(ต่อครับ สุดท้ายแล้ว)
ทุกอย่างนิ่งสงบ พร้อมกับเสียงกรีดร้องดังไปทั่ว กลิ่นไหม้เหม็นคลุ้งไปทั่วเหมือนถูกเผาด้วยไฟนรกโลกันตร์ บทเพลงยังคงกระหึ่มกังวานไปทั่วถนนสีลมอย่างสนุกสนาน นภค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ พร้อมกับสติที่งวยงง แรงจุกที่ท้องทำให้ต้องพยุงตัวขึ้นมามองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที
เขารอดตายอย่างนั้นเหรอ ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน ?
ดวงตาที่ไหวระริกของนภมองลงไปที่กองเลือดที่นองอยู่บนพื้นถนนสีเทา ไล่สายตาไปยังร่างเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งท่ามกลางทะเลสีแดงหม่นนั้น ถัดจากแว่นตาที่หลุดออกมา มือข้างนั้นไม่มีสัญญาณแห่งชีวิตใดหลงเหลืออีกเลย
พิธานทรุดเข่าลงกับพื้นด้วยอาการสั่นเทา แขนขาอ่อน สมองเหมือนไม่อยากจะรับรู้ แม้แต่เสียงพูดก็ยังไม่เหลือน้ำเสียง เด็กหนุ่มที่น้ำตานองหน้าจ้องมองร่างที่นอนอยู่บนกองเลือดของอริยะ พร้อมกับร่างกายของตัวเองที่โยกสะอื้นแรงขึ้นและแรงขึ้น
ก่อนที่เสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดที่สุดจะดังขึ้นและกลบทุกสรรพเสียงบนถนนแห่งนั้น
"ความสูญเสียอาจเกิดขึ้นเพียงพริบตา และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจจะย้อนทุกอย่างให้คืนกลับมาได้ เพียงวินาทีสั้น ๆ ที่ชีวิตหนึ่งอาจถูกทำลายลงเพียงเพราะความประมาทคนคนเดียว
และสำหรับท่านที่ไม่ได้ออกไปร่วมฉลองประเพณีสงกรานต์ที่ไหน สามารถเปิดชมรายการที่น่าสนใจของสถานีได้ครับ จะมีรายงานบรรยากาศสด ๆ จากจุดสำคัญต่าง ๆ ทั่วทุกแห่งทั้งในกรุงเทพและภาคต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน"ที่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท ฮานส์นั่งดูรายการโทรทัศน์ที่ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง (ส่วนมากไม่รู้เรืิ่อง) ขณะที่กดรีโมตเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น ๆ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจไปมาอย่างคนไม่รู้จักเหนื่อย นี่เขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาหลายชั่วโมงเพื่อมานอนโรงพยาบาลและดูโทรทัฒน์ท้องถิ่นแบบที่หาดูในยูทูปก็ได้ ทานอาหารไทยไปมื้อสองมื้อก่อนจะท้องเสียแล้วนอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนั้นสินะ คิดแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจอีกรอบ สงกรานต์นี้คงไม่แคล้วนั่งจับเจ่าอยู่กับโรงแรมแบบหลายวันที่ผ่านมา
อีกด้านหนึ่งของกรุงเทพ ภัทรพลนอนหอบอยู่บนเตียง คุณหมอหนุ่มหน้าละอ่อนถามเจ้าของริมฝีปากที่วนเวียนอยู่ที่แผ่นหลังของตัวเองด้วยเสียแที่แหบแห้งกว่าทุกครั้ง "พักก่อนเถอะครับพี่ตุล"
"เดี๋ยวพี่ต้องเข้าเวรแล้ว" ตุลธรตอบขณะไล่ริมฝีปากลงต่ำ "ยังมีออกมานี่ บอกแล้วใช่ไหมว่าจะทำให้หมดเนื้อหมดตัว"
สัมผัสนับจากนั้นทำเอาภัทรพลหลับตาลงแล้วร้องด้วยเสียงที่แหบแห้งกว่าเดิม ร่างกายที่ขยับไหวตามแรงของอีกคนนอนบิดไปมาโดยไม่รู้ว่าสุ้มเสียงของโทรทัศน์ที่เปิดไว้อยู่นั้นพูดอะไรบ้าง
คงยากที่ใครจะจับเสียงนั้นรู้เรื่อง ด้วยเสียงของผู้ชายสองคนที่อยู่ในห้องนั้นดังก้องไม่แพ้กัน
"อีกไม่นาน ฤดูร้อนก็จะผ่านไปอีกปี สำหรับในปีนี้คุณได้ทำอะไรอย่างที่เคยคิดหรืออยากจะทำบ้างแล้วหรือยังครับ เวลาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ทำโครงการต่าง ๆ ที่คุณคิดอยากทำ อยากผอม อยากเรียนได้เกรดที่สูงขึ้น อยากได้งานใหม่ อยากมีความรัก อย่าปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไม่เห็นค่า หรือปล่อยให้โอกาสเหล่านั้นผ่านไป เหมือนกับวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ถึงเวลา...กลับผ่านไปโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว"โกวิทเปิดประตูเข้ามาในร้านอาหารเล็ก ๆ ที่คุ้นตาด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่เปิดออก กลิ่นความทรงจำก็คลุ้งขึ้นและขยายตัวไปทั่วทั้งร้าน นุชนารถเดินมาต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาที่ร้านด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครคนนั้น เธอก็ชะงักอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก
"ผมแวะมาทานอาหาร"
"สวัสดีค่ะ" เธอเอ่ยทักไม่เต็มเสียง
"ร้านอาหารน่ารักดีนะนุช แค่เห็นก็รู้ว่าคุณแต่งเอง" เขาพูดขณะที่กวาดตาไปทั่วร้าน "ดูเหมือนว่าโต๊ะจะเต็ม แต่ผมรอได้"
"ขอบคุณค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ" ร่างบางตอบทั้งน้ำเสียงสั่น ๆ เธอยืนข้างเขา หัวใจเต้นยังไม่เป็นจังหวะเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่เลิกรากันไป "สบายดีนะคะ"
"ผมสบายดี คุณก็ด้วยนะ" เขาถามกลับ
นุชนารถยิ้มบาง ๆ ให้กับคำถามนั้น "อานนท์เป็นยังไงบ้างคะ ทำงานดีหรือเปล่า"
"เขาเป็นพนักงานที่ดี และผมก็ภูมิใจในตัวของเด็กคนนั้นมาก ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่แนะนำเขาให้มาสมัครงานกับผม" โกวิทเบี่ยงตัวไปชิดริมผนังของร้าน เปิดทางให้เหล่าพนักงานทำงานของตนเองได้อย่างเต็มที่
"เด็ก ๆ คิดถึงคุณมากนะครับนุช...ผมก็เหมือนกัน หลายปีที่ผ่านมาได้แต่ทบทวนแล้วคิดซ้ำ ๆ ว่าสิ่งที่เราสองคนตัดสินใจกันในวันนั้นมันดีแล้วหรือ ทีี่ผมมาในวันนี้ก็เพื่อบอกนุชว่าทุกครั้งที่ผมถามตัวเองแบบนั้น คำตอบมันก็ซ้ำแบบเดิมว่าผมไม่เห็นด้วยเลย"
นุชนารถน้ำตารื้นออกมา และเขาเองก็ดูจะอยู้ในสภาวะที่แทบจะไม่ต่างกัน
"เราจะลองพยายามกันดูอีกครั้งจะได้ไหมนุช ผมทำใจจะเสียคุณไปไม่ได้จริง ๆ"
และในตอนนั้นเอง ผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาโดยตลอดก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร
อีกด้านหนึ่งของกรุงเทพ ที่โรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยกลิ่นยาและเสียงฝีเท้าที่รีบเร่งของทีมแพทย์ ปรายฟ้ากอดเด็ก ๆ ทั้งสามคนเอาไว้กับตัวยเองอย่างแนบแน่น เธอร้องไห้ไม่หยุดแบบคนที่เสียขวัญ ถัดไปอีกด้าน ปืนกุมมือนภไว้แน่นเหมือนกับจะไม่มีวันปล่อยให้มือนั้นหลุดออกไปอีก ทั้งหมดต่างมีกันและกัน
มีเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดเพียงคนเดียว เด็กคนนั้นร้องไห้จนไม่มีน้ำตา แววตาที่บอบช้ำนั้นละม้ายกับคนที่โลกทั้งใบได้แหลกสลายไปพร้อมกับวันที่ร้อนที่สุดที่ผันผ่านไป
"เคยถามตัวเองไหมครับ ว่าในชั่วเวลาที่ร้อนที่สุด ทั้งในปีนี้ ปีก่อนหน้านี้ กระทั่งในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านไป ช่วงเวลาที่ทำให้ร้อนจนหงุดหงิด ร้อนจนแทบคลั่ง ร้อนอยากจะเป็นบ้า ใครที่ทำให้คุณยิ้มได้ แค่เห็น แค่ได้ยินชื่อ ก็ทำให้อากาศร้อนจัดเหล่านี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ทะนุถนอมใครคนนั้น...และช่วงเวลาเหล่านั้นไว้ให้ดีนะครับ เพราะมันจะกลายเป็นความทรงจำสุดพิเศษในฤดูร้อนที่ไม่ว่ากี่ปีจะผ่านไป คุณก็จะไม่ลืม สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ"เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างกึกก้องทันทีที่ตัดจบรายการ ตรี พงษ์พิพัฒน์พูดโดยไม่ต้องใช้สคริปต์ และทุกถ้อยคำล้วนน่าประทับใจทั้งสิ้น ผ่านไปอีกเทป กับอีกหนึ่งวันที่เคยขึ้นชื่อว่าจะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในประสัติศาสตร์ ตรีเดินลงมาจากหน้าฉาก หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทรหาใครคนหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกลุ่มทีมงานที่อออยู่ที่หน้ามอนิเตอร์ และเหมือนดังขึ้นอีกเมื่อร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น
"ว่ายังไงครับ" ดนัยกดรับสายเมื่อออกมายืนตรงหน้าของตรี ดวงตาคมกริบเคลือบไปด้วยแววอ่อนหวานขณะที่จับจ้องคนที่กดสายโทรหา
"อยู่แค่นี้ ทำไมถึงต้องรับสายมิทราบ" ตรี พงษ์พิพัฒน์เชิดหน้าขึ้นอย่างอวดดี
"ก็คุณโทรหาผม" เขาตอบ แล้วถามกลับ "หรือไม่อยากให้ผมรับสาย ปล่อยให้โทรอยู่แบบนั้น"
"ไม่ต้องมายอกย้อน ผมแค่โทรผิด ตั้งใจจะโทรหาคุณนัท มีเรีย ใครใช้ให้คุณชื่อโหล แถมยังโนเนม" เจื้อยแจ้ว ลอยหน้าลอยตาอย่างไม่มีใครเลียนแบบได้ "ว่าแต่คุณเถอะ โทรมาหาผมทำไม ไม่ต้องมาอ้างว่าชื่อโหล เพราะตรี พงษ์พิพัฒน์มีแค่คนเดียวบนโลก"
ดนัยกดวางสายต่อหน้าแล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ทำเอาพิธีกรรูปหล่อมุ่ยหน้า
"ผมจะขอก้อปปี้เทปของไจแอนท์โคลาทั้งหมด โทรหาทีมงานก็ไม่มีใครรับสาย ก็เลยโทรหาคุณ"
หยาบคายมาก...ช่างเป็นคำตอบที่เกินกว่าจะรับไหว ตรียกมือขึ้นเท้าสะเอว เดือดปุด ๆ จนลมแทบออกหู "กล้าดียังไงให้ตรี พงษ์พิพัฒน์เป็นคนสุดท้าย"
คล้ายว่าอีกฝ่ายจะไม่ยี่หระ ดนัยยังคงนิ่งจนเกือบจะเรียกว่าเฉย ถ้าไม่ติดที่รอยยิ้มและดวงตาที่ดูวับวาวคู่นั้นซึ่งประดับอยู่บนใบหน้าขรึมจนต้องหยุดสายตา คงคิดว่าได้สนทนากับหุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ไปแล้ว
"แล้วให้คุณเป็นคนสุดท้ายไม่ดีเหรอ" คำถามนั้นพร่างด้วยรอยยิ้ม
ทั้งที่ควรรู้สึกติดลบสุด ๆ แต่ตรีมองรอยยิ้มที่ปล่อยประจุบวกไม่นับตรงหน้า รวม ๆ แล้วแปลว่าอะไรไม่สำคัญ ใจความอยู่ที่มันค่อนข้างเป็นคำตอบที่ดูพิเศษอยู่ไม่น้อย และแน่นอนว่าตรีเสพติดความพิเศษจนเข้าขั้น
"แล้วคุณจะมาที่นี่ทำไม ไม่มีธุระอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ" ตรีลอยหน้าขึ้นอีกนิด อารมณ์ดีขึ้นอีกหน่อย
คนตัวสูงตบมือลงบนกระเป๋ากางเกงแล้วยักไหล่ "พอดีผมเพิ่งหัดเล่นอินสตาแกรม ไม่เห็นว่าคุณจะอัพอะไรก่อนอัดเทปวันนี้เลยแวะมาดูให้เห็นบรรยากาศกับตา"
"อ้อ...เป็นอย่างนั้นสินะ" ยิ่งฟังยิ่งเข้าท่า ยิ่งดูยิ่งถูกตา ยิ่งรู้จักยิ่งถูกใจ ควรจะพูดแบบนั้นใช่ไหม แต่ไม่ ! ทำไมคนแบบตรีต้องพูดอะไรแบบนั้น มีวิธีที่มีรสนิยมกว่านั้นตั้งเยอะ "คุณกดเข้าไปดูอินสตาแกรมผมอย่างนั้นเหรอ"
จ้องหน้าคนที่กระพริบตาเหมือนจะกระพือให้เป็นพัดลม ความรู้สึกบางอย่างสะกิดใจของดนัยบอกว่ามีอะไรมากกว่าคำพูดช่างอวดอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู "หรือผมพลาดอะไรไป"
ตรีลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปรยแบบไม่ใคร่จะสนใจนักต่อ "ไม่เห็นหรือว่ายอดคนที่กดตามตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้มากมายขนาดไหน"
คิ้วเข้มของดนัยโค้งตัวเป็นเครื่องหมายคำถาม ก่อนที่เขาจะกดเข้าไปดูที่หน้าอินสตาแกรมของตรี พงษ์พิพัฒน์ แน่นอนว่าไม่มีรูปอะไรที่ถูกอัพขึ้นในวันนี้ จำนวนคนที่กดตามเจ้าตัวก็คล้ายจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายสาย แต่ที่สะดุดตากลับเป็นจำนวนคนที่เจ้าตัวกดตาม
หนึ่งคน
คนเดียวอย่างนั้นหรือ ? ใครกัน ? ปลายนิ้วโป้งกดลงบนหน้าจอเข้าไปดูชื่อของหนึ่งคนที่ตรี พงษ์พิพัฒน์ผู้ไม่เคยคิดจะสนใจใครกดตาม
และนั่น...เป็นชื่อของเขาเอง
รอยยิ้มกวาดขึ้นด้วยความรู้สึกที่ดนัยไม่อยากจะเรียกว่า "ฮึกเหิม" แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือความรู้สึกที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่า "ดีใจ" ดนัยยิ้มแล้วยิ้มอีก หัวใจเต้นตึกตักอย่างเริงร่า "หมอนี่เป็นใครกันนะ รูปสักรูปก็ไม่เคยอัพ"
"ก็แค่คนหน้าตาดาษ ๆ หนึ่งคน หาได้ตามห้างสรรพสินค้า ร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้าข้างถนน คุณอย่าไปสนใจเลย"
ตรี พงษ์พิพัฒน์หัวเราะคิก แก้มทั้งสองข้างระเรื่อเหมือนอยู่ท่ามกลางแสงแดด
เช่นกันกับอีกด้านหนึ่งของกรุงเทพ รอยยิ้มของใครอีกคนกระจ่างจ้าขึ้นเหมือนพระอาทิตย์ฤดูร้อน ถัดออกไปแค่อีกไม่กี่ซอย อานนท์ก็มาหยุดยืนที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่กว้างขวางแบบที่เห็นในละครแต่ก็ไม่เล็ก เป็นบ้านที่เป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัยจริง ๆ ไม่ใช่ในจินตนาการที่หรูหรา กระนั้นก็ร่มรื่นสวยงามน่าอยู่
"นี่คือบ้านพี่สิงห์เหรอครับ สวยจัง" อานนท์ร้องตื่นเต้น กวาดสายตามองไปรอบ ๆ "แล้วคุณพลายแก้วล่ะครับ"
"จะไปรู้ได้ยังไงก็กลับมาพร้อมกัน" เพชรกล้าตอบเสียงเรียบนิ่งแบบทุกครั้ง ถึงจะพอคุ้นบ้างแล้วแต่ก็เล่นเอาอานนท์พูดอะไรต่อไม่ถูก
เจ้าของบ้านเปิดประตู เปิดไฟ แล้วเดินเนำเข้าไปด้านใน เปิดตู้กับข้าว หยิบอาหารที่มีออกมาวางเรียงทีละจาน อานนท์รีบเข้าไปช่วยอย่างแข็งขัน งกเงิ่นบ้างแต่ก็ดีกว่าจะยืนอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร
"ไม่คิดว่าพี่สิงห์จะพามาที่บ้าน นึกว่าจะกินในห้างหรือตามร้านทั่วไปเสียอีก"
เพชรกล้าไม่ได้พูดอะไรที่เป็นคำตอบแบบเป็นทางการ ร่างสูงแค่พยักหน้าไปตามเรื่อง ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในมือมากกว่าจะสนใจสิ่งที่อานนท์ถาม
เพชรกล้าก็ยังคงเป็นเพชรกล้าที่นิ่งเฉย ไม่ใส่ใจอะไรเล็กน้อยพวกนี้ เน้นความง่าย ตรงไปตรงมามากกว่าจะพิธีรีตรองตามขนบมารยาทของคนกรุงเทพที่มักจะพูดกันอย่างเป็นทางการ มือกว้างตักข้าวสวยจนพูนแล้ววางลงบนโต๊ะ หลิ่วตามองอานนท์ที่ยืนอยู่ "กินได้เลย ไม่ต้องรอ"
"ขอบคุณครับ"
"อานนท์...ที่ห้องไม่มีแอร์ไม่ใช่เหรอ ถ้าร้อนก็แวะมานอนที่นี่ได้นะ ข้าวเย็นก็แวะมากินด้วยกันที่นี่ได้"
อานนท์มองข้าวในจานที่พูนแน่นเหมือนสองคนกิน และกับข้าวง่าย ๆ ตรงหน้า คิดว่ามื้อนี้คงเป็นเมื้ออาการที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานในหลายปีนี้แน่ ๆ เด็กหนุ่มค่อย ๆ นั่งลงแล้วมองพี่สิงห์ที่เพิ่งย่อตัวลงที่ฝั่งตรงข้ามด้วยความซาบซึ้งใจ
ชาฮิด ธีม และมีรานั่งอยู่ที่เก้าอี้โซฟาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถง ต่างคนก็ต่างจดจ่ออยู่กับกระบอกปีนฉีดน้ำที่ได้มาจากปรายฟ้า หยิบขึ้นมาตั้งท่ากันใหญ่ จะเว้นก็แต่ธีม เด็กชายตัวน้อยมองปืนฉีดน้ำที่ได้มาจากแม่ แต่ก็ยังไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไร
"แลกกันไหมมีรา เอาของฉันไป แล้วเอาของมีรามาให้ฉัน" เด็กชายชวิศยื่นข้อเสนอ "เราแลกปืนฉีดน้ำกันไหม"
แน่นอนว่ามีราอยากจะตอบตกลงใจจะขาด ทั้งปืนที่บรรจุน้ำได้เยอะกว่า ทั้งยังเป็นของธีมอีก กระนั้นก็ยังลังเลด้วยที่ถูกสอนมาแต่เล็กว่าให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี "แต่มันกระบอกเล็กกว่าของพี่ธีมนะ"
ธีมไม่ได้สนใจสิ่งนั้น ยังยืนยันคำเดิม "แลกกัน"
มีรายิ้มกว้างรีบส่งของตัวเองให้กับธีม รับปืนฉีดน้ำกระบอกใหญ่กว่ามาถือในมือแล้วตั้งท่ายิ่งสนุกสนาน ขณะที่ธีมก็มองปืนกระบอกใหม่ของตัวเองที่ดูจะถูกใจมากกว่า ชาฮิดมองประกายวับวาวในดวงตาของธีมแล้วยิ้มกว้าง
"ธีมชอบสีชมพูใช่ไหม"
เด็กน้อยกอดกระบอกปืนในมือแนบอกแล้วตอบเสียงแหลม พร้อมสองแก้มที่ระเรื่อจนปลั่ง "ไม่ใช่สักหน่อย"
เด็กน้อยทั้งสามไม่รู้เรื่องอะไรไปมากกว่าเกิดอุบัติเหตุรถชนคน ที่พอจะรู้คือปรายฟ้าที่หน้าตาดูตื่นตระหนกพามีรามาทำแผลนิดหน่อยเพราะหกล้ม ทำแผลเสร็จนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครได้กลับ เด็ก ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไร และเพราะเหตุใด ปรายฟ้า ปรมะ และนภถึงพามาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และไม่รู้ว่าสิ่งเพิ่งที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้นั้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากขนาดไหน
อีกด้านหนึ่งในโรงพยาบาล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับอุบัติเหตุอะไร แต่นภก็มาเพื่อให้กำลังใจกับเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตของตนเองไว้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนนั้นจะไม่เป็นอะไรรุนแรง และการผ่าตัดต่าง ๆ จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดออกมาจากห้องผ่าตัด
"อย่างน้อยก็ดื่มอะไรให้ร่างกายอุ่นขึ้นมาหน่อย อย่าถึงกับต้องเป็นอะไรตามกันไปเลย" ปรมะวางกาแฟที่กรุ่นไปด้วยควันขึ้นตรงหน้า และเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจความรู้สึก รู้ดีว่านภคิดเช่นไรในตอนนี้ ไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และคนที่เป็นต้นเหตุจริง ๆ ก็คือคนที่ขับรถโดยประมาทคนนั้น
เวลาเดินผ่านไปช้า ๆ จนเหมือนว่าจิตใจของคนที่เอาแต่โทษตัวเองจะเยียวยาตัวเองขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
"นภ...ฟังดูอาจจะทุเรศ นี่อาจจะไม่ใช่สถานที่และไม่ใช่เวลาที่เหมาะ แต่บอกตามตรงว่าก็ไม่อยากรอไปมากกว่านี้อีกแล้ว" ปืนเอ่ยขึ้นกับถ้วยกาแฟเย็นชืดที่ไม่พร่องลงแม้แต่น้อย
"นภ...เราลองคบกันได้ไหม"
ในความซึมเซา นภเงยหน้าขึ้นคล้ายกับว่าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
"ถึงจะเป็นแค่วันสองวันก็เถอะ แต่ไม่อยากจะปล่อยอะไรให้ผ่านไปแบบนี้อีกแล้ว เราใช้เวลาสิบกว่าปีถึงจะได้เจอกันอีกครั้ง แล้วถ้าไม่มีครั้งหน้าล่ะ หรือถ้าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเราไม่ได้โชคดีแบบนั้น"
"เป็นแฟนกันได้ไหม อย่างน้อยก็แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนนายจะกลับไปเมืองนอกก็ได้" ปืนพูดอย่างลนลาน "แค่วันเดียวก็ได้ คบกันได้ไหม"
"ปืน..."
"ผมรักนภนะ รักมาโดยตลอด และไม่เคยหยุดความคิดนี้ได้เลย"
ร่างที่สั่นไปมาเหมือนจะไม่หยุดนั้นถูกใครอีกคนสวมกอดจนแนบแน่น สองแขนของนภกอดปืนที่ดูว้าวุ่นใจไม่หาย
"พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว"
การจบลงของสิ่งหนึ่งเป็นการเริ่มต้นของสิ่งหนึ่งเสมอ และการสูญเสียนั้นก็แพงเกินกว่าที่จะประเมินราคาได้ ดึกแล้วที่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งเริ่มโรยราผู้คน พิธานยังคงนั่งอยู่ในความเวิ้งว้างที่แสนเจ็บปวด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าใครจะคาดคิด และรุนแรงเกินกว่าเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มรู้จักความรักจะรับไหว
"ไหนบอกว่าจะไม่ทำให้ร้องไห้ ไหนบอกว่าจะไปเที่ยวสงกรานต์ด้วยกัน ไหนบอกว่าจะหัดจักรยานให้จนกว่าจะเป็นไง แล้วทำไมเป็นแบบนี้" หนึ่งพูดกับความเงียบสงัดและกลิ่นยาตรงหน้า จ้องมองไปในความว่างเปล่าแล้วสบตากับตัวตนของใครคนหนึ่งที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ
"แล้วทำไมถึงทิ้งกันไปแบบนี้"
คนสวมแว่นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไหวหัวไปมาเหมือนจะปฏิเสธว่าไม่เคยคิดจะทิ้งไปไหน
"ไหนว่าจะดูแลกันไง ฟื้นขึ้นมาสิ นอนอยู่ทำไม ฟื้นขึ้นมาสิอาร์ม ฟื้นขึ้นมา เราจะไปข้าวสาร ไปเล่นสงกรานต์ด้วยกันไม่ใช่เหรอ"
ความชื้นน้อยนิดซึมเอ่อออกมาอีกครั้งเพียงเพื่อหล่อเลี้ยงดวงตาที่ช้ำระบมและแห้งผาก ส่วนหยดน้ำตานั้นไม่เหลือจะให้ไหลออกมาอีกแล้ว ร่างที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นยังคงส่งยิ้มให้แบบเดิม ไม่ทุกข์ไม่ร้อน คล้ายกับว่าอิ่มด้วยความสุขอย่างเต็มที่แล้ว
พิธานสบตานัยน์ตาที่แสนอ่อนโยนคู่นั้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทั้งหมดที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
"อาร์ม...หนึ่งรักอาร์มนะ"
ม่านน้ำตาเอ่อกบภาพทุกอย่างที่มองเห็น มือที่สั่นเทายกขึ้นแล้วปาดเช็ดความเอ่อชื้นให้หมดไป
และเมื่อทุกอย่างกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ภาพคนตรงหน้าก็พลันเลือนหายไปพร้อมกับรอยยิ้มที่กรุ่นอยู่ในหัวใจที่แหลกสลายของพิธาน
ฝนกลายเป็นเพียงเศษซากที่ท่วมขังบนพื้นถนน ตรีลัดเลาะออกมาจากสตูดิโอแล้วเดินเบี่ยงไปยังที่จอดรถที่ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร ด้านข้างเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เดินเคียงมาด้วยกัน แม้จะเป็นเวลาที่มืดแล้วแต่อากาศก็เริ่มกลับมาร้อนอบอ้าวอีกครั้ง กลบภาพของพายุฤดูร้อนที่หอบฝนฉ่ำเย็นมาทั้งวันชนิดไม่เหลือเค้า
"สงกรานต์คุณมีแผนจะไปเที่ยวไหน" ดนัยถาม
คนที่ผิวขาวอย่างกับไม่เคยต้องแดดยักหัวไหล่ไปมา "ถ้าคิดจะชวนเดตละก็ คงต้องขอโทษด้วย ผมมีงานต้องทำ"
เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ จากคนที่ตั้งคำถาม สักพักดนัยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง "เปล่าครับ แค่ถามเฉย ๆ ผมเองก็ต้องทำงาน"
"แล้วคนธรรมดาสามัญแบบคุณไม่ไปเที่ยวกับแฟนแบบคนธรรมดา ๆ เขาทำกันเหรอ"
"ผมไม่มีแฟนครับ" เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มชนิดที่อากาศอบอ้าวของฤดูร้อนปีไหน ๆ ก็ไม่ร้ายกาจเท่า "ยังโสด"
ตรี พงษ์พิพัฒน์กระแอมอย่างไว้ฟอร์ม จะมาเสียท่ากับคนธรรมดาสามัญแบบนี้เห็นจะได้เป็นที่ครหา
"นี่คุณคงเห็นว่าผมไม่แฟนสินะ ถึงได้เลียนแบบ"
แต่คนฟังดูจะไม่สนใจกับท่าทางที่บรรจงประดิษฐ์ประดอยมาอย่างภูมิฐานแม้เพียงน้อยนิด เขาแค่เดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอ "อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องความรัก คนที่อยู่ในวัยทำงานก็แบบนี้แหละ งานมาก่อน แล้วบางที...ความรักก็มาจากงานนี่แหละ"
หัวใจของตรี พงษ์พิพัฒน์อุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ "ฟังดูดีนะ"
ดนัยส่งยิ้มอีกครั้ง คราวนี้เขายักคิ้วให้อีกข้างแบบคนมีอารมณ์ขัน
"คนกรุงเทพก็แบบนี้แหละครับ"
Finis