตำนานนะ! สงสารอานนท์เถอะ 55555555
ป.ล.3 นัง เอ๊ย! น้องแม็กซ์ปลายสัปดาห์นะขอรับ
หัวข้อ: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 08-04-2014 22:10:37
น่าติดตามทุกคู่เลย
อยากรู้ปมหลังของรักสามเส้า เราสามคนอ่ะ ปรมะ ลูกน้ำ นภ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 08-04-2014 23:15:04
 :heaven ในที่สุดก็เข้าใจความเป็นมา พออ่านแยกๆคู่แล้วงงมาก ไม่รู้เป็นอยู่คนเดียวรึเปล่า
พอกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่แรกก็ชักจะสนุกละ มันเริ่มเข้าใจ55

คู่หนึ่ง-อาร์มนี่ชักจะสงสารหนึ่งแล้วอ่ะ อาร์มเหมือนคนหลายใจ :katai1:

คู่ดนัย-ตรีดูน่ารัก มุ้งมิ้งดีนะ

สงสารนภ ชีวิตนี้อะไรจะอกหักตลอดๆ สงสัยจะได้คู่กับปืน
เดาว่าก่อนหน้านี้ปืนกิ๊กกับลูกน้ำ และนภเป็นเพื่อนสนิทที่แอบชอบปืน
แต่สุดท้ายปืนก็ลงเอยลูกน้ำเพราะลูกน้ำท้องแน่เลย((เดาเอานะ))

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-04-2014 00:08:40
อาร์มนี่ยังไง เที่ยวกับแฟนแล้วมานัวเนียกับเพื่อน ถ้าไม่คิดก็อย่าเที่ยวทำให้ใครหวั่นไหวสิ
ตรี-นัทจะตีกันตายก่อนงานเสร็จ คนนึงก็กวนโอ๊ยอีกคนก็เครียดเกิน
ที่นึกไม่ถึงคือปืน-นภ แอบเจ็บเล็ก ๆ สินะ ชอบอิเด็กธีมจริง ๆ แสบมาก
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bobby_bear ที่ 09-04-2014 01:01:03
จนถึงตอนนี้ ก้หลงรักนิยายเรื่องนี้อย่างจังซะแล้ว
อย่างที่รู้กันว่านิยายในเล้ามีหลายแบบหลายสไตล์
นิยายเรื่องนี้เหมือนเรากำลังดูหนังประมาณ Love Actually ที่เนื้อเรื่องเกี่ยวพันทุกตัวด้วยเหตุการณ์หลัก
เดาว่าในหลังเรื่องนั้นคือ คริสมาสต์ เรื่องนี้ก็คงเป็นสงกรานต์
ชอบจัง

อ่านคู่หนึ่งอาร์มแล้วอยากตบกะโหลกอาร์มซักที
เข้าใจความรู้สึกของหนึ่ง มันก้ำกึ่งอ่ะ แบบจะเข้าตัวเองก็ทำได้ไม่หมด เพราะอีกฝั่งก็มีแฟนอยู่แล้ว
คือเคยตกอยู่สถานการณ์นั้น สุดท้ายคนที่เจ็บสุดก็คือฝ่ายหนึ่ง

คู่นภกับปืนก็น่าสนใจนะ
นภเป็นที่ฝังกับอดีตเยอะ แค่เจอปืนวันเดียวภาพในอดีตก็เต็มไปหมด
อยากรู้ว่าเรื่องคู่นี้จะเป็นยังไง

ตรีกับนัท เหอ ๆ ๆ ๆ
คู่นี้นี่น่าจะมัน 5555 ตรีนี่อีโก้อย่างเยอะ
น่าสนุก

ชอบมากครับ สัญญาว่าจะติดตามครับผม
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 09-04-2014 10:04:34
ตรีดูราชินีชอบกล หรือเราคิดไปเอง
เรื่องของปืนกับนภบีบใจมากกก คนรักเก่า หรือแอบรักเขาข้างเดียว เอ๊ะยังไง แล้วน้ำรู้อะไรมากน้อยแค่ไหน คืออยากรู้ กรี๊ดดด
ตอนแรกชอบคู่อาร์มมากก แต่ตอนนี้อยากอ่านปืนนภมากกว่าแล้ว มันคาใจ
จะว่าไปคู่อาร์มหนึ่งก็สงสารหนึ่งนะ นังอาร์มนี่ยังไง มาหลอกแต๊ะอั๋งทั้งๆ ที่มีแฟนอยู่แล้วเหรอ
เดี๋ยวจะโดนเพ่นกบาลล
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 09-04-2014 14:27:39
มีความรู้สึกว่า พงษ์พิพัฒน์ นี่น่าหมั่นไส้ม๊ากมากกกกก
อ่านแล้วอยากหยิกให้เอวเขียว โอ้ยยย หลงตัวเองงงงงงงงง 555555
เชียร์คุณดนัยค่ะ ขอให้สู้นะคะ ร้ายมาขอให้ร้ายกว่า คู่นี้ดูท่าจะร้อนจนลุกเป็นไฟ กร้ากกกก  :hao7:

แต่เราชอบอาร์มหนึ่งงงง แงงงงงงงงงงงงงงงง T___T
ทำไมให้ฟีลหวาน น่ารัก แล้วก็ดราม่าไปพร้อมกันได้ขนาดนี้ ฮือออออออออออ
อาร์มนี้ยังไง หนึ่งก็ดูพิเศษขนาดนั้น แต่ตัวเองก็มีระรินอยู่แล้ว โอ้ยยย ปวดใจหนึบๆ แทนหนึ่ง
แค่ชอบตอนอยู่หน้ากระจกมากเลย ฉากนี้พีคมาก แงงงงง T___T

ส่วนคู่ปืน นภ ตอนแรกเรานึกว่าจะเจอทิมซะอีก แอร๊ยยยยย
ลูกชายพี่ปืนน่ารักจังเลยค่ะ 55555555555 เป็นเด็กที่เซี้ยวมาก นั่นพ่อนะ ก้ากกกกก
มีความรู้สึกว่าความสัมพันธ์ปืน นภ ลูกน้ำ นี่มันต้องมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้นภไม่อยู่ไทย
แล้วลูกน้ำก็เลือกที่จะเลี้ยงลูกคนเดียวเป็นพ่อปรมะตัวดีนี่แหละ กลิ่นรักสามเศร้าเราสามคนลอยมา อรั้งงงง
ชอบบบบบบบบบบบ

ปาดเหงื่อ (เพราะอากาศร้อน 55555) รอติดตามตอนหน้าค่าาาา  :hao5:

หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 09-04-2014 15:15:58

อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนดูซีรี่ย์เลยอ่ะ
มีตัดสลับฉากไปมาสนุกดี

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: schneesturm_fubuki ที่ 09-04-2014 16:49:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: เรื่องนี้หลายคู่จนเกือบงง แต่ก็สนุกดีนะได้อ่านมุมมองงความรักหลายๆแบบ

อารมณ์ประมาณ Love actually อ่านมาจนถึงตอนที่สามรู้สึกว่าเราจะถูกจริตกับคู่ ปืน นภ ที่สุด (สองตอนแรกชอบ อาร์ม หนึ่ง)

เป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งในรอบหลายปี ที่ติ่งดราม่าชื่นชอบ

ปล. จะรอตอนต่อไปนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 10-04-2014 05:29:28

ตอนนี้ช่างแอร์ในตำนานไม่ออกมาเบย  :ruready คิดถึงอ่ะ อาร์มหนึ่งแอบหวานแต่ยังอึนและหน่วงอยู่อ่ะ ชอบแนวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อจัง ส่วนปืน(ทำไมนภเรียกทิว-แอบสับสน  :mew2: ) กับนภนี่งงๆนะ ตอนทร่เจอนภตอนแรกปืนเหมือนไม่อยากเจอ เพราะน้ำอยู่ด้วยเหรอ  :mew5: แน่พอน้ำกลับไปปืนเปลี่ยนโหมดเหมือนรุก+ยั่วนภ บอกไม่ถูกอ่ะ แต่ว่าถ่าปืนทำแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เรียนด้วยกันก็ไม่แปลกใจนะที่นภหนีไป-คือต้องการอะไรจากกรรรรรรู๊!!!  :z6:  ส่วนนัทกับตรีคู่นี้ท่าทางแรงอ่ะนะ ขิงเจิอข่าแล้วสินะ ท่าจะมันส์นะคู่นี้  :hao6:  ว่าแต่นังตรีนี่อ่านแล้วเหมือนนังแมกซ์ภาคคุณชายนะ คิือนางมโนทุกอย่างเข้าข้างตัวเอง และโลกต้องหมุนรอบตัวนางเลย นางดีสุด นางเริ่ดสุด ประมาณนี้ล่ะมั้ง  :hao3:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...กั บ ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 3 (Apr 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 10-04-2014 08:09:42
ทิมที่ว่า เป็นเรื่องนี้ป่ะ  ผมไ่ม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์

สรุปเอาตัวละคร ในหลายๆเรื่องของคนเขียนมาเป้น เรื่องพิเศษ ใช่ไหมครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 30-04-2014 19:07:17
สวัสดีครับ ต้องขอโทษจริงๆ ที่หายไป จู่ๆ ก็โดนงานเทหล่นมาทับจนขยับมาแต่งนิยายต่อไม่ได้เลย
ตอนนี้เริ่มเคลียร์ออกไปได้บ้างแล้ว แตว่าก็ยังไม่ทั้งหมดเลยรีบมาต่อก่อนครับ
ที่ต่อเรื่องนี้ก่อนเพราะว่าพอมีค้างไว้แล้วบางส่วน แต่เพิ่มอีกไม่เยอะเท่าไหร่
ส่วน LIE ขอเวลาอีกสักหน่อยครับ จะรีบมาไวที่สุดเนอะ ไม่นานครับๆ

จะว่าไปแล้วของเรื่องนี้นี่ลืมๆ กันหรือยังนะ ตัวละครยิ่งเยอะๆ อยู่
เยอะขนาดที่คนแต่งยังเบลอๆ จำไม่ได้ในบางทีเหมือนกัน 55555555
แต่ว่าเริ่มเข้าเนื้อเรื่องแต่ละคู่แล้วครับ หลังจากนี้จำไม่ยากแล้ว ตอนนี้มีสองคู่ ลองอ่านดูนะครับ


   

(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)





ตอนที่ ๔





รุ่งเช้า อานนท์หอบความสยองมาเต็มกระเป๋า ชายหนุ่มร่างเล็กมาถึงที่ทำงานในเวลาเช้ากว่าปกติและเลือกที่จะไปดักรอคุณโกวิท ผู้จัดการฝ่ายขายที่หน้าเครื่องตอกบัตรตรงทางเข้าก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

แม้จะไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากเหตุการณ์เผชิญหน้าอย่างไม่คาดฝัน แต่ที่จำได้อย่างแม่นยำก็คือเสียงตวาดเข้มและดวงตาดุเหมือนกับสิงโตซึ่งจ้องเหมือนจะขย้ำให้แหลกคามือ รู้ตัวอีกทีอานนท์ก็ตื่นขึ้นที่ห้องนอนของตัวเองในตอนเช้าเสียแล้ว

เขาวิ่งกระหืดกระหอบผ่านทางแคบ ๆ ที่วนเข้าด้านข้างของอาคารจอดรถ ทางที่ทั้งอับและมืดนี้แยกส่วนออกจากลูกค้าที่มาเดินห้างเพื่อเป็นทางเฉพาะพนักงานเข้าออกคอมเพล็กซ์ หัวใจของอานนท์กำลังสั่นพั่บ ๆ ด้วยอาการตื่นเต้น ขณะที่สองขาวิ่งพล่านไปทั่ว สองตาก็คอยชะเง้อมองหาหัวหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ความที่ลนลานจัดจนไม่ระวัง อานนท์จึงเผลอวิ่งไปชนกำแพงเข้า แรงปะทะทำให้เขากระเด้งไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นในทันที

“โอ๊ยยย...” ชายหนุ่มร้องเสียงยาว ฝ่ามือกุมตรงสะโพกด้วยความปวด และเมื่อแหงนหน้าขึ้น สิ่งที่ได้เห็นทำให้คนซุ่มซ่ามลืมความเจ็บจนร้องไม่ออก

ฉิบ - หาย - แล้ว

เพชรกล้าระบายลมหายใจตัวเองอย่างเหลืออด ดวงตาสีเข้มเรืองรองเหมือนจะฉาบด้วยเปลวไฟ อานนท์เพิ่งรู้ว่าความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ตัวเองชนเข้าเต็มรักนั้นก็คือหน้าอกของพี่สิงห์ และนั่นก็ห่างไกลกว่าจะเรียกได้ว่ากำแพงไปมากโข

“ขะ..ขอโทษ..ครับ” สองมือกระพุ่มไหว้โดยอัตโนมัติ เห็นทีจะไม่รอดชีวิตไปถึงคุณโกวิทเอาเสียแล้ว

เพชรกล้าพยายามข่มโทสะ ร่างสูงใหญ่ขบกรามแน่น เขม้นมองคนที่นั่งทรุดอยู่บนพื้น เห็นอีกฝ่ายยังอ้ำอึ้ง เอาแต่ไหว้ปลก ๆ มือขวาของชายหนุ่มที่สูงเป็นยักษ์ก็ยื่นออกไปคว้าคอเสื้อแล้วกระชากขึ้น พริบตา น้ำหนักหกสิบกิโล ฯ ของอานนท์ก็ลอยหวือขึ้นในอากาศเหมือนปุยนุ่น เด็กหนุ่มร่างเล็กกลืนน้ำลาย...เอื้อกใหญ่ มือไม้แข้งขาอ่อนปวกเปียกจนทำอะไรไม่ถูก

“จะสร้างปัญหาให้กับคนอื่นอีกนานไหม อานนท์ !”

“เปล่าครับ...ผม...ขอโทษ”

เพชรกล้าจ้องเขม็งกลับพลางนึกค่อนในใจในความไม่ได้เรื่อง ร่างสูงใหญ่คลายมือจากคอเสื้อ ยังไม่ทันจะปล่อยนิ้วมือทั้งห้าออกดี อานนท์ก็โงนเงนแล้วทรุดลงไปนั่งพับกับพื้นใหม่ นายช่างใหญ่พรูลมหายใจด้วยความรำคาญลูกตา “อ้อนแอ้นเสียจริง เป็นผู้ชายประสาอะไร”

“อูยยย...เจ็บ” อานนท์ร้อง ยกมือจับข้อเท้าที่ดันกระแทกพื้นอีกรอบ

สบตากับดวงตาที่ชื้นไปด้วยน้ำตา อารมณ์ที่เริ่มเย็นลงของเพชรกล้าก็เดือดขึ้นปุด ๆ “คราวนี้อะไรอีก มันเป็นอะไรนักหนา !”

“ไม่เป็นอะไรครับ”

“สรุปว่าไม่เป็นอะไร ?” เพชรกล้ามองอย่างชั่งใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางอวดเก่งที่น่ารำคาญของคนตรงหน้า เขาก็ทรุดตัวนั่งลงแล้วเอื้อมมือออกไปจับข้อเท้าอานนท์ช้า ๆ แล้วเริ่มออกแรงบีบเต็มแรง

มือที่แข็งเป็นคีมของคนตรงหน้าเล่นเอาอานนท์ทำหน้าเหยเก อยากร้องออกมาใจจะขาด แต่ก็ฝืนเงียบไว้ด้วยไม่อยากถูกด่าว่าอ้อนแอ้นขี้โรคให้ได้ขายขี้หน้าอีก

เพชรกล้าอ่านความรู้สึกนั้นออกทุกอย่าง ริมฝีปากยิ้มแสยะด้วยรู้สึกสาสมใจ “ก็ดี ถ้าไม่มีธุระอะไรช่วยรีบตามมาที่ห้องช่างด้วย เข้าใจใช่ไหมว่าฉันไม่ได้มีเวลาทั้งวัน”

อานนท์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่สิงห์ให้ตามไปที่ห้องทำไม แต่พอจะเอ่ยปากถาม ผู้ชายหน้าเข้มคนนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไปเสียแล้ว ชายหนุ่มได้แต่มองข้อเท้าตัวเอง รู้สึกปวดตุบเหมือนถูกเหล็กร้อนจี้ และเมื่อเปิดปลายขากางเกงออกดูก็มีเพียงรอยบวมแดงและอาการที่เริ่มชาไม่รับรู้อะไร

ห้องช่างอยู่ถัดจากทางเข้าพนักงานส่วนพลาซ่าไปประมาณห้าร้อยเมตร เป็นทางเบี่ยงแคบ ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยลมร้อนที่เป่าออกจากท่อเครื่องปรับอากาศของคอมพล็กซ์ กลิ่นของน้ำยาเคมี ประกายไฟบัดกรี และเสียงกระทบของโลหะตลอดเวลาจนอานนท์เริ่มเวียนหัว เท้าซ้ายของเขาก็เริ่มแปลบขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งปวดจนแทบไม่อยากก้าวขาต่อเมื่อมาถึงประตูห้องช่าง

“มาหาพี่สิงห์ใช่ไหม อยู่ด้านในโน่น” ฝ่ายธุรการของช่างเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วบุ้ยหน้าไปด้านใน แต่เมื่อเห็นท่าเดินกระเผลกของอานนท์ เขาก็รีบลุกขึ้นมาช่วยพยุง “นี่โดนอะไรมาเนี่ย”

“คือเมื่อกี้หกล้มนิดหน่อยน่ะ”

“แล้วไหวไหม ถ้าปวดมากลาพักไม่ดีกว่าเหรอ เห็นพี่สิงห์บอกว่าจะมีคนมาอบรมพิเศษวันนี้ก็ไม่คิดว่าจะเจ็บมาด้วย”

“พอไหว ๆ แค่อบรมคงไม่เป็นไร” เห็นอีกฝ่ายมองเหมือนแย้ง อานนท์ก็ยิ้มแหย “คือผมเป็นคนซุ่มซ่ามน่ะ เจอแบบนี้จนชินแล้ว เรื่องเล็กเดี๋ยวก็หาย แต่อบรมนี่สิเรื่องใหญ่ ฟังเท่าไรมันก็ไม่เข้าหัว ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยจะได้ ก็เลยต้องอดทน พยายามหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ตามเขาไม่ทัน”

ฟังแล้ว คนที่ช่วยพยุงอยู่ก็หันมาส่งยิ้มให้ “โอเค เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ถ้าไม่ไหวหรือมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ ผมชื่อตูน เป็นแอดมิน ดูพวกเอกสารในออฟฟิศช่าง อานนท์ใช่ไหม”

คนถูกถามยิ้มแฉ่ง พยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ถามหน่อยสิ พี่สิงห์นี่แกเป็นคนโหดมากไหม”

“โธ่...ถามอะไรก็ไม่รู้”

ห้องทำงานของเพชรกล้าเป็นห้องที่ไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศแบบห้องธุรการ พื้นที่แคบ ๆ แออัดไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากประเภทจนแทบไม่มีที่ยืน อานนท์ยืนอยู่นิ่ง ๆ มองผู้ชายร่างยักษ์ตรงหน้าที่เคลื่อนไหวไปมาราวกับว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนเอง กระทั่งเจ้าของห้องที่กำลังวุ่นวายอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง

“คิดว่าฉันต้องมาทำงานในวันหยุดเพื่อมามองใครสักคนมายืนทำหน้าโง่แบบนั้นเหรอ อานนท์”

แม้จะยังกลัวอยู่บ้าง แต่อานนท์ก็เริ่มชินแล้วกับเสียงตวาดและถ้อยคำเชือดเฉือนของพี่สิงห์ ชายหนุ่มค่อย ๆ กระย่องกระแย่งเดินเข้ามาหาผู้ชายตัวโตในชุดบอยเลอร์สูทของช่าง แต่ข้อเท้าที่ปวดจนบวมเปล่งทำให้ผู้ชายตัวเปี๊ยกอดไม่ได้ที่จะร้องโอ๊ยขึ้นมาเบา ๆ เป็นระยะ

“จะเป็นจะตายขึ้นมาเชียว ทำไม ? พอได้อ้อนตูนแล้วรู้สึกติดใจหรือไง ?”

“เปล่าครับ” อานนท์ตอบหน้ายุ่งแล้วนั่งจ๋องลงข้าง ๆ จอมโหด

“ไม่รู้หรอกนะว่านายโกวิทเห็นอะไรในคนไม่ได้เรื่องแบบนี้ ถึงขนาดออกปากขอร้องเองให้ช่วยอบรมต่อ ดูจะมั่นใจเหลือเกินนะว่านายจะทำได้”

คนที่ดูก่นด่านั่งเงียบ พอปะติดปะต่อเรื่องได้ อานนท์รู้ดีกว่าทั้งคู่ไม่กินเส้นมาแต่ไหนแต่ไร และถ้าคนแบบหัวหน้าเขาถึงกับยอมออกปากไหว้วานกับพี่สิงห์ นั่นแปลว่าคุณโกวิทเชื่อมั่นในคนไม่เอาอ่าวแบบเขา และนั่นทำให้อานนท์บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ เขาจะไม่ทำให้หัวหน้าต้องเสียหน้าและผิดหวังเป็นอันขาด

“ผ..ผมจะตั้งใจครับ ผมจะทำให้ได้”

เพชรกล้ามองหัวไหล่เล็ก ๆ ที่สั่นพั่บไม่หายแล้วนึกขำ “เอาเถอะ ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็ได้รู้กันก่อนถึงสงกรานต์นี่แหละ”

พูดจบพี่สิงห์ก็หัวเราะ อานนท์ทำหน้างง ไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจยิ่งกว่าก็คือรอยยิ้มของคนตรงหน้า ว่ากันว่าพี่สิงห์เป็นคนจริงจังจนเหมือนคนไม่มีความรู้สึก ไม่พูดเล่น ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะกับใคร แม้อานนท์จะรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังย้อนแย้งกับทุกคำพูดที่ได้ยินมานั้นคือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในความโง่เขลาไม่ได้เรื่องของตนเอง ถึงอย่างไรภาพตรงหน้านั้นก็คือรอยยิ้มไม่ผิดเพี้ยน และนั่นก็ทำให้อานนท์เริ่มจะลืมท่าทีเกรี้ยวกราดตลอดเวลาที่ผ่านมาไปเอาดื้อ ๆ

“มองอะไร”

“เปล่า...เปล่าครับ”

“งั้นฟังนี่” อานนท์มองคนตรงหน้าที่หยิบหาอะไรบางอย่าง “ทุกวันนี้แอร์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟมากที่สุด ไฟฟ้ามากกว่าร้อยละ 60 ที่เสียกันก็มาจากแอร์ที่เห็นนี่แหละ ดังนั้นการจะซื้อตัวผลาญเงินแบบนี้สักเครื่องมาไว้ที่บ้านเลยเป็นเรื่องที่ลูกค้าจะคิดรอบคอบกว่าโปรโมชั่นสินค้าทั่วไป ประหยัดไฟไหม ทนทานหรือเปล่า”

พี่สิงห์ขยับเข้ามาใกล้ เริ่มหยิบอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นมาอธิบาย กลิ่นฉุนอ่อน ๆ ที่ไม่คุ้นลอยคลุ้งขึ้นในจมูก อานนท์มองหัวเข่าที่เบียดกัน รู้สึกถึงความใกล้ชิดและบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าในระยะใกล้ คิ้วเข้มของพี่สิงห์ดูหนาและเรียงตัวกว่าคิ้วของเขามาก จมูกที่มีสันหยักก็ดูเป็นผู้ชายไม่เหมือนของเขา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรูปร่าง มาลีมักบอกว่าเขาเป็นผู้ชายประเภทจิ้มลิ้มกระจุ๋มกระจิ๋ม คำพูดนั้นดูชัดเจนขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายแบบลูกผู้ชายของพี่สิงห์ ไม่นับรวมกับประสิทธิภาพของร่างกาย ถ้าต้องทำงานในห้องอับที่ไม่มีแอร์แบบนี้ อานนท์คงเป็นลมล้มพับในไม่กี่ชั่วโมง แต่พี่สิงห์คนนี้กลับดูมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด ฝ่ามือกว้างที่กร้านหยาบ ผมหยักศกที่ชื้นกระเซิงไปด้วยเหงื่อ และดวงตาอันมุ่งมั่นคู่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ทำให้อานนท์ลืมภาพเก่า ๆ ที่เคยเห็นของพี่สิงห์ไปเสียหมด

“หน้าฉันมีอะไร”

“เปล่าครับ” คนตัวเล็กสะดุ้ง อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เหมือนขโมยที่โดนจับได้ แต่อานนท์ก็แค่แอบมอง ไม่ได้ทำอะไรเสียหายหรือคิดร้ายอะไรนี่นา

“อานนท์ !”

“เปล่านะครับ เปล่า ๆ ไม่มีอะไร”

“ถามว่าสรุปว่าพัดลมส่งลมเย็นกับพัดลมระบายความร้อนต่างกันยังไง วันนี้จะได้คำตอบไหม !”

พอได้ยินชัด ๆ อานนท์ก็อ้าปากค้าง ชายหนุ่มพยายามนึกถึงเสียงที่อาจพอตกค้างอยู่ที่ไหนสักแห่งในหยักสมอง จนแล้วจนรอดก็พบแต่ความว่างเปล่าที่โหดร้าย “คือ...”

“ตอบ !”

“ตอบ ๆ ตอบแล้ว” อานนท์ร้องลั่น “มันก็คือ...พัดลมเหมือนกันไม่ใช่เหรอพี่สิงห์ ?”

ใบพัดลมโลหะฟาดโป๊กเข้าที่กลางหัวทันที คนตัวเล็กยกมือขึ้นจับหัวตัวเอง เจ็บน้อยกว่าที่คิด แม้จะไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจแต่หัวแข็งก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่อานนท์พอจะยืดแบบเงียบ ๆ ได้ มันเกิดขึ้นหลังจากโดนใครต่อใครรุมเขกหัวแต่เด็ก ทั้งยาย พ่อแม่ คุณครู แม้กระทั่งเพื่อน พอโดนบ่อย ๆ ก็ชิน แล้วพอชินก็เริ่มรู้สึกว่าปกติธรรมดา

คนบางประเภทก็ต้องเจ็บก่อนถึงจะจำ เพชรกล้าคิดแบบนั้น ร่างสูงใหญ่ตวาดเสียงเข้มด้วยความโมโหก่อนจะยิ้มเย้ย “เจ็บไหม !”

แต่คนบางประเภทนั้นไม่ได้นับรวมอานนท์ คนถูกฟาดหัวยกสองมือขึ้นลูบกระหม่อมป้อย ๆ ดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กน้อยอ่อนเดียงสาที่ถูกหวดก้นแบบไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร “ไม่ค่อยเจ็บครับ พอทนไหว”

เพชรกล้าชะงัก เกิดมาเขาไม่เคยพบเคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน ตาคู่นั้นบอกว่าคนพูด...พูดทุกคำจากใจจริง ไม่ได้ตั้งใจยวนประสาทแม้แต่น้อย และนั่นก็เล่นเอาหัวหน้าช่างจอมโหดทำอะไรต่อไม่ถูก “ถามให้สำนึก ไม่ใช่ให้ตอบ !”

“อ้าววว...” อานนท์ทำหน้างง “ผมไม่รู้”

“โอ๊ย...มันโง่เป็นวัวเป็นควายอะไรขนาดนี้ !”

นี่ก็ชินแล้ว อานนท์นั่งมองตาใส เขาโดนยายด่าแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ (แน่นอนว่าบางครั้งมาลีก็ด่า) เหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และชายหนุ่มร่างเล็กก็นั่งมองพี่สิงห์ที่เริ่มออกอาละวาดทำลายข้าวของในห้องด้วยความรู้สึกชินชา มีเพียงสิ่งเดียวที่ดูจะต่างต่างกว่าทุกครั้งก็คือความรู้สึกแปลก ๆ เวลาเห็นผู้ชายร่างยักษ์ตรงหน้า

“ในหัวมันเป็นสมองหรือขี้เลื่อย !” เพชรกล้าอาละวาดพร้อมยิ้มหยัน

อานนท์รู้สึกกระตุก ถึงมันจะแฝงแววเย้ยเยาะแต่ก็ไม่ชิน...ยังไม่ชิน...ไม่ชินสักครั้ง...กับรอยยิ้มของคนคนนี้


   
(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 30-04-2014 19:09:09
(ต่อครับๆ)




ดนัยเหลือบมองเข็มนาฬิกาที่ข้อมือขวาของตัวเองแล้วกลับมาเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะอย่างอารมณ์ดี จนมัยมนัสที่นั่งประชุมอยู่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

“อากาศมันร้อนถูกใจหรือไง วันนี้ถึงยิ้มอารมณ์ดีแต่เช้า”

คนอารมณ์ดีที่ว่าเงยหน้าขึ้นมองคนที่ส่งเสียงถาม มัยมนัสหรือคะน้า เป็นผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ซึ่งนั่นทำให้ดนัยที่เป็นผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดซึ่งมีหน้าที่ดูแลพวกสื่อโฆษณาและภาพลักษณ์ทั้งหมดขององค์กรต้องประสานงานด้วยบ่อย ๆ

นอกจากใบหน้าที่ถูกชะตาแล้ว รุ่นพี่คนนี้ยังเป็นผู้ชายที่มีนิสัยน่ารักเหลือเชื่อ เรียกได้ว่าเป็นแบบที่เขาชอบทุกอย่าง หลายปีก่อนดนัยเคยแม้ถึงกระทั่งตามจีบ ปลูกต้นรักเป็นเวลานานหลายเดือน หมั่นรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายที่ได้เด็ดดอมกลับกลายเป็นแห้วหลายไร่ คราวนั้นเล่นเอาเขาเสียความมั่นใจไปไม่น้อย ถึงขนาดล่วงเลยมาหลายปีก็ยังไม่คิดจะมีใคร

“ปกติก็ยิ้มแบบนี้ตลอดนะ”

“ไม่ใช่มั้ง” คนฟังส่ายหัว อมยิ้มน้อย ๆ “นัทก็น่าจะรู้ว่าพี่พอจะคุ้นเคยกับคนนิสัยประเภทนี้เป็นพิเศษไม่ใช่หรือ”

“พอก่อน” ดนัยยกมือห้าม “โอเค ผมรู้ว่าพี่คุ้นเคยแค่ไหน แต่อย่าพูดถึงพี่ทิมอะไรนั่น...ได้โปรดเถอะ แค่ได้ยินชื่อก็เซ็งแล้ว”

คะน้าหัวเราะ พอจะรู้ว่าเจ้าตัวโดนแผลงฤทธิ์อะไรใส่ไว้จนขยาด “สรุปว่ามีเรื่องดี ๆ อะไร ?”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่รอเวลา” ดนัยตอบอย่างแจ่มใส

ประมาณเก้าโมง...น่าจะเก้าโมง ไม่เกินนี้

ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม ความสุขเบ่งบานจนเก็บไม่มิด เมื่อคืนหลังจากที่แยกกับตรี พงษ์พิพัฒน์ เขาก็โทรล้อบบี้บริษัทโฆษณาหลายแห่ง รวมไปถึงฝ่ายโฆษณาของสถานีด้วย ออกอุบายนิดหน่อยว่าเรตติ้งของรายการเช้านี่ที่ประเทศไทยไม่กระเตื้องมาหลายเดือนแล้ว ในขณะที่คู่แข่งรายการประเภทเล่าข่าวสถานีอื่นกลับปรับเปลี่ยนกุลยุทธ์กันมากมาย แล้วรายการที่ไจแอนท์โคล่าให้การสนับสนุนอยู่จะไม่ทำอะไรแปลกใหม่ให้กับรายการเลยหรือ

“ถ้าปรับให้ดูมีความแปลกใหม่ขึ้น มันก็จะตรงกับสิ่งที่ไจแอนท์โคล่ามองหา งบที่เหลืออีก 15 ล้านปีนี้ผมจะได้มีที่ลงเสียที”

“จริงหรือครับ ความแปลกใหม่คือคอนเซ็ปต์ของเช้านี้ที่ประเทศไทยเลยครับ แบบนี้คุณนัทคิดว่าทางรายการควรจะปรับอะไรดีครับ”

“ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรายการทีวีหรอกครับ”

“เราทำให้คนแบบคุณนัทดูนี่แหละครับ ไม่ใช่ทำให้คนทีวีดูกันเอง เอาแบบนี้สิครับ ถ้าเป็นคุณนัทคิดว่าอะไรที่ควรจะปรับให้มันดูสดใส ทันสมัยขึ้น”

“พวกรายการเล่าข่าว สำคัญก็ที่พิธีกรหรือเปล่าครับ”

คำตอบนั้นเป็นแค่หมัดแย็บที่น่าจะทำให้มึนกันไปบ้าง ดนัยมั่นใจว่าเช้านี้ จะเป็นเช้าที่ร้อนระอุยิ่งกว่าเช้าวันไหน ๆ ของตรี พงษ์พิพัฒน์เลยทีเดียว

มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาก็แค่ทำงานของตัวเอง ในเมื่ออะไร ๆ มันไม่สมน้ำสมเนื้อกับที่เสียไป เขาก็แค่จะเอาที่ส่วนที่สมควรได้คืนให้บริษัทตามเกมกติกา และด้วยระยะเวลาอันจำกัด พงษ์พิพัฒน์คนนั้นย่อมไม่มีทางเลือกอื่นเว้นแต่จะหันกลับมาทุ่มเทให้กับไจแอนท์โคล่าเต็มที่

อุณหภูมิร้อนขึ้นกว่าเมื่อวานอีกหนึ่งถึงสององศา ชายหนุ่มจิบคาปูชิโนเย็นแล้วคลายปมเนคไทออก ดนัยคิดว่าฤดูร้อนปีนี้น่าจะเป็นสังเวียนเดือดของธุรกิจเครื่องดื่มและไอศกรีมอย่างแน่นอน

เก้านาฬิกาสี่สิบห้านาที คะน้าละสายตาจากเข็มนาฬิกาที่ค่อย ๆ หมุนไปตามจังหวะของมัน หลายนาทีที่ผ่านมา เขาเห็นเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องเอาแต่ผุดลุกผุดนั่ง คอยจ้องโทรศัพท์มือถือ หน้าตาที่ดูยิ้มกริ่มเมื่อครู่เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และยิ่งนานอาการกระสับกระส่ายก็ดูจะรุนแรงขึ้น ดนัยหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาดูด พอเห็นว่ามันหมดเกลี้ยงไปนานแล้วก็โยนทิ้งลงถังขยะอย่างหัวเสีย

ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้นแล้วถอนหายใจขึ้นในความว่างเปล่า เขาทรุดตัวลงนั่งดูสรุปตัวเลขด้วยอาการหงุดหงิดแต่ยังไม่ทันจะพลิกหน้ากระดาษแผ่นใหม่ ประตูห้องประชุมก็เปิดออกพร้อมกับผู้ชายร่างสูงสง่าในชุดสูทอย่างดีพร้อมกระเป๋าถือแบรนด์เนมใบใหญ่ ดนัยเงยหน้ามองร่างสูงสมส่วนที่ยืนเชิดหน้าราวกับคุณชาย รู้สึกว่าการรอคอยสิ้นสุดเสียที

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจแฮะ

ดนัยยกมือขึ้นลูบคางตัวเองเบา ๆ แล้วส่งยิ้มให้ดาน่า ครีเอทีฟสาวของรายการยืนหน้าแห้งอยู่ด้านหลังตรี เดิมทีเดียวเขาแค่คะเนว่าจะได้รับแค่โทรศีพท์นัดไปคุยงานแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียที ใครจะคิดคนอวดดีแบบนั้นจะโผล่มายืนคอตั้งอยู่ในออฟฟิศเขาแบบนี้

“เพราะคุณไม่รับโทรศัพท์ และผมรู้ว่าไจแอนท์โคล่าคงรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งที่ผมแวะมาประชุมเกี่ยวกับงานถ่ายถึงออฟฟิศ จริงไหมครับคุณบอมบ์”

ดนัยโคลงหัวอย่างไม่ใส่ใจ “สองสิ่งที่คุณควรรู้คือ...หนึ่ง...ไม่มีโทรศัพท์ของคุณมาถึงผม และสอง...ผมชื่อนัท”

ข้อแรกชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ แต่พอถึงข้อสอง พงษ์พิพัฒน์ทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ “ไม่จริง เมื่อวานคุณเองบอกว่าชื่อ...อะไรสักอย่าง เอาเถอะครับ ผมมีทางออก ทำไมคุณไม่เปลี่ยนชื่อเป็นบอมบ์ล่ะ ?”

ดนัยคิ้วกระตุก เขาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดแล้วยกมือขึ้นกอดอก

“โอเค คุณชื่ออะไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อเช้าผมโทรเข้าที่ออฟฟิศคุณแล้วแต่สุภาพสตรีสุดสวยคนนั้นก็บอกว่าไม่มีคนชื่อบอมบ์ที่ออฟฟิศนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความผิดผม และ...คุณต้องเข้าใจว่าเทปแรกของไจแอนท์โคล่าจะถ่ายตอนหกโมงเย็นวันนี้ ผมอยากประชุมเรื่องไอเดียที่ไม่ธรรมดาของคุณคร่าว ๆ เราจะร่วมกันคิดโปรเจ็กต์นี้ด้วยกัน”

“คือ...คุณนัทคะ ดาน่าบอกแล้วแต่น้องตรีเธออยากเข้ามาด้วยตัวเองค่ะ” เห็นสีหน้าลำบากใจของหญิงสาว ดนัยก็โบกมือบอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“นี่คุณคะน้าครับ เป็นซีเนียร์เมเนเจอร์ฝ่ายการตลาด” ดนัยแนะนำ ดาน่ายกมือไหว้อ่อนหวาน ทว่าตรี พงษ์พิพัฒน์กลับชะงักไปสามวินาที

“ชื่อเก๋ มีสไตล์ ไม่เหมือนคนอื่น” พงษ์พิพัฒน์ก็พูดขึ้นในที่สุด “หรือผมควรเปลี่ยนชื่อบ้างดีนะ ที่ผ่านมาผมลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย จริงสิ ! คิดว่า...ฟัวกราส์ดีไหมครับ ผมว่าให้ความรู้สึกหรูหราแบบยุโรปดี”

ดาน่าทำท่าเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ดนัยทำท่าไม่สบอารมณ์ แต่คะน้ากลับดูจะนึกสนุกไปด้วย ชายหนุ่มจับตาดูดนัยมาตั้งแต่แรกที่ผู้ชายชื่อตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ก้าวเข้ามาในห้อง แม้รุ่นน้องเขาจะแสดงออกว่าเฉยชาหรือกระทั่งฉุนเฉียว แต่นัยน์ตาที่วาวระยับนั้นกลับซ่อนความจริงไม่ได้แม้แต่น้อย

“เข้าเรื่องเถอะครับ พูดธุระของคุณมา คุณตรี” ดนัยพูดแทรกขึ้น

“โอเค เราจะเริ่มประชุมกันเดี๋ยวนี้” ตรีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้ว selfie ภาพตัวเองกับนัทและคะน้าไปสี่ห้ารูป จากนั้นก็เลือกรูปที่ดีที่สุดอัพรูปขึ้นอินสตาแกรมหน้าตาเฉย “เช้านี้มีมีตติ้งกับลูกค้าที่ออฟฟิศไจแอนท์โคล่า ประชุมเครียด อากาศร้อนจัง เสร็จแล้วก็แท็กไปที่สถานี แล้วก็พี่จ๊อด โปรดิวเซอร์ แล้วใครอีกดีนะ”

พึมพำกับตัวเองเสร็จ ตรีก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่เหลือในห้องประชุม พอเห็นทุกคนทำท่างงเหมือนรออะไร พิธีกรรูปหล่อก็พูดต่อ

“ประชุมกันเลยครับ” ริมฝีปากของตรีคลายออกจนกลายเป็นรอยยิ้มแบบมืออาชีพ จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบมือถือขึ้นมาดูใหม่ “โอ๊ะ...พี่จ๊อดกดไลค์แล้ว !”

ดนัยพ่นลมหายใจอย่างเหลืออด “เลิกทำอะไรไร้สาระแล้วหันมาทำงานเสียที มันหน้าที่ของคุณไม่ใช่หรือที่จะเสนอโครงการมา”

“คือเรื่องนี้...” ดาน่าอ้าปากจะพูด แต่ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับยกมือขึ้นห้าม

“โธ่...คุณนุ้ยครับ เอ๊ะ...หรือวัฒน์ คุณเชษฐ์ โอเค ! คุณ...whatever คือผมอยากจะทำความเข้าใจว่าชีวิตจริงมันไม่เหมือนที่เห็นในละครหรอกครับ เรื่องประชุมออกไอเดียมันเป็นไปตามบทบาท ส่วนหน้าที่จริง ๆ ของผมก็คือแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเรามีประชุมที่สำคัญมาก และที่สำคัญมากเพราะมีผม...ซึ่งทำหน้าที่การประชาสัมพันธ์ให้คนนับแสนได้รู้”

“คุณพูดอะไรของคุณ นั่นมันสคริปต์รายการใหม่หรือไง” ดนัยเสียงเข้มอย่างไม่เชื่อหู

“ยิ่งกว่านั้นอีกครับ อันนี้เป็นของจริง เมื่อเช้ามีใครสักคนบอกว่าผมดูไม่มีภาพลักษณ์ของความเป็นรุ่นใหม่ ทันสมัย คล่องแคล่วพอ และตอนนี้ผมก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่ามันไม่เป็นความจริง”

“ยังไง ?”

“อัพรูปลงไอจี”

“แล้วมันช่วยคุณได้ตรงไหน ?”

ดวงตาของพงษ์พิพัฒน์เบิกกว้างเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน “คุณดูคนกดไลค์สิ สามร้อยกว่าคนในเวลาไม่ถึงสองนาที ไม่คิดว่านี่เป็น epic moment เหรอ My Gosh...ทำงานแบบนี้คุณต้องอัพเดทบ้างนะครับ”

ริมฝีปากของดนัยเม้มเน้น สักพัก เกมในแท็บเล็ตที่คนที่อัพเดทข่าวสารตลอดเวลากำลังเล่นอยู่ก็ส่งเสียงน่ารำคาญจนปวดหัว ตรี พงพษ์พิพัฒน์ คนคนนี้หลุดมาจากโลกไหนกัน !

ดนัยเลื่อนสายตาขึ้นไปมองชุดสูทสามชิ้นพอดีตัวแบบยุโรปที่ตรีสวมใส่อยู่ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบถูกสวมทับอีกชั้นด้วยเสื้อกั๊กพอดีตัว แล้วทับอีกชั้นด้วยสูทเบรเซอร์สุดเนี้ยบ เขามองไล่ไปถึงกระเป๋าแบรนด์เนมใบโตที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้าของของมัน นั่นคือสร้างความเกะกะให้กับเขา

“นี่คุณรีบร้อนออกมาจากกอง พร้อมเสื้อผ้าเต็มยศแบบนี้นั่นนะ”

“ไม่ครับ ผมมาจากบ้าน คุณคงไม่คิดหรอกนะว่าเสื้อผ้าทีมงานจะใช้อิตาเลียนคัทแบรนด์หรูอย่างนี้”

“แล้วคุณใส่แบบนี้ออกจากบ้านเนี่ยนะ”

“ผมมีประชุมสำคัญกับคุณ และ First Impression เป็นเรื่องสำคัญเสมอนะครับ”

“ในเดือนเมษายน ที่กรุงเทพซึ่งอากาศร้อนแบบนี้นั่นหรือ”

พงษ์พิพัฒน์วางแท็บเล็ตในมือช้า ๆ แล้วหันมาถอนหายใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ เกิดเป็นคนมีชื่อเสียงมันไม่ง่ายเลย”

ดนัยส่ายหัวเหมือนคนเจียนจะคลั่ง ขอพักศึกชั่วครู่เพราะมึนจนขี้เกียจจะหาความต่ออีกแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นหยิบกระเป๋าใบโตที่วางเกะกะอยู่บนโต๊ะแล้วตั้งท่าจะยกวางลงกับพื้น

“หยุด...หยุดก่อนครับ ! นั่นคุณจะทำอะไร ?” ตรีทำหน้าตาตื่น

“ผมทำงานไม่ได้ถ้ามีกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้มาวางกองบนโต๊ะประชุม”

“งั้นวางมันลงช้า ๆ เบา ๆ นะครับ คุณกำลังเข้าใจผิด เพราะมันไม่ใช่แค่กระเป๋า”

“มีของที่แตกได้อย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่ครับ ไม่มีของที่แตกได้ แต่สิ่งที่คุณกำลังถืออยู่มันสำคัญกว่านั้น”

ดนัยมองกระเป๋าในมือแล้วถามด้วยความสงสัย “แล้วมันอะไร”

ตรี พงษ์พิพัฒน์ไหวศีรษะไปมาอย่างเหนื่อยใจ ชายหนุ่มกระชับปกเสื้อสูทอิตาเลียนคัท ยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะพูดเสียงทุ้มจริงจังซึ่งเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ

“มันคือหลุยส์ วิตตอง”

พูดจบ ดนัยก็โยนกระเป๋าที่ถืออยู่ในมือลงกับพื้นดังโครมอย่างไม่คิดเสียดาย



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



เริ่มเข้าเส้นเรื่องของแต่ละคู่แล้ว น่าจะพอเห็นบรรยากาศของแต่ละคู่และเนอะ
สำหรับตอนต่อไปจะเป็นคู่อาร์ม – หนึ่ง / ปืน – นภ / ชาฮิด – ภีม นะครับ
จะรีบไปแต่งเร็วไว แต่ขอคั่นด้วย LIE ก่อนสักตอนนะครับ ค้างไว้นานแล้ว
+ 1 ให้กับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: LiqueuR ที่ 30-04-2014 19:51:56
ชอบเรื่องนี้ ฮี่ๆๆ

 :z2:

รออ่านนะค่ะะะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 30-04-2014 20:34:06
นาย ทำไมเลาหมั่นไส้ตรีจังเลยยย
/เอาหลุยส์ วิคตองแช่น้ำรัว ๆ ด้วยความหมั่นไส้
เชื่อว่านัทเองก็คิดเหมือนกัน
แล้วนี่จะรักกันยังไงไหว ดูท่าทางตรีไม่สนใจอะไรนัทเลยสักนิดเนี่ย
ส่วนคู่พี่สิงห์กับอานนท์น่ารักดี เคะเรื่องนี้เหมาะกับคำว่าโง่แบบไม่มีข้อสงสัย
ล้มลุกคลุกคลานสอนกันให้รู้เรื่องนี้
เหนื่อยใจแทนสิงห์จริงๆ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: schneesturm_fubuki ที่ 30-04-2014 21:30:16
 :hao5: :hao5: :hao5: สงสารน้องนนท์ พี่สิงห์ แกหฤโหดไปนะ
หมั่นไส้ ตรี และรอ ปืน นภ คริคริ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 30-04-2014 21:45:05
พี่สิงห์น่ากลัวจริงๆ 55555555555555

โอ้ยยย สงสารอานนท์ ชีวิตไม่ค่อยดี พี่สิงห์ทั้งดุทั้งด่า
แต่น้องน่ารักค่ะ นางไม่หือ ไม่อือ เป็นเคะตัวน้อยใสซื่อ โอ้ยยยย น่ารัก
ชอบตอนโดนเขกหัว ดีนะที่ตอบมาแบบนั้นแล้วพี่สิงห์ไม่พ่นไฟใส่
เอาน้ำแข็งใสมั้ยคะ? เผื่อจะได้ลดความรุ่มร้อนทางอารมณ์ลงบ้าง ถถถถถ  :hao7:

ส่วนอีกคู่นี้ คุณตรียังทำตัวน่าหมั่นไส้เหมือนเดิมเลยค่ะ โฮกกกกกกกกกก
อยากจับนางมาหยิกเอวมาก โอ้ยยย หมั่นนนนน ขอแบรนด์เนมใบนั้นจากคุณดนัยได้มั้ยคะ?
ไม่ต้องเสียแรงทุ่มพื้น เดี๋ยวเลาเอาไปจุดไฟเผาให้เอง 5555555555555 นี่หมั่นไส้มาก
เอาใจช่วยคุณดนัยอีกที ขอให้สู้นะคะพี่ อย่าไปยอม!

รอตอนหน้าค้าบบบบ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 30-04-2014 22:39:16
เฮโฮ! คงต้องอ่านใหม่อีกสักรอบค่ะ
คนอ่านยังงงๆโก๊ะๆอยู่ >_<   :ling1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-04-2014 23:36:19
คู่สิงห์-นนท์ บางทีก็แอบเห็นใจพี่สิงห์เหมือนกันนะ คือบางทีน้องก็...ก็โง่นั่นแหละ
ส่วนตรี-นัทหรือนัท-ตรี เอิ่ม ขอแนะนำให้ตบกันเลยดีกว่าค่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 01-05-2014 01:09:14
ผีสิง เอ้ยพี่สิงห์ โคตรโหด :ling3:
น้องเค้าก็แค่บื้อบ้างอะไรบ้างเท่านั้นเอ้ง55

คู่ตรี-ดนัยมาจากเรื่องของน้องคะน้าหรอเนี่ย ลืมสังเกตไปเลย
อยากให้พระเอกเป็นตรีจังเลย ชอบพระเอกกวน.... :m20:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 01-05-2014 01:49:26
อ่านแล้ว ตึ๊บเลย คือ...จำตัวละครไม่ได้ ลืมไปหมดแล้ว
ต้องไปค้นสมุดโน้ตที่จำได้ว่าเคยเขี่ย(มันสวยงามเป็นระเบียบมากกกก)แผนภูมิตัวละครไว้
ทำความเข้าใจใหม่ รื้อฟื้นออกมาจากก้นบึ้งเลยล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

เห็นว่าตอนหน้าจะมีชาฮิด+ภีม นี่มันเด็กน้อยไม่ใช่เหรอ อะไรยังไง???
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 02-05-2014 20:42:09
ละลานตาจริง ๆ  หลายคู่มว๊าก

ชอบคู่นนท์กับพี่สิงห์ที่สุด

หนึ่งกับอาร์มนี่เป็นอะไรที่โดนมาก ๆ

ตรีนี่กวนส้นสวด ๆ แอบเข้าข้างคุณนัท

รออ่านคู่ชาฮิดกับน้องภีม ชาฮิดนี่ต้องตาสวยขนตางอนแน่ ๆ

แอบรำคาญนภอะ ไม่ชอบคนคาแร็คเตอร์แบบเนี้ย ถ้าเจอในชีวิตจริงจะรีบหลีกให้ไกล

สนุกฝุด ๆ ฮะเรื่องนี้


ปล. ยังรอตอนใหม่ของพี่รุตน์กะอีแม๊กซิมอยู่นะครัช



หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 14-05-2014 23:24:37

รอตอนใหม่ครับผม    :m5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 4 (Apr 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 30-05-2014 01:51:14
 :catrun:

เลาจะลอ ตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 08-06-2014 22:02:09
สวัสดีครับ ต้องขอโทษจริงๆ ที่หายไปนานเลย พอดีวุ่นกับภารกิจมากมาย
พอมีเวลาว่างเลยปั่นยิบตามาก่อนครับ ฮ่าๆ
สัปดาห์หน้าจะพยายามเปิดโรงงานนรกปั่นมาอัพให้ได้อ่านกันอีกไวๆ ครับ
ขอบคุณมากๆ ที่ยังติดตามอ่านกันนะครับ เป็นเรื่องที่ตัวละครเยอะมาก
เยอะชนิดว่าคนแต่ง แต่งเองยังลืมเองเลยครับ +_+ ฝากตอนต่อไปด้วยนะครับ




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)





ตอนที่ ๕




เป็นเวลาสิบโมงกว่า ขณะที่อมริตากำลังช่วยคุณนุชนารถ เจ้าของร้านตรวจรับตู้กดไอศกรีมแบบเหลวที่จะเอามาลงที่ร้าน ชาฮิดก็ออกมานั่งเล่นกับลิ้นห้อยและร้อนแฮ่ก สุนัขพันธุ์ทางที่อยู่ในซอยแบบทุกครั้ง เด็กชายตัวน้อยของสตางค์ผู้เป็นแม่มาซื้อตับปิ้งให้กับขนเกรียนทั้งสอง คิดว่าลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กคงหิวน่าดูถึงมานอนกระดิกหางส่งตาละห้อยอยู่หน้าร้านอาหารแบบนี้

"อย่าแย่งกันนะ" มือเล็กๆ ลูบไปบนหัวร้อนแฮ่กก่อนส่งตับปิ้งให้ รับไปได้ เจ้าขนเกรียนสีขาวก็คาบของโปรดออกไปแอบแทะที่มุมอับริมเสาไฟฟ้าไม่ห่างออกไป ขณะที่ลิ้นห้อยจอมขี้เกียจนอนแทะตับปิ้งอยู่กับที่สบายใจเฉิบ

เมื่อเช้าพี่ชายใจดีคนนั้นไม่ได้แวะให้ตับปิ้งกับลิ้นห้อยและร้อนแฮ่กแบบทุกครั้ง เช้านี้พี่คนนั้นดูรีบร้อนแปลกๆ สีหน้าเป็นกังวลไม่เหมือนทุกวัน ชาฮิดเห็นเขาวิ่งหน้าตั้งผ่านเจ้าสี่ขาทั้งสองตัวไป เจ้าหูตั้งได้แต่ร้องหงิง ๆ มองตาละห้อยด้วยความผิดหวัง ชาฮิดเห็นพี่ชายคนนั้นครั้งแรกในตอนที่เขากำลังส่งกระดูกไก่ให้เจ้าหมูอ้วนสองตัวนี้แล้วส่งเรียกว่าลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่ก ชาฮิดเคยคุยกับพี่ชายใจดีคนนั้นครั้งสองครั้งเรื่องมันทั้งสองตัว แต่ก็ไม่เคยถามว่าชื่ออะไร เพิ่งจะมานึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อก็ตอนที่นึกจะสงสัยขึ้นมานี้เอง

สำเร็จโทษไปหนึ่งไม้ ลิ้นห้อยก็ยกขาสะกิดหน้าแข้งเด็กน้อยตาคม ชาฮิดยกมือบ๋อแบ๋ อยากจะให้มากกว่านี้แต่แม่จำกัดงบมาแค่ตัวละไม้เท่านั้น ลิ้นห้อยลงไปนอนกลิ้งเอาหัวถูรองเท้าประจบเต็มที่ หางแกว่งเรี่ยพื้นเหมือนไม้กวาดตอนที่แม่ใช้กวาดบ้าน ส่วนร้อนแฮ่กหลังจากหม่ำเสร็จแล้วก็เริ่มขุดต้นไม้ข้างทางเล่นไปตามประสา ในตอนนั้นเองที่ชาฮิดเห็นผู้ใหญ่สองคนจูงมือเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับเขาเดินตรงมาที่ร้าน พวกเขาเด่นสะดุดตากว่าจะเป็นคนที่อยู่อาศัยในละแวกนี้ คนผู้ชายถึงจะดูเซอร์แต่ก็สูงหล่อมาแต่ไกล ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็สวยมีเสน่ห์ ตาคมชวนมอง

อย่างกับ อมิตาบ บาห์จัน ควงมากับ ไอศวรรยา ไร ยังไงยังงั้น !

ดวงตากลมโตของชาฮิดเลื่อนไปมองเด็กชายที่สูงไล่กับเขาที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ไม่แปลกใจเลยที่เด็กคนนั้นจะดูดีกว่าเด็กทั่วไป ผิวขาวอย่างกับไม่เคยโดนแดด ผมสั้น จัดแต่งเป็นทรงด้วยเจล ขนคิ้วดำแต่ไม่เป็นสีเข้มจัดและหนาแบบเขา ทุกอย่างเหมือนถูกย่อส่วนจนกลายเป็นของกระจุ๋มกระจิ๋มชวนมอง ถึงขนาดที่ทำหน้ามุ่ยแบบนั้นยังอดไม่ได้ที่จะแอบเหล่ดูสักนิดเลย ที่สำคัญ เด็กคนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าลายการ์ตูนเบ็นเท็น (ชาฮิดชอบดูถึงขนาดมีนาฬิกาข้อมือไว้ฝึกแปลงร่างแบบพระเอกที่บ้าน) คิดแล้วก็ได้แต่อิจฉา ชาฮิดอยากรู้ว่าถ้าตัวเองถูกจูงมือด้วยคนที่หน้าตาดีแบบนั้นจะรู้สึกแบบไหนกันนะ เขาคงจะยืดโก้เอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนได้เป็นสัปดาห์

ชาฮิดเผลอมองอย่างลืมตัว แล้วจู่ ๆ เด็กคนนั้นก็หันมาสบตาเขา สักพัก จากหน้าที่บึ้งตึงกลายเป็นยิ้มเบิกบานทันตา ชาฮิดนึกถึงดอกไม้ตอนที่ค่อย ๆ แย้มออก สดใส น่ารัก และอยากเข้าไปใกล้ ๆ ตอนนั้นเองที่เด็กชายตัวเล็กกว่าเขาคนนั้นดึงมือออกจากอมิตาบ บาห์จันและไอศววรยา ไรแล้ววิ่งโบกมือมายังเขา ชาฮิดค่อย ๆ ยกมือโบกตอบโดยไม่รู้ตัว

"ชื่ออะไรน่ะ"

"ชาฮิด" คนถูกถามยิ้มแฉ่งตอบ

"ชาอะไรนะ"

"ชาฮิด"

"ชื่ออะไรแปลก ๆ" เด็กชายคนนั้นมุ่ยหน้าแล้วย่อตัวนั่งลง จากนั้นก็ลูบหัวลิ้นห้อย "ไอ้หมูเอ๊ย ทำไมแกไม่ชืิ่อให้มันเรียกง่าย ๆ หน่อย ชานม ชาเขียวอะไรก็ได้"

ชาฮิดยิ้มเก้อ เข้าใจแล้วว่าชื่อที่ถูกถามคือชื่อหมาไม่ใช่ตัวเอง

"เอ่อ...ถ้าหมาน่ะ มันชื่อว่าลิ้นห้อย ชาฮิดชื่อฉันเอง"

เด็กคนนั้นมองตาขวางมาทางชาฮิด หลิ่วตาลงทำนองว่าใครจะไปอยากรู้ชื่อกัน แต่พอหันกลับไปมองลิ้นห้อยก็หัวเราะสดใสแบบเดิม เจ้าลิ้นห้อยก็ช่างกระไร หงายพุงขึ้นให้เกาแล้วหลับตาพริ้ม กวนประสาทเสียจริง

"ลิ้นห้อย ๆ ชื่อนี้เหมาะกับแกเสียจริง อ้วนเอ๊ย"

ชาฮิดมองลิ้นห้อยห้อยลิ้นแดงแจ๋หล่นมาข้างปาก แหม...สบายอกสบายใจเสียจริงนะ

"ยังมีอีกตัว ชื่อร้อนแฮ่ก อยู่ตรงโน้น" ชาฮิดยกมือขึ้นชี้

"ร้อนแฮ่กเหรอ ร้อนแฮ่กอยู่ไหน"

เด็กแปลกหน้าคนนั้นชะโงกหาทันที ชาฮิดตั้งใจจะเรียกร้อนแฮ่กแต่คนที่สวยเหมือนไอศวรรยา ไรกลับดึงไว้แล้วก้มหน้า โน้มตัวลงมาถามชาฮิด "ฮัลโหล น้องอยู่ร้านนี้หรือเปล่าจ๊ะ" เด็กน้อยพยักหน้าตอบ "ตายจริง ดูสิปืน เด็กอะไรก็ไม่รู้ หล่อแต่เด็กเลย หน้าคม ยิ้มสวย มาดูใกล้ ๆ สิ ตาสวยมาก ขนตายาวกว่าน้ำอีก"

อมิตาบ บาห์จันที่เหมือนจะชื่อว่าปืนมองมาทางเขาแล้วยิ้มให้แบบขรึม ๆ ชาฮิดกำลังยืนงง ในละแวกชุมชนที่เขาอาศัยอยู่ เด็กคนไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนเคาะมาจากพิมพ์ ผิวสีแทน คิ้วเข้มคม มีดวงตาที่กลมและโต แต่ชาฮิดชอบมองคนผิวขาวมากกว่า เด็กชายชอบตาเล็ก ๆ แบบครอบครัวคนจีนมากกว่าตาที่กลมเป็นไข่นกกระทาแบบคนเชื้อสายอินเดียที่เห็นจนชินมาตั้งแต่เกิด

"คุณนุชนารถอยู่ไหม" ผู้ชายคนนั้นถาม

ชาฮิดพยักหน้าอีกครั้ง แล้วมือกว้างอย่างกับจะหุ้มศีรษะได้ทั้งหัวก็วางลงบนผมชาฮิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไป วูบหนึ่ง หัวใจชาฮิดอบอุ่นขึ้นประหลาด เด็กน้อยหงายสองมือตัวเองขึ้นดู มันช่างเล็กจ้อยจนเทียบไม่ได้กับฝ่ามือนั้นเลย

ถ้าพ่อยังอยู่ มือของพ่อจะกว้างและอบอุ่นแบบพี่ชายคนนี้ไหมนะ ?

"สุดหล่อ...เรียกเรานั่นแหละ ชื่อว่าชาฮิดใช่ไหม" ไอศวรรยาที่เหมือนจะชื่อว่าน้ำเรียกชาฮิด เด็กน้อยพยักหน้า "เป็นเจ้าของร้านตัวน้อยหรือเปล่านะ"

"เปล่าครับ ผมมาช่วยแม่ทำงานตอนปิดเทอมเฉย ๆ"

แล้วจู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เอานิ้วชี้จิ้มหัวเด็กผู้ชายที่นั่งเล่นลิ้นห้อยอยู่จนเกือบคะมำ "หัดมีมารยาทบ้าง แนะนำตัวเองบ้างสิจ๊ะเจ้าตัวแสบ"

"ไม่ !"

"งดไก่ทอดเคเอฟซีเย็นนี้" เธอยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะคางตัวเองแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าแสบกำลังจ้องหน้าชาฮิดจนตาแทบถลน

"น้าชื่อลูกน้ำนะ จะเรียกว่าน้าน้ำก็ได้ ส่วนเจ้าหน้ามะเหงกนี่ชื่อว่าชวิศ ชื่อเล่นว่าธีม ถึงตัวจะเปี๊ยกแบบนี้แต่ก็สิบเอ็ดขวบแล้วนะ สุดหล่ออายุเท่าไหร่แล้วครับ"

"สิบสองครับ"

"สนิทกับพี่ชาฮิดเข้าไว้นะธีม" น้าลูกน้ำพูดแล้วก็เดินเข้าร้านไป

ชาฮิดยืนเก้อ ๆ อยู่สักพัก เพื่อนใหม่ก็พูดเสียงขุ่นขึ้นมา

"บอกไว้ก่อน ฉันไม่คิดจะเรียกพี่หรอกนะ เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน" ชาฮิดยืนอึ้ง "แล้วเมื่อไหร่จะเลิกจ้องเสียที มันน่ารำคาญนะ ไม่เคยเห็นคนเหรอไงกัน"

ด้านในร้าน ปรมะเดินเข้ามาก็เห็นนุชนารถกำลังยุ่งอยู่กับการติดตั้งตู้กดไอศกรีม ทันทีที่เห็นเขา เธอก็ส่งสัญญาณบอกให้รออีกสักพัก ปรมะมองไปรอบ ๆ ร้าน ไม่กี่อึดใจต่อมาปรายฟ้าก็เดินมาสมทบ ซึ่งเป็นช่วงที่มีราตัวน้อยยกแก้วน้ำเย็นออกมาเสิร์ฟให้กับทั้งสอง

"ตายจริง น้องสาวของชาฮิดหรือเปล่าคะ หน้าเหมือนกันเลย ตาโตน่ารักมาก"

มีรากระถดตัวถอยหลัง เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มเขินแล้วรีบวิ่งไปหลบหลังอมริตาผู้เป็นแม่ ในเวลานั้นนุชนารถก็เดินมาหาทั้งคู่ ปรายฟ้าจึงไม่คิดจะถามต่อ

"ไงจ๊ะ ไม่ได้แวะมาซะนาน"

"พี่นุชสบายดีนะครับ" นุชนารถพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันไปหยุดที่ปรายฟ้า "นี่ลูกน้ำครับ เอ่อ...ภรรยาผม"

"แค่อดีตน่ะค่ะ" ปรายฟ้าฉีกยิ้ม ตอบฉะฉานพร้อมหัวเราะตามแบบฉบับของเธอ "คุณนุชคงไม่ได้คิดจริง ๆ ใช่ไหมว่าจะมีผู้หญิงคนไหนทนอยู่กับผู้ชายทึ่ม ๆ แบบปืนได้นาน ๆ"

นุชนารถยิ้มตอบ เธอพอรู้เรื่องที่ปรมะเคยแต่งงานแล้วมาบ้างแต่ก็ไม่รู้ลึกไปถึงรายละเอียด ในตอนนั้นเธอแค่คิดว่าคงเป็นฝ่ายปรมะแน่แท้ที่เป็นฝ่ายสลัดรักจากผู้หญิง วันนี้ได้มาเห็นปรายฟ้า นุชนารถคิดว่าที่ผ่านมาเธอคงคิดผิดมาโดยตลอด ดูเหมือนเกมจะพลิกเป็นฝ่ายปืนที่คอยเป็นธุระห่วงใยให้ลูกน้ำตลอด แต่คิดแล้วก็น่าขัน ปรายฟ้าคนนี้เป็นผู้หญิงที่พูดจาหยิกเหน็บได้ตรงจุดเสียจริง บางครั้ง นุชนารถก็คิดว่ารุ่นน้องสุดเซอร์ของเธอออกจะตรงจนทึ่มไปเสียหน่อยอย่างเธอพูดนั่นแหละ

"ร้านน่านั่งมากเลยนะคะ ถึงจะกะทัดรัดแต่ก็ให้บรรยากาศที่รู้สึกเหมือนเป็นที่ของเราจริง ๆ มีมุมที่อยากจะนั่งฝังตัวอยู่แบบนั้นทั้งวันจนไม่อยากจะลุกไปไหน ถ้ามีหัวกว่านี้สักนิด น้ำคงจะเปิดร้านแบบนี้ที่เชียงใหม่แน่ ๆ"

นุชนารถยิ้มขอบคุณ รู้สึกว่าปรายฟ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองจินตนาการก่อนหน้านี้สักนิด ตรง ดูมั่นใจก็ใช่ แต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาที่ดูมีเสน่ห์ประหลาด นุชนารถไม่รู้สึกถึงความก้าวร้าว ไม่น่าคบอะไรจากผู้หญิงตรงหน้าคนนี้เลย "พี่ลงเครื่องทำซอฟต์ไอศกรีมพอดี อากาศร้อน ๆ แบบนี้น่าจะดีกับลูกค้า มีเด็ก ๆ มาช่วยก็น่าจะเหมาะ เฮ้อ...ปีนี้มันร้อนอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้"

"แต่เด็กคงดูแลไม่ได้หรอกนะครับ มีหวังเจ้าธีมได้ทำเครื่องพังแน่"

"ว่าจะรับเด็กรายวันมาดูน่ะปืน เดี๋ยวพรุ่งนี้คงติดประกาศ เอาเฉพาะช่วงหน้าร้อน อยากขายพวกลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่ได้นั่งกินที่ร้านด้วย"

ปรายฟ้าเดินสำรวจไปทั่ว ก่อนจะเอนตัวลงไปนั่งกับโซฟาแล้วทำท่าจะเอนตัวนอน ปรมะที่เห็นเข้าก็ทำหน้าเหนื่อย ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปปราม แต่จู่ ๆ ปรายฟ้าก็พูดขึ้น

"น้ำสมัครได้ไหมคะ ชักจะติดใจบรรยากาศร้านนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก"

ปรมะยกมือตะปบหน้าผากตัวเองอย่างอ่อนใจ ขณะที่นุชนารถกลับดูจะสนใจในสิ่งที่ปรายฟ้าโพล่งขึ้นมา

"ไม่ทำเครื่องเจ๊งหรอกน่า" เธอยักคิ้วให้เขา "ยังไงเสีย น้ำก็ต้องมาส่งธีมที่นี่อยู่ดี น้ำชอบคุณนุช ชอบบรรยากาศของร้านนี้ แถมพี่น้องคู่นั้นก็น่ารักอย่างกับตุ๊กตา ชื่ออะไรนะ ชาคริต"

"ชาฮิดกับมีราค่ะ ลูกของอมริตานั่นน่ะ" นุชนารถบุ้ยใบ้ไปทางหญิงสาวร่างเล็กชาวอินเดียในชุดแม่ครัว ปรายฟ้าหันไปยิ้มให้อมริตาแล้วทำปากบอกเธอว่าลูกน่ารักมาก อมริตาโค้งขอบคุณแล้วเดินเข้าครัวไป ปรายฟ้าหันมาโน้มน้าวนุชนารถต่อ "นะคะคุณนุช น้ำอยากลองทำ"

ปรมะตั้งท่าจะปรามแต่นุชนารถกลับพูดว่า "เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่พี่จะไม่มีเงินจ้างคุณน้ำเอาน่ะสิคะ"

"ค่าจ้างสักบาทก็ไม่เอาค่ะ น้ำทำเพราะแค่อยากทำอะไรแปลก ๆ บ้าง แต่ไม่ทำครัวนะคะ ทำไม่เป็น ไม่เสิร์ฟด้วยค่ะ เดี๋ยวจะทำจานแตกให้ขายขี้หน้าเอา เฝ้าแค่ตู้พอ ถ้าแค่กดไอศกรีมแบบนี้น้ำคิดว่าคงพอไหว"

"ไม่เอาน่าน้ำ"

"เงียบเถอะน่า ผู้หญิงเขาจะคุยกัน"

นุชนารถหลิ่วตามองหน้ายุ่ง ๆ ของปรมะแล้วลอบหัวเราะ เธอชักจะถูกชะตาความตรงไปตรงมาที่ดูแปลกไม่สนใจโลกของปรายฟ้าเข้าให้แล้วสิ



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



"ไม่เป็นไรนะ เราอยู่ตรงนี้ไง"

ระหว่างเสียงทุ้มที่ดังขึ้นที่ข้างหูกับเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นอยู่ในตอนนี้ พิธานไม่รู้ว่าเสียงไหนจะได้ยินชัดไปกว่ากัน ลำพังทรงตัวให้มั่นคงบนจักรยานก็ถือว่าเป็นเรื่องลำบากแล้ว แต่ต้องฝืนทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติไม่มีอะไรด้วยถือว่าเป็นเรื่องยากเหลือเกิน

"ทรงตัวได้ยัง" อริยะถามอีกครั้งที่ข้างหู ชิดจนขาแว่นฝังลงบนแก้มของเขา

พิธานเกร็งคอจนกลืนน้ำลายไม่ลง เขาไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เลย พักหลัง ๆ การใกล้ชิดกับอาร์มเหมือนจะทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองแม้แต่น้อย เหมือนจะมีความสุข แต่ก็เหมือนกับทุกข์จนแทบทนไม่ไหวในเวลาเดียวกัน สุขที่ได้อยู่ใกล้ ได้รู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับตัวเขามากกว่าใคร ๆ แต่ก็ทุกข์ใจทุกครั้งที่เมื่อมองดูโลกความเป็นจริง ยิ่งสุขเท่าไรมันก็ยิ่งทุกข์เท่านั้นเมื่อเห็นอาร์มเดินกับริน กินข้าวกับริน ทำทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างกับรินไม่ต่างกับที่ทำกับเขา หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เหมือนกันก็คงจะเป็นสถานะ

คนหนึ่งแฟน อีกคน...เป็นแค่เพื่อน

"มันไม่เวิร์กหรอก ปล่อยเถอะ"

พิธานไม่รู้ว่านั่นเป็นประโยคที่พูดกับอริยะ "ปล่อยเถอะ การหัดขี่จักรยานมันไม่เวิร์กหรอก" หรือเป็นประโยคที่พูดกับใจตัวเอง "ปล่อยเถอะ หลอกตัวเองไปวัน ๆ อยู่แบบนี้มันไม่เวิร์กหรอก" กันแน่

"อีกนิดน่า มันจะต้องเวิร์กสิ ทุกอย่างมันก็มีอุปสรรคหมดแหละ อย่าเพิ่งยอมแพ้" อริยะพูด กระชับทั้งสองมือที่ประคับประคองศูนย์ถ่วงการทรงตัวอยู่ที่เอวของคนที่หัดขี่จักรยานอยู่ขึ้นอีกนิด "นะ มันเวิร์กแน่ ๆ ขอร้อง อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ"

มันจะเวิร์กเหรอ จะให้เขาแข่งกับอะไรเล่า แข่งเพื่ออะไร ทำอะไรแบบนี้เพื่ออะไร

"ไม่เอา เหนื่อยแล้ว พอแล้ว" เสียงแผ่วนั้นคล้ายว่าจะพูดกับตัวเอง

ดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นเจือไปด้วยแววผิดหวัง อริยะปล่อยมือทั้งสองข้างที่กุมเอวพิธานออกแล้วถอนใจ "เงียบไปเลย สัญญากันแล้ว"

"ไว้คราวหน้าแล้วกัน"

"คราวนี้แหละ ไปกับรินสองคนก็แปลก ๆ ไม่รู้จักคนในชมรมนั้นเลย แต่ก็อยากไปนะ ดูกรุงเทพตอนพระอาทิตย์ตกดินน่าจะสวยดี ถนนแถวกระทรวง ฯ ก็สวยด้วย"

พิธานก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีทั้งกับอริยะ...ทั้งกับความรู้สึกตัวเอง

เมื่อคืนเขาฝัน มันอาจชวนสะอิดสะเอียนสำหรับบางคน มันงี่เง่า เขารู้ มันโคตรงี่เง่าสิ้นดี ไม่มีเหตุผล ที่มาที่ไป แล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่มันก็ฝันแบบนั้นไปแล้ว โดยไม่เจตนา โดยไม่คาดคิดให้มันเป็นอย่างนั้นมาก่อน ในนั้น จู่ ๆ อาร์มก็เดินมากอดเขา สารภาพว่ารัก มันรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว เขาตกใจ แปลกใจ ดีใจ  ทำอะไรไม่ถูก กล้ามเนื้อหัวใจขยายตัวจนพองคับอก มันเหมือนดูคลิปวิดีโอในยูทูปที่เลือนลาง จำอะไรไม่ค่อยได้ คล้ายกับมีงานปาร์ตี้ที่แสนอลหม่านหมุนอยู่รอบ ๆ ตัว และที่กลางจุดศูนย์กลางของทุกอย่าง อาร์มจูบเขา โอบบ่า แล้วดึงเข้ามาซบ พูดตามนิสัยไม่มีลังเลแบบทุกครั้งว่าเป็นแฟนกันนะ ในตอนนั้นเหมือนอากาศของโลกทั้งใบกำลังอัดเข้าสู่ตัวเขา สูบเข้ามา...อัดเข้ามาจนแน่นจนเหมือนจะระเบิด แต่แปลกที่หัวใจมันก็ดูเหมือนจะพร้อมขยายรับพื้นที่มหาศาลแบบนั้นได้เรื่อย ๆ เพียงเพราะคำคำนั้น อาการคับไปทั้งอกที่ว่ายังคงลามมาถึงตอนเช้าที่ตื่น ก็รู้ว่าเป็นฝัน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาบ้ายิ้มอยู่บนเตียงไม่ลุกไปไหนอีกเป็นชั่วโมง ยิ้มโง่งมกับแสงแดดของฤดูร้อนที่เกลียดแสนเกลียด กอดหมอน ฟัดแล้วฟัดอีกแบบจะให้มันแหลกไปคามือ หลับตาแล้วฝันกลางวันบ้า ๆ บอ ๆ ว่ามันคือตัวอุ่น ๆ ของไอ้แว่นสุดเบื๊อกที่ยืนเสนอหน้าสอนเขาขี่จักรยานไม่รู้อะไรในตอนนี้ พวกเขานั่งโอบกันเงียบ ๆ ในที่ที่ไม่มีใคร เอาหัวพิงกัน สบตากัน แล้วต่างคนต่างก็ยิ้มเขิน มันคงไม่หยุดอยู่แค่นี้ถ้าไม่ใช่เพราะโทรศัพท์ของมันที่โทรมา เคยมีเวลาที่ทำตัวปัญญาอ่อนไหม คุยโทรศัพท์ไป เอานิ้วชี้จิ้ม ๆ วน ๆ อยู่บนหมอนตัวเองไป นั่นแหละ สิ่งที่เขาทำตอนที่คุยโทรศัพท์กับมันเมื่อเช้านี้

"ลองดูอีกสักตั้งไหม ถ้าจับจังหวะได้ ของแบบนี้มันก็ได้เลยนะ"

"ไม่แล้วละ ขี้เกียจ ไปกับรินสองคนเถอะ จะลากคนอื่นไปเป็น ก.ข.ค. ทำไม"

"โห...ขืนไปสองคนแบบนั้นมีหวังโดนล้อแย่"

พิธานก้าวขาลงจากจักรยาน เห็นแบบนั้น อริยะก็ทอดลมหายใจแล้วเดินอ้อมมาด้านหน้า มือทั้งสองข้างเอื้อมไปจับแฮนด์แล้วจูงไปใต้ร่มไม้ เดินไปข้าง ๆ กัน ต่างฝ่ายต่างเงียบไปสักพัก ก่อนที่คนซึ่งจูงจักรยานอยู่จะทำลายความเงียบด้วยรอยยิ้ม หัวใจของพิธานแกว่งเหมือนถูกจับโล้ชิงช้าขึ้นมาทันที

"อากาศร้อนเนอะ จะเผากันให้สุกเลยเหรอไง"

"วันก่อนทีวีก็เห็นก็บอกว่าจะร้อนกว่าทุกปี"

อริยะถอนหายใจแล้วถอดเสื้อมาม้วนพาดไว้บนหน้าขาตัวเอง "ไม่ไหวเลยเนอะ เหนียวเหนอะไปทั้งตัว"

คนที่นั่งข้าง ๆ เสมองไปอีกด้านโดยอัตโนมัติ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องทำอะไรงี่เง่าแบบนั้น

จักรยานถูกพิงไว้ใต้เงาไม้ มีแสงอาทิตย์แทงทะลุเพดานสีเขียวลงมาคล้ายกับจะบอกว่าการหลบหนีแดดในเมืองที่อุดมไปด้วยความร้อนแบบกรุงเทพนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกิน...การหนีจากความรู้สึกตัวเองก็คงไม่ต่างกัน

ที่เขาว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมันคงประมาณนี้ล่ะมั้ง ทั้งที่บอกตัวเองแล้วว่าจะเลิกสนใจ แต่วัชพืชที่เรียกว่าความไม่ซื่อสัตย์นี้ก็หยั่งรากลงแน่นเกินกว่าจะกำจัดให้หมดไปง่าย ๆ สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยลมหายใจแบบขาด ๆ เกิน ๆ แล้วจู่ ๆ อาร์มที่จับเสื้อกระพืออยู่ก็ร้องขึ้นพร้อมกับหันหน้ามาทางเขา

"โอ๊ย...หนึ่งช่วยถอดแว่นที"

"เป็นอะไร" พิธานถามพร้อมมองคนตรงหน้าที่หลับตาปี๋

"แสบ เหงื่อเข้าตา มือเลอะอยู่ ช่วยที เช็ดให้ด้วย"

"จะเช็ดให้ได้ยังไง มือก็เลอะเหมือนกัน"

"เถอะน่า แสบ เอาแว่นออกก่อน ไว ๆ เลย"

เขารีบทำตามที่บอกทุกอย่่าง พอแว่นถูกดึงออก อาร์มก็ฝังหน้าลงซบกับหัวไหล่ของหนึ่งทันที ตาขวาที่หลับอยู่ไถเบา ๆ กับแขนเสื้อตรงหัวไหล่ ให้ความอ่อนนุ่มของเนื้อผ้าซับเหงื่อบนตา คิ้ว ไล่ไปจนถึงหน้าผาก แล้วก็ซบค้างไว้แบบนั้นเหมือนนึกจะขี้เกียจขยับตัวขึ้นมาดื้อ ๆ

"ขอบใจนะ"

"เสร็จแล้วก็ออกไปซะที สกปรกโสโครก"

ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับหนึ่ง การทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่ลุกลน หรือพูดเฉยเมย ไม่แสดงความห่วงใยอะไรมากไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งพอจะทำได้ล้วนเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นจริง ๆ ทุกอย่างดูจะสวนทางกันไปหมด

"แค่นี้ทำเป็นรังเกียจ" อาร์มหัวเราะ เอาผมไถต้นคอเขาเบา ๆ แล้วแกล้งเขย่าหัวให้ผมชื้นเหงื่อจิ้มหน้าจิ้มตาให้รำคาญเล่น "ขนเม่นทิ่มคอ"

"ออกไปเลย"

"ม่ายยย..." เม่นปัญญาอ่อนลากเสียงยาวแล้วหัวเราะคิกในลำคอ อริยะยกสองมือขึ้นรวบเอวของพิธานไว้ไม่ให้หนีไปไหน เอียงแก้มลงแนบเหนือหน้าอกที่กำลังเต้นโครมคราม "ชอบกลิ่นนี้จริง ๆ นะ รู้สึกเหมือนเหมาะกับหนึ่งกว่า"

หัวใจของพิธานเหมือนจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ ทุกอย่างเงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง

"บ้าเปล่า มีแต่กลิ่นเหงื่อ"

"ถึงอะไรจะไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่เราจมูกดีนะ" อาร์มยกหัวขึ้นจากบ่าแล้วส่งยิ้ม ขณะที่หยิบแว่นขึ้นสวมกลับก็พูดไปเรื่อยเปื่อย "กลิ่นเดิมไม่ใช่กลิ่นเมื่อวาน ได้กลิ่นตั้งแต่ตอนสายที่เจอแล้ว ตอนนี้ก็ยังได้กลิ่นอ่อน ๆ อยู่เลย"

คนสวนแว่นเอาเสื้อพาดบ่าตัวเองแล้วลุกขึ้น อริยะสะบัดข้อเท้าไปมาแล้วยกมือขึ้นโอบบ่าพิธานไว้ "ไปขี่จักรยานกันต่อเถอะกัน"

"ขี้เกียจหัดถีบแล้ว ร่วงทุกที"

"ขี่ให้ หนึ่งซ้อนก็พอ"

ก็เป็นเสียแบบนี้ พิธานนึกค่อนกับตัวเองในใจ เขาไม่ได้ขี้เกียจจะขี่อะไรพวกนี้สักนิด เพียงแค่ไม่อยากจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนถูกเล่นกับความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงได้ตกหลุมรักเพื่อนสนิทเข้าเต็ม ๆ อย่างแน่นอน อริยะพาดเสื้อยืดตัวเองกับโครงเหล็กระหว่างแฮนด์จักรยาน บุ้ยหน้าไปทางข้างหลังเหมือนส่งสัญญาณให้ขึ้นซ้อนเสียที เอาวะ ช่างหัวปะไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยถีบเอง

"เวลาถีบจักรยานต้องอย่ากลัวจะล้ม มองไปข้างหน้า ไม่ต้องกังวลว่าจะทรงตัวได้หรือเปล่า แค่รักษาจังหวะของขาทั้งสองข้างให้พอดี ๆ กันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็พอ แล้วสักแป๊บมันก็จะรู้จังหวะไปเอง"

พิธานทอดถอนใจ อือออรับปากตามน้ำไป

"เกาะเอวเราไว้สิ จับเต็ม ๆ สองมือเลยจะได้ไม่สั่นไง"

"แค่เกาะก็พอใช่ไหม" พิธานมองอย่างลังเล ก่อนจะยกสองมือขึ้นเกาะเอวคนตรงหน้าแบบกล้า ๆ กลัว ๆ

"จับดี ๆ สิ ยังไม่ค่อยกล้าขึ้นไม่ใช่เหรอ"

"เออน่า" พิธานไม่ใช่คนโกหกเก่งเล่นละครแนบเนียบแบบนั้น คนมีชะนักติดหลังจะให้ทำเหมือนคนไม่คิดอะไรดูจะเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

เห็นท่ารั้งรอไม่ทำอะไรเสียที อริยะก็พักขาแล้วดึงทั้งสองแขนของเพื่อนรักเข้ามากอดตัวเองจนแนบไปทั้งตัว พิธานออกแรงขืนตัวไว้แต่จังหวะของอริยะดีกว่า แค่รวบข้อมือทั้งสองข้างแล้วกระตุก ร่างของพิธานก็คลอนไปข้างหน้า แนบตัวทั้งตัวเข้ากับแผ่นหลังอุ่น ๆ ของคนที่บังคับเหมือนถูกล็อกด้วยแม่กุญแจ

"กอดแบบนี้แล้วกัน" แล้วจักรยานก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อาร์มหลิ่วตามองมาทางด้านหลัง "เป็นไง รู้สึกอะไรไหม"

"อะไร"

"สมดุลย์ไง พอกอดแล้วตัวเราสองคนก็จะแนบกันใช่ไหม เราสองคนจะใช้สมดุลย์เดียวกัน สักพักก็จะเริ่มจับจังหวะมันได้ นี่ไง รู้สึกไหม จังหวะซ้ำ ๆ เท่าเดิม"

สายลมแตะแก้มทั้งสองข้างของพิธานจนร้อนผ่าว อุณหภูมิของร่างกายเหมือนจะระอุขึ้นจนใกล้เคียงกับแดด แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าใจตัวเองกำลังสั่นหรือเต้นคึกโครมอยู่กันแน่

"เกย์สัส จำเป็นไหมที่ต้องถอดเสื้อเนี่ย ไหนจะเหงื่อโสโครกนี่อีก"

"เจ็บว่ะ คู่จิ้นกันเขาต้องด่ากันขนาดนี้เลยเหรอ" อริยะหัวเราะชอบใจ ไม่ได้รู้สึกกระดากอายแม้น้อยนิด ไม่แม้แต่จะเอะใจว่าคนที่กอดอยู่นั้นรู้สึกแบบไหนกับสัมผัสที่ก้ำกึ่งแบบนี้ ดวงตาคู่นั้นเอาแต่มองไปข้างหน้า มองตรงไปที่จุดหมายเท่านั้น

"นี่..."

"หืม ?"

"มีเรื่องจะบอก แต่บอกแล้วอย่าปล่อยมือนะ ล้มแน่"

"อืม ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อย"

"เราขี้โกงหนึ่ง จริง ๆ แล้วเทคนิกขี่จักรยานอะไรแบบนี้มันไม่มีหรอก โกหกหมดเลย"

"ก็ว่างั้น"

"นี่..."

"คราวนี้อะไรอีก"

"หอมนะ พออยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ เวลาลมจะพัดเหมือนกลิ่นมันจะวน ๆ อยู่รอบตัวเลย" อริยะหันกลับมาส่งยิ้ม "จริง ๆ ก็ไม่ได้โกหกทั้งหมดหรอกนะ ถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะรู้" ใต้กรอบแว่นที่เป็นกระจกบาง ๆ ดวงตาคู่นั้นทอดมองมาที่เขา อริยะเอียงหัวลงนิดหน่อย พยักเพยิดคางมาทางพิธาน

"รู้แล้วใช่ไหม ถ้ากอดแน่น ๆ แบบนี้ เราก็จะเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน ใช้สมดุลย์เดียวกัน"

"อืม...ถึงไม่ปล่อยมือไง"

พิธานหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มสดใสของคนตรงหน้า เสียงพูดที่เหมือนจะมีเสียงหัวเราะเจืออยู่ตลอดเวลาดังขึ้นท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสายลม

"กินข้าวเย็นด้วยกันนะ"

พูดอย่างกับเขาเคยปฏิเสธอะไรได้สักครั้ง



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 08-06-2014 22:03:17
(ต่อครับ)




สงครามเย็นระหว่างดนัยและพงษ์พิพัฒน์ดูท่าจะไม่จบง่าย ๆ จะต่างกับสามชั่วโมงที่แล้วก็เพียงแค่ย้ายสถานที่จากออฟฟิศของไจแอนท์โคลามายังสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำรายการเช้านี้ที่ประเทศไทย แถมลูกหลงยังเริ่มจะลุกลามไปสู่ทีมงานคนอื่น ๆ จนปวดหัวกันไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ดาน่าที่กำลังนั่งทำตาปริบ ๆ มือที่ถือโทรศัพท์อยู่สั่นหงึกคล้ายคนหมดแรง

"เดี๋ยวนะคะ เรามาทำความเข้าใจกันอีกที น้องตรีโทรไปยกเลิกอาจารย์หมอที่ทางทีมงานติดต่อเอาไว้ใช่ไหมคะ"

ตรี พงพิพัฒน์มองไปที่หญิงสาว ยิ้มสบายอกสบายใจขณะที่หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม "ไม่ต้องขอบคุณก็ได้นะครับ"

"ขอบคุณ ?"

"ที่ผมเลือกเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อรายการของเรา"

"เก๋ค่ะ เก๋ไก๋มาก" ดูเหมือนว่าผมหยิกหย็องของเธอจะฟูขึ้นอีกเท่าตัว ดาน่าหัวเราะร่วนแล้วจู่ ๆ ก็ทรุดลงนั่งกับเก้าอี้เหมือนคนหมดแรง "เก๋สุดตรงที่เราต้องอัดเทปกันเย็นวันนี้นี่แหละค่ะ ค่าสตูดิโอเอย อุปกรณ์ถ่ายทำเอย กล้องเอย ไฟเอย ค่าตัวทีมงานเอย ไหนจะคิวออกอากาศเอย เก๋มากค่ะ ถ้าเจอพี่จ๊อดฝากบอกทีนะคะว่าพี่รออยู่ที่ทางช้างเผือก วิญญาณพี่จะอยู่ที่นั่นค่ะ"

ดนัยเดินออกมาเห็นเหล่าทีมงานวิ่งพล่านเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง นึกโทษตัวเองเหมือนกันที่เป็นตัวต้นเรื่อง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาล้อบบี้ผู้ใหญ่เรื่องตรี พงษ์พิพัฒน์เมื่อคืน เหตุการณ์ต่าง ๆ คงไม่อลหม่านแบบนี้ แต่ใครจะคิดเล่าว่าพิธีกรงี่เง่าคนนั้นจะออกฤทธิ์เดชเผื่อแผ่ทีมงานคนอื่น ๆ ไปด้วย ถ้าเป็นคนปกติคงเจียมเนื้อเจียมตัว ตั้งใจทำงานเต็มที่ไปแล้ว ไม่ใช่ยิ่งแผลงฤทธิ์เดชอย่างกับพระอาทิตย์ฤดูร้อนที่สาดแดดเผาไปทั่วแบบนี้

ดนัยเห็นทีมงานหลายคนสุมหัวด่าตรี พงษ์พิพัฒน์กันขรม ชัดเจนขนาดเขาที่เป็นคนนอกแต่มองปราดเดียวก็ยังรู้ ถึงขนาดนี้แล้วตรี พงษ์พิพัฒน์จะไม่รู้ตัวเชียวหรือ หรือว่ารู้แต่แกล้งไม่รู้กันแน่

"ทำแบบนั้นไปได้ยังไง ไม่เห็นใจทีมงานกันบ้างเลย จบนอกแล้วไง หน้าตาดีแล้วไง ก็แค่เด็กเมื่อวานซืนที่ทำงานไม่เป็น"

ทีมงานคนหนึ่งเดินผ่านหน้าดนัยไปพร้อมกับคำพูดทำนองนั้นอีกชุดใหญ่ นี่จะเป็นเทปแรกที่มี Product Placement ของไจแอนท์โคลา ดูออกจะเป็นเรื่องไม่เข้าท่าสักเท่าไรที่เอาน้ำอัดลมมาเจอะกับหมอที่แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ แม้แต่เด็กก็ยังรู้ จุดขายของน้ำอัดลมมันไปกับเรื่องของสุขภาพเสียที่ไหน

"ผมว่ามันก็ดีอยู่แล้ว จะไปเปลี่ยนทำไม แล้วนี่ไม่ได้บอกทีมงานสักคน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะอัดเทปอยู่แล้วจะให้ทำยังไง" เสียงคุณจ๊อด โปรดิวเซอร์ของรายการพูดใส่อารมณ์กับตัวปัญหา อันที่จริงจะเรียกว่าตะคอกก็คงไม่ผิด "คิดดูมันก็สมควรแล้วที่ผู้ใหญ่จะพิจารณาปรับในส่วนของพิธีกรใหม่หลังช่วงสงกรานต์ อะไรที่มันน่าเบื่อก็เปลี่ยนซะบ้างก็ดีเหมือนกัน"

ตรี พงษ์พิพัฒน์แค่ยิ้มแล้วยักหัวไหล่ และมันก็จบแค่นั้น

กระดาษปึกใหญ่ที่ดนัยเดาว่ามันคงเป็นสคริปต์สำหรับบันทึกเทปตอนเย็นถูกเขวี้ยงลงบนพื้นต่อหน้าคนที่นั่งไขว่ห้างทันที คุณจ๊อด โปรดิวเซอร์ของรายการด่าอีกสองสามประโยคต่อหน้าทีมงานทั้งหมดแล้วหยิบมือถือเดินคุยโทรศัพท์ออกไป ตรีดูจะรับมือได้ดีกว่าคาด ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย เจ้าตัวยังก้มหน้าก้มตาฟังเพลงต่อไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนครีเอทีฟอย่างดาน่าก็ทำท่าจะร้องไห้เอา ดนัยมองทุกอย่างอยู่สักพัก แล้วเลือกจะเดินเข้าไปหาหญิงสาว

"มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ไหมครับ"

"คุณนัท ดาน่าคิดไม่ออกจริง ๆ ค่ะ หัวจะแตกอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะไปหาคุณหมอที่ไหนมาถ่ายรายการ นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว ปกติน้องตรีเธอก็ไม่ใช่แบบนี้นะคะ ให้ทำอะไรก็ไม่มีปัญหา แต่คุณนัทไม่ต้องห่วงนะคะ ดาน่าจะทำให้อย่างดีที่สุด" พูดจบแล้วเธอก็หันไปขยุ้มหัวตัวเอง พึมพำเหมือนคนสติหลุด "โอ๊ย...แล้วนี่จะทำยังไงกันดีล่ะเนี่ย"

ดนัยครุ่นคิด โอเค ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะเขา ถึงแม้จะไม่ได้ชอบอะไรคุณจ๊อดหรือแม้แต่เธอคนนี้นัก แต่เขาไม่ได้มีเจตนาจะให้มันกระทบกับทุกฝ่ายแบบนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตรี พงษ์พิพัฒน์คนเดียว

"ผมจะลองหาทางช่วยดูครับ"

ดาน่าขอบคุณเขาเป็นการใหญ่โต จากนั้นก็ขอตัวไปจัดการงานอื่น ๆ ต่อ ดนัยยืนมองรอบ ๆ ตัวอยู่สักพัก ก่อนที่ดวงตาคมจะไปหยุดอยู่ที่คนที่นั่งกระดิกเท้าอารมณ์ดีอยู่ตรงนั้น เขาเดินเข้าไปหา เมื่อเข้าระยะประชิดดนัยก็ดึงหูฟังข้างหนึ่งออกจากหูของตรี

"หยุดเล่นเกมสักพักแล้วคุยกับผมหน่อย" ดนัยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ผมไม่ได้อยากยุ่งอะไรกับคุณนักหรอกนะ แต่อยากรู้ว่าคุณทำแบบนั้นไปทำไม"

"แบบไหน"

"ยกเลิกคิวของอาจารย์หมอที่จะอัดเทปเย็นนี้แล้วนั่งเฉย ๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

พงษ์พิพัฒน์ส่ายหัวระอาแล้วพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน "ไม่เอาน่า คุณอยากดูคนแก่ที่ไหนก็ไม่รู้ ขึ้นตัวหนังสือด้านล่างจอว่าเป็นหมอ แล้วมานั่งพูดเรื่องเคล็ดลับหน้าร้อนที่ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ"

"เอาจริง ๆ ก็ไม่"

"แล้วคุณจะเปลี่ยนช่องไหม"

ดนัยแสยะยิ้มขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวก็คงไม่ทันเอะใจ พงษ์พิพัฒน์คนนี้ถึงจะชอบทำตัวเหมือนคนไม่มีสมอง ไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น แต่เพราะไม่แคร์ใครนั่นแหละ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็พูดแบบรักษามารยาท ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับให้เหตุผลที่จริงยิ่งกว่าจริง

"อุปสรรคของการทำสิ่งที่ดีที่สุดก็คือคำพูดที่ว่า ก็โอเค ก็ดีอยู่แล้ว นี่แหละ"

ดนัยมองคนที่ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมกดไร้สาระในมือถือตัวเองต่อ ยอมรับตามตรงว่ารู้สึกทึ่งกับด้านนี้ของตรี พงษ์พิพัฒน์อยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เขานิ่งเงียบสักพัก จู่ ๆ สมองก็เริ่มตั้งคำถามใหม่ว่าอะไร ๆ มันจะง่ายแค่นั้นจริงนั่นหรือ เขารู้สึกสะดุดบางอย่างในใจ และมันก็เป็นความรู้สึกที่รุนแรงจนไม่อาจจะปล่อยมันผ่านไปได้

"ที่คุณจ๊อดโกรธขนาดนั้น คงไม่ใช่แค่เพราะยกเลิกคิวอาจารย์หมอใช่ไหม"

รอยยิ้มที่ดูอย่างไรก็ไม่เข้าตาน่าจะเป็นคำตอบให้กับดนัยได้เป็นอย่างดี

"คุณตรี พงษ์พิพัฒน์...ไม่ตลกเลยนะครับ ทั้ง tie-in ทั้ง Product Placement ของไจแอนท์โคลา ผมไม่ได้จ่ายเกือบสองล้านเพื่อมาเจออะไรแบบนี้หรอกนะ"

ในที่สุดคนที่ถูกเรียกชื่อก็กดหยุดเกมแล้วหันมามองหน้า

"คุณจะใส่แว่นกันแดดในที่ร่มทำไม"

"สองเหตุผลใหญ่ครับ ข้อแรก เพราะมันทำให้รู้ว่าผมแตกต่างจากคนอื่น นั่นหมายความว่าผมเป็นคนพิเศษ และสอง เพราะว่ามันดูดีมากในชุดที่ผมสวมวันนี้"

ดนัยอ้าปากค้าง นึกอยากจะต่อว่าอะไรสักอย่างแต่ก็หาคำที่เหมาะสมกับคนตรงหน้าไม่ถูกจริง ๆ

"แทนที่จะมานั่งบ่นแบบนี้ คุณ...ที่เป็นหนึ่งในทีมงาน"

"ผมเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่" ดนัยสวนขึ้นทันควันโดยไม่ต้องรอฟังให้ครบประโยค

"ตั้งแต่คุณเซ็นสัญญานั่นแหละ เวลาของรายการก็เป็นเวลาของคุณไม่ใช่หรือ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะ ทำไมเราไม่ร่วมมือกัน คุณก็ได้โฆษณาของคุณเต็มที่ ส่วนผมก็ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะไอเดียน่าเบื่อที่ไม่ดึงดูดพอแบบนี้"

"จะให้ผมทำอะไร"

"ถึงมันจะซ้ำซากจำเจ แต่ยังไงข้อมูลพวกนี้ก็จำเป็น สิ่งที่คุณต้องทำก็คือหาหมอสักคน ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ สาขาไหนก็ได้ เน้นที่หน้าตาดีเอาไว้ก่อน" ดนัยมองเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ตรี พงพิพัฒน์ยังคงพูดต่อเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา "ไม่ต้องหน้าตาดีถึงขนาดผมก็ได้ นั่นอาจจะยากเกินไป เลือกที่หน้าตาธรรมดาหน่อย อืม...ประมาณคุณ ผมคิดว่าก็คงน่าจะพอใช้ได้ ขออายุไม่เกินสามสิบนะครับ"

คนฟังถึงกับแค่นหัวเราะ ก่อนจะหันกลับมาเค้นเสียงหนักแน่น "งั้นช่วยบอกผมทีว่าในขณะที่ทุกคนวิ่งวุ่น คุณทำอะไร"

"ผมทำในสองสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือการเป็นพิธีกรซึ่งเป็นหน้าฉากของทีมงานทุกคน...รวมทั้งคุณด้วย และอีกอย่างที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย" พงษ์พิพัฒน์เว้นจังหวะคำพูด สีหน้าดูเคร่งเครียด "ผมต้องเป็นเครื่องหมายของสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน"

ดนัยนั่งอึ้ง เกิดมาจนอายุร่วมจะสามสิบ เห็นอะไรมาก็มาก รับมือกับเสือสิงห์กระทิงแรดด้วยชั้นเชิงทางธุรกิจมาสารพัด แต่กลับไม่เคยพบเคยเจอกับคนแบบนี้มาก่อนเลย

"ถ้าคุณจะชมก็ชมได้นะ ถึงจะชินแล้วแต่ก็สัญญาว่าจะทนฟังไม่ให้เสียน้ำใจแน่นอนครับ" พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มแล้วหันมากะพริบตาให้เขาหนึ่งที



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



แทนที่จะฝังตัวอยู่แต่ในห้อง นภชวนคนที่อยากสัมผัสบรรยากาศกรุงเทพนักหนาออกมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง เขาเลือกจะชวนฮานส์นั่งรถไฟฟ้าออกไปเดินย่านใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แต่อาจารย์รุ่นน้องคนนี้ก็เอาแต่ส่ายหัว ฮานส์ไม่สนใจความหรูหราแบบนั้นเท่าไรนัก เขาไม่อยากบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพืิ่อดูในสิ่งที่ประเทศตัวเองมี ซ้ำยังมีมากกว่า ดีกว่า และครบกว่าแบบนี้ ความเป็นไทยต่างหากที่ฮานส์สนใจจนต้องจ่ายค่าตัวเครื่องบินหลายยูโรมาที่กรุงเทพ ไม่ใช่สินค้าซูเปอร์แบรนด์พวกนั้น

"ผมอยากไปจตุจักร" ชายผมทองยืนยันแบบนั้น

"ที่นั่นร้อนมากนะฮานส์ แค่นี้ยังไม่ฟื้นตัวเลย ไปที่ร้อนแบบนั้นมีหวังได้เป็นลมแน่ ๆ" นภพยายามพูดช้า ๆ ให้รุ่นน้องที่ไม่คล่องภาษาไทยนักฟังทัน ซึ่งฮานส์ก็รับฟังด้วยดี ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพักแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความลังเล

"งั้นเราจะไปหลังจากที่ผมแข็งแรง...โอ๊ก...ดีแล้ว" พูดจบ ฮานส์ก็กระโจนลงจากเตียง วิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำทันที

ได้ยินเสียงอาเจียนไม่หยุด นภก็ได้แต่ถอนหายใจ อาการปรับตัวไม่ทันจากการเดินทางเมื่อมาเจออาการร้อนจัดทำให้ฮานส์มีอาการคล้ายกับคนเป็นลมแดด และดูเหมือนกับว่าจะไม่หายเอาง่าย ๆ ในชั่วโมงสองชั่วโมงแน่ นภได้แต่หวังว่ายาที่เขาแวะไปซื้อมาให้จะพอทำให้อาการล้มหมอนนอนเสื่อของฮานส์ดีขึ้นในเร็ววัน

คนป่วยโซซัดโซเซออกมาจากห้องน้ำได้ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง "วันนี้นภจะไปไหนก็ไปเถอะ ผมแล้วคงแรงไม่มี"

ผมคงไม่มีแรงแล้ว นภแก้ภาษาให้แต่ในใจ รู้ดีว่าพูดออกไป เพื่อนร่วมห้องก็คงไม่รับไม่รู้อะไรสักอย่างในเวลานี้

ชายหนุ่มเดินไปปิดม่านชั้นในที่เป็นผ้าทึบ เจตนาไม่ให้แสงแดดที่เป็นของแสลงสำหรับฮานส์ผ่านเข้ามาในห้องได้อีก เสร็จแล้วก็เดินมานั่งจับเจ่าที่เตียง เปิดโทรทัศน์ดูทีวีไปเรื่อยเปื่อยให้พอมีเสียงเป็นเพื่อน นภไม่รู้จะไปไหน เดิมที่เดียวเขาก็ไม่ได้วางแผนอยากจะเที่ยวอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว

นภหยิบมือถือขึ้นมา ไล่ดูรายชื่อของคนที่เพิ่งแอดไปเมื่อคืน เขากดภาพดิสเพลย์ให้ขยายขนาดขึ้นแล้วจ้องมอง ภาพนั้นเป็นภาพถ่ายย้อนแสง จึงเห็นเพียงสีดำของเงาที่เป็นเค้าโครงหน้า แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้รู้ว่าคนในภาพนั้นคือปืน มีรอยยิ้มบาง ๆ อยู่ในเงาสีดำนั้น มีดวงตาที่เหมือนจะตั้งคำถามกับสิ่งรอบ ๆ ตัวได้เสมอทุกเวลา มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่รวมเป็นองค์ประกอบที่มากมาย มากพอพอที่จะบอกว่าหลายปีผ่านไป ปืนยังดูคล้ายกับคนที่เขาพร้อมจะกลับไปตกหลุมรักได้อย่างง่ายดาย

นิ้วมือขวาของนภเลื่อนไปบนหน้าจอ ภาพดิสเพลย์นั้นถูกย่อให้กลับไปมีขนาดเล็กลงจนกลืนหายไปกับรายชื่ออื่น ๆ ในนั้น นภมองไปที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ถูกตั้งเป็นชื่อแทนเจ้าของภาพที่เพิ่งกดดู

"Falling in Love with The Sky... as Always"

แน่นอนว่าปรายฟ้าคือท้องฟ้า เมื่อวานก็เห็นแล้วว่าทั้งคู่ก็ดูสนิทสนมกันดี มีด้ายเส้นบาง ๆ ระหว่างทั้งคู่ที่มองไม่เห็น เส้นใยที่กันอาณาเขตให้เขาอยู่ด้านนอก แต่แค่ประโยคภาษาอังกฤษสั้น ๆ สิ่งที่ฝังอยู่ในหน้าอกข้างซ้ายของเขาก็กลับเต้นเร่าเหมือนไม่รักดี นภวางโทรศัพท์มือถือลง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปแง้มม่าน ทอดสายตามองท้องฟ้าของกรุงเทพในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี

แน่นอนว่านภย่อมจำได้ ชื่อของเขา... "นภ" ก็แปลว่าท้องฟ้าเช่นกัน



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ภัทรพลวางหูโทรศัพท์แล้วมองคนตรงหน้าที่วุ่นวายอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ หลายนาทีผ่านไปก็ดูไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าของห้องจะละสายตาออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั่นเลยสักนิด กระแอมไปสองครั้ง จิบน้ำแล้วจงใจวางขวดดังกว่าปกติไปอีกสี่รอบ ยังไม่รวมกับล้วงแคะแกะเกานับไม่ถ้วน ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ทั้งที่ตัวเองก็เป็นหมอเหมือนกับตุลธร แม้ว่าจะยังเป็นแค่แพทย์ใช้ทุนก็ตามที แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีหมอคนไหนที่วุ่นวายกับงานตัวเองได้เท่ากับคนที่อยู่ตรงหน้าสักครั้ง คบกันมาหลายเดือน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีเวลาหวานแหววแบบคู่รักคนอื่น ๆ เขาเป็นกันสักที

"เมื่อกี้พี่นัทโทรมา อยู่ ๆ ก็บอกว่าคิดถึง แบบนี้จะทำยังไงดีนะ"

ดนัยหรือพี่นัทเป็นญาติห่าง ๆ ของเขา ถือเป็นลูกพี่ลูกน้องที่นาน ๆ จะได้เจอะเจอกันที ภัทรพลไม่ได้สนิทกับพี่นัทนัก ยังนึกแปลกใจไม่ได้ที่จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ อันที่จริงเขาเคยวางอุบายหลอกตุลธร ยกชื่อพี่นัทขึ้นมาอำว่าเป็นคนที่เขาแอบปลื้มนักหนา มันได้ผลที่ยอดเยี่ยมทีเดียวในตอนนั้น แต่พอหลังจากที่ตกลงเป็นแฟนกัน ชื่อของพี่นัทก็ไม่มีผลอะไรกับพี่ตุลเขาอีกเลย

"บอกว่าอยากเจอด้วย แบบนี้ก็ลำบากใจจัง"

ภัทรพลแสร้งถอนหายใจเบื่อ แต่ความเป็นจริงกลับจ้องหุ่นยนต์ตรงหน้าเขม็ง ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ตุลธรยังคงง่วนอยู่กับการตอบอีเมลต่อไป คุณหมอหนุ่มจึงแกล้งหยิบดินสอขึ้นมาวาดการ์ตูน ได้ตัวการ์ตูนโง่ ๆ มาหนึ่งตัว แต่ปฏิกิริยาของอีกฝ่านนี่สิ ยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน

"เย็นนี้เลยนะ พอนึกอยากจะเจอก็ต้องเจอให้ได้ เป็นแบบนี้ทุกทีเลย" ปลายดินสอเคาะกับพื้นโต๊ะเป็นจังหวะ ตัวการ์ตูนโง่ ๆ เสร็จเป็นตัวที่สอง...แล้วก็สาม

ก็ได้ ถ้าจะเป็นแบบนี้ก็ได้ อย่าหาว่าเขาไม่เตือนก็แล้วกัน

"เหมือนหน้าผากจะเถิกขึ้นหรือเปล่านะครับ"

เสียงแป้นพิมพ์ชะงักไปหนึ่งจังหวะ แต่เพียงครู่เดียวเสียงรัวก็ดังขึ้นอีกครั้ง "ภัทร...พี่บอกแล้วนะว่าต้องตอบเมลด่วน เสร็จแล้วพี่จะคุยด้วยนะครับ"

ต้องให้เล่นปมเด่นถึงจะยอมฟังสินะ ริมฝีปากของภัทรพลโค้งตัวขึ้นด้วยความหมั่นไส้

ความรักที่มีช่องว่างระหว่างวัยไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าจะอายุต่างกัน 18 ปี แต่ภัทรพลกลับไม่รู้สึกถึงระยะที่ห่างกันนั้นแม้แต่น้อย ออกจะภาคภูมิใจด้วยซ้ำ ก็แฟนทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด เซ็กซ์ก็ยอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบจนคนทั้งโรงพยาบาลอยากจะมานั่งในตำแหน่งเขาจนตัวสั่น ดังนั้นก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมที่เขาจะมานั่งเฝ้าแฟนตัวเองทุกวันที่มีเวลาว่าง คอยปัดพวกมดแมลงที่พยายามจะมาเกาะแกะให้พ้นทาง

"หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...หน้าผากมีตั้งห้าชั้น โบท็อกซ์จะเอาอยู่ไหมนะ"

"ภัทรพล"

"พี่ให้ผมร้อยไหมให้ไหมครับ"

เสียงผ่อนลมหายใจที่ได้ยินคือสัญญาณของชัยชนะ ในที่สุดตุลธรก็ยอมทิ้งงานสักที คนอะไรก็ไม่รู้ ตามจีบอยู่ตั้งนานกว่าจะได้มาเป็นแฟน แต่พอเป็นแล้วก็ไม่เห็นจะมีช่วงเวลาหวานซึ้งแบบที่เคยจินตนาการไว้สักนิด ไม่รู้หรือไงกันนะว่ารักแค่ไหน

"เลิกแซวว่าแก่สักที พี่แก่จนปลงแล้ว จะเอาอะไรว่ามาเถอะ ไม่ต้องเอานัทมาอ้างกับพี่หรอก"

"โธ่...จะหึงกันสักนิดก็ไม่มี"

รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่น่ามองตรงหน้าแทบจะหยุดลมหายใจของภัทรพล เขาชอบรอยยิ้มนี้ ชอบฟังเสียงทุ้ม ๆ ที่คอยเจ้ากี้เจ้าการสั่งสอนเขาแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พักหลัง ๆ แฟนสุดที่รักรู้ทันอุบายเขาไปหมดทุกอย่างแต่ก็ไม่เคยคิดจะดุกันสักครั้ง ยังตามใจทุกอย่างเหมือนเคย ดูจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป

"แล้วนัทโทรมาทำไมล่ะครับ"

"เรื่องของเรื่องคือพี่นัทมีเรื่องนิดหน่อยครับ เห็นว่าโดนป่วนจากใครสักคนในทีมงานนั่นแหละ เดิมทีเดียวจะต้องเชิญหมอไปออกรายการเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับตัวในช่วงหน้าร้อน แต่ก็ยกเลิกคิวอาจารย์หมอท่านนั้นไปเฉย ๆ ป่วนไปทั้งกอง นี่เลยโทรมาขอให้ผมไปแทน"

"ภัทรว่างหรือเปล่าล่ะครับ ถ้าว่างพี่ว่าก็น่าไปช่วยนะ"

"ว่าง แต่ไม่อยากไป"

ตุลธรยิ้มกว้างขึ้นเหมือนรู้ทันกัน แผ่นหลังกว้างเอนลงพิงพนักก่อนที่แววตาอ่อนโยนคู่นั้นจะทอดมองมาที่เขาอย่างเอ็นดู "คราวนี้จะเอาอะไรอีก หืม ?"

"เปล๊า...ไม่มี้" ภัทรพลตอบเสียงสูง

"แบบนี้ดีไหม ถ้าไม่ดื้อ กลับบ้านแล้วพี่จะให้ภัทรจูบหนึ่งที"

ภัทรพลส่ายหน้ายิก แต่แอบอมยิ้ม มันต้องแบบนี้สิ รู้ทันเขาไปทุกอย่าง

"ไม่เห็นจะคุ้มเหนื่อย"

"พี่จะไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย"

"สักชิ้น ?"

"ครับ ไม่มีสักชิ้นครับ"

ภัทรพลไหวศีรษะด้วยจังหวะที่ช้าลง อยากจะตอบตกลงใจจะขาดแต่ต้องกลั้นใจเพื่อแพ็คเกจที่คุ้มกว่า ตุลธรรู้ทุกอย่างผ่านกรามแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีฝาดชนิดรวดเร็วฉับไวของคนตรงหน้า ร่างสูงใหญ่โน้มตัวกลับมาด้านหน้าอีกครั้ง เท้าศอกกับพื้นโต๊ะแล้ววาดรอยยิ้ม

"แล้วพี่จะจัดเต็มให้ครับ"

"ไม่โกหกกันนะ"

"ครับ คืนนี้ภัทรหมดเนื้อหมดตัวแน่นอน"

ภัทรพลฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วไม่พูดไม่จาอะไรอีก ตุลธรใช้ปลายนิ้วชี้เคาะเบา ๆ ที่พื้นโต๊ะข้างหูคนที่ซุกหน้าอยู่ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง

"ตกลงว่ายังไงครับ"

"พี่ตุลขับรถไปส่งได้เปล่า"

"ได้สิครับ"

เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ข้อแลกเปลี่ยนถือเป็นอันตกลง ประทับตราลงนามด้วยสีแดงเรื่อบนใบหูของคนที่ฟุบหน้าอยู่ ภัทรพลขยับตัวยุกยิก ก่อนจะเอ่ยข้อต่อรองสุดท้ายด้วยเสียงที่แผ่วเพียงเสียงกระซิบ

"แล้ว...มัดจำก่อนได้เปล่าครับ"

"เงยหน้าขึ้นสิครับคนดี"

ภัทรพลค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เป็นจังหวะที่ของมัดจำถูกส่งมอบบนริมฝีปาก นุ่มนวล...ทว่าร้อนวาบกว่าพระอาทิตย์ดวงใด ๆ ในจักรวาลที่แสนกว้างใหญ่แห่งนี้



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



มีตัวละครรับเชิญมาจากเรื่อง Paper Moon ด้วยนะครับ โผล่มาให้พอหายคิดถึงกันนิดนึง 555
จบจากตอนนี้คิดว่าน่าจะพอจำตังละครได้ขึ้นอีกนิด เพราะเริ่มโยงเข้ากันแล้ว (หรือเปล่า 55)
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ คำแนะนำ เสนอแนะ ติชม และเวิ่นเว้อไปด้วยกันครับ
+1 ให้กับทุกคนเลยนะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ จะพยายามมาต่อให้ไวๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 08-06-2014 23:01:55
อุ๊ย! น้องภัทรจะไปถ่ายรายการ!!!!

ตอนนี้คู่พี่สิงห์หายแฮะ เรารอลุ้นคู่นั้น ^^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 08-06-2014 23:04:57
หายไปนานเลยนะคะ อยากบอกว่าแอบลืมตัวละครไปบ้างเหมือนกัน หลายคู่มากเรื่องนี้เลยแอบบลืมบ้าง คงไม่ว่ากันนะคะ อิ อิ
มีตัวละครจากเรื่องpaper moon มาด้วย ชอบค่าา หวานกันจริงคู่นี้
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: lovekimkina ที่ 09-06-2014 00:25:01
โฮกกกก ชอบคู่ปืนนภ มากๆๆๆๆ ดูแบบคลุมเครือดี
อยากอ่านต่อแล้วววว มาต่อไวๆนะคะ  :hao6:
และก็รออ่านเรื่องแม็กกี้อยู่น้า โลภภ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 09-06-2014 07:53:12
อย่าบอกนะว่ามีคู่ชาฮิด-ภีมด้วย(มโนไกล5555)

อาร์ม-หนึ่ง ทำตัวชวนจิ้นว่าเป็นแฟนกันมากๆ
อาร์มจะเอายังไงเนี่ย ทำตัวเหมือนจีบหนึ่งเลย หรือความจริงก็แอบชอบหนึ่ง แต่กลัวความลับแตกเลยเอาผู้หญิงอื่นมาบังหนัา :hao3:

คู่ปืน-นภนี่ชักจะยังไงๆ. แต่ชอบบบบ55

คู่พี่ตุลย์-น้องภัทร หวานเว่อร์  :o8:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:



หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: grenjewel ที่ 09-06-2014 08:14:35
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้รู้สึกชอบมากค่ะ สนุกดี มีตัวละครเยอะมาก 555555555
อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงฤดูร้อนจริงๆ ไม่รู้ว่าจะร้อนอะไรขนาดนี้ บางทียังแอบคิดเลยว่านี่เราอาศัยอยู่บนโลกหรือพระอาทิตย์กันแน่  :mew5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-06-2014 14:27:46
ก็ถ้าอาร์มจะยังทำอย่างนี้หนึ่งคงตัดใจไม่ได้ซะที จะเอาไงแน่ เลือกมาสักทาง
ตรีนี่ร้ายกว่าที่คิด
ชอบคู่หมอตุล เหมาะกันมาก ๆ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 09-06-2014 20:38:12
ก็ว่า หมอภัทรพลกับหมอตุลธร เป็นใคร มาจากไหน
ดูจากแผนภูมิตัวละครที่ยังคงไก่เขี่ย ไม่ยักกะมีชื่อสองคนนี้
ที่จริงก็เป็น cameo นี่เอง
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 12-06-2014 21:19:19
สารภาพว่ามีแอบหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง
แต่พออ่านไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จำได้เองค่ะ 555555

น้องภีมลูกกกกก นึกว่าจะเซี้ยวแต่กับคุณพ่อ พอเจอเพื่อนใหม่ก็เซี้ยวด้วยเลยนะ
ไม่เป็นมิตรเลย ถถถถถถถ พี่ชาฮิดเค้าออกจะหล่อ คุณแม่ฟ้าก็ฝากฝังน้องไว้แล้ว
อ่า.. ได้กลิ่นโชตะลอยมาแต่ไกล กร้ากกกกก หอมหวานมากเลยค่ะ

 :hao7:

อีกคู่นี่คืออาร์มหนึ่งที่เรารอคอย โอ้ยยยย หวานมากกก เหมือนเป็นแฟนกันแล้วเลยค่ะ
นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกัน เราจะคิดว่าคบกันแล้วนะ การกระทำแต่ละอย่างของอาร์ม
ชวนให้เพื่อนหวั่นไหวคิดไปเองมากๆ นี่อาร์มคิดกับหนึ่งแค่เพื่อนจริงดิ? แค่สนิทกันจริงดิ?
เราสงสารหนึ่งนะ T__T ถึงจะชอบโมเม้นท์แบบนี้แต่ก็เถอะ แล้วหนึ่งก็ยอมเพื่อนอยู่เรื่อยเลย ฮืออออ TvT

ตัดมาอีกคู่ที่นัทตรี คือคุณตรียังทำตัวได้หน้าหมั่นไส้เหมือนเดิมเลยค่ะ 5555555555
นี่สารภาพว่าอ่านไปหงุดหงิดแทนทีมงานไป (อินมาก) พี่นัทขอให้สู้ววววววววววววววว
ปราบพยศดูสักทีเถอะะะะะะะะ หมั่นมากกกกกก (#ขอหยิกเนื้อแรงๆ ที)

แต่ตอนนี้คู่ที่หวานที่สุดต้องยกให้คู่คุณหมอล่ะน้าาาาา
น่ารักกกกกกกกกกก >___< 5555555
น้องภัทรมันร้ายยยย

รอติดตามตอนหน้านะคะะะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 5 (Jun 08, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 13-06-2014 12:36:18
หมอตุลย์ทำดีมากกกกกกกกกกก
แต่ภัทรอ้อนแบบนี้คืออะไร หมอตุลย์ไม่ค่อยทำการบ้านเหรอ ถถถถถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 14-06-2014 01:17:01
สวัสดีครับ ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันครับ ดีใจที่ยังมีคนอ่านอยู่จริงๆ นะ ฮ่าๆ
คราวนี้หายไปไม่นานมาก หวังว่ายังไม่ลืมกันนะ จะพยายามเร่งสปีดอยู่ครับ 555555555
สารภาพว่าตอนที่แล้วจำชื่อตัวละครพลาดไปนิด หมักนานจัดจนลืม 555
เดี๋ยวจะกลับไปแก้นะครับ ต้องขอโทษด้วย คนแต่งยังลืม (อายโคตร ฮ่าๆๆ)
ตอนที่ 6 ยาวเหยียดเหมือนเดิมครับ ฝากไว้อีกตอนนะครับ สุขสันต์วันเสาร์นะครับ ^ ^


(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ตอนที่ 6



นภมาหยุดยืนที่หน้าร้านอาหารเล็ก ๆ ในย่านสีลม เห็นพนักงานกำลังจัดแจงวางไอศกรีมที่ทำจากพลาสติกแท่งโตที่หน้าร้าน แรงงานหลักดูเหมือนจะเป็นเด็กชายวัยทะโมนสองคนที่กุลีกุจอเป็นเรี่ยวแรงในการติดตั้ง ปรายฟ้าโทรหาเขาในตอนบ่าย ขอร้องแกมบังคับว่าให้มาหาเธอที่ร้านอาหารแห่งนี้ ดูแล้วก็เป็นร้านอาหารปกติค่อนข้างจะธรรมดาจนนภไม่มั่นใจว่าตัวเองมาถูกสถานที่นัดหรือเปล่า เขากดดูแผนที่ในมือถืออีกครั้ง ก่อนจะพบว่าคงไม่มีความจำเป็นอีกแล้วเมื่อหนึ่งในเด็กชายตัวเล็กสองคนเงยหน้าขึ้นมาแล้วมุ่ยหน้าใส่เขา

ลูกของปืนกับน้ำ

"สวัสดีครับน้องธีม คุณแม่อยู่หรือเปล่าครับ"

นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว เด็กชายชวิศยังปลิ้นตาแล้วแลบลิ้นใส่เขาก่อนจะวิ่งแจ้นออกไปเล่นกับสุนัขสีดำและขาวสองตัวที่เกลือกกลิ้งไปมาอยู่บริเวณนั้น คนที่ให้คำตอบกลับกลายเป็นเด็กชายผิวสีน้ำผึ้งอีกครั้งที่สูงโปร่งกว่า

"น้าน้ำหรือเปล่าครับ น้าน้ำอยู่ด้านใน"

นภมองเด็กน้อยที่ตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานแล้วนึกทึ่งในท่าทีนอบน้อม ตากลมโตคู่นั้นเป็นประกายฉายแววฉลาดชัดเจน แต่ก็ดูบริสุทธิ์อ่อนเดียงสานัก เพราะแบบนี้สินะ ใครต่อใครถึงบอกว่าลูกเป็นเหมือนกับโซ่ทองคล้องใจของพ่อและแม่

ฝ่ามือเล็ก ๆ หมุนลูกบิดประตูให้เปิดออกแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน เด็กน้อยพาเขาไปนั่งบนโซฟาสีเชอร์รีที่ตั้งอยู่ริมบานกระจก "ร้านปิดช่วงบ่ายครับ จะเปิดอีกครั้งก็ตอนเย็น ตอนนี้ครัวจะยังเสิร์ฟอาหารไม่ได้นะครับ"

เด็กน้อยพูดอย่างแคล่วคล่อง นภเห็นแววตาของพนักงานที่เป็นผู้ใหญ่ในร้านส่งยิ้มให้กับเจ้าตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดู หนึ่งในนั้นสวมชุดเชฟซึ่งนภเดาว่าคงเป็นแม่ของพนักงานตัวน้อยคนนี้เป็นแน่ เด็กผู้ชายคนนั้นบอกให้รอสักพัก จะรีบไปตามน้าน้ำมาเร็วที่สุด พูดจบก็วิ่งเข้าไปทางด้านหลังของร้าน

แผ่นหลังของชายหนุ่มเอนลงแนบกับเบาะนุ่ม ขณะเดียวกันดวงตาสีเข้มก็ทอดมองไปรอบ ๆ ร้าน หากมองจากภายนอกที่ตีประกอบด้วยไม้ทึบเป็นหลักจะไม่สามารถจินตนาการถึงบรรยากาศในร้านที่ค่อนข้างจะโปร่งสบายได้เลย บรรยากาศง่าย ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้นภนึกถึงสตรีทคาเฟ่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเบอร์ลินหรือเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ของโลก มีความเป็นกันเอง มีกลิ่นอายที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัว  ร้านพวกนี้มักจะตกแต่งด้วยของจุกจิกน่ารัก มีไอเดียแปลกใหม่ที่คาดไม่ถึง ที่นี่ก็เช่นกัน ถูกประดับตกแต่งด้วยภาพสไตล์วินเทจสลับสับวางไปกับภาพโพลารอยด์ของลูกค้าที่มาทานในร้านแห่งนี้ นภมองรอบ ๆ ร้านอย่างสนอกสนใจอยู่สักพัก คนที่เด็กน้อยตาคมไปตามเมื่อครู่ก็เดินออกมาจากด้านใน

ไม่ใช่ปรายฟ้า หากแต่เป็นปรมะ

"ดื่มอะไรสักหน่อยไหม กาแฟ ชา น้ำอัดลม พวกแอลกอฮอล์ก็มีนะ"

นภส่ายหน้าแล้วตอบว่าไม่เป็นไร

เมื่อความเกรงใจเป็นคำตอบ ปรมะจึงเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ ครู่เดียว เขาก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำเย็นในมือ "น้ำอยู่ด้านในน่ะ ยุ่ง ๆ อยู่เพราะนึกเพี้ยนอยากจะเป็นพนักงานชั่วคราวร้านนี้ขึ้นมา"

"ลูกน้ำน่ะเหรอ" นภถามอย่างไม่เชื่อหู และก็ดูเหมือนว่าปืนเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกันนัก สังเกตจากสีหน้าที่ดูค่อนข้างจะกังวลอยู่ไม่น้อย

"พอดีรู้จักกับเจ้าของร้านน่ะ ผู้หญิงพอได้คุยกันถูกคออะไร ๆ ก็ดูเป็นเรื่องที่โอเคไปหมด" นิ้วยาว ๆ ของปรมะหมุนแก้วน้ำเย็นบนโต๊ะเล่นเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร หากแต่นภเข้าใจดีว่ามีความรู้สึกมากมายอยู่ในนั้น สักพักคนตรงหน้าก็เงยขึ้น มุมปากหยักวาดเป็นรอยยิ้มชวนมอง "ก็ไม่ใช่อะไรมากมายหรอก หลัก ๆ ก็ดูเครื่องกดไอศกรีมที่เพิ่งลงน่ะ ส่วนที่ไม่หลักแต่จำเป็นต้องทำก็คงจะเป็นดูแลธีมที่เอามาฝึกให้ทำงานที่นี่ในช่วงหน้าร้อน หวังว่าจะไม่ก่อเรื่องอะไรให้ปวดหัวกันอีกนะ"

นภได้แต่นั่งอมยิ้ม พยายามประหยัดถ้อยคำให้มากที่สุดทั้งที่ข้างในมีลมพายุเล็ก ๆ กำลังก่อตัว

เก็บเอาไว้จะดีกว่า นภคิดว่ามันควรแบบนั้น หลังสงกรานต์เขาและฮานส์ก็จะเดินทางกลับไปแฟรงเฟิร์ต เป็นอาจารย์ ทำงานของตัวเองที่มหาวิทยาลัยต่อ นภไม่อยากเจ็บปวดกับเรื่องของความรักอีกแล้ว

"ยังเหมือนเดิมเลยนะ"

"หืม ?"

"ก็มีอะไรอยากจะพูดไม่ใช่เหรอ แต่ไม่พูดออกมา เหมือนเมื่อก่อนเลย" ปรมะยกมือขึ้นเสยผมไปด้านหลัง ดวงตายังนิ่งอยู่จุดเดิม "ทำไมไม่พูดออกมาล่ะ เรื่องที่ในใจอยากจะพูดน่ะ"

ภายในร่างกายของนภ มีประโยคอัดแน่นอยู่มากมาย เรื่องที่อยากจะรู้ เรื่องที่อยากจะบอกออกไป มากมายจนเต็มไปหมด จนเหมือนว่าจะไม่มีที่พอจะเก็บอีกแล้ว ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่สิ่งที่นภทำได้คือเลือกชิ้นส่วนที่งี่เง่าไร้สาระที่สุดขึ้นมาหนึ่งอันแล้วกร่อนให้ออกมาเป็นประโยคที่ดูจะไร้ความหมายสิ้นดี

"เอ่อ...อากาศร้อนเนอะ"

ม่านตาของปรมะเบิกกว้างชั่วครู่ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังลั่น ปืนหัวเราะจนตัวสั่น แต่เพียงเสี้ยววินาที แววตาคู่นั้นก็เหมือนถูกฉาบด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มที่แต่งแต้มตรงริมฝีปากดูคล้ายปุยเมฆนุ่ม ๆ บนท้องฟ้า

"เอ่อ...ขอโทษทีนะ ไม่ดีเลย"

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ร่างสูงใหญ่ก็ยังไม่หยุดหัวเราะคิก ขำจนนภก้มหน้าเขิน เสียงหัวเราะจบลงด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ปรมะเบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างมองดูทางเดินที่มีผู้คนโรยรา

"ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ นภน่ะ ทั้งที่อะไร ๆ มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว"

นภนั่งเงียบ จู่ ๆ เสียงที่อยู่มากมายในสมองก็พลันร่วงหล่นจนกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมา

"น้ำก็เหมือนกัน" ปรมะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "ที่นัดให้มาที่นี่ก็ไม่มีอะไรหรอก คงเจ้ากี้เจ้าการให้พานายไปเที่ยวให้ได้ อาการเอาแต่ใจกำเริบอีกแล้ว เหมือนอะไรก็ตามที่อยากได้ก็ต้องได้ประมาณนั้น นี่ก็เป็นอีกคนที่ไม่เปลี่ยนไปเลย"

"ถ้าแบบนั้น ปืนก็เหมือนกัน ไม่เปลี่ยนไปเลย"

คิ้วเข้มยกตัวขึ้นเหมือนแปลกใจในสิ่งที่ได้ยิน "อย่างนั้นเหรอ"

"ตอนที่พูด ตอนที่ยิ้ม ตอนที่หัวเราะ วิธีการมอง การเดิน ท่าทางเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนที่ขยับตัว ทุก ๆ อย่างยังเหมือนกับเมื่อก่อนเลย"

ปรมะฟังด้วยความเงียบนิ่ง มีเพียงมุมปากที่ค่อย ๆ ขยับตัวเป็นรอยยิ้ม ไม่ใช่แค่ยิ้มแบบที่ผ่าน ๆ มา ยิ้มในครั้งนี้คล้ายจะลามไปถึงดวงตา ฝ่ามือทั้งสองข้าง แขนขา ลามไปทุกกล้ามเนื้อบนร่างกาย

"จำได้ด้วยเหรอ"

เป็นอีกครั้งที่นภก้มหน้าลง อีกแล้วที่ตัวเองพลาดก้าวขาไปสู่พื้นที่อันตราย

"ไปเดินเล่นข้างนอกกันไหม น้ำไม่ออกมาเร็ว ๆ นี้หรอก ยังวุ่นอยู่กับงานด้านหลังร้านน่ะ"




ความอบอ้าวในตอนบ่ายระอุจนน่ากลัว เพียงแค่ไม่กี่ก้าวที่พ้นจากพื้นที่ปรับอากาศในร้าน นภก็รู้สึกถึงเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ไหลซึมลงมาที่ขมับตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาเรื่องทรมานตัวเองแบบนี้ทำไม ทั้งออกมาเจอกับอากาศที่ร้อนเหมือนอยู่กลางเตาเผาแบบนี้ แล้วไหนจะคนข้างตัวเพียงลำพังให้แปลบในใจตัวเองไม่จบไม่สิ้น

"บุหรี่ไหม" ปรมะยื่นซองออกมาให้ นภดึงขึ้นมาหนึ่งมวน เปลวไฟสีแดงวาบขึ้นที่ปลายบุหรี่ในมือของนภ ก่อนที่เจ้าของไฟแช็กจะจุดอีกมวนให้กับตัวเอง

"อยู่กับธีมดูดไม่ได้ ตอนนี้น้ำก็เลิกดูดไปแล้ว"

"ก็ลูกนี่นะ" นภเป่าควันสีเทาขึ้นในอากาศ กลุ่มควันลอยขึ้นก่อนจะจางหายไปกับความว่างเปล่าตรงหน้า

"นึกว่าจะนายเลิกสูบไปแล้ว"

"ที่เมืองนอกอากาศหนาว บุหรี่มันก็พอช่วยให้อุ่นขึ้นได้น่ะ"

ทั้งคู่นั่งลงตรงแผ่นแกรนิตสีเข้มข้างทางที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมพุ่มไม้เตี้ย ๆ ต้นไม้พวกนี้มีไว้เพื่อตกแต่งหน้าอาคารสำนักงานแห่งนั้น ไม่ได้ให้ประโยชน์ในแง่ความร่มรื่นหรือความงามสักเท่าไรนัก ส่วนมากแล้วจะเป็นที่นั่งสำหรับพนักงานที่อยู่ในอาคารนั้นออกมานั่งฆ่าเวลาเสียมากกว่า ไม่มีใครพูดอะไรอีกสักพัก จนบุหรี่ในมือหมดไป มวนที่สองถูกจุดขึ้นใหม่ ความเงียบยังดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า ผิดกับแสงแดดซึ่งดูเหมือนจะทวีความร้อนขึ้นทีละน้อย เหงื่อกาฬผุดขึ้นทั่วทั้งร่างของนภจนน่ารำคาญ แต่ในใจกลับเย็นลงทีละนิดเหมือนได้กลับมาสู่บ้านที่แท้จริงของมัน

ความเงียบก็ถูกเผาไปพร้อมกับซากชีวิตของบุหรี่มวนที่สอง ปรมะถามขึ้นด้วยเสียงเรียบ ๆ แบบที่มักใช้ประจำเวลาที่มีตะกอนบางอย่างอยู่ในใจ

"มีแฟนหรือยัง"

นภก้มหน้าลงมองเถ้าบุหรี่ที่อยู่ปลายเท้า ครู่เดียวสายลมก็พัดให้มันปลิวหายไปกับความร้อนในยามบ่าย

"ไม่หรอก"

"รอใครอยู่หรือ"

ดวงตาของปรมะเงยขึ้นมองที่เพดานสีครามในตอนทืี่เอ่ยคำถามนั้น สองแขนเท้าบนแผ่นหินแล้วปล่อยให้แสงอาทิตย์ลามเลียไปทั่วร่างกายอย่างไม่เคอะเขิน นภนั่งนิ่ง จังหวะหัวใจเต้นแผ่วลงจนแม้แต่ตัวเองก็ยังแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร รอใคร หรือไม่ได้รอ ทั้งที่ความจริงนั้นแสนง่ายดาย เพียงแค่เลือกตอบไปข้อใดข้อหนึ่งในนั้นทุกอย่างก็จบ แต่ในบางสถานการณ์ เรื่องง่าย ๆ แบบโยนหัวก้อยก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย กระทั่งในตอนนี้ในหัวสมองของนภก็ยังเต็มไปด้วยความลังเล

ดูเหมือนปรมะจะเข้าใจในคำตอบที่แท้จริงที่สุดของนภแล้ว ริมฝีปากนั้นจึงเจือไปด้วยความรู้สึกจาง ๆ คำตอบนั้นเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ ในความทรงจำที่เลือนลาง บางสิ่งบางอย่างที่หายไปสิบกว่าปี กระนั้นมันก็แจ่มชัดพอสำหรับคนสองคนที่นั่งอยู่ที่นั่น

"มีคนที่รออยู่จริง ๆ สินะ"

นภหัวเราะกับตัวเอง ความเงียบไม่ใช่อาณาเขตที่เลวร้าย แต่อย่างน้อยเสียงหัวเราะโง่ ๆ ก็พอระบายน้ำหนักที่มากมายให้เบาเท่ากับควันบุหรี่เหล่านั้นได้

"ถ้าวันหนึ่งได้พบกับคนที่รออยู่อีกครั้ง นายจะบอกกับคนคนนั้นว่าอะไร"

นภก้มหน้าลง มองช่องว่างระหว่างปลายรองเท้าสองคู่ที่ขยับเข้ามาจนใกล้กันโดยไม่รู้ตัว

"ประมาณว่า...อากาศร้อนเนอะ ล่ะมั้ง"

ภายใต้ท้องฟ้าสีเข้มเหมือนสีของน้ำทะเล ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจัดจนเหมือนจะเผาไหม้และกลิ่นบุหรี่ เสียงหัวเราะของผู้ชายสองคนก็ดังขึ้นจากถนนสายเล็ก ๆ ในเมืองที่แออัดไปด้วยผู้คนอย่างกรุงเทพมหานคร



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



อานนท์ลงจากรถเมล์เหมือนคนหมดพลัง ร่างที่ดูแทบจะไม่ต่างอะไรกับผีดิบเดินเข้าซอยด้วยอาศัยแรงเฉื่อยของพลังงานเฮือกสุดท้าย ตลอดทั้งวันเขาโดนพี่สิงห์เล่นงานจนอ่วม แต่อานนท์ก็ไม่เคยนึกโทษพี่สิงห์แม้แต่น้อย นึกขอบคุณด้วยซ้ำหากบทโหดจะทำให้เขากระตือรือร้นที่จะจดจำข้อมูลต่าง ๆ มากขึ้น อ้อยบอกว่าเขาคงประสาทไปแล้วถึงได้ฟังพี่สิงห์ด่าได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ขณะที่ตูนบอกว่ายังไม่เคยเห็นใครมีความอดทนกับพี่สิงห์ได้แบบนี้มาก่อน ถ้าเป็นคนอื่นคงเผ่นแน่บหรือไม่ก็นั่งร้องไห้โฮไปแล้ว แต่อานนท์กลับยึดพื้นที่ข้าง ๆ พี่สิงห์ได้อย่างคงมั่น

ใครบ้างอยากจะเป็นคนไม่เอาไหน แต่อานนท์ก็ทำได้แค่นี้ เขาอยากเก่งแบบคุณโกวิท ทำงานแบบที่ทุก ๆ อย่างรอบตัวเหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายได้แบบพี่สิงห์ ใช้คอมพิวเตอร์คล่องแคล่วได้แบบตูน หรือแม้แต่กล้าพูดคุยกับลูกค้าได้อย่างมาลี นั่นคือความฝันที่อานนท์ได้แต่ฝันแล้วฝันอีกว่ามันจะกลายเป็นจริงได้ในสักวัน

แดดในตอนบ่ายแก่ ๆ ยังคงร้อนจัดจนเสื้อยืดเปียกชื้นไปหมดทั้งตัว อานนท์แวะรถเข็นขายหมูปิ้ง ซื้อหมูสามไม้และข้าวเหนียวหนึ่งห่อให้กับตัวเอง ส่วนตับปิ้งอีกหกไม้สำหรับร้อนแฮ่กกับลิ้นห้อย แบ่งกันตัวละสามไม้ ชดเชยให้กับตอนเช้าที่รีบจนไม่มีเวลา ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กเดินตามเจ้าหนูสองคน แต่พอเห็นเขา พวกมันก็วิ่งแกว่งหางเป็นเฮลิคอปเตอร์มาประจบขอของฝากเต็มที่ ทิ้งเด็กชายตัวน้อยให้ต่อล้อต่อเถียงกันไป

"บอกว่าไม่ต้องมายุ่งกับฉันไง"

"น้าน้ำบอกให้พี่ดูแลธีมนี่นา"

"ไม่ต้อง !"

"ต้องสิ น้องธีมยังไม่คุ้นกับแถวนี้ไม่ใช่เหรอ" เด็กชายที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยจับมือเด็กโมโหร้ายแล้วส่งยิ้มให้

"ปล่อย !"

"ไม่ปล่อยหรอก"

อานนท์มองเด็กทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มกระทั่งเสียงเล็ก ๆ ของทั้งคู่จะเลือนหายไปกับเสียงความขวักไขว่บนท้องถนน เขาเดินต่อไปกระทั่งถึงหน้าร้านอาหารที่มักจะเดินผ่านประจำ ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะดุดตาอานนท์ก็คือกรวยไอศกรีมขนาดใหญ่วางโชว์อยู่ด้านหน้า มันมาตั้งแต่เมื่อไรนะ นานแล้วหรือเพิ่งมี อานนท์ไม่ทันได้สังเกตเลย

ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุด อานนท์ตัดสินใจซื้อหนึ่งโคน นอกจากจะคลายร้อนแล้ว ยังถือว่าเป็นกำลังใจให้กับตัวเองในวันที่เจออะไรแย่ ๆ มาทั้งวัน

พนักงานขายที่ไม่คุ้นหน้าก็กดไอศกรีมใส่กรวยแบบกระท่อนกระแท่น ทุกคนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ทำอะไรยังไม่ค่อยได้เสมอสินะ แต่ถ้าถอดใจ ที่ทำไม่เป็นก็จะยังทำไม่เป็นอยู่แบบนั้น อานนท์ยืนให้กำลังใจเธอคนนั้นอยู่เงียบ ๆ ในใจกระทั่งเสียงเข้มที่ได้ยินมาตลอดทั้งบ่ายดังขึ้นที่ด้านหลังชนิดเหนือความคาดฝัน

"เอาหนึ่งถ้วย"

พนักงานสาวสวยยิ้มรับพร้อมกับส่งไอศกรีมรูปร่างพิลึกมาให้อานนท์ (อานนท์คิดว่าเธอคงนั้นคงเป็นคนไม่ได้เรื่องสักอย่างพอ ๆ กับเขา) รับไปแล้ว อานนท์ก็ถอยออกมายืนรอพี่สิงห์อยู่ใกล้ ๆ กลัวจนขยาด แต่ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน อีกทั้งเป็นเพื่อนข้างห้องกัน อานนท์คิดว่ามันเป็นมารยาทที่สมควรทำ

เพชรกล้าปาดเหงื่อที่อยู่ตามไรผมขณะที่รับถ้วยไอศกรีม (รูปร่างพิลึกพอกัน) อานนท์เห็นเพชรกล้าจ้องไอศกรีมด้วยความตกตะลึงแล้วถอนหายใจหนึ่งครั้ง จากนั้นพอหันมาเจอเขาที่ยังยืนรออยู่ก็ถอนใจอีกรอบ "ยังอยู่อีกเรอะ"

อานนท์พยักหน้าแล้วเดินไปข้าง ๆ ร่างสูงใหญ่ที่ดูบึกบึนอย่างกับหมีป่า "เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับที่อดทนสอนผม"

"เปลี่ยนคำพูดเป็นสิบครั้งของนายเป็นการกระทำจะดีกว่า"

คนฟังหน้าชาไปนิดหน่อย แต่ก็ยังยืนยันเจตนาต่อ "ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณอยู่ดี"

"มันเป็นแค่หน้าที่"

อานนท์ยิ้มแหย รูดซิปปากตัวเองด้วยการทานไอศกรีมที่อยู่ในมือไปพลาง ๆ จนกว่าจะถึงหอ โชคดีที่พี่สิงห์ไม่พูดอะไรอีกเลยนับจากนั้น พอถึงหน้าประตูห้อง อานนท์ก็รีบเปิดประตูเข้าห้องไปอย่างโล่งใจ



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ตรี พงษ์พิพัฒน์รู้สึกเหมือนกับถูกกระถางต้นไม้ตกใส่หัวกลางถนนฟิฟธ์อเวนิว หมอสักคนที่ดนัยพามาด้วยนั้นถือว่าไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำเอาทีมงานทั้งกองเคลิบเคลิ้มได้ถึงขนาดนี้ เรียกได้ว่าหล่อตามอุดมคติแบบหมอ ๆ ที่ผู้หญิงค่อนประเทศต่างใฝ่ฝัน ผิวขาว สวมแว่น ตัวสูง ดูสุขุมคัมภีรภาพ ที่สำคัญมีรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเหมือนเครื่องแบบสีขาวของหมอติดอยู่ที่ริมฝีปากตลอดเวลา หักคะแนนในฐานะที่ดูเหมือนคนอายุราวสามสิบต้น ๆ ไปหน่อย ประเมินแล้วเต็มสิบก็ต้องมีอย่างต่ำอยู่ที่ระดับเก้าจุดสองห้าในสายตาของตรี พงษ์พิพัฒน์เลยทีเดียว

"สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณหมอที่จะมาอัดเทปใช่ไหมครับ" ตรี พงษ์พิพัฒน์ทักทายในฐานะเจ้าบ้าน

"สวัสดีครับ แต่ไม่ใช่ผมหรอกครับ คุณทักคนผิดแล้ว เพราะคุณสมบัติของผมยังห่างไกล"

"หรือครับ ?" นอบน้อมถ่อมตน บวกให้อีกศูนย์จุดสองห้า เก้าจุดห้าเลยนะ ใช้ได้ทีเดียว

"ให้คนที่เหมาะสมจะดีกว่าครับ คุณนัทบอกว่าสี่สิบสองแก่ไปสำหรับโจทย์ที่ทางรายการต้องการ" ตุลธรตอบพร้อมรอยยิ้มน่าประทับใจ

ประทับใจถึงขนาดตรี พงษ์พิพัฒน์มองอย่างไม่เชื่อสายตา

สี่สิบสอง ! ไม่จริง !!!

โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ ร้อยไหม เป็นไปไม่ได้ ! นี่จะต้องเป็นสเตมเซลล์จากรกแกะที่กำลังเป็นกระแสอยู่แน่ ๆ !!! ร้าย...ร้ายกาจมาก

"มองแบบนั้นเดี๋ยวเจ้าของตัวจริงก็ได้กระโดดขย้ำหัวเอาหรอก" เสียงของดนัยลอยล่องขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง เด็ดปีกเทวดาที่แสนงามสง่าให้ร่วงลงเหวโดยพลัน

ตรี พงษ์พิพัฒน์เหลียวกลับไปมองแบบค่อนแคะในใจ ไพล่นึกว่านรกขุมไหนช่างปล่อยมารความสุขตนนี้ออกมาป่วนชีวิตเขา ดนัยเหมือนกับหน้าร้อน มากับเรื่องชวนให้อารมณ์เสียเสมอ แค่พบกันวันเดียว นับจากนั้นชีวิตอันแสนสงบสุขของตรี พงษ์พิพัฒน์ก็วุ่นไปหมด

"นี่คือภัทรพล หมอที่จะอัดรายการร่วมกับคุณในวันนี้ ส่วนคนที่คุณทักด้วยคือคุณหมอตุล แล้วถ้าคุณกำลังคิดอะไรพิเรนทร์ ๆ อยู่ ผมแนะนำว่าให้เลิกความคิดซะ เพราะว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน"

พูดจบดนัยก็ชะงักอึ้ง โดยปกติแล้วเขาไม่ใช่คนประเภทละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวคนอื่น ยิ่งเที่ยวได้ป่าวประกาศเรื่องใครเป็นแฟนใครแบบนี้ ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ทั้งหมดเป็นเพราะอะไรนะ ความรู้สึกหมั่นไส้อาการออกหน้าออกตาแบบปิดไม่มิดของตรี พงษ์พิพัฒน์จอมปัญญาอ่อนแบบนั้นหรือ ? แม้จะนึกตำหนิตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ดนัยก็ยอมรับว่าใบหน้าที่ช็อกสุดขีดของตรีทำให้เขามีความสุขแบบแปลก ๆ

หารู้ไม่ว่าแฟนหรือไม่ใช้แฟนนั้นไม่ใช่สาระใด ๆ สำหรับตรี พงษ์พิพัฒน์แม้แต่กระผิ ความสมบูรณ์แบบของใบหน้าหมอภัทรพลนั่นต่างหากที่น่ากลัว หมอตุลยังหักคะแนนที่อายุได้ แต่ถ้าเป็นหมอคนนี้จะเอาอะไรมาให้หักคะแนน ถึงไม่หล่อแบบหมอตามอุดมคติ แต่ความหล่อของหมอภัทรพลก็ถูกนิยามได้ว่า "เหนือความคาดหมาย" น่ากลัวไหมล่ะ ?

ไม่ได้ ! ยอมไม่ได้ ! ไม่อย่างนั้นตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ต้องโดนขโมยซีนแน่ ๆ !

"ผมคิดว่าหมอตุลน่าจะดูตอบโจทย์กว่านะครับ ไม่ใช่ว่าหมอภัทรไม่ดีหรอกนะครับ ทั้งคู่ถือว่าตอบโจทย์ เพียงแต่ว่าเป็นโจทย์คนละแบบ ลุคของหมอภัทรอาจจะดูเหมือนคนในวงการบันเทิงมากไป คุณนัทว่าอย่างไรบ้างครับ" พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มสมบูรณ์แบบแบบพิธีกรมืออาชีพมาให้ดนัย หวังว่าจนเองจะถูกตามใจแบบทุกครั้ง

ดนัยมองอย่างครุ่นคิด เขาอ่านออกว่านี่คงเป็นอุบายอะไรสักอย่างของตรีแน่ แต่ว่ามันคืออะไร ?

"ผมคิดว่าภัทรก็เหมาะกว่า"

"แต่..."

"ผมพูดในฐานะของสปอนเซอร์" ดนัยจบคำพูดตนเองพร้อมสายตาเฉยเมย

ข้อต่อรองถือเป็นอันสิ้นสุดด้วยความล้มเหลว พงษ์พิพัฒน์มองตาขวางใส่สปอนเซอร์รายใหญ่ทันที

ตรี พงษ์พิพัฒน์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ ความโมโหแล่นริ้วขึ้นมาจากปลายเท้าจนอัดแน่นอยู่ที่คอหอย ไม่เคยมีใครปฏิเสธเขา และก็ไม่เคยมีใครใช้สายตาแบบนั้นมองเขามาก่อน คอยดูเถอะ ตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรอกนะ !

ข้อเปรียบเทียบระหว่างคุณหมอทั้งสองคนและตรี พงษ์พิพัฒน์ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง ทีมงานทุกคนต่างก็พะเน้าพะนอคุณหมอตุลและคุณหมอภัทรเต็มที่ ขณะที่ทุกคนมองพิธีกรเหมือนตัวปัญหา ดนัยมองเห็นทุกอย่างและคอยจับตามองตรีอย่างไม่คลาดสายตา หากแต่ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยราวกับสิ่งที่เห็นและได้ยินเป็นเพียงความวุ่นวายที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ

สามสิบนาทีต่อมาหลังจากฝ่ายเทคนิคให้สัญญาณว่าพร้อม ผู้กำกับก็สั่งเดินกล้องทันที ภัทรพลนั่งรออยู่ในฉากก่อนแล้วในตอนที่พิธีกรประจำรายการก้าวออกมาจากด้านหลัง วินาทีนั้น ทุกสายตาต่างหันไปจับจ้องอยู่ที่ผู้มาใหม่เหมือนต้องมนตร์สะกด ความแตกต่างระหว่างคนที่หล่อในฐานะคนธรรมดากับคนที่หล่อในฐานะคนในวงการบันเทิงนั้นต่างกันนัก มีเสน่ห์บางอย่างในตัวของตรี พงษ์พิพัฒน์ที่ทำให้ทุกคนไม่อยากละสายตา หล่อเนี๊ยบจนไม่มีที่ติ ท่วงท่าสุขุมไว้ตัวนิด ๆ เหมือนคุณชายในละครแนวย้อนยุคให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดชวนหลงใหลอย่างประหลาด

"เขาดูดีมากนะครับ" ตุลธรเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ดนัยไม่ปฏิเสธในคำพูดนั้น อดไม่ได้ที่จะเผลอมองคนที่นั่งอยู่หน้ากล้องด้วยความชื่นชม

ที่จุดรวมของแสงสปอตไลต์ ตรี พงษ์พิพัฒน์กล่าวนำเข้าสู่รายการและแนะนำภัทรพลในฐานะคุณหมอที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการรับมืออากาศที่ร้อนจัดในปีนี้ ผู้กำกับ และตากล้องยิ้มอย่างพอใจในความสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติแบบทุกครั้ง ตัวจริงจะดูสร้างปัญหาแค่ไหน แต่ในบทบาทพิธีกร ตรี พงษ์พิพัฒน์ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง

ดนัยที่ไม่ได้สวมเอียร์มอนิเตอร์ไม่รู้ว่าตรีและภัทร ญาติห่าง ๆ ของตัวเองพูดอะไรบ้างในแสงไฟที่เจิดจ้านั้น แต่สิ่งที่สะดุดตาจนทำให้เริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุขก็คือสายตาวิบวับและรอยยิ้มหวานเยิ้มที่ทั้งสองคนในกล้องมอบให้แก่กันตลอดเวลา

"สิ่งที่ควรระวังก็คือโรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรกครับ โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงและได้รับความร้อนมากเกินไป ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายซึ่งจะมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบประสาท" ภัทรพลหันมายิ้มให้กับคนที่นั่งข้าง ๆ โชคดีที่คุณตรีสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองทำให้เขารู้สึกไม่อึดอัดกับการอยู่ท่ามกลางสายตาคนมากมายแบบนี้จนเกินไปนัก

ตรี พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มอุ่นอ่อนตอบแต่ในใจกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุดถือว่าไม่เคยเอาท์ ในเมื่อหมอภัทรพลคนนี้รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แย่ สร้างกระแสคู่จิ้นแบบดาราในวงการชอบทำก็ถือว่าไม่เสียหลาย ถ้าเรตติ้งดีก็ให้มันรู้กันไปสิว่าผู้ใหญ่จะปลดตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ !

"แบบนี้ถือว่าเป็นโรคที่น่ากลัวไหมครับคุณหมอ" ตรีส่งสายตาหวานเชื่อมไปทางภัทรพล คุณหมอหนุ่มก็ส่งยิ้มตอบ บรรยากาศรอบ ๆ ฉากคล้ายกับถูกเซ็ตอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีชมพูขึ้นมาโดยพลัน

เกินจะทน ดนัยเดินลงฝีเท้าไปที่หน้ามอนิเตอร์แล้วคว้าเอียร์มอนิเตอร์ขึ้นมาสวมหูทันที มองแววตาชื่นชมของพิธีกรหนุ่มที่ใช้มองญาติตัวเองแบบไม่ปิดบัง รายการเล่าข่าวนะตรี พงษ์พิพัฒน์ ไม่ใช่รายการนัดบอด

"ดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ ก็ชื่นใจดีนะครับ" ตรีหยิบไจแอนท์โคลาขึ้นดื่มแล้วทำหน้าชื่นใจ

"ครับ น้ำหวาน ๆ หรือน้ำผลไม้จะช่วยให้ชื่นใจขึ้น ในวันที่มีอากาศร้อนจัดควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน โปร่ง ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายอุณหภูมิความร้อนได้ดีครับ หากจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนหรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม หรือแม้จะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วเพื่อป้องกันอาการเพลียแดดครับ" เมื่อภัทรพลพูดจบ ตรีพงษ์พิพั๖น์ก็หันมากล่าวขอบคุณก่อนจะตัดเข้าเบรคโฆษณา

เสียงคัตดังขึ้นพร้อมกับลมหายในที่ร้อนเหมือนแดดของดนัย ครู่เดียวภัทรพลก็เดินเข้ามาลาเขาและทีมงานทุกคนบอกว่ามีธุระสำคัญต้องรีบกลับโดยมีตุลธรยืนส่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ ดนัยไม่คิดจะรั้งคนทั้งคู่ไว้ต่อ เขาตัดบทด้วยคำขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือแล้วนัดทานข้าวด้วยกันช่วงสัปดาห์หน้า ดวงตาคมยังคงจับจ้องอยู่ที่รอยยิ้มเล็ก ๆ ของพิธีกรหนุ่มผู้มีสีหน้าเฉยชา ครู่หนึ่ง ตรี พงษ์พิพัฒน์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินฝ่าทีมงานออกไปท่ามกลางสายตาที่มองแบบชื่นชม ไม่ลาใคร ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่เว้นแม่แต่ดนัยที่ยืนอยู่ตรงนั้น

ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ ตรี พงษ์พิพัฒน์ช่างสร้างความน่าหงุดหงิดได้พอ ๆ กับอากาศร้อนของเดือนเมษายนเสียจริง



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 14-06-2014 01:18:03
(ต่อครับ)




ปรายฟ้าและอมริตานั่งมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ ผ่านไปแค่ครึ่งวัน ลูกชายทั้งสองก็ขมุกขมอมมาทั้งตัว อะไรก็ไม่ทำให้ผู้เป็นแม่อย่างอมริตาทุกข์ใจเท่ากับลูกชายที่เกิดมาไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใครกลับมีแผลบวมช้ำอยู่ที่แก้ม ขณะที่ปรายฟ้าก็คิดหนักที่ชวิศตัวแสบก่อเรื่องอีกแล้ว

"พอรำคาญก็เลยไปต่อยพี่เขาเนี่ยนะ เอาแต่สร้างปัญหาตลอดเลยนะธีม เด็กไม่รู้จักโต"

"พูดแบบนี้ได้ยังไง ผมโตแล้วนะ"

"ตัวเท่าเมี่ยง" ปรายฟ้าหลิ่วตามองเจ้าตัวเปี๊ยกที่พอถูกขัดใจก็เดินเข้ามาประท้วง "นี่อย่ามาดึงเสื้อฉันนะ มันยับหมดแล้วไม่เห็นหรือไง"

"ก็แม่มาพูดแบบนี้ได้ไง โอ๊ยยย..." ธีมลากเสียงยาว มือน้อย ๆ พยายามรั้งแรงจากปลายนิ้วของปรายฟ้าที่หยิกหมับเข้าที่ใบหู

เดิมทีเดียว อมริตาว่าจะไถ่ถามชาฮิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นับจากลูกชายเธอเดินกลับเข้ามาในร้านแล้วขอน้ำแข็งประคบในห้องครัว ปรายฟ้าที่ผ่านมาเห็นเข้าก็เดินละลิ่วไปดึงหูลูกชายของเธอจากด้านนอกกลับเข้ามาถึงที่นี่ คุณนุชนารถที่เดินมากับมีราก็ถูกดึงเข้ามาเป็นสักขีพยานด้วย

แล้ววิธีสอบถามที่เรียกได้ว่าค่อนข้างแปลกสำหรับคนที่เลี้ยงลูกแบบหัวโบราณอย่างอมริตาก็เริ่มต้นขึ้น โดยรวม ๆ แล้วก็คือชาฮิดได้รับการขอร้องจากปรายฟ้าให้ดูแลธีมที่แสนซุกซน แต่เด็กที่รำคาญอย่างธีมกลับรู้สึกหงุดหงิดที่ชาฮิดดูแลเสียดีจนธีมรู้สึกตัวเองเป็นเด็กผู้หญิง พอคิดได้แบบนี้ก็เลยหาเรื่องชกต่อยลูกชายเธอจนแก้มปูดอย่างที่เห็น

"ไม่ได้เป็นเด็ก ๆ โตแล้ว ไม่ต้องสะเออะมาดูแลเลย" ธีมแหวเสียงดัง แต่ยังไม่จบประโยค ปรายฟ้าก็ดึงแก้มจนโย้ เห็นแล้วเธอและคุณนุชนารถยังรู้สึกเจ็บแทน

ปรายฟ้าค่อนข้างเปิดกว้าง ปล่อยให้น้องธีมได้แสดงออกทุกอย่างเต็มที่จนดูคล้ายกับก้าวร้าวจนหญิงสาวทั้งคู่รู้สึกเป็นห่วง แต่เมื่อพิจารณาอย่างดีก็จะพบว่าวิธีการแปลกแสนแปลกนี้ดูเหมาะกับปรายฟ้าผู้คล่องแคล่วดี อมริตาจึงได้แต่คอยประคบแก้มของชาฮิดแล้วปลอบประโลมตามสมควร ส่วนคุณนุชนารถก็คอยปรามคุณน้ำให้เพลามือลงบ้างแต่คุณน้ำเธอก็มีเหตุผลของเธอที่จะไม่ยอมปล่อยผ่านแม้ว่าตัวชาฮิดเองจะไม่ได้คิดจะเอาเรื่องก็ตาม

"เมื่อคืนเราตกลงแล้วใช่ไหมว่าจะไม่มีการก่อเรื่องอีก" ปรายฟ้าส่งเสียงเข้ม ซึ่งธีมก็ดูจะลอกแบบมาเหมือนทุกกระเบียด

"ก็หมอนี่มันมาวุ่นวายทำไมล่ะ ใครเขาขอให้มาดูแลกัน"

ผู้เป็นแม่ผ่อนลมหายใจ มือของปรายฟ้าตีลงบนตักตัวเองเบา ๆ แล้วพูดอย่างคนเหนื่อยใจ "มานี่สิธีม"

"ไม่ ! ผมโตแล้ว แม่ถือดียังไงมาสั่ง"

จบประโยค ร่างเล็ก ๆ ของเด็กชายชวิศก็ลอยหวือตามแรงของผู้เป็นแม่ทันที สองมือของปรายฟ้าจับตัวลูกชายเธอนอนหมอบราบลงกับตักอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มือข้าซ้ายจะถลกกางเกงโชว์ก้นขาว ๆ ต่อหน้าทุกคน ธีมดิ้นพล่าน ไม่ยอมรับต่อโชคชะตา

"ไม่เอา ๆ ๆ ไม่เอานะแม่ อย่านะ"

เพี๊ยะ !

เนื้อก้นของธีมกระเพื่อมตามแรงปะทะ มีรายกสองมือขึ้นปิดตา ขณะที่ชาฮิดได้แต่ยืนเศร้ามองรอยแดง ๆ ซึ่งผุดขึ้นบนก้นอันกลมกลึงของคนที่ชกหน้าตัวเอง ดูเหมือนผิวที่ค่อนข้างขาวของธีมเป็นรอยแดงง่ายกว่าผิวสีแทนของชาฮิดมาก เพียงครั้งแรกที่สัมผัส ก้นขาว ๆ นั่นก็เห็นเป็นรอยชัดเต็มทั้งสองข้าง...แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับหน้าผู้เป็นเจ้าของที่แดงจัดเหมือนสีของพระอาทิตย์ตอนจะตกดิน

"พอแล้ว ! ไม่เอา ๆ พอเถอะแม่ อายเขานะ"

ปรายฟ้ายอมปล่อยธีมลงจากตักหลังจากที่ถูกตีไปห้าครั้ง เธอยกมือขึ้นไหว้คุณนุชนารถและอมริตาด้วยความรู้สึกจากใจจริง "น้ำกับลูกต้องขอโทษมากนะคะที่ทำให้เกิดเรื่องยุ่ง ๆ ขอรับปากว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกค่ะ ขอโทษหนูด้วยนะจ๊ะมีรา"

สักพักเด็กหน้ามุ่ยดึงกางเกงขึ้นแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ ชาฮิดมองธีมที่ก้มหน้างุดอย่างเข้าใจ

คล้อยหลังไปไม่นาน อมริตาก็เดินมาหาชาฮิดอีกครั้งหลังจากพามีราไปหลับที่ด้านหลังร้าน "โกรธน้องไหมลูก"

ชาฮิดส่ายหัว นึกโมโหก็พอมีบ้างแต่พอเห็นธีมโดนตีก้นลายต่อหน้าคนทั้งร้านก็อดสงสารไม่ได้

"อย่าโกรธน้องธีมเลยนะ น้าน้ำเล่าให้แม่ฟังว่าธีมเป็นเด็กดี แต่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย ธีมคงคิดว่าตัวเองดูด้อยกว่าลูกตรงไหนทั้งที่ก็อายุน้อยกว่าแค่ปีเดียว นี่ก็เลยประท้วงผู้ใหญ่แล้วหันมาพาลลูกเข้า"

ชาฮิดพยักหน้าหงึก ๆ รับฟังคำพูดของผู้เป็นแม่อย่างตั้งใจ

"วันนี้ไม่ต้องช่วยที่ร้านเสิร์ฟหรอกนะ แม่ฝากให้ไปดูแลน้องได้ไหม" อมริตาส่งตลับขี้ผึ้งให้กับเด็กชายตัวน้อยแล้วส่งยิ้ม "คิดว่าธีมก็เหมือนมีรา เป็นน้องเราอีกคนนะครับ"

อีกมุมหนึ่งของร้าน ธีมกำลังนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเบาะ ขยับตัวเป็นลิงอยู่ไม่สุขเพราะก้นที่ยังแสบไม่หาย แต่พอเห็นเงาของชาฮิดที่หลังบานประตูก็แข็งใจนั่งวางท่าเหมือนอาการปวดเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

"ทำไม จะมาเยาะเย้ยหรือไง จะบอกให้นะ แค่นี้ไม่เจ็บหรอก"

ชาฮิดลังเลอยู่สักพัก ตั้งใจว่าจะแอบมองเงียบ ๆ ตามแม่ขอร้องแต่พอถูกจับได้ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ "เจ็บไหม"

"อยากโดนต่อยอีกเหรอไง ! อย่ายุ่งน่า"

ปากพูดแบบนั้นแต่ตัวกลับกระสับกระส่ายจนนั่งได้ไม่เต็มก้น แต่ชาฮิดไม่ได้รู้อะไรนัก ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ เด็กน้อยคิดแบบนั้น เขารู้สึกเบาใจที่ธีมไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่กังวล คำสั่งของแม่ทำให้ชาฮิดมุ่งมั่นดูแลธีมไม่ต่างกับมีรา

"แล้วหิวไหม"

"ไม่ต้องมายุ่ง !"

"นี่...ชอบกินอมยิ้มไหม"

ธีมเงียบกริบ สักพักก็ค่อย ๆ หันมามองตาโต "อร่อยเหรอ"

ดวงตาวิบวับและน้ำเสียงตื่นเต้นของธีมทำให้ชาฮิดยิ้ม "อร่อย รสช็อกโกบานาน่าเลยนะ"

"โห..." ได้ยินแล้ว ธีมก็รู้สึกอยากลองชิมดูสักครั้ง เด็กน้อยกลืนน้ำลายเอื้อก มาดผู้ใหญ่ที่วางท่าเสียโก้ถูกเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงโดยพริบตา ธีมชะเง้อหน้ามองชาฮิดที่กำลังล้วงหาขนมยุกยิก ยิ่งมองก็ยิ่งลุ้น หนักข้อเข้าพอทนไม่ไหวก็ถึงกับยื่นมาทั้งหน้าทั้งตัว "ไหนดูหน่อย อูยยย..."

เนื้อผ้าที่รั้งขึ้นดึงทำให้อาการปวดที่ก้นเต้นตุบ ๆ ใบหน้าของธีมที่บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดทำให้ชาฮิดรู้ว่าที่แท้ธีมก็แค่เก็กมาดอยู่

"ถ้าจะกินก็ต้องให้พี่ทายาให้ก่อน"

"ทาทำไม ก็บอกว่าไม่เจ็บ ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บสิ อู๊ยยย..." คนไม่เจ็บเผลอส่งเสียงร้องอย่างลืมตัวเมื่อถูกนิ้วชี้ของอีกคนกดเบา ๆ ลงจุดที่โดนหวด

"ทายาให้นะ ไม่แสบหรอก"

"ไม่ต้องมายุ่ง !"

"แลกกับอมยิ้มช็อกโกบานาน่า"

จอมหัวแข็งกลืนน้ำลายอีกเอื๊อก ดวงตาใสเป็นประกายวิบวับขึ้นทันตา

"มา นอนบนตักให้พี่ดูก่อน"

ธีมส่ายหัวทันที เรื่องอะไรจะไปทำอะไรเด็ก ๆ อย่างนั้น

"ช็อกโกบานาน่าเลยนะ" อีกครั้งที่ชาฮิดแกว่งแท่งอมยิ้มในมือพร้อมรอยยิ้ม

ในที่สุดอมยิ้มที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็มีพลังเหนือทุกสรรพสิ่ง ธีมค่อย ๆ หมอบลงบนตักของชาฮิด มือเล็ก ๆ ลอกเปลือกพลาสติกสีน้ำตาลสลับเหลืองออกแล้วส่งเข้าปากอย่างรวดเร็ว สมราคาคุยจริง ๆ กลิ่นหอมของกล้วยและรสหวานเข้มของช็อกโกแลตอร่อยเหาะชะมัด ธีมหลับตาพริ้ม พูดเสียงหวานเคลิ้มพร้อมกับอมยิ้มที่ค่อย ๆ ละลายในปาก

"เบา ๆ นะ"

"ได้เลย" นิ้วชี้ของชาฮิดป้ายที่ตลับขี้ผึ้งและแตะลงบนก้นของธีมเบา ๆ



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



หลังจากกลับเข้ามาในตอนบ่าย แผนขี่จักรยานของหนึ่งก็ยังคงไม่คืบหน้า การอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลานับตั้งแต่ตอนสายแม้จะทำให้อาการประหม่าจะทุเลาลงไปจนเกือบเป็นปกติ ปรับใจกับสภาพความจริงได้มากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดหนึ่งก็ยังไม่สามารถขี่จักรยานได้โดยไม่มีอาร์มคอยประคองอยู่ด้านหลังได้อยู่ดี เซไปเซมากระทั่งถึงล้มลงไปนั่งจ้ำเบ้าให้เจ็บก้นเล่นบ้างในบางครั้ง อาร์มก็ยังมีกะใจจะหัวเราะได้ ขณะที่หนึ่งเริ่มจะถอดใจเอาเสียจริง ๆ แล้ว เจ็บตัวยังไม่หนำใจยังต้องเจ็บใจซ้ำอีก ดูเหมือนอาร์มกระตือรือร้นกว่าทุกครั้ง ทริปนี้คงเป็นทริปที่สำคัญมากสำหรับอาร์ม ซึ่งหนึ่งเองก็พอจะเดาออกว่าเพราะอะไร ถ้าพอช่วยได้ก็อยากช่วย หนึ่งคิดแบบนั้น น้อยที่สุดเวลาเห็นอาร์มหัวเราะสบายใจก็น่ามองกว่ามานั่งเหม่อทำหน้าเศร้าเป็นไหน ๆ

ความรู้สึกของตัวเองน่ะหรือ จะเป็นยังไงก็ช่างมันก็แล้วกัน อีกสักพักก็คงจะเริ่มชินไปเอง

พิธานเหลือบมองอริยะที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียง ดูเหมือนจะไม่ได้มีความสนใจในความใกล้ชิดเป็นพิเศษของเขาที่นอนอยู่ข้าง ๆ จะว่าไปมันก็จริง ความใกล้ชิดไม่ใช่ครั้งแรก มันเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เกิดขึ้นซ้ำซาก ทุกวัน ๆ จนไม่มีความแปลกใหม่อะไรไปแล้ว แต่เพราะความรู้สึกใหม่นี่เองต่างหากที่ทำให้ความใกล้ชิดซึ่งไม่เคยมีความสำคัญนี้กลับกลายเป็นสิ่งพิเศษขึ้นมา

พัดลมสามตัวที่จ่ออยู่รอบด้านส่งเสียงครืดคราดเพราะทำงานเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตคงเจียนขาดใจไปแล้วในฤดูร้อนที่เหี้ยมโหดแบบนี้ และแม้จะเปิดเบอร์แรงสุดแล้วแต่ลมที่พัดก็ไม่สามารถยื้อเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ก็ซึมขึ้นที่แผ่นหลังจนชื้นได้เลย ในความร้อนจนเกียจคร้าน พิธานค่อย ๆ เขยิบตัวเองเข้าใกล้ขึ้นอีก ใกล้จนหัวไหล่จนหัวไหล่ ต้นแขนแนบต้นแขน แม้แต่หัวเข่าก็สัมผัสกัน ลอบยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองในตอนที่นิ้วก้อยแตะกันเบา ๆ พิธานแอบมองคนที่ใกล้เพียงปลายนิ้ว ในจังหวะหัวใจที่เต้นช้าลงทว่ารุนแรงและหนักแน่นขึ้น คนที่อยู่ในสายตาเพียงยกมือขึ้นซับหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมาที่ไรผมแล้วก็นอนอ่านการ์ตูนต่อไป

ลมหายใจที่เต็มไปด้วยความอึดอัดถูกระบายออก ตัวตนที่แสนเอื่อยเฉื่อยดูจะสงวนไว้สำหรับพิธานเท่านั้น ขณะที่อริยะผู้แสนกระตือรือร้นมีไว้สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับระรินเท่านั้น เป็นความน้อยใจเล็ก ๆ ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มสีชมพูเมื่อใครสักคนพูดถึงระรินให้เจ้าตัวฟัง ขณะที่เขากลับถูกตีค่าแค่อากาศที่มองไม่เห็น ใกล้แค่ไหนก็มองไม่เห็น

ก่อนที่ฤดูร้อนจะแผ่อุณหภูมิลุกลาม ถึงเวลาที่ควรจะหยุดเรื่องบ้า ๆ นี้ได้แล้ว พิธานคิดมาตลอดทั้งวันแล้วว่าพอเสียที ในเมื่อพูดอ้อม ๆ กี่ครั้งก็ไม่เอะใจ เขาก็จะทำให้อริยะเข้าใจเสียที

หนึ่งยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าขาที่ชันอยู่บนฟูกของอาร์ม เลื่อนลงช้า ๆ จนถึงขอบกางเกงบอลที่ร่นอยู่

"หืม ? มันฝรั่งเหรอ" อริยะละสายตาจากหนังสือการ์ตูน เอื้อมมือไปหยิบถุงมันฝรั่งข้างตัวแล้วส่งให้ จากนั้นก็กลับไปสนใจสิ่งที่อ่านต่อ

หนึ่งชักมือกลับแล้วเอื้อมไปหยิบถุงมันฝรั่ง มองถุงขนมในมือไปรู้สึกแปลบที่อกไป

"คิดว่าทุกวันนี้เราสองคนสนิทกันมากไปไหม ใกล้จนไม่มีพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้ หากวันหนึ่ง สมมติว่าเราคิดจะทำอะไรอาร์มขึ้นมานี่ทำได้สบาย ๆ เลยนะ"

"ทำอะไรเหรอ"

"ลวนลาม ข่มขืน"

อริยะหัวเราะคิก ดวงตาทั้งสองข้างยังจับจ้องอยู่ที่หนังสือการ์ตูนเล่มโปรด "โห...น่ากลัวจัง"

"พูดจริงๆ นะ จากนี้ไปต้องเลิกกอด เลิกซบ เลิกมานอนใกล้ ๆ แบบนี้เสียที ห้ามนอนตักด้วยเข้าใจไหม ไม่อย่างนั้นฉันจะปล้ำนาย นี่พูดจริง ๆ"

อริยะลดหนังสือการ์ตูนในมือลงแล้วมองหน้าพิธาน ในแววตาคู่นั้นคือความจริงจังที่แสดงออกอย่างเปิดเผย

"ย้ำอีกครั้งว่าพูดจริง ๆ ถ้ายังไม่เลิกทำแบบนี้ ฉันจะปล้ำนาย"

"ก็เอาสิ"

คนที่อ่านการ์ตูนอยู่วางหนังสือลงที่พื้นแล้วยกสองมือขึ้นหนุนท้ายทอยบนหมอน อริยะสบตาพิธานอย่างตรงไปตรงมา รอยยิ้มน้อย ๆ เผยอออกเหมือนเชื้อเชิญ พริบตานั้นแววตาที่เคยเต็มไปด้วยความขี้เล่นสนุกสนานแปรเปลี่ยนเป็นความยั่วเย้าชวนหลงใหล

"อยากทำอะไรก็ทำ"

"อาร์ม..."

"เดี๋ยวเปลี่ยนใจนะ"

คล้ายกับฤดูร้อนจะร้อนขึ้นอีกสิบองศา หัวใจของพิธานเต้นแรงเหมือนจะระเบิด น้ำลายในคอก็อุ่นจนร้อนวาบ มือที่สั่นนิด ๆ ของพิธานแตะลงไปที่หน้าท้องของอริยะ ค่อย ๆ ดึงเสื้อขึ้นจนเปิดถึงหน้าอก ผิวกายที่อยู่ใต้ฝ่ามือนั้นขาวน่าจับ กล้ามเนื้อได้รูปเพราะออกกำลังกายแน่นและให้ความรู้สึกประหลาด เหงื่อที่ซึมอยู่ทั่วเรือนร่างนั้นให้ความรู้สึกชื้นที่ฝ่ามือ และทุกครั้งที่ปลายนิ้วทั้งห้าลากผ่านส่วนนูนเหล่านั้น ลมหายใจของพิธานก็ดูจะขาดห้วงจนเสียระบบ

แววตาคู่นั้นของอริยะยังคงทอดมองอย่างยั่วเย้า คำเชื้อเชิญที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นทำเอาเขาสั่นไปทั้งตัว ขณะที่มือข้างหนึ่งค่อย ๆ ขยับขึ้นไปสัมผัสที่แผ่นอก มืออีกข้างของพิธานก็ค่อย ๆ วางลงตรงหน้าท้องที่ีเปลือยเปล่านั้น ค่อย ๆ ขยับลง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ขอบกางเกง

"อาร์ม..."

ดวงคู่นั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างท้าทาย มีรอยยิ้มเล็ก ๆ เหนือมุมปากยกขึ้นพร้อมกับต้นขาที่ขยับออกกว้างขึ้นเหมือนปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสทุกสิ่งบนร่างกายตัวเองได้ตามต้องการ

"จะจับก็ได้นะ"

พิธานกลืนน้ำลายลงคอ...เอื้อกใหญ่ มือที่สั่นไหวค่อย ๆ แทรกเข้าไปด้านในทีละน้อย ลึกขึ้น...และลึกขึ้น อริยะยังคงอยู่นิ่ง ๆ มือทั้งสองข้างยังหนุนที่ศีรษะเหนือหมอน ไม่มีวี่แววของความเคอะเขินกระดาก ความรู้สึกทุกสิ่งเปิดเผยอย่างไม่คิดปิดบังผ่านดวงตาทั้งสองข้างที่ไม่เคยละจากพิธานแม้เสี้ยววินาที คล้ายกับความตรงไปตรงมานั้นมีแรงดึงดูดทีี่มองไม่เห็น พิธานค่อย ๆ โน้มตัวลงมาอย่างเชื่องช้าจนใบหน้าอยู่เรี่ยกับลมหายใจอุ่น ๆ ของคนที่นอนอยู่

ร่างกายร้อนระอุเหมือนสุมด้วยแสงแดดฤดูร้อน เผาไหม้กำแพงแห่งมิตรภาพจนเหลือเพียงความรู้สึกที่เปล่าเปลือยอยู่ด้านใน เม็ดเหงื่อที่อุ่นเท่าอุณหภูมิของหัวใจค่อย ๆ พร่างพราวไปทั่วร่างกายของคนทั้งคู่ ทิ้งตัวเป็นเส้นสายหลอมรวมจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร

"จูบได้ไหม"

"อยากจูบเหรอ"

"อืม"

"ก็เอาสิ"

อริยะดันคางของตัวเองขึ้น รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากดั่งคำเชื้อเชิญที่หอมหวาน อากาศดูจะอบอ้าวขึ้นอีก และเหมือนความร้อนทั้งหมดทั่วพื้นที่นั้นจะอัดเข้าสู่หัวใจของพิธานอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งรับไม่ไหว พิธานค่อย ๆ กดใบหน้าของตัวเองลง รั้งระยะห่างเพียงเซนติเมตรระหว่างริมฝีปากของทั้งสองคน ปลายคางค่อย ๆ สัมผัสกัน ลมหายใจหมุนวนเหมือนจะกลายเป็นพายุฤดูร้อน พิธานทำอะไรไม่ถูก ชะงักอยู่ด้วยแรงรั้งบางอย่างที่จู่ ๆ ก็มีพละกำลังมากกว่าทุกความกระหายต้องการ

เขาไม่ใช่เพื่อนระริน ไม่มีความสนิทอะไรถึงขนาดจะต้องมาเกรงใจกัน แต่เขาทำไม่ได้ ความรักไม่ควรทำร้ายใคร สามัญสำนึกและความถูกต้องดึงตัวหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วเวลาขณะนั้น ลมหายใจที่ร้อนผ่าวกลับพร่างพรูไปด้วยความรู้สึกผิด หนึ่งสะบัดหัวไปมาเรียกสติที่ขลาดเขลาให้ออกมายืนอยู่บนพื้นที่ที่มันควรจะเป็นระหว่างคำว่า "เพื่อน"

"บ้าเปล่า" พิธานพ่นลมหายใจฟึดฟัด "กลับบ้านก่อนนะ"

"อ้าว แล้วไม่กินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ"

ประตูปิดลงดังปังพร้อมกับเสียงวิ่งที่ค่อย ๆ แผ่วลงไป อริยะขยุ้มหัวตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากพลางไหวหัวไปมา

"โธ่...ก็นึกว่าจะแน่จริง"

เจ้าของห้องเอื้อมลงไปหยิบหนังสือการ์ตูนที่วางทิ้งไว้มาอ่านต่อ แต่ยังไม่ทันพลิกไปถึงหน้าที่อ่านค้าง สองมือก็ปิดมันลงแล้วยกขึ้นกุมบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไปบนร่างกายตัวเอง อริยะถอนหายใจแล้วพูดกับความร้อนวาบที่ยังลอยวนอยู่ในอากาศเหมือนจะไม่ยอมจากไปพร้อมกับพิธาน

"แย่แฮะ แข็งเลย"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



เสียงหมาเห่าปลุกอานนท์ให้ตื่นขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือ ชายหนุ่มขยี้ตาสองสามครั้งก็ตื่นเต็มที่ด้วยเสียงร้องโอ๊ยที่ดังลั่นไปทั้งซอย อานนท์ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูออกไปชะโงกหน้าจากระเบียง ภาพที่เห็นคือผู้ชายตัวสูงใหญ่กำลังวิ่งหนีเข้ามาในหอ ดูอย่างไรนั่นก็คือพี่สิงห์

เสียงลงส้นเท้าดังขึ้นพร้อมอาการหอบเหนื่อยของคนที่ปรากฏตัวขึ้นที่บันได ผมหยักศกของพี่สิงห์ชื้นไปด้วยเหงื่อจนเปียก ทันทีที่เห็นเขา พี่สิงห์ก็ถามเสียงเข้มทันที "พอจะรู้ไหมว่าใครที่เป็นคนเลี้ยงหมาพวกนี้ ทำไมถึงไม่ดูแลให้ดี ปล่อยออกมากัดชาวบ้านแบบนี้ได้ยังไง"

อานนท์กะพริบตาปริบ ๆ ไม่กล้าตอบว่าหมาจรจัดพวกนี้ถูกเลี้ยงดูด้วยลูกหอนี้ซะมาก และหนึ่งในนั้นก็คืออานนท์นั่นเอง

พี่สิงห์เดินกะเผลกมาที่หน้าห้อง สะบัดมือที่ถือถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อ "สรุปว่ารู้ไหม"

"มันเป็นหมาไม่มีเจ้าของครับ" อานนท์หลบสายตา ตอบกลับอย่างไม่เต็มเสียง "เอ่อ...แต่ปกติมันไม่ดุนะครับพี่สิงห์ ค่อนข้างน่ารักทีเดียว เจ้าของหอถึงขนาดทำวัคซีนครบทุกอย่าง มันช่วยเฝ้าบ้านแถวนี้ หอเราก็ด้วย เวลาเห็นคนที่ไม่น่าใจมันถึงจะเห่าครับ"

เหมือนอุณหภูมิรอบ ๆ ตัวจะร้อนขึ้นอีกสิบองศา เพชรกล้ากดลมหายใจตัวเองอย่างเหลืออด "หมายความว่าฉันหน้าตาไม่น่าไว้ใจ ?"

"ปะ..ปะ...เปล่าครับ" อานนท์ถึงกับพูดติดอ่าง รีบยกมือโบกหย็อย ๆ ปฏิเสธพัลวัน

เพชรกล้าไม่คิดจะต่อความ ร่างสูงหมุนลูกบิดเปิดประตูแต่แผลจากที่โดนงับเมื่อครู่ทำให้จับลูกบิดได้ไม่ถนัด

อานนท์ที่เพิ่งสังเกตเห็นจึงถามด้วยความตกใจ "พี่สิงห์โดนกัดที่มือเหรอครับ"

ถามจบก็เห็นอีกฝ่ายหันกลับมามองหน้าไม่พูดอะไร เพชรกล้าดันตัวเองผ่านประตูห้องแต่ก็ทำได้ไม่ถนัด แต่แล้วก็เป็นอานนท์ที่เดินเข้ามาช่วยดันประตูห้องให้ "ผมช่วยทำแผลให้นะครับ"

ในความมัวซัวที่มีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องให้พอเห็นเพียงเลือนราง วูบหนึ่งในแววตาอันดุดันตลอดเวลาคู่นั้น อานนท์มองเห็นประกายอุ่น ๆ ในวงกลมสีดำตรงหน้าคู่นั้น เพชรกล้าเบี่ยงตัวพิงขอบประตู เสียงที่คุ้นหูแม้ยังแฝงด้วยความกร้าว กระนั้นในความทุ้มก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เหมือนกับทุกที

"ไม่มียาหรอก" เพชรกล้าพูด

อานนท์ยิ้มให้กับคนตัวสูงที่ยืนเก้อ ผู้ชายตัวโตที่ทำเรื่องยาก ๆ ได้ตั้งหลายอย่าง กลับมาตกม้าตายกับเรื่องพวกนี้นั่นหรือ อานนท์หายกลับไปเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบสำลี แอลกอฮอล์ล้างแผล ทิงเจอร์ไอโอดีน พลาสเตอร์ติดมือไปอีกสองสามชิ้น แล้วครุ่นคิดว่ายังขาดอะไรไปอีก

เพชรกล้าวางถุงอาหารบนโต๊ะแล้วถอดเสื้อยืดวางพาดไว้กับเก้าอี้ เขาสะบัดมือสองสามครั้ง มองดูแผลเล็ก ๆ ที่เกิดจากรอยงับของหมาสีขาวที่อ้วนจ้ำม้ำเหมือนหมู ถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินจนเดินเหยียบหางมันเข้าให้คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ เพชรกล้าเงยหน้าขึ้นมาจากแผลที่นิ้วและข้อมือเมื่ออานนท์ก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ดูจะเยอะเกินความจำเป็น

อีกครั้งที่อานนท์มองภาพที่เห็นตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ความเงียบค่อย ๆ สร้างอุณหภูมิและบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากทุกครั้ง อานนท์นั่งลงบนเก้าอี้ ห่างจากพี่สิงห์ไปหลายเมตรแล้วก็อยู่เฉย ๆ อย่างนั้นเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองมาเพื่อทำอะไร เพชรกล้าก็ไม่ต่างกัน เขานั่งนิ่ง จู่ ๆ ก็หมดคำพูดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ หน้าอกของคนสองคนขยับขยายตามจังหวะหายใจ กระทั่งชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เป็นฝ่ายเริ่มขยับตัว

"เป็นอะไร" อานนท์ไม่ได้ตอบ ร่างสูงใหญ่จึงลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้าคนที่เอาแต่นั่งเงียบ "ตกลงว่าจะทำแผลไหม"

อานนท์สะดุ้ง ลนลานจนสำลีหล่นบนพื้น เสียงถอนใจอย่างเบื่อหน่ายดังขึ้นที่ด้านบน อานนท์ถึงได้เลิกวุ่นวายเกินความจำเป็นแล้วหยิบขวดแอลกอออล์ขึ้นมาเปิด

สัมผัสแรกเมื่อสำลีชุ่มแอลกอฮอล์แตะลงบนผิว เพชรกล้าก็ยู่หน้า แล้วก็ต้องสะดุ้งจนเผลอดึงมือกลับตอนที่สัมผัสกับทิงเจอร์ไอโอดีน

"แสบ" เพชรกล้าคำรามในลำคอ

อานนท์นึกขำนิด ๆ อยู่ในใจ ตัวก็โตแสนโตดันแพ้ยาทาแผลเสียได้ มือที่บางกว่าค่อย ๆ ซับสำลีกับแผลที่ข้อมือและนิ้วช้าลงจนกระทั่งแปะพลาสเตอร์ให้เรียบร้อย ดูเพชรกล้าจะอ้ำอึ้งไปนิดหน่อยด้วยรู้ว่าเสียมาดหัวหน้าช่างจอมโหดไปเสียแล้ว

"บางทีพวกมันคงแปลกหน้าฉันจริง ๆ เพิ่งย้ายมาใหม่ จะว่าไปก็ไม่แปลกสินะที่พวกมันจะไม่คุ้น" เพชรกล้าวางฟอร์มให้ดูเข้ม "ไม่ได้เพราะเผลอไปทำอะไรที่ทำให้มันไม่ชอบหรอก"

อานนท์พยักหน้า ลึก ๆ แล้วโล่งใจที่ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กยังไม่น่าจะถึงฆาตเร็ว ๆ นี้

"เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ได้มาอยู่ที่นี่นานนักหรอก แค่ชั่วคราวเฉย ๆ ระหว่างที่รอซ่อมบ้านให้เสร็จก็เท่านั้น หลังสงกรานต์ก็น่าจะย้ายออกแล้ว"

ถึงว่า ห้องของพี่สิงห์ถึงดูโล่งนัก เป็นเพราะไม่ได้ตั้งใจจะอยู่นานแบบอานนท์นี่เอง

"ขอบคุณ" เพชรกล้าพูดขึ้นหลังจากทำแผลเสร็จ

อานนท์ยิ้ม เก็บข้าวของต่าง ๆ แล้วตั้งท่าเดินกลับห้อง แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายบางอย่างก็ทำให้เขาแปลกใจ

"อานนท์...กินข้าวเย็นหรือยัง ?" เพชรกล้าถามขึ้นทั้งที่สายตามองไปอีกด้าน อานนท์ลังเลว่าควรจะตอบอย่างไรดี ยังไม่ทันได้พูดอะไร เจ้าของห้องตัวโตก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากทุกที "กินด้วยกันไหม ?"

เป็นคำถามสั้น ๆ ที่ทำให้คืนฤดูร้อนเหมือนตกอยู่ในความฝันที่ไม่อยากลืมตา



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ผ่านไปอีกตอน ถึงตรงนี้ก็ประมาณครึ่งเรื่องแล้วครับ จะพยายามรีบมาต่อไวๆ
เป็นไปได้จะให้จบภายในเดือนนี้ให้ตงได้ ซึ่งก็ไม่รู้จะไหวไหม 55555555
ขอบคุณทุก ๆ คนที่ยังติดตามอ่านกันครับ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าเน้อ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: schneesturm_fubuki ที่ 14-06-2014 08:34:47
กรี๊ดดดดดดดดดด   ปืน นภ มาแล้วววววววว :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ลุ้นทุกคู่ โดยเฉพาะหนึ่ง อาร์ม แต่ขอสารภาพตามตรงว่าจำตอนเก่าๆไม่ค่อยได้ สงสัยต้องย้อนกลับไปอ่านตอนแรกๆใหม่

แอบงงเล็กน้อย  อิอิ

หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-06-2014 09:25:05
ปืนจะไล่ต้อนนภทำไม รู้แล้วจะทำให้อะไร ๆ เปลี่ยนไปหรือเปล่า
น้องนนท์กับพี่สิงห์ญาติดีกันแล้วเหวย
อาร์มยังจะเล่น ๆ อย่างนี้ไปอีกนานไหม ขอให้หนึ่งเปลี่ยนใจทีเถ๊อะ
ตรียังน่าหมั่นไส้คงเดิม คนอะไรนึกว่าตัวเองเป็นเทวดาหรือไง
รุ่นเล็กน่ารักจังเลยชาฮิดกับธีม นี่มันน้องชายตัวร้ายกับพี่ชายใจดีนี่นา
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 14-06-2014 13:49:13
ชอบคู่พิธานกับอริยะเป็นพิเศษแฮะ  :hao7:

หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: lovekimkina ที่ 14-06-2014 17:54:02
ปืนนภ โฮกกกกกกกกกกกกก ชอบคู่นี้  :o8: เป็นอะไรที่แบบ ฟหกดดวสง ฮ่าๆๆ
น้องธีม น่าหยิกจริงๆ ต้องให้พี่ชาฮิดกำหราบ อิอิ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-06-2014 18:24:00
ปืนนภ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 14-06-2014 19:08:56
อยากจะรู้ว่าตรีจะทำอะไรได้มากกว่านี้มั้ยยย
คือนางดูร้ายแบบไม่ควรจะจบแค่นี้น่ะ 5555
แต่ลุ้นคู่อามหนึ่งมาก นี่นึกว่าจะโดนสำเร็จโทษคู่แรก โถ... ดันหนีกลับก่อนซะได้ แม่ยกเสียใจ นี่บอกเลยย
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 14-06-2014 20:49:52
ขอมาเม้นรวดเดียวน่ะค่ะ อ่านตั้งแต่เช้า น่ารักมากๆๆๆเลยค่ะ
-คู่อาร์ม-หนึ่ง อาร์มแกล้งหนึ่งอ่า มีใจให้ก็ไม่บอก บ้าจริงๆๆๆๆ
ทะลึ่งด้วยอ่า หนึ่งหนีกลับบ้านเลย ทำไงล่ะทีนี้
-คู่เพชร-อานนท์ คู่นี้ฮาร์ดคอร์ จริงๆพี่ชาย อานนท์จะช้ำหมดมั้ยนี่
-คู่นัท-ตรี อยากให้นัทฮาร์ดคอร์ตรีเยอะ หึหึ มันช่างน่าหมั่นใส้จริงๆ เคะคนนี้ มาส่งส่งตาหวานเยิ้มใส่ให้น้องภัทรเชอะ!!!
-คู่ปรมะ-นภ อยากจะกรี๊ด ตอนอ่านสเป คะน้าแอบหมั่นใส้นภ แต่ตอนนี้เชียร์นภกับปรมะ เขินเลยอ่า
-คู่ชาฮิด-ภีม มันคริๆ ครุๆ มากๆอ่ะ ชาฮิดได้จิ้มก้มภีมแล้วรับผิดชอบเล้ยย
ครบยังน้าา น่าจะครบแล้วมั้ง??
เชียร์ทุกคู่เลยค่ะ
แอบกลัวคู่อาร์มดราม่า สงสารน้องอาร์มมิชัดเจน >^<
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 6 (Jun 14, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 15-06-2014 22:30:17
ปืนอบอุ่นจัง อ่านคู่นี้แล้วเหมือนจิบโกโก้อุ่นๆตอนอากาศเย็นๆ คิดถึงความทรงจำที่ดีๆที่ผ่านมาเลย ชอบมากก55 o13

คู่นี้ผีสิงจริงๆ พี่สิงห์โหดมาก อานนท์อดทนได้สุดยอด!!
เอ๊ะ!แต่พออ่านอีกตอนรู้สึกว่า พี่สิงห์ชักจะยังไงๆอยู่นาาาา
ขำชื่อหมามากๆ คิดได้ไงลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่ก 5555

คู่ชาฮิด-ภีมชวนจิ้นมากจริงๆ :o8:

ตรีนี่สุดๆละ ดนัยสู้ๆน้าา

คู่อาร์ม-หนึ่ง ทำให้ตกใจจริงจัง คิดว่าจะ......กันซะแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเสียเพื่อนแหงๆ เห้อกลุ้มแทน :serius2:

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 16-06-2014 22:31:55
สวัสดีครับ ขอบคุณมากๆ ที่ยังติดตามอ่านกันนะครับ จะพยายามมาอัพให้ไวๆ นะครับ

(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)


ตอนที่ ๗



ที่โรงพยาบาล ฮานส์นอนซมอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดที่ดูจะสบายน้อยกว่าหลายคืนที่ผ่านมาเพียงเล็กน้อย แต่สุขภาพนั้นถือว่าดีกว่าที่ผ่านมามากนัก ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลมาจากความที่อยากสัมผัสถึงแก่นแท้ของความเป็นไทยแบบต้นตำรับ เมื่อวานตอนบ่ายหลังจากพอได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เขาก็หอบร่างอันอ่อนแรงออกมาพร้อมกับอาการหิวโซ ผ่านร้านอาหารข้างถนนที่มีคนนั่งกินอยู่เต็มเกือบทุกโต๊ะ ฮานส์ไม่รู้จักว่ามันคือร้านอะไร แต่เหมือนกลิ่นไก่ย่างที่หอมฉุยกำลังกวักมือเรียกพร้อมกับคำโฆษณาชวนเชื่อว่า "ลองดูสิ อร่อยนะ" ลังเลชั่วครู่ ในที่สุดฮานส์ก็ตัดสินใจนั่งลง สั่งไก่ย่างและอาหารแบบคนก่อนหน้าทุกอย่าง ย้ำว่ารสชาติแบบคนไทยแท้ ๆ ไม่ใช่แบบฝรั่งกิน...ซึ่งผลก็เป็นอย่างนี้

มันคืออาหารในตำนานที่ฮานส์ได้ยินชื่อมานานแสนนาน "ส้มตำ" ที่คลุกด้วยปูตัวดำรสชาติเค็ม ๆ และบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับแองโชวีแต่ให้รสและกลิ่นที่แรงกว่ามาก (หมอที่ช่วยดูแลอาการอาหารเป็นพิษบอกว่ามันคืออาหารพื้นบ้านของไทยที่เรียกว่าปลาร้า) สรุปแล้วฮานส์จึงต้องนอนโรงพยาบาลโดยมีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขนไปอีกหนึ่งคืนเพราะอ่อนเพลียจากการเดินทาง อากาศที่ร้อนจัด แล้วยังป่วยซ้ำด้วยอาหารเป็นพิษอีก

"ต้องร่วมสงกรานต์ให้ได้" หนุ่มตาสีท้องฟ้าพูดกับนภด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยแข็งแรง

"พักก่อนเถอะ จะได้หายไว ๆ แล้วช่วงนี้ก็อย่าไปกินอะไรรสเข้มอีก" รสเข้มก็คือรสจัดจ้านในภาษาไทย นภจงใจแปลสำนวนพูดบางอย่างจากภาษาเยอรมันที่ฮานส์คุ้นเคยกว่าเพื่อที่คนไม่คล่องภาษาจะได้ไม่งง

เห็นฮานส์ตอบตกลงรับปาก นภก็เดินมาถามอาการโดยรวมกับหมอเจ้าของไข้ที่ด้านนอกอีกครั้ง แต่เมื่อไม่มีอะไรมากกว่าอาการอ่อนเพลียก็รู้สึกเบาใจ

กรุงเทพร้อนจนน่าตกใจ และเหมือนจะร้อนขึ้นในทุก ๆ ปี หน้าหนาวกินระยะเวลาสั้น ๆ อาจเพียงแค่สัปดาห์เศษ และส่วนที่รู้สึกเย็นให้พอระคายผิวได้บ้างอาจจะมีแค่เพียงสองสามวันในหนึ่งปีเท่านั้น เป็นแบบนี้จนคนไทยดูจะชินกับอากาศร้อนไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีปีไหนที่ร้อนจัดเท่ากับปีนี้ ร้อนขนาดที่ก้าวพ้นจากโรงพยาบาลออกมาได้แค่สองสามเก้า เนื้อตัวก็ชื้นและเหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อเสียแล้ว แล้วประสาอะไรกับคนแปลกถิ่นแบบเขา

หลายปีที่อยู่ต่างประเทศ นภได้เห็นข่าวเกี่ยวกับกรุงเทพมากมาย ทั้งข่าวการประท้วงทางการเมืองที่กินระยะเวลานาน ข่าวสาวประเภทสองที่ขึ้นประกวดร้องเพลงรายการลิขสิทธิ์จากต่างประเทศจนถูกนำไปออกรายการทีวีหลายประเทศ หรือแม้แต่ข่าวน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบทั้งประเทศเมื่อหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อได้กลับมายืนที่นี่อีกครั้ง นภถึงได้รู้ว่าตัวหนังสือที่อยู่ในข่าวตามอินเตอร์เน็ตเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงของกรุงเทพที่ได้มาเห็นด้วยตา

ข้อความทางไลน์จาก Falling in Love with The Sky...as Always ดังขึ้นพร้อมกับรูปสติ๊กเกอร์ที่เป็นตัวการ์ตูนอมยิ้ม และตัวหนังสือทักทายภาษาไทย

"ตื่นยัง"

นภยิ้มให้กับหน้าจอแล้วค่อย ๆ พิมพ์ภาษาที่ไม่ได้ใช้มานานหลายปีกลับไป

"ตื่นแล้ว สวัสดีครับ"

ข้อความ Read ปรากฏขึ้นที่หน้าจอ สักพักก็มีข้อความตอบกลับมา

"หวัดดี วันนี้อยากไปไหน"

นภอ่านข้อความขณะที่กำลังเดินลงไปสู่ความวุ่นวายที่เดี๋ยวนี้ลามลงไปสู่ใต้พื้นดินของกรุงเทพ เขายืนมองป้ายสถานีต่าง ๆ ที่ไม่คุ้นนัก กรุงเทพทันสมัยขึ้น ร้อนมากขึ้น เต็มไปด้วยบรรยากาศของการแข่งขันเช่นเดียวกับเมืองหลวงของประเทศใหญ่ ๆ เข้าไปทุกที นภหลีกทางให้กับนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังช่วยคุณยายท่านหนึ่งหยอดเงินค่าโดยสารใส่ตู้กดบัตร มองดูอัธยาศัยท่าทีที่แม้แต่ตัวเองก็ลืมไปแล้ว

ริมฝีปากของคนที่จากกรุงเทพไปนานนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม นภตัดสินใจพิมพ์ข้อความบางอย่างตอบกลับไป อะไร ๆ ที่นี่อาจเปลี่ยนไปมากแต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างหรอก

คนกรุงเทพยังน่ารักเหมือนเดิม



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



"อากาศยังคงร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่าลืมดูแลสุขภาพกันนะครับ ขอบคุณคุณหมอภัทรพลมากครับที่วันนี้ได้มาให้ความรู้กับพวกเรา พบกับสิ่งที่น่าสนใจ แล้วกลับมาพบกับช่วงสุดท้ายของรายการเช้านี้ที่ประเทศไทย สักครู่ครับ"

ชาฮิดละสายตาลงจากหน้าจอโทรทัศน์แล้วเช็ดโต๊ะต่อ อมริตาที่เห็นยิ้มแป้น ๆ ของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะแซว "คนนี้ที่วันก่อนลูกไปเสิร์ฟอาหารให้ใช่ไหมนะ"

"ใช่ครับ พี่เขานั่งที่โต๊ะตัวนี้แหละ" ทั้งที่แก้มบวมตุ่ย เด็กน้อยก็ยังตอบหน้าบาน ถ่ายรูปคู่กันไปทีเดียว ดูเหมือนว่าจะปลื้มพิธีกรรูปหล่อคนนี้นักหนา ดูยิ้มเข้า ยิ้มแบบนั้นไม่เจ็บแก้มเขียว ๆ บ้างหรือไรกัน

คนพี่ปลื้มผู้ใหญ่ ส่วนคนน้องดูจะปลื้มเด็กด้วยกันเสียให้แล้ว อมริตามองไปที่ลูกสาวคนเล็ก มีรากำลังนั่งจ้องธีมคล้ายกับหน้าของเด็กน้อยในตอนที่หลับมีสูตรคูณเขียนอยู่บนนั้น

"มีรา...มานี่เถอะลูก พี่ธีมกำลังนอน" เด็กหญิงตัวเล็กม้วนหน้าแดงแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นมาหาแม่อย่างว่าง่าย "มาช่วยแม่ล้างผักในครัวเถอะ อย่าไปกวนพี่เขากับน้าน้ำรู้ไหม"

อมริตาพามีราเดินเข้าไปด้านหลัง ในส่วนที่เป็นหน้าร้านจึงเหลือเพียงแค่ชาฮิดกับธีมที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาหนังสีเชอร์รี่ เก้าโมงแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มเตรียมร้านสำหรับขายอาหารมื้อเที่ยง เป็นเพราะเรื่องเมื่อวานที่ทำให้เด็กน้อยแก้มบวมตุ่ย หมัดของธีมไม่ได้เจ็บอะไรนักสำหนับชาฮิด แต่มันก็ทำให้เป็นวงช้ำจนเขียวไม่น่ามอง น้าน้ำเลยสั่งให้หน้าที่ยกของเล็ก ๆ น้อย ๆ เสิร์ฟในวันนี้เป็นของธีมที่เอาแต่หลับปุ๋ยตั้งแต่ตอนที่มาถึง

ธีมตื่นขึ้นอีกครั้งช่วงเวลาก่อนร้านเปิดไม่นาน เสียงจอแจที่ฟังไม่รู้เรื่องของคนทั้งร้านทำให้เด็กตัวน้อยลุกขึ้นมานั่งด้วยความงัวเงีย พอจับต้นชนปลายได้ก็รู้ว่าทุกคนกำลังสนอกสนใจอยู่กับวงเล็ก ๆ บนแก้มของชาฮิดที่เปลี่ยนเป็นจ้ำสีเขียว และทันทีที่คนที่ถูกล้อตัวหันกลับมาเห็นก็รีบเดินมาหาเด็กหน้ามุ่ยที่เพิ่งตื่นนอนทันที

"ตื่นแล้วเหรอ พอดีเลยร้านใกล้เปิดแล้ว ไปหาแม่พี่กัน"

ธีมพยักหน้าตอบแล้วลุกขึ้นเดินไปกับชาฮิด "ฉันน่ะ จะไม่ชกต่อยกับใครอีกแล้ว"

ชาฮิดหันกลับมามอง ส่งยิ้มให้คนตัวเล็กกว่า

"แล้วก็...เมื่อวานขอโทษนะ" ธีมมองไปตรงไปข้างหน้าระหว่างที่เดิน เด็กน้อยยืดอกขึ้น ดันตัวให้สูงเทียบเท่ากับชาฮิด แต่ดูเหมือนว่าจะยังน้อยไป ธีมจึงเขย่งเท้าขึ้นอีกนิดแล้วเอื้อมสุดมือขึ้นโอบบ่าคนข้าง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เพื่อเป็นการไถ่โทษ นับจากนี้ไป ฉันจะปกป้องนายเอง ถือว่าชดเชยให้ วางใจได้ ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรนายได้"

ชาฮิดสะดุ้งแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขอบคุณยกมือ แล้วยกมือขึ้นโอบเหนือก้นของธีม

"คำพูดแบบนั้นเขาไว้พูดกับผู้หญิงที่เราอยากปกป้องดูแลนะ"

ธีมชะงักอึ้ง หน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที พอตั้งสติได้ก็ออกฤทธิ์เดชอีกครั้ง เสียงดังผลั่ก ๆ กระหึ่มไปตลอดทาง ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งบอกเองว่าจะปกป้องอยู่แท้ ๆ

"โอ๊ย ! เตะทำไมเนี่ย พี่เจ็บ"

"แล้วจะทำไม เงียบไปเลย !"

ธีมหยุดแผลงฤทธิ์ก็เมื่อเดินเข้ามาในพื้นที่ห้องครัว แม่ของชาฮิดยืนอยู่ในครัวกับน้องสาวที่ชื่อมีราอยู่ในนั้น ทันทีที่เห็นลูกชาย อมริตาก็วานให้ชาฮิดถุงผลไม้ไปให้ปรายฟ้าที่เครื่องทำไอศกรีมที่อยู่ส่วนหน้าของร้าน ผลไม้เหล่านี้เป็นเครื่องท้อปปิงของไอศกรีมนั่นเอง พอเห็นชาฮิดตั้งท่าจะยกของ ธีมเดินรีบเดินเข้ามาแย่งไปถือจนเกือบหมด เหลือทิ้งไว้แค่ถุงมะม่วงสุกสองผลไว้ให้กับชาฮิดแล้วเดินพะรุงพะรังนำหน้าไปหาปรายฟ้าจนอมริตาหรือแม้แต่ชาฮิดเองต่างก็มองด้วยความแปลกใจ

"ไม่หนักเหรอ แบกเยอะขนาดนั้น" ชาฮิดถามระหว่างที่ทั้งคู่เดินมาหน้าร้าน

รวงแก้มของธีมเหมือนถูกแต้มด้วยพู่กันสีชมพููขึ้นมาในพริบตา "แค่นี้่เอง สบายมาก ก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวดูแลเอง"

ชาฮิดมองธีมที่ตัวเล็กกว่า อายุก็น้อยกว่าแต่ก็แข็งแรงไม่แพ้กับตัวเอง ที่ผ่านมาชาฮิดคงห่วงธีมมากไปสินะ "นี่...ธีมเป็นอะไรน่ะ แก้มโดนอะไรมาเหรอ"

"ก็บอกว่าให้เงียบไปไง !"

เห็นธีมหน้ามุ่ย ชาฮิดก็เลยไม่เซ้าซี้อะไรอีก พอส่งของให้แม่เสร็จแล้ว ธีมก็จูงมิือชาฮิดเดินมานั่งที่โซฟาซึ่งเมื่อครู่นอนหลับไปหลายชั่วโมง ดูเหมือนหลังจากความง่วงงุนได้สร่างไปแล้ว อาการปวดตุบก็กลับมาวูบวาบที่ก้นอีกครั้ง เรื่องแค่นี้เอง แม่จะตีอะไรนักหนานะ เด็กน้อยบ่นพึมพำกับตัวเอง

"ยังเจ็บอยู่ไหม ให้พี่ทายาให้นะ"

หน้าของธีมแดงจัดเป็นสีของมะเขือเทศก่อนที่เจ้าตัวจะแหกปากโวยวายเสียงดัง "ไม่ต้อง"

"ให้พี่ทาเถอะ จะได้หายไว ๆ ไง เดี๋ยวพี่พาไปกินขนม"

พอได้ยินคำว่าขนม หูของเด็กดื้อก็ผึ่งขึ้นทันที "ก็ได้"

จอมเกเรฟุบลงบนตักของชาฮิด ก่อนที่เจ้าของตักจะดึงกางเกงเปิดแก้มก้นที่ช้ำเป็นรอยนิ้วขึ้นมาทายา ธีมสะดุ้งเล็กน้อยในตอนที่ขี้ผึ้งถูกแตะลงบนก้นแต่ก็กัดฟันทำเป็นเข้มแข็งไม่รู้สึกอะไร จนปรายฟ้าที่ยืนมองดูทุกอย่างแต่แรกเห็นเข้าก็อดหมั่นไส้ลูกชายตัวเองขึ้นมาไม่ได้

"แหม...ธีมแอบชอบชาฮิดล่ะสิ"

"แม่พูดอะไรเนี่ย" ธีมสะดุ้ง หันกลับไปมองก็เห็นแม่ยืนกอดอกอยู่ใกล้ ๆ "แล้วมาแอบดูก้นคนอื่นเขาทำไม !"

"ดูแล้วจะทำไม" ปรายฟ้าดีดปลายนิ้วลงบนก้นของลูกชายตัวเองดังผลั่วะ ธีมสะดุ้ง รีบลุกขึ้นมาสวมกางเกงทันที หญิงสาวหัวเราะสนุกแล้วหลิ่วตามองเด็กตัวน้อยกลับอย่างไม่ละสายตา "แอบหลงรักพี่เขาแล้วใช่ม้าาา..."

ธีมหยุดอาการโวยวายทันควัน จอมดื้อกลับมาเป็นเด็กเรียบร้อยในพริบตา

"แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับน้าน้ำ" ชาฮิดถามแบบงง ๆ

ไม่ต้องรอให้น้าน้ำตอบ คนที่นั่งอยู่ข้างตัวก็กระตุกข้อมือของชาฮิดแล้วสวนขึ้นทันที "แล้วไง ? ถ้าชอบแล้วมันผิดหรือไง ?"

"ผิด !"

ไม่ใช่เสียงของชาฮิด แต่เป็นเสียงเล็ก ๆ ของมีราผู้เป็นน้องสาวที่ยื่นหัวโผล่ออกมาจากด้านหลังของเคาน์เตอร์

"อะไรของเธอ" ธีมถามงงงวย

"ก็มีราชอบพี่ธีมนี่"

"อะไรนะ !" ธีมตะโกนเสียงดังไปทั้งร้าน ก่อนจะรีบหันกลับมามองหน้าชาฮิดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รีบปฏิเสธพัลวัน "ไม่ใช่นะชาฮิด ฉันไม่ได้ชอบมีรานะ โอ๊ย...แล้วนี่เธอจะร้องไห้ทำไมเนี่ย หยุดนะ !"

"มีราไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้" ชาฮิดรีบลุกขึ้นไปปลอบน้องสาวตัวเอง

ธีมที่เห็นชาฮิดลุกหนีก็รีบวิ่งตาม สุดท้ายก็ต่อแถวกันเป็นพรวน มีราเป็นหัวแถว ตามมาด้วยชาฮิด แล้วปิดท้ายด้วยธีม วิ่งวนไปมาเหมือนเล่นงูกินหางอยู่แบบนั้น ปรายฟ้าที่ยืนอยู่ตรงกลางวงกลมของเด็กสามคนมองซ้ายทีขวาที เธอค่อย ๆ ยกมือทาบอกก่อนจะถอนหายใจเหนื่อย

"ลูกชายฉันก่อเรื่องอีกแล้ว"

เสียงเด็กร้องไห้ กับเสียงที่พยายามตะโกนให้ดังกว่าเพื่อปลอบ และเสียงที่ตะโกนให้ดังที่สุดเพื่อเรียกให้คนที่ตะโกนอยู่หันมามอง ทั้งหมดผสานเป็นบทเพลงแห่งความอลหม่านชวนหัวที่ทำให้ฤดูร้อนซึ่งร้อนจัดน่าหงุดหงิดกว่าทุกปีที่ผ่านมา



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



อริยะวางสายจากระรินด้วยรอยยิ้มขี้เกียจก่อนจะกดรีโมตเปิดเสียงรายการเกมโชว์ที่รีรันตามช่องดาวเทียม มือกว้างหยิบแก้วสเลอปี้ที่วางทิ้งไปหลายวันแล้วเลื่อนไปบนโต๊ะ หยิบแผนที่เส้นทางในการขี่ทริปจักรยานไม่กี่วันข้างหน้าขึ้นมากาง ประตูห้องเปิดขึ้น อริยะหันกลับมามองก็เห็นความเร็วระดับเสียงพุ่งทะยานเข้ามา

"ฮึ่ยย่า !!!"

หน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มหันไปพร้อมกับแรงกระแทกรุนแรงที่ีฟาดเข้าตรงก้านคอจนคะมำตกเก้าอี้ลงไปนอนตาค้างอยู่บนพื้น แว่นกระจายไปอีกด้านของห้อง

"ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าตื่นแล้วให้ปิดแอร์ ไม่ใช่เปิดแช่ไปทั้งวัน !"

"เจ็บ" อริยะน้ำตาซึมขณะมองร่างมัว ๆ ของพี่สาวจอมโหดที่ยืนเท้าสะเอวแล้วเอาเท้าเหยียบก้นเขาไว้ "ถึงกับต้องเตะก้านคอกันเลยเหรอ"

"รู้ไหมว่าค่าไฟเดือนหนึ่งมันกี่บาท ถ้าว่างมากก็หัดเก็บห้อง เอาเสื้อผ้า กางเกงในไปซักบ้างสิยะ ! แล้วนี่น่ะมันอะไร !" แก้วสเลอปี้ลอยล่องมากระแทกหัวให้อีกโป๊กให้ช้ำใจ

อารดาเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของอาร์ม ใคร ๆ ก็ชมว่าพี่อายส์เป็นคนสวย น่ารัก เรียนเก่ง ลุคคุณหนู แถมยังเป็นเชียร์ลีดเดอร์ระดับมหาวิทยาลัย แต่นั่นมันแค่ภาพมายาชัด ๆ ตัวตนที่แท้จริงของพี่สาวเขานั้นช่างแตกต่างจากภาพที่คนอื่นจินตนาการไว้เหลือเกิน ถึงลักษณะภายนอกจะเป็นอย่างนั้น แต่การบ้านการเรือนกลับทำไม่เป็นสักอย่าง ดูมวยปล้ำ ชอบสัตว์แปลก ๆ อย่างสลามันเดอร์ รักหนังฆาตกรรมสยองขวัญ และสะสมตุ๊กตาน่ากลัวเป็นงานอดิเรก ช่างถือเป็นตราบาปสำหรับผู้หญิงทั้งคณะอักษรฯ เสียจริง อาร์มอยากบอกทั้งโลกเหลือเกินว่าพี่สาวไม่ใช่นางฟ้ามาเกิดอย่างเพื่อน ๆ หรือรุ่นพี่คณะเขาเข้าใจแม้แต่น้อย

"เดี๋ยวพี่จะไปต่อยมวย นัดเทรนเนอร์ไว้แล้ว ดูช่างมาล้างแอร์ด้วยนะ แล้วเลิกนอนกลิ้งไปวัน ๆ ลุกขึ้นทำอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง เดี๋ยวสมองก็ฝ่อหมดหรอก" สั่งเสร็จ อารดาก็วางคูปองทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศฟรีบนโต๊ะของน้องชายแล้วเดินผิวปากออกไปจากห้องอย่างมีความสุข

อาร์มลุกขึ้นมานั่งเกาหัวแกรก ๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เขาเกลียดหน้าร้อนเหลือเกิน นอกจากจะร้อนจัดแล้วยังต้องมาเจอหน้าพี่อายส์ที่แสนเหี้ยมโหดเกือบทุกวัน นิ้วทั้งห้าควานแว่นสายตาขึ้นมาแล้วสวมก่อนจะลุกขึ้นมานั่งดูทีวีต่อ

ครึ่งชั่วโมงต่อมาเสียงกริ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตู เจ้าของบ้านเดินลงมาจากชั้นบนแล้วเปิดประตูออก พอเห็นว่าเป็นใคร อริยะก็ยิ้มทักทาย

"ไง" พิธานทักแล้วชูถุงในมือขึ้น "ซื้อสเลอปี้มาฝากด้วย"

"โห...กำลังอยากกินอยู่พอดีเลย รู้ได้ไงเนี่ย ว่าจะออกไปซื้อแต่ก็ร้อนจนขี้เกียจ"

"ก็เห็นกินอยู่บ่อย ๆ แถมยังเคยบอกด้วยว่าหน้าร้อนต้องมีสเลอปี้"

"หา...เคยบอกแบบนั้นด้วยเหรอ จำไม่ได้เลย" อริยะเกาหัวงง ๆ ก่อนจะก้มลงดูดของโปรดแล้วร้องชื่นใจ "อร่อยจังน้าาา...หนึ่งกินด้วยกันไหม"

พิธานส่ายหัวแล้วชูอีกถุงในมือ "ซื้อโคลายี่ห้อใหม่มาลองชิมดูน่ะ เมื่อเช้าดูรายการเล่าข่าวเห็นแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่เคยชิมเลย เคยเห็นไหม"

"เคยเคย เคยเห็นตอนโฆษณาในทีวี สุดยอดเลย เห็นแล้วอยากกินขึ้นมาเลย" อาร์มวางแก้วน้ำแล้วยื่นหน้ามาดูที่ถุงพลาสติกที่หนึ่งถืออยู่ ใบหน้าในระยะใกล้ทำให้หนึ่งสังเกตเห็นรอยช้ำที่เป็นปื้นแดงที่คอกับโหนกแก้มด้านซ้าย

"เดี๋ยว ๆ หน้าไปโดนอะไรมาน่ะ"




(ยังมีต่ออีกครึ่งนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 16-06-2014 22:32:42
(ต่อครับ)



คำถามนั้นทำให้เจ้าของบ้านขยับขาแว่นตาแล้วทำหน้าเพลีย "จะอะไรล่ะ ก็พี่อายส์น่ะสิ สุด ๆ ไปเลย เหอ ๆ"

"แต่ใคร ๆ ก็อิจฉานายนะ พี่อายส์น่ารักออก หุ่นดี หน้าอกก็ใหญ่บึ้มไปเลย"

"หน้าอกใหญ่แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะนั่น ไม่รู้เหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นปีศาจ" อริยะทำหน้าเซ็งแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน "วันนี้คงต้องออกไปบ่ายนะ พอดีมีช่างมาล้างแอร์ เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เอง จะโทรไปบอกก็คิดว่าคงออกมาแล้ว โทษทีนะ"

พิธานนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง ไม่ถือว่าเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไร

"แล้วเมื่อวานทำไมไม่อยู่กินข้าวด้วยกันล่ะ"

นี่สิเรื่องใหญ่ คนฟังชะงักไปเล็กน้อยแล้วปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ "ไม่อยากกิน"

"อย่างนั้นเหรอ แหม...จริง ๆ อยากกินอาร์มล่ะสิ นึกว่าเมื่อวานเราจะได้ตกเป็นของกันและกันไปซะแล้ว" อริยะพูดแล้วหัวเราะสนุก ไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนบนสีหน้าตลอดจนท่าทางของอีกฝ่ายว่าเป็นเช่นไร และก่อนที่จะรับรู้ เสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คงเป็นช่างที่ทางพี่อายส์ตามแม่แน่ ๆ

"โอ๊ะ มาแล้วแน่ ๆ เลย รอแป๊บนะ"

ที่หน้าประตู ช่างแอร์สองคนกล่าวสวัสดีแล้วแนะนำตัวว่าเป็นช่างที่ได้รับการติดต่อให้มาทำความสะอาด อริยะเปิดประตูให้ทั้งสองคนแล้วเดินนำเข้ามาในบ้าน

"ห้องไหนครับ"

"สามห้องครับ อยู่ด้านบน พี่มาทางนี้เลยครับ" อาร์มหันไปพยักหน้าให้กับหนึ่งเป็นสัญญาณว่าให้ตามขึ้นมาด้านบนด้วย ห้องแรกที่พาช่างไปคือห้องนอนของอาร์มที่หนึ่งมาหลายครั้งจนคุ้นตาไปแล้ว หนึ่งนั่งลงบนเตียง ปล่อยให้อาร์มพูดคุยกับคนที่ดูเป็นหัวหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินนำอีกคนไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดเตรียมน้ำสำหรับทำความสะอาด

มอเตอร์ถูกต่อเข้ากับแอร์ที่ติดอยู่ที่ผนังห้องโดยมีผ้าใบคลุมกันละอองน้ำกระจาย ช่างกดรีโมตเปิดแอร์ ปล่อยให้แรงดันของน้ำผ่านมอเตอร์และแรงลมทำความสะอาดตัวเครื่องปรับอากาศกันเองทีละนิด เสียงครางหึ่ง ๆ ของมอเตอร์ดังขึ้นขณะที่ช่างคนหนึ่งเปิดหน้ากากเครื่องปรับอากาศเพื่อตรวจเช็คความเย็น

"แอร์ยังเย็นอยู่นะครับ คงยังไม่ต้องเติมน้ำยา" พูดจบเขาปลีกตัวไปหาผู้ช่วยที่ยืนงก ๆ เงิ่น ๆ ทำความสะอาดตัวพัดลมระบายอากาศด้านนอก ฉีดน้ำไปก็ชี้ให้ดูชิ้นส่วนแต่ละชิ้น และวิธีในการทำความสะอาดควบคู่กันไป

อาร์มเดินกลับมาด้านในห้องแล้วนั่งแหมะข้าง ๆ กับคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว "หน้าร้อนนี่มาถึงไวเกินไปจริง ๆ นะว่าไหม น่าเบื่อเนอะ พอร้อนจะทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมดเลย"

"อย่ามากอดได้ไหม นี่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะ ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง" พูดเรื่องหนึ่ง แต่ทีมือไม้ก็อีกเรื่อง หนึ่งโวยวายไม่เต็มเสียง สองมือแกะอ้อมแขนของเจ้าของห้องอย่างยากลำบาก

"ม่ายยย..." อริยะลากเสียงยาวอย่างเกียจคร้าน "นี่ ๆ แล้วปกติหน้าร้อนนี่ทำอะไรบ้างเหรอ"

"ก็ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไปเรียนพิเศษ ไปเดินห้างบ้าง แต่พอเข้าที่นี่แล้วก็ไม่ต้องเรียนอะไรแล้ว ปล่อยน่า" มือทั้งสองข้างของหนึ่งยังคงไม่ทิ้งความพยายามเดิม แต่พอแกะหลุด มือของอาร์มก็เกี่ยวหมับใหม่ไม่จบไม่สิ้น

"จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็อยู่ด้วยกันตลอดเลยสินะ"

"นี่นอนตักเลยเหรอ !"

หนึ่งร้องเสียงหลง นอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้ว อาร์มยังซบหน้านอนลงบนตักต่อได้อย่างหน้าตาเฉย หนึ่งออกแรงผลักมากขึ้น แล้วเหมือนหัวของอาร์มจะกลายเป็นหัวมันที่พอฝังลงดินเมื่อไรก็รากงอกจนถอนไม่ออกเมื่อนั้น อาร์มกอดเอวของหนึ่งแน่น (บางทีก็แอบจักจี้) พูดต่อเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

"นี่ ๆ พอมาคิดดูแล้ว สมมติว่าถ้าหนึ่งเป็นผู้หญิงนะ ซีนนี้มันสุดยอดโรแมนติกเลยนะ เหมือนในฝันมาก สุดยอดไปเลย"

"ก็แล้วทำไมไม่ไปนอนตักริน"

"ได้ที่ไหนล่ะ รินเป็นผู้หญิงนะเฟ้ย"

พิธานนั่งนิ่ง ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าจะได้รับคำตอบประมาณนี้แต่แรก พอได้ยินจริง ๆ ก็รู้สึกว่ายังยากเหลือเกินที่จะไม่รู้สึกอะไร

มันไม่ใช่แค่การแอบรักเพื่อนตัวเองแบบสถานการณ์ปกติทั่วไป มันมากกว่านั้น เพราะเป็นผู้ชาย...จึงมีบางสิ่งที่ทำได้ และบางสิ่งที่ทำไม่ได้ ผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรอก มันมากกว่านั้นเพราะว่าเขาเป็นผู้ชาย มันซับซ้อนและน่ากลัวกว่าที่ใครสักคนซึ่งเป็นผู้หญิงแล้วตัดสินใจบอกรักเพื่อนผู้ชายที่แอบชอบ หรือผู้ชายจะบอกรักเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นผู้หญิง อาร์มเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานาน อาร์มมีแฟนแล้ว และทั้งคู่ก็ดูเหมาะสมกันดี แต่อาร์มเป็นผู้ชาย ซึ่งมันก็คือเพศเดียวกันกับที่เขา ใครก็ตามที่เจอกับสถานการณ์แบบนี้คงพูดได้แต่ว่าจะเดินหน้าก็เดินต่อไปไม่ไหว จะถอยหลังก็ยังตัดใจไม่ได้

ใครบ้างล่ะที่ไม่อยากมีความสุข ใครบ้างที่สามารถตัดใจได้จากสิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้ทั้งวันแบบนั้นได้ง่าย ๆ โทษอาร์มก็ไม่ได้หรอก เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นตัวหนึ่งเองที่กลับมาสู่วงจรเดิมซ้ำ ๆ และในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ถึงสิ่งที่อาร์มทำถึงแม้จะเหมือนสารเสพติดจำพวกยากล่อมประสาท ให้ผลระยะสั้นแต่ทำลายร่างกายจากภายในไปทีละนิด ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่หนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้แต่ละวันที่ผ่านไปในฤดูร้อนปีนี้น่าจดจำกว่าปีไหน ๆ ที่ผ่านมา

"นี่ ๆ แล้วสงกรานต์จะไปเล่นน้ำไหม"

"คงไม่หรอก ขี้เกียจ" ขี้เกียจจะเจ็บเพิ่ม และทุกวันนี้มันก็น่าจะพอได้แล้ว พิธานหยุดท้ายประโยคที่ไม่มีเสียงไว้เพียงเท่านั้น

"ไปเล่นน้ำที่ข้าวสารกันไหม" อาร์มกระแซะขึ้นอีกนิด เอื้อมมือดึงเศษผมที่ติดอยู่ที่ปลายจมูกของหนึ่งออกมาเป่าเล่น "สองคน ไม่ชวนรินไปหรอก"

"เฮ่ย...จะดีเหรอ"

"บางทีก็อยากอยู่กันสองคนบ้างนะ ไม่ได้หรือไง"

วูบหนึ่งในใจของหนึ่งสั่นไหวประหลาดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหมือนมีสปริงนับร้อยเส้นอยู่กลางหน้าอกแล้วทั้งร้อยเส้นนั้นก็พร้อมใจกันกระเด็นกระดอนจนปั่นป่วนไปหมดจากข้างใน ดวงตาที่วูบแกว่งไกวตามร่างสูงกว่าซึ่งลุกขึ้นไปหยิบกีต้าร์ตัวเดิมที่เคยใช้ในตอนการแสดงรับน้องตอนปีหนึ่ง มันถูกวางหมกไว้ที่มุมห้องคล้ายกับไม่ถูกหยิบขึ้นมานานหลายมากแล้ว อาร์มเอาปากเป่าฝุ่นนิดหน่อย ดีดขดลวดเล็ก ๆ ที่ขึ้นสายอยู่บนกีต้าร์แล้วปรับโทนเสียงให้ตรงกับโน๊ตดนตรี

"ร้องเพลงกันเล่นไหม เอาอะไรดี เพลงที่หนึ่งชอบดีไหม มา ๆ"

มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ตัวฉัน ยังยืนอยู่ตรงนี้
มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ใจฉัน ไม่ยอมหยุดเสียที


เสียงของอาร์มดังขึ้น มันเป็นเพลงที่หนึ่งชอบ ทั้งคู่เคยร้องเล่นอยู่เสมอในตอนที่เพลงนี้เพิ่งออกมา หนึ่งชอบแสตมป์ อภิวัชร์ ชอบเกือบทุกเพลงจนถือเป็นศิลปินคนโปรด แล้วมันก็บังเอิญที่อาร์มก็ชอบด้วยเหมือนกัน ยังมีอีกหลาย ๆ อย่างที่เขาและอาร์มชอบทั้งคู่เหมือนเรื่องบังเอิญ เยอะมากจนทำให้กลายเป็นว่าหนึ่งสนิทกับอาร์มกว่าใคร ตัวติดกัน ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน จนใครต่อใครพากันล้อว่าเป็นคู่เกย์ประจำคณะ เพลงนี้...เป็นจุดเริ่มต้นของทุก ๆ อย่าง หลังจากที่ลืมไปแล้ว พอได้ยินอีกครั้งอะไร ๆ มันก็วนกลับมาเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดเมื่อสัปดาห์ก่อนเท่านั้น

"ร้องต่อสิ"

พ่ายแพ้ต่อน้ำเสียงแบบนั้น หนึ่งจึงค่อย ๆ ร้องคลอเพลงนั้นไปกับอาร์ม ตาที่มองตาเหมือนกับจะถ่ายทอดบางอย่างที่ไม่เคยพูดออกมาไปสู่คนที่กำลังดีดกีต้าร์ ส่งยิ้ม และจับจ้องมาที่เขาพร้อมกับโยกหัวเป็นจังหวะอยู่

แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที
แต่ว่าความรัก ก็ยังขอให้ฉันทำแบบนี้

ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรัก...


"อ้าว...พี่เสร็จแล้วหรือครับ ทางนี้ครับ เดี๋ยวมานะ นอนเล่นไปก่อน" อาร์มวางกีต้าร์ลงทั้งที่เพิ่งร้องไปได้แค่ไม่กี่ท่อน ดูเหมือนว่าช่างจะทำความสะอาดแอร์ที่ห้องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะย้ายไปทำที่ห้องอื่น ๆ ต่อไป

อาร์มเดินนำช่างออกไปที่ห้องอื่นแล้ว ทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวเงียบลงอีกครั้ง ไม่มีเสียงมอเตอร์ทำงาน ไม่มีเสียงพูด เสียงร้องเพลงอะไร ลมเย็นสะอาดพัดมากระทบใบหน้าของหนึ่ง อีกไม่นานเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ซึมอยู่คงจะระเหยไปเอง จากทั้งขมับ หลัง...กระทั่งในใจ อีกไม่นานหรอก เวลาจะทำให้ทุกอย่างค่อย ๆ หายไปเอง หนึ่งร้องเพลงนั้นต่อช้า ๆ ท่วงทำนองของกีต้าร์ยังกระหึ่มอยู่ในหัวใจ

แต่ว่าความรัก ก็ขอให้ฉันทำแบบนี้

ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะเลิกชอบเพลงนี้เสียที



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



เพชรกล้าหยิบกล่องอุปกรณ์ทำความสะอาดและมอเตอร์ออกมาจากบ้าน บ้านนี้เป็นหลังสุดท้ายสำหรับวันนี้แล้ว หลังจากนี้แล้วก็ตรงกลับสู่ที่ทำงานได้เลย เดิมทีเดียวเขาไม่ได้มีหน้าที่ออกมาทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศแบบนี้ แต่ในสภาวะที่ขาดแคลนคนอย่างหนัก หัวหน้าช่างแบบเขาก็จำเป็นต้องออกมาทำเองในบางที ซึ่งหากจะว่าไปแล้ว เพชรกล้ารู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับงานประเภทนี้มากกว่างานอบรมแบบที่ถูกขอร้องแกมบังคับให้ทำมากนัก อย่างไรก็ตาม ในเช้านี้ เห็นได้ชัดว่าตัวปัญหาอย่างอานนท์จำชิ้นส่วนทุกอย่างและเริ่มอธิบายหลักการทำงานคร่าว ๆ ของเครื่องปรับอากาศได้ทั้งหมดแล้ว แม้จะยังไม่คล่องนักแต่ก็ไม่ผิดสักชิ้น

สองวัน ซึ่งถ้าเทียบกับการอบรมปกติที่กินเวลาไม่เกินครึ่งวัน นี่คือผลงานชิ้นเอกที่เพชรกล้าจะไม่มีวันลืมเลือนเลยจริง ๆ

"เห็นแล้วใช่ไหมว่าจุดในการติดตั้งแอร์มีความสำคัญ ที่เราต่างกับที่อื่นตรงที่แผนกช่างมีความชำนาญในการติดตั้ง สามารถคำนวนและแนะนำลูกค้าได้เป็นอย่างดี นี่คือจุดขายหนึ่งของแผนกเครื่องปรับอากาศเรา"

อานนท์พยักหน้ารับคำ จำทุกอย่างได้เป็นมั่นเหมาะ คนตัวเล็กเดินตามร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างว่าง่ายกระทั่งมาถึงรถที่จอดเยื้องไปจากรั้วนิดหน่อย

"เอ่อ...ท่าทางเขารักกันน่าดูเลยนะครับ พี่สิงห์คิดว่าเขาเป็นแฟนกันไหมครับ" จู่ ๆ ตัวปัญหาก็ตั้งคำถามใหม่ขึ้นมาให้เพชรกล้าปวดหัวเล่นอีกแล้ว ทั้งที่ใครจะเป็นแฟนใคร ไม่ใช่ธุระอะไรที่เพชรกล้าคิดจะสนใจเลยสักครั้ง

"เป็นตุ๊ดหรือไง เห็นแล้วอยากมีแฟนเป็นผู้ชายบ้างเหรอ"

"เปล่าครับ ผมแค่แปลกใจ" อานนท์ส่ายหัวยิก ตอบตามความจริง "อยู่บ้านนอกไม่มีอะไรแบบนี้นัก ถึงมีก็ไม่ได้เปิดเผยแบบนี้ พอได้มาเห็นจริง ๆ แล้วเลยไม่แน่ใจ"

เพชรกล้าหยิบของวางไว้ท้ายรถกระบะแล้วเปิดประตูรถเดินเข้าไปนั่งทำหน้ายุ่งด้านใน อานนท์ทีี่กำลังเหม่อก็รีบวิ่งตามเข้าไปสมทบก่อนจะถูกทิ้งไว้ข้างทางแบบนี้ พอนั่งลงได้ อานนท์ก็สะดุ้งจนเต้นเหมือนไส้เดือนกลิ้งบนขี้เถ้า รถที่จอดตากแดดไว้นาน ๆ ร้อนจัดเหมือนกับอยู่ในเตาไมโครเวฟไม่มีผิด เบาะหนังสีดำเก่า ๆ ร้อนจัดจนมือแทบพอง แต่เพชรกล้ากลับนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีก็เพียงเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ซึมตามไรผมและคราบชื้นที่ปกเสื้อและแผ่นหลัง

รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้า ๆ ก่อนจะออกสู่ถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยความแออัดยัดเยียด เพชรกล้าไม่ได้เปิดแอร์แต่ลดกระจกลงครึ่งหนึ่งแล้วเท่านั้น ปล่อยให้ลมที่พัดเอื่อย ๆ ข้างทางค่อย ๆ ไล่ความร้อนเหมือนไฟนรกให้เหลือเพียงอุณหภูมิเท่าไอแดดของฤดูร้อนตามหลักการถ่ายเทของอากาศ

"ที่กรุงเทพ ผู้ชายรักกันไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกเหรอครับพี่สิงห์"

เฟชรกล้ากระแทกพวงมาลัยรถแล้วหันมาจ้องหน้าอานนท์อย่างหงุดหงิด เห็นแบบนั้น อานนท์ก็ถอยกรูดกลับไปอยู่ในความเงียบแบบหลายวันที่ผ่านมาทันที

เมื่อคืน เขาคิดว่าอะไร ๆ มันเริ่มจะดีขึ้นแล้ว พี่สิงห์ไม่ได้เป็นคนดุเป็นผีสิงอย่างที่อานนท์เคยตั้งสมญาให้ตอนที่รู้จักใหม่ ๆ หลังจากคลุกคลีรู้จักกันมากขึ้น อานนท์พบว่าพี่สิงห์เป็นคนจริงจังกับงาน ไม่ชอบคนขี้เกียจ คนไม่รับผิดชอบ และจะโมโหทุกครั้งในเวลาที่เห็นใครไม่ทุ่มเทกับงานที่ได้รับมอบหมาย นั่นคือสาเหตุที่พี่สิงห์ดูเป็นคนน่ากลัวจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลางานนี่นา ไม่สิ มันเป็นเวลางาน แต่งานก็เสร็จแล้ว และตอนนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร จะคุยเล่นบ้างไม่ได้เลยหรือ

"พี่สิงห์ครับ ทำไมพี่สิงห์ถึงเลือกทำงานเป็นช่างแบบนี้ล่ะครับ ชอบหรือครับ" ถ้าจริงจังขนาดนั้น อานนท์ยอมชวนคุยเรื่องงานแทนก็ได้ และคราวนี้ อีกฝ่ายก็ยอมตอบแต่โดยดี

"พี่ไม่ชอบงานเอกสาร ชอบทำงานที่ลงมือทำแบบนี้ งานช่างเป็นงานที่พี่ถนัดกว่าอย่างอื่น" เพชรกล้ามองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่เข้าใจ "ตกใจอะไร ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น"

"เปล่าครับ" อานนท์รับคำไปแบบนั้นทั้งที่ในใจตื่นเต้นน่าดู สองสามวันที่ได้รู้จักกันมา ยังไม่เคยเห็นพี่สิงห์แทนตัวเองว่าพี่กับใคร อันที่จริง พี่สิงห์แทบจะไม่พูดกับใครด้วยซ้ำ พอได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้น แล้วก็ท่าทีเรียบง่าย สบาย ๆ แบบนี้ อานนท์คิดว่าคนที่ถูกขนานนามว่าดุเป็นสิงโตดูจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ด้วยซ้ำ อย่างน้อยพี่สิงห์ก็เป็นคนจริง นิ่งขรึม ประหยัดคำพูด แต่ก็ดูเข้มแข็ง ไม่ใช่ผู้ชายที่ดูหลุกหลิกหรือเหยาะแหยะแบบเขานั่นแหละ

"ผมว่าพี่สิงห์เป็นคนเท่มากเลยครับ ทำงานก็เก่ง ถึงจะดุแต่ก็ดูเป็นคนตรงไปตรงมาแบบคนบ้านผม ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่นี่ บางทีคนกรุงเทพก็ชอบพูดอ้อมค้อม จะพูดทีก็ต้องมีแง่มุมลึกซึ้ง ฟังดูดี แต่...คือ...พูดตามตรงแล้ว ผมไม่เข้าใจหรอกครับ แต่ถ้าเป็นอย่างพี่สิงห์ โง่ก็บอกมาตรง ๆ เลยว่าโง่ ไม่ได้เรื่องก็พูดตรง ๆ ไปเลย ไม่ได้ใช้คำพูดสวยหรูให้ผมไปตีความต่อ แนวลูกทุ่งแบบนี้อาจจะเหมาะกับผมมากกว่า อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่าควรปรับตรงไหน นี่ผมยังคิด ๆ อยู่เลยคิดว่าจริง ๆ แล้วพี่สิงห์เป็นคนเท่มาก ๆ นะครับ"

เพชรกล้ามองอานนท์ที่พูดไปเรื่อย ๆ เหมือนทุกวัน ไม่เคยรวบรวมความคิดได้ จับประเด็นไม่เป็น พูดแบบไม่คิด พร่างพรูไปเรื่อย ๆ อยากพูดอะไรก็พูด เหมือนหาจุดสิ้นสุดไม่ลง จบจากเรื่องนี้ก็ต่อเรื่องอื่นไปได้อีกไม่จบสิ้น ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ไม่ได้ดูเป็นคนโง่อะไรนักหนาแบบที่เจ้าตัวมักชอบพูดถึงตัวเองอย่างนั้น อานนท์คล้ายเด็กที่ตื่นตัวกับการเรียนรู้ นัยน์ตาเปิดเผยทุกสิ่งอย่างบริสุทธิ์ ปราศจากจริตปรุงแต่ง หรือแม้แต่แฝงเจตนาประจบใด ๆ แบบคนอื่นที่เพชรกล้าเคยเห็น เป็นเหมือนคนบ้านนอกซื่อ ๆ ที่แสงสีของเมืองกรุงยังไม่สามารถลบความจริงใจที่ติดตัวมาแต่บ้านเกิดเมืองนอนได้

"เหรอ"

อานนท์รีบพยักหน้ารับ "แล้วพี่สิงห์ก็หล่อมาก ๆ ด้วยครับ"

"ทำไม ? สรุปคือแอบชอบฉันงั้นหรือ ?"

พริบตา หน้าตาของอานนท์เหรอหราขึ้นมาทำที และกว่าหลายวินาทีที่คนลนลานอยู่จะพอเริ่มเปล่งสุ้มเสียงติดอ่างออกมาได้ใหม่อีกครั้ง

"เปล่า...เปล่านะครับ" อานนท์ก้มหน้าลงมองหัวเข่าตัวเอง รู้สึกเหมือนแดดกำลังเผาไปทั่วทั้งร่าง "แค่พูดเฉย ๆ เปล่าจริง ๆ นะครับ"

เวลาที่โกหกจะออกอาการแบบนี้ ออกมาทั้งสีหน้า ท่าทาง เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงสงสัย เพชรกล้าหันหน้ากลับไปมองถนนที่ติดขัดตลอดเวลา ให้มันได้แบบนี้สิ เด็กแบบนี้จะเอาตัวรอดอยู่ในกรุงเทพได้อย่างไร พนักงานขายเป็นสังคมหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยคนกะล่อน อุบายจัดมากที่สุดในห้างสรรพสินค้า แล้วเด็กเซ่อซ่าแบบอานนท์รอดมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรกัน

จากหลายวันที่ผ่านมา เพชรกล้าพอจะรู้แล้วว่าทำไมโกวิทถึงพยายามจะเคี่ยวเข็ญเด็กไม่ได้เรื่องคนนี้นัก อานนท์ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ในแผนกขายสักนิด และคงเพราะว่าเห็นว่าเนื้อแท้เป็นอย่างไร โกวิทถึงได้ใช้คำว่า "เคี่ยวเข็ญ" ให้เขาเป็นคนอบรมเองอย่างนี้

เคี่ยวเข็ญหรือ ?

ตลกแล้ว นี่มันสนับสนุนชัด ๆ เพราะรู้ว่าอานนท์เป็นคนแบบนี้ก็เลยออกหน้าจับย้ายแผนกเพื่อกระตุ้นให้เด็กให้มีผลงาน ก็จริง...ที่เพชรกล้ารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยกับหัวหน้าฝ่ายขาย เดิมที่คิดว่าส่งมาป่วน พอมองในแง่ศีลธรรมแล้วก็ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว แต่อะไร ๆ มันไม่ได้ง่ายนักหรอก สุดท้ายก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวของอานนท์เองว่าทำได้แค่ไหน โกวิทเสี่ยงมากที่มั่นใจในตัวเด็กคนนี้มากขนาดนั้น

"ขอบคุณพี่สิงห์มากนะครับ ที่สอนผมจนเข้าใจเรื่องยาก ๆ แบบนี้ได้ แล้วก็ขอบคุณมาก ๆ ด้วยครับที่พาออกมาในวันนี้เพื่อให้เห็นปัญหาที่ลูกค้าแต่ละบ้านเจอ" อานนท์พนมมือไหว้ขอบคุณ โค้งตัวจนเกือบขนานกับพื้นคอนกรีตที่ร้อนจัดตอนเที่ยงแล้วรีบวิ่งเข้าตัวอาคารอีกฝั่งไป

การอบรมเสร็จสิ้นแล้ว ถือว่าเขาส่งคืนทุกอย่างให้กับแผนกขายเรียบร้อย หมดธุระ ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว เพชรกล้ามองหลังไว ๆ ของคนตัวเล็กจนคล้ายกับเด็กมัธยมต้นตัวโต ๆ หายไปในหมู่คน

"เธอเองก็เป็นคนน่ารักมากนะ" เพชรกล้าเอ่ยขึ้นกับแดดที่ร้อนจัดด้วยเสียงแผ่วเบาจนคล้ายเสียงกระซิบ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินหายเข้าไปในตัวอาคารอีกด้านที่เต็มไปด้วยเสียงอุปกรณ์เครื่องจักรและประกายไฟจากการบัดกรี

อานนท์เข้าไปพบคุณโกวิท หัวหน้าฝ่ายขายที่แผนก ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคุณโกวิทจะรู้อยู่แล้วว่าการอบรมเสร็จสิ้นเรียบร้อยเป็นอย่างดีแล้ว "เป็นไงบ้างอานนท์ ดูสดชื่นดีนะ"

"ครับ พอดีพี่สิงห์พาออกไปข้างนอก เลยได้เห็นปัญหาที่หน้างานว่าอะไรที่จะเป็นปัญหากับลูกค้าหลังจากซื้อแอร์ไปแล้วบ้าง"

เจ้าของห้องเอนหลังกลับไปพิงเบาะผ้าหนานุ่มแล้วแซว "หน้าร้อนปีนี้เห็นทีว่าพนักงานขายแผนกแอร์จะเจอน้องใหม่ไฟแรงเข้าแล้วสินะ"

"ไม่หรอกครับ อมไม่ค่อยรู้อะไรเลย" อานนท์ยิ้มแหยแบบเจียมเนื้อเจียมตัว

"รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องส่งไปอบรมกับนายเพชรกล้าคนนั้น"

"เพราะว่าพี่สิงห์เป็นคนเก่ง แล้วก็มีประสบการณ์ได้เจอปัญหากับลูกค้าโดยตรง แถมยังรู้เรื่องชิ้นส่วนแล้วก็ระบบการทำงานต่าง ๆ ของแอร์ใช่ไหมครับ เอ่อ...คือผมก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะแบบนี้"

ท่าดีทีเหลวแบบทุกครั้ง สมกับเป็นอานนท์ที่ไม่เอาถ่านจริง ๆ โกวิทได้แต่พูดกับตัวเองในใจ "มันก็ใช่ แต่เหตุผลไม่ได้มีแค่นี้หรอกนะอานนท์"

"นั่นสินะครับ ยังคิดว่าผมจะไปตอบถูกได้ยังไง แหะ ๆ"

"การแข่งขันมีสูงมาก ทางห้างสรรพสินค้าเราก็ตั้งใจอย่างเต็มที่ เครื่องปรับอากาศเป็นแผนกที่ขายดีที่สุดในหน้าร้อนของทุกปี พนักงานกะละสี่คน เฉลี่ยแล้วตกวันละไม่ต่ำกว่ายี่สิบเครื่ีอง มากสุดคือก่อนสงกรานต์ปีที่แล้วที่ได้ถึงสามสิบห้าเครื่อง พอปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ร้อนมากที่สุดในรอบหกสิบปี และก็อย่างที่เห็น เพชรกล้าคนนั้นเป็นคนที่เก่งมาก ๆ นี่คือคนที่เก่งที่สุดที่เรามีในเรื่องเครื่องปรับอากาศแล้ว" คุณโกวิทผ่อนลมหายใจแผ่วเบาแล้วเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง

"อานนท์ ฟังให้ดีนะ ถ้าก่อนสงกรานต์นี้คุณไม่สามารถปิดการขายได้สักเครื่อง ทางห้างคงต้องพิจารณาคุณให้ออก"

"สงกรานต์ ?" อานนท์ครางอย่างไม่เชื่อหู

"ผมย้ายให้คุณลงกะบ่ายซึ่งปกติแล้วจะขายได้มากกว่า มีเวลาอีกสองวัน ขอให้โชคดีนะอานนท์ ผมช่วยคุณได้เท่านี้จริง ๆ"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ พบกันใหม่ตอนหน้า รีบมารีบไปมาก 55555
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 16-06-2014 23:09:09
นี่ก็นั่งรีเพรชรัว ๆ นึกว่าจะมีรีพลายที่ 3 ต่อ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก
ตอนนี้หมอตุลย์ไม่ออกเลยยยยยยย คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงง
แต่่คู่อาร์มหนึ่ง นี่แอบหวานแบบซึน ๆ นะ รอลุ้นกันต่อไป
ว่าแต่ซวยแล้ว อานนท์ ขายแอร์อยู่ห้างไหน เดี๋ยวเจ้จะรีบไปอุดหนุน
กลัวไม่ได้อยู่เพาะต้นรักกับพี่สิงห์ไม่ใช่อะไร
หรือออกมาให้ผัวเลี้ยงก็ดีนะลูก แต่อย่างพี่สิงห์นี่น่าจะเลี้ยงด้วยลำแข้งอะค่ะ
วัดจากดีกรีความโหด 555555555555
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-06-2014 01:12:52
ต้องลุ้นน้องนนท์ให้ขายแอร์ได้สักเครื่องละน้อ
ไม่เชียร์อาร์มแล้วนะ
ไปเชียร์ชาฮิดธีมดีกว่า แหม่ ได้ใจป้าไปเต็ม ๆ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 17-06-2014 04:00:40
ติดนิยายเรื่องนี้ไปซะแล้วค่ะะ  o13
ภาษาเยี่ยม เค้าโครงดี และเรื่องน่าติดตาม
ขอสมัครเป็นแฟนคลับนะคะ :katai4:
ชอบคู่อาร์มหนึ่งที่สุด ขอเป็นแม่ยกค่ะ ฮิ้วววววววววววว
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 17-06-2014 10:04:45
ดีใจน้ำตาจะไหล มาเร็วมากกกกกกกก
คู่อาร์ม หนึ่ง ลุ้นจนหืดขึ้นคอ อาร์มอ่ะ ไม่ชัดเจน งื้อๆๆๆ เชียร์คู่นี้สุดใจ :katai1:
ชาฮิด กะ ธีม น่าร๊ากกกกกกกกก ชาฮิดผู้ไร้เดียงสา คริๆ
นภ กำลังอินเลิฟใช่มั้ย ฮ่าๆๆ
แต่คู่พี่สิงห์ กะน้องนนท์ น่าสงสารอ่า ฮืออ อานนท์นายจะไม่ถูกไล่ออก ><
คิดถึงน้องภัทรพล แม้จะโผล่เพียงทีวี >,<
รอๆน่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 17-06-2014 13:57:56
น้องธีมนี่ต้องเอาขนมมาล่อใช่มั้ยคะ?
แอร๊ยยยย มาลูกมาาา พี่มีโตเกียวบานาน่านะะะ เอามั้ยยยย

 :hao7:

เราลุ้นอาร์มหนึ่งจนเหนื่อยเลยค่ะ T_T
บรรยากาศแบบนี้มันคืออะไร สงสารหนึ่ง เข้าใจหนึ่ง แล้วก็อยากจับอาร์มมาเขย่าแรงๆ สักที
ฮืออออออออออออ ถามจริงเหอะะะะ ทำแบบนี้ไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนจริงหรอ?
ขนาดน้องนนท์ยังดูว่าเป็นแฟนกันเลยนะเว้ยยยยยยย โอ้ยยยยยย ปวดร้าววววว

พูดถึงน้องนนท์กับพี่สิงห์แล้ว คำว่าช่างแอร์มันทำให้เราอดนึกถึงช่างแอร์ในตำนานไม่ได้จริงๆ 5555555
ขอโทษค่ะ กร้ากกกกกกกกกกกกก XD

คู่นี้เหมือนจะกำลังไปได้ดี น้องนนท์คนซื่อของพี่ (ของแกอีกแระ กรั่กกกก)
แสนซื่อขนาดนี้อยู่รอดมาได้ถือว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่สงสารจังจะโดนให้ออกแล้วหรอคะ? T_T
โอ้ยยย อุตส่าอยู่ทนให้พี่สิงห์โขกสับอยู่ได้ตั้งนาน ขายให้ได้สักเครื่องนะลูก
หรือถ้าชีวิตมันจะโหดร้ายมันฤดูร้อนจริงๆ ก็ออกมาให้พี่สิงห์เลี้ยงดูนะคะนะ 555555555

รอตอนหน้าาาาาา  :hao3:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 19-06-2014 09:40:17
คู่ปืน-นภเปิดตัวเรียบๆ แต่เราชอบอ่ะ> <~

คู่ชาฮิด-ภีม บอกได้คำเดียวเลย เด็กเดี๋ยวนี้โตเร็วจริงจริ้งงง555

คู่อาร์ม-หนึ่ง รู้สึกขัดใจ...อาร์มไม่ควรมานัวเนียขนาดนี้นะ มีเกินเพื่อนรู้ป่ะ ส่วนหนึ่ง ถ้ารู้ตัวว่าชอบเขาเกินเพื่อนแล้วรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก็น่าจะถอยห่างออกมานะ เผื่ออาร์มจะได้รู้ซักทีว่าชอบใคร ไม่ต้องค้างคาใจแบบนี้(อินไปหน่อย5555)

คู่พี่สิงห์กับอานนท์ดูมีโมเมนท์มุ้งมิ้งกันด้วยแหะ ว่าแต่ว่า...อานนท์แย่แล้ว พี่สิงห์ช่วยน้องเร้วว55

รอตอนต่อไปค่าา :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 19-06-2014 10:03:54

 :sad4:    ไอ้คุณโกวิทอย่ามาไล่น้องนนท์ของเค้าออกนะ


 พี่สิงห์ช่วยน้องนนท์ด้วย     :m5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 19-06-2014 22:35:06
นี่คือ อาร์มไม่รู้ตัวเหรอ
คือคิดว่านางแกล้งหนึ่งเพราะรู้แล้วหรอกนะ
อะไรคือยั่วเพื่อนที่แอบรักอยู่ตลอดเวลา
อาร์ม นี่แอ๊บใช่ป่ะ พูด!
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 7 (Jun 16, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: grenjewel ที่ 21-06-2014 17:01:57
อานนท์สู้ๆนะ เราเชื่อว่านายต้องขายแอร์ได้อยู่แล้ว
คุณโกวิทนี่ก็จะเยอะไปไหนก็ไม่รู้ ส่งอานนท์ไปให้พี่สิงห์อบรมแล้วยังมีข้อบังคับให้ขายแอร์ให้ได้อีก  :katai1:

อาร์มช่วยชัดเจนสักทีเถอะ สงสารหนึ่ง ถ้าไม่คิดจะรักกันก็อย่าทำเหมือนให้ความหวังแบบนี้เลย มันเจ็บนะรู้ป่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 22-06-2014 22:19:07
สวัสดีครับ สปีดตกไปนิดหน่อย จะพยายามให้กระเตื้องขึ้นครับ แผนจะจบภายในเดือนนี้ดูร่อแร่
สงสัยจะต้องยืดไปอีกสักสัปดาห์แน่นอน ยังไงก็ลองพยายามดูครับ หวังว่าจะทำได้ ฮุยเลฮุย ^ ^`
ขอบคุณที่ตามอ่านกันครับ หวังว่าเพื่อนๆ จะจำตัวละครกันได้แล้วเนอะ ครึ่งเรื่องไปแล้ว ฮ่าๆ
+1 สำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ ฝากตอนที่ 8 ด้วยครับ ฮูเล่!


(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)


ตอนที่ ๘



กิ่งไม้ไกวตามลมจนทำให้แสงอาทิตย์แทงทะลุลงมาที่ผิวสีคล้ามแดดซึ่งยืนอยู่ด่านล่าง เกือบทั้งหมดของร่มเงาบนริมถนนกรุงเทพนั้นคือเสาไฟฟ้ากับสายไฟที่พันกันยุ่งเหยิง ไม่ใช่ต้นไม้เขียวชะอุ่มหรือสิ่งปลูกสร้างทันสมัยแบบประเทศอื่น ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ใครก็ตามที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ต่างก็เร่งรีบเพียงเพื่อหนีความร้อนของแดดที่สุมรอบตัวเหมือนจะให้สุก เห็นจะมีก็แค่พวกเด็กวัยรุ่นนั่นแหละที่แดดกรุงเทพดูจะเจิดจ้าน้อยกว่าความสุขในวัยนั้น

นั่นสิ ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นแบบนี้ ไม่กลัวแดด หน้าร้อนปีนั้น เขาเตะบอลในสนามบ้าบอเกือบทุกเย็นเพื่อจ้องยิงประตูอวดสาวที่เดินผ่านไปมาบริเวณนั้น เคยมีความสุข รู้สึกตื่นเต้นที่เห็นผู้หญิงแอบมองหรือส่งยิ้มให้ เคยมีฝันไร้สาระมากมายที่แทบยัดในหัวไม่พอ แต่พอหลังจากเรื่องยุ่ง ๆ ในตอนนั้น ความรู้สึกพวกนั้นมันก็หายไปเองโดยไม่รู้ตัว ความฝันถูกแทนที่ด้วยความรับผิดชอบ แล้วสักพักมันก็กลายเป็นความดิ้นรนเอาตัวรอดเพื่อชีวิตที่ต้องดูแล ปรมะปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความทรงจำฤดูร้อนของตัวเอง กระทั่งเงาบนแว่นกันแดดสะท้อนให้เห็นคนที่คุ้นตาปรากฎที่หัวมุมถนนก่อนจะมาหยุดยืนตรงหน้าของปรมะเพียงไม่กี่วินาที

"ขอโทษที จำทางกรุงเทพไม่ค่อยได้เลย" นภเอ่ยขึ้นพร้อมกับอาการหอบไอร้อน ท่าทางนั้นจุดหยักยิ้มเล็ก ๆ ของคนที่ฟังอยู่ให้โค้งตัวขึ้น

"ก็หลงเป็นประจำไม่ใช่เหรอ"

นั่นไม่ใช่ความทรงจำที่ดีในความคิดของนภเท่าไรนัก ชายหนุ่มที่ยืนหอบจึงเลื่อกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย "พาเที่ยวแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ อันที่จริงไม่ต้องทำตามลูกน้ำขอก็ได้"

ขณะที่มองมา ปืนกลั้วหัวเราะในดวงตาแน่วแน่คู่นั้น ซึ่งนั่นก็มากพอที่จะทำให้อากาศฤดูร้อนในปีนี้ร้อนแรงกว่าปีไหน ๆ ในความทรงจำของนภ กว่าจะได้แต่ละประโยค เสียงของนภมันช่างตะกุกตะกักเหลือเกิน "ช่วงนี้งานเป็นไงบ้าง"

"ก็เหมือนเดิม"

"ก็เหมือนเดิมนี่ยังไง"

"โปรแกรมเมอร์มันก็เหมือน ๆ เดิมน่ะแหละ ต่อให้พัฒนาโปรแกรมใหม่ ๆ ไปกี่ตัว กี่เวอร์ชั่น มันก็คือการพิมพ์โค๊ดคำสั่งแบบเดิม ๆ ไม่แก้ปัญหาก็สร้างบางอย่างขึ้นมาตอบโจทย์ที่ต้องการ อุดข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เคยเจอในอดีต หรือถ้าแก้ไขได้ก็ยิ่งดี มีอยู่แค่นี้"

คำอธิบายของปืนถือเป็นโลกอันเร้นลับสำหรับนภ เขาไม่เข้าใจกลไกซับซ้อนของคอมพิวเตอร์มาแต่ไหนแต่ไร และก็คงไม่มีวันเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้อย่างแน่นอน หากแต่คำตอบที่ได้ยินนั้นถือเป็นเรื่องสะดุดใจพอสมควร เมื่อในความทรงจำของนภนั้น โปรแกรมเมอร์ถือเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากตัวตนของปืนเหมือนคนละโลกก็ว่าได้ "แล้วที่ว่าจะเปิดเพ็ทช็อปล่ะ ยังจะทำไหม"

ชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินต่อไป ระหว่างที่ปลายเท้าของปรมะเริ่มเคลื่อนตัวไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ร่างสูงก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีน้ำทะเลเจิดจ้า คล้ายกับแสงแดดกำลังแผดเผาความเดียงสาของผู้ใหญ่จนเหลือเพียงความฝันอันบริสุทธิ์ในวันวาน

เพ็ทช็อปเหรอ ? นั่นสินะ...ก็เคยอยากจะทำอะไรแบบนั้นสักครั้ง เป็นฝันที่เอื้อมอย่างไรก็ไม่ถึง แล้วก็ยังมีอะไรที่ทำไม่ได้เยอะไปหมด ได้แต่คิดว่าสักวันพอเรียนจบคงจะไล่จับมันได้ แต่พอถึงเวลานั้นจริง ๆ ถึงได้รู้ว่าเราก็ยังเอื้อมไม่ถึงความฝันพวกนั้นอยู่ดี ปืนทอดสายตามองคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ แล้วยิ้มเยาะกับตัวเอง

แม้ในตอนนี้ที่สิ่งเหล่านั้นอยู่ตรงหน้า สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ไม่ยอมเอื้อมมือออกไป ชีวิตหลังรั้วมหาวิทยาลัยไม่ใช่การไล่ตามความฝันที่สนุกสนานแบบที่เคยคิดสักนิด มันเป็นการเรียนรู้และทำความเข้าใจโลกของความเป็นจริงที่ต่างคนก็ต้องดิ้นรนอยู่ต่อไปให้ได้ "นายนี่ชอบคิดอะไรง่าย ๆ แบบเมื่อก่อนเลยนะ"

"อย่างนั้นเหรอ" นภหันมามองแววตาของปืนตอนที่พูดประโยคนั้น แต่แว่นกันแดดกลับซ่อนทุถกอย่างเอาไว้ใต้กระจกสีดำ

ภายใต้สิ่งที่เหมือนกับวงกระเพื่อมบนผิวน้ำที่เคลือบอยู่ในดวงตาทั้งคู่ค่อย ๆ คืนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง เสียววินาทีต่อมา ทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม รอยยิ้มของปืนสว่างขึ้น เช่นเดียวกับท้องฟ้าสดใสของฤดูร้อนดังที่ผ่านมา "แล้วที่นั่นเป็นไงบ้าง"

"ก็ดี อย่างน้อยก็เย็นกว่าที่นี่เยอะ"

เสียงหัวเราะปืนดังขึ้นท่ามกลางไอร้อนของแดด

เมื่อหันไปมองรอยยิ้มที่คุ้นตาภาพนั้น นภไม่รู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มตาม กำลังทำหน้าเศร้าอยู่ หรือว่ากำบังทุกอย่างไว้ได้แนบเนียน มือกว้างยกขึ้นซับเหงื่อที่ซึมไปทั่วใบหน้าพร้อมครุ่นคิดบางอย่าง ห้าปี สิบปี ไม่สิ...มากกว่านั้น บางสิ่งบางอย่างยังอยู่กับนภตลอดเวลาที่ผ่านมา เขายังจับมันแน่นและไม่คิดจะปล่อย วันนี้ วันพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ก็คงจะเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าอะไรมันจะเปลี่ยนไปแล้วแต่นภก็ยังแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ถือเอาไว้ หวงแหนเหมือนของมีค่า โดยไม่สนว่ามูลค่าของมันคือความสุขหรือความทุกข์กันแน่

"อยากจะไปไหน"

นภส่ายหัว ไม่มีอะไรอยุ่ในความคิดแม้แต่น้อย เขาเหมือนกับคนที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นคนกรุงเทพกับนักท่องเที่ยว นภไม่ได้อยากสัมผัสกับความเป็นไทยแบบนักท่องเที่ยวโหยหา ขณะเดียวกันก็ไม่มีสถานที่พิเศษที่อยากไปฆ่าเวลาด้วยกรุงเทพกลายเป็นความทรงจำที่เลือนรางจนไม่อาจจดจำอะไรได้อีกแล้ว

"มีที่แนะนำไหม" นภถาม

นั่นเป็นคำถามที่ตอบได้ยากมากสำหรับปืน กับคนที่ใช้ชีวิตไปกลับระหว่างแค่ห้องตัวเองกับมินิมาร์ทใกล้ ๆ ไม่มีอะไรที่ปืีนรู้จักเท่าไรนัก เขาไม่รู้จักกรุงเทพ ทั้งที่เห็นหน้าและสบตากับสีครามของท้องฟ้าของกรุงเทพทุกวัน

"หัวมุมถนนตรงนั้นมีร้านน้ำแข็งไสเล็ก ๆ อยู่ ที่นั่นมีโต๊ะสองสามตัวให้นั่งได้ ถ้านายจะสนใจ" งี่เง่าดีไหมล่ะ

นภดูจะแปลกใจพอสมควร แต่ก็ยิ้มออกมา "เอาสิ"

ก้าวขาไปอีกไม่กี่สิบก้าวก็ถึงที่ที่ปืนพูด เครื่องน้ำแข็งไสหลายสิบชนิดถูกบรรจุลงในโถแก้วขนาดใหญ่ให้ลูกค้าเลือก เยอะจนนภเลือกไม่ถูก

"เอาอะไรดี" นภกวาดตามองไปที่ลูกชิด ข้าวเหนียวต้ม มะม่วง มะยม พุทราที่เชื่อมจนฉ่ำ มะพร้าวกะทิ ทับทิมกรอบ ลอดช่อง และอีกหลายอย่างที่ไม่ได้กินมานานแสนนาน ความทรงจำเก่า ๆ มันน่าลิ้มรสอีกสักครั้งขนาดนี้เชียวหรือ

"นั่งสิ เดี๋ยวสั่งให้" ปืนพูดขึ้น คล้ายกับว่าจะอ่านใจของคนที่ยืนจ้องถ้วยแก้วแต่ละอย่างจนกว่าจะได้ลิ้มรส

นภสารภาพตามตรงว่าค่อนข้างจะตื่นเต้นกับขนมหวานที่กำลังจะได้กินพอสมควร และหลังจากที่ปืนเดินมานั่งไม่นาน แม่ค้าก็เดินเอาถ้วยขนมที่ฟูไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสองถ้วยมาวางที่โต๊ะ ปืนเลื่อนถ้วยที่เป็นน้ำแดงราดนมข้นหวานให้นภ ขณะที่ตัวเองไปถ้วยที่เป็นน้ำลำไย

นภไม่คิดว่าน้ำแข็งไสในความทรงจำนั้นจะหวานอร่อยแบบนี้ นภชอบกลิ่นหอมของน้ำแดงและความหวานมันของนมข้นหวานที่ราดบนตัวขนมปัง น้ำแข็งด้านบนจึงพร่องไปอย่างรวดเร็วก่อนที่มือกว้างของคนข้างตัวจะดึงถ้วยขนมสีชมพูนั้นออก นภถือช้อนค้างมองอย่างเสียดาย

"ชอบกินแต่น้ำแดงที่ราดนมใช่ไหม จริง ๆ ชอบน้ำลำไยกว่าหรือเปล่า"

ปืนเลื่อนถ้วยขนมตรงหน้าตัวเองที่เพียงแค่คนให้ทุกอย่างผสมกันเฉย ๆ มาแทนที่ แล้วเอาถ้วยน้ำแดงไปกินเอง "หวังว่าจะยังชอบเครื่องพวกนั้นเหมือนเดิมนะ เพราะถ้วยนี้มีแต่ของที่อยากกินเองทั้งนั้น"

วุ้นมะพร้าว ถั่วแดง ลูกเดือย พุทราเชื่อม แปะก๊วย ทุก ๆ อย่างเป็นของโปรดของนภจริง ๆ

"จะแบ่งถ้วยนี้ไปกินก็ได้นะ อย่าแย่งเฉาก๊วยก็พอ" ปืนยักคิ้วให้พร้อมกับรอยยิ้มอุ่น ๆ

"จำได้ยังไงกัน"

"เมื่อก่อนกินด้วยกันเกือบทุกเย็น ลืมก็บ้าแล้ว" ปืนตอบคำถามนั้นง่าย ๆ ก่อนจะตักเครื่องขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมา "เกาลัดไหม"

นภส่ายหัว จู่ ๆ ก้นึกอยากจะแกล้งใครบางคนขึ้นมา "อยากลองกินเฉาก๊วยบ้าง"

คราวนี้ ร่างสูงหลิ่วตาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ "คิดว่าจะให้ไหมล่ะ"

นภไม่ตอบคำถามนั้นแต่ก้มหน้าลงตักขนมกินต่อแล้วเริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ จากหนึ่ง...นับไปได้ถึงสาม เฉาก๊วยก็ถูกวางลงบนเกล็ดน้ำแข็งในถ้วยขนม นภมองวุ้นสี่เหลี่ยมสีดำในถ้วยตัวเองแล้วอมยิ้ม ก่อนที่ข้อมือจะออกแรงยกช้อนสแตนเลสตักสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ชิ้นนั้นเข้าปากในนาทีต่อมา

ปรมะยกแขนขึ้นเท้าคางตัวเอง ลำคอและบ่าที่ตรงตระหง่านตัดมุมฉากกับท้องฟ้าสีสดเบื้องหลัง

"ไง ? ชอบแล้วล่ะสิ"

เสี้ยงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นเพียงได้ยินกันสองคน นภคนน้ำแข็งในถ้วยอีกรอบหรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะว่าทานแล้วชื่นใจหรือเปล่านะ พอถึงหน้าร้อน ใคร ๆ ถึงชอบทานขนมหวานพวกนี้นักหนา นภตักผลไม้เชื่อมของโปรดขึ้นมาจากถ้วย มองไปยังเจ้าของผิวสีแทนที่จับจ้องอยู่อย่างไม่วางตา

"พุทราเชื่อมไหม"

สิ้นคำถาม นภเห็นรอยหยักเล็ก ๆ ที่มุมปากคนตรงหน้าองศาสูงขึ้น วงกลมสีดำในแววตาคู่นั้นคล้ายกับน้ำตาลที่ถูกแดดฤดูร้อนลามเลียจนไหม้



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



"ไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละ แล้วก็อย่าพูดถึงคนคนนั้นด้วย"

ปรายฟ้าเงยหน้าขึ้นมองลูกชายของเธอที่วิ่งหอบตรงมาที่เธอโดยมีชาฮิดวิ่งตามมาด้านหลัง พ่วงด้วยสุนัขตัวอ้วนอีกสองตัว พอมาถึง ธีมก็คว้าชายเสื้อดึงเต็มกำลัง "แม่น่ะ บอกแล้วไงว่าไม่ให้รับของของคนคนนั้นอีก ชอบมาจุ้นจ้านไม่เลิก"

"แหม...อุตส่าห์เป็นพ่อลูกกันเลยนะ" ปรายฟ้ายิ้มหวาน ดูจะชินเสียแล้วกับฤทธิ์ของลูกชายตัวเอง "ขนมอร่อยไหมคะชาฮิด"

"อร่อยครับ" เด็กน้อยตอบตามความจริง

"ไม่อร่อยสักนิด ! อย่าไปกินขนมของหมอนั่นอีกนะ อยากกินอะไร เดี๋ยวฉันซื้อให้นายเอง !"

"แล้วธีมมีเงินเหรอ" ชาฮิดถาม

"มีแน่นอน !" พูดจบ เด็กชายชวิศหันขวับมาทางผู้เป็นแม่ทันที "แม่ขอเงินหน่อย จะเอาไปซื้อขนม"

ชาฮิดรีบยกมือขึ้นห้าม "เดี๋ยวสิ ที่พี่กินเพราะน้ำน้ำให้ ไม่ได้เพราะอยากกิน แล้วอีกอย่างขนมคุณพ่อก็เหมือนขนมของธีมนี่นา"

"งั้นฉันให้ เธอเอาไปกินให้หมดนะ" ธีมยัดขนมของพ่อที่ได้มาจากชาฮิดใส่มือมีราแล้วจูงมือเด็กชายตัวสูงกว่าวิ่งไปข้างนอกร้านใหม่ มีราเผลอแกะถุงขนมแล้ววิ่งตามออกมาก็ไปไหนต่อไม่ได้เมื่อเจอเจ้าถิ่นอย่างลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กเรียกค่าผ่านทางอยู่ เด็กหญิงได้แต่ทำหน้ามุ่ย จะให้ขนมกับสุนัขตัวอ้วนทั้งสองก็ไม่ได้เพราะนี่เป็นถึงขนมที่พี่ธีมให้กับเธอ แต่จะวิ่งตามไปก็ไม่ได้เพราะโดนล้อมหน้าล้มหลังไปมาอยู่แบบนั้น

ปรายฟ้าเดินมาสมทบกับคุณนุชนารถและอมริตาที่นั่งหัวเราะคิกอยู่แล้วบ่นอย่างนึกอ่อนใจ "ขอโทษด้วยนะคะ ลูกชายทำป่วนไปหมดเลย"

"น่าสนุกดีออกค่ะน้องน้ำ" คุณนุชนารถยิ้มละไม ยังนึกเอ็นดูความน่ารักของเด็กไม่เลิก

"มีราติดน้องธีมมากนะคะ ถึงขั้นประกาศตัวว่าชอบเลย ท่าทางคงจะปลื้มมาก"

"แต่ธีมก็ติดชาฮิดมากนะคะ ท่าทางจะปลื้มเข้าจริง ๆ เมื่อเช้าก็บ่นว่าจะเอาชาฮิดกลับไปบ้านให้ได้ น้ำล่ะกลัวลูกคุณพี่เจอฤทธิ์เดชของธีมจริง ๆ ร้ายหยอกซะที่ไหน ถ้าน่ารักได้อย่างลูกสองคนของคุณพี่ น้ำจะไม่ห่วงเลย" ปรายฟ้าส่ายหัวไปมา

"ก็ไม่ได้น่ารักอะไรหรอกค่ะ เห็นแบบนั้นพอเวลาดื้อก็เอาเรื่องเลยล่ะ" อมริตาพูดพร้อมกับปอกผลไม้ไปด้วย "ครอบครัวของดิฉันไม่ถือว่าสมบูรณ์อะไร ดิฉันหย่ากับสามีแล้วเขาก็กลับไปทำงานอยู่ที่อินเดีย นาน ๆ ทีจะกลับมาเยี่ยมลูก ๆ เด็กทั้งสองคนอยากจะเล่นกับพ่อเหมือนกับคนอื่น ๆ ชาฮิดน่ะปลื้มคุณปืนมาก ถึงบอกว่าหน้าเหมือนดาราที่เขาชอบ พอได้ขนมจากคุณปืนก็เลยทานใหญ่ ส่วนมีราก็ตามพี่ ไหนจะรู้ว่าเป็นของคุณพ่อน้องธีมอีก"

ปรายฟ้ามองมีราที่วิ่งหนีลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กไป กินขนมในมือไป "เป็นเด็กที่น่ารักมากเลยนะคะ โตขึ้นต้องสวยมากแน่ ๆ"

อมริตามองลูกสาวของเธอแล้วอมยิ้ม "อย่าหาว่าพี่จุ้นจ้านเลยนะคะ น้องน้ำจะไม่ลองคิดดูใหม่เหรอคะ ถึงน้องธีมจะทำตัวเหมือนเข้ากับพ่อเขาไม่ได้ แต่ลึก ๆ แล้ว พี่ก็พอดูรู้นะคะ เขาก็รักคุณปืนน่าดู"

ปรายฟ้าเดินออกไปพิงขอบกระจกแล้วมองออกไปสู่แสงที่ร้อนจนแสบตาด้านนอก แววตาที่ดูขี้เล่นตลอดเวลาแฝงไปด้วยประกายแห่งความชื่นชม "ปืนเป็นคนดีมากนะคะ เขาดีเสียจนน้ำไม่อยากให้เขาต้องมาจมอยู่กับผู้หญิงแบบน้ำเลย"

ธีมพาชาฮิดมาหยุดยืนที่หน้าร้านเล็ก ๆ ด้านในของซอย ร้านนี้เป็นผับ จะเปิดให้บริการก็ตอนดึกเป็นต้นไป ธีมหอบแฮ่ก แก้มแดงเพราะอากาศที่ไม่คุ้นเคย ผมสั้นที่เคยเป็นทรงน่ามอง ดูยุ่งไปทั้งหัวเพราะเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ซึมออกมา

"ให้พี่เช็ดให้นะ" ชาฮิดดึงผ้าเช็ดหน้าลายการ์ตูนเบ็นเท็นยอดฮิดในหมู่เด็ก ๆ ขึ้นมาซับเหงื่อให้เด็กที่ตัวเล็กกว่า

"สัญญาก่อน วันหลังอยากกินอะไรให้บอกฉัน เข้าใจไหม นี่...นี่มันเบ็นเท็น !"

"เท่ปะล่ะ ?"

"มากกก...!" ธีมเกาะแขนคนตัวสูงกว่าเหมือนไม่ยอมให้หนีไปไหน ไม่เสียแรงที่ปลื้ม ในสายตาของเด็กน้อย คนคนนี้ดูเท่จริง ๆ

"งั้นก็ต้องนั่งเฉย ๆ ให้พี่เช็ดหน้าให้ก่อน"

เด็กชายชวิศกลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายขึ้นในพริบตา ดวงตาคู่เล็กคอยเหล่ลายการ์ตูนบนผ้าเช็ดหน้าจนหน้าหัน

"น้องธีมยังเจ็บก้นอยู่เปล่า"

"ไม่ ! ไม่เจ็บแล้ว !" คนถูกถามก้มหน้างุด แก้มแดงเหมือนผลไม้ใกล้สุก

"ถ้าโกหกพี่จะไม่สนใจธีมนะ"

มือเล็ก ๆ คว้าหมับเข้าที่ชายเสื้ออีกคนที่นั่งข้าง ๆ ทันที แย่จริงที่ดูเหมืิอนชาฮิดจะจับได้เสียแล้ว "จริง ๆ ก็เจ็บนิดหน่อย"

ชาฮิดยกสองมือปัดกางเกงตัวเองแล้วส่งเสียงเรียก "มานั่งตักพี่แล้วกัน"

"ได้เหรอ" ธีมตาโต

"ก็นั่งบนปูนมันเจ็บใช่ไหมล่ะ"

ธีมลุกขึ้นยืน เหมือนมีใครมือบอกเอาพู่กันจุ่มสีแดงมาแต้มบนแก้มทั้งสองข้าง มองซ้ายมองขวาอยู่สักพัก เด็กน้อยก็ค่อย ๆ กระเถิบก้นขึ้นมานั่งบนตักของอีกคน ธีมโยกตัวอยู่สักพัก ฮัมเพลงบ้า ๆ ที่เพิ่งคิดขึ้นมาสด ๆ แล้วพูดไปตามจังหวะดนตรีที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมา "นี่...ฉันจะเลิกทะเลาะกับใครแล้ว จะบอกให้ก็ได้ว่าทั้งหมดก็เพราะนายเลยนะ"

"เพราะพี่เหรอ ? ยังไง ?"

"ก็ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ"

ชาฮิดยิ้ม ก่อนจะตอบไปแบบที่ตัวเองคิดไว้ "ไม่ใช่ เพราะเป็นห่วงต่างหาก พี่เคยบอกแล้วไง แถวนี้มีเด็กเกเรเยอะนะ แม่บอกพี่ว่าอย่าไปสนใจพวกเขา"

ฟังแล้วธีมก็เอนตัวไปด้านข้าง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบบ่าเจ้าของตักที่ตัวเองนั่งอยู่ทันที "ไม่เป็นไรนะ ฉันจะปกป้องนายเอง"

คำพูดนั้นดูคล้ายกับจะเรียกรอยยิ้มของคนฟังขึ้นพอดู ชาฮิดซับเหงื่อของธีมเสร็จแล้ว และกำลังนั่งมองคนบนตักกางผ้าเช็ดหน้าดูลายการ์ตูนที่สกรีนไว้บนผ้าออกดูอย่างตื่นเต้น ดูธีมจะทุลักทุเลกับกิจกรรมของตัวเองพอสมควร เพราะมือข้างนั้นยังไม่เลิกโอบบ่าของชาฮิดเอาง่าย ๆ อย่างแน่นอน

เห็นคนบนตักอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ชาฮิดก็ถามเรื่องที่สงสัย "ทำไมถึงไม่ชอบคุณพ่อล่ะ ชอบพูดไม่เพราะ คุณพ่อจะเสียใจนะ"

"ก็ช่างสิ ใครใช้ให้คอยมาตามห่วงดีนัก" ธีมตัวน้อยตอบขึ้นทันควัน "ฉันน่ะโตแล้ว ดูแลแม่ได้ ดูแลนายก็ได้ หรือน้องของนายก็ได้ ดูแลแม่ของนายก็ยังได้เลย ชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กอยู่ได้ ฉันน่ะเก่งจะตายไป"

"แต่พี่ไม่ชอบคนที่ดื้อกับพ่อตัวเอง"

คำพูดของชาฮิดดูจะทำให้คนบนตักเหวอไปไม่น้อย "ก็...จริง ๆ ก็ไม่ได้เกลียดอะไรหมอนั่นหรอกนะ แค่รำคาญเฉย ๆ เท่านั้นแหละ" ธีมยัดผ้าเช็ดหน้าลายเบ็นเท็นกลับเข้ามือชาฮิดแล้วทำท่าขึงขัง "ชาฮิด...จากนี้ไป นายอยู่ในความดูแลของฉันแล้ว เข้าใจไหม ?"

"จะดูแลพี่เหรอ"

"อื้อ..."

คนแก้มแดงเหมือนตุ๊กตาพยักหน้ายิก ๆ สำหรับคนที่คุ้นกับผิวเข้ม ๆ แบบชาฮิดแล้ว ธีมตัวน้อยช่างน่ารักน่าเอ็นดูจริง ๆ "งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยงนม ธีมจะได้แข็งแรง ดูแลพี่ได้"

"จริงเหรออออ..."

พอกะพริบตาแบบนี้ยิ่งดูเหมือนตุ๊กตาที่เคยเห็นในหนังสือเสียจริง "จะเอารสอะไรดีนะ ช็อกโกแลตไหม"

ธีมส่ายหัวยิก ก่อนฝ่ามือเล็ก ๆ จะยกขึ้นป้องข้างหูชาฮิด เสียงกระซิบแบบเขิน ๆ ทำให้ชาฮิดยิ้มแป้น

"สตรอว์เบอร์รี่"

"งั้นต้องกินให้หมดนะ รู้ไหม" ชาฮิดมองตุ๊กตาตัวโตที่นั่งหยักหน้ายิก ๆ อยู่บนตักตัวเอง มือเล็ก ๆ เอื้อมขึ้นไปลูบผมที่ยุ่งเหยิงของธีมเบา ๆ จัดให้มันเป็นทรงแบบที่เขาชอบอีกครั้ง "น่ารักมาก"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 22-06-2014 22:20:06
(ต่อครับ)




การประชุมในตอนเช้าทำให้ดนัยรู้สึกเครียดพอสมควร มีเดียเอเจนซี่มอนิเตอร์การเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อไจแอนท์โคลาสูงขึ้นถึงสามสิบเท่าเพียงข้ามคืน แต่นั่นก็เพราะกระแสคู่จิ้นบ้าบอที่เกิดขึ้นในรายการเช้านี้ที่ประเทศไทย แน่นอนว่าไม่ได้จิ้นธรรมดา แต่เป็นจิ้นระหว่างตรี พงษ์พิพัฒน์ (คนที่เขาหมั่นไส้นักหนา) กับภัทรพล ญาติห่าง ๆ ของดนัยเอง เว็บไซต์ต่าง ๆ ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กถูกแชร์และกดไลค์กันจนเป็นกระแสอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในแง่ยอดขายกลับกระเตื้องขึ้นไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ทุกคนรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ที่เขาดูแล แต่สิ่งที่สังคมสนใจคือตรี พงษ์พิพัฒน์ และหมอภัทรพลคือใคร ใครเป็นรุก ใครเป็นรับอะไรวุ่นวาย

งี่เง่าสิ้นดี

แต่นั่นก็ไม่แย่อะไรนักเมื่อเทียบกับการเปิดตัวแคมเปญใหม่ของบริษัทคู่แข่งที่ใช้พรีเซนเตอร์เป็นกลุ่มนักแสดงและนักร้องวัยรุ่นที่มีชื่อเสียงอยู่ในขณะนี้ หรือการที่อีกยี่ห้อที่ทุ่มเม็ดเงินกับโปรแกรมชิงโชคพาเที่ยวต่างประเทศกันเป็นก๊วน บริษัทใหญ่ก็มีงบโฆษณามาก แน่นอนว่ามากกว่าไจแอนท์โคลาเป็นสิบเท่า แทนที่จะได้ใช้เงินทำแคมเปญดี ๆ แต่ดนัยกลับต้องเจียดงบที่มีอยู่น้อยนิดไปลงกับรายการโทรทัศน์แบบนั้นเพียงเพราะว่าผู้ใหญ่รู้จักกัน

ถนนในกรุงเทพยังคงติดขัดตลอดเวลา ดนัยนั่งมองควันสีขาวที่ถูกพ่นออกจากท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์คันแล้วคันเล่า ถ้ามองโลกเป็นนิทาน กรุงเทพก็เหมือนดินแดนมหัศจรรย์ที่เด็ก ๆ อาจจินตนาการว่าจะได้พบยูนิคอร์น นางเงือก หรือแม้แต่นางฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอกสีขาว แต่ถ้ามองแบบคนซึ่งเกิดและเติบโตขึ้นมาที่นี่จะพบว่าในควันพวกนั้นล้วนเต็มไปด้วยคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไม่มีเทพธิดาสัตว์วิเศษ จะมีก็แต่เสือสิงห์กระทิงแรด หรืออาจเลวร้ายไปจนถึงปีศาจ ทั้งหมดอยู่ในคราบของคนที่เดินสวนกันตามท้องถนนย่านธุรกิจสำคัญในเมืองซึ่งถูกขนานนามว่า...เมืองแห่งนางฟ้า

รถยนต์ของดนัยเลี้ยวเข้าจอดที่คอนโดหรูหราแห่งหนึ่งในย่านชิดลม พูดประโยคพิลึกพิลั่นกับเจ้าหน้าที่ตรงฟรอนต์เดสก์

"คือผมมา...เอ่อ...มาหานิยามความหล่อสมบูรณ์แบบที่โลกจะต้องจดจำ"

เขาได้รหัสลับนี้ที่มาจากดาน่า (ดนัยถามย้ำไปห้ารอบจนมั่นใจว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของรายการล้อกันเล่น) คนประเภทไหนกันที่กล้าตั้งชื่อแบบนั้นให้คนอื่นเรียกตัวเอง  ที่น่าแปลกคือทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดแห่งนี้ไปเสียแล้ว ไม่มีใครแสดงออกถึงความตืิ่นเต้นอะไร คนพวกนั้นก็แค่ยกโทรศัพท์ขึ้นไปหาเจ้าของรหัสลับทุเรศ ๆ แบบนั้น จากนั้นก็หยิบคีย์การ์ดแล้วเดินนำเขาขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนเหมือนกิจวัตรปกติ พอถึงหน้าประตูห้องหนึ่งที่ปีกขวา กดกริ่งสามครั้งแล้วขอตัวจากไป ง่าย ๆ แบบนั้นแหละ ดาน่าบอกว่าตรี พงษ์พิพัฒน์มักจะมาช้าเสมอ และรหัสนี้ก็ถูกตั้งขึ้นมาเฉพาะสำหรับทีมงานเพื่อการนั้น

ครู่เดียวประตูก็เปิดออก ร่างโปร่งที่เป็นเจ้าของห้องอยู่ในเสื้อคลุมสีขาว จังหวะการเดินที่เหมือนกับท่วงทำนองดนตรีทำให้ชายเสื้อคลุมแกว่งไกวเหมือนปีกเล็ก ๆ ของเทวดาที่สยายอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ ตรี พงษ์พิพัฒน์หมุนตัวกลับแล้วนั่งลงบนเก้าอี้บุผ้าฝ้าย สีเบจหยอกล้อกับผิวที่ขาวสะอาดจนดูคล้ายกับสรวงสวรรค์เล็ก ๆ เหนือท้องฟ้ากรุงเทพ

"มาถึงนี้มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า วันนี้ผมมีอัดบ่ายไม่ใช่เหรอครับ" พงษ์พิพัฒน์หลับตาพริ้ม ใบหน้าเป็นสีทองอร่ามด้วยมาร์ก

"ธุระด่วนน่ะมีแน่นอน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ถ่อมาถึงที่นี่" ดนัยพูดเสียงขรึม

พงษ์พิพัฒน์ลืมตาขึ้นแล้วมองค้าง พอเห็นว่าเป็นใครที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ก็อ้าปากหวอ

"ล้างหน้าก่อนก็ได้ เห็นแล้วนึกถึงพระพุทธรูป อร่ามแสบตามาก ผมพอมีเวลา"

นิยามความหล่อสมบูรณ์แบบที่โลกจะต้องจดจำหุบปากฉับ กว่าจะตั้งสติได้ก็อีกสักพัก "นี่มันมาร์กทองคำบริสุทธิ์จากเคปทาวน์เลยนะ !"

"ผมมีธุระกับคุณ ไม่เกี่ยวกับของแปลก ๆ ที่อยู่บนหน้าคุณหรอกนะ" ดนัยพูดเสียงแข็ง ดวงตาคมกริบจ้องเขม็ง "ทำไมคุณถึงไม่รับโทรศัพท์"

"ไม่เห็นเหรอว่ามาร์กหน้าอยู่"

ดนัยจิ๊ดขึ้นไปถึงสมอง ความโมโหแล่นริ้วไปทั่วทุกตารางนิ้ว "ผมโทรหาคุณเป็นร้อยครั้ง จนต้องไปถามที่อยู่มาจากทีมงาน เพียงเพราะคุณมาร์กหน้าอยู่เนี่ยนะ แล้วนี่มันรหัสมหัศจรรย์อะไรของคุณ ผมถามจริง ๆ เถอะ ไม่อายเจ้าหน้าที่เหรอ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์เบิกตาค้าง พูดอะไรไม่ออก หยาบคายมาก คนคนนี้เป็นคนที่หยาบคายที่สุดเท่าที่ตรีเคยรู้จักมา

เห็นอีกฝ่ายเอาแต่อ้าปากหวอ ดนัยก็นิ่วหน้า "ตอบคำถามด้วย"

"ไม่ใช่แค่มาร์กหน้า ผมทำธุระที่สำคัญมาก มากกว่าที่คุณคิดมาก ๆ"

"อะไร"

"สครับบ์" ดนัยตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด "...ด้วยโคลนสีขาวจากตาฮีติ"

"เอาเป็นว่าผมจะไม่เซ้าซี้ก็แล้วกัน" แขกผู้มาเยือนพูดอย่างปลงตกและนั่นก็ดูคล้ายกับจะทำให้อีกฝ่ายถูกใจขึ้นนิดหน่อยถึงได้หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

"เอาละ พูดธุระของคุณมาคุณนัท" ตรี พงษ์พิพัฒน์พูด

ดนัยมองหน้าคนที่นั่งลอยหน้าลอยตาอย่างอดกลั้น นี่เขาจะต้องพูดกับพระพุทธรูปจริง ๆ ใช่ไหม ต้องพนมมือไหว้สามครั้ง กราบเบญจางคประดิษฐ์ก่อนหรือเปล่าถึงจะพอใจ ร่างสูงส่ายหัวไปมาก่อนจะเดินไปนั่งที่อีกมุมหนึ่งของห้องแล้วเริ่มเข้าธุระ

"ผมพอรู้ว่าคุณมีหัวทางการตลาด คุณเองก็เรียนจบมาทางด้านนี้ แล้วเมื่อวานที่ทำไปก็ไม่ถือว่าแย่นัก แต่ผมไม่มีเวลามาก พูดตามตรงผมต้องการกิจกรรมที่แอคทีฟกับคนดูมากกว่านี้ อะไรก็ตามที่ดึงความสนใจจากลูกค้าได้ไม่ใช่แค่พูดแล้วจบ แล้วพอถามทางทีมงาน ทุกคนก็บอกว่ายังไม่เคยทำอะไรประเภทนี้มาก่อน อยากให้มาลองพูดคุยกับคุณที่เป็นคนอยู่หน้ากล้อง" ขณะที่พูด ดวงตาคมกริบจ้องมองคนที่นั่งเอกเขนกอยู่อย่างไม่วางตา ดนัยพยายามพูดช้า ๆ แจกแจงเหตุ อธิบายความน่าจะเป็นต่าง ๆ ในเชิงทฤษฎีทางการตลาด นาทีแล้วนาทีเล่า กระทั่งอดรนทนไม่ไหว

"ช่วยพูดอะไรหน่อยได้ไหม อย่างน้อยก็ให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้พล่ามอยู่คนเดียว"

ตรีส่ายหัวไปมาก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนอะไรยุกยิกแล้วส่งมาให้เขา

ดนัยก้มลงมองดูตัวอักษรในแผ่นกระดาษ แทบจะขยำให้แหลกคามือ "การพูดระหว่างที่มาร์กหน้าอยู่จะทำให้เกิดริ้วรอยง่ายกว่าปกติถึงสิบเท่า อะไรของคุณไม่ทราบ" สีหน้าของนักการตลาดหนุ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังคงนั่งอย่างมีความสุขไม่ทุกข์ร้อน

ตรี พงษ์พิพัฒน์ยื่นกระดาษอีกแผ่นส่งมาให้ "มันคือวินัยสำหรับคนที่จะอยู่ในวงการบันเทิง โอเค๊ ?"

ดนัยถอนหายใจยาว เข้าใจแล้วว่าทำไมตรี พงษ์พิพัฒน์ถึงเป็นคนที่เป็นคนชี้เป็นชี้ตายสำหรับทุกช่วงของรายการ คนคนนี้ดูจะเป็นคนสร้างปัญหาให้กับทุกฝ่าย สังเกตได้จากการเป็นที่รักยิ่งของทีมงานจนแทบไม่อยากจะมองหน้า ซึ่งแปลว่าถ้าเคลียร์กับพิธีกรสุดงี่เง่าคนนี้ได้ ทุกอย่างก็เป็นอันฉลุย

"ถ้าอย่างนั้นผมจะพูดแผนการถ่ายทำเทปต่อไปทั้งหมด ในฐานะของสปอนเซอร์นี่คือสิ่งที่ผมต้องการและหวังว่าทางรายการจะจัดการให้ได้...โดยไม่มีข้อแม้" ดนัยจงใจเว้นจังหวะคำเพื่อเน้นที่ประโยคหลัง

ตรีลืมตาขึ้นอย่างไม่ชอบใจนัก แบบนี้แล้วใครจะพูดอะไรได้

"และถ้าคุณเงียบ ผมจะถือว่าเป็นอันตกลง...ด้วยความสมัครใจ" ดนัยสรุปเอาง่าย ๆ แบบนั้น

ชายหนุ่มร่ายยาวแผนการถ่ายทำทั้งหมดราวกับติดจรวด ไม่เว้นแม้แต่ช่องจะให้แทรก ไม่มีแม้แต่จังหวะจะให้ถาม ก่อนจะสรุปเอาเองแบบทุกครั้งว่าถือเป็นอันตกลงตามนี้ ร่างสูงมองคนที่นั่งหน้าอร่ามอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง แม้จะอยู่ใต้มาร์กสีทองพิลึกพิลั่น แต่ดนัยค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังตกผลึกในความคิดอย่างรอบคอบ สังเกตจากริมฝีปากที่เหยียดตรงเป็นไม้บรรทัด และพอเขาพูดจบ ตรี พงษ์พิพัฒน์ก็นั่งหลับตาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะสะบัดหน้าพรืดแล้วลุกขึ้นไปล้างหน้า

เพราะเป็นแบบนั้น ตรีจึงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นสายตาแบบแมวที่จ้องจะตะครุบหนูที่อีกฝ่ายใช้มองตัวเองอยู่ตลอดเวลา

เป็นอีกครั้งที่ดนัยรู้สึกว่าการได้แกล้งคนคนนี้ดูเป็นกิจกรรมที่ตัวเองไม่รู้จักหน่าย และไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามสักนิดในการยั่วให้คนเอาแต่ใจคนนั้นโมโห ตลอดระยะเวลาการทำงานในตำแหน่งนี้ ดนัยพบปะผู้คนหน้าตาดี ในวงการบันเทิงก็มาก นอกวงการบันเทิงก็ไม่น้อย แต่ไม่มีสักคนที่ทำให้เขารู้สึกสนใจเท่านี้มาก่อน บางมุมของตรี พงษ์พิพัฒน์ก็ช่างน่าจับมาทึ้งเหลือที่จะกล่าว ขณะที่บางมุม กลับดูเหมือนคนธรรมดาที่พยายามฝืนตัวเองให้เข้มแข็งในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งกัน กึ๋นน่ะมี แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเลือกใช้เพียงอาวุธพื้นฐานคือหน้าตาและท่วงท่าที่ชวนมองเท่านั้น

เพราะคนเราเดี๋ยวนี้ตัดสินคนแต่ภายนอกใช่ไหม คนแบบตรี พงษ์พิพัฒน์ถึงจงใจจะเลือกใช้คุณสมบัติที่เพียบพร้อมของตัวเองแค่ในด้านที่สามัญธรรมดาที่สุด

ดนัยหวนกลับมาสู่สถานการร์ตรงหน้าอีกครั้งเมื่อตรี พงษ์พิพัฒน์กลับมาพร้อมกลับใบหน้าที่สะอาดใส ผิวขาวละเอียดจนเห็นสีฝาดของเส้นเลือดที่ระเรื่ออยู่บนสองฝั่งแก้ม น่ามอง...แต่ก็น่าเสียดายที่จะให้คนอื่นเห็นเพียงด้านเดียว

"นี่ทำไมคุณยังไม่กลับ" เจ้าของห้องถามอย่างสงสัย

"ถ้าผมกลับคุณจะยังเห็นไหม"

มัวแต่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปจนลืมเวลา แต่ก็ช่างเถอะ ถือว่าเป้าหมายของตัวเองลุล่วงไปแล้ว พอคิดได้แบบนั้น ดนัยก็ไม่อยากจะรุกอีกฝ่ายให้จนแต้มมาก คนอย่างตรี พงษ์พิพัฒน์ต้องปล่อยให้ดิ้น ให้อาละวาด ถึงเวลานั้นแหละ จะเป็นช่วงเวลาที่เปล่งประกายที่สุด

บ้าน่า !

นี่เขาคิดอะไรอยู่ ! ดนัยสะอึกกับความคิดตัวเอง นี่เขาสนุกกับการเล่มเกมกับตรีตั้งแต่เมื่อไร แล้วตั้งแต่ตอนไหนที่เขาหัดสังเกตอากัปกิริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของมนุษย์ที่แปลกพิลึกคนนั้น เกลียดนักไม่ใช่หรือ ไม่ใช่สเป็กสักนิดนี่นา แล้วทำไมไป ๆ มา ๆ ถึงได้ช่างสรรหาข้ออ้างสารพัดมาคานน้ำหนักกันไม่จบสิ้น

จากคนงี่เง่าปัญญาอ่อนกลายเป็นคนฉลาดน่าสนใจทั้งแต่เมื่อไร ?

ดนัยนิ่วหน้า นับตั้งแต่รู้จักตรี พงษ์พิพัฒน์ก็รู้สึกว่าตัวเองชักแปลกประหลาดขึ้นทุกวัน ซ้ำยังดูจะมีความสุขนักหนาเวลาที่ได้กำราบเจ้าของใบหน้าเชิดรั้นนั่น กระทั่งรู้สึกอิ่มเอิบอารมณ์ดีเวลาที่เห็นแววของความไม่พอใจที่แสดงออกอย่างเปิดเผย กระทั่งริมฝีปากที่ยื่นน้อย ๆ แบบแสนงอนนั่นก็ดูจะกลายเป็นจุดรวมของสายตาเขาโดยไม่รู้ตัวเสียทุกที

"ประสาทแล้ว เป็นพวกโรคจิตถ้ำมองหรือเปล่านะ" ตรี พงษ์พิพัฒน์พึมพำกับตัวเอง

ดนัยละสายตาขึ้นมองเพดานสีฟ้าอ่อน ตอบคำถามตัวเองไม่ได้สักอย่าง ซ้ำยังดูไม่คิดจะหาคำตอบแบบจริงจังด้วยซ้ำ ร่างสูงสูดลมหายใจลึก พยายามดับความรุ่มร้อนแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในอกอย่างไม่คาดฝัน

"ผมเปลี่ยนใจแล้ว อยู่ต่อที่นี่จนถึงเวลาไปอัดเทปรายการเลยก็แล้วกัน"

ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่เขาพูดแบบนั้นออกไป




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




ดอกเหลืองปรีดียาธรตัดกับสีครามของท้องฟ้าจนดูสดใส ทุก ๆ หน้าร้อน ถนนจะเต็มไปด้วยพุ่มดอกไม้สีเหลืองสะพรั่งเป็นช่อเต็มสองข้างทางเกือบตลอดทั้งหมู่บ้าน ฟังดูเหมือนจะโรแมนติก แต่เปล่าเลย ต้นเดือนเมษายนดอกไม้สวย ๆ พวกนี้จะทยอยร่วงลงมาเกลื่อนเต็มไปหมด แน่นอนว่าไม่เว้นแม้แต่บ้านเขา เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดจะเข้ามาจัดการขยะเหล่านี้สัปดาห์ละสองครั้ง แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบความไม่เป็นระเบียบอย่างพี่อายส์แล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ นั่นแปลว่ามันคือหน้าที่ของน้องชายซึ่งถือเป็นบรรดาศักดิ์ที่ต่ำต้อยที่สุดในบ้านในการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

"อาาา...จะละลายอยู่แล้ว ไม่รู้ว่ามนุษย์กรุงเทพใช้ชีวิตอยู่ในอากาศแบบนี้ได้ยังไงกันนะ" อริยะได้แต่บ่นพึมพำอยู่คนเดียวขณะที่ถือไม้กวาดทางมะพร้าวทำความสะอาดเศษดอกไม้ร่วงไปพลาง ๆ ไม่ใช่แค่ในรั้วบ้าน หน้าที่นี้กินอาณาเขตไปถึงหน้าบ้านด้วย

ทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น ซาตานที่มาเกิดเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขา ใครหนอใครบอกให้ปีศาจตนนั้นเปลี่ยนแผนจากไปเรียนต่อยมวยกลับมานอนเล่นอยู่ที่บ้านแบบนี้

"โอ๊ย...เหนื่อยอะไรขนาดนี้เน้อ" อริยะวางไม้กวาดที่ริมกำแพงบ้านก่อนจะละลายลงไปนั่งหอบแฮ่กอยู่ที่พื้น หน้าร้อนนี่มันแสนสาหัสจริง ๆ

"บ่นอะไรยะ เป็นผู้ชายซะเปล่า อากาศร้อนแค่นี้จะเป็นจะตาย เยอะนะ ดัดจริต !" อารดายกเท้าขึ้นเหยียบเก้าอี้หนึ่งข้าง ร่ายคำบ่นชุดใหญ่จนหน้ำใจก่อนจะนวยนาดเข้าบ้านไปในตอนที่หูชาจนไม่รู้เรื่องอะไรไปแล้ว

อริยะถอนหายใจกับตัวเองแล้วบิดตัวไปมาด้วยความเกียจคร้าน พยากรณ์อากาศหลายวันที่ผ่านมาบอกว่าอุณหภูมิจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นจนกว่าจะถึงวันที่ 12 เมษายนที่ถือว่าร้อนที่สุดในรอบหกสิบปี เมฆไม่มีสักก้อน ลมก็ไม่มีสักนิด ร้อนอะไรขนาดนี้

อีกสองวันเชียวเหรอ แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว

ขยับตัวแค่นิดหน่อยก็เหมือนกับเพิ่งไปตกน้ำที่ไหนมา มือหนายกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ที่ซึมไปทั่วหน้าผาก เสื้อแขนกุดที่สวมอยู่เหนอะหนะจนเหนียว แดดในเดือนเมษายนไม่ใช่แค่ร้อนจัด มันยังทำให้เหนื่อยจนหมดแรงไม่อยากจะทำอะไร เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ตั้งใจจะด่าพระอาทิตย์ให้หายแค้น หากแต่สิ่งที่สะดุดตาใต้แสงแดดแผดจ้านั้นคือร่างโปร่งซึ่งนั่งอยู่หลังกรอบหน้าต่างบนชั้นสอง อริยะยิ้มกับภาพที่เห็นนั้นโดยไม่รู้ตัว

หลายนาทีแล้วที่พิธานมองออกไปตรงเส้นขอบฟ้า แต่โฟกัสในสายตานั้นกลับจับจดอยู่ที่เงาสะท้อนของตัวเองในกระจก หนึ่งถามตัวเองหลายครั้งว่ากำลังทำอะไรอยู่ และจะทนกับเรื่องราวซ้ำซากพวกนี้ไปอีกนานแค่ไหน ความกระฉับกระเฉงและทัศนคติในแง่บวกทั้งหมดดูจะถูกเผาด้วยแดดในฤดูร้อนไปเสียแล้ว มีแต่ความเอื่อยเฉื่อยและคำถามที่ว่าเมื่อไรหน้าร้อนที่แสนยุ่งเหยิงนี้จะผ่านไปเสียทีที่อยู่เป็นเพื่อนปลอบโยนกันไม่เว้นแต่ละวัน

"ขอโทษทีน้า ช้าไปหน่อย รอนานเปล่า" อริยะเปิดประตูห้องพร้อมกับเสียงร่าเริงเช่นทุกครั้ง แต่กลับสะดุดใจในท่าทางแปลก ๆ ของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ "เอ๋...เป็นอะไรเหรอ"

"ไม่มีอะไรหรอก"

เสียงที่ขึ้นจมูกทำให้คิ้วเข้มของอาร์มขมวดด้วยความสงสัย หนึ่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นเหรอ จะเป็นอะไรไหมนะ แต่เดี๋ยวก่อน แล้วร้องเรื่องอะไรหว่า ระหว่างที่เกาหัวตัวเองแกรก ๆ ด้วยอาการมึนนั้น หนึ่งก็พูดขึ้น

"จริงสิ เรื่องทริปจักรยานน่ะ เราไม่ไปด้วยได้ไหม ไม่อยากหัดขี่อีกแล้วด้วย หัดไปก็ไม่เป็นหรอก เหนื่อยกันเปล่า ๆ"

"ไปด้วยกันเถอะ"

หนึ่งส่ายหัวช้า ๆ แล้วพูดจริงจัง "ถือว่าขอเถอะนะอาร์ม"

"เอาแบบนั้นเหรอ"

"ขอโทษนะ" หนึ่งพูดอย่างสงบแล้วลุกขึ้น "กลับบ้านก่อนนะ"

เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวสิ เนื้อตัวของอาร์มเหมือนจะแข็งทื่อไปหมด ตั้งแต่รู้จักกันมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อาร์มเห็นหนึ่งเป็นแบบนี้ และเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงได้แต่ลนลาน ไม่รู้ว่าควรจะปลอบยังไงดี ไม่เอานะ อย่าร้องไห้ กูอยู่ตรงนี้นะโว้ยประมาณนี้เหรอ เวลาแบบนี้มันต้องพูดแนว ๆ ไหนกันนะ

และกว่าที่จะรู้ตัวว่าควรทำแบบไหนดี ประสาทส่วนที่ควบคุมอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็ทำหน้าที่ของมันเสียแล้ว

"อย่าเพิ่งกลับเลย" อาร์มพูดขึ้นขณะที่กอดร่างของคนที่กำลังจะเดินออกไปแนบแน่น

อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องปกติแบบทุกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไมคราวนี้หัวใจของเขาถึงได้เต้นแปลกแปร่งกว่าที่ผ่านมานัก คล้ายกับอะดรีนาลีนแห่งความสุขจะหลั่งไหลไปทั่วร่าง แทรกซึมไปทั่วจนรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อาร์มออกแรงบนสองแขนมากขึ้น กอดคนตรงหน้าเหมือนใส่กุญแจล็อคไว้ไม่ให้หนีไปไหน

"ทำอะไรเนี่ย" หนึ่งถาม

"ไม่รู้...คือ...ก็ไม่รู้นี่นาว่าต้องทำยังไง มีอะไรเหรอ บอกได้นะ เราอยากช่วย หรือถ้ามีปัญหากับใครเดี๋ยวจะไปจัดการให้" ดวงตาทั้งสองคนจ้องมองกันและกันอย่างจริงจัง และไม่มีใครที่จะกะพริบตา "ไปทริปขี่จักรยานกันเถอะนะ ไม่ต้องหัดอีกแล้ว ขี่ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่ไปด้วยกัน เดี๋ยวขี่ให้ แค่ซ้อนก็พอ แต่ต้องไปด้วยกัน อะไรก็ไม่รู้ แต่อย่าอยู่คนเดียวเลย มาอยู่กับเราเถอะ แบบว่า...ทำหน้าอย่างนี้มันเหมือนกำลังเจ็บอยู่เลย เหมือนกับ...อืม...ประมาณคนอกหักเลย"

อาร์มพูดอย่างรีบร้อน ก่อนที่ทุกอย่างจะดำดิ่งสู่ความเงียบสงัด หลายวินาทีต่อมา ทั้งเขาและหนึ่งไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย แล้วความเงียบนั้นก็ทำให้อาร์มเริ่มเอะใจ

"เอ่อ...อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องนี้จริง ๆ"

เสียงถอนหายใจพร้อมกับสันกรามที่กัดแน่นของหนึ่งนั้นดูจะเป็นคำตอบที่ค่อนข้างชัดเจน ดวงตาสีเข้มของอาร์มกะพริบสองสามครั้งด้วยอาการมึน ก่อนจะสูดลมหายใจลึก เงยหน้าขึ้นมองคนที่คิดว่าตัวเองรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างชนิดทุกแง่มุมมาเนิ่นนานหลายปี

หนึ่งก็มองกลับมาที่อาร์มเช่นกัน ดวงตาเป็นสีเข้ม แต่กลับไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลย

"ใครเหรอ ใครกันที่ไม่ยอมรักหนึ่งวะ เอ่อ...ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้" อาร์มพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก และรูํ้สึกเหมือนว่าปากคอตัวเองชักจะอยู่ไม่สุขมากขึ้นทุกที "อย่าคิดมากนะ ไม่มีใครแต่นายยังมีเรา ยังไงก็จะอยู่ข้าง ๆ หนึ่งแบบนี้แหละ"

"ประสาท" เสียงหัวเราะเบา ๆ นั้นดังขึ้นที่ข้างหูก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงกระซิบที่แสนนุ่มนวล "แต่ก็ขอบใจนะ"

หนึ่งผละตัวออกไปนั่งนิ่ง ๆ ชั่ววินาทีนั้นราวกับว่าอาร์มจะหายใจไม่ออก แม้กระทั่งขยับตัวก็ดูจะเป็นเรื่องที่งกเงิ่นกว่าควรจะเป็น จู่ ๆ เขาก็รู้สึกไม่มั่นใจว่าควรมองไปทางไหน แกล้งไม่เห็น หรือควรสบตาแบบจริงจัง สองแขนพอปล่อยจากเนื้อตัวของหนึ่งก็ดูจะไม่สามัคคีกันอีกเลย ขาก็สั่นไปหมด

"จริงสิจริงสิ เพิ่งนึกออก ลืมไปเลย มีของที่อยากจะให้น่ะ" อาร์มลุกขึ้น เดินไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา เป็นยางรัดผมสีส้มสองสามเส้น ดูสดใสเหมือนกับสีสันของฤดูร้อน

"เอ่อ..." นั่นเป็นสิ่งที่หนึ่งพอจะจินตนาการเรื่องราวต่อไปได้ และขณะนี้เขากำลังขอให้ความคิดเขานั้นเป็นเรื่องผิดพลาด ได้โปรด...หนึ่งภาวนาแบบนั้นในตอนที่อาร์มเดินกลับมาหาตัวเอง

"มัดแบบนี้ผมจะได้ไม่ตกลงมาทิ่มตานะ เหมาะกับหน้าร้อนออก ต้องมัดแบบนี้ แล้วก็แบบนี้" สองมือขยุกขยุ้มอยู่บนหัว หนึ่งรู้สึกถึงแรงตึงที่เหนือหน้าผากด้านหน้าตัวเอง อาร์มถอยหลังไปช้า ๆ แล้วจ้องหน้าเขาด้วยความตื่นเต้น "น่ารักว่ะ ! โหววว...แบบนี้สุดยอดไปเลย"

ในระยะที่ใกล้เพียงไม่กี่นิ้ว หนึ่งก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาคู่นั้นจัง ๆ อีกแล้ว

"อ้าว...ไม่ชอบเหรอ" อาร์มถาม น้ำเสียงดูจะผิดหวัง

"ไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนั้น" หนึ่งพูดในที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามบังคับตัวเองให้ลืมตามองคนตรงหน้า "ขอบใจนะ"

ช่างไม่รู้เลยว่าดวงตาที่มองแบบเขิน ๆ นั้นตรึงอีกฝ่ายไม่ให้ลุกหนีไปไหน มันรู้สึกเหมือนเดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว แล้วเดี๋ยวก็เหมือนโดนฝนตกใส่ รอบ ๆ ตัวเหมือนกับเปลี่ยนวนจนครบทั้งสามฤดูจนหัวสมองมันหมุนเคว้งไปหมด อาจจะดูแปลกที่อาร์มรู้สึกเหมือนว่ามือทั้งสองข้างของตัวเองก็กำลังพันกันด้วยความตื่นเต้น ถ้อยคำมากมายซึ่งถูกขังอยู่ที่คอหอยจึงกลายเป็นเพียงความเงียบที่แสนกระอักกระอ่วน

"จ้องแบบนิ้ เขิน ๆ ยังไงไม่รู้แฮะ" อาร์มพูดด้วยเสียงที่ฟังแล้วไม่เหมือนเสียงตัวเอง

"มัดเหมือนกันสิ"

น้ำลายถูกกลืนลงลำคออย่างฝืดเฝื่อน นั่นเป็นจังหวะที่อาร์มตัดสินใจสบตาของหนึ่งอีกครั้งด้วยความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงเนื้อผ้าบนเสื้อเสียดสีกัน...นั่นคือความต้องการที่อาร์มหวังให้มันเป็น แต่ในความเป็นจริง ความเงียบกำลังทำให้เขารับรู้ถึงจังหวะแต่ละห้วงของลมหายใจอุ่นที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้มันเสียดสีบนหน้าผาก สันจมูก แก้ม ปาก กระทั่งลำคอของกันและกันอย่างไม่มีใครคิดถอยหนี แรงดึงที่บนผมทำให้ศรีษะโคลงไปตามสองมือที่วุ่นวายอยู่บนหัว ชั่วเวลาขณะนั้นเองที่จู่ ๆ อาร์มก็รู้สึกอยากเอื้อมมือออกไปสัมผัสริมฝีปากสีเรื่อที่ลอยอยู่ตรงหน้าเล่นดูสักครั้ง แต่เขาก็ไม่กล้า ได้แต่จับจ้องอยู่แบบนั้นแล้วปล่อยให้หนึ่งเล่นผมของตัวเองไปตามสบาย

"มันจะดูไม่ได้เอาน่ะสิ" อาร์มพูดขึ้นในตอนที่อีกฝ่ายถอยห่างออกไปเพียงคืบ เห็นอีกฝ่ายมองนิ่งอยู่สักพัก แล้วริมฝีปากที่ดูไร้ความรู้สึกนั้นก็ค่อย ๆ เหยียดออกเป็นองศาแบบที่เขาชอบมอง

"ไม่เลย เท่ออก"

"จริงหรือ ?"

ในระยะที่ใกล้จนชิด ดวงตาของหนึ่งคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้อาร์มอยากเข้าไปค้นหา เสียงหัวใจเหมือนจะเต้นแรงขึ้นในตอนที่เขาค่อย ๆ โน้มตัวเข้าไปสู่อาณาจักรแห่งความเคลือบแคลงนั้น คล้ายกับร่างกายของหนึ่งจะสั่นนิด ๆ แปลกที่ท่าทางหวาด ๆ นั้นกลับเหมือนสารกระตุ้นที่ปลุกเร้าความรู้สึกของอาร์มจนพลุ่งพล่าน

"อะไร ?"

"จริงหรือเปล่า ?"

"อะไรเล่า ?"

"ที่ีว่าเท่"

"ไม่รู้ แต่นี่มันใกล้ไปแล้ว" ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมารั้งที่หน้าอกของคนตรงหน้า แต่ผิวอุ่น ๆ ที่มีชีวิตชีวาอยู่ภายใต้นิ้วทั้งสิบนั้นคล้ายจะทำให้ทุกอย่างเป็นอัมพาต

"ไม่จริงเลย" อาร์มยกมือขึ้นกุมข้อมือของหนึ่ง ดึงมันออกอย่างนุ่มนวลคล้ายยกมือปัดหยากไย่ที่บางเบา ทีละข้าง...ทีละข้าง... แผ่นหลังกว้างโน้มเข้ามาจนประชิด คงระยะห่างให้ใกล้เทียบเท่าเดิม "ถ้าใกล้ต้องแบบนี้"

ความห่างนั้นถูกบีบให้แคบลงอย่างเชืิ่องช้า ก่อนจะทิ้งช่องว่างเพียงประมาณสองเซนติเมตรระหว่างริมฝีปากอย่างอวดดี ในระยะที่ใกล้ สีแดงเรื่อดูเป็นแม่สีที่ถูกอาบไปด้วยแสงแดดทั้งหมดของฤดูร้อน อิ่มเอิบ และอวลไปด้วยกลิ่นของแดดอุ่น ๆ ซึ่งระอยู่ที่ปลายฟ้า

"บอกได้ไหม...รักใคร"

พิธานหลุบตาลงไปสู่แสงแดดที่ลามเลียอยู่บนพื้นห้อง แล้วไหวหัวช้า ๆ ปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดสิ้นสุดไปพร้อมกับแดดของวันที่แสนอบอ้าวนี้ ความรักของเขาจะเป็นความลับในฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดกว่าทุกปี และจะกลายเป็นความทรงจำที่ระอุอยู่ในหัวใจอันมอดไหม้ดวงนี้ตลอดกาล

แดดที่ร้อนจัดสาดส่องไปทุกหนแห่งทั่วกรุงเทพ บนท้องถนน ตึกรามบ้านช่อง อาคารสูง แม้แต่ใต้เงาของช่อดอกเหลืองปรีดียาธร ระรินยืนอยู่ที่หน้าปากซอยเล็ก ๆ ของบ้านอริยะ หญิงสาวนิ่งงัน ทำอะไรไม่ถูก ภาพที่ขอบหน้าต่างเมื่อครู่เหมือนฝันร้ายในคืนฤดูร้อน และแม้จะพร่ำบอกตัวเองว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน แต่ความปวดแปลบที่หายใจอยู่ทั่วทั้งร่างกายนั้นกลับหัวเราะเยาะแล้วตะโกนใส่เธออย่างหบ้าคลั่ง

แสงแดดอันร้อนระอุของกรุงเทพ มีผู้หญิงคนหนึ่งทรุดตัวลงนั่งที่ข้างถนน แววตาคู่สวยที่ไหวระริกคู่นั้นคล้ายกับคนหลงทาง เมื่อสิ่งที่เห็น...ทุกอย่างคือความจริง




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




ผ่านไปอีกหนึ่งตอนแล้ว ฮึ๊บๆ หวังว่าจะยังไม่ถอดใจหน้ามืดกับเรื่องเยอะตัวละครแยะแบบนี้ไปก่อนนะครับ
แต่ละคู่เส้นเรื่องค่อนข้างชัดแล้ว หวังว่าจะทำให้พอจำตัวละครได้มากขึ้นนะครับ ฮ่าๆๆๆ
จะพยายามมาอัพให้ไวๆ ครับ ขอบคุณมากๆ ที่ยังตามอ่านกันครับ พบกันใหม่ตอนหน้านะ ^ ^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 22-06-2014 23:25:58
 ซาฮิดนี่เหมาะกับเพลง "พี่ชายที่แสนดี" มาก ๆ  อบอุ่น ดูแลน้อง

 น้องภีมกินนมสตรอเบอรี่ด้วย หวานแหวว น่าร๊ากอะ


 "นิยามความหล่อสมบูรณ์แบบที่โลกจะต้องจดจำ"      o17    ตรีมันช่างกล้าเนอะ


 อยากจะเบิร์ดกะโหลกตาอาร์ม      :angry2:     รู้ตัวได้แล้ว!!!    สงสารนุ้งหนึ่งอะ

 ระรินนี่จะช่วยให้อาร์มรู้ใจตัวเอง หรือจะมาแนวนังมารร้ายเนี่ยะ  หวั่นใจเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-06-2014 23:33:04
ปัจจุบันของอาร์มหนึ่งนี่มีส่วนคล้ายอดีตของปืนนภหรือเปล่า แอบรักเพื่อนและต้องเก็บเป็นความลับ
ตรีนี่มันกวนโอ๊ยได้ทุกตอนสิน่า
ชอบคู่ชาฮิดธีมที่สุด รู้สึกว่าอิน้องชายมันจะออกตัวแรงเหลือเกิน แหม่ ๆๆ ตัวแค่นี้
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 22-06-2014 23:43:01
 :katai2-1: มีความรักหลากหลายแนวจริงๆ
แต่ที่แน่ๆฮาตรีค่ะ อะไรมันจะรั่วขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 22-06-2014 23:47:27
อ้าว ระรินมาเห็น แล้วไง???
แค่ใกล้กันเอง ไม่ได้จูบ ใช่มั้ย?
ยังสงสารหนึ่งอยู่ดี มันหน่วงนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 23-06-2014 00:10:17
รหัสลับนั่นน่าปวดกะโหลกจริงๆ
เริ่มเห็นชัดแล้วว่านัทชอบตรี แต่ตรีล่ะ ยังไม่มีทีท่าจะชอบ(รึเปล่าหว่า)
แต่เด็ก ๆ นี่ดีเนอะ คิดยังไงก็แสดงออกอย่างนั้น
ปกป้องพี่ให้ได้ล่ะธีม เจ๊จะรอดูวววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 23-06-2014 08:48:59
 :katai1: :katai1: คู่อาร์มหนึ่ง อีรุงตุงนัง
กว่าจะสมหวังในรักแลดู จะบอบช้ำกันทุกคนเลย สงสารอ่าาา
แต่คู่ตรีนี่มันช่าง น่าโมโหจริงๆ เกรียนได้อีกกก
คู่นภ เบาๆกำลังน่ารัก รึเปล่าฮ่าๆๆๆ อย่ามีดราม่ากับนภอีกเลย
คู่ชาฮิดกับธีมนี่ช่างน่ารักมุ้งมิ้ง จริงๆกร๊ากกกก><
อัพต่อน่ะค่ะ จะรอจ้า^^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 23-06-2014 23:55:00
คู่ปืน นภ น่ารักมากๆ ชอบ มันอบลุ่นละมุนละไม กรี๊ดดดด> <~

คู่ชาฮิด-ภีม เห้ย!!  เวลาเด็กๆผู้ชายมามุ้งมิ้งกันมันน่ารักอ่ะ ฟินเว่อร์555 :hao6:

คู่ดนัย ตรี. ดนัยชักจะยังไงๆนะ อย่าเผลอจับตรีมาตีก้นล่ะ555

คู่อาร์ม-หนึ่ง งานเข้าล่ะสิ หวังว่าระรินจะใจดีนะ ถ้ามาโหดๆเรื่องนี้เข้าโหมดดราม่าเต็มเหนี่ยวแหงๆ :ling3:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 8 (Jun 22, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: boombei ที่ 24-06-2014 09:11:15
ชอบมากกครับบบ
แล้วคำว่า หน้าร้อนที่ร้อนที่สุด อ่านแล้วเหมือนมีพลังขลังๆยังไงก็ไม่รุ้  :z3: :z3:
ชอบบมาก  o13 ทุกอย่างมันลงตัวดีครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 26-06-2014 02:49:28
สวัสดีครับ ตอนที่ 9 มาแล้ว ตั้งใจจะอัพตอนค่ำ ๆ แต่นั่งดูทีวีเพลินจนลืมอัพ !
ผิดไปแล้ว คราวหน้าจะไม่เปิดคอมพร้อมกับเปิดทีวีอีกแล้ว น่ากลัวมาก
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกัน จะพยายามคลอดตอนใหม่ ๆ มาให้ไวครับ
เลยครึ่งเรื่องมาแล้ว เหลืออีกไม่เยอะเท่าไหร่แล้วมั้ง ฝากติดตามต่อจนจบด้วยนะครับ


(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)


ตอนที่ ๙




ถึงจะเป็นเวลาเย็นแล้วแต่แสงแดดก็ยังร้อนจนแสบตา นภเร่งฝีเท้าตามคนข้างหน้าไปใต้กำบังร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านไปทั่วทางเดิน พระอาทิตย์ดูจะไม่เหน็ดเหนื่อยในการเปล่งแสงสีแสดไปทั่วท้องฟ้า ย้อมกรุงเทพทั้งเมืองเป็นสีส้มจัด เนรมิตเมืองที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนให้กลายเป็นเตาอบขนาดใหญ่ ต่อให้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่แสงไม่สาดเข้ามาโดยตรง แต่ความระอุร้อนก็หลอมทุกอย่างในเมืองหลวงแห่งนี้จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน

"เบื่อไหมที่ชวนมาที่แบบนี้" นภถามขึ้นขณะที่ค่อย ๆ ก้าวผ่านโค้งหลังคาสีเขียวที่ไหวตามแรงลม ทุกอย่างดูช้า เงียบสงัด นิ่ง และเนิ่นนานกว่าที่ควรจะเป็น ละม้ายว่าความร้อนของแดดจะทำให้โลกทั้งใบอ่อนล้าจนคร้านจะขยับไหวตัว

"ไม่หรอก" ปืนตอบ ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรงเหมือนเส้นขอบฟ้า และยังคงสงบนิ่งดั่งภาพที่คุ้นตา บุหรี่ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟสีส้มสว่างวาบเหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยที่ลอยอยู่เบื้องหลังไหล่กว้างที่ตัดกับโทนสีร้อนแรงเบื้องบน

นภยิ้มให้กับกลิ่นของวันวานที่อบอวลอยู่ทั่วทุกแห่ง มหาวิทยาลัยคือจุดเริ่มของความทรงจำทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับปืน ปลายฤดูร้อนปีนั้นที่นภเป็นเพียงแค่เด็กมัธยมปลาย เห่อกับเนคไท เชิ้ตสีขาว และกางเกงขายาวของชุดนักศึกษา วัน ๆ คิดแต่จะวางแผนแต่งเครื่องแบบเต็มยศกลับไปโรงแรียนเก่าแล้วยืดให้เต็มที่กับรุ่นน้อง นภในวัย 17 ปีคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว โตพอที่จะไล่ตามความฝันที่ลอยอยู่ทั่วฟ้า แต่มันก็แค่ความคิดของเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่งี่เง่าสิ้นดี

คนที่บอกเรื่องนี้กับนภก็คือปืน ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน ชื่อแปลก ใบหน้าคมคายสะดุดตาและมีผิวสีแทนที่นภคิดว่ามันเป็นสีของแสงแดด ปืนถือโทรโข่ง ร้องเพลงรับน้อง เต้นระบำท่าแปลก ๆ ตามรุ่นพี่ ร่าเริง สดใส สว่าง เต็มไปด้วยสีสันเจิดจ้าจนต้องหยุดมอง

หากฤดูร้อนที่สนุกสนานในปีนั้นเปรียบเป็นใครสักคนบนโลกนี้ คนเดียวที่อยู่ในความคิดของนภคือปืน มีเรื่องสนุกที่พูดคุยกันได้ไม่ซ้ำ หัดสูบบุหรี่ ลอกข้อสอบ โดดเรียน นั่งดูบอลด้วยกันจนถึงเช้า จนถึงขั้นสอบตกแล้วต้องมาลงเรียนซัมเมอร์ มีวีรกรรมมากมาย ความทรงจำนับพัน ๆ อย่าง กระทั่งจู่ ๆ ปืนก็กลายเป็นพ่อคน

เด็กวัยรุ่นที่อายุยังไม่ถึง 20 ดีจะรับกับแรงกดดันได้มากแค่ไหนกันนะ ความคาดหวัง ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ต่อตัวตนของเราเอง และอะไรอีกมากมาย นภยังจำภาพนั้นได้ติดตา วันที่ปืนนั่งอยู่ใต้ต้นหูกวาง "ขอโทษนะที่ไม่เคยบอก กูเป็นพ่อคนแล้ว มึงเป็นเพื่อนที่กูสนิทที่สุด ดีใจกับกูหน่อยได้ไหมวะ อย่างน้อยก็แค่มึง กู...เป็นพ่อคนแล้ว"

ไม่นานนัก ปืนก็แต่งงานกับลูกน้ำ เป็นพิธีเล็ก ๆ ที่มีแต่คนในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายและการจดทะเบียนตามกฎหมาย จากนั้นลูกน้ำก็ลาออก และนภก็ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของปืนอีกเลย ฤดูกาลค่อย ๆ เปลี่ยน จากฤดูร้อน กลายไปเป็นฤดูฝน จนสุดท้ายก็เข้าสู่ฤดูหนาว ชีวิตเองก็เปลี่ยนตามวงโคจรของมัน ปืนเคยฝันว่าจะเปิดเพ็ตช็อปเล็ก ๆ อาบน้ำสุนัข แต่งขนแมวตัวน้อยแบบที่ชอบแต่วันนี้กลับกลายเป็นโปรแกรมเมอร์ แม้แต่ตัวนภเองที่เคยคิดมาตลอดว่าอยากจะเป็นนักโฆษณา สุดท้ายก็มาลงเอยกับการเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ในต่างประเทศ พอโตขึ้นความฝันที่สวยงามในวัยเด็กก็ค่อย ๆ บิดเบี้ยว ผุกร่อน พังทลายลง ท้ายที่สุดความฝันก็กลายเป็นเถ้าชิ้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครสนใจ

"เมื่อก่อนยังไม่โตขนาดนี้เลยนะ พอได้มาเห็นอีกทีเกือบจำไม่ได้" นภพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อนั่งลงที่ม้านั่งเก่า ๆ ใต้ต้นหูกวาง หยิบใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นหญ้าขึ้นมาหมุนเล่นแบบวันเก่า ๆ "ใครนะที่บอกว่าใบต้นหูกวางเอามาพัดแล้วเย็น หลอกกันชัด ๆ"

"ก็เห็นมีอยู่คนเดียวที่เชื่อ" ปืนยิ้มน้อย ๆ น้ำเสียงนึกสนุกนั้นดูจะเจือด้วยความอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น

"จะไม่ขอโทษสักหน่อยเหรอ แก้ตัวก็ยังดี"

ร่างสูงที่นั่งข้าง ๆ กรอกตาไปมาเหมือนใช้ความคิดก่อนที่รอยยิ้มเล็ก ๆ จะขยายพื้นที่กว้างขึ้น "ไม่ดีกว่า"

เสียงหัวเราะเคล้ากลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ ที่ลอยล่องอยู่ในสายลมแล้วจางหายไปในอากาศ

"ตลกดี พอได้มาเห็นถึงเพิ่งรู้ว่าคิดถึงมันมาก ๆ" นภมองขึ้นท้องฟ้า ปล่อยให้ถ้อยคำมากมายที่อยู่ในใจไหลออกมาจากความทรงจำ

สายลมพริ้วไหวพัดหยอกล้อกิ่งไม้จนไหวเอน เมื่อพัดผ่านจนสงบ ทุกอย่างก็ดูจะคืนสู่ความนิ่งสงัด ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ไม่มีกระทั่งคำพูดแบบที่ผ่านมา ความเงียบกำลังสื่อสารบางอย่าง นภจุดบุหรี่ ปล่อยตัวเองให้ดำดิ่งลงสู่ความทรงจำในหมอกควัน

หลายนาทีต่อมา แผ่นหลังที่กว้างเหมือนกำแพงใหญ่ก็ขยับตัวอีกครั้ง ดวงตาสีดำขลับคล้ายจะกลืนแสงรอบตัวจนทุกอย่างถูกกลืนสู่ความมืดช้า ๆ "อย่าไปพูดถึงเรื่องเก่า ๆ เลย พอโตขึ้น อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนไป ต่างคนก็ต่างมีชีวิตของตัวเอง หลายวันนี้ฉันสนุกมาก ได้เจอกับเพื่อนเก่า พูดคุย ทำอะไรแบบที่เคยทำ"

ใต้เงาต้นหูกวาง ปืนจ้องมองสนามหญ้าที่เคยวิ่งเล่นเตะบอลอยู่เกือบทุกวัน "แต่มันไม่ใช่แบบเมื่อก่อนแล้วละนภ เราในวันนี้เป็นแค่คนรู้จัก ไม่ใช่เพื่อนสนิทกันอีกแล้ว"

นภนิ่งเงียบ เป็นการนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ พูดออกมา เสียงนั้นแหบแห้งแต่ก็มั่นคงนัก

"สำหรับเรา นายก็ยังเป็นนายนะปืน"

ความทรงจำครั้งเก่าโรยตัวลงช้า ๆ คล้ายกับเถ้าบุหรี่ กลืนหายไปกับสายลมฤดูร้อน หายไปในผงฝุ่นเล็ก ๆ บนพื้นดิน ปืนเหยียดตัวขึ้นเต็มความสูง แววตาไม่แสดงความรู้สึกใด

"กลับกันเถอะ"

นภนั่งอยู่อีกสักพัก ผ่อนลมหายใจที่บางเบาจนแทบจับไม่ได้ ความรู้สึกแปลบซ้ำซากที่บนหน้าอกฉุดให้ลุกขึ้นเดินตามคนข้างหน้า...กลับไปยังที่ที่จากมา

"กรุงเทพมีคนอยู่ประมาณหกล้านคน รวมชาวต่างชาติที่มาทำงานที่นี่ รวมนักท่องเที่ยวด้วย นายเป็นคนเดียวที่ฉันไม่อยากอีกเลย" ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสีเขียวคล้ายกับอ้อมกอดที่พยุงความรู้สึกบอบช้ำของคนต่างถิ่นซึ่งกลับมาเยือนสถานที่แห่งความทรงจำ ปลายเท้าของปืนขยับไปข้างหน้าด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ ขณะที่อีกคนกลับก้าวขาไม่ออก

"ทั้งที่มีคนมากมายขนาดนั้น ทำไมถึงต้องมาเจอกันอีกครั้งด้วยนะ"

จากสายตาของนภ ระยะห่างของปืนค่อย ๆ ไกลออกไป กระทั่งมหาวิทยาลัยกลายเป็นภาพเลือนรางที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




ตรีรู้สึกอารมณ์เสียอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเพราะวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปีใกล้เข้ามาทุกที หรือเพราะคนที่นั่งลอยหน้าอยู่ข้างตนเองในขณะนี้กันแน่  ไปไหนก็ไม่ไป เอาแต่นั่งจ้องไม่หยุดตลอดทั้งบ่าย พูด...พูด...แล้วก็พูดเรื่องน้ำอัดลมอะไรนั่นไม่หยุด มันก็ใช่ที่ตรีจงใจสร้างบรรยากาศชวนจิ้นคู่กับหมอภัทร สมัยนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก การตลาดก็คือกระแส มันก็แน่อยู่แล้วที่ใครรุกใครรับน่าสนใจกว่ากระป๋องน้ำอัดลมที่แสนธรรมดาแบบนั้น

บอกตามตรงว่าแผนการโปรโมตของดนัยค่อนข้างจะน่าเบื่อ แทรก VTR กิจกรรมเอกซ์ตรีม ข้่อมูลสินค้าว่าน้ำตาลน้อยและปราศจากคาเฟอีน แล้วพูดถึงความสนุกสุดเหวี่ยงท่ามกลางแสงแดดฤดูร้อน อะไรแบบนั้นไม่ใช่นิยามคำว่าใหม่สำหรับพจนานุกรมของตรี พงษ์พิพัฒน์ ซึ่งโดยปกติแล้วเขาคงจะทำให้มันจบ ๆ ไป แต่ไม่ใช่ในระยะเวลาที่ชี้เป็นชี้ตายอนาคตบนเส้นทางพิธีกรของตรีแบบนี้

ดังนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น

"ไม่อ่านสคริปต์สักหน่อยเหรอ" เสียงของดนัยถามขึ้น

ตรีส่ายหน้า ตอบสั้น ๆ "ไม่จำเป็น"

"จะบอกว่าเพราะเก่งมาก มืออาชีพมาก อ่านพวกนี้มาเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วสินะ" เสียงของดนัยค่อนข้างแข็ง

พิธีกรรูปหล่อส่ายหน้าช้า ๆ แล้วยกข้อมือดูนาฬิกา "ได้เวลาแล้วสินะ"

สิ้นคำ สารพัดอุปกรณ์เครื่องครัวก็ถูกลำเลียงเข้ามาจากทางเข้าด้านข้างของสตูดิโอ ทีมงานมองซ้ายมองขวากันอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนที่ดาน่าจะเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นความหายนะที่แวะมาเคาะประตูทักทาย

"ไม่นะ...ไม่" ดาน่าครางเสียงสั่นขณะที่หันไปมองรอยยิ้มไร้เดียงสาของตรี พงษ์พิพัฒน์ และในตอนนั้นเองที่จุดรวมของทุกสายตาในที่นั้นลุกขึ้นยืน

"ผมมีความยินดีที่จะบอกกับทีมงานทุกคนว่าเราจะมีการเปลี่ยนแผนการถ่ายทำนิดหน่อย จะไม่มีการแทรกคลิปกิจกรรมอะไรแบบนั้น แต่เราทุกคนจะร่วมกันสร้างปรากฎการณ์ใหม่ของไจแอนท์โคลาและรายการเช้านี้ที่ประเทศไทยด้วยกัน"

"อะไรนะ" ดนัยทำเหมือนได้ยินไม่ถนัด

"เราจะทำขนมสูตรพิเศษที่มีชื่อว่าไจแอนท์โคลาบราวนี่"

"ว่าอะไรนะ !" คราวนี้เขาร้องอย่างไม่เชื่อหู

"และคุณ..." ตรีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่เบิกตาค้าง "คุณจะต้องเป็นคนลงมือทำขนม"

"ไม่ !" โดยไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีในการคิด "เราจะใช้แผนเดิมที่คุยกัน"

"งั้นเลิกกอง เพราะผมโทรไปยกเลิกกับคนตัดต่อวิดีโอไปแล้ว"

"คุณ..." ดนัยยืนอึ้ง พูดต่อไม่ออก สังหรณ์ไว้แล้วถึงได้เสียเวลาทั้งบ่ายนั่งเฝ้าแต่ไม่คิดว่าตรี พงษ์พิพัฒน์จะก้าวไกลไปถึงเพียงนี้

"ตกลงหรือไม่ตกลง"

ทีมงานทุกคนมองเหมือนลุ้น นึกอยากจะให้ดนัยซัดหน้าตัวปัญหาสักป๊าบ แต่ผิดคาด ชายหนุ่มไม่ได้ทำแบบนั้น "ผมต้องการเหตุผล"

"เรากำลังมองหาความแปลกใหม่อยู่ไม่ใช่เหรอ เทียบกับสูตรธรรมดา ไจแอนท์โคลาเป็นน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ในท้องตลาดและไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีน อังนั้นจึงเป็นยี่ห้อเดียวที่เหมาะกับเอามาดัดแปลงทำอาหารหรือแม้แต่ขนม ขณะที่ยี่ห้ออื่นจะให้รสที่หวานแหลมเกินไป"

ดนัยมองคนตรงหน้าอย่างใช้ความคิด นี่เป็นไอเดียที่ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กำลังทดลองดัดแปลงอยู่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วแต่ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนปฏิบัติการ น่าสนใจมากที่ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับเข้าใจในสิ่งที่ไจแอนท์โคลาต้องการมากกว่าทีมงานทั้งกอง

"ผมทำขนมไม่เป็น" เสียงของดนัยอ่อนลง แต่แววตาคู่นั้นยังกระด้างเช่นเดิม

อย่าไรก็ดี มันไม่มีผลกับเจ้าของความคิดนี้สักนิด ตรี พงษ์พิพัฒน์กอดอกแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิ "ขนมที่จะทำในรายการต้องเป็นของที่ทำได้ง่าย ๆ แม้แต่คนที่ไม่เคยทำขนมมาก่อนก็สามารถทำได้ อีกอย่าง คุณก็เป็นคนที่รู้จักโคลานั่นดีกว่าใครไม่ใช่เหรอ"

ฟังแล้วออกจะทึ่งอยู่ไม่น้อย อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ถึงแม้ตรีคนนี้จะดูขาด ๆ เกิน ๆ จนถึงขั้นล้นแต่ถ้าเอาจริงก็เป็นคนที่หลักแหลมเฉียบคมสมกับที่ได้ร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับระดับนั้น สติปัญญาถือว่าเป็นของจริงที่จะมองข้ามไม่ได้เลย

"ตกลง เราจะทำขนมกัน แต่ยังมีอะไรที่ผมควรจะต้องรู้อีกไหม"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ดีดนิ้วอย่างชื่นชม คนคนนี้เป็นคนรอบคอบไม่ธรรมดา

"บอกมา" ดนัยพูดเสียงขรึม

"นี่เป็นเรื่องใหญ่ ซีเรียสมาก นอกจากน้ำอัดลมนั่นแล้ว" ใบหน้าของตรีจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ฟังนะ ส่วนผสมทั้งหมดล้วนนำเข้ามาจากต่างประเทศ แม้แต่อุปกรณ์ในการทำขนม ผ้ากันเปื้อน ผ้าเช็ดมือ ทุก ๆ อย่างจะไม่สามารถหาได้ในไทย จะไม่มีแม้ในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ บางอันมีเพียงไม่กี่ชิ้นในโลก" จู่ ๆ คนพูดก็ทำหน้ากลัดกลุ้ม ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"แล้วยังไง"

สีหน้าของตรีดูไม่ดีนักตอนที่ขยับเข้ามาแล้วกระซิบข้างหูเขา ท่าทางละม้ายจะกระดากเสียเต็มที่ "ใช้ของถูก บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจ"

ดนัยหลับตาแล้วผ่อนลมหายใจ จะว่าปลงก็ไม่ใช่ เหมือนจะเริ่มชินกับตัวตนคนตรงหน้าเสียมากกว่า "ที่ประโคมเข้ามานี่ยังไม่ทำให้คุณมั่นใจหรือไง คนอย่างคุณมีช่วงเวลาที่หมดความมั่นใจด้วยหรือ ทุกทีเห็นแต่ล้นทะลักจนเผื่อแผ่คนได้ทั้งกรุงเทพ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์เขม่นจนกระตุกทั้งหน้า

"ผมต้องไปเตรียมตัวแล้ว จัดแจงธุระของคุณให้เรียบร้อยเถอะ"

การเตรียมตัวกินเวลาไม่นานนัก หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จ ดนัยก็พร้อมเข้าฉากในฐานะแขกรับเชิญจำเป็น และพิธีกรผู้เป็นเจ้าบ้านก็ทำหน้าเป็นจวักเตรียมพร้อมให้เหมาะกับช่วงพิเศษที่จะมีการทำอาหารอยู่แล้ว ทันทีที่ผู้กำกับส่งสัญญาณ ตรี พงษ์พิพัฒน์ก็ปั้นยิ้มราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสาแล้วกล่าวแนะนำชายหนุ่มหน้าเคร่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ราวกับมิตรสหายอันคุ้นเคยกันมาแสนนาน ตรีโผเข้าสวมกอดแนบแน่นจนอีกฝ่ายยืนงง พอผละจาก ดวงตาใสบริสุทธิ์ก็หลุบไล่จากใบหน้าลงจนถึงปลายเท้า ประเมินคนที่ยืนทื่อเป็นเสาไฟฟ้าในเสี้ยววินาที Not Bad ดีที่ตัวสูงสง่า คนตัวสูงแต่งอะไรก็ดูเด่น รูปร่างก็ผึ่งผาย ดูน่ามอง รวม ๆ แล้วก็ไม่แย่กับรายการนัก ตรีพูดแบบนั้นกับตัวเองก่อนจะหันมาจับดนัยสวมผ้ากันเปื้อนลายหวานแหวว

"ยิ้มน่ะเป็นไหม" ตรีเบี่ยงตัวบังแล้วกระซิบถาม

"ยิ้่มอยู่นี่ไง" คนถามเงยหน้าขึ้นมอง นอกจากจะไม่ยิ้มแล้วดนัยยังจ้องเขม็งแบบเอาเรื่อง "แล้วทำไมผมต้องใส่เจ้านี่"

คิ้วของตรีกระตุกทันที ก็ไหนว่าตกลงกันว่าจะทำทุกอย่าง นี่แค่เพิ่งเริ่มก็มาตีรวนกันแล้วเรอะ เห็นอีกฝ่ายตั้งท่ายืนกรานแบบนั้น ตรีก็รีบจับคนตัวยักษ์หมุนกลับแล้วผูกปมผ้ากันเปื้อนอย่างว่องไว เป็นอันถือว่าจบไปอีกเรื่อง ไม่สนใจใบหน้าที่ดูเหมือนจะกินคนได้ของคนข้างตัวแม้แต่น้อย

"เปิดเตาแล้วผสมส่วนประกอบสิครับคุณนัท" ยืนบื้อแบบนี้มันคงจะเสร็จเองหรอกนะ พิธีกรหนุ่มกรอกตาขึ้นมองเพดาน ดนัยคนนี้ช่างท่าดีทีเหลวเสียจริง

อีกฝ่ายขบกรามแน่น จ้องหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแต่สุดท้ายก็ยอมก้มหน้าลงมือทำแต่โดยดี โดยดีที่ว่า...ตรีก็ไม่รู้ว่ามันจะดีจริงอย่างที่คิดไหม เมื่อดนัยหยิบจับอะไรเหมือนจะทำลายข้าวของไปหมด

"อุ่นน้ำผึ้ง น้ำตาล เนยให้ร้อน คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นก็เติมไจแอนท์โคลาลงไปแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น" พิธีกรหนุ่มเมินใส่ แล้วหันไปยิ้มกับกล้องแบบมืออาชีพ เหมือนไอพยาบาทที่แจ่มชัดนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อน เสียงคนส่วนผสมดังสนั่นเหมือนมีช่างไม้มายืนตอกตะปูอยู่ในสตูดิโอ สักพัก ดนัยก็ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง

"ดำเชียว"

"ดำ" คำนั้นช่างแสลงหูของตรีนัก จะตัวดำ ใต้ตาดำ หรือจะอะไรดำก็แล้วแต่ ขึ้นชื่อว่าคนที่ยืนอยู่หน้ากล้องไม่มีใครอยากได้ยินคำพวกนี้นักหรอก ประเภทว่าดำ อ้วน โทรม แก่ หง่อม อะไรทำนองนี้ ในวงการเขาจะใช้คำว่า...

"ไม่ขึ้นกล้อง"

"อะไร ?" ดนัยหันมาถาม

"ก็ที่คุณคนอยู่ไง เขาเรียกว่าไม่ขึ้นกล้อง"

"ประสาท" พอได้ยินชัด ๆ กับหู ริมฝีปากของดนัยก็ขยับเป็นคำพูดแบบนั้นโดยอัตโนมัติ ไม่มีเสียง ไม่ต้องพึ่งกองเซนเซอร์ทำงานให้วุ่นวาย แต่ก็ชัดเจนชนิดที่เรียกว่าเต็มตาของตรี พงษ์พิพัฒน์ในระดับ HD

"ผสมสิครับ" ตรีถมึงตาใส่คนข้างตัวกลับก่อนจะสะบัดหน้าไปกะพริบตาให้กล้อง "ระหว่างที่รอให้ทุกอย่างเย็นลง เราจะผสมแป้ง ผงโกโก้ ผงฟู และจิงเจอร์เบรดสไปซ์ ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะครับคุณนัท"

"ผมจะไปรู้ได้ยังไง"

ริมฝีปากของตรีกระตุกขึ้นทันทีสิบสององศา สักพักริมฝีปากที่ยกขึ้นก็ตวัดวาดออกเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "นั่นสิครับ คุณนัทไม่รู้ว่าจิงเจอร์เบรดสไปซ์คืออะไร คุณผู้ชมรายการครับ คุณผู้ชมสามารถส่ง SMS มาบอกคุณดนัยได้ที่หมายเลขที่ขึ้นที่ด้านล่างจอนี้ ผู้โชคดีจะได้รับของขวัญพิเศษจากไจแอนท์โคลากลับไปเป็นจำนวนทั้งหมดสิบท่านครับ"

"เห้ย !" ดนัยร้อง เคราะดีที่ไม่เติมสระอีเข้าไปในคำอุทานด้วย

"เสร็จแล้วก็เอาไปเข้าเตาสิครับคุณ" ตรีจงใจทำเป็นไม่ได้ยิน นี่เป็นการนอกบท แต่แล้วจะทำไม ในเมื่อสินค้าก็ได้โปรโมตอยู่ดี ชายหนุ่มหันไปยิ้มแป้นแล้นให้กับคนที่กำลังทำหน้าหงุดหงิด แถมพยักเพยิดให้คนยกถาดขนมใส่เตาอีกหนึ่งครั้ง "อบด้วยอุณหภูมิ 180 องศา นาน 25-30 นาที แล้วทิ้งไว้ให้เย็นครับ เรียบร้อยแล้วก็ตัดแบ่งรับประทานได้เลย"

เสียงคัตดังขึ้น ตรีเดินนวยนาดออกไปนั่งพักที่เก้าอี้ด้านข้าง รอจนกว่าจะอบขนมเสร็จ ชายหนุ่มจิบน้ำเย็น ๆ อย่างไว้มาดแล้วยื่นใบหน้าขาวชวนมองให้ช่างแต่งหน้าเติมแป้งซับมันไปตามหน้าที่ ดนัยสาวเท้าตามมายืนกอดอก หน้ายุ่ง "เราไม่ได้ตกลงกันเรื่องแจกของไม่ใช่เหรอ"

ตรีโบกมือด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย "รายการไม่คิดเงินค่าโฆษณาเพิ่มหรอกน่า"

"มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่มันเป็นเรื่องที่คุณพูดเอาเองโดยไม่แจ้งผมก่อน เรื่องยกเลิกแผนของผมก็แล้ว เรื่องให้ผมมาทำอะไรแบบนี้อีก แล้วก็เรื่องแจกของรางวัลนั่น ยังมีอะไรอีกไหมที่ผมควรจะรู้ก่อนอีกไหม"

ดนัยพูดจบแล้วมองคนที่นั่งนิ่งอยู่ จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรซ้ำยังทำหน้าบึ้งใส่อีก

ตรีจ้องเขม็ง หน้าตาไม่ใช่เล่น ๆ "ผงโกโก้นั่นถือว่าแรร์มาก...มาจากกาน่าเลยนะ"

เห็นแบบนั้นดนัยลากลมหายใจยาวอย่างคนปลงตก ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว เดินไปนั่งที่เก่าอี้อีกตัวซึ่งไม่ไกลออกไปนัก คร้านจะสนใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจตีรวน แต่หน่ายจะต่อล้อต่อเถียงด้วยให้ปวดหัวเสียมากกว่า

ครึ่งชั่วโมงต่อมา การถ่ายทำก็ดำเนินต่ออีกครั้ง เริ่มเดินกล้อง ตรีก็สวมถุงมือแล้วหันไปเปิดเตาอบ ดึงถาดขนมร้อน ๆ ออกมา ไอกรุ่นและกลิ่นหอมของขนมที่อบเสร็จใหม่ ๆ อวลไปทั่วทั้งห้องส่งจนหลายคนถึงกับกลืนน้ำลาย

"กลับมาที่ไจแอนท์โคลาบราวนี่ของเรากันต่อครับ พอส่วนผสมเย็นแล้วก็นำทั้งหมดมาผสมกันได้เลย รองกระดาษลงบนถาดอบ โรยผงโกโก้ให้เป็นละออง...ใช้อุปกรณ์สิครับ ! อย่าใช้มือ !"

ดนัยหันมามองตาขวาง ไม่บอกแล้วเขาจะรู้ไหม ?

"นั่นมั่นเอาไว้ร้อนแป้ง อันข้าง ๆ ที่เล็กกว่านั่นน่ะ ไม่รู้จักหรือไง" ดนัยหันมาแยกเขี้ยว แต่ตรีไม่สน "โรยสิ...โรยสิครับ โอ๊ย...เบา ๆ สิคุณ" ตรีโวยลั่น ยกมือขึ้นโบกละอองสีน้ำตาลที่ฟุ้งไปทั่ว

"ก็ทำอยู่นี่ไง" ดนัยเขย่าแป้งอย่างแข็งขัน แต่ยิ่งทำก็ยิ่งอาการหนัก

ตรีถอดกรูดออกไปจนเกือบจะพ้นฉากแล้วกรอกตามองต้นเหตุของผงสีน้ำตาลที่ลอยฟุ้งอย่างรังเกียจ พิธีกรหนุ่มยกมือปิดปาก สถานการณ์เลวร้ายเหมือนกำลังผจญเพลิงอยู่ท่ามกลางหมอกควันไม่มีผิด ! "คุณผู้ชมครับ ที่คุณนัททำให้ดูนั้นเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี อย่า-เอา-เป็น-ตัว-อย่าง-นะ-ครับ"




(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 26-06-2014 02:50:24
(ต่อครับ)





ก่อนที่รายการจะได้พังจริง ๆ ตรีก็ฝ่าหมอกสีน้ำตาลเข้ามาทีละนิดอย่างเสียไม่ได้ นิ้วมือสะกิดสิ่งอัปมงคลที่อยู่กลางฉากแล้วขมุบขมิบปาก "เบา ๆ น่ะรู้จักไหม"

"รู้จัก !" ดนัยตอบอย่างหงุดหงิด เขย่าผงสีน้ำตาลลงหน้าขนมต่ออย่างตั้งใจ

ยิ่งเขย่าก็ยิ่งแรง ฝุ่นโกโก้ขะโหมงไปทั่วทั้งฉาก ตรีอ้าปากค้าง เผลอหายใจสูดเอาผงโกโก้เข้าไปทั้งจมูก จนออกมาดังลั่น ดนัยที่เห็นตั้งใจจะเข้ามาช่วย ความที่ไม่เคยเข้าครัวมาก่อน ความเก้กังทำให้กะน้ำหนักที่ร่อนมือผิด ผงโกโก้กระเด็นไปพอกหน้าของคนที่กำลังจามไม่หยุด จากนั้นโลกก็เข้าสู่กลียุค ความอดทนของตรีขาดผึงระเนระนาด มาดแบบผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วถูกพับเก็บห่อลงหีบไว้ชั่วคราว กลายเป็นตรีเวอร์ชั่นใหม่ ระอุไม่แพ้แดดเปรี้ยงที่นอกสตูดิโอ

"กรรมกรมาก ผงโกโก้ไม่ใช่ปูนซีเมนต์นะ หยุด ! หยุดเดี๋ยวนี้ ! ร่อนไม่ได้ก็ไม่ต้องร่อน"

"โอเค งั้นก็เลิกร่อน" พูดจบดนัยก็เทที่อยู่ในมือทั้งหมดพรวดลงไปในถาดแล้วยกขึ้นมายื่นให้ "เสร็จแล้ว"

ตรียืนอึ้ง มองอะไรบางอย่างที่ระบุประเภทไม่ได้ในถาดแล้วทำหน้าเหมือนกับคนที่เห็นผีมาหมาด ๆ

"จะหั่นไหม ?" ดนัยถามซ้ำ ตรี พงษ์พิพัฒน์จึงหันหน้ามายิ้มแห้งให้กับกล้อง "อาจเสิร์ฟพร้อมไอศกรีม วิปปิ้งครีม ผลไม้ได้ตามชอบ หรือโรยน้ำตาลไอซิ่งแต่งหน้าบราวนี่ด้วยจะหน้าตาน่ารับประทานขึ้น"

"ได้ !" ดนัยหยิบที่ร่อนขึ้นมาอีกครั้งแล้วตั้งท่าเทน้ำตาลไอซิ่ง ตรีเบิกตาโพลงแล้วรีบพูด

"ไม่ต้อง !...มั้งครับ เวลาค่อนข้างจำกัด คงต้องให้คุณผู้ชมไปลองทำตามไอเดียดูครับ DIY ขนมอร่อยแบบง่าย ๆ ที่ทำได้เอง" ไม่พูดเปล่า พิธีกรคนเก่งรีบหยิบมีดขึ้นมาหั่นขนมแบ่งเป็นชิ้นทันที รู้สึกเอะใจที่ต้องออกแรงที่มือมากกว่าปกติทุกครั้ง ท่าไม่ดี พิธีกรรูปหล่อก็หันกลับมาแล้วส่งยิ้มวิบวับให้กับพ่อครัวขนมหวาน คนแบบตรีไม่ได้โง่ถึงขนาดจะเอาชีวิตมาทิ้งตรงนี้หรอกนะ "ทานดูนะครับคุณนัท"

ดนัยยืนนิ่งไปสักพัก มือกว้างเอื้อมไปหยิบส้อมขึ้นมาแบ่งเสี้ยวขนมเป็นชิ้นพอดีคำ จ้องมองขนมในจานอย่างภาคภูมิใจ

ทันใดนั้นก็ยื่นกลับมาจ่อที่ปากของตรี พงษ์พิพัฒน์แทน

"คุณชิมก่อน"

กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดด !

ตรีถลนตากรีดร้องราวกับจะเป็นเสียงสุดท้ายของชีวิต หากแต่มันเป็นเพียงแค่เสียงที่ดังกึกก้องในใจ เวรกรรมอะไรถึงทำให้มาพบเจออะไรแบบนี้ ชายหนุ่มถึงกับครวญในอกเหมือนใจจะขาด

นี่มันท้าทายต่อความเป็นพิธีกรมืออาชีพของตรีนัก ชายหนุ่มลังเล (มาก) แต่จิตวิญญาณของนักสื่อสารมวลชนที่ดีกระซิบบอกว่า The Show Must Go On ใช่แล้ว นี่คือประโยคที่ตรีจำขึ้นใจตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการนี้ ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ถึงอย่างไรทุกสิ่งก็ต้องดำเนินต่อไปอย่างเรียบร้อย หน้าที่ก็คือหน้าที่ และทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่าหน้าที่ของตรี พงษ์พิพัฒน์ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะทำได้ !

บราวนี่หน้าตามหัศจรรย์พันลึกสัมผัสที่ปลายลิ้นเบา ๆ ตรีบดฟันลงช้า ๆ ลิ้มลองความอร่อยด้วยประสาทสัมผัสทั้่งห้าอย่างดื่มดำกำซาบที่สุด หยดน้ำเล็ก ๆ ค่อย ๆ พร่างพรูจากหน่วยตาทั้งสองด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

"ขม...มาก" เสียงสั่นเครือสะอื้น

"เข้มข้นสินะ ของนำเข้ามันดีแบบนี้เอง" ดนัยก้มมองวัตถุดิบชั้นเลิศพยักหน้าอย่างชื่นชม ก่อนจะถามต่อ "อร่อยไหม ?"

รีบเคี้ยวแล้วกลืนให้จบ ๆ ไป ตรียกทิชชูขึ้นซับปากแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา รอยยิ้มสยายฉายฉาบไปทั่วใบหน้าระเรื่อ เป็นรสชาติที่ทำให้ตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ "อร่อยมากครับ"

"ขนาดนั้นเชียว" ดนัยทึ่ง ถามซื่อ "เอาอีกไหม ?"

"พอแล้ว !" ตรีทำหน้าเหมือนกำลังขับไล่ภูติผี ตาที่เคยสดใสแบบลูกกวางน้อยเขียวปั๊ดขึ้นมาทันตา นั่นเป็นเสี้ยววินาทีเล็ก ๆ ก่อนมือขาวสะอาดจะยกขึ้นป้องปากแล้วหัวเราะแบบมีชั้นเชิง "คุณชิมบ้างสิครับ จะรู้ว่ามันอร่อยมาก"

ดนัยมองขนมในจานแล้วยิ้มอ่อน ทึ่งกับฝีมือทำขนมครั้งแรกของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ อร่อยนี่มันอร่อยขนาดไหนกันนะ ตรี พงษ์พิพัฒน์คนนั้นถึงเอาแต่ชมนักชมหนา ได้แต่พูดแบบนั้นอยู่ในใจ สุดท้ายดนัยก็วางจานลง

"ผมไม่ชอบทานของหวาน" นึกเสียดายเหมือนกันที่ตอบไปแบบนั้น

ให้มันได้อย่างนี้ ! ตรี พงษ์พิพัฒน์ยกฝ่ามือขึ้นทาบหน้าตัวเอง นับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนจากหันมายิ้มกับกล้องทั้งน้ำตากบหน้า ไม่มีทางเลือกอื่น ศึกนี้คงต้องพอแค่นี้แล้วทบบัญชีทั้งต้นทั้งดอกหลังจบรายการ "อร่อยมากครับคุณผู้ชม ขนาดคุณนัทที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างยังสามารถทำได้อร่อย...ขนาดนี้" ตรีเน้นเสียงหนักที่ท้ายประโยคก่อนจะปรายตามมองคนที่ยืนยิ้มภาคภูมิ คิ้วซ้ายกระตุกแล้วกระตุกอีกด้วยอาการโมโห

"คุณผู้ชมอย่าลืมหัดดูนะครับ จะเห็นได้ว่าไม่ยากเลย แต่ถ้าไม่มีเวลามากนักใช้แป้งบราวนี่สำเร็จรูปได้ครับ แค่เปลี่ยนส่วนผสมที่เป็นน้ำด้วยไจแอนท์โคลา และเติมส่วนประกอบอื่น ๆ ลงไปก็เสร็จแล้ว มาถึงคำถามร่วมสนุกกันครับ รายชื่อผู้โชคดีจะขึ้นอยู่ที่หน้าจอด้านล่างพร้อมกับคำเฉลย" ตรียกมือขึ้นแล้วลากนิ้วเป็นทางยาวในอากาศ "คุณผู้ชมสามารถเข้ามาดูสูตรไจแอนท์โคล่าบราวนี่ได้ที่เฟซบุ๊กของไจแอนท์โคลาทันทีหลังจากจบรายการครับ สำหรับวันนี้ ผมและคุณนัทต้องขอลาไปทานขนมกันต่อแล้วครับ กลับมาพบกับรายการเช้านี้ที่ประเทศไทยได้ใหม่วันพรุ่งนี้ เวลาเดิม สวัสดีครับ"

เสียงปรบมือผสานกับเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วสตูดิโอ ยาวนานแบบที่ตรีไม่เคยได้ยินมาก่อน พิธีกรหนุ่มผู้ซึ่งเพิ่งรอดตายมาจากบางสิ่งบางอย่าง (ที่ไม่อาจระบุประเภทได้) ยกมือขึ้นเช็ดหน้าที่เปื้อนไปด้วยผงโกโก้สีน้ำตาลจนเป็นปื้นไปทั้งหน้า ควันพุ่งออกจากหูทั้งสองข้างแต่ก็จำใจกลั้นอารมณ์ด้วยผู้กำกับและทีมงานคนอื่น ๆ ต่างก็กรูกันเข้ามาแสดงความยินดีกันใหญ่

"เทปนี้คือเทปที่ดีที่สุดของรายการเรา ขอบคุณน้องตรีมากจริง ๆ ที่เสนอไอเดียเจ๋ง ๆ แบบนี้ขึ้นมา มันยอดมาก" พี่จ๊อด โปรดิวเซอร์ผู้เคร่งขรึมถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ตีนกาขึ้นเป็นริ้ว ๆ น่าเกลียดที่สุด ข้าง ๆ เป็นดาน่า ครีเอทีฟสาวในเสื้อแขนกุด ตรีเบือนหน้าไปอีกฝั่ง รับไม่ได้กับของแสลง

รักแร้ก็ดำยังจะใส่แขนกุด ไม่อับไม่อาย

"ดีมาก ๆ จริง ๆ นะคะน้องตรี มันดูน่ารัก เป็นธรรมชาติมาก คนดูจะต้องชอบมากแน่ ๆ ดาน่าขำ เอ๊ย ! ดีใจจนน้ำตาไหลแล้วค่ะเนี่ย"

แม้จะอายจนอยากจะบินไปร้องไห้หน้าไอเฟลทาวเวอร์ที่ปารีสเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่คำชมที่สาดมาจนหูอื้อก็เล่นเอาตรีหันไปเล่นงานตัวปัญหาไม่ถูก ไม่ขโมยซีนละก็ใช่ สนับสนุนให้เด่นเป็นที่สุด เด่นจนต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของรายการประเภทเล่าข่าวทุกรายการในประเทศไทยเลยเชียวละ ในชีวิตการทำงานของพิธีกรหนุ่ม เจอแขกรับเชิญแปลก ๆ มาก็ไม่น้อย ระดับพระเอกนางเอก แม้กระทั่งดาราระดับโลกก็หลายครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่คนเหล่านั้นจะทำให้ตรีต้องรู้สึกต่ำต้อยด้อยราคาแบบนี้

"ไม่นึกเหมือนกันว่่าผมจะทำขนมได้ด้วย ไม่ยากเลย" ดนัยพูดกับทีมงาน ถึงจะกระท่อนกระแท่น แต่ก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนั้นลงไปได้จริง ๆ "ขอบคุณทุกคนสำหรับวันนี้มากนะครับ คุณด้วย"

ยิ้มหวานนั้นชวนให้ตรีขนลุกพิลึก ตรีรู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมเอาดื้อ ๆ พิธีกรหนุ่มแบกหัวใจหันบอบช้ำออกไปอย่างเชื่องช้า สาบานต่อ C ไขว้และมาดามโคโค่ ชาแนล แค้นนี้จะต้องชำระให้สาสม

ดนัยเดิไล่มาจากด้านหลัง ขาที่ยาวกว่าทำให้ไม่นานก็มาอยู่ในระนาบที่เคียงข้างกัน "หน้าเลอะไปหมดเลยนะ ผมขอโทษ กะแรงไม่เป็น" ผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดซับเบา ๆ ที่ข้างแก้มของตรี ไม่ช่วยเรื่องความสกปรกเท่าไรก็จริง แต่ในด้านความรู้สึกถือว่าบรรเทาลงได้ไม่น้อย "ทีมงานบอกว่าตัดต่อออกมาแล้วน่าจะดี"

อ๋อเหรออออ...ตรีนิ่วหน้า ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ไม่ลืม โอเคไหม ?

ผิดกับดนัยที่ดูจะยังสนุกสนานไม่เลิก ร่างสูงคลายแขนเสื้อที่พับไว้ลง ดวงตาคมทอแสงอุ่นขณะมองมาที่ตรีอย่างสบายอกสบายใจ

"จริงสิ ถ้าชอบฝีมือขนาดนั้น ว่าง ๆ จะทำให้ทานอีกแล้วกัน"

พูดจบ ก็เดินจากไป ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนขนลุกขนพองอยู่เพียงผู้เดียว

โอเค สำหรับคนที่ยังไม่รู้ นี่คือแรงบันดาลใจสำหรับหนังไทยชื่อแปลก ๆ ที่ฉายเมื่อปีก่อน

"ฤดูร้อนนั้น...ฉันตาย"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ดึกแล้วแต่ความอบอ้าวยังคงแฝงตัวอยู่ในกรุงเทพจนดูคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ไม่มีลมพัดให้พอชื่นใจ และไอร้อนก็ยังคงขดตัวนอนหลับอยู่ทุกแห่งหนเหมือนไม่คิดจะลุกจากไปไหน สี่ทุ่มครึ่งเป็นเวลาที่ใครหลายคนสนุกอยู่กับการดูรายการโปรดในโทรทัศน์ บางคนอาจจะเตรียมตัวเข้านอน แต่สำหรับเด็ก ๆ นี่เป็นเวลาที่พระจัทร์และดวงดาวทั่วทั้งฟ้ากำลังร่ายบทเพลงขับกล่อมให้พวกเขานอนฝันดี นุชนารถนั่งอยู่ที่ชั้นบนของร้าน ที่ตักมีเด็กสามคนกำลังขดตัวเหมือนลูกแมวที่นอนหลับปุ๋ยอบู่ในตะกร้าและม้วนไหมพรม เด็ก ๆ ทำให้เธอสนุกสนานเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่มีใคร และยังครองตัวเป็นโสดมานับตั้งแต่สามปีที่แล้วแบบเธอ

ลมร้อนพัดพาความทรงจำเก่า ๆ ให้หวนกลับมา ความผิดหวังเหมือนจะเพิ่งเกิดเพียงไม่นาน แม้กาลเวลาจะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำ แต่พอฤดูร้อนเวียนกลับมาอีกครั้ง แผลที่เหมือนตกสะเก็ดไปแล้วก็เหมือนถูกสะกิดให้เปิดขึ้นมาใหม่ เธออายุไม่ใช่น้อยแล้ว ความรักแต่ละครั้งมันฝังลึกและมองที่ความเข้าใจกันมากกว่าจะเป็นความวาบหวามแบบวัยหนุ่มสาว ผู้ชายคนนั้นเป็นหม้าย มีลูกติดเป็นแฝดวัยกำลังซนสองคน ทุกอย่างดูเหมือนจะไปกันได้ดีจนวางแผนที่จะแต่งงานกัน มีครอบครัวเล็ก ๆ และร้านอาหารแห่งนี้ที่เป็นความฝันของทั้งคู่ อาจเพราะหน้าร้อนทำให้ความคิดถึงเก่า ๆ กลับมาหา กล่าวทักทาย และนั่งลงสังสรรค์คล้ายเพื่อนแก้เหงานี่กระมัง นุชนารถถึงรู้สึกเอ็นดูชาฮิด มีรา และธีมนัก ราวกับว่าเด็กทั้งสามเป็นตัวตายตัวแทนของแฝดและความรักที่ยังฝังแน่นตั้งแต่หน้าร้อนคราวนั้น

นุชนารถมองออกไปนอกหน้าต่าง วางสายตาอยู่บนซอยเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยแห่งนี้ แม้จะอยู่มาไม่นานจนถึงหลักสิบปีแต่ก็นานพอที่จะรู้จักผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ไม่น้อย "เพิ่งกลับหรือจ๊ะอานนท์" เธอโบกมือให้ เห็นคนที่เดินอยู่บนถนนแคบ ๆ ทำหน้าเหรอหราคล้ายกับมองหาต้นเสียง นุชนารถก็เรียกซ้ำ "บนนี้จ๊ะ"

"คุณนุช...เพิ่งกลับครับ" เด็กหนุ่มโบกมือทักทาย ส่งยิ้มให้พร้อมกับบุ้ยใบ้ไปที่หอพักด้านในแล้วเดินต่อ "อ้อ ไอติมอร่อยมากครับ เหมาะกับอากาศร้อน ๆ แบบนี้จัง" เด็กหนุ่มทิ้งท้ายคำพูดให้ชื่นใจไว้แบบนั้นก่อนจะหายไปในกลุ่มผู้คน

นุชนารถส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เป็นบทสนทนาสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นเสมอในซอยเล็ก ๆ ที่มีคนเดินผ่านผ่านมาตลอดวัน นับแต่มีรถไฟฟ้า ผับ บาร์ ร้านอาหารต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นในละแวกนี้จนนับไม่ถ้วน แทรกตัวปะปนอยู่กับอาคารสำนักงานมากมาย ที่นี่มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ทั้งเอเชีย และฝรั่งผมทอง กลางวันจะเห็นผู้ชายผูกไท ผู้หญิงสวมรองเท้าส้นสูงเดินกันขวักไขว่ พอตกกลางคืน ที่นี่จะคลาคล่ำไปด้วยวัยรุ่นและเหล่านักเที่ยวที่แต่งตัวมาประชันกันเต็มที่

กรุงเทพไม่เคยหลับ และยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างใช้ชีวิตเหมือน 24 ชั่วโมงที่ได้รับในแต่ละวันนั้นสั้นเกินไป




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




อานนท์เดินขึ้นชั้นบนของหอพักอย่างเหนื่อยล้า ตลอดบ่ายวันนี้ พนักงานคนอื่น ๆ ในแผนกสามารถปิดการขายได้เหมือนง่ายดาย เฉลี่ยแล้วตกกันคนละสี่ถึงห้าเครื่อง ขณะที่อานนท์แม้จะพยายามแค่ไหนแต่ก็ดูไม่คล่องพอที่ลูกค้าจะให้ความสนใจ สุดท้ายก็เดินเลี่ยงไปหาพนักงานขายคนอื่นแล้วก็ตัดสินใจซื้อไป ในตอนแรก ๆ มีบางคนจะยกยอดให้กับอานนท์ แต่เพราะซูเปอร์ไวเซอร์ที่คอยสังเกตอยู่หน้าฟลอร์ จับตาและถือมั่นในความซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก เรื่องยกยอดให้แก่กันของพนักงานขายจึงไม่เกิดขึ้น ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะอานนท์เองก็ไม่กล้าที่จะรับยอดทั้งที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่บ้านสอนมา คนต่างจังหวัดแม้จะไม่คล่องตัวหรือเก่งไปทุกเรื่องแบบคนกรุงเทพ แต่ก็อดทนและถือความซื่อสัตย์จริงใจเป็นสำคัญ

หอยทอดสองห่อที่อยู่ในมือร้อนและส่งกลิ่นหอมฉุย เพราะทานมื้อเย็นกับพี่สิงห์ไปเมื่อวาน อานนท์ถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นละอองเล็ก ๆ ที่โดดเดี่ยวอยู่ในเมืองใหญ่ การได้นั่งกินข้าวเงียบ ๆ กับพี่สิงห์ทำให้อานนท์รู้สึกอุ่นใจ อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนรู้จัก มีคนให้กลับไปหา ให้นั่งกินข้าวด้วย แม้ว่ามันจะเป็นมื้ออาหารที่แสนเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรกันก็ตาม

หลังจากเคาะประตูไปไม่นาน แผ่นไม้สีเทาก็เปิดออก พี่สิงห์ยืนอยู่หลังกรอบสี่เหลี่ยมที่แง้มนั้น หน้ายุ่ง สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว

"เอ่อ...ผมซื้อหอยทอดมาฝากครับ" อานนท์เอ่ยเจตนาด้วยเสียงแผ่ว รู้ตัวว่ารบกวนเวลาอีกฝ่ายแต่จะทำไงได้ ความเหงามันมีน้ำหนักมากเหลือเกิน

"ฉันกินแล้ว"

"นั่นสินะครับ แหะ ๆ จะว่าไปมันก็ดึกแล้ว" อานนท์หัวเราะเจียมเนื้อเจียมตัว เดิมทีก็ไม่แน่ใจว่าควรซื้อหรือเปล่า แต่ความรู้สึกติดค้างค่าอาหารเมื่อคืนก่อนทำให้การตัดสินใจนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเกรงใจ

"เข้ามาสิ" เพชรกล้าเปิดประตูให้กว้างขึ้น บุ้ยหน้าให้อีกฝ่ายเข้ามา

"เอ่อ...จะไม่รบกวนใช่ไหมครับ"

"บอกให้เข้ามา" เสียงที่เริ่มมีอารมณ์ของเพชรกล้าทำให้อานนท์แจ้นเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องคิด

ปิดประตูเสร็จเจ้าของห้องก็ถามทันที "เท่าไหร่"

"ไม่เป็นไรครับ ผมซื้อมาให้"

"เศรษฐีใหม่หรือไง จ่ายค่าเช่า แบ่งให้ที่บ้านแล้วยังเหลือเผื่อมาซื้อของกินให้คนอื่นอีก" โดนเอ็ดตะโรไปชุดใหญ่ อานนท์เลยรูดซิบปากเงียบ เห็นเพชรกล้าหยิบธนบัตรสีฟ้าขึ้นมาแล้วยัดใส่มือกลับก็ตั้งท่าจะปฏิเสธ

"เอาไป !" สีหน้าแบบนั้นทำให้อานนท์ไม่กล้าเถียงอะไรอีก จำใจเก็บเงินห้าสิบบาทใส่กระเป๋ากางเกงไป

ร่างสูงยักษ์เดินไปหยิบจานออกมาสองใบแล้ววางตรงหน้า แง้มกระดาษที่ห่ออาหารไว้ ทันทีที่เปิดออก สีเหลืองทองฟูฟ่องก็อวดโฉมพร้อมกับกลิ่นหอมที่ตลบอบอวลไปทั่วห้อง

"ไม่รู้ว่าพี่สิงห์จะชอบไหม แต่ละแวกนี้เจ้านี้ถือว่าอร่อยมากเลยครับ"

"ฉันอิ่มแล้ว"

ห้วน สั้น ง่าย แบบนั้นจนอานนท์ไปต่อไม่ถูก

"กินเข้าไปทั้งสองจานนั่นแหละ"

"หา..." อานนท์อ้าปากหวอ

"กิน !" เพชรกล้าจ้องเขม็ง

"คือ..."

"กินเข้าไปให้หมด !" ยืนยันคำสั่งอีกครั้ง "เราน่ะหนักเท่าไหร่ อ้อนแอ้นเหลือเกิน เดินทีเหมือนลมจะพัด กินเข้าไปเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง มีแรงทำงาน"

"ครับ" รับปากแบบหงอ ๆ แล้ว อานนท์ก็นั่งกินหอยทอดทั้งสองห่อโดยมีผู้ชายร่างยักษ์คอยคุมไม่ให้คลาดสายตา หมดไปจานแรก เพชรกล้าก็ส่งน้ำให้พร้อมกับเลื่อนจานใหม่เข้ามาแทนที่ แม้จะขึ้นชื่อว่ารสชาติดีที่สุดในย่านนี้แต่มันก็ค่อนข้างเอาเรื่องสำหรับคนตัวเล็กแบบอานนท์ ปกติไม่เคยเบิ้ลสองแบบนี้เลย

เมื่อหมดทั้งสองจานคล้ายกับว่าพี่สิงห์จะดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มือกว้างที่อานนท์ชอบแอบมองเสยผมขึ้นอย่างเป็นนิสัย พี่สิงห์มักจะทำแบบนี้เวลาที่ผมตกลงมาปรกหน้า พอไม่มีผมยาว ๆ แบบบนั้นมาบดบัง ใบหน้าคมเข้มก็เผยความหล่อเหลาน่ามองซึ่งถูกแอบซ่อนไว้ออกมาทั้งหมด อานนท์ชอบใบหน้านั้น คิดว่าพี่สิงห์ดูทั้งหล่อทั้งเท่แบบลูกผู้ชาย ไม่เหมือนกับหล่อของคนกรุงเทพที่ดูติดไปทางสำอางซะมาก

"ขอบใจนะอานนท์ แต่คราวหน้าไม่ต้องซื้อมาอีก ฉันกำลังจะย้ายออกเร็ว ๆ นี้แล้ว"

คำพูดง่าย ๆ แต่กลับให้อานนท์รู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะรู้แล้วว่าพี่สิงห์ย้ายมาเช่าห้องที่นี่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างที่รอต่อเติมบ้านและจัดการระบบประปาใหม่ แต่พอได้มายินอีกครั้งก็อดที่จะรู้สึกโหวงขึ้นมาไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งดีใจว่ามีคนให้นั่งกินข้าวด้วยทุกเย็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ทั้งที่คิดว่าจากนี้ไม่ต้องรู้สึกเหมือนเป็นคนบ้านนอกโดดเดี่ยวแปลกถิ่นอีกแล้ว ทั้งที่มีคนที่คุยได้มากกว่าทักตามมารยาท ไม่เหงา ทั้งที่จะได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรอีกมากมายจากพี่สิงห์ พูดคุยปรึกษาทุกเรื่อง ทั้งที่กำลังจะได้สนิทกันแล้วแท้ ๆ

"เป็นอะไร"

"ไม่มีอะไรครับ" อานนท์ก้มหน้าลง

เสียงถอนหายใจของเพชรกล้าดังขึ้นอย่างเหนื่อยคร้าน "เลิกคิดว่าตัวเองเป็นคนโกหกเก่งเสียทีเถอะ คิดยังไงออกมาบนหน้าทั้งหมดนั่นแหละ พูดมา"

อ้ำอึ้งไปสักพัก อานนท์พยายามหาข้ออ้างบ้างอย่างที่สมเหตุสมผลขึ้นมา เพราะอะไรก็ไม่รู้ที่จู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาว่าไม่อยากให้พี่สิงห์รู้ถึงความรู้สึกจริง ๆ เมื่อนาทีก่อน ไม่อยากโดนดุ ไม่อยากให้เห็นว่าเป็นคนอ่อนแอ หรือเพราะกลัวปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็ไม่รู้ แต่มันจะเป็นอะไรก็ช่าง ไม่อยากให้รู้ก็คือไม่อยากให้รู้นั่นแหละ

"จริง ๆ แล้ววันนี้มีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ ผมเพิ่งรู้ว่าก่อนจะเข้าสงกรานต์ ตัวเองจะต้องขายแอร์ให้ได้อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะโดนไล่ออก" คนที่นั่งหน้าซีดพูดแล้วหัวเราะทั้งที่ไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรอยู่เลย "เพราะเป็นแบบนี้เขาถึงให้พี่สิงห์มาเป็นคนช่วยอบรมให้สินะครับ เมื่อก่อน เดือนหนึ่งขายเตียงได้หนึ่งหลังก็ดีใจแทบแย่ ผมไม่รู้เลยว่าแผนกอื่นเขาขายกันได้มากขนาดนี้"

ไม่ถืิอว่าเป็นคำโกหกเสียทีเดียว นี่เป็นส่วนหนึ่งที่อานนท์ไม่สบายใจอยู่จริง ๆ "ขอบคุณพี่สิงห์มากนะครับที่เคี่ยวเข็ญจนผมพอจะรู้เรื่องแอร์ขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็เหลืออีกสองวันนี่เนอะ"

"มันเป็นหน้าที่น่ะ"

"ไม่หรอกครับ เพราะถูกเคี่ยวเข็ญ วันนี้ตอนที่อยู่แผนก พอทบทวนก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเลยว่าตัวเองน่าจะทำได้ คุ้นกับระบบการทำงานของแอร์ ข้อดีข้อเสียแต่ละรุ่น อีกอย่างก็แนะนำบีทียูให้กับลูกค้าได้แล้วด้วย ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ" รอยยิ้มง่าย ๆ แต่งแต้มใบหน้าบริสุทธิ์จริงใจให้ดูชวนมองยิ่งขึ้น "พี่สิงห์ครับ ขอบคุณมากนะครับ"

"ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันไม่ได้เป็นคนดีอะไรแบบนั้น" เพชรกล้าเว้นจังหวะระบายลมหายใจ น้ำเสียงจริงจังจนอีกฝ่านั่งเงียบ "มีเรื่องหนึ่งที่นายควรจะรู้ไว้ ทั้งหมดมันเป็นเงื่อนไขที่ฉันตั้งไว้กับโกวิท หัวหน้าของนายเอง"

หน้าของอานนท์ชาเหมือนโดนไม้ฟาดเข้าจัง ๆ "ผมไม่เข้าใจครับ"

"เรื่องที่ถ้าก่อนสงกรานต์นี้นายขายแอร์ไม่ได้สักเครื่องจะต้องไล่ออกไปจากบริษัทนั่นน่ะ เป็นเงื่อนใขที่ฉันตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนในการมาอบรมนายอีกรอบ ฉันไม่ชอบที่จะต้องทำงานกับคนที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ชอบถ้าเอาแต่ใช้ระบบเอ็นดู แล้วปล่อยให้มีพนักงานที่ไม่มีความสามารถเยอะ ๆ งานมันจะไปถึงไหนได้ แผนกขายเป็นแผนกที่มีคนเยอะที่สุดแต่กลับเหยาะแหยะที่สุด ยุติธรรมไหมที่ต้องแบ่งยอดร่วมกันกับพนักงานทุกคนในห้าง พูดกันแบแฟร์ ๆ คนไม่มีความสามารถก็ควรจะหลีกทางให้กับคนที่เขาต้องการทำงานจริง ๆ ไม่ใช่เหรอ" คำพูดของเพชรกล้าตรงไปตรงมาเช่นทุกครั้ง ไม่อ้อมค้อม ไม่รักษาน้ำใจอานนท์เอาเสียเลย

คนตัวเล็กนั่งนิ่ง มันไม่เหมือนกับการถูกตอกหมุดตรึงยึดทั่วร่าง ทุกอย่างยังคงเป็นอิสระ แต่เป็นเพราะแขนขาของอานนท์เองที่จู่ ๆ มันก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา

"ถ้าทำไม่ได้ ก็ควรหันกลับมาดูตัวเองว่าเราเหมาะกับงานที่นี่ไหม ไม่ใช่กินง่าย ถ่วงคนที่เขาตั้งใจไปเรื่อย ๆ" คล้ายกับมีแววของคำปรามาสและความผิดหวังอยู่ในดวงตาที่นิ่งเรียบคู่นั้น อานนท์ได้แต่นั่งเงียบ พูดไม่ออก ชาไปทั้งตัว

"ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพ มันไม่ง่ายหรอกนะอานนท์" พูดจบ เพชรกล้าก็หยิบจานแล้วลุกออกไป



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ตอนที่พิมพ์ไปก็พยายามนึกถึงตัวเองสมัยละอ่อน ตอนเด็ก ๆ เราจำภาพกรุงเทพเป็นยังไงบ้างนะ
แล้วตอนนี้มันมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง เป็นเจตนาที่อยากให้อ่านแล้วได้บรรยากาศของกรุงเทพที่เป็นกรุงเทพจริงๆ
อาจดูไม่น่ามองมาก แต่ในสายตาของคนที่อยู่มาตั้งแต่เกิดแบบผมก็โอเคนะ สุก ๆดิบๆ เฉลี่ยกันไป
คิดว่าอยู่จังหวัดอื่นคงจะมีความสุขกว่านี้แน่ๆ แต่ทำไงได้ ก็อยู่กับมันจนชินไปแล้วนี่นะ 5555
ตอนนี้มีกลิ่นมาม่าโชยมานิดหน่อย แต่คิดว่าไม่หนักหนาจนบีบหัวใจ ชีวิตก็มีทุกข์มีสุขคละๆ กันไป
แต่ก็อยากให้ติดตามกันต่อนะครับว่าแต่ละคู่สุดท้ายจะลงเอยยังไงกันบ้าง

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณจริงๆ ครับที่ติดตามอ่านกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ขอให้มีความสุขกันมากๆ นะครับ ฮุยเลฮุย
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: schneesturm_fubuki ที่ 26-06-2014 09:10:53
พี่สิงใจร้ายอ่ะ ไม่ถนอมน้ำใจกันเลย... รอ่านพาร์ทนี้แล้วแบบ ปืน นภ ของเก๊าาาาาา สงสัยจะเชียร์ไม่ขึ้นซะแล้ว

พักนี้ Lucea มาบ่อย เค้าฟิน ^^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 26-06-2014 10:16:10
คู่ปืน นภ เฮ้ย!! ทำไมเผลอแป๊บเดียวมาม่าแล้วล่ะ แต่ชอบบรรยากาศการบรรยายของเรื่องนี้จัง รู้สึกซึมลึกดี :hao5:

คู่ดนัย ตรี. ตรีเก่งเหมือนกันนะ ดนัยทำอาหารได้น่ากลัวมาก555 ท่าทางฉากป้อนกันนี้คงทำให้คนดูจิ้นกันอีกแหงๆ

คู่พี่สิงห์กับอานนท์ ปรากฏว่าพี่สิงห์สุดโหดเป็นคนตั้งเงื่อนไขเรอะ!!  ใจร้ายไปป่ะ น้องเค้าอุตสาห์มีภาพลักษณ์ที่ดีกับพี่แล้วนา

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: grenjewel ที่ 26-06-2014 11:31:54
พาร์ทปืนนภกับพี่สิงห์อานนท์ออกแนวหน่วงๆนะ แต่พอเจอพาร์ทนัทตรีเข้าไปนี่อย่างฮาอ่ะ 55555555555555555
สงสารตรีตอนชิมขนมแบบว่ารสชาติมันขมจนน้ำตาไหลแต่ก็ต้องพยายามทำหน้าให้มันอร่อยที่สุด  :mew5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-06-2014 13:07:52
ไม่น่าเชื่อ ปกติจะหมั่นไส้ตรีเป็นที่สุด มาตอนนี้เธอทำให้ฮาขี้แตก เหมาะไปเล่นตลกนะเธอ
ดนัยก็ร้ายได้หน้าตายมาก
ปืนนภ อดีตมีไว้ให้นึกถึง แต่คงไม่มีวันหวนคืนสินะ
พี่สิงห์กับน้องนนท์ มันคือความจริงที่เจ็บปวดนะ จะสู้ไม่สู้
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 26-06-2014 15:12:19
สงสารอานนท์ อีพี่สิงห์ใจร้ายไปนิดนะ

PS. ฤดูร้อนนั้น ... ฉันตาย!! 55555555
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 26-06-2014 19:04:45
หลังเทปนี้ออกอากาศ คุณผู้ชมคงได้จิ้นพิธีกรกับเชฟหนุ่มจำเป็น ยิ่งกว่าตอนจิ้นกับคุณหมออีก เชื่อขนมกินเถ๊อะ!


ชีวิตคุณนุชเหมือนจะเศร้า แต่ก็ดูมีความสุขดี ติดที่จะเหงาไปหน่อยนึงเอง     


ก็รู้ว่าพี่สิงห์เป็นคนจริง แล้วชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ  แต่สงสารนุ้งนนท์มากมายอะ

ยิ่งรู้ว่าอ้ายสิงห์เป็นคนต้นคิดด้วย มันเจ็บอะ      :m8:

หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 26-06-2014 19:46:35
-นภน่าสงสารชะมัด โดนพูดจาทำร้ายจิตใจอย่างแรง :hao5: ใจร้ายที่สุด รึดวงของนภจะขึ้นคานกันน่ะ
-อานนท์มาซบอกเจ้มา พี่สิงห์ใจร้าย คู่นี้เราเค้าใจทั้งคู่น่ะ พี่สิงห์ก็เป็นคนตั้งใจทำงานจริงจัง อยากให้คนเก่งๆที่มีความสามารถทำงานเพื่อบริษัท แต่ความรู้สึกของอานนท์ก็เศร้าน่ะ เพราะเหมือนพี่สิงห์เป็นพี่ที่เหมือนสนิทด้วย แล้ว เป็นผู้ มีบุญคุณไรงี้ พอมารู้คงเคว้งน่าดู
-คู่ตรีนี่ ขอเปลี่ยนเป็นคู่"ตี" ได้มั้ย ตีกันทั้งเรื่อง 555 แต่แอบสะใจตอนนี้ตีโดนแกล้งคืนซะมั่ง
อัพต่อน้า จะรอจ้าา
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 9 (Jun 26, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 27-06-2014 11:39:25
เลาสงสารนนภ
สงสารมากกกกกกกกก
ปืนคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ TvT ใจร้ายไปมั้ง
 
อีคุณตรีเนี่ยจะได้คู่จิ้นคู่กัดกันใหม่รึเปล่า ทำไปทะเลาะไป ดี ๆ ๆ  ลูกดกแน่

ส่วนอิพี่สิงห์ยังโหดได้คงเส้นคงวา
แต่เข้าใจนะ เรื่องนี้อาจทำให้อานนท์เข้มแข็งขึ้นก็ได้
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jun 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 30-06-2014 17:21:51
สวัสดีครับ แวะมาอัพต่อนใหม่อีกตอน จะพยายามอัพให้ไวๆ จะได้จบเรื่อง
เสร็จแล้วจะได้กลับไปจัดการกับเรื่องเดิมต่อนะครับ เอาเป็นเรื่องๆ ไปนะ
สำหรับตอนที่แล้ว ตัวขนมบราวนี่สามารถทำได้จริงนะครับ
วิธีทำคือแค่เพิ่มส่วนประกอบน้ำอัดลมประเภทโคล่าลงไปจากสูตรเดิมเท่านั้นครับ
ง่ายมาก ใครที่คิดไปลองทำได้ผลมาเป็นยังไงอย่าลืมมาบอกกันด้วยนะครับ
ขยับเข้าสู่เลขสองตัวเป็นตอนแรกด้วยความภาคภูมิใจ ตอนที่สิบแล้ว ฮูเล่!




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




ตอนที่ ๑๐



ต้นไม้ดูจะไม่ช่วยดูดซับความอบอ้าวไปได้เหมือนทฤษฎีที่ใครต่อใครพูดกัน แดดของกรุงเทพยังเป็นเหมือนกับมัจจุราช ง้างเคียวโง้งไล่ล่าทุกชีวิตด้วยอุณหภูมิที่แตะสี่สิบองศาอย่างไม่ปรานี มัยมนัสเช็ดเหงื่อซึ่งซึมอยู่ที่ขาแว่น ใช้เวลาวันลาพักร้อนอยู่ที่พื้นที่เล็ก ๆ หลังบ้าน อากาศในฤดูร้อนนิ่งจนสงัด และร้อนจัดสมกับเป็นเดือนที่ร้อนที่สุด ทว่าอีกสิ่งที่ร้อนสุด ๆ ไม่แพ้กับอากาศก็คือข่าวคู่จิ้นใหม่แกะกล่องในโลกออนไลน์เช้านี้ ใครคือผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดของไจแอนท์โคลา แล้วคนคนนั้นเป็นอะไรกับตรี พงษ์พิพัฒน์พิธีกรรายการเล่าข่าวทีี่ฮ็อตที่สุดในขณะนี้ ทั้งกระทู้ตามเว็บที่ประเภทกระดานข่าว กระทั่งลามมาถึงเฟซบุ๊กของบริษัท

ทั้งหมดเป็นสิ่งที่คะน้าเคยสงสัยอยู่เช่นกัน จากที่เห็นที่ห้องประชุมวันก่อน ความรู้สึกบางอย่างบอกว่ามีอะไรแปลก ๆ ระหว่างนัทและตรีที่ดูเกินกว่าคนซึ่งทำงานร่วมกันธรรมดาอย่างแน่นอน แต่มันคืออะไร อาจต้องใช้เวลาเป็นตัวคลายคำตอบ

"ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไร" เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ก้าวขึ้นมาบนชิงช้า ทิวัตถ์นั่งลงพร้อมกับชามแก้วใสที่โรยน้ำแข็งป่นและน้ำตาลทรายแดงจนพูน "แก้ร้อนน่ะ แม่ซื้อเฉาก๊วยกลับมาจากตลาด บังคับกินทั้งบ้าน"

คะน้าละสายตาจากหน้าจอเล็ก ๆ บนฝ่ามือแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มขอบคุณ "ทิมจำนัทได้ไหม ที่เป็นรุ่นน้องที่ทำงานน่ะ"

คิ้วเข้มขมวดขึ้นพร้อมกับเสียงที่ขุ่นคลั่ก "มันทำไมอีก ?"

"ดูนี่สิ" คะน้ายื่นโทรศัพท์ในมือให้ดู อีกฝ่ายแค่มองผ่าน ๆ ไม่คิดจะใส่ใจ

"แค่ร้อนก็หงุดหงิดพอแล้ว ไม่อยากจะเห็นหน้าให้อารมณ์เสียขึ้นไปอีก" คนขี้หงุดหงิดเอนทั้งหลังพิงกับพนัก กระพือเสื้อที่อกที่เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ "หน้าร้อนปีนี้มันยังไงกันนะ วันก่อนนภไลน์มาหา เห็นว่าพาเพื่อนที่เป็นฝรั่งมาเที่ยวสงกรานต์ที่นี่"

"แล้วคุยกันแล้วหรือยัง"

ตามประสาคนเอาแต่ใจ คนตัวสูงยักหัวไหล่อย่างเสียไม่ได้ "ขี้เกียจ" แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ ที่มองกลับมา ทิมก็ลากลมหายใจเบื่อ "ก็ได้ ไว้เดี๋ยวจะไลน์กลับไปหา"

ชายหนุ่มไม่ได้ญาติดีกับพวกเทคโนโลยีสักเท่าไร และเพราะไม่ได้เสพติดแบบคนกรุงเทพสมัยนี้ เจ้าตัวก็ไม่ให้ความสนใจกับสารพัดแอพพลิเคชั่นอย่างที่ควรเป็น ถ้าไม่เพราะนิ้วพลาดไปโดนเมื่อตอนเช้า เขาก็คงไม่รู้ สำหรับทิมแล้วการใช้ชีวิตอยู่ในโลกก่อนที่สมาร์ตโฟนทั้งหลายจะถือกำเนิดถือว่าเป็นความสุถขสูงสุด ในตอนนี้บริษัทที่หุ้นร่วมกับเพื่อนกำลังไปได้รุ่ง ดังนั้นเวลาเกือบทั้งหมดของทิมจึงพุ่งไปลงอยู่กับงานด้านวิศวกรรมโยธาที่ทำอยู่ ส่วนนอกเหนือจากนั้นก็สงวนไว้แค่คนที่อยู่ข้าง ๆ...คนนี้

"เมียจ๋า" เสียงเย้า ตาเยิ้ม

คะน้าชะงักกึก แสร้งนั่งทานเฉาก๊วยต่อ ไม่ขอรับรู้

"เมียจ๋าาา..." สุ้มเสียงไม่ได้มีความเคอะเขินแม้แต่น้อย แถมไม่เรียกเปล่า คราวนี้มีนิ้วมาสะกิดยิก ๆ ที่ข้างเอวด้วย "ไปทะเลกันไหม ปีนี้ร้อนนะ"

เพราะคบกันมานานหลายปีถึงรู้ดีว่าแค่นิ่งคงไม่จบ คะน้าวางช้อน ตอบอย่างอ่อนออกอ่อนใจ "ร้อนขนาดนี้จะไปไหนมันก็ร้อนหมดแหละ"

เห็นได้ชัดว่าคำตอบที่ได้ยินนั้นไม่เป็นที่พอใจ สีหน้าของทิมจึงตึงคล้ายแผ่นหนังที่กำลังจะปริ

เล่นเอาคะน้าอ่อนใจ ไปเที่ยว สำหรับทิมแล้วก็เหมือนกับเปลี่ยนสถานที่เล่นกิจกรรมเข้าจังหวะ ในประเทศหรือแม้แต่ต่างประเทศก็ไม่ต่างกัน เกือบทั้งหมดของแต่ละวันก็ไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ

"อยู่กรุงเทพนั่นแหละ" จะไปไหนให้เสียทั้งเงินทั้งเวลาทำไม ?

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตกลง ทิมก็นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง

"แต่เราไม่ได้เอาท์ดอร์กันนานแล้วนะ"

เหมือนเฉาก๊วยในปากจะให้รสเผ็ดร้อนขึ้นมาทันที คะน้าสำลักแค่กไม่หยุด

หน้าดำหน้าแดงเหมือนพระอาทิตย์ที่อยู่บนฟ้า




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




ดนัยเช็ดกระดาษทิชชูที่จมูกหลังจากจามไม่หยุดแต่เช้า เขาไม่ได้ดูเทปรายการที่ไปอัดเมื่อเย็นวานกับตรี (อันที่จริงไม่กล้าดู) อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเขาก็ภาวนาให้มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี โทรศัพท์มือถือดังไม่หยุด ข้อความทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ไอจี เยอะจนเขาหยิบไอพ็อดมาใส่หู วิ่งออกกำลังกายที่ฟิตเนสให้เวลามันผ่าน ๆ ไป

อัตราการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์สูงขึ้นถึง 150 เท่าจากเมื่อวาน ซึ่งแปลว่าหลายพันเท่าเมื่อเทียบกับไม่กี่วันก่อน เฟซบุ๊กเพจของไจแอนท์โคลา จากลูกเพจจำนวนหมื่นต้น ๆ กลายเป็นแสนกว่าในระยะเวลาเพียงสองชั่วโมง และดูจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกนาที ไม่นับรวมกับการโพสต์แปลก ๆ เรื่องเขากับตรีอีกร่วมร้อย เพิ่มขึ้นทุกนาทีเช่นกัน รายการเล่าข่าวตอนเช้ามีคนดูมากขนาดนี้เชียวหรือ ? แล้วพอพ่วงไปกับโซเชียลมีเดียและเว็บคอมมูนิตี้อื่น ๆ เข้าไปก็ยิ่งเหมือนไฟที่ลามไปทั้งทุ่ง ลังเลอยู่สักพัก ดนัยก็หยิบมือถือขึ้นมา

นิ้วชี้ของตรี พงษ์พิพัฒน์กดปุ่มเล็ก ๆ ที่บลูทูธ ได้ยินปลายสายส่งเสียงมาสั้น ๆ ว่า "ผมเอง"

"ผมไหน เสียงคุ้น ๆ"

"นัท"

"มีเรื่องอะไรถึงได้โทรมารบกวนเวลานี้ครับ ไม่รู้หรือยังไงว่าผมกำลังยุ่งมาก ๆ"

ได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น แทนที่จะวาง ดนัยกลับถามกลับด้วยความอยากรู้ "ขอโทษนะครับ คราวนี้มาร์กอะไรอีก"

น้ำเสียงที่ได้ยินแสดงออกถึงอากัปกิริยาเย้ยหยันอยู่ในที ตรีเหมือนเห็นร่างสูงใหญ่ผุดขึ้นตรงหน้าแล้วยืนนักคิ้วยียวนมาให้ตอนที่ถามประโยคนั้น "คุณจะไปเข้าใจอะไร อยู่วงการนี้เรื่องดูแลรูปร่างหน้าตาและสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ความสามารถเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็มี แต่ความสามารถที่มาพร้อมกับหน้าตาที่สมบูรณ์แบบนี่ ยากเสียยิ่งกว่ายาก และตอนนี้ผมกำลังจะสัมผัสกับนวัตกรรมความงามใหม่ล่าสุดของโลก นั่นคือการทรีตเมนต์ด้วยสารสกัดจากเพชรบริสุทธิ์ มันช่วยกระตุ้นพลังจักระในตัวเชียวนะ"

เสียงกระซิบตรงประโยคสุดท้ายเหมือนกับเด็ก ๆ ตอนกำลังความลับที่ไม่มีใครรู้นั่นละ ทว่าดนัยกลับรู้สึกหน่าย "คุณเลือกจากคุณสมบัติที่ไร้สาระที่สุดหรือไง"

ตรีทำท่าสะพรึงกับโทรศัพท์ คนคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ขั้นตอนการสรรหาทรีตเมนต์แต่ละอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ครั้งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสารสกัดจากอุกาบาตบนดวงจันทร์ แม้จะหายากและแพง ย้ำอีกทีว่า...แพงมาก แต่นั่นก็ยังไม่ผ่านมาตรฐานของตรี เพราะอุกาบาตทำให้ตรีนึกถึงอุบาทว์ ฟังแล้วระคายหู รวมทั้งผิวของพระจันทร์ก็ไม่เรียบ ซึ่งอะไรที่ไม่เรียบตรีไม่ใคร่ให้เอามาอยู่บนผิวใส ๆ ของตัวเอง ดังนั้นเขาจะเลือกเฉพาะที่มันสมเหตุสมผลเท่านั้น ประเภทสเตมเซลล์จากรกแกะ เอมบริโอจากรังไข่ปลาแซลมอน อะไรต่าง ๆ นานาจำพวกนั้น ต่อให้ใครว่าดีแค่ไหน ก็จะไม่สนใจเป็นอันขาด ตรีมักถูกโฉลกกับอะไรที่ดูแพง ๆ ประเภทเพชร ทองคำ คุณแม่ของเขาพร่ำสอนแต่เด็กว่ารสนิยมเป็นเรื่องสำคัญและซื้อหากันไม่ได้ เพราะเหตุนี้กระบวนการคัดสรรแต่ละอย่างของตรีจึงถือว่าเป็นอีกระดับของคนรักสุขภาพที่มีสตางค์ทั่วไปนัก

"โทรศัพท์ผมดังไม่หยุด เฟซบุ๊ก ไลน์ สารพัด ตั้งแต่รายการออกไป" นัทพูด เสียงตรีแหวกลับมาทันที

"อย่าพูดถึงเทปที่ออกอากาศเมื่อตอนเช้านี้อีก ได้โปรด"

"ทำไม"

"เพราะผมไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น คุณไม่เห็นหรือไง นี่...ถือเป็นความผิดพลาดเป็นอย่างมาก"

"ผมไม่ได้ดู"

"ได้ คุณจะได้ดูความแย่ของมันเดี๋ยวนี้" ตรีตอบเสียงกร้าว ดึงมือถือออกแล้วค้นหาคลิปในยูทูป ก้อปปี้แล้วส่งกลับไปทางไลน์

ดนัยกดดูคลิปในแท็บเล็ต คิ้วเข้มขมวดขึ้นก่อนด้วยความแปลกใจ "โอเค ผมรู้ว่าคุณเป็นคนรักสุขภาพ แต่เก็บคลิปบริหารบั้นท้ายของคุณไว้ทำคนเดียวเถอะ"

"อุ่ย...ผิด" ตรีอุทานพอน่ารัก แต่เล็กที่บ้านก็สอนว่าถ้าหน้าตาดี ต่อให้ผิดก็ยังดูน่ารัก ไม่อย่างนั้นคนเขาจะมีคำพูดว่า "น่ารักน่าชัง" ทำไม ก้อปปี้ลิ้งก์ใหม่เรียบร้อย เช็กอีกครั้งจนมั่นใจก็ส่งกลับไปหานัทใหม่ ดูให้ชัด ๆ เต็มตา "นี่เป็นตราบาปในชีวิตการทำงานของผมมาก คุณดูหน้าผมสิ อย่างกับรายการตลกสามช่า"

"ผมว่าน่ารักดี" ดนัยตอบกลับสั้น ๆ

ตรีเชิดคอสูง ยิ้มหน้าบานรับแสงอาทิตย์ฤดูร้อน พิธีกรหนุ่มรูปหล่อพูดอย่างไว้เชิง "น่าเกลียดขนาดนั้นนั่นนะ"

ดนัยไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ ไล่อ่านคอมเมนต์แต่ละคนที่ทิ้งไว้ด้านล่างคลิป ซึ่งส่วนมากก็แทบไม่ต่างกับที่ตามเว็บกระดานข่าวทั้งหลายเท่าไรนัก "ผมเป็นรุก คุณเป็นรับ เราเป็นแฟนกัน"

ดอกทานตะวันยืดตัวตรงที่หน้ากระจก "แล้วยังไง"

ดนัยนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง เงียบไปนานจนอีกฝ่ายต้องเรียกซ้ำจึงรู้สึกตัว "ไปฟื้นพลังจักระของคุณเถอะ"

ได้เวลาแล้วแต่ตรี พงษ์พิพัฒน์ยังอยู่ที่เดิมแล้วนั่งมองรูปที่ถูกแทกอยู่ในอินสตาแกรมของตัวเอง เป็นรูปที่ดูอย่างไรก็บาดไปทั้งความรู้สึกจนแทบทนไม่ไหว นิ้วโป้งเลื่อนไปเรื่อย ๆ กระทั่งถึงรูปหนึ่งที่ตรีกำลังทำหน้าพิลึกใส่กล้อง แต่อีกคนในชุดผ้ากันเปื้อนที่ยืนข้าง ๆ นั้นกลับเพ่งโฟกัสอยู่ที่เขา นัทกำลังยิ้ม แววตาคู่นั้นไม่เหมือนที่ตรีเห็นในทุกครั้ง ขณะที่ตั้งใจจะเลื่อนภาพ นิ้วโป้งของตรีก็เผลอกดโดนอีกครั้งจนกลายเป็นโหลดภาพขึ้นมาเต็มจอ ในนั้น เจ้าของภาพกรีดร้องเป็นภาษาต่างดาวไปห้าบรรทัด ก่อนจะปิดท้ายด้วย #พี่ตรีน่ารัก #พี่นัทหล่อ #คืออยู่ด้วยกันแล้วโฮกมาก #งานจิ้นต้องมา ตรีทำหน้าประหลาด ก่อนจะหัวเราะออกมา

หลังจากที่กดปุ่มวางสายแล้ว ดนัยก็นั่งหมุนโทรศัพท์ในมือเล่น อันที่จริงแล้วฤดูร้อนถือเป็นเรื่องหงุดหงิดสำหรับเขาไม่น้อย แปลกที่ตอนนี้เขากลับหวนไปนึกถึงความสนุกของฤดูร้อนที่อยู่ในความทรงจำตอนเด็ก ๆ ตอนอายุ 15 ฤดูร้อนคือทะเลสีครามที่พัทยา อายุ 20 ฤดูร้อนคือช่วงเวลาสนุกกับกิจกรรมรับน้องในมหาวิทยาลัย  25 ฤดูร้อนคือยอดขายและกิจกรรมทางการตลาดที่บริษัทจัดขึ้น แล้วตอนนี้ล่ะ ดวงตาคมหยุดอยู่ชื่อที่อยู่ข้าง ๆ กับปลายนิ้วโป้ง มุมปากของดนัยวาดโค้งขึ้นช้า ๆ รอยโค้งนั้นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ีกำลังยิ้มให้ก้อนเมฆยังไงยังงั้น

ในตอนที่พนักงานเรียก ตรียังยิ้มให้กับภาพที่เห็นไม่เลิก ตอนที่ได้ยินเสียง นิ้วโป้งก็เผลอกดซ้ำลงบนภาพ ตรงช่องว่างระหว่างคู่กัดทั้งสองคนมีหัวใจสีแดงผุดขึ้นมาโดยที่ตรีก็ไม่รู้ตัว




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



(มีต่ออีกนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jun 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 30-06-2014 17:22:44
(ต่อที่เหลือครับ)





อานนท์ละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่แผนกขายเครื่องใช้ไฟฟ้า พยากรณ์อากาศบอกว่าแม้จะมีความกดอากาศต่ำเข้ามาจากทางตอนเหนือและตะวันออกเฉัยงเหนือ แต่อุณหภูมิที่ร้อนจัดของทั่วทั้งประเทศก็ยังคงไต่ขึ้นระดับสูงตลอดหลายวันที่ผ่านมา น่าจะจริง เพราะดูจากจำนวนคนที่เดินเข้ามาในคอมเพล็กซ์มากกว่าปกติหลายเท่า ร้านค้าส่วนนอกที่เป็นประเภทไอศกรีม เครื่องดื่มเย็น ๆ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขณะที่ส่วนใน ยอดขายที่ทะยานขึ้นสูงที่สุดก็คือแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า และเกือบทั้งหมดมาจากการขายเครื่องปรับอากาศ

ในหลายคนที่เข้ามาสอบถามข้อมูลของรุ่นต่าง ๆ ที่เขาได้ดูแลนั้นเป็นเพียงการสอบถามข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบรุ่น ขณะที่พนักงานคนอื่น ๆ ในแผนกกลับปิดงานขายได้เรื่อย ๆ โชคไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สติปัญญา ทักษะไหวพริบ ฐานะ แม้แต่รูปร่างหน้าตาก็ยังกระเดียดไปทางที่ดูจะไม่น่าเอาไปโอ้อวดกับสาว ๆ ได้เลย สิ่งที่อานนท์มีความความอดทน ความพยายาม และใจที่มุ่งมั่น และได้แต่หวังว่ามันจะมากพอจะทำให้อานนท์ผ่านมันไปได้อีกครั้ง

ชาวต่างชาติเป็นกลุ่มลูกค้าที่พนักงานขายต่างกลัว ปัญหาในเรื่องการสื่อสารทำให้กินระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าปกติ แต่ก็มีบางครั้งที่กลุ่มชาวต่างชาติพวกนี้จะพูดภาษาไทยได้ อานนท์จับสายตาอยู่ที่ฝรั่งผมทองตัวสูงโย่งคนหนึ่งที่กำลังดูเครื่องปรับอากาศรุ่นต่าง ๆ พนักงานที่พอพูดภาษาอังกฤษได้ก็ติดลูกค้าอยู่ ที่เหลือก็อยู่ในสภาพกระท่อนกระแท่นไม่ต่างกับเขานัก

หลังจากใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการชั่งใจ ชายหนุ่มร่างเล็กก็คว้าแผ่นพับภาษาอังกฤษแล้วเดินเข้าไปหาชาวต่างชาติคนนั้น เอ่ยทักด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทยแท้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

"Good morning, sir. How can I help you?"

"Guten Morgan !" ชาวต่างชาติคนนั้นหันมาส่งยิ้มกว้าง

อานนท์ยืนอึ้ง อ้าปากหวอ กูท-เอน-มอร์-เก็น แปลว่าอะไร ไม่ใช่ กู้ดมอร์นิ่งเหรอ

"Verzeihung. Umm...I can't speak English fluently. Can you speak German ?"

รู้สึกเหมือนปากตัวเองจะแห้งผาก เฟร์-ไทซ-ฮุง มันคืออะไรกันนะ อานนท์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ "เยอรมัน" ที่พอฟังรู้เรื่องมีแค่คำนี้

"Ja"

หยา ? หยาอะไร หรือว่าคือไอ้หยา ? สรุปว่าฝรั่งคนนี้พูดภาษาจีนเหรอ ?

ลนลานอย่างหนักจนไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไงดี สุดท้ายอานนท์เลยได้แต่ยกมือไหว้ปลก ๆ พร่ำคำขอโทษนับสิบครั้งจนอีกฝ่ายยกมือขึ้นประนม แล้วพูดตาม ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิด แถมความพยายาม หนึ่งในคุณสมบัติด้านดีเพียงไม่กี่อย่างที่มีก็ดูจะสลายไปพร้อมกับภาษาที่ฟังไม่คุ้นหู สุดท้าย อานนท์ก็โค้งให้ด้วยความรู้สึกขอโทษ ก่อนจะจับมือชาวต่างชาติคนนั้นเขย่า ๆ แบบที่เคยเห็นในหนัง

"คือว่า...ผมพูดภาษาไทยได้...นิดหน่อยครับ"

ฮานส์ส่งเสียงพึมพำกับตัวเอง ตั้งใจจะกวักมือเรียกผู้ชายที่เหมือนตุ๊กตาคนนั้นเอาไว้ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็ไม่ได้มีความคิดใดที่จะซื้อเครื่องปรับอากาศก็เลยตัดสินใจเดินออกมาจากที่ตรงนั้น

เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อตอนสาย แต่จะให้กลับไปนั่งจมอยู่กับห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อันอุดอู้ก็ดูจะเสียเที่ยว คอมเพล็กซ์แห่งนี้เป็นสิ่งที่ฮานส์เห็นในตอนที่นั่งแท็กซี่ออกมาจากแอร์พอร์ตสุวรรณภูมิ คิดว่ามันดูโอ่งโถงดี แล้วก็โชคดีได้ทักทายกับคนไทยแบบนี้ อย่างน้อยฮานส์ก็ได้ใช้ธรรมเนียมไหว้แบบคนไทยที่นภเคยสอนไว้ให้เกิดประโยค ไหว้มาก้ไหว้กลับ แต่นภไม่ยักบอกว่าคนกรุงเทพชอบไหว้กันขนาดนี้

ฮานส์เดินลัดลงไปในส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตด้านล่าง เล็งไปที่น้ำสมุนไพรบางอย่างที่เป็นสีแดงดูน่าดื่ม ภาษาอังกฤษเขียนว่า Roselle ส่วนภาษาไทยนั้น ฮานส์อ่านไม่ออก ลังเลอยู่สักพัก ชายหนุ่มผมทองก็จิ้มนิ้วชี้ลงไปที่น้ำสีแดงเข้มที่ว่า มันจะคล้ายกับแซงเกรียที่เคยดื่มที่สเปนหรือเปล่านะ

"กระเจี๊ยบเหรอคะ"

"กระเจี๊ยว ๆ" ฮานส์ทวนคำที่ได้ยินเสียงดังลั่นจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหัวเราะคิกคัก

ในสายตาของชาวต่างชาติอย่างฮานส์ ผู้ที่คลั่งวัฒนธรรมไทยเป็นยิ่งนักรู้สึกว่าตัวเองได้เข้าใกล้วิถีชีวิตแบบคนไทยมากขึ้นไปทุกทีแล้ว

"น้ำกระเจี๊ยวอร่อยมากกก..." ฮานส์หันไปกะพริบตาให้กับคนที่ต่อแถวด้านหลัง

เห็นแม่ค้าส่งยิ้มให้ คนอื่น ๆ ละแวกนั้นก็อยู่ในกิริยาที่ไม่ต่างกัน นี่สิถึงเรียกว่า "สยามเมืองยิ้ม" ฮานส์ยืดเต็มที่ ภูมิใจกับการออกเสียงภาษาไทยในระดับที่เจ้าของภาษายอมรับ ชายหนุ่มร่างสูงวางแก้วลงบนเคาน์เตอร์ ยกมือขึ้นพนมบนอกแบบที่เคยเห็นในเทปที่เปิดแนะนำประเทศไทยบนเครื่องบิน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

"ขอบคุณครับ"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




นี่เป็นเช้าวันแรกที่กรุงเทพซึ่งนภตื่นมาโดยไม่ได้ได้ยินเสียงอรุณสวัสดิ์สำเนียงแปร่ง ๆ ของฮานส์ เมื่อคืนกว่าที่นภจะหลับไปได้ก็น่าจะเลยตีสองเข้าไปแล้ว เขานอนตาค้าง ลืมตาในความมืด หัวสมองเต็มไปด้วยบทสนทนาซ้ำซากที่มหาวิทยาลัยระหว่างเขาและปืน และเพื่อที่จะหยุดคิดถึงมัน นภก็เลยดื่มเบียร์ไปสองสามกระป๋อง คล้ายกับแอลกอฮอล์จะอนุญาติให้มีพื้นที่ของความว่างเปล่าในหัวสมองมากขึ้น อย่างน้อยก็ชั่วเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว แดดในฤดูร้อนเคาะหน้าต่างทักทายแต่เช้า ระหว่างที่จัดการธุระส่วนตัวแล้วเปิดโทรทัศน์ดูรายการเรื่อยเปื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แค่ได้ยินเสียง นภก็จำได้ว่าเป็นใคร

"ทิมใช่ไหม" เบอร์โทรศัพท์ชั่วคราวระหว่างที่อยู่กรุงเทพ ถ้าไม่โทรผิดก็มีไม่กี่คนที่รู้

"ขอโทษที เพิ่งเห็นเมื่อเช้านี้ ทุกอย่างโอเคไหม"

"ไม่เป็นไรหรอก เพราะหลังจากลงเครื่องมา เพื่อนก็ไม่สบายตลอด เมาเครื่องแถมพ่วงอาการท้องเสียเข้าไปอีก นี่ยังนอนโรงพยาบาลอยู่เลย เรื่องแนะนำที่เที่ยวคงไม่จำเป็นแล้ว แต่ก็ขอบคุณที่โทรมานะ"

นิ่งไปสองสามวินาที ทิมก็ส่งเสียงกลับมาอีกครั้ง "เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงฟังแล้วแปลก ๆ"

"ไม่มีอะไรหรอก"

แม้จะไม่ค่อยเชื่อ แต่ในเมื่อตอบแบบนั้น ทิมก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ถาม

เงียบไปสักพัก เสียงที่ดูพยายามสดใสขึ้นก็ดังขึ้นที่ปลายสาย

"ทิม ขอถามอะไรหน่อยสิ" ริมฝีปากของนภแตะเบา ๆ ที่กำปั้นซึ่งกำหลวม ๆ เหมือนจะลังเลในสิ่งที่กำลังจะพูด "นายเคยมีคนที่ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่เคยลืมหรือเปล่า ไม่ว่าเรื่องที่ดี ไม่ว่าเรื่องที่ร้าย ทุก ๆ เรื่อง คนที่ต่อให้เราคิดว่าวางตัวอย่างดีแค่ไหนแล้ว แต่เอาจริง พอได้พูดคุย ได้อยู่ใกล้ ๆ ที่มั่นใจว่าโอเคกลับกลายเป็นไม่โอเค รู้สึกประหม่า กลัวจนสั่นไปหมด"

"นี่กำลังพูดบ้าเรื่องอะไรกัน"

"นั่นสิ พูดเรื่องอะไรกันนะ"

"มี"

"หือ"

"ใคร ๆ ก็มีทั้งนั้นแหละ อย่างี่เง่าน่า มันก็แค่อาการแอบรัก จะมาถามในเรื่องที่ตัวเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วไปเพื่ออะไร" เสียงทุ้มของทิมดูจะเข้มข้นขึ้น

"อย่างนั้นเหรอ ฉันคงกำลังสับสนมั้ง ไม่รู้ว่าควรทำยังไง"

"ไม่รู้เหรอ ไม่มั้ง" ทิมเยอะ พูดตรงไปตรงมาเหมือนเดิม "อย่างที่พูดแหละ คำตอบน่ะมันมีอยู่ในใจแล้ว เป็นคำตอบที่ชัดเจน ไม่มีความสับสนด้วยซ้ำ ที่เป็นอยู่คือนายกำลังแกล้งหลอกตัวเองว่าไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่างหาก"

เมฆหมอกแห่งความลังเลสลายไปพร้อมกับแดดร้อน ๆ ที่เผาทั้งกรุงเทพอยู่กลางท้องฟ้า นภนึกขำตัวเอง ไม่คิดว่าจะต้องมาถูกความรักครั้งที่สองของตัวเองด่าเอาเพราะรักแรกที่ลืมไม่ลง ประสบการณ์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนฉากที่พบได้ทั่วไปในนิยายแนวรักรันทด ทั้งที่คิดมาตลอดเวลาตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ในเรื่องความรักกลับดูไม่ต่างอะไรกับวัยรุ่นอ่อนเดียงสา หลายคนเมื่อเติบโดเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเข้มแข็งขึ้น ขณะที่อีกหลายคน ยิ่งเติบโตกลับยิ่งอ่อนแอ นภคิดว่าตัวเองเป็นอย่างหลัง

หลายนาทีต่อมา นภก็ออกมาจากห้องเล็ก ๆ อันอุดอู้ โมงยามแห่งความสับสนลังเลกำลังก้าวผ่านไปสู่ชั่วเวลาที่ควรจะเป็นอย่างแท้จริง นภหยอดเหรียญ ขึ้นรถไฟใต้ดินสู่ถนนสายเล็ก ๆ ใจกลางเมืองหลวงที่เริ่มจะคุ้นตา ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่กระวีกระวาด นภคิดว่าโลกของคนกรุงเทพคงกำลังหมกมุ่นอยู่กับการหนีความร้อนที่เผาจนแสบไปถึงชั้นกล้ามเนื้อ เม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ซึมไปทั่วทั้งเสื้อ ลมร้อนปะทะหน้าจนแสบชา ดูนภจะเป็นสิ่งมีชีวิตอันแปลกปลอมเพียงคนเดียวที่เผชิญหน้ากับความร้อนดั่งไฟเหล่านั้นโดยดี นภไม่คิดจะหนีอีกแล้ว

ลัดเข้าซอยเล็ก ๆ ไปไม่กี่สิบเมตรจนถึงหน้าร้านอาหารขนาดกะทัดรัด กรวยไอศกรีมขนาดใหญ่กว่าของจริงสักร้อยเท่าซึ่งตั้งอยู่กับพื้นหน้าร้านบอกให้รู้ว่าเขามาไม่ผิดที่ หมาสองตัวนอนหงายพุงแอ้งแม้งอยู่กับพื้นคล้ายกับคนขี้เกียจที่ไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอน นภมองภาพนั้นอยู่สักพักกระทั่งเห็นเงาทาบสงที่ปลายรองเท้าทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นก็พบกับคนที่อยู่ในความคิด

"เจอกันอีกแล้วสินะ" นภทัก

"คนกรุงเทพเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเชื่อในพรหมลิขิตหรอก ชีวิตในกรุงเทพวุ่นวายเกินกว่าจะมาเชื่ออะไรแบบนั้นแล้ว" ปรมะตอบด้วยรอยยิ้ม

นภทิ้งตัวลงในความเงียบ ใจหนึ่งก็หวังว่าตัวเองจะถูกดูดกลืนหายไปในแสงแดดอันแสนอบอ้าวของเมืองที่แออัดเกินไปอย่างนี้ แต่อีกใจที่มั่นคงและแข็งแกร่งกว่าส่งกำลังให้ปลายเท้าทั้งสองข้างให้ยืนหยัดอยู่กับที่ ไม่หนีไปไหน

"ไปเดินเล่นกันไหม" ปรมะถามเหมือนขอความเห็น แต่เท้าข้างหนึ่งเบี่ยงนำออกไปก่อนแล้ว

เดินไปอีกไม่นานนัก ปรมะก็นั่งลงที่เดิม ใต้ร่มไม้ที่เล้าแหว่ง บนแกรนิตสีเข้มหน้าอาคารสำนักงานขนาดย่อมแห่งหนึ่ง นภย่อตัวนั่งลงข้างกัน จ้องปูนซีเมนต์สีเทาอยู่หนึ่งนาทีแล้วหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋า เสียงเล็ก ๆ จากซอกหนึ่งของสมองบอกว่านี่น่าจะเป็นการฆ่าเวลาแห่งความกระอักกระอ่วนอย่างมีชั้นเชิงที่สุดในตอนนี้ จุดแดงเล็ก ๆ วาบขึ้นที่ปลายมวนกระดาษสีขาวก่อนก่อนที่ควันอันบางเบาจะลอยฟุ้งขึ้นในอากาศ แล้ววางซองบุหรี่กับไฟแช็กข้าง ๆ ตัว

"เอาไหม"

ปรมะลังเลอยู่นิดหนึ่งก่อนจะผงกหัวขึ้น "สุดท้ายแล้วนะ ว่าจะเลิกดูดแล้ว พอซะที" กลิ่นของนิโคตินเจือในอากาศ ท้าทายอุณหภูมิของฤดูร้อนอย่างไม่เกรงกลัว

"ถ้าทำได้ นายก็ควรเลิกนะ อย่างที่เขาพูดกันแหละ มันไม่ดีต่อตัวเราเท่าไหร่" เสียงทุ้มที่เจอไปด้วยความอ่อนโยนนั้น นุ่มนวลคล้ายรสบุหรี่ที่แตะอยู่บนปลายลิ้น

ปกติแล้วนภสูบบุหรี่เพราะรสชาติที่ฝาดขมนั้นทิ้งสัมผัสของความหวานชุ่มไว้ในปาก ไม่ได้เกี่ยวกับสรรพคุณการผ่อนคลายความเครียดใด ๆ ของมัน ไม่เกี่ยวจนมาถึงตอนนี้

"ใคร ๆ ก็รู้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้หรอก" นภตอบ อัดความสีเทาลงปอดแล้วพ่นออกมาพร้อมกับความทรงจำที่อยู่ภายใน

"ฉันน่ะ เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่คิดว่าสนิทกันมากจนรู้จักเรื่องของนายทุกเรื่อง ทั้งที่คิดมาตลอดแบบนั้นแท้ ๆ" นภนิ่งไปสักพัก ควันสีเทาไหลเข้าไปอดีตที่เต็มไปด้วยคำถาม คลายกุญแจที่เก็บงำความลับออก "ตอนนั้น คนที่บอกว่าเราเป็นเพื่อนรักกันคือนายเองไม่ใช่เหรอ ระหว่างเราจะไม่มีความลับต่อกัน เรื่องของนายก็คือเรื่องของฉัน เรื่องของฉันก็คือเรื่องของนาย"

ปืนหันมาสบตานิ่ง ก่อนจะหันกลับไปเขี่ยปลายบุหรี่ ทิ้งเถ้าสีเทาให้กรูลงพื้น

"แย่แฮะ พูดอย่างนั้นไปด้วยเหรอ" เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม "ขอโทษนะ จำไม่ได้เลย"

"จำหรือลืมไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก" นภทอดสายตาออกไปในแสงแดด สระ พยัญชนะในใจค่อย ๆ ประกอบออกมาเป็นคำ กลายเป็นประโยค และนภก็แค่ไล่อ่านมันไปทีละบรรทัด "เมื่อก่อนก็เคยถามตัวเองเล่น ๆ ว่าถ้าได้พบอีกครั้งจะทำยังไง เพราะรู้ว่าชีวิตของเราสองคนไม่ได้เหมือนกับอากาศพวกนี้ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว พบแล้วก็กลับมาพบกันใหม่เรื่อย ๆ เหมือนกับฤดูร้อนที่จะกลับมาเจอกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาของมัน เราสองคนเจอกันครั้งแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัย อายุสิบกว่า ๆ ต้องใช้เวลาอีกสิบกว่าปีถึงจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง"

จากเสียงที่เงียบที่สุดกลายเป็นเสียงที่ทรงพลังที่สุดเมื่อผ่านการสลักเสลาของวันเวลา

"ดูนี่สิ กรุงเทพ ทั้งที่เกิดมาที่นี่ คิดว่ารู้จักทุกซอกทุกมุม ตอนนี้กลับจำอะไรไม่ได้เลย สิบกว่าปีมันนานนะ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตั้งมากมายก็ไม่แปลก แต่นายน่ะ เป็นข้อยกเว้น" นภมองไปข้างหน้า เห็นเด็กวัยรุ่นสองคนวิ่งไล่กันในเศษเสี้ยวความทรงจำในอดีต รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสุขที่วนอยู่รอบ ๆ ตัวราวกับเพื่อนสนิทที่ผูกกันมาแสนนาน ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะจากไปพร้อมกับควันบุหรี่ "นายจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็แล้วแต่นายเถอะ จะเติบโตขึ้นจนเปลี่ยนเป็นคนละคน จะทำงานที่ต่างกับที่เรียนมาไปไกลแค่ไหน สำหรับฉัน นายยังเหมือนเดิม ยังเป็นปืนคนเดิมที่ฉันรู้จัก"

ขณะที่บุหรี่มวนต่อไปถูกจุดขึ้น นภก็พูดต่อ "เราสองคนเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงจะผ่านมานานแต่ก็เห็นได้ชัดว่านายก็รู้จักฉันมากพอ จับจด เชื่องช้า เป็นคนที่อยู่กับอดีต นิสัยไม่ได้เรื่องพวกนี้ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร ดูมันจะหลอมรวมจนกลายเป็นตัวตนไปแล้ว คงไม่มีวันหายไปแน่ ๆ ดังนั้น..."

สองสามวินาทีที่ม่านหมอกอันมัวซัวถูกพ่นออกมา คล้ายกับว่ามีความเจ็บที่บาดลึกแอบซ่อนอยู่ในนั้น

"ดังนั้น ถ้านายไม่สะดวกใจในการที่เรากลับมาพบกันอีกครั้ง หรือถ้านายอยากจะลืมเรื่องเก่า ๆ อยากเดินต่อไปข้างหน้า หรือจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม ฉันขอร้อง...ในฐานะที่นายน่าจะได้เรื่องกว่าคนอย่างฉัน ช่วยลืมฉันทีได้ไหม"

ดวงตาคมของคนที่นั่งเงียบจับจ้องอยู่ที่รอยยิ้มเรื่อย ๆ ของนภ

"เพราะที่ผ่านมา ฉันคิดถึงนายมาตลอด"

เป็นคำพูดเรียบ ๆ ง่าย ๆ ที่ตรงกับความรู้สึกของผู้พูดที่สุด

"ของที่ชอบน่ะ ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่มีวันลืมหรอก" ไม่มีวี่แววแห่งความตัดพ้ออยู่ในดวงตาที่สดใสคู่นั้น สิ่งเดียวที่ปรมะมองเห็นคือความเข้าใจ จริงใจ ตรงไปตรงมา "จะให้ลืมนาย มันเป็นไปไม่ได้เลย"

นภยืนขึ้น คล้ายกับต้นไม้ที่ียืดหยัดท่ามกลางแสงแดดที่ไม่เคยปรานีใคร "ขอบคุณมากสำหรับสองวันที่ผ่านมา"

เป็นน้ำเสียงที่เจือด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว เสียงนั้นยังคงแว่วอยู่ในบริเวณนั้นสักพัก เช่นเดียวกับกลิ่นของบุหรี่ที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของปรมะตลอดเวลา

ปืนยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองไปรอบ ๆ ตัวที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ก่อนที่ใบหน้าคล้ามแดดจะแหงนขึ้นมองท้องฟ้า เวลาเปลี่ยน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป จะมีก็แต่ผืนฟ้าสีครามของกรุงเทพ

ท้องฟ้าสีน้ำทะเลของฤดูร้อน...ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




ผ่านไปอีกตอน ขยับเข้าใกล้เส้นชัยไปอีกนิด รู้สึกปลื้มปริ่มตัวเองที่พอจะได้ตามเป้าขึ้นมาหน่อย
ไม่รู้ว่าพี่ฮานส์จะทำให้เจอเซ็นเซอร์หรือแบนหรือเปล่า หวังว่าคงไม่นะ มันไม่ได้ทะลึ่งแบบนั้น 5555
ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามกันครับ จะพยายามมาอัพตอนต่อไปให้ไวที่สุดนะ / ปาดเหงื่อ ฮ่าๆๆ

+1 ให้กับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ที่ติดตามอ่านกัน พบกันตอนหน้าครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jun 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 30-06-2014 17:52:29
ตอนก่อนมีหมอตุลกะหมอภัทร ตอนนี้มีพี่คะน้ากับน้องทิม รวมญาติมาก ๆ 555

PS. น้ำกระเจี๊ยว!!! >\\\<
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jun 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 30-06-2014 19:53:15
เราสงสารนภ นางทำอะไรทำไมชีวิตดาร์กแบบนี้ ปืนอย่าใจร้ายนักเลย
แต่ลึก ๆ ก็แอบคิดว่า เออ ถ้าไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ แล้วนภก็ลืมไม่ได้ ก็อย่าไปเจอเลยดีกว่า
ก่อนหน้าที่จะบังเอิญมาเจอปืนอีกครั้ง นภก็คงไม่ได้ดูหม่นเหงาเศร้าสร้อยขนาดนี้หรอกมั้ง

ว่าแต่นี่นัทชอบตรีแล้วสินะ ฮาาาา ตรีก็น่ารักจริง ๆ แหละ ช่วงหลัง ๆ น่ะ
รออ่านคู่นี้ต่อ จะมีฉากหวานกันบ้างมั้ยเนี่ย

ปล. อีทิม อีหื่น สงสารคะน้า ต้องรับมือกับคนประเภทไหนเนี่ย 5555555555555
ปลล. รอบหน้าจะมีอิแม็กซ์โผล่มั้ยเคอะะะะะะะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jun 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 30-06-2014 20:28:11
ชีวิตรักของนภนี่จะมีที่สมหวังบ้างมั้ย
ทำไมมันขมขื่นจัง ผิดหวังทั้งสองครั้งเลยนะ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jun 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 30-06-2014 20:31:31
มีคะน้ากับทิมโผล่มาให้หายคิดถึงด้วยแหะ

คู่นัท-ตรี ฮากับคำว่า'พลังจักระ'55555
คู่นี้รัศมีความวายแผ่ซ่านมากๆ ฟินนน :impress2:

ฮานส์โหดมาก อ่านแล้วสะดุ้งเลย555

คู่ปืน-นภ "ของที่ชอบน่ะ ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่มีวันลืมหรอก จะให้ลืมนาย มันเป็นไปไม่ได้เลย"...อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกว่า นภเก่งมาก บางครั้งการที่จะพูดอย่างนี้กับใครซักคน มันต้องใช้ความกล้า..ไม่ง่ายเลยจริงๆนะ :hao5:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jun 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-06-2014 20:47:06
ต่อให้ลืมไม่ได้แต่ชีวิตก็ยังต้องก้าวไปข้างหน้า อาจบังเอิญได้หมุนมาเจอกันอีกครั้งหรือไม่อีกเลย เศร้า...
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jun 30, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 30-06-2014 21:48:33
ทิมยังเป็นทิม ที่หื่นเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
แกจะมา outdoor อะไร๊!!!!
นภน่าสงสารจัง ~~~
อานนท์สู้ๆน้าาา
ฮานส์ฮามากกก
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 02-07-2014 20:26:14
สวัสดีครับ มาแล้วๆๆๆ ช่วงนี้พยายามอัพให้ถี่จะปิดเรื่องให้ได้ครับ จะได้ไปปั่นเรื่องเดิมต่อ
เหลืออีกไม่กี่ตอนแล้ว ฝากด้วยนะครับ +1 ให้กับทุกเมนต์ด้วยครับ ขอบคุณจริงๆ


(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ตอนที่ ๑๑


"อย่างที่รู้ว่าน้าน้ำเป็นคนดูแลเครื่องไอศกรีมนี้ ดังนั้น เด็ก ๆ จะต้องช่วยน้าเข้าใจไหมคะ" ปรายฟ้ายืนกอดอกหน้าเครื่องทำไอศกรีม มองดูเด็กตัวน้อยสองคนที่ยืนส่งสายตาใสแจ๋ว "แล้วถ้าเป็นเด็กดี สงกรานต์นี้ น้าสัญญาว่าจะซื้อปืนฉีดน้ำให้กับทุกคน"

ชาฮิดและมีราส่งเสียงเฮ กระโดดโลดเต้นดีใจไปตามประสาเด็ก ๆ

เด็กก็มักจะเป็นอย่างนี้ มีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ ที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระไม่มีค่า ตรงไปตรงมา ไม่มีเตียงสามารยาแบบผู้ใหญ่ แสงไฟจากโคมที่ติดบนเพดานสร้างบรรยากาศของร้านอาหารขนาดย่อมแห่งนี้ให้แตกต่างไปจากโลกที่แสนร้อนระอุภายนอก ในร้านเป็นเหมือนสวรรค์เล็ก ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อน ไม่ต้องโก้หรู มีพิธีรีตรอง เป็นร้านประเภทที่สามารถสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นมานั่งทานอะไรสบาย ๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมองว่าผิดมารยาท หญิงสาวตระเตรียมข้าวของที่ส่วนมากจะเป็นผลไม้กับของเชื่อมต่าง ๆ เพื่อใช้สำหรับแต่งหน้าไอศกรีม เสร็จเรียบร้อยแล้วก็หยิบผ้าผืนเล็ก ๆ มาใช้ทำความสะอาดไปทั่วเคาน์เตอร์โดยมีลูกสมุนเป็นเด็กตัวน้อยสองคนที่คอยช่วยอย่างแข็งขัน

"แล้วธีมหายไปไหนกันนะ มีใครเห็นหรือเปล่า" ปรายฟ้าหันไปถามเด็ก ๆ ทั้งสอง แต่ทั้งชาฮิดและมีราก็ส่ายหัวไม่รู้ "ลูกฉัน ให้มันได้อย่างนี้สิน่า" ปรายฟ้าบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วหันไปทำงานต่อ

สักพักใหญ่ ๆ ประตูร้านก็เปิดขึ้นพร้อมกับร่างของเด็กตัวน้อยที่มอมไปทั้งตัว ธีมยกมือขึ้นซับเหงื่อบนแก้ม แผลถลอกสด ๆ ที่อยู่บนนั้นทำให้เด็กตัวน้อยสะดุ้ง แต่พอเห็นผู้เป็นแม่มองอยู่ เจ้าตัวแสบก็ตั้งท่าวิ่งหนี

"หยุดอยู่ตรงนั้นแหละธีม" เสียงของปรายฟ้าทำให้ขาเล็ก ๆ หยุดชะงัก "ไปต่อยตีกับใครมาอีกแล้ว"

เด็กตัวน้อยปากแข็งกว่าที่คิด ปิดปากเงียบจนปรายฟ้าอ่อนใจ

มีราที่เห็นธีมมีแผลก็รีบเดินมาถามด้วยความเป็นห่วง "พี่ธีมเจ็บไหม"

"ไม่ต้องมายุ่งน่า" คำตอบนั้นสำหรับมีราและปรายฟ้าผู้เป็นแม่

ชาฮิดเห็นท่าทางของธีมก็เป็นห่วง แล้วพอเห็นน้าน้ำที่ปกติดูใจดีนักหนาหน้าเคร่งขึ้นมาก็รีบเดินเข้ามาขอ "น้าน้ำอย่าตีธีมเลยนะครับ ถ้าจะตี ตีผมแทนแล้วกัน เพราะน้าน้ำฝากให้ดูแลแล้วแต่ผมกลับดูแลไม่ดีเอง"

"อุ๊ยต๊าย...น่าเอ็นดู"คำตอบของเด็กผู้ชายที่สูงที่สุดในกลุ่มทำเอาหญิงสาวอารมณ์ดีขึ้นทันตา

"น้าไม่ตีหรอกจ๊ะ สัญญา" ปรายฟ้าหัวเราะคิก ไม่รู้ว่าอมริตาเลี้ยงลูกแบบไหนถึงได้น่ารักน่าชังแบบนี้ "แต่ชาฮิดดูแลน้องธีมให้น้าได้ไหม อย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นคราวหน้า น้าจะชาฮิดเป็นคนตีธีมแทนหน้า"

ต้นเหตุที่ยืนเงียบอยู่หลังพี่ชายตัวโตส่งเสียงประท้วงขึ้นทันที "แม่อ่า...ไม่ต้องเลยนะ"

"ทำไมยะ"

เด็กชายชวิศโวยวายดังลั่น "แม่พูดยะได้ยังไง แล้วพูดแบบนั้นกับชาฮิดได้ไง ไม่ต้องเลยนะ ไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม ไม่ได้นะ !" ไม่พูดเปล่า ดึงชาฮิดไปซ่อนด้านหลังอีก

โถ...ตัวเท่าเมี่ยง เขาสูงกว่าเธอไหมจ๊ะธีมน้อย

"ไม่ได้นะคะ น้าน้ำห้ามทำพี่ธีมร้องไห้นะคะ" พอเห็นธีมทำท่าจะร้องไห้ มีราก็ชิงปล่อยโฮออกมาก่อนเพื่อน ร้อนถึงพี่คนโตสุดอีกรอบที่ต้องมาปลอบน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองไม่ให้ร้อง

"มีราไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่ดูแลเอง มีราก็อย่าร้องไห้นะ"

"ค่ะพี่"

ไม่เท่าไร เด็กหญิงก็ดูจะสะอื้นน้อยลง มีราเป็นเด็กหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย ลองถ้าเป็นลูกชายตัวแสบของเธอสิ จะมีแบบนี้ไหมล่ะ ดูสิดู ดูเจ้าธีมเสียก่อน ยังมีหน้ายกนิ้วขึ้นมาอุดหู ทั้งที่มีราเป็นคนช่วยตัวเองแท้ ๆ

"ช่วยน้าน้ำนะ เดี๋ยวพี่จะไปดูพี่ธีมให้" ชาฮิดหันไปกำชับกับน้องสาว ปรายฟ้ามองดูเด็กหญิงพยักหย้าหงึก ๆ เชื่อฟังที่พี่ชายสอนทุกอย่าง แปลกแสนแปลกทั้งที่ชาฮิดดูจะเป็นคนใจดีแท้ ไม่ค่อยจะเอ็ดตะโรใครแท้ ๆ แต่กลับกล่อมใครต่อใครได้อยู่หมัด มีราก็หนึ่ง ไหนจะลูกของเธออีก ดูเหมือนจะถูกความใจดีของพี่ชาฮิดทำให้ติดแจไม่ไปไหน ตกดึกก็ร่ำ ๆ ว่าจะเอาพี่ชาฮิดกลับมาบ้านทุกคืนจนปรายฟ้าไม่รู้จะตอบคำถามลูกตัวเองยังไง

"เลี้ยงลูกยังไงกันนะคะ น้ำละนับถือจริง ๆ" เธอส่งเสียงถามอมริตาที่อยู่ใกล้ ๆ

"ทำไมมีเรื่องอีกแล้ว ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะไม่มีเรื่องกับใครอีก พี่โกรธนะ รู้ไหม"

"แทบไม่มีเวลาเลยค่ะ แต่คงเพราะว่าเขาติดพ่อมาก เคยรับปากพ่อไว้ว่าจะดูแลน้องอย่างดี ก็เลยเหมือนจะตั้งใจรักษาสัญญาเอาไว้ให้ได้น่ะค่ะ"

ฟังแล้วปรายฟ้าก็อมยิ้ม มองชาฮิดที่วิ่งตามลูกเธอไปไหนต่อไหนแล้ว "คล้ายกับธีมเลยค่ะ เด็กคนนั้นจริง ๆ แล้วก็รักพ่อมาก"

อมริตาเดินมาสบทบกับปรายฟ้าที่มองดูเด็กชายตัวเล็กสองคนแล้วก็หมาตัวอ้วนปุ้มปุ้ยอีกสองตัวที่วิ่งตาม ๆ กันไปบนทางเดินเล็ก ๆ ในซอยที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คน "เด็กผู้ชายมักติดพ่อน่ะค่ะ เราก็ดูแลเขาไปเท่าที่จะทำได้"

ชาฮิดคว้าชายเสื้อของร่างเล็กที่วิ่งอยู่ตรงหน้า ธีมก็เลิกวิ่งแต่โดยดี เด็กชายสองคนหอบแฮ่ก พร้อมกับลูกสมุนสองชีวิตที่วิ่งตามกันมาเพราะนึกว่ากำลังเล่นไล่จับกัน ลิ้นห้อยกันไปตาม ๆ กัน

"ธีมไม่รู้เหรอว่าพี่เป็นห่วงนะ ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กด้วย เห็นไหม"

ตัวปัญหาเงยหน้ามองชาฮิดแล้วมองสุนัขสองตัวที่นั่งแลบลิื้นแดง ๆ จนเกือบจะถึงพื้นอย่างรู้สึกผิด "ขอโทษครับ"

ชาฮิดจูงมือธีมไปที่เดิมซึ่งทั้งสองเคยมานั่งเล่นกันคราวก่อน พี่ชายดูแผลแล้วทำท่าเจ็บแทน เด็กน้อยดึงผ้าเช็ดหน้าลายโปรดขึ้นมาซ้บแก้มน้องเบา ๆ แล้วหยิบยาที่ติดมือก่อนออกจากร้านมาเปิดฝา "พี่ทายาให้"

"แต่..."

"ไม่ต้องแต่"

"แม่บอกว่าลูกผู้ชายค้องห้ามแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น" ธีมอิดออด "โดยเฉพาะ...คนที่เรารัก"

ชาฮิดฉีกยิ้มกว้างจนธีมก้มหน้าหลบด้วยความเขิน

"แต่พี่อยากให้ธีมร้องไห้กับพี่ เพราะพี่จะได้ดูแลธีมได้ไง"

"ได้เหรอ ?" ดวงตาเล็ก ๆ ของเด็กชายชวิศเป็นประกาย

"ได้สิ เป็นความลับของเราสองคนไง"

สิ้นคำ ธีมก็โผเข้ากอดชาฮิดแล้วร้องไห้โฮจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันกลับมามอง "ชาฮิด...ชาฮิดดดด..."

อุ้งมือเล็ก ๆ ของคนที่ตัวสูงกว่าลูบเบา ๆ ไปบนผมที่ยุ่งเหยิงนั้นก่อนจะสวมกอดคนที่ร้องไห้อยู่จนแนบแน่น "ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้"

"ขอโทษนะ จะไม่ทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว สัญญา"

"โอ๋ ๆ เจ็บไหมเนี่ย"

ธีมสะอื้นจนตัวสั่น "เจ็บมากกก...เจ็บมากเลยยยย...โฮฮฮฮ..."



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



แดดกลางฤดูร้อนส่องสว่างไปทั่วกรุงเทพ ท้องฟ้าใสสะอาด แดดจ้าและร้อนจัดติดต่อกันมาหลายวันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พรุ่งนี้จะเป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุดกว่าทุกปีที่ผ่านมา สายลมเอื่อยโชยพัดมาสะกิดผิว นาน ๆ ทีอาร์มจะได้สัมผัสกับกระแสลมที่ปกติจะพัดอยู่ตลอดเวลาในบริเวณนี้ บ้านของหนึ่งเป็นบ้านเรียกลม เย็นสบายตลอดทั้งปี จะเว้นก็แต่ปีนี้ที่พระอาทิตย์ชนะทุกสิ่ง เรียกว่าสาดแดดแจ๋ทั้งวันกะจะฆ่ากันให้ตาย

ถังขยะยืนหลบแสงแดดอยู่มุมเสาไฟฟ้า อริยะเดินผ่านทางที่คุ้นเคยด้วยแรงเฉื่อย ร้อนจนเหนอะหนะไปทั้งตัว ร้อนจนขี้เกียจ ร้อนจนไม่อยากจะทำอะไร แม่บอกว่าหนึ่งไม่อยู่บ้าน เพิ่งจะออกไปเมื่อกี้

ร้อนแบบนี้จะออกไปไหนกันนะ อริยะได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองแล้วทำหน้าเบื่อ นั่นเท่ากับว่าวันนี้เสียเที่ยวอย่างนั้นสินะ กระจกบนแว่นสะท้อนเป็นแนวรั้วสลับกับกำแพงทาสีขาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่ปลายเท้าทั้งสองข้างจะชะงักงันเมื่อเงาสะท้อนที่อยู่บนสายตานั้นเปลี่ยนไปเป็นภาพของหนึ่ง...กับอีกคนที่คุ้นตา

คุยอะไรกันนะ แล้วทำไมรินถึงมาอยู่ที่นี่ อาร์มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัย เขาควรจะเดินเข้าไปไหม แต่การที่รินมาหาหนึ่งโดยไม่บอกอะไรเลยอาจจะมีธุระส่วนตัวก็ได้มั้ง  เรื่องขี่จักรยานอย่างนั้นเหรอ จะว่าไปแล้วเขาก็ยังไม่ได้บอกเธอเลย คิดดูแล้วอาร์มก็เลือกที่จะยืนหลบอยู่ที่หัวมุมถนน เด็กหนุ่มถอนใจ กระพือเสื้อตรงอกแล้วมองแดดซึ่งลามเลียอยู่ที่รองเท้าผ้าใบทั้งสองข้าง

"ขอโทษนะที่มารบกวนโดยไม่บอกล่วงหน้า" เสียงเล็ก ๆ ของรินดังขึ้นในความเงียบ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังทำหน้ายังไง

"ไม่เป็นไรหรอก แต่รู้จักบ้านเราด้วยเหรอ" หนึ่งตอบ ยิ้มน้อย ๆ ให้คนที่นั่งอยู่เคียงข้าง "มีธุระอะไรน่ะ เรื่องทริปจักรยานหรือเปล่า ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เราคงไปไม่ได้ เราถีบจักรยานไม่เป็นน่ะ ขอบคุณนะที่ชวน"

"อย่างนั้นเหรอ" เสียงของระรินดูเจื่อนลงจนรู้สึกได้ เธอเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "หนึ่งดูสนิทกับอาร์มมากเลยนะ แต่เราสองคนก็อยู่เอกเดียวกัน เรียนด้วยกันหลายวิชา กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันเลย"

พิธานนิ่งเหมือนจมอยู่กับความคิดตัวเอง พูดทุกคำออกมาอย่างยากลำบาก "ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานแล้วน่ะ"

"นั่นสินะ เป็นเพื่อนกันก็เลยสนิทกัน" ระรินมองจ้อง ดวงตาคู่นั้นบอกอะไรมากกว่าสิ่งที่เธอพูด "รินคิดมาตลอดเลยนะว่าหนึ่งเป็นคนดีนะ เรียนก็เก่ง สอบได้คะแนนสูง ๆ เกือบทุกวิชา แล้วก็หน้าตาก็ดีด้วย"

"สู้อาร์มไม่ได้หรอก" หนึ่งก้มหน้าลง หัวเราะน้อย ๆ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ตรงนี้ รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะสดใสก็ช่างตามมาหลอกหลอนกันให้เจ็บปวด "มีอะไรหรือเปล่าริน พูดมาตรง ๆ เถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก"

"ขอโทษค่ะ" เสียงนั้นเบาแผ่ว แต่เน้นความหมายในทุกพยางค์กว่าทุกครั้ง

"หนึ่งมีคนที่ชอบอยู่หรือเปล่า"

ฝ่ามือทั้งสองข้างของหนึ่งรวบเข้าหาตัวเองโดยไม่รู้ตัว เล็บทั้งห้าฝังลงที่กลางมือจนขึ้นรอยแดง "เรื่องนั้น...จะไปมีได้ยังไงกัน"

ผู้หญิงเนี่ย ทำไมถึงชอบทำอะไรแบบนี้นักนะ อาร์มบ่นกับตัวเองแบบนั้น ร่างสูงเอนหลังพิงกำแพงแล้วถอนใจเหนื่อย ยิ้มเบื่อ ๆ ให้กับตัวเอง

ระรินเงียบไปนาน เหมือนถ้อยคำมากมายในใจนั้นกำลังกร่อนลงในร่างเล็กที่ไหวสะท้านน้อย ๆ นั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างเชื่องเช้า ช้าจนระรินได้ยินเสียงหัวใจเต้นจนนับครั้งได้ เด็กสาวตั้งสติ พร่ำบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างกำลังจะเข้าที่ทางแบบที่มันควรจะเป็น

"ถ้าอย่างนั้น คบกับเราได้ไหม"

พูดจบแล้วก็ก็ก้มหน้างุด เส้นเลือดเล็ก ๆ บนสองแก้มย้อมผิวขาวจนปลั่งสีฝาดเลือด ระรินดูลนลาน ทำอะไรไม่ถูก มือไม้ดูจะอยู่ผิดที่ผิดทางไปหมด "เอ่อ...ขอโทษนะ มันดูแย่ใช่ไหม ขอโทษนะ จะถือว่าไม่เคยได้ยินก็ได้"

อาร์มยืนอึ้ง ร่างกายเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหัน พอ ๆ กับความรู้สึกหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ

"เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น แต่รินคบอยู่กับอาร์มไม่ใช่เหรอ"

ระรินตอบ "ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้น เป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ"

"นั่นเพราะว่าอาร์มสนิทกับหนึ่งต่างหาก เพราะเราไม่กล้าที่จะคุยหรือพูดอะไรกับหนึ่งตรง ๆ เราก็เลย..." เด็กสาวละล่ำละลัก "เรื่องแบบนี้ผู้หญิงพูดมันดูไม่ดีไม่ใช่เหรอ"

แขนขาไร้กำลังจะทรงตัว อาร์มทรุดขาลงนั่งกับพื้น เขาหายใจแรง นึกโมโหที่ทุกอย่างลงเอยแบบนี้

ผู้หญิงน่ะขี้โกง ทั้งที่เป็นเขาไม่ใช่หรือที่สมควรจะพูดแบบนั้นกับหนึ่งมากกว่า ทั้งที่เขาใช้เวลากับเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ เรื่องที่ดี ๆ เรื่องที่แย่ ๆ ทั้งที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอะไรด้วยกันตั้งมากมาย สั่งสมความรู้สึกทีละเล็กทีละน้อยทุก ๆ วัน และทำแบบนี้ทุกวันโดยไม่มีขาด เธอรู้หรือเปล่าว่าหนึ่งมีความสุขกับเรื่องอะไร ชอบฟังเพลงไหน ชอบกินอะไร ชอบทำอะไร เธอไม่รู้อะไรเลย เธอไม่รู้เลย

ขี้โกง ! ขี้โกงชัด ๆ ! ทั้งที่อยากจะพูดคำ ๆ นี้มาตั้งนานแสนนาน แต่ก็ทำไม่ได้ แต่ผู้หญิงเนี่ย...เพราะว่าเป็นผู้หญิงถึงพูดเรื่องแบบนั้นกับหนึ่งได้ง่าย ๆ แค่เพราะว่าเธอไม่ใช่ผู้ชายเหมือนกันแค่นั้นเอง ทั้งที่ตั้งใจจะกันให้ห่างแท้ ๆ ทั้งที่ทำทุกอย่างแล้วแท้ ๆ

บ้า...บ้าจริง มันคงจบลงแล้วสินะ

"ไม่จริงน่า" หนึ่งพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เชื่อหู

"ถ้าหนึ่งไม่มีใคร รินก็อยากจะลองเสี่ยงดู กว่าจะถึงวันนี้ ต้องรวบรวมความกล้ามาก ๆ เลย แต่ถ้าช้าไปกว่านี้ รินก็กลัวว่าหนึ่งจะชอบใคร"

"นี่มันงงไปหมดแล้ว เรื่องจริงหรือล้อกันเล่นเนี่ย" และยังคงพูดกับตัวเองเหมือนสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นไม่ใช่เรื่องจริง "เอ่อ...คือ...ขอโทษที มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย"

เขาเคยชอบแอบมองระริน เธอเป็นผู้หญิงที่สวย ทว่าในแต่ละวัน คนที่ดึงความสนใจไปเกือบทั้งหมดคืออาร์ม ตัวติดกัน ไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด จากคำว่าเพื่อน ความรู้สึกดี ๆ มันไปไกลมากมายกว่านั้นจนต้องทนเจ็บเก็บเอาไว้แบบนี้ พอได้มายินอย่างนี้ มันทำให้เขางงจนทำอะไรไม่ถูก

หนึ่งตั้งสติ พยายามรวบรวมความคิดที่ระเนระนาดของตัวเองประกอบขึ้นมาเป็นชิ้นส่วนอีกครั้ง

"ขอบคุณมากนะริน แต่เราต้องขอโทษจริง ๆ อย่าโกรธกันเลยนะ ยังไงก็ไม่ได้หรอก ยังไงก็เป็นไปไม่ได้จริง ๆ" หมัดทั้งสองข้างกำจนแน่นเหมือนไม่รู้เจ็บปวด "อาร์มรักรินมากนะ"

รอยยิ้มเฝื่อนของระรินฝาดไปด้วยความปวดร้าว คำตอบที่ค้างคาอยู่ในใจมานานนั้นชัดเจนพอแล้วที่จะยอมรับกับความเป็นจริง เด็กสาวลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน แต่ก็แข็งแรงพอที่จะทรงตัวอยู่บนปลายเท้าทั้งสองข้าง

"ขอโทษนะ" พิธานเอ่ยซ้ำ ๆ

ดวงหน้าที่พยักเบา ๆ นั้นคล้ายกับเป็นการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างโดยดี ระรินเดินกลับไปที่ที่เธอมาอย่างเชื่องช้า แต่ละก้าวไม่ได้ง่ายนัก กระนั้นก็ไม่ยากเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบเธอจะทำได้ "รินมีเรื่องอยากจะขอร้องได้ไหม อย่าจับเราไปคู่กับใครเลยนะ ได้ไหม ?"

"ได้สิ เรารับปาก"

"หนึ่ง..." เสียงหวานนั้นแผ่วเหมือนจะละลายไปในแสงแดดฤดูร้อน

"ไม่รู้จริง ๆ น่ะเหรอว่าคนที่อาร์มรักเป็นใคร"

ระรินเดินจากไปแล้ว แต่หนึ่งยังคงนิ่งขึงอยู่กับที่ หัวสมองจับเรียงระบบความคิดที่ทะลักทลายเข้ามาอย่างรวดเร็วกว่าจะเข้าใจและจัดการได้ คำถามประเภทที่ว่าเป็นไปได้รึ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน นับจากนี้ทุกอย่างจะเป็นอย่างไร ต่างรุมเร้ารอบตัวจนทำอะไรไม่ถูก

พระอาทิตย์เปล่งแสงเข้มข้นกว่าทุกวัน ความร้อนนั้นแทงทะลุผ่านชั้นผิวหนัง ซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไหลเข้าสู่หัวใจ กล้ามเนื้อที่เล็กเท่ากำปั้นกำลังเต้นแรงเหมือนจะระเบิด มันไม่ได้เจ็บปวดทรมาน ความร้อนที่มากับคำถามสั้น ๆ นั้นแค่เคาะประตูสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่แอบซ่อนในเงามืด จูงมือให้เดินออกมายืหยัดตรงที่ควรอยู่ จับมือให้กางแขนออก และขยับปากให้ฉีกยิ้มกว้างที่สุด...เพื่อรับแสงแดดของฤดูร้อนที่ร้อนกว่าทุกปี

หนึ่งเดินผ่านหัวมุมถนนด้วยปลายเท้าที่เหมือนก้าวย่างอยู่บนเมฆ ไม่รู้เลยว่าไม่กี่นาทีก่อน มีใครคนหนึ่งนั่งมองเขาจากมุมเล็ก ๆ ตรงนี้



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ตรีเดินตัวปลิวออกมาจากฉากพร้อมกับเสียงปรบมือตามมารยาทของทีมงาน พอไม่มีดนัยแล้ว ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิมแบบที่เคยเป็๋นมา ก่อนหน้านี้ ในแต่ละวันเขาก็แค่มาทำงาน อ่านข่าวไปตามสคริปต์ รายการประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรเลย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อะไรมากมาย อาศัยแค่เป็นคนพูดเก่ง คุ้นกล้อง อ่านภาษาไทยแตกฉาน แล้วจากนั้นก็พูดไปตามเทปข่าวที่ทีมงานเตรียมไว้ หรือไม่ก็ตามที่หนังสือพิมพ์เขียน ใส่ความคิดเห็นอะไรไปแบบชาวบ้าน ๆ กลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ของคนดูรายการประเภทนี้คือคนที่ขี้เกียจจะอ่านหนังสือพิมพ์เอง หรือไม่ก็คนที่ว่างไม่มีอะไรจะดู น่าเศร้าที่รายการประเภทนี้ดูจะเป็นที่นิยมมากขึ้นในโลกปัจจุบันนี้ ทั้งที่รายการจำพวกนี้อักแน่นไปด้วยสปอนเซอร์เกือบทั้งรายการ สาระที่ได้ไปเรียกว่าน้อยจนแทบจะไม่มี

ในตอนนั้นที่เข้ามาคัดเลือก ด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ พูดภาษาอังกฤษฉะฉาน แถมจบมาด้านการวิเคราะห์ตลาดโดยตรงทำให้ผู้ใหญ่ยัดตรีลงมาที่รายการเล่าข่าวที่ใคร ๆ ก็อยากมานั่งตรงนี้

แต่ไม่ใช่ตรี พงษ์พิพัฒน์

เพราะตรี พงษ์พิพัฒน์ไม่ใช่แค่ใคร ๆ คุณพ่อบอกมาเสมอว่าลูกเป็นคนพิเศษ และตรีก็จำคนนั้นได้ขึ้นใจ เวลาไปทานอาหาร เขาไม่เคยสั่งแบบธรรมดา คำว่าธรรมดาถือเป็นของแสลงหูสำหรับตรีกว่าที่ใครจะคาดคิด

"พี่โอนเปอร์เซ็นต์ค่าสปอนเซอร์ให้น้องตรีแล้วนะคะ" ดาน่าส่งข้อความมาทางไลน์

"น้องตรีรอก่อนนะคะ อย่าเพิ่งกลับ"

ตรีแค่เปิดอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับเพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญ สำหรับการทำงานตรงนี้ คนอื่นอาจจะหวังรายได้เงินทองที่ได้รับเป็นเปอร์เซ็นต์จากเหล่าสปอนเซอร์ตลอดทุกช่วงโฆษณาและทุกวัน แต่ไม่ใช่ตรี เพราะว่าตรีรวยมาก

ย้ำอีกครั้งว่า...รวยมาก

ดังนั้นความใฝ่ฝันของตรีจึงไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เป็นการที่จะได้เป็นพิธีกรรายการประเภทวาไรตี้ เน้นความหลากหลาย ความพิเศษ แบบที่ไม่มีในวงการโทรทัศน์ประเทศไทยจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ตรีไม่ชอบใจนักที่ผู้ใหญ่คิดจะมาถอดตัวเองออกจากรายการที่ทำอยู่ ถ้าเบื่อแล้ว เขาจะลาออกเอง ไม่ใช่ให้มากดดันกันแบบนี้

"หมดทุกข์หมดโศกแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมทำหน้าเหมือนกับตกนรก" เสียงคุ้นหูดังขึ้น และโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง เจ้าตัวก็นั่งจ่อมลงข้าง ๆ เขา

ตรีมองคนตัวสูงที่นั่งหน้าเฉย ด้วยความรู้สึกกรุ่นนิด ๆ "วันนี้ไม่มีอัดของคุณ โผล่มาทำไม"

"คุณดาน่าบอกว่ามีเอกสารที่ต้องจัดการนิดหน่อย เลยให้ผมมาที่นี่" ดนัยตอบ

"แล้วคุณไม่ไปจัดการล่ะ"

เจ้าตัวยักไหล่ทำนองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เฉไฉไปพูดอีกเรื่อง "วันนี้เขามีปาร์ตี้กัน คุณจะไปด้วยไหม"

โดยไม่ต้องคิด "ผมจะไปเฉพาะ Exclusive Party เท่านั้น"

ดนัยขมวดคิ้ว มันต่างกันก็แค่วิธีเรียกให้ดูดีขึ้นในบัตรเชิญไม่ใช่หรือ หากแต่ความรู้จักคนที่นั่งชูคอมาพอสมควร ชายหนุ่มจึงตอบไปแบบให้มันจบ ๆ "แน่นอนว่ามันพิเศษ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เทปนั้น ไจแอนท์โคลาได้รับผลตอบรับที่ดีมากจนน่าตกใจ แม้แต่รายการของคุณเรตติ้งก็สูงสุดเท่าที่เคยมีมาเลยไม่ใช่หรือ"

แทนที่จะฟังแล้วรู้สึกหน้าบานเป็นดอกทานตะวันแบบที่ดนัยคิด ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับทำหน้าเป็นจวักใส่เขา

"กำลังงอนผมอยู่หรือเปล่า"

เมื่ออีกฝ่ายเปิดช่องให้ พิธีกรหนุ่มก็หันไปปาระเบิดใส่ทันที "จำที่คุณทำไว้ไม่ได้หรือไง เมื่อวานคุณทำผมแสบมาก คิดว่ามาร์ก จาคอบจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องเห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองออกแบบมาเป็นอย่างดีเลอะเทอะไปหมดแบบนั้น"

"ก็คงดีใจ เพราะเดี๋ยวก็คงจะขายเสื้อตัวใหม่ได้อีกตัวสองตัว"

ตรีหยิกเข้าที่ต้นแขนไปหนึ่งดอกเน้นๆ แต่เขาไม่รู้สึก จนคนหยิกต้องค้อนกลับตาเหลือก "นี่ไม่ตลกนะ คุณรู้อะไรไหม ไม่ว่าจะที่โรงเรียนโยคะ ที่สปา ซูเปอร์มาร์เก็ต เดินไปที่ไหนคนยิ้มให้ผมทั้งเมือง"

"คนยิ้มให้ก็โกรธเหรอ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์อ้าปากพะงาบ เผลอมองรอยยิ้มตรงหน้าอย่าลืมตัว ไปต่อไม่ถูก

เห็นอีกฝ่ายไม่ว่าอะไร ซ้ำยังดูจะเขินด้วยซ้ำ เจ้าของรอยยิ้มชวนมองจึงแจกต่อแบบไม่ใคร่หวง

"ยิ้มอะไร" พิธีกรหนุ่มแกล้งกลบเกลื่อน เขม่นตาใส่

"ดูว่าคุณจะโกรธผมไหม"


(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 02-07-2014 20:27:17
(ต่อครับ)




"โกรธมาก" ตรีเชิดหน้าตอบทันควัน

อันที่จริง พิธีกรหนุ่มรู้สึกเฉย ๆ แต่เป็นเพราะตรีเกลียดคำว่า...เฉย ๆ ธรรมดา โลกนี้มีความธรรมดามากไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องตอบว่าโกรธ แน่นอนว่าต้องโกรธมาก จะเป็นโกรธเฉย ๆ หรือโกรธธรรมดาไม่ได้ แต่เล็กแต่น้อยที่บ้านบอกไว้ว่ามีอะไรต้องมากเอาไว้ก่อน อย่าให้คนเขาว่าได้

"เหรอ ?" ดนัยถามอารมณ์ดี

"นี่คุณประสาทหรือไง นั่งยิ้มอยู่ได้"

คราวนี้รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ถึงกับเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ

"ผมตาฝาดหรือเปล่า" เขาถาม ก่อนจะเลื่อนหน้ามาใกล้ "แก้มคุณแดงนะ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ร้องแหว "นั่นเป็นคำถามที่คุณควรไปถามช่างแต่งหน้า เขาแต่งเพื่อให้ขึ้นกล้อง อีกอย่าง คุณควรจะรู้ว่าหลังจากกระตุ้นจักระแล้ว ผิวจะมีสุขภาพดี เปล่งปลั่งมาก"

"เพชรที่ว่านั่นเอง" ดนัยหลิ่วตามอง "ก็นึกว่ากำลังเขินอะไร"

คนแก้มแดงหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม (แม้จะอยู่ในสตูดิโอก็ตาม) สาบานต่อมาดามโคโค่ ชาแนล และโนโนแกรมตัว C ไขว้ก็ได้ นี่ไม่ได้โกหกเลยสักนิด บอกเลย !

เสีบงผิวปากอารมณ์ดีข้างหูช่างน่ารำคาญ ตรีจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมอย่างเสียไม่ได้ ต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าดาน่าจะจัดการธุระแล้วเดินมาคุยเรื่องที่บอกให้รอเสียที ทิ้งระยะไปสักพัก ร่างของหญิงสาวผมฟูก็โผล่ขึ้นตรงหน้า

"น้องตรีคะ วันนี้เราไปปาร์ตี้กันนะคะ เป็นปาร์ตี้ธรรมดา ๆ กันเองในหมู่ทีมงานนี่แหละค่ะ ไปเลี้ยงฉลองความสำเร็จของเทปที่แล้วกันนะ"

"ปาร์ตี้ธรรมดา !" ตรีแทบกรีดร้อง "โอ้...ไม่ ! นี่มันหยาบคายมาก ! บอกทีว่ามันเป็นเรื่องล้อกันเล่น ไม่ใช่เรื่องจริง"

เห็นได้ชัดว่าครีเอทีฟสาวเหวอไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติได้ "ไม่ใช่ค่าาา...ไม่ธรรมดาต่างหาก ตั้งใจจะเซอร์ไพรซ์ แต่ไหน ๆ ก็ปิดไม่มิดแล้วก็บอกกันตามตรงแล้วกันนะคะ ว่ามันเป็น exclusively เฉพาะคนพิเศษเท่านั้น"

ดนัยทึ่งในความเนียนของดาน่า เข้าใจแล้วว่าเธอพริ้วได้ขนาดนี้เพราะฝึกฝีมือมากับใคร

หน้าของตรี พงษ์พิพัฒน์มีสีขึ้น อาการเสียขวัญบรรเทาลงได้อย่างรวดเร็ว "Dress Code ล่ะ Concept อะไร Theme อะไร"

พริ้วแค่ไหนแต่ก็ไปไม่รอด เจอต้อนแบบนี้เล่นเอาเธอเหวอ ไปต่อไปถูก ดาน่าหันมามองที่ดนัย ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

"เขาจะไปครับ" ดนัยเคาะปลายนิ้วกับคาง พูดอย่างไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ถือว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากทีมงานทั้งทีมเสร็จสิ้นแล้ว ดาน่าก็แจ้นออกไปโดยไม่คิดจะอยู่ฟังต่อว่าเหตุการณ์นับจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แน่นอนว่าตรี พงษ์พิพัฒน์ย่อมไม่ยอมเสียแวลาแน่ ๆ คนที่ตอบรับคำแทนจึงนับหนึ่งถึงสามรอ

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด

"ไม่นะคุณนัท ผมไม่ชอบความธรรมดา" เสียงเล็กเสียงน้อยตัดพ้อต่อว่าเต็มที่ ไม่เห็นจะเหมือนเสียงทุ้มแบบที่ใช้พูดในรายการสักนิด

"อย่าให้ทีมงานต้องลำบากใจไปมากกว่านี้เลย"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ทำท่าเหมือนไม่อยากจะเชื่อหู "แต่ชีวิตผมไม่เคยเจอกับความลำบาก ให้คนอื่นลำบากไปเถอะ เขาชินกันแล้ว"

"คุณลำบากใจตรงไหน"

"มันธรรมดา ผมไม่ถูกโฉลกกับคำพวกนั้นคุณนัทก็น่าจะรู้" เจ้าตัวอธิบายอย่างเคร่งเครียด

ดนัยอมยิ้ม ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะหันไปมอบคลี่ออกให้กับคนที่นั่งทุกข์ร้อนจะเป็นจะตาย "แต่คุณเป็นคนพิเศษไม่ใช่หรือ ทุกที่ที่คุณไปมันกลายเป็นที่พิเศษหมดแหละ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ดึงแว่นกันแดดออกทันที พระอาทิตย์กำลังสาดแสงแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา หรือต่อให้มีพระอาทิตย์สักร้อยดวงมาจ่ออยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ประด็นอีกต่อไป ตรี พงษ์พิพัฒน์คือความพิเศษ ไม่เหมือนใคร และไม่มีใคร(กล้า)เลียนแบบให้เหมือนได้

"อย่าคิดว่าผมจะดีใจนะ" คนพิเศษยิ้มหน้าบานเป็นกระทะหอยทอด "คุณรู้ใช่ไหมว่าหน้าร้อนปีนี้ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีเพราะใคร"

"ไว้คุณเอาไปถามในรายการให้คนดูเขา SMS มาตอบแล้วกัน"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ตาวาว "คุณก็คิดว่ามันเป็นคำถามที่ใช่ได้สินะ"

ดนัยยิ้มนิด ๆ ตอนลุกขึ้น เขาคว้าข้อมือของคนที่เปล่งประกายแข่งกับสปอตไลต์ทุกดวงในสตูดิโอ "เพื่อใม่ให้ผมต้องเสียกับที่รับปากไป จอดรถคุณไว้ที่นี่ ส่วนคุณไปรถผม"

ตรี พงษ์พิพัฒน์รั้งแขนตัวเองเอาไว้อย่างไว้เชิง "ขอเตือนไว้ก่อน ถ้าคุณดูหมอง จะมาโทษกันไม่ได้นะ"

ดนัยยักคิ้วข้างหนึ่งให้กับเจ้าของมือที่กุมอยู่ "ถึงตอนนั้นผมจะโทษตัวเอง"

สัมผัสที่ค่อย ๆ บีบแน่นเข้ามาระหว่างช่องนิ้วแต่ละช่องบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้สึกกับสิ่งที่ได้ยินแค่ไหน



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



อากาศร้อนทำให้คนเป็นบ้า ใครต่อใครคงจะพูดแบบนั้นกับเขาแน่ ๆ ท่านกลางไอระอุของฤดูร้อน เด็กหนุ่มเหมือนตกอยู่ท่ามกลางความฝันหลากสีสัน คล้ายว่ากรุงเทพที่เป็นเตาเผาขนาดใหญ่นั้นกลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศอ่อนหวานน่ารัก จนอดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มให้กับต้นไม้ใบหญ้าหมาแมว กระทั่งเสาไฟฟ้ามีมีสายระโยงระยางห้อยไปมาแบบนั้น หนึ่งเดินกลับบ้าน ทุกอย่างยังเหมือนตอนที่ออกมาไม่ผิด จะต่างก็แค่ความรู้สึกของเขานั่นแหละที่รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังฟูฟ่องด้วยบรรยากาศสีชมพู

"กลับมาแล้วเหรอลูก แล้วได้เจอกับอาร์มไหม" หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมาจากรายการประเภทอาหารที่ครองพื้นแทบทุกช่องบนหน้าจอในช่วงเวลาแบบนี้ "ทำหน้างงอะไรจ๊ะ ไม่ได้เจอกันหรอกเหรอ"

"อาร์มมาที่บ้านเหรอแม่"

"หลังจากที่ลูกออกไปนิดเดียวนั่นแแหละ คลาดกันนิดเดียวเอง" คำตอบที่ได้ยินทำให้หนึ่งไม่สบายใจเลย

หนึ่งตัดสินใจออกไปบ้านของอาร์ม ข้ออ้างดูจะไม่จำเป็นนัก เพราะรู้ดีว่าเด็กสองคนมักจะไปมาหาสู่กับแบบนี้อยู่เสมอ อันที่จริงก็คงต้องบอกว่าเป็นกิจวัตรประจำวันจนชินชาไปแล้ว บ้านของอาร์มอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านของหนึ่ง ต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปหลายสถานี แต่เมื่อลงมาจากสถานนีแล้วก็สามารถเดินได้ ไม่จำเป็นต้องต่อมอเตอร์ไซค์เข้าซอยลึกแบบบ้านเขา หลายปีที่ผ่านมา หนึ่งมาที่นี่จนชิน แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะรู้สึกแบบนี้

อาร์มเปิดประตูบ้านต้อนรับ สวมเสื้อโปโลกับกางเกงยีนแบบที่มักจะสวมเวลาออกไปนอกบ้าน

สบตากันสักพัก อาร์มก็ทักขึ้น "ไง"

"มาที่บ้านแล้่วทำไมไม่รอเจอก่อนล่ะ"

"ก็พอดีติดธุระ" สีหน้าของอาร์มดูเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ "เข้ามาไหม"

เจ้าของบ้านมุ่ยหน้าแล้วเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องแบบทุกที

"ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย อย่างกับคนท้องผูก" หนึ่งถาม แต่อีกฝ่ายดูจะปากแข็งกว่าที่คิด ท่าจะง้างปากกันไม่ได้ง่าย ๆ แน่ "เมื่อกี้รินมาหาที่บ้านแหละ แปลกใจมากเลยที่รู้จักบ้านด้วย"

"เหรอ" อาร์มรับคำสั้น ๆ ตอนที่เปลี่ยนเป็นเสื้อยืด เดินมานั่งบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ที่แปลกใจมากกว่าคือตอนที่รินบอกว่าขอคบเพราะชอบเรา อืม...จะว่าไปก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าพูดประมาณไหน แต่ก็ทำนองนี้แหละ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าอาร์มไม่ได้เป็นแฟนกับริน ไม่บอกกันสักคำเลยนะ ปล่อยให้ที่ผ่านมาเข้าใจผิดมาตลอดเลย"

รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าของคนสวมแว่นแบบทุกครั้ง ดูเป็นปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากหลายปีที่ผ่านมา "แหม...ยินดีด้วยนะ ตอบตกลงไปแล้วใช่ไหม"

"อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง" พิธานพูดเสียงแข็ง แล้วเดินไปล้มตัวลงบนเตียงที่ตั้งอยู่มุมห้อง นิ้วชี้เอื้อมไปเกี่ยวด้ายสีแดงที่มองไม่เห็นแล้วยิ้มให้กับความทรงจำนับตั้งแต่ปลายฤดูร้อนปีนั้นที่ได้รู้จักกัน "ฉันนะ ที่ผ่านมาเอาแต่คิดว่ากลางวันจะไปกินข้าวด้วยกัน ตอนเรียนก็ต้องรีบไปจองที่ให้ ตอนเย็นก็รอกลับบ้านพร้อมกัน ใกล้สอบก็ช่วยกันติวหนังสือ เป็นแบบนี้ทุก ๆ วันมาตั้งหลายปีจนเหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แล้วพอวันหนึ่งนายก็หันไปทำเรื่องพวกนั้นกับริน คิดว่าฉันจะรู้สึกยังไง กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่นายปล่อยให็ฉันรอ"

คิ้วเข้มของอริยะขมวดจนยุ่งเหยิง "ก็มาหาทุกครั้งนะ อยู่ด้วยกันทุกวัน ข้าวก็ยังได้กินด้วยกัน ก่อนนอนก็โทรหาทุกคืนนะเว้ย ฉันน่ะอยู่กับนายมากกว่าใคร นายเองก็อยู่กับฉันมากกว่าใครด้วยซ้ำ !"

พออีกฝ่ายขึ้นเสียง อารมณ์โรแมนติกก็ถูกแทนที่ด้วยความโมโห "อย่ามาเถียงกันสิเฟ้ย มีความผิดอยู่หลายคดีนะ !"

"อ๋อเหรอ ? ไม่เห็นรู้เรื่องเลย" อาร์มยกนิ้วชี้แคะหู ทำหน้าซื่อ ไม่รู้ไม่ชี้

รักคนแบบนี้ไปได้ยังไงว้า หนึ่งฟึดฟัดกับตัวเอง "เดี๋ยวก็ต่อยซะหรอก ทั้งที่ฉันรอนายมาตลอด คิดถึงนายตลอด ทำอะไรก็เพื่อนายตลอด แล้วถือดียังไงให้รินมาแทนที่ฉัน"

"อะไร" คนปากแข็งยังทำโยเย

"นายน่ะ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นจุดสนใจของคนตลอด เวลาที่เห็นนายอี๋อ๋อกับใคร พูดคะ ๆ ขา ๆ เคยคิดไหมว่าฉันรู้สึกยังไง แล้วทั้งที่เราสองคนสนิทกันมากกว่าใครแท้ ๆ เวลาคิดอะไร หรือมีอะไรในใจ ทำไมไม่บอกกันตรง ๆ ไม่ไว้ใจฉันหรือยังไง"

"อี๋อ๋ออะไร พูดอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง"

หนึ่งถอนหายใจกับคนทำท่ากวนโอ๊ยตรงหน้า "ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงถึงบอกให้ถาม เพราะเป็นคนแบบนี้ ไม่เคยรู้เรื่องอะไรสักอย่าง รู้สึกช้าตลอด ที่ผ่านมา ฉันรักนายจนแทบคลั่ง แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ แล้วยังไง เคยรู้ เคยเอะใจอะไรไหม ยังจะไประริกระรี้กับรินหน้าระรื่น แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง ต่อให้รักแค่ไหนแล้วยังไง ฉันจะพูดอะไรกับนายได้วะ !"

อาร์มเบิกตาโพลง อ้าปากพะงาบ

"เพื่อนชอบเพื่อนมันก็ไม่เท่าไหร่หรอกนะโว้ย แต่เพื่อนที่ยังเป็นผู้ชายเหมือนกันมันก็ยากนะ แล้วนี่จะให้ไปบอกรักกับเพื่อนที่เป็นผู้ชายที่คิดมาตลอดว่ามันคบกับแฟนอยู่ด้วยนี่ไม่คิดว่ามันโหดไปหน่อยเหรอวะ ต่อให้หน้าสนิทแค่ไหนแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ เฮ่ย...เดี๋ยวสิ อาร์ม...นายเป็นอะไร"

อีกฝ่ายยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วก้มงุดก็รีบลุกขึ้นมามองด้วยความเป็นห่วง หนึ่งเอื้อมมือออกไปดึงข้อแขนของอาร์มให้คลายออก ยื้กสักพักกว่าจะดึงออกมาได้ แต่ทันทีที่นิ้วมือทั้งสิบเลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม หนึ่งก็เผลอปล่อยมือด้วยความตกใจ หัวใจเต้นตึกตึกจนทำอะไรไม่ถูก

"ทำไม...หน้าแก...แดงแบบนี้"

"ดีใจ...ดีใจจัง...มันพูดไม่ออกเลย ดีใจสุด ๆ" อาร์มไม่ปิดหน้าแล้ว คราวนี้นั่งจ้องหน้าของหนึ่งแบบไม่วางตา สายตาแบบนั้น...เล่นเอาทำอะไรไม่ถูก "ก่อนหน้านี้ ฉันได้แค่คิดว่าตัวเองไม่มีหวังซะแล้ว ฉันที่แอบมองนายมาตั้งแต่ปีหนึ่งดูยังไงก็ไม่รู้สึกว่านายเปลี่ยนไปเลย"

"เดี๋ยว ! ปีหนึ่งเลยเรอะ !" หนึ่งร้องเสียงหลง

คราวนี้ อาร์มทำท่าจะร้องไห้เอาเสียแล้ว "ใช่ ตั้งแต่วันแรกพบด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นหนึ่งครั้งแรก หนึ่ง...นายน่ารักสุด ๆ นายคงจำไม่ได้ คงลืมไปแล้ว ตอนนั้นที่กำลังหลงทาง นายเป็นคนที่บอกทางมาคณะกับเรานะ จนรู้สึกว่าโชคดีที่ได้อยู่คณะเดียวกัน ในตอนที่รับน้อง เราถึงเดินไปนั่งข้าง ๆ นายไง แอบจับมือตั้งหลายครั้ง ได้กอดกันด้วย"

"อะไรของแกเนี่ย"

รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้หนึ่งค่อย ๆ ถอยกรูไปชิดผนัง ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า อาร์มโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว กอดเต็มรัก แล้วฝังหน้าลงแนบกับหน้าอกของเขา ดันเท่าไรก็ดันไม่ออก แรงของไอ้บ้านี่ดูจะเยอะกว่าเขาหลายเท่าตัว

"ขอฟังหน่อย ขอฟังหน่อยนะ ฟังหน่อย ขอฟังหน่อย" อาร์มซุกไซ้ไปบนหน้าอกจนหนึ่งทำอะไรไม่ถูก

"อาร์ม" หนึ่งพยายามดัน แต่ก็เหมือนจะเปล่าประโยชน์ สุดท้ายก็เลยปล่อยเลยตามเลย

ใบหูของอริยะแนบลงเหนือหน้าอกด้านซ้ายของอีกคน จากมุมที่มองเห็น ใบหน้าของอาร์มเหมือนกับรับแสงของพระอาทิตย์ตอนกำลังจะลับไปจากของฟ้า ระเรื่อเป็นสีอุ่น ๆ จนทำให้หนึ่งทำอะไรไม่ถูก สองแขนที่ตระกองกอดและล็อคเอาไว้ไม่ให้ไปไหน พอทุกอย่างมั่นคงเสถียร วงแขนนั้นให้อุ่นจนเหมือนจะละลายทั่วทั้งตัวของพิธานได้ด้วยความสุข

"ได้ยินแล้ว เสียงหัวใจของหนึ่ง หัวใจเรา...เต้นแรง...เหมือนกันเลย"

อาร์มกอดแน่นขึ้น "ดีใจจัง"

โดยทฤษฎีแล้วมันควรจะเป็นการสารภาพรักกันที่ดีกว่านี้ หากว่าในทางปฏิบัติกลับดูงี่เง่า และห่างไกลจากคำว่าโรแมนติกไปไกลแสนไกล ถึงแบบนั้นมันก็ทำให้คนที่ได้ยินยิ้มเหมือนคนละเมอ

"ไอ้บ้า"

"ดีใจจริง ๆ นะ"

"หุบปากไปเลย" หนึ่งด่า มะเหงกเขกหัวคนที่กอดอยู่คาอกไปหนึ่งโป๊ก

"รักหนึ่งนะครับ"

"หยุดพูดไปเลย" และอีกหนึ่งโป๊ก

"รักหนึ่งนะ"

"อาร์ม"

"รักนะ รักหนึ่งนะครับ เป็นแฟนกันนะหนึ่ง เป็นแฟนกับอาร์มนะครับ"

"ไอ้บ้า บอกให้หุบปาก" คราวนี้มะเหงกของหนึ่งเขกลงบนกระหม่อมของอีกฝ่ายรัว ๆ แต่มะเหงกดูจะยังไม่สาแก่ใจ พิธานจึงเปลี่ยนมาใช้ทั้งสองมือขยุ้มขยี้ ทึ้งผมอีกฝ่ายจนยุ่งเหยิง

"นะครับ นะ...นะ...เป็นแฟนกันนะ"

"กอดอยู่ได้ร้อนจะตายแล้วนะ"

"ไม่ปล่อย ไม่ปล่อยหรอก ยังไงก็ไม่ปล่อย" ให้ตายสิ เรื่องความดื้อด้าน อย่าคิดว่าจะมีใครเหนือกว่าคนคนนี้

"ปล่อยน่า"

"ดีใจจริง ๆ นะเว้ย เป็นแฟนกันนะ" เสียงของอาร์มตะโกนดังไปสามบ้านแปดบ้าน

"จะรัดกันให้ตายไปเลยหรือไง" สองมือของหนึ่งระดมลงทั้งเนื้อทั้งตัวทั้งหัวทั้งคอจนเป็นประวิง

"เจ็บนะ โอ๊ย...เจ็บนะครับ"

ปากร้องโอดโอย แต่รอยยิ้มของอริยะกลับพร่างพราวไปทั่วทั้งหน้า



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




ผ่านไปอีกหนึ่งตอน เคลียร์ประเด็นไปหนึ่งคู่แล้ว รู้สึกโล่งใจขึ้นอีกนิด ฮ่าๆๆๆ
คิดว่าจบตอนนี้จะทำให้คนที่ตามคู่อาร์มหนึ่งเป็นพิเศษโล่งใจไปได้แล้วเนอะ
อันที่จริง คิดว่าระรินดูออกจะเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารแท้ๆ ดันมาชอบหนึ่งแถมโดยอาร์มตามกันตลอด -"-
ซึ่งจริงๆ ระรินก็เหมือนจะรู้อยู่แก่ใจแล้วแต่อยากจะลองเสี่ยงดู ผลเลยกลายเป็นทำให้เขารักกันซะงั้น
เธอช่างเป็นแม่พระจริง ๆ นัทกับตรี คู่นี้ดูจะบรรยากาศสีจมปูขึ้นเรื่อยๆ ตรีเป็นตัวละครที่หมั่นไส้มาก
แต่ก็ชอบมาก เขียนไปก็สะใจดี คนอะไร บ้าบอสุดโต่งได้ขนาดนี้ แต่นัทก็ดูเป็นอะไรที่เข้ากับตรีได้ดีนะ
คู่เด็กน้อย ชาฮิดธีม คู่นี้เป็นคู่ที่เขียนแล้วรู้สึกว่าเด็กๆ นี่มันช่างน่ารักน่าฟัดกันซะจริง
แต่ก็คงได้แค่นิยาย เพราะว่าตัวจริงของคนแต่งเป็นคนค่อนข้างจะไม่ถูกกับเด็ก เวลาร้องแล้วอยากจะคลั่ง

พบกันใหม่ตอนหน้าครับ จะพยายามมาอัพภายในวันสองวันให้ได้ (จะได้ไหมเนี่ย)

ขอบคุณสำหรับทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้ อีกไม่นานมากก็จะจบแล้วนะ ฝากติดตามด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 02-07-2014 20:57:21
ตรีเริ่มจะแพ้ทางนัทขึ้นเรื่อย ๆ นะ ^^

ชอบคู่อาร์มกับหนึ่งมาก แฮปปี้ตรงที่ไม่เข้าใจผิดอะไรกัน แต่เดินหน้าเข้าใส่กันรุนแรง สรุป แฮปปี้

แต่เทใจให้คู่ซาฮิดกับธีมหมดเลย คู่เด็กฟินสุด :)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: schneesturm_fubuki ที่ 02-07-2014 21:03:57
 :katai2-1: :katai2-1: ตอนแรกคิดว่าคู่นี้จะดราม่าพอๆกะคู่ปืน นภซะอีก...แต่สรุปแบบนี้ก็แฮปปี้ไปอีกแบบ
อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้มีหลายคู่ด้วยรึเปล่าไม่รู้ Lucea เลยสรุปแบบตัดมาเปิดเผยใจกันดื้อๆ
ปกติ Lucea จะลงรายละเอียดความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเยอะมาก แต่แบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ
แค่รู้สึกว่าเปลี่ยนสไตล์ไปนิดๆ

ปล.กางมุ้งนอนนิยายอีกสองวัน คริคริ :katai3:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 02-07-2014 21:15:17
ตอนที่อ่านพาร์ทของอาร์มจบ ก็นึกว่าจะค้างซะแล้ว
ดีที่มีพาร์ทของหนึ่งมาต่อจนจบ
ติดตามคู่นี้เป็นพิเศษ รองลงไปก็คู่นภ คงต้องรอลุ้นต่อไป
พูดถึงหนึ่ง ทั้งๆที่นางกลัวมาตลอด แต่พอนางได้พูดแล้ว
มันก็ตรงประเด็น โดนใจอาร์มและเหล่าแม่ยกไปเต็มๆเลย
หวังว่านภจะแฮปปี้เอ็นดิ้งกับเค้าบ้าง รออ่านนภค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-07-2014 21:21:09
โอ้โหหลอกกันได้ ก่นด่าอาร์มมาตลอดหาว่าล้อเล่นกับความรู้สึกหนึ่ง ที่ไหนได้ ความจริงเป็นเช่นนี้เอง แฮปปี้ที่สุด
ส่วนนัทหลงใหลในความไม่ธรรมดาของตรีเข้าแล้วสิ
ชอบคู่เด็กจริง ๆ นะ เขียนได้น่ารักมาก ดูมีชีวิตชีวา ธีมนี่น่าหมั่นเขี้ยวมาก อยากหยิก ไม่รู้จะโตขึ้นมาเป็นแบบตรีหรือแบบแม็กซ์
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 02-07-2014 21:35:33
เห็นคุณ lucea เขียนในเฟสว่าเคลียร์ไปหนึ่งคู่
อ่านตอนแรกนึกว่าคู่ ธีมกับชาฮิด ฮ่าๆๆๆ มีความลับของสองเราเบาๆ
แต่กลับเป็นคู่อาร์มหนึ่ง อยากจะกรี๊ดให้บ้านแตก
น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆ อู๊ยยย หวานเว่อร์ๆ
คู่ตรีกับนัท นี่สีชมพูจริงๆค่ะ คนพิเศษคนนี้
ลุ้นคู่นภ กับ อานนท์นี่แหละค่ะว่าจะเป็นไง
อยากให้นภสมหวังจริงๆ แต่แอบหมั่นไส้ปรมะ ทรมาณเลยค่ะเชอะมาทำนภเสียใจ
ส่วนอานนท์ โดนไล่ออกไปให้พี่สิงห์เลี้ยงแทนล่ะกันน่ะ
ปล.คิดถึงทิมคะน้าจริงๆค่ะ 555
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 02-07-2014 22:44:08
หักมุมไปเลย 5555555
รออีกหลายๆคู่ต่อ  :z2:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 02-07-2014 22:49:56
นัทมันร้ายยย
นึกไม่ออกเลยว่าตอนที่จีบคะน้านายพยายามเข้าหาต่ายด้วยวิธีไหน แต่กับตรีนี่แบบ เข้าขากันสุดๆ อีเมียที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นนางพญา กับอีผัวที่พร้อมจะจ๋าจ้ะ ตะล่อมได้เต็มที่
ตอนนี้อ่านไปยิ้มไปจริงๆ
โดยเฉพาะตอนที่อาร์มบอกว่าขอฟังเสียงหัวใจอะ เหมือนลูกหมาเวลาดีใจที่เจ้านายกลับบ้านเลย
โคตร น่า รัก
กรีดร้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 03-07-2014 10:48:18
ชาฮิดกับน้องธีม...  อุ๊ยต๊าย...น่าดูเอ็น  เอ๊ย.. น่าเอ็นดูม่อก ๆ     :m1:


อาร์มกะหนึ่ง...  มันน่าร็อกอ้า!  ไอ้เราก็อยากจะเบิร์ดกระโหลกตาอาร์มเสียตั้งนาน เห็นทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เล่นกับความรู้สึกนุ้งหนึ่ง
ที่ไหนได้ตาอาร์มแอบรักมาตั้งแต่แรกพบ  แถมแกล้งจีบหญิงเพื่อกันซีน
ฉากอาร์มโผเข้าซุกอกขอฟังเสียงหัวใจหนึ่ง  คนอ่านตีตั๋วไปเฮลซิงกิเลย     :heaven

 
            "แต่คุณเป็นคนพิเศษไม่ใช่หรือ ทุกที่ที่คุณไปมันกลายเป็นที่พิเศษหมดแหละ"

 :give2:     คุณนัทขา   เอาใจดั๊นไปเลย

หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 10 (Jul 02, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 03-07-2014 21:13:29
สรุปอาร์มหวงหนึ่งเหรอเนี่ย ปล่อยให้เครียดมาตั้งนาน
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 12 (Jul 03, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 03-07-2014 21:54:18
ตอนที่ ๑๒




ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาแห่งความสดใส ท่ามกลางความทรงจำที่ผุผังและกร่อนไปตามกาลเวลา แต่ภาพและเหตุการณ์ในตอนนั้นยังเป็นสิ่งที่ปรมะจดจำอยู่ในใจอย่างแปลกประหลาด แม้จะเลือนรางไปบ้างเพราะผ่านมาเนิ่นนานเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

วันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าว เป็นตอนสายซึ่งคณะดูโล่งว่างกว่าที่ผ่านมาเพราะหลายชั้นปีเริ่มทยอยสอบเสร็จไปหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่คลาสที่ยังค้างเติ่งอยู่เป็นประชากรส่วนน้อยของคนทั้งมหาวิทยาลัย ขอบฟ้าเหนือกิ่งไม้เรียงแนวเป็นกำแพงสูงฉาบสีฟ้าเข้ม แสงแดดอบอุ่นนุ่มนวลเหมือนไม่ใช่แดดของต้นเดือนเมษายน ลำแสงเล็ก ๆ เรี่ยลอดผ่านช่องโหว่ของใบไม้ลงมาสิ่งยิ้มทักทายกองหนังสือที่วางอยู่ตรงม้าหิน มีนกกระจอกตัวน้อยกระโดดโลดเต้นอยู่บนอิฐตัวหนอนสีแสด มีแก้วน้ำผลไม้เย็น ๆ ที่เริ่มละลายจนพื้นโต๊ะเปียกเป็นวง เหล่านี้เป็นสัญญาณบอกว่าฤดูร้อนมาถึงแล้ว

"น้ำ ๆ ยังไม่กลับเหรอ" ปรมะในชุดนักศึกษาทักขึ้นขณะที่เดินผ่านม้าหิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ต้องชะงัก "เดี๋ยว...เป็นอะไรน่ะ ทำไมทำหน้าแปลก ๆ"

ปรายฟ้าส่งมวนบุหรี่เข้าปาก อัดควันสีเทาเข้าปอดแล้วนั่งเงียบ ๆ

ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สาม หลังจากสอบเสร็จ เขาก็เดินผ่านอาคารเพื่อไปรวมกลุ่มที่โรงอาหารแบบทุกที ด้วยความที่ยังเป็นไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ โลกของวัยรุ่นไม่ได้มีอะไรหนักหนานัก เต็มไปด้วยความสนุกสนาน แม้จะมีเรื่องทุกข์ร้อนใจก็ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมาก เพราะเหตุนี้ ใบหน้าของปรายฟ้าในตอนนั้นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ปรมะรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก

ปรมะเคยสูบบุหรี่ที่นี่ และก็เคยเห็นผู้ชายคนอื่น ๆ สูบตอนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งแบบนี้จนชินตา แต่ไม่เคยเห็นผู้หญิงสักคนสูบบุหรี่ในที่เปิดเผยแบบนี้ สนิทสนมกัน เคยไปไหนมาไหนด้วยกันก็มาก แต่ไม่เคยเห็นปรายฟ้าเป็นแบบนี้มาก่อน

เมฆสีเทาลอยขึ้นตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ จางแล้วเลือนหายไป แล้วลูกน้ำพูดขึ้นในตอนนั้น

"เรามาเล่นเกมแลกความลับกันไหม"

ลูกน้ำเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยแปลกกว่าคนอื่น ๆ แม้จะพอชินแล้ว แต่ความรู้สึกในตอนนั้นบอกปืนว่าเกมอะไรที่ว่านี่มันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีแน่ "อะไรอีกล่ะ"

"ไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนว่าเธอลวนลามฉันเดี๋ยวนี้"

"อะไรเนี่ย"

"ก็แค่เล่นสนุก ๆ เอง บอกมาเถอะน่า" เธอกระเซ้าอารมณ์ดี

ก็แค่เล่นตามเกมให้จบเรื่องไปใช่ไหม ปรมะวางหนังสือลง พยายามนึกถึงความลับของตัวเองที่ไม่มีใครรู้

"จริง ๆ แล้วเป็นคนปรุงก๋วยเตี๋ยวไม่เป็น ทำยังไงก็ไม่อร่อย ได้มายังไงก็กินไปแบบนั้นเลย หลัง ๆ เลยไม่ค่อยสั่งก๋วยเตี๋ยวกิน"

ปรายฟ้าหันมาเขม่นตาใส่ "ทุเรศ เอาเรื่องที่มันจริงจังกว่านี้หน่อยสิยะ"

คิดอยู่สักพัก ปรมะก็พูดขึ้นมาใหม่ "ตอนเด็ก ๆ เคยฝันว่าอยากเปิดเพ็ตช็อป ที่จริงแล้วตอนนี้ก็ยังคิดอยู่"

"โอ้โห สุดยอดไปเลยนี่" คราวนี้ดวงตาคู่นั้นลุกวาวด้วยความตื่นเต้น ทำเอาเขารู้สึกเขินขึ้นมานิด ๆ

"อย่างนั้นเหรอ มีไม่กี่คนหรอกที่พูดแบบนั้น"

ปรมะพับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น สูดลมหายใจอย่างเชื่องช้า กลิ่นความฝันลอยคว้างไปทั่วบริเวณ "ที่เข้าคณะนี้เป็นเพราะที่บ้านอยากให้เป็นครู แต่จริง ๆ แล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำเลย พอบอกกี่คนก็โดนด่าว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า เปิดร้านแบบนั้นจะไปเอาตัวรอดได้ยังไง คิดว่าบ้านเป็นเศรษฐีเหรอถึงมีเงินซื้อที่ให้เปิดร้านแล้วรอเจ๊ง ตลกไหมล่ะ นั่นคือสิ่งที่พ่อกับแม่พูดกับความฝันของผม"

ดวงตาที่ปกติคล้ายจะฉาบไปด้วยแสงอุ่น ๆ ของดวงอาทิตย์ดูวูบลงจนเหลือเพียงประกายเล็ก ๆ กระนั้นกลับเป็นประกายที่เจิดจ้ากว่าที่ผ่านมา "คนแรกที่พูดว่ามันเป็นความคิดที่สุดยอดก็คือนภ ถ้าเธอได้เห็นสีหน้าตอนนั้น เธอจะรู้ว่ารู้สึกยังไง กับเรื่องที่ีใครต่อใคร แม้แต่พ่อแม่ตัวเองก็บอกว่างี่เง่า แต่นภกลับบอกว่านั่นดูเป็นสิ่งที่เหมาะดี และผมก็น่าจะทำมันได้ดีแน่ ๆ พอได้ยินแบบนั้น พอรู้ว่ามีคนคอยเชียร์อยู่ มันก็ทำให้กลับมาฮึกเหิมอีกครั้งนะ"  คล้ายกับนกบอบช้ำได้เจอที่พักพิงซึ่งเหมาะกับมัน ปืนตอนที่พูดประโยคนั้นดูกระตือรือร้นกับความสุขที่โอบรอบตัวอยู่เหลือเกิน

รอยยิ้มเล็ก ๆ ของผู้ฟังคลี่ขึ้นบนริมฝีปาก "ก็ทำสิ นายทำได้อยู่แล้ว"

ปรมะพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป สีหน้าก็ปรับเปลี่ยนไปด้วย ไม่มีความละมุนละไม ไม่มีความดีใจ โศกเศร้า เป็นใบหน้าเรียบ ๆ ที่อ่านความรู้สึกไม่ออก "ไม่รู้เหมือนกัน ก็ค่อย ๆ ดูไปน่ะ ความฝันมันก็เป็นความฝัน มีแค่ไม่กี่อันจากเป็นร้อยเป็นพันที่สามารถทำได้จริง จะถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรือเปล่าก็ไม่รู้"

"ก็จริง" ปรายฟ้าอัดมวนบุหรี่อีกครั้ง ก่อนจะวกกลับเข้ามาสู่เกมของเธอต่อ "เอาละ บอกความลับมาสักทีสิ"

"ก็เพิ่งพูดไปหยก ๆ นี่ไง"

หญิงสาวมองคิ้วเข้มของคนตรงหน้าที่ขมวดเป็นปมอย่างไม่ทุกข์ร้อน "อันนั้นไม่นับ ต้องเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้เท่านั้น"

เขาแย้งทันที "ไม่มีหรอก คนเราทำไมต้องมีความลับกันมากมายด้วย"

"มีสิ นายมีความลับที่ไม่เคยบอกใครแน่ ๆ" หญิงสาวตั้งสมมติฐาน

"มันจะไปมีได้ยังไง" แต่เห็นได้ชัดว่าปืนไม่เห็นด้วย

"มีสิ อาทิเช่น จริง ๆ แล้วนายชอบนภ"

"หา ?"

ปรมะรู้สึกเย็บวาบไปทั่วทั้งตัว แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าว เขารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างข้อกล่าวหา แต่หลักฐานที่จะเอามาคัดค้านนั้นคงอยู่สักแห่งตรงช่องแคบที่หายสาบสูญในแผนที่ กลางทะเลที่มีคลื่นลมแรงและระยะทางอีกหลายพันกิโลเมตรกว่าจะไปถึง ชายหนุ่มคิดสะระตะจะหาข้อโต้แย้งให้เจอสักข้อ จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก

ดูคล้ายว่าปรายฟ้าจะสนุกสนานกับเกมการไล่ต้อนครั้งนี้อยู่ไม่น้อย เธอรุกต่อ ดันเขาเข้าไปติดมุม ไม่มีทางให้วิ่งหนี "ตอนที่พูดถึงนภเมื่อกี้ หน้าตามันออกอาการชัดเจนมาก ไม่สิ ไม่ใช่ชอบ นั่นมันรักต่างหาก"

"พูดบ้าอะไรเนี่ย !" ปรมะคิดว่าน้ำเสียงตัวเองคงจะไม่ตะกุกตะกักให้โดนเอามาเป็นประเด็นไล่ต้อนอีก

"เก็บอาการหน่อย เรื่องนี้แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอ ถ้ายังลุกลี้ลุกลนแบบนี้ คงได้รู้ทั้งคณะแน่"

ในหัวสมองของปรมะ เหตุผลสารพัดกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายผู้ที่คว้าชัยชนะกลับกลายเป็นความเงียบ

"แล้วถึงจะโกหกคนได้แนบเนียนมากแค่ไหน ความจริงเป็นยังไง นายย่อมรู้อยู่แก่ใจ ความรู้สึกน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่วิ่งหนีแล้วจะหลบพ้นหรอกนะ" เปลวไฟเล็ก ๆ ในมือสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมกับควันสีเทาจาง ๆ "วางใจเถอะ น้ำไม่บอกใครหรอก ทุกวันนี้ก็พอใจกับที่เป็นอยู่แล้ว ไม่คิดจะแย่งอะไร ปืนจะรักใครก็ไม่คิดจะสนใจด้วย"

ป่วยการจะดื้อแพ่ง ในเมื่อเธอยืนยันแบบนั้น เขาก็ไม่คิดจะแก้ตัวอีก "ขอบใจนะ"

"เราคิดว่าจะเลิกสูบบุหรี่แล้วละ" ลูกน้ำพูด

"ยังคาอยู่ในมือเนี่ยนะ"

"มวนสุดท้าย" เธอตอบง่าย ๆ

เป็นช่วงเวลาหลายนาทีที่ความเงียบกำลังพรรณนาถึงเรื่องราวมากมาย ทั้งความรักหวานซึ้ง ฉากตื่นเต้นเร้าใจ และบทสรุปที่แสนเศร้า มันเป็นนิยายที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความรัก การผจญภัยที่แสนสนุกและช่างแปลกประหลาด ที่แปลกประหลาดก็เพราะมันถ่ายทอดในความเงียบ ในดวงตาคู่นั้น ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีภาษา แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวของความทรงจำที่ชื่นมื่นก่อนจะละลายสลายไป เวลาผันผ่านไปทีละนาทีอย่างเชื่องช้า กระทั่งทุกอย่างจบลงด้วยมวนบุหรีที่ถูกขยี้บนพื้น พร้อมกับเสียงที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ

"น้ำท้องแหละปืน"

"น้ำ..." เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหู "บ้าน่า ! ไม่ตลกนะ"

"สองเดือนแล้ว นี่เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้" มือที่ทิ้งบุหรี่ไปนั้นวางลงเบา ๆ เหนือหน้าท้องของตัวเอง "ปีน...น้ำจะลาออกนะ"

ปรมะกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ

"ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้น บอกแล้วไง ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราวิ่งหนีแล้วจะหลบพ้น น้ำไม่ชอบโกหกใคร แต่ก็ไม่คิดจะบอกใครเรื่องนี้ ก็เลยจะลาออก ตั้งใจทำความฝันของนายนะ เผื่อให้กับคนที่อยากทำแต่ทำมันไม่ได้ด้วย" ท่าทางและน้ำเสียงนั้นยังคงปกติ ดูเหมือนว่าปีกที่บอบช้ำของปรายฟ้านั้นจะได้รับการเยียวยาแล้ว...ด้วยตัวของเธอเอง

"ถึงต้องแลกกับอนาคตตัวเอง แต่น้ำก็ไม่เคยเสียใจนะ คนเราก็มีชีวิตอยู่เพื่อส่งต่อความฝันให้กับครอบครัวไม่ใช่หรือ มันก็เรื่องธรรมดา น้ำไม่คิดจะเอาเด็กออกหรอกนะ และก็จะเลี้ยงเขาเป็นอย่างดีด้วย"

เสียงนั้นยังกึกก้องสะท้อนอยู่ในหู ปรมะจับจ้องไปในความเวิ้งว้างของแสงแดดฤดูร้อน เขาไม่ชอบมัน ไม่ใช่เพราะว่ามันร้อน แต่เพราะว่าเดือนเมษายนทำให้หวนคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่อยากจะลบออกไปจากสมอง ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วแต่เขาก็ยังคงคิดถึงเรื่องเดิม ๆ ยังคิดถึงเรื่องราวคราวนั้น ทั้งที่คิดมาตลอดว่าเติบโตขึ้นและโยนความอ่อนไหวแบบเด็กวัยรุ่นทิ้งลงในถังขยะไปหมดแล้ว แต่ตอนที่กลับไปยืนที่เดิม ตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของนภ มันทำให้เขารู้ทันทีว่าไม่ใช่เลย

ทั้งที่คิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งกว่านี้ ทั้งที่บอกตัวเองจะไม่กลับไปรู้สึกแบบเดิม ๆ อีกแล้ว แต่มันก็ยังกลับไปเป็นแบบนั้น เขานึกถึงช่วงเวลาที่นั่งมองผืนฟ้าสีน้ำทะเล ดูดบุหรี่ ทำตัวงี่เง่า พูดคุยเรื่องราวไร้สาระที่เหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น นึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กับคนคนนั้น และถ้าเลือกได้...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะย้อนทุกอย่างคืนกลับไป ขังตัวเองอยู่ในช่วงเป็นนักศึกษา มีความฝันที่คุยกันได้ไม่รู้จักเบื่อกับนภ

แต่ดูเขาในตอนนี้สิ สภาพของตัวเองในตอนนี้ ทั้งปรายฟ้า ทั้งธีม นี่ควรเป็นสิ่งที่เขาควรนึกถึงก่อนไม่ใช่หรือ ก็เห็นไม่ใช่หรือไงว่าอะไร ๆ มันก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว ทำไมคนคนนั้นถึงเดินมาแล้วพูดว่าจะไม่ยอมเปลี่ยนและจะไม่มีวันลืมได้อย่ากล้าหาญแบบนั้น

"จะกินอีกสักกี่ถ้วยกัน" เสียงของปรายฟ้าที่ดังขึ้นดึงให้ชายหนุ่มก้าวออกมาจากความทรงจำในอดีต สบตากับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า

หญิงสาววางกาแฟถ้วยใหม่บนโต๊ะ แล้วเก็บถ้วยเดิมที่หมดแล้วกลับขึ้นไปบนถาด "นั่งเหม่อแบบนี้จะได้อะไรขึ้นมา"

ท่าทางที่เหมือนคนซังกะตายไม่ทุกข์ร้อนของชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งจิบกาแฟถ้วยแล้วถ้วยเล่าทำให้เธอรู้สึกโมโห นิสัยบางประเภทที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เมื่อไรจะเลิกได้เสียที ปรายฟ้าถอนใจยาวอีกครั้ง พูดในสิ่งที่เธอไม่อค่อยอยากจะเอ่ยถึงมันเท่าไร

"ยังรักเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ เขาเองก็ดูจะรู้สึกกับปืนนะ"

ปืนวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ กลิ่นความทรงจำลอยคลุ้ง

"ตลกดี ทั้งที่ปืนดูเป็นคนที่ทำอะไรได้ตั้งมากมาย อายุก็ไม่ใช่น้อย ชีวิตวัยเรา แต่ละคนก็ผ่านอะไรมาเยอะ จะมาตกม้าตายกับเรื่องแค่นี้เหรอ" หญิงสาวส่ายหน้าไปมา "ก็รู้นี่นาว่าการพบกันอีกครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ทำไมไม่พูดจากันดี ๆ ล่ะ จะปล่อยให้มันเป็นแค่ความทรงจำอย่างนั้นเหรอ"

ก็เป็นแบบนี้ พอถูกจี้ก็เงียบ ทำไมไม่พูดออกมาตรง ๆ ไม่คาดคั้นก็จะไม่พูดหรือไง

"ชีวิตเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจำกัด ให้โอกาสกับตัวเองที่จะมีความสุขบ้างก็ดีนะปืน"

ปรมะนั่งมองควันสีขาวบนถ้วยกาแฟตรงหน้า รสชาติความทรงจำทั้งหอมหวานและเจ็บปวด ถ้าเลือกได้เขาก็อยากมีความสุข สองสามวันที่ผ่านมา ยิ่งได้เห็นนภยิ้มและหัวเราะแบบนั้น หัวใจของเขากลับรู้สึกถึงชีวิตชีวาอย่างประหลาด มีหลายช่วงที่เขาอยากจะพูดสิ่งที่เก็บอยู่ในใจออกไป แต่สิ่งที่อยากจะทำกับสิ่งที่ต้องทำมันรุกไล่กันในความคิดจนปั่นป่วนกระทั่งถึงเวลาที่เอ่ยคำลากัน วันแล้ววันเล่าที่เป็นแบบนี้ สิบกว่าปีที่ผ่านมา ปืนไม่คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตได้โง่งั่งแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งได้พบกับนภอีกครั้ง

เพราะเป็นแบบถึงไม่อยากเจอกันอีก เพราะเป็นแบบนี้ถึงกลัวที่จะต้องได้พบกันอีกครั้ง เพราะว่าจะทำให้คิดถึง เพราะจะทำให้ลืมไม่ได้ ไม่เจอก็ไม่ต้องคิด ไม่ต้องทรมาน ใช้ชีวิตไปแบบคนที่ยอมรับความเป็นจริงว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครให้ไปเจอ ไม่มีใครให้กลับไปหา ไม่มีใครที่รอ ไม่ต้องห่วงใคร ไม่ต้องมีใครให้เป็นห่วง ผ่านไปแต่ละวันแบบคนหาเช้ากินค่ำตายวันตายพรุ่งก็ช่างไปเรื่อย ๆ แต่พอได้เจออีกครั้ง มันทำให้เขาอยากจะรักตัวเอง อยากทำตัวเองให้ดีกว่านี้ เลิกสูบบุหรี่ เลิกใช้ชีวิตไร้แก่นสาร มันทำให้เขาอยากจะครอบครองความสุขที่ขาดหายและคิดเตลิดใหญ่โต

ต้องการเป็นเจ้าของท้องฟ้าที่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง และเอามาเป็นของเขาเพียงผู้เดียว



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



เด็กชายตัวน้อยในชุดพนักงานเสิร์ฟของร้านเดินนำดนัยและพงษ์พิพัฒน์เข้าไปที่โต๊ะใหญ่สุดซึ่งถูกจองไว้ ที่นั่งเต็มทั้งหมด เว้นว่างไว้เพียงสองตัวที่อยู่ติดกัน พิธีกรหนุ่มรูปหล่อนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ ปากพร่ำไม่หยุดว่าน่าจะหาร้านที่มีห้องพิเศษ อย่างน้อยก็ให้สมศักดิ์ศรีของตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้บ้าง ก็รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ใคร่ถูกจริตเท่าไรกับความธรรมดา

ชาฮิดยืนตื่นเต้น นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้พบกับพิธีกรรูปหล่อคนนี้ ตัวสูง ผิวขาวสะอาด ผมเส้นเล็กเหยียดตรง และมีดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนภาพวาด แต่ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยจดจำผู้ชายตัสอสูงอีกคนที่มาด้วยกันได้ ครั้งที่แล้ว พวกเขามากด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาก็มาด้วยกันอีก

"พี่ครับ พี่เป็นดาราหรือเปล่าครับ วันก่อนผมเห็นในทีวีด้วย กับพี่รูปหล่อคนนี้" เด็กน้อยกลั้นใจถามด้วยความอยากรู้ หันไปมองพิธีกรรูปล่อที่ส่งยิ้มมาให้ หล่อกว่าในทีวีอีก ! ชาฮิดพยายามสะกดอาการประหม่า เด็กน้อยพูดด้วยอาการปลื้มใจเป็นที่สุด

"พี่ตลกดีนะครับ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์หุบยิ้มแทบไม่ทัน

"แม่ผมขำไม่หยุดเลย ทั้งร้านขำจนน้ำตาไหลไปหมดเลยครับ ทำงานไม่ได้เลย ต้องดูพี่ตรีก่อน"

"หยุด !" สุดจะทนได้อีกต่อไป ถ้าจะพูดกันแบบนี้ทำไมไม่ตบหน้าตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ที่ชาโตว์เดอแวร์ซายส์ไปเลยล่ะ "โอ้...ไม่นะ ไม่จริง อย่าพูด หยุด ! ไม่ !"

เสียงตะโกนที่ดังและสองมือที่กางออกทำให้ทุกสายตายในร้านหยุดอยู่ที่ตรี พงษ์พิพัฒน์

ชายหนุ่มค่อย ๆ ยืดหลังตรง กลับมาเป็นท่าปกติเหมือนที่ผ่านมาเมื่อครู่เป็นเพียงภาพนิมิตรจากนักบุญแห่งสรวงสวรรค์ ฝ่ามือได้รูปเปิดเมนูอาหารอย่างมีมารยาท ท่วงท่าสง่างามเหมือนคุณชายในละครที่ชาฮิดเคยดูเหมือนกับลอกกันมา

"เอ๊ะ เด็กคนนี้มองหน้าพี่ทำไมครับ" ตรีหันไปถามเด็กน้อยอีกคนที่เอาแต่จ้องหน้าเขม็งตั้งแต่มานั่งที่โต๊ะแล้ว

ทำไมนะทำไม ตรีถึงมีเสน่ห์กับเด็กนัก ไปไหนก็มีแต่คอยมาตามปลื้ม แต่พอถามอะไรก็ไม่ตอบ ชายหนุ่มถอนใจเหนื่อยหน่าย หยิบปากกาขึ้นมาแล้วเซ็นลายเซ็น พอกำลังจะยื่นให้ เด็กหน้ามุ่ยคนนั้นก็ตะโกนดังลั่นร้าน

"ไม่เห็นจะหล่อเลย ขี้เหร่ หน้าตาน่าเกลียด อย่างกับลิง ชาฮิดไม่ต้องไปสนใจหรอก อยากดูลิงแบบนี้ เดี๋ยววันหลังธีมให้แม่พาไปเอง น่ารักกว่านี้ตั้งเยอะ มีหลายตัวด้วย หมีควาย ฮิปโป สิงโต แรด มีหมดเลย ไม่ต้องไปสนใจหรอก"

ตรี พงษ์พิพัฒน์อ้าปากแบบที่กว้างที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยทำมา

"ไม่ยกให้ลุงหรอก"

พูดจบก็คว้ามือเด็กอีกคนออกไป ทิ้งให้ตรีนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่หันมามองแล้วยิ้มขบขัน

ลุง ! คำนี้มันหยาบคายชัด ๆ แค่อายุมากกว่าสิบปีสิบห้าปีกล้าดีอย่างไรมาเรียกกันว่าลุง ! เด็กผี ! ผีเจาะปากมาพูด ! ตัวกระเปี๊ยก ทำผมทรงหัวหอมเกลี่อนกลาดแบบเด็กบ้าน ๆ ตามท้องถนน กล้ามาก นับว่ากล้ามากที่พูดแบบนี้ !

ไม่อยู่แล้ว ปาร์ตี้บ้าบออะไร หยาบคายที่สุด !

"คุณจะไปไหน" ดนัยคว้าข้อมือหมับ ถามคำถามเหมือนไม่ได้ยินสารพัดถ้อยคำจากเด็กเปรตมาก่อน

"ผมจะไม่มีวันมาเหยียบร้านแบบนี้อีก"

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ทำหน้าสงสัย "ทำไมล่ะ เด็ก ๆ เขาก็พูดไปตามที่คิด น่ารักดีออก"

"หน้าเหมือนลิงเนี่ยนะ ฮิปโป หมีควาย แรดอะไรก็ไม่รู้" ที่สำคัญมันเรียกว่าลุง !

"เขาคงอิจฉาคุณมั้ง"

ห๊ะ ?

ตรีผงะ ความจริงมันเป็นอย่างนี้นั่นเองหรือ เพราะความเป็นเด็กก็เลยอิจฉาผู้ใหญ่ที่หน้าตาดีกว่า แต่ตัวดูกว่า ดูเท่ ดูหรูหรา ฉีดน้ำหอมราคาแพง ไม่มีกลิ่นกะโปโลมาทำให้ฉุนจมูกอย่างนั้นหรือ ? ความจริงมันเป็นอย่างนั้นเองหรือ ?!?

ตรี พงษ์พิพัฒน์นั่งลงช้า ๆ บอกตัวเองว่าควรจะต้องเข้าใจเด็กน้อยมากกว่านี้ แต่เล็กมาตรีก็เป็นแบบนี้ เดินไปไหนก็มีแต่คนอิฉา แต่ไม่คิดเลยว่าจนถึงทุกวันนี้ ทำอะไรก็ยังโดนอิจฉาอีก ช่างเถอะ ตรีจะไม่ตอบโต้ เพราะว่าตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้คือสิ่งเดียวที่ผู้ชายทั้งโลกต่างอิจฉา ไม่เว้นเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา ทุกคนต่างริษยาในรสนิยมที่สมบูรณ์แบบนี้ทั้งนั้น

"เปลี่ยนใจแล้วเหรอ"

ตรีส่ายหน้า ถอนหายใจเสียงเครียด "คุณต้องเข้าใจนะว่าเป็นเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนเป็นผู้ใหญ่เขาไม่เอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใส่ใจกันหรอกนะ"

ชายหนุ่มหยิบน้ำขึ้นมาจิบแล้วตักอาหารชิ้นเล็ก ๆ ตรงหน้าทานด้วยสีหน้ามีความสุข "จริงสิ เคยมีคนบอกคุณไหมว่าคุณเป็นคนที่มีสายตาแหลมคมมากนะ"

"ไม่มี น่าจะเป็นครั้งแรก" ดนัยตอบเสียงเรียบ

อีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจ "นั่นเป็นเพราะผมมักเป็นผู้นำน่ะครับ รู้อะไรไหม ผมมักก้าวไปก่อนคนอื่นเสมอแหละ"

คราวนี้ชายนุ่มถึงกลับหันมามองทึ่ง

"มีอะไรหรือคุณ" ตรีถาม

"ผมค่อนข้างประทับใจมากครับ คิดไม่ถึง อึ้ง เรียกว่าตะลึงเลยแหละ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์หัวเราะคิก ยื่นแก้วออกไปชนกับคนที่พูด(ประชด)หน้าตาเฉย "ดื่มเถอะครับ รสชาติค่อนข้างโอเคนะ"

พี่จ๊อดและทีมงานคนอื่น ๆ ถึงกับมองกันเลิ่กลัก จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มาลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร กราฟความน่าจะเป็นแกว่งแล้วหักมุมครั้งแล้วครั้งเล่าจนเดาทางไม่ถูก เหมือนจะถึงบทบู๊เลือดสาดชวนปวดหัว แต่นาทีต่อมาก็หักมุมเป็นแฮปปี้เอนดิ้งเสียอย่างนั้น

"สองคนนี้เขาญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่" พี่จ๊อดสะกิดถามครีเอทีฟด้วยความอึ้ง

หญิงสาวสะบัดหัวไปมา "ไม่รู้ค่ะ แต่ดาน่าก็ดูไปด้วยกันได้ดีนะคะ"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



(ยังมีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 12 (Jul 03, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 03-07-2014 21:54:54
(ต่อครับ)


อานนท์มองบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองอย่างมีความสุขในร้านอาหารที่แวะซื้อไอศกรีมโคนทานก่อนกลับหอ นึกอยากจะมีช่วงเวลาเหล่านี้บ้างในช่วงที่ใกล้เทศกาลเข้ามาอย่างนี้ อากาศร้อนขึ้นทุกวัน ในใจของอานนท์ก็ไม่ต่างกับอุณหภูมิเหล่านั้นเลย เหลือเพียงอีกวันเดียว แค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าไม่สามารถขายแอร์ให้ได้สักเครื่อง อานนท์ก็จะกลายเป็นคนตกงานทันที

อาหารในถุงหอมฉุยจนท้องร้อง ทั้งที่โดนห้ามในคราวก่อน แต่อานนท์ก็อดไม่ได้ที่จะซื้อติดมาเผื่อพี่สิงห์ ไม่รู้หรอกว่าเจ้าของห้องจะชอบหรือเปล่า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะโดนเอ็ดตะโรไหม แต่เวลาที่เห็นของที่ตัวเองชอบ อานนท์ก็อยากให้พี่สิงห์ได้ลองกิน พิี่สิงห์เพิ่งย้ายมาใหม่ ไม่คุ้นกับร้านอาหารละแวกนี้ อย่างน้อยถ้าได้กินอาหารถูกปากหลาย ๆ มื้อก่อนที่จะย้ายออกไปก็คงจะดี

เคาะประตูไปสองสามครั้งแต่ห้องของพี่สิงห์เงียบจนน่าแปลกใจ วันนี้เป็นวันหยุดของพี่สิงห์ บางทีพี่สิงห์อาจจะออกไปข้างนอกก็ได้ อานนท์เลยกลับไปที่ห้อง วางบะหมี่หมูแดงที่เพิ่มปูเป็นพิเศษสองห่อลงบนโต๊ะ แล้วนอนเล่นบนฟูกไปเงียบ ๆ ตามลำพัง

เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งในตอนโพล้เพล้ เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นพระอาทิตย์ไล้แสงสีทองบนกำแพง อานนท์มองบะหมี่สองห่อที่อยู่บนโต๊ะจนเย็นชืด ถามตัวเองว่าจะเอายังไงดี

อานนท์เดินออกมาจากห้อง ตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้ง เมื่อความเงียบส่งเสียงตอบกลับมา อานนท์ก็เริ่มใจคอไม่ดี ปกติแล้วพี่สิงห์ไม่ค่อยไปไหน หรือแม้แต่ถ้าหลับอยู่ พี่สิงห์ก็เป็นคนที่ตื่นตัวไวกว่าคนขี้เซาแบบเขาเยอะ อานนท์จึงรีบลงไปถามเจ้าของหอพักด้วยความร้อนใจ คำตอบที่ได้ยินนั้นให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ชายหนุ่มร่างเล็กเดินกลับมาชั้นบนอย่างมึนงง เท้าแขนมองมองเด็กสองสามคนวิ่งเล่นไปกับลิ้นห้อยและร้อนแฮ่กจากระเบียง ผ่านมาหลายนาทีแล้วแต่อานนท์ยังคงสะดุ้งอยู่ในความเงียบ รู้สึกเหมือนหัวของตัวเองกำลังหมุนไม่หยุด อานนท์คิดว่าตัวเองกำลังป่วยด้วยอาการว่างโหวง มีความเจ็บปวดอย่างแปลก ๆ เป็นโพรงแหว่งเว้าในอก เด็กหนุ่มเดินกลับเข้าไปในห้องที่คุ้นตา ขังตัวเองอยู่ในนั้น โดยไม่มีใครถามไถ่ ไม่มีคนเอ็ดตะโร ไม่มีคนคอยดุแบบเดิม ๆ บะหมี่ที่เพิ่มเนื้อปูเป็นพิเศษไม่ได้อร่อยแบบที่คาดไว้ อาจเป็นเพราะประสาทรับรู้ยังไม่ฟื้นตัว ยังตั้งหลักไม่ทันที่จู่ ๆ พี่สิงห์ก็ย้ายออกไปจากหอโดยไม่ได้บอกกล่าว ไม่มีกระทั่งเวลาที่จะบอกลากันสักคำ

ทำไมนะ ทำไมพี่สิงห์ถึงชอบทำอะไรแบบนั้น ใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องห่วงใคร ใช้ชีวิตเป็นเหมือนเครื่องจักรในเมืองใหญ่ ไม่มีหัวใจ ทำทุกอย่างเหมือนคนที่ไม่มีความรู้สึก ที่บ้านของอานนท์ที่ต่างจังหวัด ทุกคนเต็มไปด้วยความห่วงใย ใส่ใจกัน มีความเอื้ออารีเป็นน้ำหอมที่พรมผิวกายให้กรุ่นฟุ้ง ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางใด ๆ แบบคนกรุงเทพ ไม่ต้องใช้เครื่องแต่งกายโก้หรู น้ำใจของพี่น้องที่แบ่งปันกันสวยงามยิ่งกว่าเสื้อผ้าชุดไหน ๆ ที่อานนท์เคยเห็น

อยู่ที่นี่ พี่สิงห์ไม่เหงาบ้างเหรอ อยู่ที่นี่ พี่สิงห์ลืมน้ำหอม ลืมเสื้อผ้าอาภรณ์แบบต่างจังหวัดบ้านเราเขาใช้กันแล้วเหรอ ชีวิตถึงมีแต่ความเร่งรีบ รีบร้อน ชีวิตมีแต่การต่อสู้ดิ้นรน พี่สิงห์ถึงไม่มีเวลาแม้แต่นาทีสองนาทีเพื่อบอกลากัน

ทุกอย่างเงียบกริบ ไม่มีเสียงใด ๆ เคลื่อนไหวอีกแล้ว ไม่มีเสียงสะอื้น ทุกอย่างเงียบเหมือนตายไปแล้ว จะมีก็เพียงแค่เด็กหนุ่มตัวเล็ก ๆ ที่หอบความฝันมาจากต่างจังหวัด เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ในห้องแคบเล็กลำพังคนเดียว ไม่มีใครรู้จัก อยากรู้จัก ไม่มีใครให้ทัก ให้กินข้าวเย็นด้วยกัน พระอาทิตย์สาดเข้ามาทางหน้าต่าง แดดเหล่านั้่นไม่ทำให้กายผ่าวร้อนเท่าน้ำตาอุ่น ๆ หยดเล็กที่ไหลออกมาจากสองตา



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ถัดไปจากหอพักที่อยู่กลางซอยไปประมาณร้อยเมตร ชาฮิด ธีม และมีรากำลังยืนสบตากับดวงอาทิตย์ ตอนเย็นเป็นช่วงเวลาที่รอคอยที่สุดของเด็กทั้งสามคน เพราะมันเหมาะสำหรับการเล่นที่สุด ไม่มีแดดร้อน ๆ ทำให้แสบผิว งานที่ร้านก็ไม่ยุ่ง เวลานี้จึงถือเป็นชั่วโมงแห่งความสนุกสนานกับการวิ่งแข่งที่โลกจะต้องจดจำ ชาฮิดนั่งยอง ๆ แล้วจับลิ้นห้อยไว้ ขณะที่ธีมก็อยู่ในท่าเดียวกัน สองมือเล็ก ๆ รวบพุงของร้อนแฮ่กเอาไว้ให้มั่น รอจังหวะให้สัญญาณจากมีราแล้วจึงปล่อยมือ

มันคือการวิ่งแข่งที่ีจะไม่มีใครยอมใคร เป็นการต่อสู้ของลูกผู้ชายระหว่างชาฮิด ธีม ลิ้นห้อย และร้อนแฮ่ก โดยผู้ชนะจะได้ของรางวัลที่เป็นเงินกองกลางลงขัน ถ้าเป็นชาฮิดหรือธีม ของรางวัลจะเป็นหมูปิ้งหอมอร่อย แต่ถ้าเป็นลิ้นห้อยหรือร้อนแฮ่ก รางวัลก็จะเปลี่ยนเป็นตับไก่ปิ้งจากร้านเดียวกัน นี่คือกติกาที่ถูกตั้งขึ้นและห้ามโกงเป็นอันขาด

"เข้าที่...ระวัง..." มีราสูดลมหายใจจนปอดแน่นคับแล้วเปล่งเสียงดัง "ไป !"

ทันทีที่ปล่อยมือลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กก็โกยแน่บ ธีมรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามมา โดยมีชาฮิดวิ่งเหยาะ ๆ รั้งท้ายของทั้งสาม ยิ่งวิ่งกวด สุนัขที่อ้วนอย่างกับหมูสองตัวก็ยิ่งคึก โกยแน่บนำโด่งไปไม่หยุด ธีมที่ท่าไม่ดีก้ร้องร้องโยเยประท้วง "ลิ้นห้อย ร้อนแฮ่กหยุดนะ ! อย่าคิดมาแซงฉันนะ อย่านะ บอกว่าให้หยุดไง หมูเอ๊ย !"

"พี่ธีมสู้ ๆ พี่ธีมสู้ ๆ" มีรากระโดดโลดเต้น ทำท่าเหมือนเชียร์ลีดเดอร์แบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์ จะผิดก็ที่ว่ามีราตัวน้อยเต้นมั่วซั่วออกไปทางหางเครื่องมากกว่าจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์อย่างที่ตัวเองตั้งใจ

ใกล้เส้นชัยเข้าไปทุกที ลิ้นห้อยเป็นผู้นำของกลุ่ม ตามมาด้วยธีมผู้แข็งขัน และร้อนแฮ่กที่พร้อมจะชิงที่หนึ่งได้ทุกเมื่อ รั้งท้ายยังคงเป็นชาฮิดที่วิ่งไปยิ้มไปเน้นท่าเข้าสู้มากกว่าจะเป็นความเร็ว

ทว่าที่ปลายเส้นชัย จู่ ๆ ก็มีเท้าคู่เล็ก ๆ ก้าวออกมา เด็กชายตัวหลั่นกันชี้นิ้วใส่หน้าธีมแล้วหัวเราะ "มาอีกแล้วเหรอ ไอ้เปี๊ยก"

หน้าของธีมมุ่ยขึ้นทันตาเห็น ชาฮิดมองเด็กแปลกหน้าคนนั้นอย่างสงสัย คุ้นหน้าอยู่บ้าง รู้ว่าอยู่บ้านหลังที่ถัดไปด้านใน แต่ชาฮิดไม่เคยทักและไม่รู้จักชื่อ แล้วเด็กคนนี้รู้จักกับธีมได้ยังไง หรือว่าจะเป็นคนที่มีเรื่องกันในวันก่อน

"โธ่เอ๊ย...พวกเด็กไม่มีพ่อ" เด็กอ้วนตะโกนใส่พร้อมหัวเราะดังลั่น

ธีมหยุดวิ่งแล้ว ดูจะพยายามระงับความโกรธเต็มที่ "พูดบ้าอะไร !"

แต่เด็กคนนั้นยังไม่เลิกพูด "พวกลูกไม่มีพ่อ !"

ชาฮิดเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด พอใกล้ถึงก็เปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปดูว่ามีเรื่องอะไร ขณะที่มีราที่วิ่งตามมาดูห่าง ๆ ตั้งท่าจะร้องไห้เสียแล้ว

"กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน !" ธีมตะโกนกลับ กำหมัดทั้งสองแน่น

"ไม่มีพ่อ ไม่มีพ่อ ไม่มีพ่อ พ่อไม่รัก" เด็กผู้ชายคนนั้นแลบลิ้นใส่ธีมแล้วหัวเราะชอบใจ แต่ทันใดนั้นก็ล้มคะมำลงไปนอนกลิ้งกับพื้นด้วยแรงหมัดของคนที่วิ่งเหยาะแหยะเป็นที่สุด เด็กแปลกหน้าชกกลับโดนแก้มของชาฮิดไปเต็มรัก มีราร้องไห้แล้วในตอนที่พี่ชายผู้แสนใจดีลงไปคร่อมแล้วซัดหน้าเด็กคนนั้นไม่หยุด หมัดแรก หมัดที่สอง หมัดที่สาม และอีกหลาย ๆ หมัด ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะตะลุมบอนจนเด็กอ้วนร้องไห้โฮ ชาฮิดง้างกำปั้นขึ้นในตอนที่มีราตะโกนเรียกออกมา

"พี่...พอเถอะนะ เขาเจ็บแล้ว พอเถอะนะ"

ลมหายใจยังคงร้อนเป็นไฟ และอารมณ์โกรธก็ยังคงปะทุ ชาฮิดกระชากคอเสื้อของเด็กแปลกหน้าที่เข้ามาหาเรื่องแล้วทำท่าจะต่อยซ้ำอีกรอบ แต่ทุกอย่างก็หยุดอยู่แค่นั้นด้วยมือเล็ก ๆ ของธีมที่มาเกาะไว้

"ชาฮิด..." ธีมส่งเสียงเรียก

พี่คนโตจึงยอมหยุดทุกอย่างเพียงแค่นั้น มองดูเด็กอีกคนที่นอนร้องไห้โฮด้วยลมหายใจซึ่งกรุ่นด้วยความโกรธเกรี้ยว "อย่ามาพูดแบบนี้กับธีมอีก ไม่อย่างนั้นโดนหนักกว่านี้"

มือเล็ก ๆ ของธีมและมีราช่วยกันดึงแขนกับดึงชายเสื้อของชาฮิดขึ้น ผิวที่เป็นสีแทนเปล่งสีแดงก่ำอย่างที่ธีมไม่เคยเห็นมาก่อน ลมหายใจของชาฮิดยังคงฟึดฟัดดูไม่ยอมรามือง่าย ๆ ถ้าไม่ถูกห้ามไว้ก่อน คงจะเป็นการชกต่อยที่ไม่มีวันจบสิ้น เมื่อถูกปล่อยมือ เด็กตัวอ้วนก็วิ่งร้องไห้โฮไปที่บ้าน ชาฮิดยืนมองอยู่สักพัก ก่อนจะหันกลับมาที่ธีม มือที่กำหมัดอัดหน้าเมื่อครู่ค่อย ๆ คลายออกแล้วลูบลงหัวเจ้าตัวเล็กอย่างทะนุถนอม

"ไม่เป็นไรนะธีม"

ธีมส่ายหัวยิก ๆ ทั้งท่าจะร้องไห้ออกมา

ชาฮิดนั่งยอง ๆ ลงบนส้นเท้า เอื้อมมือขึ้นลูบแก้มใสของมีราที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา

"พี่ขอโทษ"

มีราโผเข้ากอดพี่ชายด้วยความเป็นห่วง ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะกลั้น ชาฮิดยกมือข้างหนึ่งกอดน้องไว้อย่างแสนรัก ก่อนจะหันไปยิ้มให้ธีม กางแขนอีกข้างออก แล้งพูดด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ธีมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง

"มานี่มา"

"ชาฮิดดดด..."

อ้อมแขนนั้นโอบเด็กชายตัวเล็กกว่าอย่างอ่อนโยน "ดีมากที่รักษาสัญญากับพี่"

ธีมซบหน้าลงกับบ่าของคนที่ส่งยิ้มให้ ทิ้งน้ำหนักมาทั้งตัวแบบที่เคยชินกับตอนที่นั่งตักจนชาฮิดล้มคะมำไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น ส่วนธีมตัวแสบก็แหกปากแบบไม่อายใคร "ชาฮิดดดดด...เจ็บไหม เจ็บไหม เขาทายาให้นะ โฮฮฮฮ..."

"พี่ชาฮิด...พี่ชาฮิดดดด..." มีราตัวสั่นไม่หยุด

ชาฮิดหัวเราะ ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กสองคนที่แข่งกันร้องไห้อยู่เสื้อยืดลายเบ็นเท็นตัวเก่ง "โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ๆ"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)


รถของดนัยจอดเทียบเมอร์เซเดสคันหรูของตรี พงษ์พิพัฒน์ แม้เมืองหลวงแห่งนี้จะไม่เคยหลับใหลแต่สตูดิโอที่ค่อนข้างจะอยู่ห่างจากใจกลางเมืองแบบนี้ถือว่าเป็นอีกเรื่อง ตรีก้าวขาลงมาจากรถ ทุกอย่างเหมือนถูกกล่อมด้วยดวงดาวที่ขยับตัวออกจากม่านสีดำมาอวดโฉมเต็มฟ้า ประชันกับแสงไฟที่นับไม่ถ้วนของกรุงเทพในยามค่ำคืน

ความเงียบกลายเป็นความกระสับกระส่ายอันแสนปั่นป่วน แม้จะยืนอยู่บนพื้นคอนกรีตที่มั่นคงแน่นหนาแต่กลับให้รู้สึกเหมือนอยู่กลางทะเลที่มีคลื่นลูกใหญ่ซัดอย่างคลุ้มคลั่ง สายลมที่ไม่ได้หอบความเย็นมาแม้แต่น้อยกระทบแก้มเหมือนจะยั่วเย้า ฝากความร้อนที่ผิวให้ผ่าวเล่นแล้วจากไป ทุกอย่างควรจะอยู่ในความสงบ แต่ลึก ๆในใจของตรีกลับเหมือนกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างผลักไสให้ไกลออกจากแผ่นดินที่มั่นคงทุกที

ดนัยยื่นมือออกมา แล้วตรีก็ยื่นมือให้ มันเป็นการจับมือที่มีความหมายบางอย่าง แต่เริ่มตรีไม่ใคร่จะถูกชะตากับคนตรงหน้านี้สักเท่าไรนัก ดนัยดูเป็นผู้ชายธรรมดาที่...โอเค...หน้าตาดี แต่นอกเหนือจากนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด แต่พอได้ทำงานร่วมกัน คนตรงหน้าคนนี้กลับเผยให้เห็นส่วนที่ไม่ธรรมดา นอกเหนือจากความฉลาดเป็นกรดแล้ว สิ่งสำคัญ...และเป็นเรื่องที่สำคัญมากก็คือ...คนคนนี้เป็นคนที่มีสายตาแหลมคมไม่ธรรมดา

"คุณจะจับมือผมอีกนานไหม" ดนัยถาม

"คุณน่าจะถามาตัวเองว่าเป็นเกียรติแค่ไหนที่ได้จับมือของผม"

มืออีกข้างของผู้ได้รับเกียรติยกขึ้นและกุมมือของตรีไว้เต็มอุ้งมือทั้งสองของเขา

"แบบนี้พอใจหรือยัง"

"คุณควรจะเข้าใจนะว่าผมเสี่ยงมากที่ทำแบบนี้ เพราะอาจถูกปาปาราซซี่ถ่ายเอาได้ สมัยนี้นักข่าวชอบเล่นข่าวทำนองนี้ คุณก็รู้" สีหน้าของตรีดูเคร่งเครียดนักแต่ดวงตากับกะพริบพราว

"แล้วยังไง จะให้ผมชวนคุณไปห้องอย่างนั้นหริอ" เขาตั้งคำถาม มองหน้าตรี คล้ายกับมีคำยั่วเย้าเชิญชวนอยู่บนริมฝีปากนั้น แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา

ตรีขยิบตามอง รอว่าจะมีอะไรออกมาให้เบิกบานใจต่อ แต่ก็ไม่มี เลยต่อเวลาให้สักสิบวินาที แต่ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในความเงียบเชียบ จนในที่สุดอุ้งมืออุ่น ๆ คู่นั้นก็คลายออก

"ขอบคุณสำหรับความตั้งใจ ความทุ่มเทในการทำงานกับผม คุณให้ผลตอบรับมากกว่าที่ใครที่ออฟฟิศผมจะคาดคิด"

ตรียิ้มเหยียด ยืดเต็มคราบ "คุณควรจะรู้ว่าทำงานร่วมกับคนไม่ธรรมดา"

"ผมรู้" นัทพูดต่อ "เพราะคุณมันทั้งแปลก ทั้งประหลาด ทั้งหลงตัวเองได้อย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ"

ตรีสบัดหน้าถลึงตาใส่ทันที "นั่นคือคำชมใช่ไหม"

"คิดว่าอย่างไรล่ะ" ดนัยยักคิ้ว "คุณช่วยผมไว้มาก และผมดีใจที่ได้ร่วมงานกับคุณ...คนที่พิเศษกว่าใคร"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ยกมือป้องปากหัวเราะแช่มชื่น หน้าบานไม่แพ้กับพระจันทร์บนท้องฟ้า "ถึงจะพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้ดีใจหรอกนะ"

"ผมดีใจที่คุณมาร่วมทานข้าวด้วยกันวันนี้ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เราทานข้าวด้วยกัน บรรยากาศมันแปลกไปจากครั้งแรกนิดหน่อย ว่าไหม ?" น้ำเสียงของเขามีพลังแปลก ๆ นัยน์ตาคู่นั้นก็มีประกายแปลก ๆ ไม่แพ้กัน ตรีเผลอมองอยู่นานจนอีกฝ่ายพูดขึ้น

"ดึกแล้ว" เราคงต้องบอกลากันแค่นี้"

"นั่นคุณจะไปไหนน่ะ" ตรีเอ่ยถามในตอนที่ร่างสูง(ซึ่งน่าหมั่นไส้)หันหลังเดินกลับไปที่รถ

"กลับบ้านผมสิครับคุณ"

"เดี๋ยว !" ตรียกมือขึ้น กางนิ้วทั้งห้าห้าม "แม้ว่าจะไม่เคยอยู่ในสายตาผมมาก่อน แต่ในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี...ในระดับปลายแถว ย้ำว่า...ระดับปลายแถว ผมจะให้ของอะไรบางอย่างกับคุณเป็นที่ระลึก"

คิ้วเข้มของดนัยขมวดด้วยความสงสัย ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะคลี่ยิ้มขึ้นอย่างนึกสนุก เขาพลิกตัวกลับมา กอดอกรออย่างไม่เร่งรีบ

ตรีเดินมาใกล้ ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วถ่าย Selfie กับคนที่ยืนยิ้มอยู่ "ผมให้เกียรติถ่ายภาพกับคุณเป็นที่ระลึกแล้ว อย่าแอบไปร้องไห้ดีใจที่บ้านก็แล้วกัน คุณจะเอาไปอวดคนที่ทำงานคุณก็ได้นะ ผมไม่ถือ ชินแล้ว"

"แท็กมาแล้วกัน" เขาพูด "ถึงจะสมัครไว้ แต่ผมก็ไม่เล่นอินสตาแกรมหรอกนะ"

คำตอบที่ได้ยินทำให้ตรี พงษ์พิพัฒน์ถึงกับยกมือขึ้นทาบอก

ไม่ ! ไม่นะ ! นี่มันเยิน ! เยินมากกก ! ไปอยู่หลังเขาที่ไหนมาเนี่ย หรือว่าทุกวันนี้พำนักอยู่ในถ้ำ ขุดรูที่ไหนอยู่ กรุงเทพมีต้นไม้ใหญ่ ๆ ให้อยู่เจาะโพรงนอนด้วยเหรอ เอ๊ะ ! หรืออยู่ท่อระบายน้ำ ไม่นะ ! นั่นมันสกปรกมาก ฉันจะเป็นลม ฉันรับไม่ได้ มนุษย์ไดโนเสาร์เต่าล้านปีอะไรทำไมถึงได้เยินแบบนี้ คนคนนี้ฟื้นชีวิตขึ้นมาจากฟอสซิลอะไร แย่มากกกก...

"คุณงอนผมหรือ" ดนัยกดปลายคงลง มองสีหน้าพิลึกของคนตรงหน้า

"เปล๊า..." ตรีเชิดหน้าตั้งเป็นจานดาวเทียมสู้ "คุณไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้นหรอกนะคุณนัท"

เจ้าของดวงตาคมคายโคลงศีรษะ ครุ่นคิด "ถ้าอย่างนั้นก็คงค่อนแคะผมอยู่ในใจสินะ"

"คุณมาอยู่ในใจผมตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ" ตรี พงษ์พิพัฒน์หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมแล้วหันหน้าไปอีกด้าน

"ระวังหน่อย เดี๋ยวคอจะเคล็ด ผมแค่เดาไปเรื่อยเปื่อยน่ะ" เขาพูด อมยิ้มขณะที่มองคนค้อนจนหน้าคว่ำ

"ถ้ากำลังคิดจะหาแฟน ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าหมอภัทรมีแฟนแล้ว" ดนัยพูดต่ออย่างถืออาการคนตรงหน้าเป็นเรื่องปกติที่เห็นจนชิน "หมอตุลก็ด้วย"

ใบหน้าของตรีลดระดับลงเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อหูก่อนจะเชิดขึ้นอีกสามสิบองศา

"ฮ่า ๆ ผมล้อเล่นนะ แค่ขอทิ้งทวนหน่อย เพราะจากนี้เราคงไม่ได้พบกันอีก ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีผมมาคอยยืนเถียงให้ปวดหู ให้รำคาญใจอีก ทุกอย่างจบแล้ว ขอให้คุณโชคดีกับงานพิธีกรของคุณนะ เรตติ้งขนาดนี้ลืมเรื่องจะหลุดจากผังไปได้เลย" เขาคลายรอยยิ้มแล้วสบตา "ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกราจริงไหม เราคงต้องบอกลากันจริง ๆ เสียทีสินะ ขอบคุณนะคุณ"

"กองไว้ตรงนั้นแหละ" อีกสิบองศาให้กับประโยคปิดท้ายเก๋ ๆ แบบที่ดูไม่แคร์ใคร ตรี พงษ์พิพัฒน์ยักไหล่สองข้างแบบไม่แคร์โลก "คิดหรือว่าผมจะสนคำบอกลาสะตึ ๆ แบบนั้น"

"คุณสน หลักฐานคือการที่คุณเอามาต่อล้อต่อเถียงกับผมอยู่นี่ไง" ดนัยทิ้งท้ายประโยคนั้นไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ "แต่ผมไม่เถียงกับคุณอีกแล้วละ"

เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นตะเพิดความเงียบให้เตลิดกลับเข้าไปในราตรีที่มืดมิด กระจกหน้าต่างรถของดนัยลดลงพร้อมกับรอยยิ้มชวนมองของคนขับ และเสียงพูดเรียบ ๆ

"กู้ดไนท์ครับ" พูดจบรถก็แล่นหายจากไปบนท้องถนนที่ทอดยาว

ชี้นิ้วด่าว่า "จน" ยังจะดูหยาบคายน้อยกว่า


(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)


ผ่านไปอีกตอน ปั่นมือแหกกันไปข้าง เหลืออีกไม่กี่ตอนเล้ว ฝากติดตามต่อกันด้วยเน้อ ^ ^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 12 (Jul 03, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 03-07-2014 22:35:17
เม้นรวบนยอดสองครั้งเลยละกันนะ^^
คู่ชาฮิด-ภีม มุ้งมิ้งกันเข้าไป อิจฉานะรู้ม้ายยย คู่นี้น่ารักมากค่ะ. กรี๊ซซซซ

คู่อาร์ม-หนึ่ง อ่าวไหงเป็นงั้นล่ะ รินใจดีแหะ แฮปปี้ไปคู่ละ

คู่นัท-ตรี คู่นี้บอกเลยว่า ฟินนนมากกกก เคมีเข้ากั้นนนนเข้ากัน ปลาบปลื้มมากค่ะ
ขำตรีโดนน้องภีมว่า ว่าหน้าเหมือนลิง โอ้ยฮาค่ะ
คู่นี้จะไม่ได้เจอกันแล้วจริงดิ แอบเศร้านะ ฮือออ

คู่ปืน-นภ ปืนนนนนรักเค้าก็บอกเค้าไปสิ บางทีนภอาจจะรอแต่คำว่ารักคำเดียวเท่านั้นเองน้าา

พี่สิงห์-อานนท์ สงสารอานนท์ ฮืออออ สู้ๆๆน้าาาา

รอตอนต่อไปค่าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 12 (Jul 03, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 03-07-2014 23:01:45
ตั้งใจอ่านพาร์ทของปืนเป็นพิเศษ
นี่ก็อีกคู่สินะที่ใจตรงกัน แต่ปากไม่ตรงกับใจ
 เพิ่งดีใจกับอาร์ม+หนึ่งไปเมื่อตอนที่แล้ว
นี่เลยต้องมาลุ้นปืนกับนภต่อ
ก็หวังว่าคำพูดของปรายฟ้าจะช่วยทำให้ปืนทำอะไรดีๆมั่ง
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 12 (Jul 03, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-07-2014 23:07:02
เฮ้ย ดนัยกลับมาเดี๋ยวนี้ เป็นแค่ดนัยกล้าทำอย่างนี้กับชิราโทริ เรโกะ (ตรี) ได้ไง แสบจริง ๆ
ปืนนภอะไรยังไง จะปล่อยเวลาให้ล่วงเลยอีกนานแค่ไหนล่ะ เวลามนุษย์แสนสั้น รีบหาความสุขก่อนตายเถิด
แล้วปืนไม่ได้เป็นพ่อธีมงั้นรึ เดี๋ยวต้องย้อนกลับไปอ่านตอนเก่า
น้องนนท์น่าสงสารที่สุดแล้วตอนนี้ หรือต้องกลับบ้านนอกจริง ๆ อิพี่สิงห์บ้า ไปตายไหนก็ไป ชิ้ว ๆ
เด็กน้อยสามคนน่ารักจริง กอดรวบเลยแล้วกัน
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 12 (Jul 03, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 04-07-2014 09:05:22
ตรีเป็นคนที่ยากจะรับมือจริงๆค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ สงสัยต้องให้นัทปราบได้คนเดียว
คู่ธีม-ชาฮิด อบอุ่นมากกก น่ารักมากๆเลยค่ะ^^
คู่ปรมะกับนภนี่ค่อยๆคลายปมแล้วสิน่ะ อิอิ ดีใจจัง
คู่อานนท์ ฮือออ มาซบอกพี่มาอานนท์อย่าร้องไห้น๊าาา T^T สงสารอานนท์อ่ะ พี่สิงห์มาเอาอานนท์ไปเลี้ยงเลยน่ะ :katai1: :angry2:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 12 (Jul 03, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: grenjewel ที่ 04-07-2014 17:49:43
ยิ่งอ่านยิ่งสนุก มีเรื่องให้ลุ้นตลอดดดดดด
นัทกับตรีนี่ไม่น่าอยู่ด้วยกันได้แต่ก็เข้ากันได้ดีนะ 5555555555
อาร์มกับหนึ่งก็เข้าใจกันดีแล้ว เหลือคู่ปืนนภกับคู่พี่สิงห์อานนท์นี่แหละที่ต้องลุ้นต่อไป
ชาฮิดกับธีมก็น่ารักมุ้งมิ้งสมวัยดี

หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 13 (Jul 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-07-2014 22:08:29
ตอนที่ ๑๓




เช้าวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี ดนัยลืมตาขึ้นบนเตียงนอนด้วยอาการเมาค้าง พอเห็นกองผ้าเช็ดตัวเปียก ๆ ที่กองอยู่บนพื้นห้องก็ลุกขึ้นมาหยิบไปโยนลงตะกร้าผ้า เมื่อคืนเขาจิบไวน์ไปเพียงนิดหน่อย อาการที่เป็นอยู่จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ แต่เป็นที่ความรู้สึกมากกว่า ก็จริงอยู่ที่สองสามวันที่ผ่านมานี้เขามีพฤติกรรมเข้าข่ายแบบที่พี่คะน้ามักจะเอามาแซวอยู่บ้าง "ดูมีอินเนอร์เป็นพิเศษ" เดิมที่เดียวเขาก็ไม่ได้คิดแบบนั้น รู้สึกว่าเป็นแค่ความสนุกที่ได้ยั่วเย้าอีกฝ่ายให้เบิกบานใจไปเล่น ๆ ที่แล้วความรู้สึกที่บอกลากันทำให้นัทต้องกลับมาคิดเสียใหม่

ชายหนุ่มขับรถออกจากบ้านในซอยเย็นอากาศ ไม่รู้ว่าตั้งขึ้นมาเพื่อประชดกันให้เจ็บปวดหรือเปล่าเพราะอากาศที่นี่ร้อนตับแลบได้ทั้งปี แสงอาทิตย์สะท้อนกับหน้าต่างของคอนโดมิเนียมจนงดงาม ร่างสูงสูดอากาศยามเช้าจนเต็มปอด กลิ่นของสายลมที่ควรจะอ่อนหวานกลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด มีอะไรบางอย่างที่ดนัยรู้สึกหงุดหงิด และเขาก็เดาสะเปะสะปะไปว่ามันคงจะเป็นเรื่องของอากาศที่ร้อนได้สมราคาคุยเอาเสียจริง ถึงขนาดเร่งแอร์จนสุดก็ยังร้อนผ่าวเหมือนตัวจะปะทุ

เขาโผล่หน้าเข้าไปที่บริษัท ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาทำไมที่นี่ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ดนัยกล่าวอรุณสวัสดิ์กับโต๊ะทำงานที่ไม่มีคนนั่ง เดินมาเปิดคอมพิวเตอร์ ทันที่ที่กดสวิตซ์ หน้าจอสี่เหลี่ยมก็ตื่นขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา ดนัยแสยะยิ้มให้กับมันแล้วเปิดไฟล์เอกเซลทำงบประมาณของครึ่งปีหลังทั้งที่อีกหลายเดือนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องทำ

อีกซีกหนึ่งของกรุงเทพ ชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ในสตูดิโอที่แสนเย็นฉ่ำ จะวันที่ร้อนที่สุด หนาวทีี่สุด หรือวันไหน ๆ ก็ไม่มีผลอะไรกับตรี พงษ์พิพัฒน์ทั้งนั้น เพราะชีวิตของตรีไม่เคยลำบาก และจะไม่มีวันลำบาก เดิมที่เดียววันนี้เป็นวันหยุดของตรี แต่เพราะเป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุดในรอบ 60 ปีและนั่นก็ทำให้ประชาชนทั้งประเทศตื่นตระหนกเสียขวัญเป็นอย่างมาก

ประเทศไทยกำลังต้องการตรีผู้นี้

นี่คือเสียงเรียกร้องของคนทั้่งประเทศ พวกเขาต้องการใครสักคนที่จะมาส่งรอยยิ้มปลอบประโลมและบอกเล่าความจริงว่าเราทุกคนจะจับมือแล้วก้าวผ่านวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีไปด้วยกัน และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมช่องถึงจัดรายการพิเศษ "วันนี้ที่ประเทศไทย" ขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนให้กับคนไทยทั้งประเทศในเวลาคับขัน โอเค ฟังดูอาจจะโอเวอร์ไปหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็เพ้อเจ้ออยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงนั่นแหละ

ความเงียบอันน่ารำคาญเข้ามาคลอบคลุมหัวสมองของตรีอีกครั้งเมื่อกระบวนการในการฆ่าเวลาอย่างไร้สาระนั้นหมดไป มันมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ยังติดค้างอยู่กับคนคนนั้นในตอนที่บอกลากันเมื่อคืน อันที่จริงเมื่อเปรียบเทียบบรรยากาศนับตั้งแต่ตอนที่พบกันครั้งแรกกับตอนที่ลาจากแล้ว เรียกได้ว่าสัมพันธภาพเหมือนถูกประดับประดาด้วยผ้าพันคอของมิวมิวด้วยซ้ำ...ปราด้าก็ได้ อย่างน้อยก็มันก็เป็นแบรนด์แม่ลูกกัน มีสายใยบาง ๆ เชื่อมถึงกัน ตรีกัดริมฝีปากแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง คิดทบทวนดูว่าจริง ๆ แล้วควรจะเอ่ยกู้ดไนท์บอกลากับคนชื่อนัทที่แสนดาษดื่นคนนั้นไปดีไหม อย่างน้อยก็ตามมารยาท แต่อะไรบางอย่างที่ทำให้ตรีไม่สามารถตัดใจทำอย่างนั้นได้

นัทที่แสนดาษดื่นที่ว่ากำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน จ้องมองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางจากมัยมนัสพร้อมกับข่าวดีเรื่องยอดขายที่ทะลุเป้า อีเมลจากฝ่ายขายและมีเดียเอเจนซี่บนหน้าจอสรุปรายละเอียดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยอดการจำหน่ายสินค้า หรือแม้แต่การช่วงชิงพื้นที่สื่อเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งอื่น ๆ ความคิดที่จะทำเป้าสูงกว่าปีที่แล้ว 30 เปอร์เซ็นต์ถือเป็นอันล้มเลิกไป เพราะไจแอนท์โคลากำลังลุ้นสิ่งที่ใหญ่โตกว่านั้น นั่นคือการขึ้นเป็นน้ำอัดลมที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในซัมเมอร์นี้ เขาควรจะยิ้มออกใช่ไหม แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเฉย ๆ กับข่าวดีพิกล

ขณะที่ทีมงานกำลังวุ่นวายกับการเตรียมเทปข่าว เช็กสัญญาณสำหรับถ่ายทอดบรรยากาศสดจากจุดสำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับเดินไปทั่วสตูดิโอ หยิบเสื้อผ้าโน่นนี่แขวนบนราวแล้วก็หยิบมันออก ขยับเก้าอี้นั่นนี่แล้วก็เลื่อนไปไว้จุดเดิม ทำซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้นมาครึ่งชั่วโมง และขณะที่มีความคิดว่าจะลองไปโทรไปจองตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-มิลานแล้วยกเลิกให้เสียเงินเล่น ๆ ตามประสาคนรวย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

หน้าจอสว่างวาบเป็นชื่อของดนัย

โฮ่ ๆ ๆ ตรีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนดังลั่นสตูดิโอ เดินฉุยฉายส่งยิ้มโบกมือให้กับทีมงานที่เหงื่อแตกซิกไปทั่ว จนพี่จ๊อดที่ปกติไม่ค่อยจะญาติดีกับชายหนุ่มเท่าไรถึงกับต้องถามด้วยความรำคาญ

"ตรีทำไมไม่รับโทรศัพท์ ทีมงานกำลังประชุมอยู่ ปวดหูไปหมดแล้ว"

"โอ้...ไม่นะ ! นี่โทรศัพท์กำลังดังอยู่หรือเนี่ย ทำไมไม่ได้ยินเลย โอ้...ไม่ ใครกันนะที่โทรมา ใครนะที่ทำให้ทีมงานต้องรำคาญ นี่คือกำลังโกรธมาก บอกเลย" คนกำลังโกรธยื่นโทรศัพท์ของตัวเองที่แทบจะทิ่มลูกตาของพี่จ๊อด "ใครน่ะ ใครกันนะ"

"คุณนัทโทรมา ทำไมไม่รับ" พี่จ๊อดถามอย่างหงุดหงิด

"ไม่ !" ตรีระเบิดเสียงโกรธ แต่ยิ้มระรื่นชื่นบานเป็นกระด้ง "ตรีโกรธมากกก...โกรธแทนพี่จ๊อดและทีมงานทุกคน และไม่ ! นี่เป็นเวลาทำงาน เราไม่ควรรับโทรศัพท์"

"ก็ทำไมไม่รับให้มันจบ ๆ ไป"

"ไม่ ! นี่คือโกรธมาก เห็นไหม นี่ไม่อยากคุยเลยสักนิด คือเฉย ๆ ...แต่ไม่ใช่เฉย ๆ ธรรมดานะ เฉย ๆ มากกก... ไม่แคร์เลยสักนิด ไม่ได้รอโทรศัพท์อยู่หรอกนะ ไม่ได้เอามาอวดนะ แต่เอามาให้ดูว่าโกรธมากกก... ไม่อยากคุยด้วย" พูดจบก็ยกมือป้องปากหัวเราะลั่นสตูดิโออีกครั้ง ดวงตรีสุกใสวับแวว

พูดเสียขนาดนั้น พี่จ๊อดขึงดึงโทรศัพท์ของตรีไปกดรับเสียเอง "สวัสดีครับคุณนัท ตรีไม่อยากคุยด้วย เขาพูดทำนองว่าเลิกโทรมาได้แล้ว" วางสายเสร็จก็ยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าของเครื่ีองที่กำลังยืนทำท่าตะลึงพรึงเพริศเหมือนกับเห็นภูเขาไฟปะทุอยู่ตรงหน้า

ไม่นะ ไม่ นี่มันหยาบคายมาก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ตรียืนตัวสั่นระริก

เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนเฉย พี่จ๊อดเลยยัดโทรศัพท์กลับคืนเข้ามือของตรีแล้วกำชับเรื่องรายการออกอากาศสดวันนี้ "เอาเวลาไปเตรียมตัวได้แล้ว วันนี้เทปพิเศษ จะฉายในประชุมของบอร์ดผังรายการ พลาดไม่ได้นะ ไปได้แล้ว พี่จะประชุมต่อ"

ไม่นะ นี่มันต้องเป็นเพราะจิตวิญญาณแบบพระเอกที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของตรีแน่ ๆ ขยับตัวทำอะไรก็ต้องโดนตัวร้ายกลั่นแกล้งตลอด ตรียกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่ไหวระริกของตัวเอง

"ยังไม่ไปอีก" พี่จ๊อดหันมาเสียงแข็งใส่

ตรีไม่เป็นอะไร และตรีจะไม่ตอบโต้พวกคุณ เพราะว่าตรีเป็นพระเอก และตรีเป็นคนดี "มาก" ครับ



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



การมาถึงของวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปีไม่ได้มีความสำคัญไปกว่าการขายแอร์ให้ออกสักเครื่องก่อนจะหมดวันนี้ วันนี้เป็นวันที่ร้อนจัด และเพราะเป็นแบบนั้นคอมเพล็กซ์จึงเต็มไปด้วยลูกค้ามากมายที่มาเดินจับจ่ายซื้อของหรือแม้กระทั่งเดินเล่นผ่อนคลาย ยอดขายโดยรวมถือว่าสูงกว่าปีที่แล้วถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ยอดขายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมากลับไม่ได้สูงดังคาด นั่นก็เป็นเพราะว่าข่าวเรื่องวันนี้จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีทำให้ผู้คนต่างตื่นตัวออกมาซื้อหาแอร์เพื่อไปติดตั้งที่บ้านแต่เนิ่น ๆ แล้ว

ในจำนวนพนักงานที่ถูกอบรมใหม่ทั้งหมด อานนท์เป็นเพียงคนเดียวที่ยังขายแอร์ไม่ได้สักเครื่อง

พยายามแล้ว แต่ลูกค้าที่อานนท์ไปดูแลนั้นเป็นคนที่แวะมาดูโปรโมชั่นเพื่อเปรียบเทียบ ลูกค้าที่เป็นลูกค้าจริง ๆ นั้นกลับไม่มีโอกาสรับรองดูแลเลย สองสามวันนี้อานนท์ทำงานแบบไม่มีพักกลางวัน หิวก็ทน เมื่อยก็ทน ยืนที่หน้าฟลอร์เพื่อทำงานอย่างเต็มที่ ถ้าไม่ไหวก็เดินเข้าไปนั่งด้านหลัง จิบน้ำ กินข้าวเหนียวหมูปิ้งสักไม้ครึ่งไม้รองท้องแล้วออกมายืนประจำหน้าแผนกใหม่ในระยะเวลาไม่ถึงห้านาที อานนท์บอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนฉลาด ความพยายาม ความอดทนเป็นคุณสมบัติที่ดีเพียงไม่อย่างที่ดี และอานนท์จะไม่ยอมละทิ้งมันไปเพียงเพราะถอดใจ

"เหนื่อยหน่อยนะอานนท์" คุณโกวิทเดินเข้ามาทัก "เป็นยังไง ขายได้บ้างไหม"

"ยังเลยครับ" หนุ่มน้อยอ้อมแอ้มตอบ

"เป็นการคำนวนที่ผิดพลาดจริง ๆ ไม่มีปีไหนที่ร้อนเท่าปีนี้ เพราะอย่างนั้นคนถึงแห่กันมาซื้อตั้งแต่ปลายเดือนมีนาฯ แล้วพอใหล้กลางเมษาฯ ยอดก็ตกฮวบเพราะลูกค้าซื้อกันไปหมดแล้ว ยิ่งเฉพาะวันนี้ด้วยแล้ว ยากจริง ๆ" คุณโกวิทพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "ผมจะลองคุยกับผู้ใหญ่ดู มันไม่ยุติธรรมถ้าจะมาประเมินพนักงานขายเท่าไรในช่วงนี้"

"แต่คนอื่นเขาก็ทำกันได้นะครับ มีแค่ผมคนเดียว ผมคงยังพยายามไม่มากพอ" อานนท์ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ทำให้คุณโกวิทผิดหวัง ทำให้พี่สิงห์ต้องเสียเวลามาสอนพนักงานที่ไม่มีประโยชน์กับบริษัทเท่าไรแบบเขา

"อานนท์" โกวิทพูดด้วยลมหายใจอ่อนล้า "คุณเป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน มีความตั้งใจ เรื่องนี้เธอมีมากกว่าคนอื่น ๆ โดยไม่ต้องมีข้อสงสัย ทุกคนที่นี่ยอมรับเธอ บริษัทต้องการพนักงานแบบนี้"

"ผมไม่อยากตกงาน ผมอยากทำงาน อยากเก็บเงินส่งให้ที่บ้าน อยากทำให้พ่อแม่สบายใจ แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมขายแอร์ไม่ได้ สองเดือนก่อนก็ขายที่นอนไม่ได้สักหลัง" หัวไหล่เล็ก ๆ สั่นไหวในขณะที่อานนท์เอาแต่ก้มหน้า

"ผมไม่อยากตกงานเลยคุณโกวิท ผมไม่อยากตกงาน ผมอยากมีงานทำ" แขนเสื้อถูกยกขึ้นปาดบางสิ่งบางอย่างบนใบหน้าที่ก้มอยู่

โกวิทลากลมหายใจยาว ในฐานะหัวหน้างานเขาจำเป็นต้องรักษากฎ และมันถูกตั้งขึ้นบนพื้นฐานของยอดขาย แต่โกวิทกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าอานนท์เป็นเด็กที่ใช้งานได้ อุปนิสัยใจคอดี เป็นคนรับผิดชอบ นอบน้อมซึ่งหาได้ยากเหลือเกินในเมืองที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแบบนี้ แต่การดึงดันจะย้ายแผนกอานนท์และคนอื่น ๆ มาที่แผนกเครื่องปรับอากาศที่มียอดขายสูงสุดในช่วงหน้าร้อนนี่ก็ถือเป็นการที่เขาออกหน้าแล้ว คนพวกนี้เป็นเด็กดี มีฝีมือทั้งนั้น และโกวิทก็ไม่อยากเสียไป แผนการในครั้งนี้สอบผ่านทุกคน จะติดก็แค่อานนท์ที่โชคร้ายยังไม่ได้เจอกับลูกค้าที่ต้องการซื้อจริง ๆ

"ผมรักที่นี่ อยากกินข้าวกลางวันกับมาลี อยากคุยกับตูน ผมอยากอยู่กับทุกคน อยากทำงานกับคุณโกวิท อยากให้พี่สิงห์สอนงานผมอีก"

"เพชรกล้านั่นเหรอ ?" ชายวัยกลางคนถาม "ทั้งที่เพชรกล้าเป็นคนบอกว่าถ้าคุณขายแอร์ไม่ได้สักเครื่องต้องไล่ออกนั่นนะ"

"ครับ"

"ทำไมหรืออานนท์"

"ถึงพี่สิงห์จะเป็นคนเข้าถึงยาก แต่ก็เป็นคนตั้งใจทำงานจริง ๆ ถึงจะดูดุ แต่พี่สิงห์ไม่ได้ดุใครพร่ำเพรื่อ พี่สิงห์จะดุผมในเวลาที่ผมไม่ตั้งใจทำงานเท่านั้นครับ พี่สิงห์ไม่เคยคิดร้ายกับใคร" เด็กหนุ่มสะอึกสะอื้น "และถึงแม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้าผม แต่ผมก็ชอบพี่สิงห์มากครับ"

"อานนท์" โกวิทเรียกเสียงอ่อน "คุณเหมือนลูกของผมมากนะ ถึงจะโตกว่า อายุมากกว่าหลายปี แต่ผมก็รักคุณเหมือนลูก คุณมีนิสัยใจคอยังไง เป็นคนยังไง ทำไมจะไม่รู้ นี่ยังไม่หมดเวลา คุณพยายามตั้งใจทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งท้อถอดใจ"

"ครับ" อานนท์รับปาก

"สิ่งดี ๆ มีไว้สำหรับคนดี ๆ" โกวิทเอื้อมมือขึ้นแปะที่บ่าเล็ก ๆ ที่ไหวสั่นไม่หยุดนั้น "ผมอยากให้คุณจำเอาไว้"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



การรอคอยดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาวนาน แต่ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง นี่คือวันอันแสนรื่นรมย์สำหรับสมาชิกชมรมจักรยาน ทุกคนต่างล้วนตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อและมารวมกันยังที่นัดหมายเพื่อร่วมทริปย้อนประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ สถานที่ซึ่งปัจจุบันเราทุกคนต่างรู้จักกันในชื่อของ "กรุงเทพมหานคร" จักรยานหลายสิบคันค่อย ๆ ถูกจูงไปรวมกันอยู่ที่จุดลงทะเบียนบริเวณวังสราญรมย์ ก่อนที่จะปั่นลัดเลาะไปตามเส้นถนนท้ายวัง ถนนสนามไชย สู่ถนนพระอาทิตย์ เลียบคูพระนคร เลาะคลองสายเล็ก ๆ รอบกรุงก่อนจะกลับมาบรรจบที่วังสราญรมย์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น

ระรินกระชับถุงมือทั้งสองข้างแล้วนั่งรออยู่บนจักรยาน นั่งอยู่เงียบ ๆ ทำความคุ้นเคยกับถนนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของกรุงเทพในความทรงจำเก่า ๆ ต้นไม้สูงใหญ่ที่ตัดสีเขียวแซมอาคารที่มีอายุร่วมร้อยปี จนกระทั่งจักรยานคันหนึ่งถูกจูงมาจอดอยู่เทียบกัน

"รินมานานหรือยังคะ" อริยะยิ้มกว้าง สดใสเหมือนฤดูร้อน

"สักพักค่ะ แล้ว...หนึ่งไม่มาด้วยเหรอคะ"

"ชวนแล้วน่ะ แต่ไม่มา ขอโทษนะ" เขายกมือขึ้นขยี้ท้ายทอยอย่างเก้กัง

"ตอนแรกนึกว่าอาร์มจะไม่มาแล้ว"

"มาสิ รับปากแล้ว" อริยะจับเป้ที่สะพายอยู่บนหลังให้เข้าที่ "วันนี้ก็เป็นวันที่ร้อนที่สุดด้วยสินะ แล้วก็ต้องใส่มาแบบนี้ เสื้อแขนยาว แขนสั้นอีกตัวทับ แว่นกันลม หมวก ถุงมือ ไหนจะเป้สะพายหลังนี่อีก ยังมีอะไรอีกนะ"

"กระติกน้ำ" เธอตอบพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ทริปขี่จักรยานเป็นระยะทางค่อนข้างไกล การสวมใส่เครื่องแต่งกายที่เหมาะสมและการเตรียมพร้อมเรื่องสุขภาพร่างกายถือเป็นเรื่องจำเป็น

"ใช่ ๆ กระติกน้ำ ลืมไปเลย" เด็กหนุ่มยังคงวุ่นวายอยู่กับข้าวของที่ไม่คุ้นนัก กว่าจะเข้าที่ก็ใช้เวลาอีกหลายนาที

รถจักรยานของทั้งคู่ถูกจูงไปรวมกลุ่มกันกับสมาชิกคนอื่น ๆ ประธานชมรมกำลังอธิบายเรื่องเส้นทาง การปฐมพยาบาลเบื้องต้นในกรณีที่มีสมาชิกเป็นลม ตลอดจนกำชับว่าจะต้องขี่ไปเป็นกลุ่ม หรือน้อยที่สุดก้ต้องมีบัดดี้เป็นคู่คอยช่วยเหลือในกรณีที่มีเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน ระหว่างนั้น พิธานก็วิ่งหอบเข้ามาแล้วยืนงงอยู่ที่จุดลงทะเบียนเหมือนคนหลงทาง

อาร์มทิ้งจักรยานแล้ววิ่งออกไปทักทายทันที รินมองผู้ชายสองคนหยอกล้อวิ่งไล่เตะกันอย่างมีความสุขด้วยความรู้สึกเว้าแหว่งในใจ เธอเบือนหน้าไปอีกด้าน ไม่อยากเห็นภาพชินตาที่ทำให้รู้สึกเจ็บซ้ำซากแบบนั้นอีก

"ริน...ดูสิ ใครมา" อาร์มคล้องคอของคนที่ยังทำหน้าเหนื่อยไม่หายมายืนตรงหน้า

"ริน...วันนี้สู้ ๆ นะ เราเอาใจช่วย"

รินยิ้มรับ ยึดแฮนด์จักรยานช่วยทรงตัว "ขอบคุณนะคะ ไม่ไปด้วยกันเหรอ"

"ไม่ดีกว่า ขี่ไม่เป็น ไปก็เป็นภาระเปล่า ๆ" รอยยิ้มตรงหน้าของเธอยังเป็นรอยยิ้มของเพื่อนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน และดูคล้ายว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ "ถึงจะไม่ไปด้วย แต่ก็อยากมาให้กำลังใจรินนะ ถ่ายรูปวิวสวย ๆ มาอวดกันบ้างแล้วกัน"

"ได้สิ" ระรินยิ้มบางเบา อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายไปกว่าที่ผ่านมา ยังเป็นเพื่อนที่สามารถพบปะพูดคุยกันได้ไม่ใช่หมางเมินกลายเป็นคนไม่รู้จักกัน วัดดวง พูดออกไปแล้ว ได้ทำที่อยากทำไปแล้ว รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร ตัดใจหรือยั้งรั้นเดินต่อ เป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรให้ติดค้างในใจอีกแล้ว มิตรภาพเองก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งในความสัมพันธ์ที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ

ความรักเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงตอบรับความรักหลายคนที่ก้าวเข้ามาไปแล้ว ไม่ต้องปฏิเสธด้วยความลำบากใจ เจ็บก็ใช่ แต่ก็เธอก็เคยทำให้อีกหลายคนรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน และก็ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้




(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 13 (Jul 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 04-07-2014 22:24:36
(ต่อครับ)




พิธานเดินเลี่ยงออกไปกับอริยะที่พาไปจักรยานและสารพัดของกินในเป้ ท่าทางของอีกคนเหมือนเด็กที่กำลังอวดของเล่นชิ้นโปรด จนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "ไม่คิดว่าจะแต่งขนาดนี้นะเนี่ย จำแทบไม่ได้เลย เอาอาร์มที่รู้จักกลับมานะ แบบนี้มันดูเท่ไป"

"เท่อะไร ไม่ขนาดนั้นหรอก" คนถูกชมยิ้มเขิน "ไม่คิดว่าจะมา เขินจัง ตื่นเต้นไปหมดเลย"

อ้ำอึ้งกันอยู่สักพักกับความรู้สึกใหม่ที่กรุ่นอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวาน หนึ่งคิดว่าตัวเองใช้ความอดทนมากมายเหลือเกินที่จะไม่แสดงออกแบบกระโตกกระตากต่อหน้าใครต่อใครโดยเฉพาะริน ด้วยรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร และก็คงไม่มีใครที่ชอบให้ตัวเองจมอยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้น หนึ่งพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่ได้แสดงออกถึงอาการเห็นใจ สงสาร หรือทำเหมือนเธอเป็นคนป่วยที่ต้องดูแลให้รู้สึกประดักประเดิกกัน

ความรู้สึกละอายใจยังคงหวั่นไหวอยู่ภายใน เช่นเดียวกับความรู้สึกดีใจที่กระโจนลิงโลดอยู่อีกด้าน ขณะที่หนึ่งในตอนนี้เหมือนคนที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างความรู้สึกที่หลากหลาย ทว่าสิ่งที่ต้องการในตอนนี้ที่สุดคือการทำให้รูปทรงที่อัปลักษณ์กลายเป็นภาพจำหลักที่สวยงามและลงตัวสำหรับทุกคน

"แล้วนี่เลิกกี่โมงเหรอ"

"ไม่รู้เหมือนกัน เลิกแล้วไปหานะ" อาร์มตอบพร้อมรอยยิ้มง่าย ๆ แบบที่หนึ่งแอบชอบ

พอได้มาเห็นใกล้ ๆ หนึ่งคิดว่าตัวเองหน้าไม่แดงในตอนที่เอ่ยรับคำไป

นิ้วมือทั้งห้าของอาร์มสอดเข้ามาระหว่างนิ้วมือของหนึ่งก่อนจะกุมมันไว้หลวม ๆ "กินข้าวเย็นด้วยกันนะ"

"ได้ ๆ"

นี่เป็นแบบฝึกหัดแห่งความอดทนอดกลั้นที่หนึ่งจะต้องฝึกไว้ให้ชิน เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเข้าหาแค่ไหน ลักษณะการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อไม่ใช่สิ่งที่หนึ่งถนัดเลย ตรงกันข้ามกับอีกคนที่ดูจะทำมันได้อย่างเป็นธรรมชาติิไม่เคอะเขินและไม่เคยคิดที่จะระวังท่าที โดนล้อว่าคู่เกย์ก็ยิ้มรับหน้าตาเฉย อาร์มเป็นคนมาแต่ไหนแต่ไร ปัญหาคือก่อนหน้านี้หนึ่งเก็บอาการได้ตลอด แต่พอตอนนี้ที่สถานะดูจะเปลี่ยนไปเป็นแบบที่ล้อกันขึ้นมาจริง ๆ แล้ว บอกตามตรงว่าพิรุธมันออกมาค่อนข้างชัดเจนทีเดียว (เมื่อวานพี่อายส์ถึงกับแซวว่าไม่แต่งงานกันให้จบเรื่องไป)

"หนึ่ง..." อาร์มส่งเสียงอ้อน

"หืม ?"

"ไปด้วยกันไหม อาร์มขี่ให้"

หนึ่งส่ายหน้าแล้วเบี่ยงตัวหันไปอีกด้านแกล้งทำเป็นไม่สนใจสายตาอ้อน ๆ แบบนั้น เจ้าตัวไม่รู้เลยว่านั่นเป็นหมากที่เดินพลาด เมื่อเป็นฝ่ายหนี อาร์มก็ควบไล่และจู่โจมด้วยท่าทีที่จะยากรับมือมากขึ้น ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คำพูดเรื่อยเจื้อย แต่เป็นการรุกไล่ที่ต้นเข้ามาจนประชิด

"อยากอยู่กับหนึ่ง"

"อืม รู้แล้ว ก็เดี๋ยวเลิกก็เจอกันไง"

บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความอ่อนหวานน่ารักในตอนที่ปากอิ่มนั้นขยับเข้ามากระซิบข้างหูก่อนจะถอยตัวกลับเพียงคืบแล้วส่งยิ้ม

"คิดถึงนะคะหนึ่ง"

นั่นเป็นใบหน้าแบบที่มีปฏิกิริยาต่อหัวใจของพิธานที่สุด ชีพจรของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งเวลาที่เห็นเงาสะท้อนบนกระจกแว่นของคนตรงหน้าเป็นภาพของตัวเอง มีสีแดงที่กระจ่างที่สุดวาดระบายอยู่บนกรามแก้ม ตลอดจนล้อมกรอบแววตาที่ไหวระริกเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ประสาต่อความรัก และที่ร้ายกาจไปกว่านั้นคือสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้แผ่นกระจกบางใส

ดวงตาสีดำที่ฉาบด้วยความละมุมละไมที่สุดของสายลมฤดูร้อน

"อาร์มรักหนึ่งนะคะ"

พิธานพยักหน้าหงึกหงัก ล่องลอยไปกับไอแดดที่เจิดจ้า ไร้ระเบียบ ไร้ทิศทาง ละม้ายว่าพระอาทิตย์ในดวงตาคู่นั้นมีพลังงานมากพอจะเผื่อแผ่ไปทั่วทั้งฟ้า ทั้งยินดีปรีดาที่จะเหยียดหยัดกายออกมายืนต่อหน้าใครต่อใคร คนที่เอาแต่เงียบได้แต่ก้มหน้า ปล่อยตัวเองรับแสงอุ่น ๆ นั้นจนร้อนวาบไปทั้งเนื้อตัว

ให้สมกับวันที่ร้อนที่สุดเท่าที่เขารู้จักมา



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



วันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีมีอิทธิพลต่อความมีชีวิตชีวาของร้านเป็นพิเศษ ผู้คนขวักไขว่ พนักงานมีงานทำกันตลอดเวลา แตกต่างจากช่วงเวลาเดียวกันในไม่กี่วันก่อนเป็นคนละเรื่อง นับตั้งแต่ปรายฟ้าได้มาทำงานในร้านแห่งนี้ ช่วงสายไปถึงกลางวันมีแต่ความวังเวงจนน่าเบื่อ ตอนนี้บรรยากาศความเศร้าสร้อยกลับถูกลืมเลือนไปจนหมด มีการเคลื่อนไหวตลอดทุกนาที แม้แต่ซอกที่เงียบและว่างเปล่าที่สุดก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะตลอดเวลา

"ข้างนอกนี่ร้อนจะตายเลยไหม" ปรายฟ้าเดินมาทักนภที่โต๊ะตัวหนึ่งค่อนมาทางด้านใน

"ก็เอาเรื่องอยู่นะ" นภตอบ เหงื่อกาฬยังชื้นติดอยู่ที่ไรผม เป็นภาพที่เรียกรอยยิ้มให้กับหญิงสาวน่าดู

"ดื่มอะไรดี น้ำเลี้ยงเอง โทษฐานที่ชวนออกมา"

"อะไรก็ได้" เขาตอบ กระพือเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่า

"แย่หน่อยนะนภ ร้านนี้ไม่มีเครื่องดื่มชื่อ 'อะไรก็ได้' เสียด้วย" ลูกน้ำกระเซ้าด้วยรอยยิ้ม "มะนาวโซดาแล้วกัน น้ำเพิ่งหัดทำเอง" พูดแล้วก็เดินกลับเข้าไปด้านในอย่างกระฉับกระเฉง

ท้องฟ้าในวันซึ่งขึ้นชื่อว่าร้อนโหดเหี้ยมที่สุดนั้นแสนจะแจ่มใส แสงแดดเต้นเร่าอย่างมีชีวิตชีวาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานนั้นต้อนผู้คนมากมายให้หลบเข้ามาพักพิงที่ไหนสักที่ รอเวลาจนกว่าความสดใสของพระอาทิตย์นั้นจะยอมบอกลาไป นภนั่งมองภาพที่แสนอลหม่านของกรุงเทพผ่านกระจกหน้าต่างอยู่สักพัก ปรายฟ้าจึงเดินกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นฉ่ำและของทานเล่นอีกนิดหน่อย

"มีอะไรหรือเปล่าน้ำ" คำถามแรกเกิดขึ้นเมื่อจิบน้ำไปอึกใหญ่

"ตายจริง รีบร้อนเป็นวัยรุ่นเลยนะ" ลูกน้ำหัวเราะ หยิบแผ่นมันฝรั่งสไลด์ที่ปรุงพิเศษเข้าปากก่อนจะถามด้วยน้ำเสียกปกติ "นภคิดยังไงกับปืนเหรอ"

คนที่ถูกถามแทบจะสำลักอากาศ ยังตั้งตัวไม่ถูกกับคำถามชนิดที่ไร้ที่มาที่ไปแบบนั้น

"นภก็รู้ว่าน้ำเป็นคนพูดตรง ๆ" เธอเงยหน้าขึ้นไปมองประตูที่เปิดออก สั่งงานลูกสมุนทั้งสาม ชาฮิด มีรา และธีมให้ประจำตรงเครื่องไอศกรีมระหว่างที่คุยธุระอยู่ พอเรียบร้อยแล้ว ปรายฟ้าหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มและคำถามที่ตรงกว่าเดิม "นภรักปืนใช่ไหม"

นภสะอึกไปสักพักก่อนจะพูดเสียงแผ่ว "อะไร"

เงียบกันไปครู่ใหญ่ จากนั้นบทสนทนาก็ดูจะเข้ารูปเข้าร่างกว่าคำถามที่สั้นห้วนแบบที่ผ่านมา

ละม้ายกับปรายฟ้ากำลังจับมือเขาเดินขึ้นบันไดไปขั้นบนสุด ลัดเลาะผ่านระเบียง ก่อนจะพาก้าวขาเข้าสู่ห้องแห่งความลับที่ไม่มีใครเคยได้ย่างกรายผ่านเข้ามา

"นี่เป็นเรื่องที่น้ำไม่สบายใจมาตลอด และคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะเคลียร์ทุกอย่างที่ติดค้างในใจมานานหลายปีให้เสร็จสิ้นเสียที ตอนนั้นพอน้ำลาออกไปแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกับใครอีกเลย นภเองก็ไม่อยู่ที่กรุงเทพอีกแล้ว" เธอเงียบไปอีกสักพักเหมือนกำลังรื้อตะเข็บที่ไม่เรียบร้อยในอดีตอันหมักหมมมานานขึ้นมาเพื่อซ่อมแซม "บอกตามตรงว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะยุ่งด้วยเท่าไหร่ แต่จะไม่เกี่ยวเลยก็คงจะไม่ได้ เหมือนน้ำเป็นตัวที่สร้างเรื่องให้กับทุกคน  น้ำก็ไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างนภกับปืนพูดคุยอะไรกันเอาไว้บ้าง หรือว่าไม่พูดอะไรเลยจนทุกอย่างมันถึงเป็นอย่างทุกวันนี้"

ปลายนิ้วของเธอสะกิดเข็มลงไปที่ปมขนาดใหญ่ แล้วมันก็ถูกจุดพอดี

"นภคิดว่าธีมเป็นลูกของน้ำกับปืนอย่างนั้นเหรอ"

นภเหมือนกับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มีแสงสาดเพียงสลัวรางเลือน และเต็มไปด้วยด้ายปมระโยงระยางจนแกะไม่ถูก "มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ"

คำตอบของนภดูจะไม่ได้ทำให้ปรายฟ้าประหลาดใจอะไร คล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่คาดเดาได้แต่แรกแล้ว เธอจึงพูดอย่างติดตลกด้วยเห็นว่าเป็นข่าวลือที่ไร้สาระสิ้นดี "พูดตรง ๆ นะ น้ำไม่คิดจะเอาคนทึ่มแบบนั้นมาเป็นแฟนหรอก และแน่นอนว่าไม่เคยมีอะไรกันด้วย ไม่เคยอยู่ในสายตาสักนิด"

คนฟังชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตั้งคำถามอย่างไม่เชื่อหู "หมายความว่ายังไง"

"ปืนไม่ใช่พ่อของธีมหรอก น้ำท้องกับคนอื่น คนคนนั้นฉลาดกว่าปืนมาก แล้วก็เป็นคนที่แย่กว่ามาก ๆ ด้วย...แต่น้ำก็รักเขา" ท่ามกลางฉากละครอันหม่นมัว กลิ่นความทรงจำอันปวดร้าวก็ขับกล่อมดั่งบทเพลงที่เหลือเพียงท่วงทำนองที่ขาดวิ่น

"วันที่รู้ว่าตัวเองท้อง น้ำยังนั่งสูบบุหรี่ กินเหล้าเป็นขวด ๆ อยู่เลย ไม่คิดเลยว่าคนแบบตัวเองจะเป็นแม่ใครกับเขาได้ ไม่รู้ตัวสักนิดว่าธีมเขาจะมาอยู่ด้วย น้ำยังนั่งลูบท้องตัวเองแล้วคิดว่าจะทำแท้งให้จบ ๆ เรื่องไปดีไหม แต่ธีมเขาไม่มีความผิดอะไรเลย แล้วเขาก็เกิดขึ้นมาด้วยความรัก...อย่างน้อยก็ในตอนนั้น สองเดือนก่อนที่จะความรักจะกลายเป็นเรื่องงี่เง่าจนไม่มีใครอยากจะจำกันอีกต่อไป"

นภจ้องมองดวงตาอันเศร้าหมองและสิ้นหวังที่วูบขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีสั้น ๆ แล้วหลุบตาลง "เลิกกันก่อนจะรู้ว่าท้องอย่างนั้นเหรอ"

ปรายฟ้ายักไหล่แทนคำตอบว่ามันก็เป็นแบบนั้น "ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปืนเลย แต่ช่วงเวลาที่ทำอะไรไม่ถูก ปืนดันมาเจอเข้า หลังจากนั้นก็กลายเป็นเอาไปเป็นธุระของตัวเองไปหน้าตาเฉย ทึ่มไหมล่ะ ทั้งที่แต่ก่อนคุยกันสักกี่คำเชียว ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้นด้วยซ้ำ"

ผมของปรายฟ้าเคลียไหล่และระแก้ม คล้ายดั่งเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูเธอ เป็นเสียงเบา ๆ ที่แอบซ่อนอยู่ในความทรงจำอันบอบช้ำ ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นคนที่ปกติดูเข้มแข็ง ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยการผจญภัยได้อย่างสนุกสนานเหมือนไม่มีอะไรบนโลกนี้ให้กริ่งเกรง จะเผยร่องรอยแห่งความอ่อนด้อย เปราะบางออกมาให้เห็น

"มีความรู้สึกอยากทำแท้งนับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะบอกกับที่บ้านว่าอะไร จนปืนนี่แหละที่ไปจุ้นจ้านกับบ้านน้ำ บอกกับพ่อแม่ของน้ำว่าตัวเองเป็นพ่อของธีม โดนพ่อน้ำต่อยหน้า โดนที่บ้านตัวเองตำหนิ โดนอาจารย์ โดนเพื่อนทั้งคณะมองเป็นตัวประหลาด ตาทึ่มนั่นทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้น้ำเอาธีมออก จนกลายเป็นภาระติดพัน ทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้สักนิด"

นภเงียบ เหมือนคนที่ถูกคำสาปให้เป็นใบ้ไปชั่วขณะ สิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นคล้ายกับเนื้อเพลงที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวของการเริ่มต้นและแหลกสลาย

"ปืนไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย" เขาพูดเสียงเบาเหมือนพึมพำกับตัวเอง

ปรายฟ้าเอนหลังลงพิงเก้าอี้ ร่างที่ดูทั้งแบบบางและเล็กนั้นคล้ายกับจะกลืนหายลงไปในความอ่อนนุ่มนั้น "นี่เป็นเหตุผลที่น้ำปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือจากปืนมาโดยตลอด แม้แต่ธีม น้ำก็พูดกับลูกตรง ๆ ว่าปืนไม่ใช่พ่อ"

"แล้วพ่อ..."

"ตายไปแล้ว" เธอเอ่ย แววตาเต็มไปด้วยความว่างเปล่าสีดำ "ตายหลังจากที่เลิกกันได้สัปดาห์...เหล้านี่มันแย่จริง ๆ นะ"

ถ้าเป็นเรื่องของแอลกอฮล์ นภพอจะเดาออกเลา ๆ "อุบัติเหตุเหรอ"

หญิงสาวพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันกลับไปนั่งสงบอยุ่ในความเงื่องหงอย เรื่องราวมากมายที่ขมวดเป็นปมและค้างอยู่ในความทรงจำมานานหลายปีถูกสางออก และเมื่อด้ายเหล่านั้นถูกวางลงก็เผยให้เห็นร่องรอยที่เต็มไปด้วยความบอบช้ำโศกศัลย์ของหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ในความลับไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากเศษผ้าและตะเข็บยับย่นไร้ประโยชน์ บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรจึงไม่มีใครอยากหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก

ปรายฟ้าเป็นผู้หญิงที่แปลก แม้จะดูเปราะบาง แต่หัวใจดวงเล็ก ๆ นั้นกลับคล้ายว่าสามารถเยียวยาตัวเองได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเหมือนดอกไม้น้อยที่กางใบรับแสงแดดฤดูร้อนเหมือนคนที่กำลังกำชัยชนะ "หมดเรื่องของตัวเองที่อยากจะพูดแล้ว แต่จะขอพูดในส่วนของคนที่ย้อนอดีตกลับไปทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว"

ลูกน้ำเหยียดตัวเองขึ้นมาจากพนักบุนวมของเก้าอี้ แววตาคู่นั้นคล้ายกับคนที่เรียนรู้มาเป็นอย่างหนักจากประสบการณ์ความล้มเหลว

"คนเราน่ะอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ไม่ได้หรอก ทุกคนต้องการคนให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวในเวลาที่อ่อนแอ กลับกันก็ต้องการเป็นที่ยึดเหนี่ยวของใครสักคนในบางเวลาเช่นกัน เราต้องการเป็นทั้งผู้ดูแล ผู้ที่ถูกดูแล เป็นทั้งคนที่ถูกรัก คนที่ได้บอกรัก"

"น้ำยังรักเขาอยู่ใช่ไหม"

เธอไม่ได้ตอบคำถาม แต่ก็ไม่คิดที่จะหลบสายตา "ของบนโลกนี้ต่างก็เป็นคู่กัน มือทั้งสองข้าง นิ้วพวกนี้ เข่า ขา หู จมูก ตา ปอด ไต ฟันบนฟันล่าง สมองเองก็ยังแบ่งเป็นซ้ายและขวา เคยคิดเล่น ๆ ไหมว่าทำไมพระเจ้าจงใจถึงสร้างให้หัวใจยังไม่มีคู่ของมัน"

รอยยิ้มเล็ก ๆ สยายขึ้นบนใบหน้า ไม่ได้ดูสวยสง่า เป็นรอยยิ้มง่าย ๆ ที่กลับดูทรงพลังกว่ารอยยิ้มไหน

"ทุกครั้งที่เห็นธีม น้ำมักจะคิดว่าหัวใจอีกดวงที่เป็นคู่กับน้ำอยู่ในตัวลูก"

ชายหนุ่มมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาที่เผยให้เห็นถึงความชื่นชมอย่างลึกล้ำก่อนที่ทุกอย่างจะถูกปกคลุมด้วยตวามเงียบงัน

นภมองออกไปที่นอกหน้าต่าง มองไอร้อนที่ลอยวนอยู่ในแสงแดด ก่อนหน้านี้ในสมองของเขามีหมอกควันมากมายที่ไม่อาจคะเนได้ นภเคยตั้งคำถามว่าในนั้นคือความน่ากลัวหรือน่าเศร้า เป็นเล่ห์กลหรือความสิ้นหวัง แต่มันกลับไม่ใช่สักอย่าง ในนั้นคือหุบเหวแห่งชีวิตที่ไม่ว่าใครต่อใครอาจจะพลาดตกลงไปได้ทั้งนั้น สิ่งที่ปรายฟ้าทำมันคือความพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะตะเกียกตะกายขึ้นมาจากความมืดอันแสนทรมานเหล่านั้น ความตื้นเขินอาจหลอกว่าความคิดเราว่ามันก็แค่เรื่องความรัก การมีเพศสัมพันธ์ เรื่องของเด็กใจแตกหรืออะไรทำนองนั้น

แต่ไม่ใช่ ประสบการณ์บอกนภว่ามันคือการเรียนรู้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าความผิวเผินเหล่านั้นมาก

หากแต่เมื่อมองย้อนกลับมาถึงตัวเองแล้ว นภไม่แน่ใจว่าตนเองจะมีเรี่ยวแรงพอจะก้าวข้ามหุบเหวที่ว่านี้ไหม แต่เมื่อมองดูแล้ว เขายังคงติดอยู่บนกับดักที่เรียกว่าความรัก ลืมไม่ลง และยังคงยึดมั่นอยู่อย่างนั้นจนก้าไปไหนไม่ได้ต่อ

"ระหว่างนภกับปืนไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ" นภพูดด้วยเสียงที่นิ่งสงบ คล้ายรู้สึกเจ็บปวด แต่อีกใจก็กลับรู้สึกเหมือนคนที่ยอมรับความเป็นจริงได้ "ขอบคุณมากนะน้ำ แต่หลังจากสงกรานต์ ผมก็ต้องกลับไปสอนต่อที่เยอรมัน บางทีการที่ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตของตัวเองไปแบบเดิม แล้วปล่อยให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันมานี้เป็นแค่ความทรงจำก็อาจจะดีกว่า"

"ความทรงจำในฤดูร้อน" ปรายฟ้าเอ่ยเสียงเยาะหยัน "น่าจะรู้กว่าใครว่าตาทึ่มนั่นเป็นคนดีแค่ไหน"

"ความรักไม่ได้เกี่ยวกับใครดีกว่าใครเลวกว่าหรอก"

"ก็จริง นั่นเป็นเรื่องที่เถียงไม่ได้เลย" ปรายฟ้าเงียบเสียง วางสายตาลงบนความสับสนวุ่นวายที่อยู่ภายนอก "โลกมีคนอยู่เป็นล้านล้านคน การที่คนสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ไม่คิดว่ามันเป็นโชคชะตาเหรอ"

นภหัวเราะขึ้นด้วยความรู้สึกแบบคนที่คุ้นเคยกับความผิดหวัง "เรื่องของนภกับปืน บางทีมันอาจเป็นแค่ความบังเอิญ จากนี้ไปอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว"

ปรายฟ้ามองดูคนตรงหน้าด้วยแววตาเศร้าที่ระคนไปด้วยความสงสาร

"คนที่พูดประโยคนั้นได้อย่างไม่เกรงกลัวน่ะ เกือบทั้งหมดเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักความสูญเสียที่แท้จริง"

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย เสียงเพลง เสียงกระทบกันของช้อนและส้อม และเสียงอุปกรณ์ทำครัวต่าง ๆ ที่ดังขึ้นพร้อมกันจนเซ็งแซ่ ประโยคสุดท้ายของปรายฟ้านั้นเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังก้องซ้ำไปซ้ำมาในทุกประสาทการรับรู้ของนภ

"บนโลกนี้ไม่มีความบังเอิญหรอกนภ"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




ช่วงนี้ปั่นแหลก กะว่าไม่คนแต่งก็คงอ่านต้องสลบกันไปข้าง อาจมีคำผิดบ้างต้องขอโทษด้วยนะครับ
ผ่านไปอีกตอน พร้อมกับเบื้องลึกของคู่ปืนนภ ใกล้ความจริงเข้ามาอีกนิด อีกไม่ไกลแล้ว ฮ่าๆๆ
ขอบคุณมากนะครับที่ติดตามอ่านกัน รอติดตามบทสรุปของทุกคู่กันนะ ใกล้แล้ว ^ ^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 13 (Jul 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 04-07-2014 23:20:14
ปืน นภ ๆๆๆๆ ค่อยๆคลายปมอีกแว๊ววว
ภาวนาให้พี่สิงห์มาซื้อแอร์กับอานนท์ 555 อานนท์ร้องไห้แล้วน่าสงสารอ่า
ตรีนี่เล่นตัวจริง ฮามากกก
คู่อาร์ม หนึ่ง โอ๊ยยยหวานมากกกก น่ารักมุ้งมิ้ง เขินแทนหนึ่งเลย
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 13 (Jul 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 04-07-2014 23:49:54
คู่นัท-ตรี ตรีฮาอ่าาาา เกรียนมาก นัทจะเข้าใจผิดไหมเนี่ยยยย555

พี่สิงห์-อานนท์ สงสารอานนท์ ทำไงดีง่าาา

คู่อาร์ม-หนึ่ง รินใจดีจัง ขอให้ได้เจอคนดีๆน้าา
ว่าแค่อาร์มจะจีบหนึ่งไปไหน มดขึ้นจอแล้ว!!!!

คู่ปืน-นภ ปืนเป็นคนดีมากๆ น้ำเข้มแข็งจริงๆที่ผ่านมาได้
ก็เข้าใจที่นภพูดอ่ะน้าา ปืนไม่แสดงท่าทีอะไรขนาดนั้น ใครมันจะกล้าล่ะ บางทีปล่อยให้มันผ่านไปอาจเป็นวิธีที่ดีแล้วก็ได้นะ  :hao5:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 13 (Jul 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 05-07-2014 10:21:15
หนึ่งกับอาร์มน่ะ พอเข้าใจกันก็มุ้งมิ้งเลยนะ

ยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงขิงพี่สิงห์ ทำไมต้องให้อานนท์ออกจากงานด้วย ใจร้ายยยย

ปืนกับนภเนี้ย ต่างคนต่างพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา จะมีสักคนมั้ยที่ลุกขึ้นมาสู้
ถ้ารักกันจริง ทำไมถึงไม่มีความพยายามเลย
ที่จริง อยากให้ปืนทำอะไรสักอย่างนะ เพราะนภก็ได้บอกความรู้สึกแล้ว
แล้วปืนก็เฉื่อยชากับชีวิตมานานเกินไปแล้วด้วย
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 13 (Jul 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: grenjewel ที่ 05-07-2014 11:34:56
ตรีคิดถึงนัทก็บอกไปเถอะ เหงาอ่ะดิเวลาไม่มีนัทมากวนใจ มัวแต่ลีลาไม่รับโทรศัพท์นัทคนอื่นเลยรับแทนให้ทีนี้ก็ปรี๊ดแตกเลย 55555555555
อาร์มหนึ่งพอจูนกันแล้วมุ้งมิ้งกันตลอด
เห็นอานนท์ร้องไห้แล้วสงสารอ่ะ คนดีีแบบนี้หาแทบไม่ได้ในเมืองหลวงแสนวุ่นวาย พี่สิงห์ต้องการให้อานนท์ออกแล้วย้ายไปทำงานแผนกเดียวกับพี่สิงห์หรอแบบว่าจะได้มีโอกาสติวกันตัวต่อตัวไรงี้ (มโนล้วนๆ) :hao6:
ลุ้นคู่ปืนนภอยู่นะ เอาใจช่วยจ้าาาา
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 13 (Jul 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-07-2014 13:41:24
ตรีเป็นเอามากจริง ๆ ระวังจะแพ้ของดาษดื่นเข้าให้สักวัน
คู่อาร์มหนึ่งหวานไม่เกรงใจใครเลย
 "อาร์มรักหนึ่งนะคะ"
เป็นฉันคงละลายกองอยู่ตรงนั้น
ก็ถ้าปืนจะทึ่มจนไม่ขยับทำอะไรเลย นภก็ลองลงมือเองบ้างสิ ลูกน้ำก็เฉลยซะขนาดนี้แล้ว
พยายามแล้วไม่ได้ยังดีกว่าให้ทุกอย่างจบลงโดยไม่ทำอะไร
ลุ้นน้องนนท์ให้ขายแอร์ได้ด้วยเถอะ สงสาร
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 13 (Jul 04, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 05-07-2014 23:31:39
ปืนนภคือหน่วงอะ หน่วงมาก
นี่จะหน่วงแข่งกับอานนท์เรอะ โอยยย ลุ้น กลัวขายไม่ได้
สงสารนาง นางดูหงอย ๆ ซึม ๆ สุดท้ายจะขายแอร์ได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไปทำอะไรที่ตัวเองถนัดเถอะ
ติดก็แต่เรื่องพี่สิงห์ เวลานี้ไม่ปลอบกันหน่อยแล้วยังหนีหน้าตาเฉย
รอลุ้นกันต่อไปว่าจะเป็นยังไงต่อ
ปล. อีอาร์มแรดมากกกกกกกกกกกก มีนะค้งนะคะ หอยหลอดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 14 (Jul 07, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 07-07-2014 16:02:10
สวัสดีครับ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ วันนี้เอามาส่งมาอีกตอนแล้ว
สำหรับตอนนี้ถึงจะเป็นตอนที่สั้น เพราะขอทบไปในตอนหน้า
แต่ก็เป็นตอนที่ตัวหนังสือจะเยอะหน่อยนะครับ อาจต้องอ่านช้านิดหน่อย ไม่งั้นจะงง(หรือเปล่า)
เป็นตอนที่ปูเรื่องสำหรับตอนต่อไปเสียมาก ดังนั้นอาจจะตัดบทๆ หน่อยล่ะนะ
ฝากอีกตอนครับ ใกล้จบแล้ว หลายคนเริ่มเดาเรื่องกันถูกแล้ว คนแต่งเซ็งเลย ฮ่าๆๆ



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)





ตอนที่ ๑๔




ช่วงใกล้เที่ยงประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับหญิงร่างท้วมคนหนึ่งและเด็กจ้ำม่ำที่เดินตามหลังเข้ามา เด็กชายคนนั้นอายุน่าจะไล่เลี่ยกับชาฮิดและธีม มีรอยฟกช้ำบนแก้มที่ปูดเปล่งมากกว่าจะยุ้ยตามใบหน้าที่ติดไปทางเจ้าเนื้อ เธอหยุดยืนสักพักคล้ายกับมองหาอะไรบางอย่างก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาอมริตาที่เดินมารับออเดอร์ ปากก็บ่นไม่หยุดขณะที่เด็กน้อยเองก็ขืนตัวไม่อยากจะถ้าวขา

"เดี๋ยวเถอะ ยังจะมาทำแบบนี้ ไปหาเรื่องเขาก่อนก็รีบขอโทษเขาเลยนะเด็กคนนี้ นิสัยนี้สอนกี่ครั้งไม่รู้จักจำ"

ปากยิ้มกว้าง แต่ดวงตายังสอดส่ายหาคู่กรณีกระทั่งเจอเด็กทั้งสามที่จูงมือกันเดินออกมาจากหลังร้าน "นี่สินะ แหม...หน้าตาหล่อไม่ใช่เล่น โตขึ้นมาเป็นดาราได้นะคะเนี่ย ชื่ออะไรจ๊ะหนุ่มน้อย"

อมริตาพอคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ นึกออกว่าเป็นคนที่อยู่ในบ้านที่อยู่ลึกไปจากร้านราว 500 เมตร เป็นบ้านขนาดกลางทาสีไข่ไก่ ข้างรั้วมีพุ่มต้นทับทิม เธอมองออกว่าผู้หญิงคนนี้มาที่ร้านเพื่ออะไร และก็อ่านเจตนาได้ว่าไม่ใช่เรื่องร้าย

"น้องเขาชื่อธีมน่ะค่ะ ส่วนนี่ชาฮิดลูกดิฉัน แล้วนี่ก็มีราลูกสาวคนเล็ก" อมริตาตอบ

หญิงท้วมคนนั้นมองธีม ชาฮิด มีราอย่างถูกชะตาก่อนจะหันกลับมาที่อมริตา เอ่อขอโทษแล้วแจกแจงเป็นการใหญ่โต "ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะที่น้องหมู ลูกดิฉันเอาแต่ทำให้เดือดร้อนตลอด ตอนอยู่ที่บ้านเอาแต่พูดว่าธีมอย่างนั้นอย่างนี้ วิ่งเล่นกันคนนั้นคนนี้ เล่าให้ฟังไม่หยุด นี่ก็ไม่รู้ว่าธีมไหนจนเกิดเรื่องนี่แหละค่ะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ"

อมริตาลูบผมของธีมเบา ๆ แล้วหันไปสบตาให้กับลูกชายของเธอพร้อมส่ายหัวเนือย เธอตีชาฮิดไปสามครั้งท่มกลางน้ำตาที่นองเต็มหน้าของเด็กอีกสองคนที่ไม่ถูกทำโทษ ไม่ได้ฟาดถึงขนาดเต็มแรง แต่ก็ไม่ได้ตีเบา ๆ ชนิดพอให้เป็นพิธี เธออยากให้ชาฮิดจำ และไม่ไปทำเรื่องแบบนี้อีก เป็นคนตีและก็เป็นคนปลอบประโลมเด็กน้อยเองกับมือ

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลูกดิฉันก็ผิดที่ทำรุนแรงไป ต้องขอโทษคุณเหมือนกันนะคะ"

ร่างท้วมโบกมือเหมือนไม่อยากจะรับด้วยคิดว่าทั้งหมดต้นเหตุก็มาจากลูกชายเธอเอง เธอพร่ำคำขอโทษไม่หยุดจนอมริตายอมเป็นฝ่ายถอยทัพ ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่อย่างนี้ไปทั้งวันแน่ พอสมใจแล้วเธอก็เดินไปหาเด็กทั้งสาม ยิ้มแฉ่งแล้วเอื้อมมือลูบหัวเด็กน้อยทีละคนด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะมาหยุดที่ธีมพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนแบบผู้เป็นแม่

"ถึงหมูจะเป็นเด็กที่ทั้งแสบ ทั้งดื้อ ทั้งไม่ได้เรื่อง แต่ว่าต่อจากนี้ไปน้องธีมพอจะเป็นเพื่อนกับลูกหมูด้วยได้ไหมจ๊ะ"

แม้จะงง ๆ ในตอนแรกแต่ธีมก็บรับคำ "ครับ"

"ชาฮิด กับหนูมีราด้วยนะ เป็นเพื่อนกับหมูด้วยได้ไหม"

เด็กชายพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล พอเห็นพี่ชายรับปาก มีราที่แอบมองอยู่ก็ทำตาม "ว่าง ๆ ก็แวะไปเล่นกับหมูที่บ้านน้าได้นะจ๊ะ เรื่องของเรื่องคือเด็กคนนี้น่ะอยากจะเล่นกับพวกเธอใจจะขาดแต่ก็ท่าเยอะ"

หญิงท้วมดันลูกชายตัวเองให้ออกมายืนตรงหน้า "อ้าว...พูดซะสิจ๊ะ เป็นคนไปหาเรื่องเขาก่อนนะ"

ทิ้งท้ายไว้ด้วยความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย และทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เด็ก ๆ ขอโทษกัน ขณะที่ผู้ใหญ่ก็พูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนที่หญิงร่างท้วมจะจูงมือลูกชายออกจากร้านไป หมดเรื่องแล้ว อมริตาก็พยักหน้าให้เด็ก ๆ อนุญาตให้ออกไปวิ่งเล่นกันได้ตามใจชอบ

พอความซนของทั้งสามเหลือเพียงไอจาง ๆ นุชนารถที่มองทุกอย่างอยู่นานก็เดินเข้ามาหาอมริตาพร้อมรอยยิ้ม "เด็ก ๆ นี่มีเรื่องให้คาดไม่ถึงได้เสมอเลยนะ พอจะทะเลาะก็ทะเลาะกันใหญ่โตจนเหมือนว่าคงจะไม่คุยกันอีกแล้ว พอบทจะดีกันก็ง่าย ๆ แบบนี้"

"เค้ายังบริสุทธิ์กันอยู่มั้งคะ แสดงความรู้สึกไปแบบตรง ๆ อย่างที่คิด ไม่ต้องวางฟอร์มแบบผู้ใหญ่" อมริตาตอบอย่างไม่นึกคร้าน ปรายฟ้าเดินเข้ามาหา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังระคนไปด้วยความประหลาดใจ

"แต่ไม่คิดจริง ๆ นะคะว่าจะเป็นชาฮิดที่ไปตีกับหมูแบบนั้น น้ำคิดว่าน่าจะเป็นธีมเสียมากกว่า"

"ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะถูกล้อเรื่องที่เขาอ่อนไหวด้วยมั้งคะ เขาเองก็เสียพ่อไปแต่เล็ก ชาฮิดมักถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อเรื่องทำนองนี้ ลำพังตัวเขาก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่พอเป็นมีรา เหมือนกับเขาที่เคยเจอมาก่อนรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่แย่ขนาดไหน ความเป็นพี่ที่ไม่อยากให้น้องต้องมาเจออะไรแบบตัวเอง ช่วงนั้นชาฮิดเลยมีเรื่องกับเด็กในโรงเรียนไปทั่ว พอโตขึ้นแล้วเรื่องพวกนี้ก็ค่อย ๆ น้อยลง จนมาครามนี้ที่เป็นน้องธีม"

ฟังแล้ว ปรายฟ้าก็พยักหน้าเข้าใจ

"เด็กอาจไม่คิดอะไรไปตามประสาเด็ก นึกอยากจะพูดอะไรก็พูดกันไป แต่สำหรับคนที่ได้ยิน มันคงเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมาก ที่เป็นเรื่องกันก็เพราะไม่อยากจะได้ยินคำพูดใจดำพวกนั้นอีก อีกใจก็อยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วก็คงเพราะพวกเขาไม่อยากจะยอมรับว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง ไม่มีเด็กคนไหนไม่ต้องการพ่อหรอกค่ะ แม่แต่ตัวดิฉันเองตอนที่เสียสามีไปก็ยังไม่อยากจะยอมรับเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง" อมริตาพูดอย่างข่มความเศร้า ครึ่งหนึ่งเป็นส่วนของลูก ๆ ที่ไม่อยากจะยอมรับกับความสูญเสีย อีกครึ่งเป็นของตัวเองที่ลึก ๆ แล้วก็ยังลืมไม่ลง

"เขาสองคนถึงเชื่อมต่อกันขนาดนี้" ปรายฟ้าเอ่ย "ธีมติดชาฮิดมากนะคะ"

"ชาฮิดกับมีราก็ติดน้องธีมมากเหมือนกันค่ะ"

เรื่องราวของอมริตา ความบอบช้ำ และสิ่งที่เกิดตามมาจากความเว้าแหล่งของครอบครัวที่มองผ่านความทรงจำอันปวดร้าวของอมริตา ทำให้นุชนารถที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดเลือกจะเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย "พี่ขอพูดอะไรหน่อยนะคะน้องน้ำ ในฐานะที่พี่ก็รู้จักกับน้ำ แล้วก็รู้จักกับพ่อของน้องธีมด้วย มันจะเป็นไปไม่ได้เลยหรือคะที่จะลองกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง พี่คิดว่านี่คงเป็นเรื่องที่ธีมเก็บไว้ในใจแต่อาจจะไม่กล้าพูดออกมา ถึงจะดูเหมือนเป็นพ่อลูกที่เข้ากันไม่ได้ แต่พี่ก็พอจะดูรู้ว่าน้องธีมก็รักพ่อมากนะคะ และตัวของพ่อเขาเองก็คงจะรู้สึกไม่ได้ต่างกัน"

"เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะพี่นุช" ปรายฟ้าตอบ เสมองลงไปที่นอกประตูร้านเหมือนว่าอาจจะมีลูกค้าสักคนเปิดประตูเข้ามาในตอนนั้น แต่ไม่มี "พ่อของธีมเสียไปนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาอีกค่ะ"

"ตายจริง แล้ว..."

"ปืนไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของน้องธีมค่ะ เป็นแค่พ่อบุญธรรมเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรทางสายเลือดเลย"

นุชนารถและอมริตานิ่งงันด้วยความสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก

แก้มและริมฝีปากของปรายฟ้าดูเปลี่ยนเป็นสีซีดลง บางสิ่งบางอย่างในอดีตกำลังลุกขึ้นมาแล้วฟาดฟันเธออยู่ในอก หญิงสาวเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "พ่อจริง ๆ ของเขาชื่อธีมะ เป็นรุ่นพี่ที่น้ำคบตั้งแต่ตอนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เขาเป็นคนกวนนิด ๆ ผมสั้นเป็นทรง เรียนก็ไม่ได้เก่งอะไร ออกจะขี้เกียจด้วยซ้ำ ฐานะทางบ้านก็ครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดา เป็นคนที่ดูไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไร ถึงแบบนั้นก็เป็นคนที่น้ำเคยอยากใช้ชีวิตด้วยไปจนแก่เฒ่า"

"ธีมะ...ธีมเลยมีชื่อเล่นแบบนี้สินะคะ"

มีประกายวามวาวผุดขึ้นในดวงตาที่รอยยิ้มเล็ก ๆ บนริมฝีปาก "เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น้ำไม่เคยบอกใคร แม้แต่ปืนก็ไม่เคยรู้ มันผ่านไปแล้ว เขาเองป่านนี้อาจจะดูที่ไหนสักแห่งที่ไกลแสนไกล" ปรายฟ้าเงียบไปอีกสักพัก คล้ายกับว่ากำลังกำราบอดีตที่ผุดขึ้นมาแผดเผาอยู่ในใจ "น้ำไม่อยากให้สังคมโทษว่าใครผิด น้ำโอเคกับทุกอย่างแม้ว่ามันอาจจะดู...ไม่โอเคเท่าไรก็ตาม"

ปรายฟ้าทอดสายตาออกไปยังเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายอีกครั้ง ก้อนเมฆสีเทาปกคลุมท้องฟ้าจนกรุงเทพกลายเป็นภาพวาดในโทนสีที่เย็นลง เสียงหัวเราะของสายลมดังเข้ามาถึงด้านในร้าน ความร้อนเมื่อครู่ฉับพลันก็กลายเป็นภาพโกหกลวงตา

ฝนกำลังจะตก อมริตาได้กลิ่นของไอดินคลุ้งขึ้นในอากาศ กลิ่นชื้นนี้เป็นกลิ่นของฝน กลิ่นของความทรงจำเก่า ๆ ตอนที่ทุกคนในครอบครัวซุกตัวอยู่บนฟูกนุ่ม ๆ ทุกอย่างคับแคบจนเหมือนจะไม่พอสำหรับสี่ชีวิต กระนั้นก็มีรังสีอ่อนอุ่นของความรักแผ่รายรอบ เป็นชั่วเวลาที่ทำให้เธอยิ้มขึ้นมาได้แม้ในวันที่เต็มไปด้วยเรื่องชวนหงุดหงิด หรืออ่อนล้าแค่ไหน แม้ทุกอย่างจะจบไปแล้ว ผ่านไปนานจนชาฮิดและมีราเติบโตขึ้นแล้ว แต่อมริตาก็ไม่เคยลืม

นุชนารถยิ้มให้กับตัวเอง สุดท้ายแล้วทุกคนก็มีความทรงจำซุกเก็บเอาไว้อยู่ในกล่องที่เต็มไปด้วยความลับทั้งนั้น ทั้งเธอ ทั้งอมริตา แม้กระทั่งปรายฟ้า น่าแปลกที่ต่างก็มีความรักที่จบลงด้วยความรู้สึกที่ยังนานแค่ไหนก็ไม่อาจจะลืม

"นี่พี่เปิดร้านนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นหน้าฉากเท่านั้นแหละ จริง ๆ คือกำลังแอบตั้งชมรมสาวโสดไม่ลืมรักเก่า" นุชนารถพูดขึ้นอย่างคนปลงตก แต่อมริตาไม่ได้คิดแบบนั้น

"ดิฉันกับน้องน้ำคงต้องปล่อยไปแล้วล่ะค่ะ เพราะถึงอยากจะแก้ไขเรื่องเก่า ๆ ยังไง พวกขาก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่คุณนุชไม่เหมือนกับดิฉันหรือน้องน้ำนะคะ เขายังอยู่ ทั้งยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็อยู่ในใจของคุณนุชด้วย นอกจากที่เปิดร้านขึ้นมาเพราะเป็นงานที่รักแล้ว คุณนุชไม่ได้ดูแลร้านนี้อย่างดีเพื่อรอวันที่เขากลับมาหรือคะ" เธอแย้ง รู้สึกถึงกลิ่นชื้นของฝนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น "คำแนะนำจากคนที่ไม่มีโอกาสแล้วค่ะพี่นุช"

"เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไง" นุชนารถโบกมือ

ปรายฟ้าส่ายหัว มองออกไปที่นอกกระจกบานใสพร้อมรอยยิ้ม "ฝนยังตกในฤดูร้อนได้เลยค่ะ"

ฝนเม็ดแรกตกลงบนพื้นถนนที่ยังระอุร้อน และไม่กี่วินาทีถัดมาทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าก็เหมืนถูกล้อมไปด้วยความเย็นฉ่ำ เม็ดฝนสะพรั่งดอกพราวราวกับดอกแก้วนับพันนับหมื่นดอกที่ร่วงพรูลงมาจากท้องฟ้า เสียงหยดน้ำที่เคาะเบา ๆ บนกระจก บนหลังคา ส่งยิ้มทักทายหญิงสาวทั้งสามคนอย่างนอบน้อม ขณะที่นุชนารถจับจ้องละอองน้ำเม็ดเล็ก ๆ ที่ประพรมอยู่ด้านนอกอย่างไม่เชื่อสายตา ปรายฟ้าก็อมยิ้มกับก้อนเมฆสีเทาแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"นี่ไม่ใช่วันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีอีกต่อไปแล้ว"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)




(ยังมีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 14 (Jul 07, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 07-07-2014 16:03:09
(ต่อนะครับ)




ฝนตกหนักเหมือนคนที่ทนอดกลั้นมานาน เล่นเอาทีมงานทุกคนหัวหมุนกันไปหมด รายการ "วันนี้ที่ประเทศไทย" ถูกจัดขึ้นเป็นเทปพิเศษเพราะวันนี้เป็นวันที่พระอาทิตย์อยู่ใกล้โลกที่สุด และนั่นจะทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งที่ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาก็พยากรณ์อากาศไว้แบบนั้นมาโดยตลอดแม้กระทั่งในเช้าวันนี้ อุณหภูมิโดยรวมก็มีแนวโน้มไต่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วจู่ ๆ พระพิรุณก็กระหน่ำสายฝนลงมาแบบไม่เกรงใจใครก่อนรายการจะเริ่มต้นขึ้นเพียงไม่กี่นาที

สคริปต์ข่าวทั้งหมดที่เตรียมไว้ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี ว่ากันด้วยเรื่องสงกรานต์ และอากาศร้อนจัด รวมทั้งภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทั้งหมด เทปต่าง ๆ ที่จะตัดสลับในรายการ สกู้ปเกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุด รวมไปถึงทีมงานที่รอรายงานบรรยากาศที่อบอ้าวที่สุดในเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย

ไม่มีอะไรเกี่ยวกับฝนหลงฤดู

ทุกคนยึดมั่นจากข้อมูลดามเทียมที่ได้รับมาจากกรมอุตุนิยมวิทยาเมื่อตอนเช้ามืดและเว็บไซต์พยากรณ์อากาศอื่น ๆ ของต่างประเทศ

และรายการกำลังจะต้องออกอากาศภายในไม่กี่นาทีนี้

ยังไม่นับรวมกับปัญหาอื่น ๆ ที่ตามมา ทั้งการนำเทปเกี่ยวกับฝนและลูกเห็บที่หลงฤดูมาจากคลังข้อมูลเก่าแล้วนำมาตัดต่อกันสด ๆ ที่คอมพิวเตอร์ในสตูดิโอตัดต่อห้องข้าง ๆ ปัญหาเกี่ยวกับไฟล์ขนาดใหญ่และคุณภาพของภาพที่ทำให้ไม่สามารถอัพโหลดผ่านอินเตอร์เน็ตภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ต้องวิ่งนำเทปเบต้ามาส่งที่สตูดิโอ ปัญหาของการจราจรของกรุงเทพที่กลายเป็นอัมพาตทันทีที่ฝนตก และถ้ายังตกต่อเนื่องยาวนานก็จะพ่วงไปด้วยน้ำท่วมอีกหนึ่งกระทง รวมถึงปัญหาจุกจิกต่าง ๆ นานาที่เกิดขึ้นหน้างานเป็นประจำสม่ำเสมอ

ทั้งหมดนี้เทียบไม่ได้เลยกับการที่บอร์ดทั้งหมดฝั่งผังจะชมรายการไปพร้อมกับคนดูทั้งประเทศ

และส่วนหนึ่งของบอร์ด...อยู่ที่สตูดิโอแห่งนี้แล้ว

หากความวุ่นวายของทีมงานหลายสิบชีวิตนั้นไม่อาจกระทบกระเทือนโลกที่ไม่มีใครเข้าถึงของตรีได้ พิธีกรหนุ่มกำลังนั่งเชิดหน้ากับโทรศัพท์มือถือ เหล่มองจนตาเขก็ไม่มีสายโทรเข้ามา ถึงขนาดที่ต้องหยิบขึ้นมาดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า และเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก...ทุกอย่างยังปกติดี

"อีกห้านาทีจะเริ่มรายการแล้วค่ะน้องตรี เข้าไปนั่งรอที่ฉากได้เลยค่ะ" ดาน่าเดินมาตามชายหนุ่มที่จ้องมือถือเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ "มีอะไรหรือเปล่าคะ"

"ไม่ !"

"ไม่อะไรคะ" ดาน่าสะดุ้ง

"ไม่ ! คนแบบตรีไม่เคยต้องรอใคร" ตรีหันมาแผดเสียง เล่นใหญ่ อารมณ์เต็มจัดแบบละครเวที "ต่อให้เป็นสายจากไจแอนท์โคลาก็ไม่รอ"

"ค่ะ ไม่รอก็ไม่รอ" ไม่อยากขัดใจให้เป็นปัญหากว่านี้ หญิงสาวเลยตามน้ำ ลำพังแค่สคริปต์ข่าวที่พิมพ์กันสด ๆ ก็ปวดหัวพอแล้ว ดาน่าดันหลังพิธีกรหนุ่มเจ้าสำอางไปเข้าฉากแล้วเริ่มพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ยังแก้ไขไม่ทัน

"น้องตรีค่ะ ฟังพี่แป๊บนะคะ พวกเรามีปัญหานิดหน่อยค่ะ เรื่องสคริปต์ข่าว รวมถึงเทป VTR และกราฟฟิกทั้งหมด เราเตรียมเอาไว้เพื่ออัดสกู๊ปเกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุด แต่ตอนนี้ฝนกำลังตกหนัก แปลว่าเราใช้ข้อมูลที่เตรียมไว้ได้บางส่วนเท่านั้น คือ...." ดาน่ากลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนลงคอ มองหน้าคนที่นั่งไม่ทุกข์ร้อนอย่างทำใจแล้วว่าจะต้องโดนแหวใส่แน่ ๆ "คือส่วนที่เหลือต้องรื้อใหม่หมด และเรายังทำไม่ทันค่ะ"

แต่ตรีพยักหน้าหงึก ๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ ไม่แม้แต่จะชักสีหน้าไม่พอใจ

"แล้วตอนนี้ผู้ใหญ่ของช่องก็มาดูการทำงานของเราที่สตูดิโอด้วยนะคะ ตอนนี้อยู่ที่หน้ามอนิเตอร์"

ตรี พงษ์พิพัฒน์พยักหน้าอีกรอบ คิ้วขมวดเป็นปมสะท้อนอยู่บนหน้าจอมือถือในมือ ผู้กำกับให้สัญญาณพร้อมกับตัวเลขที่นับถอยหลัง ดาน่าเดินออกมาจากฉาก สีหน้าของตรีทำให้เธอรู้สึกกังวลเหลือกเกิน เสียงนับถอยหลังดังขึ้น ตรีวางโทรศัพท์ลงอย่างอาลัยอาวรณ์ เชิดหน้า พรมรอยยิ้มแบบมืออาชีพประดับใบหน้าหล่อเหลา ไม่หลงเหลือแม้แต่คราบความว้าวุ่นในนาทีก่อนหน้า

"สวัสดีครับ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการวันนี้ที่ประเทศไทย รายการพิเศษ...ในวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี"

อานนท์มองจ้องมองทีวีที่ฉายอยู่ที่แผนกที่เยื้องไปด้านข้าง พิธีกรกำลังยิ้มพร่างพราวขณะที่พูดถึงอากาศซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในวันนี้

"มวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการปะทะกับมวลอากาศร้อนที่ปกคลุมอยู่ในตอนนี้ ก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงหรือที่เราเรียกว่าพายุฤดูร้อนในหลายส่วนของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงทุกเขตของกรุงเทพมหานคร"

เสียงพายุฝนขนาดย่อมนั้นรุนแรงพอจะทำให้อานนท์ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของน้ำฝนที่ตกกระทบกับกระจกทรงโดม กระจกหนาพวกนี้กั้นเป็นตัวอาคารทั้งหมดของคอมเพล็กซ์ตามการออกแบบที่เน้นความโปร่งโล่งสบาย พนักงานในแผนกกำลังส่ายหัวคล้ายรู้ดีว่าเวลาที่ฝนตกหนักจะเป็นอย่างไร  ฝนที่ตกหนักนั้นทำให้คนที่มาเดินห้างสรรพสินค้าคงลดน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัย จากจำนวนที่มีอยู่เพียงบางเบาก็คงชะลอการซื้อหาออกไป อย่างที่รู้ ไม่มีใครอยากให้อุปกรณ์ไฟฟ้าใหม่เอี่ยมของตัวเองเปื้อนน้ำฝนหรอก เพราะถ้าเป็นอานนท์เองก็คงจะไม่ซื้ออะไรในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้ แปลกตรงที่รู้ทั้งรู้ว่าการจัดส่งจะเกิดขึ้นในวันหลัง แต่มันเป็นความรู้สึกที่คนเรามักจะเผลอเอามาโยงกันโดยไม่รู้ตัว

อานนท์เดินออกมาที่โถงทางเดินที่เป็นบนไดเลื่อนตรงกลางห้าง แหงนหน้าขึ้นไปด้านบน ท้องฟ้าสีเทาครึ้มห่อหุ้มทั้งอาคารด้วยสายฝนที่กระหน่ำรุนแรง อีกไม่กี่ชั่วโมง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบลงอย่างที่คิด อานนท์จะได้กลับบ้านจากการยืนโยงมาทั้งกะ แต่การตอกบัตรออกกะในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่อานนท์จะได้ทำ บางทีอานนท์อาจจะต้องกลับไปที่บ้าน รับจ้างเก็บผลไม้จากสวน รับเงินชั่วโมงละยี่สิบบาทพร้อมกับผลไม้สองสามถุงกลับบ้านแบบพ่อและแม่ทำ

พ่อจ๋า แม่จ๋า เดี๋ยวก็คงได้พบกัน อานนท์จะกลับไปอยู่ที่บ้าน ทำงานกับพ่อกับแม่ไม่ต้องให้คอยเป็นห่วงอีกแล้ว กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคนเก่ง ๆ ให้เรียนรู้ แต่บางทีที่นี่อาจจะไม่เหมาะกับอานนท์เท่าไร

คุณโกวิท...ที่ให้โอกาสอานนท์ครั้งแล้วครั้งเล่า ขอบคุณที่รับอานนท์เข้าทำงานทั้งที่แบบทดสอบอะไรก็ทำได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ควรเป็น ทั้งที่อานนท์เป็นแค่เด็กฝาก แต่คุณโกวิทก็เมตตาเสมอ

มาลี...จากนี้ไปคงไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันอีกแล้ว ขอบคุณที่คอยปลุกเวลาที่นอนหลับตอนที่ทำงาน ฟูกนิ่ม ๆ เตียงนอนราคาหลายหมื่น กับแอร์เย็น ๆ เป็นสิ่งที่บ้านอานนท์ไม่มี พอได้อิง มันก็ทำให้อานนท์อยากหลับอยู่ในความฝันแบบนั้น

ตูน...ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือแนะนำ ถึงแม้ว่าจะรู้จักกันแค่ไม่นาน แต่ตูนก็ช่วยอานนท์หลายครั้งเหลือเกิน

พี่สิงห์...ขอบคุณที่คอยเคี่ยวเข็ญ กระทุ้งให้อึดสู้ ไม่ยอมแพ้ พี่สิงห์เป็นคนเก่ง อานนท์อยากจะเก่งให้ได้สักครึ่งของพี่สิงห์ อยากทำงานกับคนเก่ง ๆ แบบพี่สิงห์ไปเรื่อย ๆ ถ้ามีโอกาส อานนท์ก็อยากทานข้าวกับพี่สิงห์อีกสักครั้ง แล้วถ้าพบกัน อานนท์อยากกอดพี่สิงห์สักครั้งแล้วบอกลา ไม่ว่าพี่สิงห์จะรับฟัง ไม่สนใจ และเห็นว่าเป็นเรื่องงี่เง่าแค่ไหนก็ตาม แค่อยากกอดสักครั้งแล้วเอ่ยขอบคุณ

ขอบคุณ

ขอบคุณนะทุกคน

อานนท์เดินกลับไปที่แผนกด้วยรอยยิ้มอย่างคนที่ปลงได้ ยืนมองข่าวลมฟ้าอากาศที่ประกาศอยู่หน้าจอพร้อมกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำอยู่ในใจ

"ขณะเกิดฝนตกฟ้าร้องควรหลบเข้าไปอยู่ในที่ร่ม ไม่ควรอยู่ในที่โล่งแจ้งหรือใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่โดดเดี่ยว และควรอยู่ห่างจากวัตถุที่เป็นสื่อไฟฟ้าทุกชนิด รวมทั้งงดใช้อุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิด เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หรือลิฟต์ สำหรับผู้ที่กำลังเดินทางอยู่บนท้องถนน ขอให้ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง และตรวจสอบเส้นทางแต่เนิ่น ๆ เพราะตอนนี้การจราจรหลายแห่งเริ่มมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นทางหลวงต่าง ๆ หรือแม้แต่ถนนเส้นสำคัญ ๆ ในกรุงเทพมหานคร มีรายงานว่าหลายจุดของกรุงเทพในตอนนี้ได้เกิดอุบัติเหตุแล้ว"

อุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ ?

หนึ่งเบือนหน้าจากหน้าจอแล้วเดินนั่งที่ริมหน้าต่าง ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง โหมกระหน่ำเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หากฝนกำลังตกด้วยปริมาณมากและรุนแรงขนาดนี้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ แล้วทริปจักรยานจะเป็นอย่างไรบ้าง

จักรยานไม่เหมือนกับรถยนต์ มีหลังคาปิด ทั้งโลหะและกระจกที่ออกมามาเพื่อป้องกันฝน จักรยานเหมือนกับรถมอเตอร์ไซด์ ขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่มีเกราะกำบัง แต่เลวร้ายยิ่งกว่าตรงที่ไม่สามารถเร่งความเร็วไปหาที่หลบได้ทันก่อนจะเปียกปอนจนเละเทะ จักรยานต้องอาศัยแรงถีบและเพราะเป็นทริปขี่จักรยานที่จำเป็นต้องตามกันไปทั้งกลุ่ม ไม่อาจทิ้งกันหรือใครไวใครไปก่อนได้ ทั้งความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติที่เหตุก็มากที่สุดเพราะทุกอย่างใช้แรงคนขี่ และน้ำฝนก็เป็นอุปสรรคเสมอ

"ตกหนักมากเลยนะลูก จู่ ๆ ก็ตกลงมาเหมือนฟ้ารั่ว โชคดีแล้วที่ไม่ได้ไปร่วมทริปกับเขา" แม่เปรยขึ้นหลังจากดูพิธีกรในโทรทัศน์พูดถึงฝนที่ตกอย่างรุนแรงจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นพายุฤดูร้อนขนาดย่อม ๆ "แล้วอาร์มล่ะลูก ไปกับเขาไหม"

"ไปครับแม่" หนึ่งตอบ รู้สึกห่วงนิดหน่อย

"อ้าว..." หญิงวัยกลางคนร้อง

"ไปกับเพื่อน ๆ ที่ชมรมจักรยานน่ะแม่"

คนที่ผ่านชีวิตมามากกว่าผ่อนลมหายใจกังวล "ที่แม่ห่วงก็เพราะเป็นผู้ชายนี่แหละ พอเห็นเป็นผู้ชาย คนอื่นก็จะมองข้ามเพราะคิดว่าน่าจะเอาตัวรอดได้ แต่จริง ๆ แล้ว อาร์มก็แค่ระดับคนที่ขี่จักรยานเป็น ความพร้อมของเอง บางทีอาจจะน้อยกว่าผู้หญิงที่ซ้อมบ่อย ๆ ด้วยซ้ำ"

"น่าจะหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งทันมั้งครับ" ตอบออกไปอย่างนั้น ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า

เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากเม้มแน่นขณะที่จ้องดูสายฝนซึ่งกระหน่ำจนมองอะไรไม่เห็น

ฝนยังตกอย่างต่อเนื่องเหมือนกับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ป้ายรถเมล์เก่า ๆ ที่ริมถนนจึงกลายเป็นที่หลบภัยฉุกเฉินสำหรับชาวกรุงเทพ บางจุดที่เป็นป้ายใหญ่อาจจะมีหลายสิบชีวิตไปหลบละอองฝนอันเหน็บหนาวอยู่ที่นั่น แต่ไม่ใช่ที่ป้ายรถเมล์เล็ก ๆ หน้าปากซอยคับแคบบนปลายถนนสีลม

ธีมนั่งขดอยู่กับสุนัขอ้วนปุ๊กสองตัว เพราะกลัวลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กเปียกฝนแล้วจะไม่สบาย เด็กน้อยเลยวิ่งออกมาต้อนมันทั้งสองเข้าไปแอบที่กันสาดหน้าร้าน ธีมโตแล้ว ต้องดูแลสิ่งที่ต้องการปกป้องให้ได้ ธีมแข็งแรง ยกของหนัก ๆ ก็ไหว ทุกวันนี้ธีมเริ่มช่วยงานแม่ได้บ้างแล้ว  ทำไมแค่ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กจะดูแลไม่ได้ เด็กน้อยวิ่งกวดสุนัขตัวอ้วนทั้งสอง แต่ยิ่งวิ่งเจ้าสองตัวก็นึกว่าจะชวนเล่น สี่เท้าโกยสุดกำลังออกมาถึงหน้าปากซอย แล้วฝนก็เทลงมา

เด็กน้อยตัวสั่น มองทุกอย่างรอบตัวด้วยความตกใจ ธีมกลัวฝน กลัวฟ้าผ่าลงมาโดนหัว ทุกครั้งที่ฟ้าร้องดัง ๆ เด็กน้อยจะซุกตัวขดคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มสองชั้น กอดหมอนข้างจนแน่นรอจนกว่าฝนจะหยุด แต่ครึ่งชั่วโมงแล้วที่นั่งอยู่แบบนี้ เปียกไปทั้งตัวจนหนาว เด็กน้อยขดตัวเองกับหน้าแข้ง หวังว่าจะพอทำให้อุ่นขึ้นมาได้บ้าง แต่ลมก็พัดแรง พาน้ำฝนเข้ามาตลอดเวลาจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว และฟ้าก็คำรามครืน ๆ จนเด็กน้อยเกือบจะร้องไห้ ตั้งแต่เล็ก ธีมไม่เคยอยู่คนเดียว ทุกทีจะไปไหนก็จะมีแม่ลูกน้ำหรือคุณครูดูแลตลอด ไม่เคยอยู่ห่างกับผู้ใหญ่โดยเฉพาะในตอนที่ฝนตกหนัก ๆ แบบนี้ ร่างเล็กไหวระริกอยู่เพียงลำพังคนเดียว ตัวสั่นเทาด้วยความหนาว พยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมา

จะต้องเข้มแข็ง จะต้องไม่ร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ ธีมต้องดูแลแม่แทนพ่อ ต้องทำในส่วนที่พ่อทำไม่ได้ จะมาร้องไห้กับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ !

"จะต้องไม่ร้อง จะต้องดูแลแม่น้ำ ดูแลลิ้นห้อย ร้อนแฮ่กให้ได้ ธีมจะดูแลชาฮิด จะปกป้องชาฮิดเอง !" เด็กน้อยจ้องมองสายฝนที่น่ากลัว พูดวนซ้ำ ๆ แบบนั้นกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะพูดแบบนั้นแต่พอท้องฟ้าผ่าลงมาทีไร เด็กน้อยก็ยกสองมือขึ้นอุดหู

"ไม่กลัวฟ้าผ่าหรอก ! ไม่กลัว ! ไม่กลัว ! ฉันไม่กลัว !" ธีมตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าร้อง

สองมือเล็ก ๆ ลดระดับลงแล้วกอดหมาทั้งสองตัวไว้จนแน่น ถึงจะตะโกนบอกสายฝนไปแบบนั้น แต่บนแก้มที่ชื้นไปด้วยน้ำฝน หยดน้ำเล็ก ๆ กำลังไหลพรูออกมาจากตาทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัว

นิ้วโป้งปาดซับความาเปียกชื้นบนแก้มตัวเอง นภเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง คำพูดของปรายฟ้ายังวนเวียนอยู่ในหัว มองจากภายนอกแล้วนภยังคงวางเฉย ทำตัวเป็นปกติ ไม่แสดงออกถึงความรู้สึก ทว่าในใจในตอนนี้กลับกำลังเปราะบางเหมือนแก้วที่รอวันแตก

สิบกว่าปีที่ชีวิตเอาแต่หนีไปเรื่อย ๆ เลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ ไม่ถามอะไรสักอย่าง นภใช้ชีวิตแบบนั้นมานานแสนนาน ทั้งที่ถ้าเพียงวันนั้นนภเลือกที่จะเดินไปถามเรื่องราวทุกอย่าง ช่วยเหลือปืนแบบที่ตั้งใจจะทำ นภอาจไม่ต้องหนีตัวเองไปต่างประเทศ คงไม่ต้องปล่อยให้เวลาค่อย ๆ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป จากเพื่อนสนิทกลายเป็นแค่เพื่อน สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงแค่คนที่เคยรู้จักกัน

มันคงช้าไปแล้วจริง ๆ เพราะพูดกันตามตรงแล้ว การที่โชคดีได้รู้ความจริงทุกอย่างในวันนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร เมื่อทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้วเพราะการกระทำของตัวนภเองในวันนั้น

ก็ต้องยอมรับผลจากการกระทำนั้นเองไม่ใช่หรือ

เรื่องที่เกิดขึ้น นภไม่โทษปืน ถึงจะรู้สึกโมโหที่ไม่พูดเหตุผลให้ฟังสักข้อทั้งที่เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่พอลองมาคิดกลับกันแล้ว ถ้าเป็นนภ ถึงจะไม่ใจกล้าบ้าบิ่นขนาดออกมาสวมบทเป็นพ่อของธีม แต่ก็เป็นไปได้มากที่จะเลือกรักษาความลับของลูกน้ำเอาไว้แม้แต่กับปืนก็ตาม การที่ใครสักคนต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันด้วยเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนอายุแค่สิบเก้า ทั้งแรงกดดันจากที่บ้าน ทั้่งคำถามจากสังคม แค่นี้ก็เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสพอแล้ว ถ้าการรักษาความลับเอาไว้จะช่วยให้อะไร ๆ ไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิม นภก็คงเลือกจะทำแบบนั้น

เพราะโตพอจะคิดได้แล้วถึงไม่ปล่อยใจให้เตลิดไปแบบนั้น แต่ไอ้จะห้ามความรู้สึกแปลบ ๆ ที่เป็นอยู่นี้ มันทำไม่ได้จริง ๆ นภเงยหน้าขึ้นมองโทรทัศน์ที่แขวนอยู่มุมหนึ่งของผนังในร้าน รายงานสดบอกว่าบางแห่งของประเทศมีฝนตกหนักจนถึงขั้นเป็นพายุฤดูร้อน ขณะที่บางแห่งนั้นอุณหภูมิกลับแตะเกือบถึง 45 องศาเซลเซียส โดยที่บางแห่งกลับหนาวถึงขั้นมีพายุลูกเห็บหล่นทำบ้านเรือนเสียหาย

ไม่อาจคาดเดาได้เลย

ถ้าที่เยอรมัน ฤดูร้อนที่นั่นคงจะพอคาดเดาอุณหภูมิได้ ฤดูร้อนที่ร้อนทึ่สุดอากาศจะตกอยู่ที่ราว ๆ ยี่สิบองศาเซลเซียส แต่ที่ประเทศไทย ฤดูร้อนหรือฤดูไหน ๆ อากาศที่นี่เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย ฤดูร้อนอาจมีฝนตก ฤดูหนาวกลับร้อนจัด หรือแม้แต่ฤดูฝนที่อบอ้าวจนเพลีย ทั้งที่อยู่มานาน รู้จักกันเป็นสิบปี แต่ก็ไม่มีอะไรคาดเดาได้สักนิด

คนที่นี่ก็คงไม่ต่างกัน ถึงจะรู้จักกันจนสนิท แต่พอถึงเวลากลับรู้สึกว่ายังรู้จักกันน้อยเหลือเกิน

"เมษายนเป็นเดือนที่ขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์ จึงเป็นช่วงระยะเวลาที่ตอนเที่ยง พระอาทิตย์จะอยู่ตรงกับศีรษะเรามากที่สุดของปี และเมื่อกระทบกับมวลอากาศเย็นที่กระจายเข้ามาอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดสภาพอากาศที่ปั่นป่วนรุนแรง ก่อให้เกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศที่พบได้บ่อยครั้ง พักชมสิ่งที่น่าสนใจ แล้วกลับมาพบกับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปีในช่วงหน้า สักครู่ครับ"

สัญญาณตัดเข้าสู่ช่วงโฆษณา พร้อมกับความโล่งใจของทีมงานทุกคนที่ตรีสามารถพยุงรายการให้ผ่านไปอีกเบรกได้อย่างราบรื่นจนไม่น่าจะสังเกตได้ว่าสคริปต์ข่าวและการตัดออกรายงานสดจากภูมิภาคต่าง ๆ นั้นเพียงพอแค่การรายงานเพียง 70 - 80 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

แต่นับจากนี้ นี่แหละปัญหา

ข้อมูลที่เตรียมไว้สำหรับช่วงต่อไปนั้นมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะส่วนที่เหลือคือเทปที่ยังเดินทางมาไม่ถึงสตูดิโอด้วยติดฝนที่ตกหนักจนการจราจร

"ตรี เบรกหน้าเรามีปัญหานะ เทปที่เราเตรียมไว้ยังไงก็ไม่น่าจะมาทำแน่ ๆ" พี่จ๊อดเดินคิ้วขมวดเข้ามาในฉากพร้อมกับสคริปต์รายการในเบรกต่อไปที่มีเพียงสองแผ่น "ที่เหลือเราอาจจะต้องพึ่งการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า"

"ตัดสลับการรายงานสดอาจพอช่วยได้อีกสัก 20 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับน้องตรีอาจจะต้องด้นสดเองอีกประมาณหกนาทีโดยไม่ให้เกิดหลุมอากาศ จะไหวไหมคะ" ดาน่าเองก็กังวลอย่างเห็นได้ชัด

"ไม่ไหวก็ต้องไหว ทำยังไงได้ เรามีเวลาอีกสามสิบวินาที มีอะไรจะถามไหม" พี่จ๊อดถามหน้าเครียด

แต่คนที่หน้าเครียดที่สุดคือตรี ชายหนุ่มหันมากระแทกมือลงกับโต๊ะแล้วส่งเสียงดัง !

"สัญญาณมือถือโอเคกันใช่ไหม"

"อะไรนะ ?" สองคนอ้ำอึ้ง

"ก็ไม่เห็นมีสักข้อความส่งมา ไลน์ SMS อีเมล ไม่มีอะไรเลย" ตรีส่งเสียงเศร้า ความมั่นใจถดถอยไป 55 เปอร์เซ็นต์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ปกติแล้วตรีไม่เคยต้องมาคิดหนักกับเรื่องพวกนี้เลยแท้ ๆ ! เสียงทีมงานตะโกนบอกว่าอีกยี่สิบวินาจะตัดกลับเข้ารายการ

"มั่นใจไหม ?" พี่จ๊อดถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

"ไม่ !"

ทำไมไม่โทรมาอีก ! ทำไม ! ทำไม ! ทำไม !

"ตั้งสติหน่อยตรี ไม่มีเวลาแล้ว เบรกต่อไป ยังไงก็ทำให้ดีที่สุด" โปรดิวเซอร์ผู้เจนจัดพูดเสียงเครียด ซึ่งแน่นอนว่าต้องสะดุดหูคนแบบตรี พงษ์พิพัฒน์ผู้แสนจะเจ้าระเบียบพิธีการเป็นแน่

"จะดีเหรอ ?" ตรีถามอย่างไม่เชื่อหู

ดาน่าที่เห็นท่าไม่ค่อยดีรีบไกล่เกลี่ย "ดีแน่นอนค่ะ เพื่อทีมงานของเราทุกคนค่ะน้องตรี"

"ถ้าทำเต็มที่ มันจะไม่ดีเกินรายการดาษ ๆ ในฟรีทีวีแบบนี้เหรอครับ ?" ตรี พงษ์พิพัฒน์ยกมือขึ้นทาบแผ่นอกตัวเองด้วยอาการตกใจยิ่งนัก



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)



ตอนนี้เป็นตอนที่นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ของกันเสียมาก เลยตัวหนังสือติดกันเป็นตับ ๆ นิดนึงนะครับ
สำหรับตอนหน้าจะเป็นตอนจบของเรื่องแล้ว ฝากติดตามด้วยนะครับ

หลังจากจบแล้ววางแผนจะรวมเล่มด้วยเผื่อให้คนที่อยากเก็บด้วยครับ
อาจจะเปิดจองสำหรับพรีออเดอร์ประมาณหนึ่งเดือนครับ
ไว้เดี๋ยวโรงพิมพ์ประเมินราคามาจะเอามาแจ้งคร่าวๆ ครับ

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับที่ติดตามอ่านกัน พบกับบทสรุปของเรื่องในตอนหน้าครับ :D
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 14 (Jul 07, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-07-2014 18:03:29
ฝนหลงฤดูจะทำให้อะไร ๆ เปลี่ยนไปบ้างไหม
คนที่รอก็ไม่อยากให้หมดหวัง ไม่ว่าจะรออะไรก็ตาม
ปล.แม่น้องหมูน่ารักจัง เห็นส่วนใหญ่เวลาเด็กทะเลาะกัน
ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายแทนที่จะเจรจารอมชอมกลายเป็นทะเลาะกันใหญ่โตทุกที
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 14 (Jul 07, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 07-07-2014 18:20:06
เป็นห่วงอาร์มไปด้วย กลัวจะเกิดเหตุร้าย
อาร์มรีบกลับมาอย่างปลอดภัยนะสงสารหนึ่ง นั่งไม่ติดที่แล้ว

ปืนไม่ออกมาสองตอนแล้ว ไปซุ่มอารมณ์ติสท์อยู่ไหน
นภไม่ควรโทษตัวเองนะ ปืนก็ผิดเหอะ!

พี่สิงห์ก็อีกคน นี่แอบไปซุ่มอยู่กับอีตาปืนแน่ๆ
อานนท์น่าสงสารนะ ทำไมไม่ทำอะไรสักอย่างเล่าาาาาา ฮึ๊ย หงุดหงิด
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 14 (Jul 07, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 07-07-2014 18:39:43
ลุ้นอานนท์มากสุด ไม่ไหวแล้ว แต่โผล่มาให้พอหน่วง
ีพี่สิงไม่ออกหลายตอนแล้วคิดถึ้งคิดถึง ตอนหน้าจะจบแล้วใจหายเลย
คู่ปืนกับนภก็ยังมองไม่เห็นทาง
รออ่านตอนต่อไป ขอให้ทุกคนสบายดีในวันที่ฝนตกนะฮะ TvT
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 14 (Jul 07, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 07-07-2014 19:35:14
เป็นห่วงอาร์มจังเลยค่ะ ขอใหัปลอดภัยน้าา อย่ามีเรื่องร้ายๆเลย
อานนท์ นายทำเราร้องไหัมาหลายตอนแล้วน่ะ ฮืออออ สงสาร อิพี่สิงห์มารับผิดชอบเลยน่ะ
นภกับปืนจะเป็นไงน้า
ธีมรอให้ชาฮิดมาช่วยน่ะ
ตรียังคงเกรียนเสมอต้นเสมอปลาย
รอๆๆตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ววว
จะรอจองน้าาา
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 14 (Jul 07, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 07-07-2014 22:12:01
ปรายฟ้าเป็นคนที่เข้มแข็งมาก สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าลืมอดีตที่ไม่ดีทิ้งไป แต่เลือกที่จะอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุขต่างหากล่ะที่สำคัญ  o13

เอาล่ะสิจะเป็นไงต่อไปน้าาา. รอตอนจบค่าา :mew1:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนที่ 14 (Jul 07, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: ruins ที่ 09-07-2014 12:03:00
จะติดตามตอนต่อไป พอดีอินไปนิดเดียว
เลยว่าจะรอจองด้วย รวมเล่มเมื่อไหร่บอกด้วยนะ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 12-07-2014 14:32:24
สวัสดีครับ มาถึงตอนจบแล้ว ขออนุญาตขู่ก่อนที่จะได้อ่านกันนะครับ
ตอนนี้มีขนาดที่ค่อนข้างยาวมากหน่อย อาจต้องใช้เวลาอ่านนานพอสมควร
ตัวหนังสือเยอะ แน่น และทดสอบความอึดของคนอ่านเต็มที่
จำเป็นต้องใช้สมาธิในการอ่านพอสมควร เพราะตัวละครแห่กันมาเหมือนจัดงานบุญบั้งไฟ
คนแต่งเองยังหน้ามืดลงไปนอนสลบคร่อกฟี้มาแล้ว ขอท้าทายคนอ่านทุกคนเลยครับ 555




(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)





ตอนที่ ๑๕



กลิ่นกับข้าวหอมฉุยออกมาจากในครัว ระหว่างที่แม่กำลังยืนทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่ คนเป็นลูกชายกลับยืนอยู่ที่ประตูด้วยหัวใจว้าวุ่น พิธานเดินกลับไปกลับมาเหมือนหนูติดจั่น ทั้งดวงตาและดวงใจมองผ่านกระจกบานเกล็ดที่ปิดอยู่ไปในสีทึมเทาด้านนอกรั้ว

ฝนซาลงนิดหน่อย แต่โลกของหนึ่งยังคงดูเป็นพื้นที่อันไร้ชีวิตแสงสี หนึ่งไม่ชอบอากาศร้อน เกลียดมาโดยตลอด ฝนซึ่งตกกระหน่ำอาจเป็นข่าวดีในวันที่ร้อนที่สุดสำหรับใครหลายคน แต่ไม่ใช่กับเขา หนึ่งอยากให้ทุกอย่างเป็นแบบเดิมที่ควรเป็น แดดร้อน อากาศอบอ้าวจนคนก่นด่าทั้งเมืองแบบนั้น มองเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรดี แต่อย่างน้อยอากาศร้อนจัดก็ทำให้อุ่นใจได้ว่าน่าจะไม่มีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะถนนลื่น

พิธานนั่งลงบนโซฟา หันหลังให้กับความเห็นของสายฝนที่ตกกระหน่ำ ดูรายการพิเศษในทีวีที่เกี่ยวกับวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีของประเทศไทย ภาพในจอโทรทัศน์ไม่ใช่แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าแต่เป็นภาพการจราจรที่ติดขัดมีปัญหาในความอึมครึมของสายฝน

"ขณะนี้ท้องถนนหลายจุดในกรุงเทพเริ่มมีปัญหาน้ำท่วมขัง เนื่องจากฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะหมดไปในไม่ช้า เพราะขณะนี้ทางกรุงเทพมหานครได้เปิดเครื่องสูบน้ำเต็มกำลังและฝนที่เริ่มตกน้อยลง คาดว่าระดับน้ำจะลดลงภายในไม่เกิดนสองชั่วโมง"

หนึ่งถอนหายใจแล้วเบนสายตากลับไปจ้องที่บานประตูไม้ ภาวนาอยู่ในใจให้มันเปิดออก แล้วมันก็เปิดออกจริง ๆ จากที่นั่งซึมเซาอยู่ เด็กหนุ่มแทบจะกระโจนออกไปหา หนึ่งวิ่งไปหน้าประตู มองคนตรงหน้าให้เต็มตาเหมือนจะพิสูจน์ว่านี่คือของจริง

มือที่ยังเปียกชื้นซึ่งกุมอยู่บนแขนยืนยันในคำตอบได้เป็นอย่างดี อาร์มส่งยิ้มแฉ่ง ยังคงสวมชุดที่เห็นเมื่อเช้าแต่อยู่ในสภาพเปียกมะลอกมะแลก "พอดีมันคิดถึง เลยเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว แต่ยังมาไม่ถึง ฝนดันตกเสียก่อน"

พอเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่มโนภาพให้ดีใจเล่น น้ำตาซึมก็มาโดยไม่รู้ตัว "ประสาทจริง"

คนฟังหน้าระรื่น ยื่นปากที่ชื้นไปด้วยน้ำฝนหอมลงบนแก้มของคนที่ยืนบ่นอย่างรวดเร็ว สูดกลิ่นผิวนุ่มนิ่มไปจนชุ่มปอด "คิดถึงนะคะ"

หนึ่งยกมือขึ้นปิดแก้มด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างความเขินและตื่นตะลึง ไม่คิดจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำซึ่งหน้าแบบนี้ "เดี๋ยวแม่เห็น"

อาร์มมองคนแยกเขี้ยว คำรามลอดไรฟันแล้วก็ชื่นใจ ไม่ให้หอมก็ไม่หอม อีกข้างติดเอาไว้หลังจากเปลี่ยนชุดข้างบนก็ได้ คนสวมชุดปั่นจักรยานเต็มยศเอาผมที่เปียกชื้นไถไปบนคอของอีกฝ่ายเล่นเหมือนลูกแมวช่างอ้อน "โธ่ ก็คนมันคิดถึงนี่นา อย่าดุสิ อาร์มอยากอยู่ใกล้ ๆ หนึ่งนี่คะ"

"ใครมาเหรอจ๊ะ" เสียงของแม่ที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้หนึ่งสะดุ้งแล้วหันกลับไปมอง แต่ไม่ได้มาแค่เสียง ตัวก็เดินมามองให้ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ด้วย "อาร์มเหรอลูก ได้ข่าวว่าไปขี่จักรยาน ไหนเปียกมาเป็นลูกหมาตกน้ำเลยจ๊ะ"

"ฝนตกครับคุณแม่ นี่กำลังทำโทษหนึ่งอยู่ มาทิ้งกันหน้าตาเฉย เอาให้เปียกไปด้วยกัน" ไม่พูดเปล่า อาร์มโผเข้ากอดหนึ่งเต็มตัว เอาหัวไถ ๆ ถู ๆ ชนิดไม่ได้เกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่สักนิด

หน้าด้านอะไรแบบนี้

หนึ่งหลับตาปี๋แล้วก่นด่าในใจ เด็กหนุ่มร้อนวูบ ๆ ไปทั้งหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้เป็นมารดาจะมองด้วยความรู้สึกแบบไหน ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ช่างเพิกเฉยกับเรื่องกาลเทศะได้อย่างเหลือเชื่อ แจ่มแจ้ง (ตรงการกระทำ) แดงแจ๋ (ตรงแก้ม) ยิ่งกว่าตอนสมัยที่โดนล้อว่าเป็นคู่เกย์กันเสียจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน

"พอกันเลย เปียกหมด ไป ๆ ไปอาบน้ำกันทั้งคู่เลยนะ หนึ่งเอาชุดให้อาร์มใส่ด้วยนะลูก แล้วลงมากินข้าวด้วยกัน อาร์มอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวแม่ทำให้"

"ขอกินหนึ่งได้ไหมครับ" หนึ่งสะดุ้งโหยง หันมามองคนที่พูดเต็มเสียงเหมือนตัวเองหูฝาด

"โอ๊ย...เขินจัง ไม่คิดว่าพูดแล้วจะเขินแบบนี้เลย" คนพูดหน้าแดงก่ำกับตัวเอง อาร์มยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ผมเปียก ๆ แล้วหัวเราะแหยให้กับแม่ของหนึ่ง ปิดท้ายด้วยการหันไปเขินใส่คนที่ตัวเองบอกว่าอยากกินอีกรอบ

"มุกอะไรของเราน่ะ พูดเองก็เขินหน้าแดงเอง" หญิงวัยกลางคนส่ายหัวระอา เธอแก่เกินกว่าจะสนใจมุกตลกของเด็กวัยรุ่นที่มีมาใหม่เป็นรายเดือนอีกแล้ว "รีบลงมากินไว ๆ ใกล้เสร็จแล้ว"

อ้าว...แม่ หนึ่งอ้าปากค้าง มองตามแผ่นหลังของหญิงร่างเล็กที่เดินกลับเข้าไปในครัวโดยไม่ทักไม่ท้วงอะไร ทำนองว่าเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นจนชินตามาหลายปีแล้ว บ่อยจนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร

"ปล่อย พูดอะไรแบบนั้น แม่จะรู้สึกยังไง" หนึ่งตะโกนเสียงดัง แต่ที่เล็ดลอดออกมากลับเป็นได้เพียงเสียงกระซิบ

"แล้วหนึ่งรู้สึกยังไงคะ"

"อะไรเล่า ?"

"คิดถึงอาร์มไหมคะ"

หนึ่งเบือนสายตาออกไปหยุดกับภาพสีเทาที่นอกหน้าต่าง มองจ้องทุกสิ่งอย่างขมักเขม้น คล้ายกับจะสืบค้นคำตอบบางอย่างที่ตกหล่นอยู่ท่ามกลางเม็ดฝนที่พรูลงจากฟ้า

ฝนยังตกอยู่จริง ๆ นั่นหรือ ทำไมถึงได้รู้สึกร้อนวูบวาบแปลก ๆ แบบนี้




"อากาศเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ เราอาจจะตีค่าวัดเป็นอุณหภูมิได้ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นที่ประกอบ ขณะที่พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า อาจจะวัดอุณหภูมิได้ประมาณ 42 องศาเซลเซียส แต่ท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆกำบัง หรือไม่มีลมพัดเลยนั้น อาจให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในอุณหภูมิที่สูงถึงเกือบ 50 องศาเซลเซียส แม้กระทั่งขณะนี้ที่ฝนตก ก็อาจจะรู้สึกหนาว หรืออาจจะรู้สึกอบอุ่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ด้านของแต่ละคน เพราะมนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิต มีความรู้สึก มีความรับรู้ และนั่นคือตัวแปรที่สำคัญที่สุด"




การมาของฝนทำให้เรื่องราวทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในด้านที่เลวร้ายมากขึ้น อานนท์รู้สึกหนาวขึ้นเรื่อย ๆ อากาศในคอมเพล็กซ์เย็นฉ่ำเพราะสายฝน ผู้หญิงหลายคนเดินกอดอก หลายคนบ่นว่าหนาว ยิ่งกับแผนกพัดลมและเครื่องปรับอากาศที่มีเปิดพัดลมไอน้ำอยู่ตลอดเวลานั้นยิ่งหนาวเป็นพิเศษ

อานนนท์พ่นลมหายใจอุ่น ๆ ลงบนอุ้งมือตัวเอง ก่อนจะหยิบใบปลิวของแอร์ยี่ห้อต่าง ๆ มาจัดให้เป็นระเบียบ เขานึกถึงวันแรกที่เริ่มต้นงานในห้างแห่งนี้ ทุกอย่างโอ่อ่าอย่างที่อานนท์ไม่เคยเห็นมาก่อน แอร์เย็นสบาย มีดนตรีเพราะ ๆ เปิดคลออยู่ตลอด หรูหราเสียจนเด็กบ้านนอกคนหนึ่งได้แต่มองอย่างทึ่ง คิดตั้งคำถามว่าคนที่เป็นเจ้าของจะรวยขนาดไหน จะมีความสุขแค่ไหนที่มีทรัพย์สินมหึมาได้มากถึงขนาดนี้ ว่ากันว่าแค่กระจกบานเดียวที่กรุขึ้นเป็นโดมก็ราคาหลายหมื่นแล้ว อานนท์ฟังแล้วเข่าอ่อน บ้านของเขาที่ต่างจังหวัด ช่วงไหนที่ผุพังต้องซ่อม แล้วถ้าบังเอิญอยู่ในช่วงที่บ้านไม่มีสตางค์ อานนท์กับพ่อยังต้องเดินไปเก็บป้ายหาเสียงของพวกนักการเมืองที่ไม่ใช่แล้วมากรุก่อตอกตะปูยึดขึ้นเป็นผนังบ้านชั่วคราวอุดรอยรั่วให้พอใช้ไป พักหลังที่อานนท์เข้ามาทำงานในกรุงเทพก็มีเงินช่วยที่บ้านมากขึ้นจนที่บ้านพอมีเก็บออม เรื่องเหล่านี้จึงเพลาลงไป

แต่มันกำลังจะจบแล้ว

เข็มนาฬิกาบอกเวลาที่เหลือน้อยลงอีกชั่วโมง อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลงพร้อมกับฝนพวกนี้ สถานะเป็นคนกรุงเทพชั่วคราวก็จะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับฤดูร้อนที่เขาว่าร้อนจัดกว่าทุกปี อานนท์หยุด คิด บวกลบต่าง ๆ ด้วยนิ้วมือ อีกประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็จะต้องออกจากกะแล้ว และในตอนที่ความหวังค่อย ๆ ถูกฝนชะล้างจนแทบไม่เหลือใด ๆ ร่างสูงใหญ่ซึ่งมีผมหยักศกเรี่ยบ่านั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่คนที่เดินไปมา เขาคนนั้นดึงดูดสายตาของอานนท์ให้ขยับเข้าไปใกล้ ใกล้จนกระทั่งเจ้าตัวสังเกตเห็นและหยุดยืนนิ่ง เมื่อมั่นใจว่าเป็นใคร คราวนี้เท้าทั้งสองข้างของอานนท์ก็คล้ายจะกระโจนออกไปเอง

"พี่สิงห์" อานนท์ทัก รู้สึกใจเต้นตึก ๆ ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุที่ควร

คนตัวสูงดื่มกาแฟปั่นในมือแล้วส่งสายตาดุ ๆ กลับมาที่อานนท์แบบทุกครั้ง "เดินออกมาจากแผนกทำไม ขายแอร์ได้แล้วเลยอู้งานก็ได้ ?"

"เปล่าครับ พอดีเห็นพี่สิงห์" คนตัวเล็กกว่าเกือบครึ่งตอบ "อันที่จริงแล้ว ผมยังขายไม่ได้สักเครื่องเลยครับ"

คล้ายกับแววตาคู่นั้นจะร้อนขึ้นจนอานนท์ไม่กล้าจะสบตาด้วย เด็กหนุ่มหลุบหน้าหนีลงมองพื้นพร้อมความรู้สึกบางอย่างที่กดดันจนท่วมท้นใจ เป็นเวลาไม่กี่วินาทีที่ทุกสิ่งประดังประเดเข้ามา ใจหนึ่งก็เอ่อล้นไปด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็ได้เจอกันอีกครั้ง ได้พูดคุยบอกลากันก่อนอะไร ๆ จะจบไป อีกใจ อานนท์ถามตัวเองว่าพี่สิงห์จะผิดหวังในตัวเขาหรือเปล่า เมื่อหลายวันที่ผ่านมาความทุ่มเทของพี่สิงห์มีค่าเพียงความว่างเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ เขายังขายแอร์ไม่ได้ พยายามเท่าไรก็ยังเป็นคนที่ไม่เอาไหนเหมือนเดิม

"ก้มหน้าทำไม เงยหน้าขึ้น" เสียงเข้มของคนตรงหน้าดังขึ้น

"เปล่าครับ"

"เงยหน้าขึ้นมาอานนท์ !" คราวนี้เพชรกล้าตวาดเสียงแข็ง "เป็นอะไร นิด ๆ หน่อย ๆ ร้องไห้เลยเหรอ เหยาะแหยะแบบนี้จะทำอะไรกิน"

ร่างสูงยักษ์ดึงมืออานนท์ให้เดินเข้ามาในแผนก ท่าทีดุดันนั้นน่ากลัวจนเหล่าพนักงานขายคนอื่นเดินเลี่ยงไปหมด ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของพี่สิงห์จากแผนกช่าง ไม่มีใครอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับสิงห์ร้ายผู้โดดเดี่ยวที่ไม่เคยคิดไว้หน้าใครแบบนั้น

เพชรกล้าหยุดยืนที่กลางแผนกแล้วคลายมือออก "ไหนบอกสิว่าสองรุ่นนี้ต่างกันยังไง !"

สั่นอยู่สักพัก พอตั้งสติได้ อานนท์ก็เงยหน้าขึ้น มองจ้องเครื่องปรับอากาศทั้งสองรุ่นที่พี่สิงห์ตั้งคำถาม ทบทวนถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านการท่องจำมานับครั้งไม่ถ้วนจนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสมอง อานนท์จะทำให้ดีที่สุด จะให้พี่สิงห์ได้รู้ว่าอย่างน้อยสิ่งที่พร่้ำสอนนั้นก็ใช่ไม่มีความหมายกับเขา

"รุ่นนี้เป็นแอร์ติดผนังครับ เสียงเงียบ กินไฟน้อย แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานหนักที่ต้องเปิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ส่วนรุ่นนี้เป็นแบบตั้งพื้นหรือแขวน ให้พลังลมและความเย็นดีกว่า แต่ทรงจะดูไม่ทันสมัยเท่าไหร่และค่อนข้างกินไฟ ถ้าเป็นแอร์บ้าน แบบติดผนังจะเหมาะกว่า" แม้จะมีอาการเคอะเขินอยู่บ้าง แต่อานนท์ก็พูดอย่างไม่ติดขัด "จุดต่างอีกจุดระหว่างสองรุ่นนี้คือในส่วนของระบบการฟอกอากาศครับ รุ่นแรกจะใช้แค่ระบบการกรอง เป็นแผ่นกรองที่ต้องเอามาทำความสะอาดเรื่อย ๆ แต่อีกรุ่นใช้ระบบการปล่อยประจุไฟฟ้าลบ มันจะคอยดักจับประจุบวกของพวกฝุ่นละออง แล้วทำให้มั่นร่วงลงบนพื้นห้อง แบบไอออไนเซอร์นี้จะไม่ต้องทำความสะอาดมากครับ"

"ก็ตอบได้คล่องแคล่วนี่" เพชรกล้าพูดด้วยเสียงที่ยอมรับขึ้น "แล้วถ้าห้องขนาดประมาณยี่สิบตารางเมตรควรซื้อกี่บีทียู จะแนะนำยังไง"

"ห้องขนาดยี่สิบตารางเมตร ถ้าเป็นห้องปกติก็แนะนำที่ 12,000 บีทียูครับ แต่ถ้าเป็นห้องที่โดนแดดจัดแนะนำเป็นรุ่น 18,000 บีทียูจะดีกว่าครับ ไม่อย่างนั้นอาจสู้แดดไม่ไหว" อานนท์ตอบอย่างฉะฉาน

เพชรกล้าเงียบไปชั่วขณะ มองดูตัวเครื่องปรับอากาศตรงหน้าเหมือนสืบค้นข้อมูลบางอย่างขึ้นมาเพื่อทดสอบอีก

แล้ววินาทีนั้นก็มาถึง เมื่อผู้ชายร่างสูงยักษ์เอ่ยขึ้นเต็มเสียง

"เอาแบบนี้ยี่สิบเครื่อง"

ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ แต่เป็นคำพูดที่อานนท์ไม่คิดว่าจะได้ยิน

"ส่งให้ได้เมื่อไหร่"

อานนท์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความงง หัวสมองรับข้อมูลไม่ทัน หรือพี่สิงห์จะล้อเล่นอะไร

"อานนท์ ! อย่าให้ต้องพูดซ้ำ ! ถามว่าส่งได้เมื่อไหร่ !"

"ส่งอะไรครับ" อานนท์ถาม ยังคงสับสน

"แอร์สิ ! ขายน้ำส้มปั่นเรอะ !" เพชรกล้ากระแทกแก้วกาแฟปั่นในมือลงกับเชลฟ์แล้วจ้องหน้าเคร่งจนอานนท์กลืนน้ำลายเอื้อก

"พี่สิงห์...พี่สิงห์จะซื้อแอร์เหรอครับ ซื้อทำไมยี่สิบเครื่อง" เด็กหนุ่มลำล่ำละลักถาม หากแต่ท่าทีของพี่สิงห์นั้นบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเริ่มหงุดหงิดกับตนเพียงใด สมมติว่านี่เป็นเรื่องจริง สมมติว่าเป็นอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับพี่สิงห์เลย "คือถ้าพี่สิงห์ใช้สิทธิ์พนักงานจะได้ส่วนลดนะครับ อย่าซื้อหน้าร้านแบบนี้เลยครับ ประหยัดกว่าตั้งหลายพัน"

"อานนท์ !"

"ครับ"

"ไปคิดเงินกับแคชเชียร์ ! เดี๋ยวนี้ !" เพชรกล้าเสียงแข็ง

"แต่พี่สิงห์ครับ..."

เพชรกล้าคว้าแถบบาร์โค๊ดจากหน้าเชลฟ์ แล้วใช้มืออีกข้างที่แข็งเหมือนคีมเหล็กบีบที่ข้อมือของอานนท์ ลากแขนและก้าวอาด ๆ ไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ พอถึงก็วางแถบรหัสสินค้าลงแล้วดึงป้ายพนักงานที่เหน็บไว้ตรงกระเป๋าเสื้อของอานนท์ออกมาวาง

"ซื้อแอร์ ! ซื้อกับเซลคนนี้ ! ยี่สิบเครื่อง ! คิดเงิน !" เพชรกล้าวางบัตรเครดิตลงแล้วหันมาจ้องหน้าคนที่ยืนค้างอ้าปากหวอ "แค่นี้มันยากเย็นนักหรือไง !"

คนที่ถูกตะคอกยังคงยืนนิ่ง พอเพชรกล้าจ้องหน้ากลับทำนองว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เหมือนโลกใบน้อย ๆ ของอานนท์จะเริ่มหมุนเคว้ง เด็กหนุ่มเซเหมือนจะล้ม เป็นเหตุให้คนตัวสูงดึงเข้ามายึดไว้กับตัวก่อนจะทำให้ข้าวของล้มระเนระนาด เพชรกล้าหันไปพูดกับแคชเชียร์ว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมาจัดการสลิป ก่อนจะพาอานนท์กลับไปที่เชลฟ์แสดงเครื่องปรับอากาศรุ่นต่าง ๆ

"กรอกเอกสารใบรับประกันและที่อยู่จัดส่งเป็นที่หอพักที่นายอยู่ ใส่เบอร์โทรศัพท์หอลงไปด้วย"

"อะไร" อานนท์ครางเสียงแผ่ว ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

เพชรกล้าหลับตาแล้วถอนหายใจยอมแพ้ในความซื่อ คิดดูแล้วเด็กอย่างอานนท์คงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก วันทั้งวันชีวิตมีแต่หอพักกับที่ทำงาน ไม่ค่อยได้พูดคุยกับใคร อาศัยอยู่กับความเงียบเหงาในห้องแคบ ๆ เพียงคนเดียวลำพัง

"หอพักที่นายอยู่น่ะรู้ไหมว่าเขาจะปรับบางส่วนให้เป็นห้องติดแอร์"

อานนท์ส่ายหน้าไม่รู้ ซึ่งก็ไม่นับว่าเกินความคาดหมายของคนที่เอ่ยถามนัก

"แล้วรู้ไหมว่าเจ้าของหอพักที่อยู่นั่นน่ะชื่ออะไร"

"พลอยแก้วอพาร์ตเมนต์" เด็กหนุ่มร่างเล็กตอบ

"พลอยแก้วคนนั่นน่ะ เป็นของแม่ฉัน" เพชรกล้าแจกแจง "สารพัดอาหารที่นายซื้อมาให้นั่นน่ะ ฉันกินมาหมดแล้ว ร้านค้าละแวกนั้นมีอะไรก็รู้จักเกือบทั้งหมด อาจจะรู้กว่านายด้วยซ้ำ ข้ามถนนแล้วเดินเข้าซอยที่เยื้องจากซอยบ้านไปประมาณห้าสิบเมตรมีร้านอาหารตามสั่ง ร้านนั้นอร่อยใช้ได้ ถัดไปจากปากซอยประมาณห้าร้อยเมตรมีร้านข้าวมันไก่ ร้านนั้นต้มไก่ดี น้ำจิ้มอร่อย ข้าง ๆ เป็นร้านข้าวหมูแดง หมูแดงน่ะไม่ได้เรื่อง แต่หมูกรอบถือว่าเข้าขั้น พวกนี้น่ะนายรู้ไหม"

อานนท์ยืนค้าง ร่างกายเหมือนจะโงนเงน ทรงตัวไม่ไหว "โกหก"

เพชรกล้าถอนใจอีกครั้งแล้วพูดต่อ "มีหอพักที่ไหนให้คนอยู่ได้ไม่ถึงเดือนแล้วย้ายออก ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าซ่อมบ้านอยู่ แล้วมันหนวกหูก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว แอร์นี่แม่ก็ใช้ให้มาซื้อตั้งนานแล้ว พอช่างซ่อมบ้านฉันเสร็จ ก็จะมาเริ่มซ่อมหอต่อ จะติดแอร์ก็ช่วงนี้แหละ"

"เจ้าของไม่ใช่ลุงมาเหรอ"

"แม่ฉันไม่ได้มีแรงมานั่งเฝ้าได้ทุกวันหรอกนะ ลุงมาเขาเป็นลูกจ้าง"

"โกหก" แข้งขาอ่อนไปหมด อานนท์ได้แต่พึมพำซ้ำ ๆ อย่างนั้น "ไม่จริงหรอก โกหกแน่ ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไง"

"หน้าฉันเหมือนคนที่ชอบพูดโกหกนักหรือ"

"ไม่ได้โกหกนะ"

แววตาที่จริงจังกว่าทุกครั้งของคนตรงหน้าทำให้อานนท์ปล่อยโฮออกมาแบบไม่อาย เด็กหนุ่มโผเข้ากอดเพชรกล้า งอแงเป็นเด็ก ๆ ชนิดที่ไม่กลัวสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาว่าจะจับจ้องตนเองด้วยสายตาอย่างไร "พี่สิงห์...พี่สิงห์...ผมไม่ตกงานแล้ว ไม่ต้องกลับบ้านนอกแล้ว ไม่ต้องทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแล้ว ผมได้อยู่ที่นี่ ยังได้อยู่กรุงเทพ กินข้าวกับอ้อย ได้ทำงานกับคุณโกวิท ได้ทำงานกับพี่สิงห์ พี่สิงห์...ผมดีใจ พี่สิงห์...พี่สิงห์..."

มือที่แข็งกระด้างยกมือขึ้นลูบหัวที่สั่นไปมาสองสามครั้ง เพชรกล้าไม่ใช่คนอ่อนโยน มือหนักและหยาบกร้านแบบคนที่ทำงานชนิดที่บู้ออกแรงมาตลอดชีวิต สิ่งที่หัวหน้าช่างทำได้โดยไม่รู้สึกว่าตนเองขัดเขินคือการโอบร่างที่ไหวสะท้านไม่หยุดนั้นแล้วจ้องมอง

"มันไม่ได้สะอาดอะไรนัก จะเอาหน้าไปซบทำไม" เสียงแข็งกระด้างขัดขึ้น แต่อานนท์กลับคิดว่าผ้าแข็ง ๆ แบบนี้มันอ่อนโยนและอบอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มแพง ๆ เสียอีก ตัวแข็ง ๆ ของพี่สิงห์ก็นุ่มยิ่งกว่าหมอนไหน ๆ ที่เคยหนุนนอนร้องไห้มานับตั้งแต่เข้ามาอยู่กรุงเทพ

"พี่สิงห์...พี่สิงห์...พี่สิงห์..." เด็กหนุ่มพร่ำพูดซ้ำ ๆ เหมือนคนที่เพ้อกับความสุข "จะไม่ลืม จะไม่ลืมเลย ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย มันดีจนผมคิดว่านี่ต้องเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่เรื่องจริง พี่สิงห์...ขอบคุณมากครับ ขอบคุณจริง ๆ"

"จะพูดซ้ำ ๆ ทำไม หนวกหู ก็แค่ซื้อแอร์ติดหอของที่บ้าน" เพชรกล้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด หากแต่สองมือยังตระกองร่างที่สั่นโยกไว้กับอก

โกวิทที่ยืนมองดูทุกอย่างอยู่นานเดินเข้ามาหาพร้อมกับสลิปบัตรเครดิตที่ยื่นให้เพชรกล้า หัวหน้าแผนกขายเอียงคอมองลูกน้องของตัวเองที่ฟูมฟายอย่างกับเด็ก ๆ น้ำตานองเต็มสองแก้ม ตาหูแดงไปหมด

"ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นคนที่ยอดขายสูงสุดในแผนกเลยนะอานนท์"

"คุณโกวิท ขอบคุณมากครับ" อานนท์พนมมือไหว้

"ไปขอบคุณคนซื้อจะดีกว่า ถึงขนาดทำให้คนแบบเพชรกล้ายอมทำแบบนี้นี่ ผมมองคนไม่ผิดจริง ๆ" โกวิทยิ้ม "อย่าลืมดูแลลูกค้าของตัวเองให้ดีที่สุดนะ นี่เป็นหน้าที่ของพนักงานขาย"

เห็นอานนท์รับคำ โกวิทก็เดินกลับออกไปพร้อมกับความรู้สึกโล่ง คิดเหมือนกันว่าตอนที่เพชรกล้ากลับมาด้วยข้อเสนอโหดแบบนั้น พูดได้หน้าตารเฉยและเจ้าตัวก็ดูจะไม่กริ่งเกรงแม้แต่น้อย แววตายังคงมองไปข้างหน้าอย่างแข็งกร้าวแบบเดิม ติดจะเจือด้วยประกายประหลาดด้วยซ้ำ ทั้งหมดน่าจะแปลว่าเพชรกล้าได้เห็นอะไรบางอย่างในตัวของลูกน้องที่ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องของเขา โกวิทไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมากว่าสี่สิบปีบอกว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง เขามั่นใจในอานนท์แบบที่มั่นใจในลูกน้องทุกคนที่ตัวเองรับมา ทุก ๆ คนเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นพนักงานของธาดาพิพัฒน์คอมเพล็กซ์แห่งนี้ แน่นอนว่าโกวิทมั่นใจว่าใครก็ตามที่ได้ลงมาคลุกคลีสัมผัสก็ต้องคิดแบบนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนทีี่ใคร ๆ ต่างขนานนามว่า...พี่สิงห์

"จะกอดอีกนานไหม" เพชรกล้าเสียงแข็งขึ้น "เช็ดน้ำตาให้หมด ส่องกระจกดูสารรูปตัวเองเสียบ้างว่ามันดูได้ไหม"

อานนท์ยอมถอยตัวออกห่าง ยกสองมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างอดกลั้น ถึงตอนนี้ก็ยังแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง

"อีกชั่วโมงกว่า ๆ เลิกงานใช่ไหม"

ใบหน้าที่ยังเปรอะไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นแล้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถาม พี่สิงห์ก็ยังเป็นพี่สิงห์คนเดิมที่รู้จัก หน้านิ่ง ตาดุ และพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ ปราศจากความอ่อนโยน และไม่เคยมีความอบอุ่นใดเจือปนอยู่ในนั้น

"ฉันจะรอ"

อานนท์ยังคงยืนงง ไม่เข้าใจทุกอย่างเช่นเดิม "มีธุระอะไรหรือครับ หรือว่ามีอะไรอยากให้ผมช่วยทดแทนหรือเปล่า พี่สิงห์บอกมาได้เลยนะครับ ผมยินดีทำทุกอย่าง"

"อะไรพวกนั้นไม่มีหรอก" เพชรกล้าตอบเสียงดุแบบเคย "เห็นว่าไม่ชอบกินข้าวคนเดียวไม่ใช่หรือไง"

"พี่สิงห์..." แล้วอานนท์ก็โผเข้ากอดพี่สิงห์อีกครั้ง ปล่อยโฮออกมาเสียงดังกว่าครั้งไหน ๆ

แล้วผู้ชายที่ใคร ๆ ในที่ทำงานต่างก็พูดว่าเป็นคนแข็งกระด้างไม่เคยเอาใครก็ยกมือขึ้นลูบผมคนในอ้อมกอด...แค่เพียงสองสามครั้ง เพียงแค่นั้นและกลับไปนิ่ง ยืนมองร่างเล็กที่ไหวสั่นในวงแขนตัวเองแบบเคย




"เหตุการณ์ฝนตกในวันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้เรารับรู้ว่า อากาศนั้นเป็นเรื่องที่เกินกว่าจะคาดเดาได้ สุดท้ายแล้ววันนี้ที่เคยว่ากันว่าจะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีนั้นกลับเป็นแค่เพียงเรื่องโกหก อากาศที่เลวร้ายที่สุดในปีนี้คือเมื่อวาน และมันก็ผ่านไปโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว เช้าวันนี้เป็นวันที่มีอุณหภูมิต่ำสุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา อากาศเย็นสบาย สดชื่น แม้ว่าฝนอาจสร้างปัญหาตะกุกตะกักไปสำหรับหลายคนในตอนแรก แต่เมื่อปรับตัวได้ พายุฤดูร้อนนั้นกลับทำให้เรายิ้มได้ด้วยสายฝนเย็นฉ่ำ และอากาศที่แช่มชื่น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะมวลอากาศร้อนที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน พอถึงเวลาที่เหมาะ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่อนคลายลง"




หลังกระจกบานเก่าในโรงแรมเล็ก ๆ ละแวกนานา เสียงโทรทัศน์ยังคงเจื้อยแจ้ว คนง่วงแต่นอนไม่หลับมองท้องฟ้าสีหม่นที่แผ่กว้างอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างในสายฝนช่างดูน่าเศร้า หม่นมัว ในชั่วโมงแรกที่ความจริงทุกอย่างเปิดเผย ความทรงจำเก่าคร่ำคร่าก็ซ่อมแซมตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จากฝุ่นที่เกาะอยู่ตามชิ้นส่วนต่าง ๆ จากซอกหลืบเล็ก ๆ จากคราบบาง ๆ ที่เคลือบอยู่ในทุกชิ้นส่วนอวัยวะ

ใช่เพียงแค่สมองที่ยังจดจำเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตาของเขาก็ยังจำรอยยิ้มนั้นได้ หูก็ยังคุ้นเสียงทุ้มแหบของเสียงพูด เสียงหัวเราะ จมูกยังจำกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ ที่เจืออยู่ในอากาศ บ่าก็ยังจำน้ำหนักของวงแขนที่วางทับได้ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นที่ภายใน ขณะที่ภายนอกของนภยังคงเป็นเหมือนผู้ชายวัยกลางคนปกติธรรมดาที่ดูเรียบเฉย

ความจริงที่เป็นเหมือนกุญแจได้ไขโซ่ตรวนซึ่งจองจำทุกอย่างในอดีตไว้ให้คลายออก จิตวิญญาณของนภเป็นเหมือนท้องฟ้าสีคราม เสรี อิสระ ไร้ขนบ ปราศจากกรอบกำแพงกั้น เขาหลุดจากการจองจำทุกอย่างในอดีต ตามทฤษฎีมันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริง ทุกอย่างตรงกันข้ามไปหมด

นภเพิ่งรู้ว่าพันธนาการพวกนั้นไม่เคยมีผลแต่แรก ทุกอย่างคือความสมัครใจที่เลือกจะขังตัวเองอยู่ในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนนั้น และทุกสิ่งก็จะดำเนินต่อไปแบบนี้ ปี สองปี ห้าปีสุดแล้วแต่ อยู่กับเรื่องเก่า ๆ ความทรงจำที่เริ่มต้นบทที่หนึ่งด้วยความตื่นเต้น เข้าสู่บทต่อ ๆ ไปด้วยความสุขสนุกสนาน มาถึงจุดหักมุมที่เต็มไปด้วยความโศกศัลย์ และหยุดอยู่แค่นั้นโดยไม่มีใครกล้าพลิกไปสู่ตอนจบที่เป็นบทสรุป

"Housekeeping, please" เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง

นภหันกลับมาที่ประตู ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า แล้วเดินโงนเงนไปหาต้นเสียง บิดลูกบิดแล้วเปิดมันออก แต่คนที่ยืนอยู่หลังกรอบไม้สี่เหลี่ยมนั้นกลับไม่ใช่แผนกแม่บ้านอย่างที่นภเข้าใจ

"ไง" ปืนเอ่ยทัก

ไม่มีเสียงเอ่ยทักตอบ มีแต่ความชาไปทั่วร่างจนขยับตามการสั่งการไม่ไหว นภมองร่างกายที่เปียกปอนไปด้วยฝนเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นนัก และคนที่มาเยือนก็เอ่ยต่อ

"อย่างน้อยระหว่างที่ยังอยู่ที่กรุงเทพ ก็น่าจะพาเที่ยวแหละนะ"

ความงุนงงทำให้ปฏิกิริยาของนภเชื่องช้า เขาตะกุกตะกัก ยังคงไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ทันกับอีกฝ่ายซึ่งวิสาสะก้าวเข้ามาในห้องแล้วตรงไปที่ห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาที่เปียกไปด้วยน้ำฝน

"แต่วันนี้ฝนตก" นภพูดไปตามสภาพ เป็นข้อมูลงี่เง่าที่ไม่ว่าใครก็รู้ดี

เจ้าของผิวสีแทนหัวเราะขึ้นขณะที่ใช้อุ้งมือยีศีรษะ ปืนก้มหน้าลงกับอ่างเล็ก ๆ วักน้ำชะโลมหน้าจนหัวไหล่งองุ้ม

นภผละสายตาจากมิติภาพตรงหน้า ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับปลายเท้าตัวเองที่ขยับย่างบนพรมสีตุ่น และยังคงส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อกับสิ่งทืี่ได้เห็น ชายหนุ่มเดินเหมือนคนละเมออกมาจากบานประตู หยุดยืนนิ่งสักครู่และตั้งหลัก ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เตียงแล้วใช้ความคิด

จากครั้งที่แล้ว นภคิดว่าตัวเองค่อนข้างชัดเจนในส่วนของความรู้สึก และเพราะชัดเจนจึงไม่คิดว่าจะตนเองวนกลับมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ลูกน้ำพูดเหมือนว่าเมื่อก่อนนั้นปืนเป็นอย่างไร ปัจจุบันเจ้าตัวก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่เที่ยวแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น

และถ้ามันเป็นความจริง...

หัวใจค่อย ๆ เต้นแรงขึ้นจนกลับมาอุ่นอีกครั้ง จากมือและเท้าที่เย็นจัด ชีวิตชีวาเริ่มกลับมาใหม่ กระทั่งฝนสีหม่นมัวที่นอกหน้าต่างก็ซาลงจนเห็นสีเขียวชะอุ่มของต้นไม้เล็ก ๆ ชูกิ่งก้านสดชื่น เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง หรือแท้จริงแล้วจะอาจจะเพียงไม่วินาที กระนั้นก็นานเหลือเกินในความคิดของนภก่อนที่ร่างสูงของอีกคนจะปรากฏขึ้นตรงหน้าในสภาพที่มีเพียงผ้าขนหนูปิดท่อนล่าง

"ไม่เป็นไรใช่ไหม ?" ปืนยกสองมือกางออกแล้วไล่ลงจากระดับอกให้ดูสภาพของตนเองในตอนนี้



(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 12-07-2014 14:35:51
(ต่อๆๆๆ)



ใบหน้าของนภไหวไปมาสองสามครั้งก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่าย แล้วเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ห้องเพื่ออะไรจุดอะไรที่น่าสนใจกว่าคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ซึ่งมันดูประสาทสิ้นดีกับการจ้องม่านสีพื้นแล้วเพ่งกระแสจิตเหมือนจะให้มันมีลวดลายขึ้นมา

นภคิดว่าข้อศอกที่วางลงบนหัวเข่าทั้งสองข้างนั้นน่าจะมีน้ำหนักมากพอกดสติไม่ให้กระเจิดระเจิงไปไหน เขานั่งอยู่อย่างนั้นครึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ นึกอยากจะนั่งนิ่ง ๆ ไม่คิดอะไร แต่ที่ทำอยู่กลับกลายเป็นการประกอบส่วนเล็กส่วนน้อยที่อยากจะลืมอยู่ในความทรงจำอย่างขมีขมัน และเกือบทั้งหมดก็ไม่พ้นเรื่องของคนที่นั่งกึ่งเปลือยอยู่ข้าง ๆ

"เราจะนั่งเงียบ ๆ แบบนี้กันอีกนานไหม" สุุดท้ายนภก็พูดขึ้น ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เท่าไรนัก

จากสองแขนเหยียดยาวที่ค้ำร่างอยู่ มืออุ่น ๆ ข้างหนึ่งของปืนก็เอื้อมมาจับหัวไหล่ของนภ และพูดอย่างง่ายดายว่า

"ฟังเสียงฝนสิ"

เสียงกระซิบนั้นเหมือนจะสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง ปลุกนภให้ตื่นจากภวังค์ในทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ปืนทำเสียงจุปากแล้วส่งยิ้มมาให้ ขณะที่ร่างกายก็เขยิบเข้ามาช้า ๆ จนชิดติดกัน

ฉับพลันห้องที่เหน็บหนาวก็เหมือนจะกลับคืนสู่บรรยากาศอันสดใสของฤดูร้อน มีแดดสาดส่องอยู่ที่หน้าต่าง นกตัวเล็ก ๆ โบยบินไปมา ทะเลบนท้องฟ้าถูกเจิมด้วยปุยเมฆขาว

"จำได้ไหมเมื่อก่อนที่เราติดฝนด้วยกัน" เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"อย่าพูดถึงมันเลย" นภพูด ตะกุกตะกักเต็มที

ปรมะกลับไปทิ้งน้ำหนักตัวลงบนแขนทั้งสองข้าง เอนกายไปด้านหลังแบบที่มักทำเป็นประจำ "สูบบุหรี่ได้ไหม"

"ไหนวันก่อนว่าจะเลิก"

"พูดแบบนี้มาเป็นพันครั้งแล้ว แต่ทำไม่เคยได้สักที" เสียงทุ้มนั้นเหมือนจะเยาะตัวเองให้เจ็บแสบ ปรมะควานมือไปหยิบซองบุหรี่ที่อยู่หัวเตียง ดึงออกมาหนึ่งมวนแล้วจุดไฟแช็ก เผาความทรงจำอุ่น ๆ ให้หอมคลุ้งขึ้นมาในรอยเท้าที่กรีดกรายของสายฝน

"ฝนตกนายมักจะง่วงนอนไม่ใช่เหรอ จะหลับก็ได้นะ"

ปืนมักจะเป็นแบบนี้ เขารู้ทาง และมีวิธีการพูดแบบที่รู้ว่าจะทำให้นภยิ้มออกได้เสมอ หงุดหงิดแค่ไหน ไม่สบายใจเรื่องอะไร ทุกครั้งที่ได้คุยกับปืน นภจะยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย

"พิงมาก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจนั่นนะ" เขาพูด ส่งยิ้มแบบมักจะทำเสมอมาให้

นภนั่งนิ่ง ไม่ได้ตอบรับคำเชื้อเชิญนั้น

มีแววเก้ออยู่ในรอยยิ้มแบบที่มักใช้ประดับบนหน้าเสมอ ปืนหัวเราะน้อย ๆ ตอนที่แหงนหน้าแล้วพ่นควันสีเทาขึ้นคลุ้งในอากาศ "แต่ก่อนพอฝนตกทีไร ไม่เกินสิบนาทีนายก็จะเริ่มง่วง แล้วแป๊บเดียวก็จะหลับเป็นตาย นอนหนุนไหล่ฉันจนเมื่อยไปหมด ทำยังไงก็ไม่ตื่น ขี้เซาชะมัด ตอนนี้ที่อยู่บนเตียง มีหมอนนุ่ม ๆ ผ้าห่มอุ่น ๆ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่เข้าท่านะ"

ศีรษะของนภโคลงไปมา ผ่านมาสิบกว่าปี เติบโตจนกลายเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะมีใครกลับไปทำอะไรแบบนั้น

"หรือกลัวว่าจะถูกล้อว่าน้ำลายยืดแบบเมื่อก่อน" ปืนกลั้วหัวเราะ

และยิ่งหัวเราะมากขึ้นเมื่ออีกคนทำหน้าตูมใส่ "ไม่เป็นไรหรอก เหมือนกับตอนเรียนนั่นแหละ ยังไงเราก็ติดฝนอยู่แล้วนี่"

แววตาที่สบมองอยู่อย่างไม่คิดหลบหลีกเฉกเช่นที่ผ่านมาทำให้ชีพจรของนภเต้นแรงขึ้น...และแรงขึ้น มีคำพูดบางอย่างอยู่ในแววตาที่เป็นประกายอุ่น ๆ คู่นั้น นภหลับตาลง จงใจลบภาพที่สะกิดใจให้ไหววูบนั้นด้วยสีดำที่มืดสนิท

ร่างที่เล็กกว่าเล็กน้อยเอนตัวลงบนฟูก ขดตัวกับกองผ้าห่มอันยับย่น ฟังเสียงฝนที่ตกกระทบกับกระจกหน้าต่างทีละเม็ด ทั้งที่ทุกอย่างควรสงบลง หากแต่ในใจกลับว้าวุ่นจนอดไม่ได้ที่จะลืมตามองคนที่นั่งสูบบุหรี่อีกครั้ง

ตาคู่นั้นยังจับจ้องที่ใบหน้าเช่นเดิม และรอยยิ้มนั้นก็ยังพร่างพราวจากความทรงจำที่ลึกที่สุดในหัวใจของนภ

"นอนเถอะ สัญญาว่านั่งเป็นเพื่อนตรงนี้" ปืนชูสามนิ้วขึ้นแบบลูกเสือสามัญเวลาตั้งสัตย์ปฎิญาณ "จนกว่าจะตื่น"

หลายนาทีต่อมา พอได้ยินลมหายใจที่เปลี่ยนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ปืนก็หันกลับมามองคนที่นอนอยู่เต็มตา

"หลับแบบนี้แหละดีแล้ว" นิ้วมืออุ่น ๆ ลูบผะแผ่วไปบนผมที่เรียงตัวเป็นพู่ไหม เมื่ออีกฝ่ายยังคงพริ้มตาไม่ไหวติง ชายหนุ่มที่นั่งเฝ้าอยู่ก็กระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

"จะได้ขโมยจูบอีกไง"

สัมผัสนุ่มนวลแตะลงบนริมฝีปากของนภอย่างเชื่องช้า และคลอเคลียอย่างอ้อยอิ่งราวกับจะไม่ผละจากไปไหน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ความอุ่นชื้นนั้นกดตัวลง ตักตวงอย่างเด็กที่ไม่รู้จักพอในความหวานหอมของขนมหวานชิ้นโปรด เนิ่นนานกว่าที่หัวขโมยจะยอมถอยร่มออกไปเพียงคืบ ลมหายใจที่ร้อนผ่าวพร่างพรมไปทั่วใบหน้าของคนที่นอนอยู่ ร่ายมนต์สะกดให้ผู้ที่หลับใหลพบกับฤดูร้อนที่ไม่มีวันจบสิ้น

"นภ...ระหว่างเรามันจะเป็นไปได้ไหม" เสียงแหบแห้งนั้นดังขึ้นในความเงียบที่กรุ่นไปด้วยความทรงจำ

ในความมืดดำที่มองไม่เห็นอะไร นภยังรู้สึกตัวอยู่ตลอด ได้ยินทุกอย่าง รับรู้ทุกการสัมผัส ตั้งแต่ในตอนที่ฝ่ามือนั้นลูบเบา ๆ บนผม ตอนที่ปลายนิ้วชี้เกลี่ยเล่นบนแก้ม กระทั่งสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่าบนริมฝีปาก ไออุ่นที่พรมที่กรามแก้ม หรือแม้แต่...คำพูดสุดท้ายที่กระซิบข้างหู

แทรกมากับเสียงของหยาดฝน และโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้




"เหล่านี้ล้วนเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อมนุษย์เรียนรู้ธรรมชาติและเข้าใจกับมันจะพบว่าอากาศที่ร้อนจัดก็เป็นเพียงปรากฏการณ์อย่างหนึ่งสำหรับประเทศที่อยู่ใกล้บริเวณเส้นศูนย์สูตร

อากาศก็ไม่ต่างกับกลางวัน กลางคืน ฤดูกาลต่างก็วนเวียนไป มีฤดูร้อนก็มีฤดูฝน พอสิ้นฤดูฝนก็จะกลายเป็นฤดูหนาว และแล้วฤดูร้อนก็จะเวียนกลับมาอีกครั้ง คล้ายกับว่าเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กัน พอจากไปก็จะกลับมาพบกันใหม่ และทุกครั้งตอนที่พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกเก่า ๆ ก็จะกลับมาเสมอ คุณผู้ชมยังจำฤดูร้อนในปีที่ผ่าน ๆ มาได้ไหมครับ มีเรื่องราวอะไรให้จดจำบ้าง"





ทุก ๆ ปี ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อสำหรับธีม ต้องเดินทางลงมาจากเชียงใหม่เพื่อมากรุงเทพ เรื่องที่น่าดีใจไม่ใช่วันหยุดปิดเทอมฤดูร้อน หรือเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการได้พบกับพ่อปืน และปีนี้ ธีมก็ได้พบกับชาฮิดด้วย

เด็กน้อยปล่อยความคิดออกมากับน้ำตาและหยดน้ำฝนที่ร่วงลงมาจากฟ้าสีเทา ความหวาดกลัวเบาบางลงไปบ้างเมื่อฝนที่แรงดั่งพายุนั้นกลายเป็นเพียงเม็ดฝนปรอย ๆ แตาธีมก็ไม่กล้าวิ่งออกไปไหน ยังคงนั่งอยู่กับที่พร้อมกับหมาตัวอ้วนจ้ำม่ำสองตัว

ร่างเล็กที่ขดตัวอยู่ใต้กันสาดของป้ายรถเมล์สะดุ้งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเห่าของสุนัขข้าง ๆ สิ่งแรกที่เห็น และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ท่ามกลางเม็ดฝนที่หล่นจากฟ้าอย่างไม่คิดจะหยุดนั้นคือชาฮิด และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ตัวเองพร่ำบอกซ้ำ ๆ ว่าจะเป็นคนปกป้องเสียแล้ว ธีมร้องสุดเสียง ร่ำไห้ไม่หยุดด้วยความรู้สึกเสียขวัญ

"ไม่เป็นไรนะธีม พี่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไร"

"ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าด้วย" เด็กชายผู้เสียขวัญสะอื้นฟ้อง

"ไม่แล้ว ฟ้ากลัวพี่ มันไม่กล้าแล้ว"

"ชาฮิดดด..." ธีมปล่อยสุดเสียงแล้วกอดคนตัวสูงกว่าสุดกำลัง

ชาฮิดลูบผม เอาแขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาให้คนที่อยู่ในอ้อมกอด "ธีมวิ่งออกมาทำไม รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง น้าน้ำก็เป็นห่วงธีมนะ"

"แต่ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กจะเปียกฝน เดี๋ยวมันจะเป็นหวัด" คนกลัวฝนยังมีแรงจะเถียงสะอึกสะอื้น "สัญญาแล้ว สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะต้องดูแลคนที่อยากจะดูแลให้ได้ ทั้งแม่ ทั้งชาฮิด ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กด้วย"

เสียงเล็ก ๆ นั้นสั่นเครือจนแทบจะฟังไม่เป็นภาษา "สัญญาแล้วก็ต้องทำให้ได้ ต้องดูแลแม่แทนพ่อให้ได้ ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ไว ๆ ทำอะไรแบบผู้ใหญ่ได้ ถ้าทำแค่นี้ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องแข็งแรง แบกของหนัก ๆ ได้" แม้จะร้องไห้จนหอบ แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจในแบบของธีมนั้นไม่ได้ลดลงไปกับความกลัวเลย และชาฮิดก็ทั้งรักและทึ่งในความคิดที่จะรักษาสัญญาของธํีมนัก

พ่อของชาฮิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พ่อก็ไม่รักษาสัญญาว่าจะดูแลแม่ พ่อหย่ากับแม่แล้วเดินทางกลับไปอินเดีย ทุกคืนชาฮิดเห็นแม่แอบนอนร้องไห้ และนับแต่นั้นก็บอกตัวเองว่าจะต้องเข้มแข็งและปกป้องแม่ให้ได้ ธีมก็เป็นเหมือนกับชาฮิด อยากจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อยากจะแข็งแรง ช่วยแม่ได้ ดูแลคนที่ตัวเองรักได้

และเช่นกัน เพราะอยากรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง ชาฮิดถึงอยากปกป้องและดูแลธีมให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ธีมร้องไห้อีก จะไม่ยอมให้ธีมต้องเจ็บตัว เป็นแผล และต้องเสียใจอีกแล้ว

"แม่ของพี่บอกว่ายกของหนักไหว ไม่สำคัญเท่ายกมุมปากขึ้นยิ้มไหว"

มือเล็กที่แสนจะเข้มแข็งลูบไปผมผมที่กระเซอะกระเซิงของธีมอย่างอ่อนโยน "ความสุขเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต่อให้ธีมยกของได้เยอะ ๆ ทำอะไรได้แบบผู้ใหญ่ แต่ถ้าธีมไม่มีความสุข มันก็ไม่มีประโยชน์ ทุกวันนี้ธีมมีความสุขหรือเปล่า ยกยิ้มไหวไหม"

นิ้วมือที่เล็กกว่าค่อนเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ เช็ดน้ำตาหยดเล็ก ๆ บนแก้มของน้องชายที่ยังคงสั่นสะท้านแล้วส่งยิ้มให้ "ที่ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ เหนื่อยหรือเปล่า ธีมไม่อยากเล่นกับพี่แล้วเหรอ"

ธัมส่ายหัวไปมา แววตาฉายคำประท้วงอย่างเห็นได้ชัด

เรียกรอยยิ้มให้อีกคนที่รอคำตอบอยู่ ชาฮิดหอมลงไปบนแก้มที่เปรอะไปด้วยน้ำตาแล้วเอ่ยขึ้นแผ่วเบา "งั้นก็ไม่ต้องรีบนะ ค่อย ๆ โต พี่จะดูแลธีมเอง"

"ชาฮิดดดด...." เด็กน้อนร้องลั่นจนลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กสะดุ้ง ลุกขึ้นมาหอน

ชาฮิดมองคนที่ร้องโยเย สลับกลับลูกสมุนที่ช่วยประสานเสียงจนหนวกหู "ไม่เอานะ ไม่ร้อง"

"ไม่ร้อง...ไม่ร้อง..." ธีมพูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่น้ำตากลับทะลักออกมายิ่งกว่าเดิม

ชาฮิดยิ้มขณะที่แหงนหน้าขึ้นมองเม็ดฝนที่หล่นมาเรื่อย ๆ เอาเถอะ ตกให้นานกว่านี้อีกนิดก็ได้ ตกจนกว่าจะพอ

นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เลวร้ายอะไรเลยสักนิด เด็กน้อยกอดคนในอ้อมแขนจนกระชับขึ้น...พร้อมกับรอยยิ้มบนปากที่กว้างขึ้น




"แล้วเดือนเมษายนในปีนี้ของคุณ ในปีที่ขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดในรอบ 60 ปี มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณบ้าง อาจเป็นช่วงเวลาที่คุณได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่คุณรู้สึกดีด้วย แฟน คนรัก ครอบครัว"




"เห็นไหมว่าเขาบอกว่าให้ใช้เวลากับคนรัก" ทิมผิวปากขณะขับรถออกไปนอกเมือง เคี่ยวเข็ญจนถึงขั้นขู่เข็ญให้คนที่นั่งข้าง ๆ ยอมลาพักร้อนออกไปเที่ยวทะเลให้สมกับที่ได้มีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์บ้าง เป้าหมายคือเกาะส่วนตัวที่แอบซุ่มไปจองที่พักเอาไว้ทันทีที่รู้ว่าจะได้มีวันหยุดกับเขา

"ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องขับรถไปทะเลไหม" คะน้าถอนหายใจแล้วพูดเสียงหน่าย แค่รายการเล่าข่าวในวิทยุก็อุตส่าห์โยงมาเป็นประเด็นได้

ผิดกับคนที่ขับรถ ติดแค่ไหนก็ยังระรื่นชื่นบาน "เอาท์ดอร์ ! เอาท์ดอร์ ! เอาท์ดอร์ !"

โวยวายเป็นเด็ก ๆ จนปวดหู คร้านจะเถียงไหว คะน้าได้แต่มองดูรถที่ติดชะงักบนท้องถนนอย่างคนปลงตก ทางหนีทีไล่ไว้ค่อยว่างกันเอาดาบหน้า

วิศวกรหนุ่มผู้กลัดมันยังคงเจื้อยแจ้วไม่หยุด เริ่มจากแนะนำกิจกรรมท่องเที่ยวที่เกือบทั้งหมดจะเน้นไปที่กิจกรรมเข้าจังหวะโจ๊ะพรึม ๆ เบรกฟัสต์ก็เป็นฮ็อตด็อกเสิร์ฟถึงปากจนกว่าจะอิ่ม เติมได้ไม่หยุดจนกว่าจะอิ่มเอม สายก็เป็นกิจกรรมส่องดูปะการัง ลูบ จับ สัมผัสได้ตามอัธยาศัย พอเที่ยงก็ทานอาหารกันบนเตียง All You Can Eat ได้หมด ต่อด้วยกิจกรรมเอาท์ดอร์เย้ยฟ้าท้าแดด และอื่น ๆ อีกมากมายที่วน ๆ เวียน ๆ อยู่กับเรื่องสองแง่สามง่ามไปตามประสาจนคะน้าไม่ได้คิดจะสนใจให้รกสมอง

คนที่นั่งหลังพวงมาลัยยังคงโอ้อวด "เกาะมันนอกเลยนะ เน้นมันข้างนอก ไม่เน้นมันข้างในรโหฐาน"

ยิ่งฟังก็ยิ่งเพลีย คะน้าหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเช็กงานต่อ คิดเสียว่าทุกอย่างที่เข้าหูเป็นเสียงนกเสียงกาหรือไม่ก็เสียงฝน




"หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาที่ใครอีกหลาย ๆ คนใช้เวลากับเพื่อนร่วมงาน ทำงานในช่วงวันหยุดยาวที่หลายต่อหลายคนพักผ่อน"




ที่สตูดิโอ พี่จ๊อด ดาน่าและทีมงานคนอื่น ๆ ต่างก็จ้องที่หน้าจอมอนิเตอร์อย่างลุ้นระทึก ผ่านไปอีกเบรกอย่างแนบเนียน และกำลังจะตัดเข้าสู่เบรกสุดท้าย บรรยากาศแม้จะเคร่งเครียดแต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย และเปี่ยมด้วยพลังงาน งานโทรทัศน์แบบนี้ไม่มีวันหยุด ไม่มีงานเทศกาล ไม่มีวันแรงงาน วันจักรี เข้าพรรษา ออกพรรษา ไม่มีวันปีใหม่ คริสต์มาส ไม่มีแม้แต่วันสงกรานต์

วันสงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่ทำรายได้เป้นกอบเป็นกำสำหรับคนทำมาค้าขาย อีกด้านหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้า หลังจากปิดกะด้วยยอดขายผ้าขนหนูถล่มทลาย มาลีก็เดินนำแฟ้มเอกสารจากแผนกขายลงมาที่ห้องช่าง เดิมทีเดียวหน้าที่พวกนี้เป็นของเลขาฯ คุณโกวิท และเพราะฝนที่ตกหนักทำให้เธอไม่อาจกลับเข้ามาจากธุระด้านนอกได้ทันเวลา กิตติศัพท์ของพี่สิงห์ใช่หยอกเสียเมื่อไร ก่อนที่จะร้อนไปทั้งแผนกขาย คุ้มกว่าเป็นไหน ๆ ที่จะหอบเอกสารไม่กี่แผ่นมาที่ฝ่ายช่างให้สิ้นเรื่องไป

ดันประตูเข้าไปก็มองหาสัตว์ร้ายประจำแผนก แต่มองเท่าไรก็ไม่เจอ กระทั่งใครคนหนึ่งมาหยุดยืนที่ด้านหลังของมาลีโดยไม่รู้ตัว

"อุ๊ย...คืออ้อยมาส่งเอกสารให้พี่สิงห์ค่ะ จากแผนกเซล"

ชายหนุ่มในชุดช่างที่ดุสะอาดสะอ้านกว่าคนอื่นในแผนกตามที่มาลีเคยเห็นส่งยิ้มแล้วยื่นมืออกมารับ "ให้ที่ผมได้เลยครับ ผมเป็นคนทำเอกสารของแผนกช่างทั้งหมดเอง"

"คุณอยู่แผนกนี้เหรอคะ" เธอเอ่ยถาม รู้สึกปลื้มกับท่าทีเป็นมิตรนั้นอย่างบอกไม่ถูก

"ครับ ผมชื่อตูนครับ กินนอนอยู่ในห้องนี้ไม่ค่อยได้ไปไหน เป็นแอดมินของคนเดียวก็แบบนี้ล่ะครับ" รอยยิ้มของคนตรงหน้าแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในที่ทำงานแห่งนี้เท่าที่หญิงสาวเคยทำงานมา

"แล้วพี่สิงห์ล่ะคะ"

"วันนี้วันหยุดของพี่สิงห์ครับ" ตูนตอบ

มาลีไม่รู้เลยว่าคนที่มาหานั้นกำลังยืนรอเพื่อนสนิทตนเองเปลี่ยนกะออกงานอยู่ที่แผนกขายนั่นเอง เพชรกล้ายืนอยู่ที่ห้องล็อกเกอร์รูมของแผนกขาย นี่น่าจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำงานที่เขาแวะมาที่บริเวณนี้

"พี่สิงห์รอนานไหมครับ" อานนท์เอ่ยขึ้นพร้อมอาการหอบ รีบสุดตัวด้วยเกรงใจคนที่รออยู่

"หิวหรือยัง"

อานนท์พยักหน้าอย่างซื่อ ๆ

เพชรกล้าจ้องผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า ดูอย่างไรก็ชวนให้อารมณ์ดีได้ทุกครั้ง "งั้นก็ไปกินข้าวกัน"

เขาก้าวขาเดินออกไปข้างหน้า เบื้องหลังเป็นผู้ชายตัวเล็กที่วิ่งตามมาด้วยสีหน้าที่มีความสุข




"มีช่วงเวลาที่น่าจดจำ อาจจะเป็นแค่มื้ออาหารค่ำเล็ก ๆ หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้นจะกลายมาเป็นช่วงเวลาสุดแสนประทับใจ...จนกลายมาเป็นความทรงจำสุดพิเศษสำหรับฤดูร้อนในปีนี้สำหรับคุณหรือไม่ ไม่มีใครรู้...เหมือนกับอากาศที่ไม่เคยมีอะไรคาดเดาได้"




ที่แผงขายปีนฉีดน้ำ ปรายฟ้ามองเด็ก ๆ เลือกปืนฉีดน้ำชิ้นแล้วชิ้นเล่าวุ่นวาย ตามคำสัญญา ถ้าชาฮิด มีรา และธีมตั้งใจทำงานอย่างแข็งขัน เธอจะซื้อปืนฉีดน้ำให้กับเด็ก ๆ เป็นของขวัญพิเศษฉลองสงกรานต์ ดูเหมือนชาฮิดและมีราจะได้อาวุธประจำตัวแล้ว จะเหลือก็แต่ลูกชายเจ้าปัญหาของเธอที่หยิบนั่นหยิบนี่ไม่เลิกเสียที

ปรายฟ้าหันไปมองสองหนุ่มที่เลือกปืนฉีดน้ำเล่นอย่างกับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งรู้จักความรักแล้วลอบยิ้ม

ท่าทีที่อ่อนลงของปืนรวมถึงสีหน้าที่ดูผ่อนคลายของนภทำให้หญิงสาวเบาใจ ดูเหมือนว่าความเข้าใจจะค่อย ๆ ต่อเติมวันเวลาที่ขาดหายไปในอดีตทีละเล็กละน้อย เพียงสิ่งเดียวที่ยังหวาดหวั่นอยู่ก็คือสิ่งเหล่านั้นมันจะเพียงพอกับช่วงเวลาที่สั้นลงทุกทีของทั้งคู่หรือเปล่า เมื่อความเข้าใจล้วนต้องใช้เวลา และหลังเทศกาลสงกรานต์นี้ นภก็ต้องบินกลับไปทำงานของตัวเองต่อที่ต่างประเทศแล้ว

ทุกอย่างมันจะยังทันไหม

"อันนี้ดีไหม" ปืนชูอุปกรณ์ฉีดน้ำหน้าตาแปลกประหลาดแล้วหันมาถามนภ

"ชื่อปืนแท้ ๆ จะมาถามคนอื่นเนี่ยนะ" นภส่ายหัว แล้วหยิบหาสักชิ้นสำหรับตัวเอง เห็นอีกคนยืนนิ่งไม่ขยับตัวก็หันไปถาม "งอนอะไรหรือเปล่า"

"ก็เปล่านี่" ปื่นตอบ

สีหน้าเฉยเมยนั้นเรียกรอยยิ้มให้กับคนถามจนแทบจะหลุดหัวเราะ นภกวาดตามองปืนฉีดน้ำมากมายที่แผง หยิบอันที่คิดว่าพอดีมือขึ้นมาหนึ่งอันแล้วส่งให้คนที่ยืนนิ่งขวางคนอื่นอยู่ "อันนี้แล้วกัน"

"อันนี้เหรอ" ปรมะมองปืนฉีดน้ำตรงหน้า ยักหัวไหล่ทำท่าว่าก็ไม่เห็นจะเท่าไร แต่แกะซองพลาสติกแล้วหันไปเล่นกับเด็ก ๆ ทันที

"ไปไงมาไงถึงมาด้วยกันได้คะ แล้วเสื้อผ้านั่นก็ดูไม่ใช่สไตล์ที่ปืนใส่แบบทุกทีด้วยหรือเปล่านะ" ปรายฟ้าหลิ่วตามาที่นภ

"เขามาหาที่ห้องน่ะ เปียกโชกมาทั้งตัวเลย บอกว่าอย่างน้อยระหว่างที่อยู่ที่นี่ก็น่าจะพาเที่ยวให้ครบทุกวัน" นภก้มหน้า ทำเป็นสนใจปืนฉีดน้ำ หยิบ ๆ วาง ๆ ไม่จบสิ้น

มองอยู่นาน ปรายฟ้าก็เอ่ยขึ้น "นภชอบปืนมากเหรอ"

"หา ?"

"ถามว่าชอบปืนมากเหรอ ถึงตัดใจไม่ได้สักที ถือไม่ปล่อยเลย" เห็นหน้าตาเหรอหราของอีกฝ่าย ปรายฟ้าก็ปล่อยรอยยิ้มที่ขืนไว้ในตอนแรก หญิงสาวเอานิ้วชี้จิ้มไปที่กระบอกปืนฉีดน้ำ ก่อนจะหันกลับไปหาเด็ก ๆ ที่เล่นอยู่กับผู้ชายที่ชื่อพ้องกับสิ่งที่นภถืออยู่

ธีมยังคงวุ่นวายไม่หยุดจนหญิงสาวอ่อนใจ ปรายฟ้าหยิบของชาฮิดและมีราไปคิดเงิน ก่อนจะบอกคนขายให้หยิบขึ้นมาอีกชิ้นสำหรับเด็กที่เลือกไม่เสร็จเสียที แล้วเติมน้ำให้ไปเลย แน่นอนว่าธีมก็โวยวายอีกครั้ง เสียงดังสนั่นจนคนหันมองกันทั้งถนน

ปืนเดินมาหานภแล้วส่งยิ้มให้ "พรุ่งนี้ว่างไหม ไปเล่นสงกรานต์กันนะ"




"และในวันพรุ่งนี้ที่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย ประเพณีสงกรานต์ ขอให้เล่นน้ำด้วยความระมัดระวัง อย่าใช้น้ำแข็ง สี แป้ง หรือเม็ดแมงลักผสมกับน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ และสำหรับผู้ที่กำลังตั้งคำถามถึงสภาพอากาศในวันพรุ่งนี้ รายงานจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้บอกว่าในวันพรุ่งนี้ท้องฟ้าจะแจ่มใส ปราศจากเมฆฝน ดังนั้นขอให้อดทนรออีกนิดนะครับ จะถึงวันแห่งความสุขที่คุณรอคอยแน่นอน"




อีกฟากหนึ่งของกรุงเทพ ระรินละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่ฉายอยู่ที่ร้านของชำเล็ก ๆ ข้างทาง หลังจากล้อหมุนมาได้สักพัก ทุกคนก็ตัดสินใจกระจายตัวออกเป็นกลุ่ม ๆ แล้วหลบหาที่กำบังฝน อาร์มยืนกระสับกระส่ายเหมือนคนงุ่นง่านอยู่สักพัก แล้วไม่ถึงห้านาที ก็อ้อมแอ้มเดินมาพูดอย่างเกรงใจกับเธอว่าขอตัวกลับบ้านดีกว่า พอดีมีธุระด่วน คิดขึ้นมาได้ว่าต้องทำ

เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยจะขึ้นเท่าไรนักสำหรับระริน แต่เธอก็เข้าใจ เดิมทีเดียวก็พอจะเอะใจบ้างอยู่แล้วถึงการตอบรับง่าย ๆ ของอาร์มที่จะมาร่วมทริปจักรยานนี้ เหตุผลของอาร์มก็คล้ายกับเธอ นั่นคือคิดว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ใช้เวลากับหนึ่ง จะต่างกันก็ที่ระรินนั้นครึ่งหนึ่งคือความชื่นชอบในการขี่จักรยาน แต่อาร์มไม่ใช่ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกอะไรนักถ้าเจ้าตัวจะบอกลาเอาง่าย ๆ แต่เริ่มแบบนี้ ระรินหยิบถุงมือทั้งสองข้างขึ้นมาสวม ฝนซาลงแล้ว ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่งและกลับมาเป็นสีฟ้าเข้มอีกครั้ง

อีกไม่นาน...

เด็กสาวก้มลงลูบบนแฮนด์จักรยาน บอกตัวเองว่าให้อดทนรออีกนิด แค่อีกไม่นาน...ก็คงจะไปข้างหน้าได้อีกครั้ง




ธุระสำคัญของคนที่ขอตัวกลับมาบ้านก็คือการได้เดินจับมือของหนึ่ง และใช้เวลาของวันที่เคยขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดด้วยกัน หลังจากฝนซา อริยะก็ชวนหนึ่งออกมาเดินถนนละแวกสีลมด้วยกัน ย่านนี้มีของกินที่ขายแทบตลอดทั้งคืน และมีข้าวของต่าง ๆ ให้เดินดูเล่นฆ่าเวลา รวมทั้งเป็นย่านที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพระอาทิตย์คล้อยไปแล้ว สงครามที่ว่ากันด้วยน้ำของที่นี่เริ่มต้นอย่างมีชีวิตชีวาที่สุด ไม่แพ้กับย่านดัง ๆ อย่างถนนข้าวสารเลย

เด็กผู้หญิงคนหน้าตาน่ารักคนหนึ่งหันกระบอกปืนฉีดน้ำใส่หนึ่ง แต่คนที่เปียกกลับกลายเป็นอาร์มที่เอาตัวมาขวางไว้

"ไม่เปียกใช่ไหมคะ"

น้ำเสียง ท่าทาง และแววตาขณะที่พูดนั้นทำเอาหนึ่งร้อนวาบขึ้นทั้งสองแก้ม "โอเวอร์ แค่นี้่ก็ต้องเอาตัวมาบังให้"

"ไม่รู้ว่าอยากเล่นน้ำหรือเปล่า ถ้ายังไม่หยากเล่น อาร์มก็ไม่อยากให้เปียกนะคะ" อริยะลดมือลงมากุมมือของพิธานเอาไว้อีกครั้ง แล้วจูงมือเดินต่อไปข้างหน้า

ถนนสีลมยังไม่ปิดการจราจร และยังมีรถวิ่งอยู่เป็นระยะ ขณะที่ฝูงคนเริ่มยึดลงพื้นที่ของถนนเพื่อเริ่มต้นความสนุกสนานของประเพณีสงกรานต์ที่เล่นแบบนี้กันทุกปี อาร์มจับมือของหนึ่งไว้แน่น แล้วเดินเบียดเข้าสู่กลุ่มคนที่ใหญ่ที่สุดบนท้องถนน

"ทำไมต้องจับมือกันแบบนี้" ไม่รู้จักอายบ้างหรือไง

อริยะหันกลับมาแล้วส่งยิ้มให้ "กว่าจะได้มาต้องรอตั้งนาน ไม่ยอมให้หายหรอก"




"อย่างไรก็ตาม อยากจะให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับของมีค่า พบปัญหาสูญหายในช่วงเทศกาลสงกรานต์บ่อยครั้ง และเมื่อสูญหายก็ยากที่จะได้คืน โปรดระมัดระวังอุบัติเหตุ ถนนลื่นจะทำให้ควบคุมรถได้ยาก ดังนั้นจึงควรขับด้วยความเร็วต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียครับ"




ปรายฟ้าที่เดินจูงเด็ก ๆ ทั้งสามปะปนอยู่กลับกลุ่มฝูงชน ความที่เบียดเสียดแออัด ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะเดินเบี่ยงลงมาสู่ถนนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดกับเด็ก ๆ แม่เธอมักเตือนว่ามากรุงเทพในช่วงเทศกาลแบบนี้ให้ระวังแก๊งลักเด็ก แล้วก็ให้ระวังข้าวขายที่อาจจะถูกฉกชิงไปโดยไม่รู้ตัว ปรายฟ้าห่างจากกรุงเทพไปนาน แต่ห่างไกลจากเทศกาลสงกรานต์ที่ถนนสายนี้ชนิดคนละโลก

ทุก ๆ ปีปรายฟ้าแค่มาอาศัยในช่วงหน้าร้อนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และอยู่ในย่านอื่นไม่ไม่วุ่นวายอะไรนัก ภาพของกลุ่มคนที่คลาคล่ำขนาดนี้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเธอไปไกลนัก เสียงกรีดร้องพร้อมกับกลุ่มคนที่แตกกระเจิงทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ภาพที่เห็นทำให้ปรายฟ้าตื่นตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก

รถที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาในถนนตรงเข้ามาด้วยความเร็ว เสียงแตรที่ร่ำร้อวอย่างโกรธเกรี้ยวสลับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มราวกับเสียงสาปของอเวจีทำให้เธอเข่าอ่อน ปรายฟ้าตัดสินใจผลักมีราด้วยสติและกำลังทั้งหมดที่มี เสี้ยววินาทีที่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นระความตาย ปรายฟ้าไม่่รับรู้อะไรนอกจากความเป็นแม่และสิ่งที่เธอจะต้องทำเพื่อลูก

โดยสัญชาตญาณ ปรมะคว้าธีมและชาฮิดไว้ทันทีเมื่อเด็กน้อยทั้งสองตั้งท่าจะวิ่งเข้าไปหาปรายฟ้า เขาขยับตัวไม่ได้ เคลื่อนไหวอะไรไม่ถนัดเพราะเด็กสองคนที่ออกแรงเต็มที่เพื่อวิ่งออกไปหาผู้เป็นแม่ ซ้ำยังต้องรีบฉวยคว้ามีราที่ลงไปนั่งร้องไห้โฮกับพื้น

ก่อนที่ร่างที่อ่อนแรงจะล้มลง มือของเธอก็ถูกกระชากขึ้นมาพร้อมกับแรงเหวี่ยงที่ผลักทั้งตัวของเธอเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงคน นภเป็นคนที่ดันปรายฟ้าเข้ามา แต่จังหวะที่เร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วนั้นทำให้เขาต้องการชั่วเวลาอีกอึดใจเพื่อจะกลับมาทรงตัวแล้ววิ่งหลบกลับเข้าไปได้

เสียงเบรกดังมาแต่ไกลพร้อมกับกลิ่นฉุนของยางที่เสียดสีกับพื้นถนน ก่อนที่แรงอัดเต็มท้องจะทำให้นภกระเด็นขึ้นมานอนนิ่งบนบาทวิถี



(ยังไม่จบครับ คราวนี้ยาวจริง ต้องแบ่งเป็นสามแน่ะ)  :mew5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 12-07-2014 14:38:32
(ต่อครับ สุดท้ายแล้ว)



ทุกอย่างนิ่งสงบ พร้อมกับเสียงกรีดร้องดังไปทั่ว กลิ่นไหม้เหม็นคลุ้งไปทั่วเหมือนถูกเผาด้วยไฟนรกโลกันตร์ บทเพลงยังคงกระหึ่มกังวานไปทั่วถนนสีลมอย่างสนุกสนาน นภค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ พร้อมกับสติที่งวยงง แรงจุกที่ท้องทำให้ต้องพยุงตัวขึ้นมามองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที

เขารอดตายอย่างนั้นเหรอ ?

เป็นไปได้อย่างไรกัน ?

ดวงตาที่ไหวระริกของนภมองลงไปที่กองเลือดที่นองอยู่บนพื้นถนนสีเทา ไล่สายตาไปยังร่างเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งท่ามกลางทะเลสีแดงหม่นนั้น ถัดจากแว่นตาที่หลุดออกมา มือข้างนั้นไม่มีสัญญาณแห่งชีวิตใดหลงเหลืออีกเลย

พิธานทรุดเข่าลงกับพื้นด้วยอาการสั่นเทา แขนขาอ่อน สมองเหมือนไม่อยากจะรับรู้ แม้แต่เสียงพูดก็ยังไม่เหลือน้ำเสียง เด็กหนุ่มที่น้ำตานองหน้าจ้องมองร่างที่นอนอยู่บนกองเลือดของอริยะ พร้อมกับร่างกายของตัวเองที่โยกสะอื้นแรงขึ้นและแรงขึ้น

ก่อนที่เสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดที่สุดจะดังขึ้นและกลบทุกสรรพเสียงบนถนนแห่งนั้น




"ความสูญเสียอาจเกิดขึ้นเพียงพริบตา และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจจะย้อนทุกอย่างให้คืนกลับมาได้ เพียงวินาทีสั้น ๆ ที่ชีวิตหนึ่งอาจถูกทำลายลงเพียงเพราะความประมาทคนคนเดียว

และสำหรับท่านที่ไม่ได้ออกไปร่วมฉลองประเพณีสงกรานต์ที่ไหน สามารถเปิดชมรายการที่น่าสนใจของสถานีได้ครับ จะมีรายงานบรรยากาศสด ๆ จากจุดสำคัญต่าง ๆ ทั่วทุกแห่งทั้งในกรุงเทพและภาคต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน"





ที่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท ฮานส์นั่งดูรายการโทรทัศน์ที่ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง (ส่วนมากไม่รู้เรืิ่อง) ขณะที่กดรีโมตเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น ๆ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจไปมาอย่างคนไม่รู้จักเหนื่อย นี่เขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาหลายชั่วโมงเพื่อมานอนโรงพยาบาลและดูโทรทัฒน์ท้องถิ่นแบบที่หาดูในยูทูปก็ได้ ทานอาหารไทยไปมื้อสองมื้อก่อนจะท้องเสียแล้วนอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนั้นสินะ คิดแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจอีกรอบ สงกรานต์นี้คงไม่แคล้วนั่งจับเจ่าอยู่กับโรงแรมแบบหลายวันที่ผ่านมา




อีกด้านหนึ่งของกรุงเทพ ภัทรพลนอนหอบอยู่บนเตียง คุณหมอหนุ่มหน้าละอ่อนถามเจ้าของริมฝีปากที่วนเวียนอยู่ที่แผ่นหลังของตัวเองด้วยเสียแที่แหบแห้งกว่าทุกครั้ง "พักก่อนเถอะครับพี่ตุล"

"เดี๋ยวพี่ต้องเข้าเวรแล้ว" ตุลธรตอบขณะไล่ริมฝีปากลงต่ำ "ยังมีออกมานี่ บอกแล้วใช่ไหมว่าจะทำให้หมดเนื้อหมดตัว"

สัมผัสนับจากนั้นทำเอาภัทรพลหลับตาลงแล้วร้องด้วยเสียงที่แหบแห้งกว่าเดิม ร่างกายที่ขยับไหวตามแรงของอีกคนนอนบิดไปมาโดยไม่รู้ว่าสุ้มเสียงของโทรทัศน์ที่เปิดไว้อยู่นั้นพูดอะไรบ้าง

คงยากที่ใครจะจับเสียงนั้นรู้เรื่อง ด้วยเสียงของผู้ชายสองคนที่อยู่ในห้องนั้นดังก้องไม่แพ้กัน




"อีกไม่นาน ฤดูร้อนก็จะผ่านไปอีกปี สำหรับในปีนี้คุณได้ทำอะไรอย่างที่เคยคิดหรืออยากจะทำบ้างแล้วหรือยังครับ เวลาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ทำโครงการต่าง ๆ ที่คุณคิดอยากทำ อยากผอม อยากเรียนได้เกรดที่สูงขึ้น อยากได้งานใหม่ อยากมีความรัก อย่าปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไม่เห็นค่า หรือปล่อยให้โอกาสเหล่านั้นผ่านไป เหมือนกับวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ถึงเวลา...กลับผ่านไปโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว"




โกวิทเปิดประตูเข้ามาในร้านอาหารเล็ก ๆ ที่คุ้นตาด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่เปิดออก กลิ่นความทรงจำก็คลุ้งขึ้นและขยายตัวไปทั่วทั้งร้าน นุชนารถเดินมาต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาที่ร้านด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครคนนั้น เธอก็ชะงักอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก

"ผมแวะมาทานอาหาร"

"สวัสดีค่ะ" เธอเอ่ยทักไม่เต็มเสียง

"ร้านอาหารน่ารักดีนะนุช แค่เห็นก็รู้ว่าคุณแต่งเอง" เขาพูดขณะที่กวาดตาไปทั่วร้าน "ดูเหมือนว่าโต๊ะจะเต็ม แต่ผมรอได้"

"ขอบคุณค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ" ร่างบางตอบทั้งน้ำเสียงสั่น ๆ เธอยืนข้างเขา หัวใจเต้นยังไม่เป็นจังหวะเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่เลิกรากันไป "สบายดีนะคะ"

"ผมสบายดี คุณก็ด้วยนะ" เขาถามกลับ

นุชนารถยิ้มบาง ๆ ให้กับคำถามนั้น "อานนท์เป็นยังไงบ้างคะ ทำงานดีหรือเปล่า"

"เขาเป็นพนักงานที่ดี และผมก็ภูมิใจในตัวของเด็กคนนั้นมาก ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่แนะนำเขาให้มาสมัครงานกับผม" โกวิทเบี่ยงตัวไปชิดริมผนังของร้าน เปิดทางให้เหล่าพนักงานทำงานของตนเองได้อย่างเต็มที่

"เด็ก ๆ คิดถึงคุณมากนะครับนุช...ผมก็เหมือนกัน หลายปีที่ผ่านมาได้แต่ทบทวนแล้วคิดซ้ำ ๆ ว่าสิ่งที่เราสองคนตัดสินใจกันในวันนั้นมันดีแล้วหรือ ทีี่ผมมาในวันนี้ก็เพื่อบอกนุชว่าทุกครั้งที่ผมถามตัวเองแบบนั้น คำตอบมันก็ซ้ำแบบเดิมว่าผมไม่เห็นด้วยเลย"

นุชนารถน้ำตารื้นออกมา และเขาเองก็ดูจะอยู้ในสภาวะที่แทบจะไม่ต่างกัน

"เราจะลองพยายามกันดูอีกครั้งจะได้ไหมนุช ผมทำใจจะเสียคุณไปไม่ได้จริง ๆ"

และในตอนนั้นเอง ผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาโดยตลอดก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร



อีกด้านหนึ่งของกรุงเทพ ที่โรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยกลิ่นยาและเสียงฝีเท้าที่รีบเร่งของทีมแพทย์ ปรายฟ้ากอดเด็ก ๆ ทั้งสามคนเอาไว้กับตัวยเองอย่างแนบแน่น เธอร้องไห้ไม่หยุดแบบคนที่เสียขวัญ ถัดไปอีกด้าน ปืนกุมมือนภไว้แน่นเหมือนกับจะไม่มีวันปล่อยให้มือนั้นหลุดออกไปอีก ทั้งหมดต่างมีกันและกัน

มีเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดเพียงคนเดียว เด็กคนนั้นร้องไห้จนไม่มีน้ำตา แววตาที่บอบช้ำนั้นละม้ายกับคนที่โลกทั้งใบได้แหลกสลายไปพร้อมกับวันที่ร้อนที่สุดที่ผันผ่านไป



"เคยถามตัวเองไหมครับ ว่าในชั่วเวลาที่ร้อนที่สุด ทั้งในปีนี้ ปีก่อนหน้านี้ กระทั่งในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านไป ช่วงเวลาที่ทำให้ร้อนจนหงุดหงิด ร้อนจนแทบคลั่ง ร้อนอยากจะเป็นบ้า ใครที่ทำให้คุณยิ้มได้ แค่เห็น แค่ได้ยินชื่อ ก็ทำให้อากาศร้อนจัดเหล่านี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ทะนุถนอมใครคนนั้น...และช่วงเวลาเหล่านั้นไว้ให้ดีนะครับ เพราะมันจะกลายเป็นความทรงจำสุดพิเศษในฤดูร้อนที่ไม่ว่ากี่ปีจะผ่านไป คุณก็จะไม่ลืม สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ"



เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างกึกก้องทันทีที่ตัดจบรายการ ตรี พงษ์พิพัฒน์พูดโดยไม่ต้องใช้สคริปต์ และทุกถ้อยคำล้วนน่าประทับใจทั้งสิ้น ผ่านไปอีกเทป กับอีกหนึ่งวันที่เคยขึ้นชื่อว่าจะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในประสัติศาสตร์ ตรีเดินลงมาจากหน้าฉาก หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทรหาใครคนหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกลุ่มทีมงานที่อออยู่ที่หน้ามอนิเตอร์ และเหมือนดังขึ้นอีกเมื่อร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น

"ว่ายังไงครับ" ดนัยกดรับสายเมื่อออกมายืนตรงหน้าของตรี ดวงตาคมกริบเคลือบไปด้วยแววอ่อนหวานขณะที่จับจ้องคนที่กดสายโทรหา

"อยู่แค่นี้ ทำไมถึงต้องรับสายมิทราบ" ตรี พงษ์พิพัฒน์เชิดหน้าขึ้นอย่างอวดดี

"ก็คุณโทรหาผม" เขาตอบ แล้วถามกลับ "หรือไม่อยากให้ผมรับสาย ปล่อยให้โทรอยู่แบบนั้น"

"ไม่ต้องมายอกย้อน ผมแค่โทรผิด ตั้งใจจะโทรหาคุณนัท มีเรีย ใครใช้ให้คุณชื่อโหล แถมยังโนเนม" เจื้อยแจ้ว ลอยหน้าลอยตาอย่างไม่มีใครเลียนแบบได้ "ว่าแต่คุณเถอะ โทรมาหาผมทำไม ไม่ต้องมาอ้างว่าชื่อโหล เพราะตรี พงษ์พิพัฒน์มีแค่คนเดียวบนโลก"

ดนัยกดวางสายต่อหน้าแล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ทำเอาพิธีกรรูปหล่อมุ่ยหน้า

"ผมจะขอก้อปปี้เทปของไจแอนท์โคลาทั้งหมด โทรหาทีมงานก็ไม่มีใครรับสาย ก็เลยโทรหาคุณ"

หยาบคายมาก...ช่างเป็นคำตอบที่เกินกว่าจะรับไหว ตรียกมือขึ้นเท้าสะเอว เดือดปุด ๆ จนลมแทบออกหู "กล้าดียังไงให้ตรี พงษ์พิพัฒน์เป็นคนสุดท้าย"

คล้ายว่าอีกฝ่ายจะไม่ยี่หระ ดนัยยังคงนิ่งจนเกือบจะเรียกว่าเฉย ถ้าไม่ติดที่รอยยิ้มและดวงตาที่ดูวับวาวคู่นั้นซึ่งประดับอยู่บนใบหน้าขรึมจนต้องหยุดสายตา คงคิดว่าได้สนทนากับหุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ไปแล้ว

"แล้วให้คุณเป็นคนสุดท้ายไม่ดีเหรอ" คำถามนั้นพร่างด้วยรอยยิ้ม

ทั้งที่ควรรู้สึกติดลบสุด ๆ แต่ตรีมองรอยยิ้มที่ปล่อยประจุบวกไม่นับตรงหน้า รวม ๆ แล้วแปลว่าอะไรไม่สำคัญ ใจความอยู่ที่มันค่อนข้างเป็นคำตอบที่ดูพิเศษอยู่ไม่น้อย และแน่นอนว่าตรีเสพติดความพิเศษจนเข้าขั้น

"แล้วคุณจะมาที่นี่ทำไม ไม่มีธุระอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ" ตรีลอยหน้าขึ้นอีกนิด อารมณ์ดีขึ้นอีกหน่อย

คนตัวสูงตบมือลงบนกระเป๋ากางเกงแล้วยักไหล่ "พอดีผมเพิ่งหัดเล่นอินสตาแกรม ไม่เห็นว่าคุณจะอัพอะไรก่อนอัดเทปวันนี้เลยแวะมาดูให้เห็นบรรยากาศกับตา"

"อ้อ...เป็นอย่างนั้นสินะ" ยิ่งฟังยิ่งเข้าท่า ยิ่งดูยิ่งถูกตา ยิ่งรู้จักยิ่งถูกใจ ควรจะพูดแบบนั้นใช่ไหม แต่ไม่ ! ทำไมคนแบบตรีต้องพูดอะไรแบบนั้น มีวิธีที่มีรสนิยมกว่านั้นตั้งเยอะ "คุณกดเข้าไปดูอินสตาแกรมผมอย่างนั้นเหรอ"

จ้องหน้าคนที่กระพริบตาเหมือนจะกระพือให้เป็นพัดลม ความรู้สึกบางอย่างสะกิดใจของดนัยบอกว่ามีอะไรมากกว่าคำพูดช่างอวดอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู "หรือผมพลาดอะไรไป"

ตรีลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปรยแบบไม่ใคร่จะสนใจนักต่อ "ไม่เห็นหรือว่ายอดคนที่กดตามตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้มากมายขนาดไหน"

คิ้วเข้มของดนัยโค้งตัวเป็นเครื่องหมายคำถาม ก่อนที่เขาจะกดเข้าไปดูที่หน้าอินสตาแกรมของตรี พงษ์พิพัฒน์ แน่นอนว่าไม่มีรูปอะไรที่ถูกอัพขึ้นในวันนี้ จำนวนคนที่กดตามเจ้าตัวก็คล้ายจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายสาย แต่ที่สะดุดตากลับเป็นจำนวนคนที่เจ้าตัวกดตาม

หนึ่งคน

คนเดียวอย่างนั้นหรือ ? ใครกัน ? ปลายนิ้วโป้งกดลงบนหน้าจอเข้าไปดูชื่อของหนึ่งคนที่ตรี พงษ์พิพัฒน์ผู้ไม่เคยคิดจะสนใจใครกดตาม

และนั่น...เป็นชื่อของเขาเอง

รอยยิ้มกวาดขึ้นด้วยความรู้สึกที่ดนัยไม่อยากจะเรียกว่า "ฮึกเหิม" แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือความรู้สึกที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่า "ดีใจ" ดนัยยิ้มแล้วยิ้มอีก หัวใจเต้นตึกตักอย่างเริงร่า "หมอนี่เป็นใครกันนะ รูปสักรูปก็ไม่เคยอัพ"

"ก็แค่คนหน้าตาดาษ ๆ หนึ่งคน หาได้ตามห้างสรรพสินค้า ร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้าข้างถนน คุณอย่าไปสนใจเลย"

ตรี พงษ์พิพัฒน์หัวเราะคิก แก้มทั้งสองข้างระเรื่อเหมือนอยู่ท่ามกลางแสงแดด




เช่นกันกับอีกด้านหนึ่งของกรุงเทพ รอยยิ้มของใครอีกคนกระจ่างจ้าขึ้นเหมือนพระอาทิตย์ฤดูร้อน ถัดออกไปแค่อีกไม่กี่ซอย อานนท์ก็มาหยุดยืนที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่กว้างขวางแบบที่เห็นในละครแต่ก็ไม่เล็ก เป็นบ้านที่เป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัยจริง ๆ ไม่ใช่ในจินตนาการที่หรูหรา กระนั้นก็ร่มรื่นสวยงามน่าอยู่

"นี่คือบ้านพี่สิงห์เหรอครับ สวยจัง" อานนท์ร้องตื่นเต้น กวาดสายตามองไปรอบ ๆ "แล้วคุณพลายแก้วล่ะครับ"

"จะไปรู้ได้ยังไงก็กลับมาพร้อมกัน" เพชรกล้าตอบเสียงเรียบนิ่งแบบทุกครั้ง ถึงจะพอคุ้นบ้างแล้วแต่ก็เล่นเอาอานนท์พูดอะไรต่อไม่ถูก

เจ้าของบ้านเปิดประตู เปิดไฟ แล้วเดินเนำเข้าไปด้านใน เปิดตู้กับข้าว หยิบอาหารที่มีออกมาวางเรียงทีละจาน อานนท์รีบเข้าไปช่วยอย่างแข็งขัน งกเงิ่นบ้างแต่ก็ดีกว่าจะยืนอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร

"ไม่คิดว่าพี่สิงห์จะพามาที่บ้าน นึกว่าจะกินในห้างหรือตามร้านทั่วไปเสียอีก"

เพชรกล้าไม่ได้พูดอะไรที่เป็นคำตอบแบบเป็นทางการ ร่างสูงแค่พยักหน้าไปตามเรื่อง ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในมือมากกว่าจะสนใจสิ่งที่อานนท์ถาม

เพชรกล้าก็ยังคงเป็นเพชรกล้าที่นิ่งเฉย ไม่ใส่ใจอะไรเล็กน้อยพวกนี้ เน้นความง่าย ตรงไปตรงมามากกว่าจะพิธีรีตรองตามขนบมารยาทของคนกรุงเทพที่มักจะพูดกันอย่างเป็นทางการ มือกว้างตักข้าวสวยจนพูนแล้ววางลงบนโต๊ะ หลิ่วตามองอานนท์ที่ยืนอยู่ "กินได้เลย ไม่ต้องรอ"

"ขอบคุณครับ"

"อานนท์...ที่ห้องไม่มีแอร์ไม่ใช่เหรอ ถ้าร้อนก็แวะมานอนที่นี่ได้นะ ข้าวเย็นก็แวะมากินด้วยกันที่นี่ได้"

อานนท์มองข้าวในจานที่พูนแน่นเหมือนสองคนกิน และกับข้าวง่าย ๆ ตรงหน้า คิดว่ามื้อนี้คงเป็นเมื้ออาการที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานในหลายปีนี้แน่ ๆ เด็กหนุ่มค่อย ๆ นั่งลงแล้วมองพี่สิงห์ที่เพิ่งย่อตัวลงที่ฝั่งตรงข้ามด้วยความซาบซึ้งใจ




ชาฮิด ธีม และมีรานั่งอยู่ที่เก้าอี้โซฟาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถง ต่างคนก็ต่างจดจ่ออยู่กับกระบอกปีนฉีดน้ำที่ได้มาจากปรายฟ้า หยิบขึ้นมาตั้งท่ากันใหญ่ จะเว้นก็แต่ธีม เด็กชายตัวน้อยมองปืนฉีดน้ำที่ได้มาจากแม่ แต่ก็ยังไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไร

"แลกกันไหมมีรา เอาของฉันไป แล้วเอาของมีรามาให้ฉัน" เด็กชายชวิศยื่นข้อเสนอ "เราแลกปืนฉีดน้ำกันไหม"

แน่นอนว่ามีราอยากจะตอบตกลงใจจะขาด ทั้งปืนที่บรรจุน้ำได้เยอะกว่า ทั้งยังเป็นของธีมอีก กระนั้นก็ยังลังเลด้วยที่ถูกสอนมาแต่เล็กว่าให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี "แต่มันกระบอกเล็กกว่าของพี่ธีมนะ"

ธีมไม่ได้สนใจสิ่งนั้น ยังยืนยันคำเดิม "แลกกัน"

มีรายิ้มกว้างรีบส่งของตัวเองให้กับธีม รับปืนฉีดน้ำกระบอกใหญ่กว่ามาถือในมือแล้วตั้งท่ายิ่งสนุกสนาน ขณะที่ธีมก็มองปืนกระบอกใหม่ของตัวเองที่ดูจะถูกใจมากกว่า ชาฮิดมองประกายวับวาวในดวงตาของธีมแล้วยิ้มกว้าง

"ธีมชอบสีชมพูใช่ไหม"

เด็กน้อยกอดกระบอกปืนในมือแนบอกแล้วตอบเสียงแหลม พร้อมสองแก้มที่ระเรื่อจนปลั่ง "ไม่ใช่สักหน่อย"

เด็กน้อยทั้งสามไม่รู้เรื่องอะไรไปมากกว่าเกิดอุบัติเหตุรถชนคน ที่พอจะรู้คือปรายฟ้าที่หน้าตาดูตื่นตระหนกพามีรามาทำแผลนิดหน่อยเพราะหกล้ม ทำแผลเสร็จนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครได้กลับ เด็ก ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไร และเพราะเหตุใด ปรายฟ้า ปรมะ และนภถึงพามาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และไม่รู้ว่าสิ่งเพิ่งที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้นั้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากขนาดไหน




อีกด้านหนึ่งในโรงพยาบาล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับอุบัติเหตุอะไร แต่นภก็มาเพื่อให้กำลังใจกับเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตของตนเองไว้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนนั้นจะไม่เป็นอะไรรุนแรง และการผ่าตัดต่าง ๆ จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดออกมาจากห้องผ่าตัด

"อย่างน้อยก็ดื่มอะไรให้ร่างกายอุ่นขึ้นมาหน่อย อย่าถึงกับต้องเป็นอะไรตามกันไปเลย" ปรมะวางกาแฟที่กรุ่นไปด้วยควันขึ้นตรงหน้า และเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจความรู้สึก รู้ดีว่านภคิดเช่นไรในตอนนี้ ไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และคนที่เป็นต้นเหตุจริง ๆ ก็คือคนที่ขับรถโดยประมาทคนนั้น

เวลาเดินผ่านไปช้า ๆ จนเหมือนว่าจิตใจของคนที่เอาแต่โทษตัวเองจะเยียวยาตัวเองขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

"นภ...ฟังดูอาจจะทุเรศ นี่อาจจะไม่ใช่สถานที่และไม่ใช่เวลาที่เหมาะ แต่บอกตามตรงว่าก็ไม่อยากรอไปมากกว่านี้อีกแล้ว" ปืนเอ่ยขึ้นกับถ้วยกาแฟเย็นชืดที่ไม่พร่องลงแม้แต่น้อย

"นภ...เราลองคบกันได้ไหม"

ในความซึมเซา นภเงยหน้าขึ้นคล้ายกับว่าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

"ถึงจะเป็นแค่วันสองวันก็เถอะ แต่ไม่อยากจะปล่อยอะไรให้ผ่านไปแบบนี้อีกแล้ว เราใช้เวลาสิบกว่าปีถึงจะได้เจอกันอีกครั้ง แล้วถ้าไม่มีครั้งหน้าล่ะ หรือถ้าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเราไม่ได้โชคดีแบบนั้น"

"เป็นแฟนกันได้ไหม อย่างน้อยก็แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนนายจะกลับไปเมืองนอกก็ได้" ปืนพูดอย่างลนลาน "แค่วันเดียวก็ได้ คบกันได้ไหม"

"ปืน..."

"ผมรักนภนะ รักมาโดยตลอด และไม่เคยหยุดความคิดนี้ได้เลย"

ร่างที่สั่นไปมาเหมือนจะไม่หยุดนั้นถูกใครอีกคนสวมกอดจนแนบแน่น สองแขนของนภกอดปืนที่ดูว้าวุ่นใจไม่หาย

"พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว"




การจบลงของสิ่งหนึ่งเป็นการเริ่มต้นของสิ่งหนึ่งเสมอ และการสูญเสียนั้นก็แพงเกินกว่าที่จะประเมินราคาได้ ดึกแล้วที่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งเริ่มโรยราผู้คน พิธานยังคงนั่งอยู่ในความเวิ้งว้างที่แสนเจ็บปวด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าใครจะคาดคิด และรุนแรงเกินกว่าเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มรู้จักความรักจะรับไหว

"ไหนบอกว่าจะไม่ทำให้ร้องไห้ ไหนบอกว่าจะไปเที่ยวสงกรานต์ด้วยกัน ไหนบอกว่าจะหัดจักรยานให้จนกว่าจะเป็นไง แล้วทำไมเป็นแบบนี้" หนึ่งพูดกับความเงียบสงัดและกลิ่นยาตรงหน้า จ้องมองไปในความว่างเปล่าแล้วสบตากับตัวตนของใครคนหนึ่งที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ

"แล้วทำไมถึงทิ้งกันไปแบบนี้"

คนสวมแว่นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไหวหัวไปมาเหมือนจะปฏิเสธว่าไม่เคยคิดจะทิ้งไปไหน

"ไหนว่าจะดูแลกันไง ฟื้นขึ้นมาสิ นอนอยู่ทำไม ฟื้นขึ้นมาสิอาร์ม ฟื้นขึ้นมา เราจะไปข้าวสาร ไปเล่นสงกรานต์ด้วยกันไม่ใช่เหรอ"

ความชื้นน้อยนิดซึมเอ่อออกมาอีกครั้งเพียงเพื่อหล่อเลี้ยงดวงตาที่ช้ำระบมและแห้งผาก ส่วนหยดน้ำตานั้นไม่เหลือจะให้ไหลออกมาอีกแล้ว ร่างที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นยังคงส่งยิ้มให้แบบเดิม ไม่ทุกข์ไม่ร้อน คล้ายกับว่าอิ่มด้วยความสุขอย่างเต็มที่แล้ว

พิธานสบตานัยน์ตาที่แสนอ่อนโยนคู่นั้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทั้งหมดที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ

"อาร์ม...หนึ่งรักอาร์มนะ"

ม่านน้ำตาเอ่อกบภาพทุกอย่างที่มองเห็น มือที่สั่นเทายกขึ้นแล้วปาดเช็ดความเอ่อชื้นให้หมดไป

และเมื่อทุกอย่างกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ภาพคนตรงหน้าก็พลันเลือนหายไปพร้อมกับรอยยิ้มที่กรุ่นอยู่ในหัวใจที่แหลกสลายของพิธาน





ฝนกลายเป็นเพียงเศษซากที่ท่วมขังบนพื้นถนน ตรีลัดเลาะออกมาจากสตูดิโอแล้วเดินเบี่ยงไปยังที่จอดรถที่ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร ด้านข้างเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เดินเคียงมาด้วยกัน แม้จะเป็นเวลาที่มืดแล้วแต่อากาศก็เริ่มกลับมาร้อนอบอ้าวอีกครั้ง กลบภาพของพายุฤดูร้อนที่หอบฝนฉ่ำเย็นมาทั้งวันชนิดไม่เหลือเค้า

"สงกรานต์คุณมีแผนจะไปเที่ยวไหน" ดนัยถาม

คนที่ผิวขาวอย่างกับไม่เคยต้องแดดยักหัวไหล่ไปมา "ถ้าคิดจะชวนเดตละก็ คงต้องขอโทษด้วย ผมมีงานต้องทำ"

เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ จากคนที่ตั้งคำถาม สักพักดนัยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง "เปล่าครับ แค่ถามเฉย ๆ ผมเองก็ต้องทำงาน"

"แล้วคนธรรมดาสามัญแบบคุณไม่ไปเที่ยวกับแฟนแบบคนธรรมดา ๆ เขาทำกันเหรอ"

"ผมไม่มีแฟนครับ" เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มชนิดที่อากาศอบอ้าวของฤดูร้อนปีไหน ๆ ก็ไม่ร้ายกาจเท่า "ยังโสด"

ตรี พงษ์พิพัฒน์กระแอมอย่างไว้ฟอร์ม จะมาเสียท่ากับคนธรรมดาสามัญแบบนี้เห็นจะได้เป็นที่ครหา

"นี่คุณคงเห็นว่าผมไม่แฟนสินะ ถึงได้เลียนแบบ"

แต่คนฟังดูจะไม่สนใจกับท่าทางที่บรรจงประดิษฐ์ประดอยมาอย่างภูมิฐานแม้เพียงน้อยนิด เขาแค่เดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอ "อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องความรัก คนที่อยู่ในวัยทำงานก็แบบนี้แหละ งานมาก่อน แล้วบางที...ความรักก็มาจากงานนี่แหละ"

หัวใจของตรี พงษ์พิพัฒน์อุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ "ฟังดูดีนะ"

ดนัยส่งยิ้มอีกครั้ง คราวนี้เขายักคิ้วให้อีกข้างแบบคนมีอารมณ์ขัน

"คนกรุงเทพก็แบบนี้แหละครับ"



(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)

Finis

(http://image.free.in.th/v/2013/iw/140319082145.png)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 12-07-2014 14:40:50

สวัสดีครับ จบไปอีกหนึ่งเรื่อง สำหรับเรื่อง กรุงเทพ...ความทรงจำฤดูร้อน นี้
เป็นเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนไว้ให้อ่านกันเล่นตอนช่วงฤดูร้อน
ความตั้งใจเดิมคือจะเป็นเรื่องที่เขียนง่าย ๆ และอ่านเพลิน ๆ แบบไม่คิดมาก
แต่ความเป็นจริงหลังจากที่เขียนไปแล้วก็คือยิ่งเขียนยิ่งยาก ยิ่งตอนจบยิ่งเขียนยากมากกกก... (ก.ไก่แบบ infinity)
และขอสารภาพตามตรงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขียนยากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาแล้ว

ส่วนหนึ่งคือการเขียนคาแรกเตอร์ตัวละครที่เยอะมากให้มีความแตกต่างกัน ตัวหลักสิบตัว
ตัวเสริมอีกไม่อยากจะนับ แค่นี้ก็เล่นเอามึนไปไม่น้อย ยังไม่นับรวมกับการเชื่อต่อเรื่องต่างๆ
การลากให้ตัวละครของแต่ละเส้นเรื่องมาเจอะเจอกันและเกี่ยวเนื่องกันแบบรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง
ถึงอย่างไรก็ตามเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกเรื่องที่ภูมิใจจริงๆ ใช้สมาธิในการเขียนสูงกว่าเรื่องอื่น
และที่น่าภูมิใจไม่แพ้กันก็คือคนอ่าน ใครที่อ่านยเรื่องนี้จบโดยที่เข้าใจเนื้อเรื่อง จุดเชื่อมโยงต่างๆ
ขอบอกได้เลยว่าเป็นเซียนจริงๆ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนอ่านก็ต้องใช้สมาธิในการอ่านมากเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเรา (ทั้งคนเขียนและคนอ่าน) ก็เดินทางมาถึงจุดนี้จนได้ ปรบมือให้กับตัวเองกันเถอะ
ในฐานะของคนที่แต่งเรื่องนี้ขอบอกเลยว่าคุณเทพมากที่อ่านมาถึงตอนนี้
สังเกตดูปริมาณคอมเมนต์ก็น่าจะรู้ว่าเรื่องนี้หินขนาดไหน ไม่เขียนเขียนนิยายแล้วเมนต์น้อยแบบนี้เลย ฮ่าๆๆ
ขอบคุณมาก ๆ จริงๆ นะครับที่ติดตามอ่านกัน ขอบคุณทั้งหน้าไมค์หลังไมค์ และเฟซบุ๊กสำหรับทุกคอมเมนต์

สำหรับคนที่ต้องการสะสมเรื่องนี้่เก็บไว้ในแบบเล่ม เดี๋ยวจะกลับมาแจ้งข่าวในบ่ายนี้แหละครับ
ขอเวลานิดหน่อยในการทำสรุปก่อน แล้วเดี๋ยวจะมาอัพเดทกันนะครับ
ในเล่มจะมีตอนพิเศษคือ วันที่ 13 เมษายน ความยาวเทียบเท่ากับประมาณสามตอนปกติครับ
จะมีอะไรก็ตามที่คนแต่งอยากเขียนแต่ไม่เหมาะไม่ควรจะเขียนออกสื่อ (หัวเราะอย่างเริ่งร่า)
และยังคงเป็นเรื่องราวของทั้ง 5 คู่แบบในตอนหลักเป็นหลักครับ ตัวละครอื่นแจมตามอัธยาศัยเช่นเคย

ขอเวลาอีกสักพักจะกลับมาอัพเดทครับ สำหรับคนที่อยากจะซื้อเล่ม
ลองรีเควสที่อยากอ่านในตอนพิเศษมาได้นะครับ ถ้าเขียนได้จะแอบเขียนให้ ฮ่าๆ ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Lucea ที่ 12-07-2014 16:21:45



ภาพปกครับ

(http://image.ohozaa.com/i/54c/iyrUgG.jpg)

รายละเอียดหนังสือและการสั่งจอง

(http://image.ohozaa.com/i/g7f/z9MRF4.jpg)

(http://image.ohozaa.com/i/2b0/ixBZ5V.jpg)
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-07-2014 16:47:23
ขอแสดงความเห็นรวดเดียวเลยนะ(จริงๆติดตามอยู่ทุกตอน :call:)
เรื่องของเพชรกล้ากับอานนท์น่ารักดี พี่สิงห์ดูดุแต่ใจดีนะ
เรื่องของตรีกับดนัยก็น่ารัก แบบว่าดนัยรู้ทันตรีดีอ่ะ
แต่เรื่องของอริยะกับพิธานเศร้าไปนะ น่าสงสารหนึ่ง
ปล.สุดท้ายแล้วฮานส์ก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยเหรอ (จริงๆคือ มีหน้าที่พานภกลับไทยให้ได้เจอปืนอีกครั้งสินะ :mew2: )
เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 12-07-2014 16:48:30
มัน-ยาว-มาก (ก แบบ infinity) เลียนแบบๆ ฮี่ๆ

พี่สิงห์น่าจะทยอยซื้อนะ แบบเดือนละห้าเครื่องไรงี้
แล้วชวนอานนท์มานอนตากแอร์ที่บ้านเนี่ย นอนกลางวันใช่ป่ะ

ฝากบอกปืน "เพิ่งเห็นทำอะไรเข้าท่าก็ตอนอยู่โรงบาลนี่แหละ"

ไม่มีความเห็นเรื่อง อาร์ม-หนึ่ง นะ พูดไม่ออก กำลังกล้ำกลืนก้อนสะอื้นในคอ T ^ T

สารภาพเลยว่าอ่านข้ามคู่ของนัท-ตรี

สารภาพอีก คู่เมนคือ อาร์ม-หนึ่ง กับ ปืน-นภ

ปล. คู่คุณหมอ กับ คู่ทิม-คะน้า คืออัลไลคะ คู่หลักไม่มีกลิ่นอายความหื่นเท่า cameo เลยนะ ขอมั่งจิ่
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: lovekimkina ที่ 12-07-2014 18:20:20
กรีดร้องงง อาร์มหนึ่งคืออะไร โฮกกกกกกกกก ใจเจ้สลาย ,_,
ไม่มีคำพูดใดจริงๆ
ส่วนปืนนภ โอย ลุ้นกันจนนาทีสุดท้ายจริงๆ อยากอ่านอีกจัง ....
ปล. มีทิมคะน้าด้วยอ่า
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-07-2014 18:37:20
สารภาพว่าเป็นเรื่องที่ต้องสติในการอ่านนิดนึงครับ แต่สิ่งที่จะได้คือความอลังการงานสร้างของเรื่องที่ซ่อนอยู่ อย่างกับดูหนังอาร์ทดีๆ เรื่องหนึ่งเลย
หลากอารมณ์มากมาย แต่ที่ contrast มากๆ  คือน้องตรีสุดฮา แอบเอาบุคลิคใครมาเขียนนี่ กับอาร์มหนึ่งที่กระชากความรู้สึกสุดๆ
ยกนิ้วให้คนแต่งเลย
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 12-07-2014 19:15:03
พี่สิงห์-อานนท์ Orz!!  พี่สิงห์ป๋ามากคร่าาาา หักมุมสุดๆ
ปล...ขำชื่อพลายแก้ว คิดถึงช้างเลยอ่าาา //โดนพี่สิงห์ตบคว่ำ//

คู่ปืน-นภ นภโชคดีแล้วนะที่ปืนก็ใจตรงกัน โอกาศผ่านมาแล้ว อย่าพลาดไปจะได้ไม่เสียใจทีหลัง
แถมกว่าจะรู้ใจกันก็เกือบจะต้องเสียอีกฝ่ายไปแล้ว

คู่ชาฮิด-ภีม"แม่ของพี่บอกว่ายกของหนักไหว ไม่สำคัญเท่ายกมุมปากขึ้นยิ้มไหว"ชอบประโยคนี้จัง
 คู่นี้น่ารักมากค่ะ. กรี๊ซซซซ

มีคู่ทิม-คะน้ามาด้วยแหะ ขำตรงเกาะ"มันนอก"นี่ล่ะ5555

คู่อาร์ม-หนึ่ง รินใจดีจัง ขอให้ได้เจอคนดีๆน้าา
อาร์มมมมมมม ไม่จริงงงงงง ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ
มิน่าหลายๆตอนที่ผ่านมาถึงหวานผิดปกติ :katai1:

คู่โกวิท-คุณนุชนารถ ลงเอยด้วยดี ดีจังเลย^^
ปล...กลิ่นความทรงจำก็"คลุ้ง"และขยายตัวไปทั่วทั้งร้าน น่าใช้คำว่า"ฟุ้ง"มากกว่านะคะ คลุ้งเหมือนใช้กับอะไรที่เหม็นๆ(หรือเราคิดไปเอง55)

คู่นัท-ตรี ตรีจีบนัทได้ในแบบของตรีมากๆๆ กดตามแค่คนเดียว ทำเอาคนอ่านอย่างเราถึงกับอมยิ้มแก้มตุ่ยในความน่ารักเลยล่ะ

คนอ่านว่าอ่านยากแล้ว แต่คนแต่งสิแต่งยากกว่า เก่งมากๆค่ะสนุกดี ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะคะ :L2: :pig4:
ปล..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เม้นยาวสุดตั้งแต่เคยอ่านมาในเล้าเหมือนกันค่ะ หลายคู่มากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 12-07-2014 19:43:09
ยาวสะใจจริงๆ  เม้นรายคู่เลยเนอะ

คู่ที่น่ารักสุดกลายเป็นสิงห์/อานนท์นะ พี่สิงห์แกฮริ้งมากกกกกกกกก คือต้องเป็นอาานนท์ ซื่อ ๆ ไม่คิดเยอะแบบอานนท์เท่านั้นถึงจะรับนางได้ นี่งง ๆ ว่าสรุปจะโหดหรือจะใจดี ฮาาาา แต่หักมุมได้น่ารักสุดแล้ว

ส่วนปืน-นภก็มาใจตรงกันแบบมึน ๆ คือแกพูดจาทำร้ายจิตใจนภมาอะปืนนน แล้วมาเนียนกอด เนียนจูบ เนียนขอคบหน้าตาเฉยยย แต่ก็นะ คนมันรักเนอะนภ ดีแล้วล่ะที่แฮปปี้เอนดิ้ง

ชาฮิด ธีมนี่ออกเยอะสุดในเรื่องเลยมั้ยนะ ออกมาได้ทุกตอน น่ารักแบบใส ๆ ไม่เครียดดี

อาร์ม-หนึ่ง นี่กระชากอารมณ์สุด ดิ่งสุด ว้อททททททททททททท พูดไม่ออก แต่เศร้าอะ TvT สงสารหนึ่ง ถ้ารู้ว่าอาร์มยังจะอยู่ด้วยข้าง ๆแบบนี้จะดีขึ้นมั้ยนะ เฮ้อออ

ปิดท้ายด้วยคู่ตรี นัท  ไม่น่าเชื่อว่านังตรีจะแอบมิ้ง นัทนี่มีความรู้สึกเหมือนต้องเลี้ยงลูกเล็กที่เอาแต่ใจตลอดเวลารึเปล่านะ ฮาาาา
แต่นางดูทันกันดีนะ ชอบ ฮ่า ๆ
ปล. เห็นปกแล้วอยากเลียขึ้นมาเลยค่ะ 5555555555555555
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-07-2014 21:28:16
ม่ายยยยยยยยยยยย คนเขียนอย่าทำอย่างนี้ อย่าใจร้ายกับอาร์มหนึ่งเลย
ยังอยากฟังน้องมันมุ้งมิ้ง คะ ขา นะคะ กันอยู่น้าาาาาาาาา
เข้าใจว่าฝนมาแล้วพาทั้งความสุขความทุกข์มาด้วย แต่คู่อื่นเขาแฮปปี้กันหมดเลยนะ ยกเว้นคู่นี้ พลีส...
สุขสุด ๆ คงเป็นน้องนนท์ ที่บีบหัวใจป้าเรียกความสงสารมาหลายตอน
แหม...อิพี่สิงห์แอบกั๊กก็ไม่บอก รู้หรอกว่าคิดอะไรอยู่ หลอกเด็ก ๆๆ
ปืนนภถ้ายังไม่ฉวยโอกาสนี้สร้างความสุข ก็อย่าหวังว่าจะมีใครช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อมตอนแก่นะยะ (เกี่ยวกันไหม?)
ชาฮิดของป้า โถ ๆ ตัวเท่านี้ทำไมหัวใจช่างแมนเหลือเกิน ใครอยู่ด้วยอุ่นไปทั้งใจ ธีมอย่าให้หลุดมือนะ
นัทตรีคงต้องใช้สมองกันมากหน่อยว่าจะสรรหาคำพูดอะไรมาตอบโต้ความไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย
ทิมคะน้า แน่จริงเอาคลิปมาลงเลยดีกว่า
ขอบคุณคนเขียนสำหรับซีรีย์รักในฤดูร้อนเรื่องนี้ อิ่มเอมมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: modisvip ที่ 12-07-2014 23:40:43
ทำไมอาร์มกับหนึ่งจบแบบนี้ล่ะ อุตส่าห์รอมาตั้งนาน มันเจ็บปวดมากเลยนะแบบนี้ ฮืออ  :z3:
คู่อื่นดีนะจบแฮปปี้  :mew4:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 13-07-2014 00:19:37
  o22     นุ้งอาร์มมมมม...   ไม่นะ....   อย่าทิ้งหนึ่งไป...

  พึ่งบ่อน้ำตาแตกด้วยความปิติไปกับนนท์  เจอช็อตนี้ไป  ร้องไห้ยับเลย       :sad5:
                   ฮือ ๆ  อาร์มกลับมาหาหนึ่งนะ     :m5:

  แอบเขินที่อาร์มพูดคะ ๆ ขา ๆ กับหนึ่ง  อยากให้มีคนมาพูดอย่างนี้กับเราบ้าง     :o8:


  ข้อความสีส้มนี่ตรีเป็นคนพูดในรายการใช่ไหมฮะ?  มัน deep มาก โดนใจหลาย ๆ จุดเลย
  คู่นัทกับตรีนี่มันมีสีสันดีนะ  แซบ  เหมาะกันมาก


  ดีใจไปกับนนท์อะ ปลื้มพี่สิงห์ม๊ากกก     :m1:

  ตอนนนท์ร้องไห้ดีใจ  เราก็ร้องไปกับนนท์ด้วย  พี่สิงห์น่าร็อกอะ! 
  ไอ้เราก็แอบหวังว่าที่จริงพี่สิงห์จะเป็นลูกเจ้าของห้างแอบปลอมตัวมาจับผิดพนักงาน แต่กลายเป็นลูกเจ้าของอพาร์ทเม้นต์ซะงั้น
  เราก็หลงงอนพี่สิงห์ซะตั้งนานที่ใจร้ายกับน้องนนท์  ที่ไหนได้แอบตั้งใจขี่ม้าขาวมาช่วยอานนท์คนซื่อช๋ายปะ       :m12:


  "แม่ของพี่บอกว่ายกของหนักไหว ไม่สำคัญเท่ายกมุมปากขึ้นยิ้มไหว"       o13

   ชาฮิดโตขึ้นควรจะไปเป็นพระเอกหนังแขกนะลูก  หนูหล่อมว๊ากกก.. ทั้งกายและใจ
   น้องธีมชอบสีชมพูหรอลูก?  ชมพูน่ะชอบได้  แต่อย่าโตขึ้น แล้วอยากเป็นมนุษย์ไฟฟ้าสีชมพูนะคะ    :haun5:

 
   สรุปกรุงเทพ...ในความทรงจำของพ่อฮานส์นี่คือ  น้ำกระเจี๊ยวอร่อยมากกก   ชิมิ?

   ทิม คะน้า น้องหมอภัทร พี่หมอตุล ก็เดินสายมา cameo กันให้ผู้อ่านได้ชุ่มชื่นหัวใจ
 
 
   ขอบคุณมาก ๆ สำหรับความทรงจำในฤดูร้อนปีนี้   หวังว่าร้อนหน้าจะมีความทรงจำดี ๆ มาฝากกันอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 13-07-2014 03:06:28
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ชอบมากๆๆค่ะ ชอบวีธีเล่าเรื่องของคนเขียนและอื่นๆๆ รอเรื่องต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 13-07-2014 19:08:39
ขอสารภาพว่าตอนแรกๆที่อ่านมึนเพราะตัวละครเยอะมาก
พองานยุ่งเลยไม่ได้ตาม ได้ข่าวอีกทีก็จบ+รวมเล่มแล้ว
จะตามไปจองนะคะจะได้ค่อยๆอ่านค่อยๆจำ ^_^
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Minnie~Moo ที่ 13-07-2014 21:40:58
อยากจะบอกว่าตอนนี้ร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ :sad4:
สงสารคู่หนึ่ง อาร์ม ทำไมต้องจบแบบนี้  :a5:  o22
เข้าใจนะว่าชีวิตจริงมันต้องมีแบบนี้บ้าง
แต่ในนิยายก็อยากให้แฮปปี้กันท่วนหน้า
ไม่ไหวจริงๆพิมพ์ไปร้องไห้ไป  :o12:  อินจัด
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 14-07-2014 19:59:46
 :sad4: ขออาร์มจงกลับมามุ้งมิ้งกับหนึ่งเหมือนเดิมเถอะน้าาาาา
อยากจิบัาตาย ทำใจไม่ไดัจริงๆ เราเป็นแม่ยกคู่นี้ ฮือออ
กลัวพี่สิงห์ปล้ำอานนท์
หากขอตอนพิเศษได้ เกรงว่าจะเป็น 20+ ทุกคู่น่ะสิ ฮ่าๆๆๆๆ
รักทุกคู่เลยค่ะ
ดีใจที่นภสมหวังสักที รักทางไกลก็เก๋ดีน่ะ^^
คู่ตรีนี่ ตรีอ่อยสุดๆไปเล้ยย
แอบมีหมอตุลย์ กับภัทรหื่นเบาๆ
แต่ทิม หื่นอย่างแรงงง เพลียแทนคะน้า 5555
ชอบสไตล์การเขียนคุณจังเลย คุณlucea  ใช้ภาษาที่สละสลวย
เขียนภาษาไทยแทบไม่มีคำผิดเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ ถึงเม้นท์น้อย แต่ฟิคเรื่องนี้เปี่ยมด้วยคุณภาพน่ะค่ะ^^

ปล. -ขอร้องให้อาร์มฟื้นน่ะค่ะ สงสัยตื่นมาอาร์มอาจกดหนึ่งก็เป็นได้
ทำเสียงทิมแล้วพูดว่าเรท 20+.... 20+
- พี่สิงห์คงไม่ปล้ำอานนท์ใช่มั้ยค่ะ
-คู่ตรีนี่จะรอดูว่านัทจะปราบยังไง
-คู่นภลุ้นๆว่านภจะว่าไงน้าส
-คู่ธีมมม โอ้ยยยน่ารักชาฮิดแอบเลี้ยงต้อยเบาๆ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 27-07-2014 14:29:47
เพิ่งอ่านรวดเดียวจบ คือชอบคู่นัทกับตรีมว๊ากกกกกกก ตรีเป็นคนที่โอเว่อร์ได้อีก แต่เวลาอยู่กับนัทแล้วกลายเป็นคนธรรมดาต๊องๆไปเลย
น่ารักโคตรๆๆๆๆ

คู่นภกับปืนนี่ก็ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาร์มทำให้ปืนตัดสินใจเดินหน้าใช่มั๊ย ดีแล้วละ อย่างน้อยต่อจากนี้ก็มีคนอยู่ข้างๆแล้ว ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว

คู่อาร์มกับหนึ่ง อุตส่าห์สมหวังทั้งที คิดว่าอาร์มคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก ยังไงก็ต้องฟื้นในตอนพิเศษ ต้องฟื้นนะ อย่าปล่อยให้หนึ่งอยู่คนเดียวเลย

ส่วนคู่พี่สิงห์กับอานนท์เนี่ย พี่สิงห์พูดหวานๆกับนนท์หน่อยก็ได้ ถึงการกระทำพี่จะอ่อนโยนมุ้งมิ้ง แต่ถ้าพี่ลองพูดหวานๆกับนนท์ นนท์อาจจะทำให้พี่เห็นสีหน้าท่าทางที่ปกติแล้วพี่ไม่เห็นก็ได้นะ XD
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: AKAMEBIKEI ที่ 28-07-2014 11:59:14
อ่านแล้วติดงอมแงมเลยค่ะ
สารภาพว่าเน้นอ่านคู่ของอาร์มหนึ่งกับนพปืน
อ่านมาถึงตอนท้ายๆเงิบมาก
ใจหายเลยตอนแรกนึกว่านภโดน
อ่านไปทำไมกลายเป็นอาร์ม ไม่น้าาา
ชอบคู่นี้มากที่สุด ทำไมมันถึงได้ลงเอยแบบนี้
หวังว่าตอนพิเศษจะทำให้จบแบบแฮปปี้น้าาา
โอม...อาร์มจงฟื้น ยังไม่ได้เลิฟๆกันหนึ่งเลยนะ
ฟื้นกลับมาจับหนึ่งกดก่อน555
ซื้อเรื่องนี้มาเก็บแน่นอนค่ะ ชอบมากๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: M_April ที่ 30-07-2014 08:23:47
มาอ่านทีเดียวเลย สนุกมากค่ะ ภาษาสวยมากๆ

อาร์มจะไปจริงเหรอ สงสารจัง

ชอบอานนท์กับพี่สิงห์มาก
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 30-07-2014 13:10:28
ชอบภาษาและแนวการเขียนมากค่ะ

ติดตามมาตั้งแต่น้องคะน้า
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 31-07-2014 22:43:31
 o13
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: memmory_far ที่ 01-08-2014 11:42:43
ใช้ภาษาดีมากเลยครับ ^^ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Cressent ที่ 03-08-2014 16:01:34
เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วนึกถึงหนังฝรั่งเรื่อง love actually. น่ารัก แต่ตอนจบก็สะอึกไปเยอะเลย (วางเทบเลตแล้วถอนหายใจ) โดยรวมก็ชอบมากเลยค่ะ. ขอบคุณผู้เขียนที่ผลิตผลงานดีๆออกมาแบ่งปันให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 27-08-2014 20:03:50
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆอีกเรื่องมาให้ได้อ่าน
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เม้นเลยก็ตาม แต่ก็ติดตามและรอคอยว่าจะมาลงอีกเมื่อไหร่ตลอดเลย
แต่ละคู่มันเป็นอะไรที่ลุ้นนะคะ และก็ดูเป็นชีวิตจริงมากๆเลย
หลายๆเหตุการณ์ในเรื่องคนอ่านเองก็เคยเจอมากับตัวหรือแม้แต่คนใกล้ตัว
ความรักมันก็แบบนี้แหละเนาะ มีทั้งสุข เศร้า สมหวัง และผิดหวัง
บางคู่ก็ทำให้ได้ยิ้ม บางคู่ก็ทำให้ได้ร้องให้

ขอบคุณอีกครั้งค่ะที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา
ติดตามตั้งแต่คะน้ากับทิมแล้ว มาแว๊บๆในเรื่องนี้ให้พอหายคิดถึงเนาะ

อยากเม้นเยอะๆแต่เหมือนมันจุกๆอยู่เลย

เอาเป็นว่า นิยายเรื่องนี้จะอยู่ในความทรงจำของคนอ่านคนนี้ตลอดไปนะคะ

หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: PaLmPikPok ที่ 05-10-2014 23:38:16
ได้โปรดอย่าทำแบบนี้กับหนึ่งเลยค่ะ ฮือออออออ คนอ่านจะตาย อาร์มจะทิ้งไปง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-10-2014 20:21:43
ช็อกคู่อาร์มหนึ่ง... o22 o22



กำลังกรี๊ดกร๊าดน้องชาฮิดกับน้องธีมอยู่ดีๆอาร์มหนึ่งทำดิฉันติดสตันท์แบบกู่ไม่กลับ...



โฮรรรร เนื้อเรื่องดีมากค่ะ ภาษาก็สวย น้องชาฮิดก็น่ารักมาก


คู่นัทตรีนี่ก็เคมีกรุบกริบ แต่ช็อกอาร์มหนึ่งจริงนะ...

ขอบคุณที่แต่งให้อ่านค่ะ สนุกมากจริงๆ :pig4:

แต่อาร์มหนึ่ง... :ling2:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 18-10-2014 00:34:13
สงสารหนึ่ง
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 19-10-2014 02:51:59
น้ำตาไหลเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 14-11-2014 17:12:40
ดีจังค่ะ สนุกมากๆๆๆๆๆ ผูกโยงตัวละครงดงาม ต่อเรื่องดี๊ดี
ชอบทุกคู่ โดยเฉพาะ พี่สิงห์-อานนท์ ชอบสายพระเอกดุนายเอกซื่ออยู่แล้วด้วย
ดนัย-ตรี ฮามากกก ความเป็นตรีไม่ทำให้หมั่นไส้ซักนิด ชอบคาแรคเตอร์นี้มากๆๆๆ
ปืน-นภ ละเมียดลึกซึ้ง รู้สึกว่าคู่นี้สร้างมาแน่นจริง อ่านแล้วอินที่สุด
อาร์ม-หนึ่ง น่าสงสารเหลือเกิน ตะลึงเลย ไม่คิดว่าจะมาทางนี้
ชาฮิด เป็นพระเอกรุ่นเล็กที่เข้าท่า ฉลาด...แต่ไม่เท่าตรี (ฮา) ส่วนเจ้าเด็กธีมน่าหยิกไปหน่อย
+1 ค่ะ ชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 21-01-2015 12:54:35
ขอชื่นชมคนเขียนที่แต่งออกมาได้ดีมากๆ  o13
แต่!!! ทำไมทำกับอาร์มแบบนี้  :sad4:
แล้วหนึ่งเค้าจะอยู่ยังไง สงสารมากกก  :o12:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: tagloveX-Mark ที่ 22-01-2015 17:46:57
แต่งได้ดีมากเลยครับ ชอบๆ
แอบสงสารคู่ที่จบแบบไม่สมหวัง ทรมานใจแทนเลย (สงสารหนึ่งกับอาร์ม เพิ่งจะได้คบกันแค่วันเดียว T_T )
ชอบการวางคาแรคเตอร์แต่ละตัว โดยเฉพาะตรี 5555+ เป็นมนุษย์ที่สุดยอด เหนือคำบรรยาย สุดโต่งจิง ๆ 5555 หลงตัวเองขั้นเทพ
ฮากับความเอาตัวเองเป็นเซ็นเตอร์และคิดเข้าข้างตัวเองตลอด 555555

หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: Naiikratai ที่ 07-04-2015 23:26:22
ฮืออออ ไม่น้าาา สงสารหนึ่ง ใจจริงอยากให้อาร์มฟื้น  :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 19-08-2015 18:49:39
ตัวละครเยอะไปหน่อย แต่เนื้อเรื่องสนุกดี ขอให้อาร์มฟื้นด้วยเถอะนะ พลีสสสสสสส  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 18-02-2016 13:47:09
สนุกมากครับ ชอบ ชาฮิด - ธีม น่ารักมาก ครับ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 19-02-2016 23:08:11
ชอบทุกเรื่อง ทุกตัวละครเลยค่ะ แอบเสียน้ำตาตอนจบ ทำไมอาร์มกับหนึ่งจะต้องจบลงแบบนี้ด้วย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 04-10-2016 23:24:48
 o13