ปฏิญญาที่ ๑๔
โองการใหม่มอบให้ส่งบัญชา
กรีดใจเจ้าจันทราให้ชุ่มเลือด
รับฟังแล้วกายาเหมือนแห้งเหือด
อยากขอเชือดตัวตายในบันดล
หมอหลวงถูกตามตัวมาอย่างว่องไว ก่อนที่ทั้งพระตำหนักจะเข้าสู่ความวุ่นวาย เมื่อหมอหลวงสังการลงมาให้เตรียมห้องเพื่อนใช้ในการประสูติการของขัตติยวงศ์องค์ใหม่อย่างเร่งรีบ
องค์ชายสุริยภาสวรถูกสั่งให้ออกมารอข้างนอกกับพระบิดา พระมารดา และเสด็จพี่ของพระองค์ พระพักตร์หล่อเหลาฉายแววกังวลอย่างเปิดเผย
“ภาสวร เจ้าไม่ต้องเคร่งเครียดกังวลไป ศศินคคนานต์กับลูกจะต้องไม่เป็นอะไรเป็นแน่”พระมารดาแห่งอุษณกรเข้ามาปลอบโยนพระโอรสของพระนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แต่ศศินดูเจ็บปวดยิ่งนัก...”
“เจ็บคลอดก็เช่นนี้ มิได้เกิดอะไรร้าย ๆ หรอก คราที่แม่จะคลอดเจ้า แม่ก็เจ็บเช่นเดียวกัน”แขนเรียวโอบกอดบุตรชายของตนเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เจ้าทั้งสองเป็นบุรุษ มิเคยได้รับรู้ความรู้สึก มิเคยได้พบเห็นสตรียามคลอดย่อมไม่รู้เรื่องเช่นนี้ แม่เคยผ่านจุดนี้มาแล้ว เจ้าเชื่อแม่เถอะ”
ภาสวรไม่เอ่ยตอบอะไร เอาแต่มองบานประตูที่ปิดแน่นด้วยความรู้สึกที่หลายหลาก ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของชายา ยิ่งทำให้ใจที่สั่นไหวอยู่แล้วนั้นสั่นคลอนเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก
หนึ่งวินาที เหมือนหนึ่งปี กว่าจะผ่านพ้นไปนั้นเชื่องช้ายิ่ง นางกำนัลวิ่งเข้าออกเป็นว่าเล่น ยิ่งได้เห็นน้ำที่เป็นสีแดงนั้น ยิ่งทำให้ภาสวรอยากจะวิ่งเข้าไปอยู่เคียงข้างคนรักของพระองค์
พระองค์ทรงทำได้แค่เฝ้ามองอยู่ตรงนี้เท่านั้นจริง ๆ หรือ
น่าจะมีสิ่งที่ทรงทำได้มากกว่านี้สิ... ไม่ มันต้องมีสิ
ร่างโปร่งยันหายขึ้น หมายจะเปิดเข้าไปภายในห้องที่ชายาของพระองค์กำลังให้ประสูติกาลทารกร้อย แต่ก็ถูกองค์ชายรพีธรณินฉุดรั้งเอาไว้
“น้องควรนั่งรอคอยอยู่ตรงนี้ ภาสวร พี่รู้ว่าน้องห่วง แต่นี่คือสิ่งเดียวที่น้องและทุกคนทำได้”ผู้เป็นพี่เอ่ยเสียงนิ่ง ๆ “นั่งลงเสีย น้องพี่”
สุริยภาสวรได้แต่กัดฟันนั่งลง เฝ้ามองบ้านทวารที่ปิดสนิทด้วยดวงหฤทัยที่ร้อนรนดังมีไฟแผดเผาให้รู้สึกปวดร้าวอยู่เป็นระรอก
ยิ่งยามที่ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ฟังดูเจ็บปวดยิ่งนัก พาลให้พระองค์อยากที่จะพุ่งตัวเข้าไปหาชายาที่อยู่ภายในยิ่งขึ้นไปอีก
ถ้ามิมีมืออันอบอุ่นของพระมารดาฉุดรั้งเอาไว้ และคำของผู้เป็นพี่คอยปลอบประโลมใจให้นิ่งสงบขึ้น... เพียงเล็กน้อย
ความชุลมุนยิ่งเพิ่มพูนเมื่อเด็กน้อยจะออกมาดูโลก นางกำนัลน้อยใหญ่วิ่งเปลี่ยนน้ำในกะละมังทองเหลืองวุ่น เสียงร้องของศศิน เคล้าเสียงของหมอหลวงดังเป็นระรอก..
ก่อนที่ทุกอย่างจะนิ่งสงบไป
พร้อมกับเสียงร้องของเด็กที่ลอดออกมาให้ผู้เฝ้ารอได้ยินยล เสียงที่แทรกลึกเข้าไปในหัวใจของผู้เป็นเครือญาติ ดังน้ำทิพย์ชโลมจิตใจให้ชื้นชุ่ม
หมอหลวงเปิดบานประตูออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญทุกพระองค์ให้เข้าไปข้างใน
“เป็นโอรสพะยะค่ะ ฝ่าบาท... อย่าเพิ่งทรงอะไรมาก องค์ศศินยังต้องอยู่ไฟอีกระยะหนึ่งนะพะยะค่ะ”หมอหลวงทูลต่อองค์ชายสามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม กึ่งยินดี
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านมาก”ร่างโปร่งก้าวเข้าไปหาอีกคนที่นั่งพิงหมอนนุ่มอยู่บนแท่นบรรทม โดยมีนางกำนัลคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
ทารก น้อยตัวแดงเล็กน่ารัก
เจ้าดวงพักตร์อิ่มเอมดูผ่องใส
ลูกน้อยเจ้าน่าชังเสียกระไร
สายคล้องใจพ่อและแม่เจ้าลูกยา
นางกำนัลสาวช่วยประคองโอรสน้อยให้อยู่ในอ้อมแขนของพระมารดา ศศินและภาสวรมองเด็กตัวน้อยด้วยความรักที่เปี่ยมล้น
"เดี๋ยวข้าช่วยประคองเจ้าเอง ศศิน"อ้อมกอดอันอบอุ่นโอบร่างเพรียวและลูกเอาไว้ด้วยความรัก "เจ็บมากไหมเจ้า"
"เจ็บจนแทบขาดใจ แต่เรายินดีนัก ที่จะรับมัน"รอยยิ้มซีดเซียวแย้มให้กับสวามี "โอรสของเราน่ารักน่าชังนัก ภาสวร"
"ใช่แล้ว ศศิน"โอษฐ์อุ่นกดจูบหนัก ๆ ที่ขมับชื้นเหงื่อ พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นอ่อนโยนให้กับคนในอ้อมแขน "เจ้าเก่งมาก ที่รัก"
กลิ่นอายแห่งรักอบอวนไปทั่วทั้งห้องกว้าง นางกำนัลที่ได้เฝ้ามองต่างพากันยิ้มอย่างปลาบปลื้มยินดี แต่ก็มีบุคคลหนึ่งที่มองภาพตรงหน้าอย่างเจ็บปวด...
หลายวันผ่านพ้น ทั้งวังหลวงแห่งอาณาจักรอุษณกรนั้นต่างมีแต่รอยยิ้มที่เปลี่ยมสุข เมื่อโอรสน้อยถือกำเนิดขึ้น ของขวัญจากประชาชนที่อยากถวายให้นั้นถูกส่งเข้ามาไม่ขาด...
มากมายนัก... นี่ยังไม่รวมของขวัญจากดินแดนเพื่อนบ้านเลย
"เสด็จพ่อ... เหตุใดท่านถึงยกศศินให้ภาสวร มิใช่ลูกหรือพะยะค่ะ"อยู่ ๆ องค์รพีธรณิณก็เอ่ยถามพระราชบิดาขึ้น ครั้งเมื่ออยู่กันสองต่อสอง
"เพราะภาสวรเป็นคนเจ้าสุริยา ตามคำทำนายอย่างไรเล่า รพี"ผู้เป็นพระบิดาตอบกลับด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม สดใส
"แต่ตัวลูกก็เป็นดวงสุริยะแห่งอุษณกรเช่นกัน"รพีธรณิณค้านวาจาผู้เป็นพ่อ ด้วยเสียงเครือ "ลูกถือกำเนิดในวันที่ดวงอาทิตย์ฉายแสงกล้า อีกทั้งยังตกฝากเวลาที่ดวงตะวันนั้นอยู่เหนือหัว เสด็จพ่อ ท่านทราบได้อย่างไรว่าผู้ที่อยู่ในคำทำนายนั้นเป็นน้องภาสวร มิใช่ลูก"
องค์อินทัชนิ่งเงียบไปในบันดล จริงเสียด้วย พระองค์ทรงคำนึงถึงแต่พระอาทิตย์ทรงกลด มิได้เฉลียวใจอันใด... แล้วถ้าผู้ที่อยู่ในคำทำนายนั้นมิใช้โอรสองค์รองที่กำเนิดจากพระมเสีอย่างที่ทรงคิดเล่า
ทรงพลาดเสียแล้ว...
ทางแก้ล่ะ...
จริงสิ...
"ข้าจะให้ศศินคคนานต์มีโอรสกับเจ้าอีกองค์หนึ่ง รพีธรณิณ"
สายขัตติยวงศ์องค์น้อยช่างแข็งแรง เป็นที่ชื่นใจของผู้เฝ้ามองนัก รอยยิ้ม ความสุขอบอวนไปทั่ววังหลวง ไม่ทันไรก็ผ่านมานานนับเดือน
งานเฉลิมฉลองทั่วทั้งอาณาจักรถูกจัดขึ้นในวันที่เด็กน้อยนั้นเจริญวัยครบ 50 วัน แต่ก็จัดอย่างเรียบง่าย เพราะองค์ชายสุริยภาสวร และองค์ศศินคคนานต์นั้นทูลขอเอาไว้
แต่กระนั้นก็จะจัดอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อองค์ชายน้อย สุริยมาส มีอายุครบขอบปี
และห้ามมีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น
เป็นการยื่นคำขาดสุดท้ายจากผู้ปกครองแผ่นดินอุษณกรแห่งนี้
หลังจากที่ผ่านการฉลองครบ 50 วันขององค์ชายน้อยไปด้วยดี องค์กษัตริย์แห่งอุษณกรก็ทรงมีพระราชโองการถึงพระมารดามือใหม่ โดยมิฟังเสียงค้านขัดของโหราห์แห่งเมืองนอนแม้เพียงคำ
"มีพระราชโองการมาถึงองค์ศศินพะยะค่ะ"องครักษ์คู่กายราชาวัยกลางคนก้าวเข้า มาในตำหนักขององค์ชายสามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก กับสิ่งที่จะต้องเกิด ตัวเขาเองยังไม่เห็นด้วยเลย นับประสาอะไรกับองค์ศศินที่จะเป็นผู้รับวิบาศกรรมนี้เล่า
จะไม่ตกใจจนสิ้นสติหรือ
ศศินส่งโอรสน้อยในอ้อมกรให้กับแม่นม ก่อนที่จะรับเอาพระบรมราชโอการนั้นไปเปิดอ่าน โดยมีองค์ภาสวรนั่งอยู่เคียงข้าง
ทั้งสองพระองค์กวาดตาอ่านข้อความภายในอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะชะงักค้าง กายแข็งทื่อ พระราชสารในมือร่วงหล่นลงพื้นไป
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร”ภาสวรตะโกนก้องตำหนักด้วยความเกรี้ยวกราด “เสด็จพ่อทรงทำเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน!!!”
“ตามที่เขียนเอาไว้นั่นแหละ ภาสวร”ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นพระราชบิดาก้าวเข้ามาอย่างองอาจ “ศศินจักต้องมีพระโอรสกับรพีธรณินอีกองค์หนึ่ง”
“ด้วยเหตุใดเสด็จพ่อ ศศินเป็นชายาของลูก เหตุใดท่านถึงมีพระราชโองการเช่นนี้ออกมาได้”องค์ชายตรัสถามผู้เป็นพอเสียงดวง ดวงเนตรสั่นระริกด้วยความโกรธ สับสน เสียใจ
“เพื่อความรุ่งเรืองของอาณาจักรของเรา เรื่องแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยนัก”องค์อินทัชตรัสด้วยสุรเสียงเยียบเย็น “หลังจากนั้นพวกเจ้าจะอยู่กินอย่างไรก็ตามแต่ใจ”
“แต่...”
“นี่เป็นคำสั่ง เจ้ามิมีสิทธิ์ขัด รู้ไว้ สุริยภาสวร”เสียงที่ตอกกลับมานั้นเปรียบดังแท่งน้ำแข็งแทงเข้ากลางใจสองดวง “ข้าหวังว่าเจ้าคงรู้หน้าที่ ศศิน”
เมื่อทรงตรัสจบ ก็เสด็จกลับไปในทันที โดยมิหันมามององค์ชายทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
“ศศิน... เรา... เราหนีไปด้วยกันไหม”ภาสวรเอ่ยถามคนรักด้วยน้ำเสียงและแววตาที่มุ่งมั่น “ข้าจะดูแลเจ้ากับลูกเอง... เช่นนั้น...”
“ภาสวร... สุริยมาศยังเล็กเกินกว่าที่จะออกไปลำบาก”เสียงที่ตามกลับมาช่างแหบพร่าและสั่นเครือ “เรา... เรากลัวลูกจะเป็นอะไร”
“เช่นนั้นแล้ว... เจ้าจะยอมให้เสด็จพี่กอดเจ้า มีโอรสกับเจ้าเช่นนั้นหรือ...”
“ถ้านั่น... ทำให้ลูก และท่านปลอดภัยแม้จะเจ็บเจียนตาย เราก็จำต้องทำ”รินโอษฐ์บางสั่นระริก ศศินเอื้อมกายขึ้นจุมพิตริมฝีปากเรียวเบา ๆ “ท่านจะรังเกียจเราไหม...”
“ไม่ ข้าไม่มีวันรังเกียจเจ้า”พระกรแกร่งตวัดกายบางเมาโอบรัดเอาไว้อย่างหวงแหน “ข้า... ข้าจะทนได้อย่างไร จะทนให้เจ้าต้องอยู่ใต้ร่างชายอื่นได้อย่างไร... เกียรติของเจ้า ศักดิ์ศรีของเจ้า ข้า... ข้า”
“ภาสวร... เราเป็นบุรุษ การที่ตั้งครรภ์ได้ การที่อยู่ใต้ร่างผู้อื่น ก็เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรีมากแล้ว... จะเพิ่มไปอีกสักอย่างคงมิเสียหายอะไร”เอ่ยเองก็กรีดใจตัวเอง ใช่ เรื่องพวกนั้นพระองค์ทิ้งมันไปหมดนับตั้งแต่วันที่ตกเป็นของชายตรงหน้าแล้ว...
“ศศิน...”
“ครานี้ เราจะปกป้องท่านและลูกของเรา สุริยภาสวร”
ในคืนนั้น ศศินคคนานต์จักต้องก้าวไปยังสถานที่ ที่ไม่เคยคุ้น สถานที่ ที่มิทรงคาดคิดว่าจะต้องเข้ามา อย่างตำหนักต้องห้าม... ตำหนักของนางห้าม
เพื่อไม่ให้เรื่องที่พี่น้องมีเมียเดียวกันแพร่งพรายออกไป...
“ข้าเฝ้ารอวันนี้ รู้ไหม เจ้าจันทร์น้อย”เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนเมื่อคราที่เคยได้สนิทสนม แต่ครั้งนี้กลับฟังแล้วเสียใจยิ่งนัก “ข้ารอที่จะได้กอดเจ้า มีเจ้าข้างกายอยู่ตลอด ศศิน”
“จะทรงทำก็รีบเข้าเถิด ฟ้าสางเมื่อใด กระหม่อมต้องรีบกลับไปหาพระโอรส”คำหวานที่ฟังรื่นหูนั้นผ่านเลยไปอย่างไม่คิดจะใส่ใจ
”มิเห็นต้องรีบเร่งอันใดเลย...”ถึงปากจะพูดเช่นนั้น แต่หัตถ์หนากลับค่อย ๆ ปลดผ้าผ่อนที่ร่างเพรียวนั้นใส่สวมมา “งามเหลือเกิน เจ้าจันทรา”
ร่างของศศินเอนกายลงบนพระแท่นนุ่มตามแรงของผู้ชักนำ กายเปล่าเปลือยแนบชิดกันถ่ายทอดไออุ่น
ยามที่ขาเรียวถูกแหกกว้าง ศศินนั้นได้แต่เบือนหน้ามองไปทันบัญชรที่เปิดกว้าง มองดวงจันทร์ที่ทอแสงอ่อน ดูมืดมัว
เหมือนรับรู้ถึงความทุกข์ของเขา
ยามที่ลึงค์อุ่นร้อนแทรกเข้ามาในกาย เหมือนมีเข็มอาบยาพิษแทงเข้าไปในหัวใจดวงน้อย หยาดน้ำตาไหลรินลงมาเงียบ ๆ เคล้าเสียงครางแหบ
เจ็บปวดนัก... ที่ดวงหฤทัยดวงนี้
เจ็บปวด... จนอยากจะตายจากไปให้พ้น ๆ เสียจริง
ภาสวร... เราขอโทษ...
++++++++++++++++++
มาต่อแล้วค้าา ช้าอีกแล้ว TT แต่งยากจริง ๆ ตอนนี้ หาเวลามาต่อได้จนจบสักที (คนเขียนเพิ่งปิดเรียนซัมเมอร์ของมหาลัยค่ะ ^^)
มาต่อก็พาเรื่องปวดใจมาเลย... อย่าเพิ่งปาอะไรใส่คนเขียนนะคะ TT โดยเฉพาะทุเรียน
แต่งไป ปวดใจไป แต่งเอง วางเรื่องเองแท้ๆ TT // จะแก้ก็แอบขี้เกียจวางเรื่องใหม่ แต่งกลอนใหม่... ทำใจกันต่อไปนะคะ
ถ้ามีคำผิดตรงไหน แจ้งได้เลยนะคะ (เพิ่งแต่งจบบท ลงเลย อาจจะมีคำผิดบ้าง เบลอบ้างน่ะค่ะ)

มีใครคิดถึง หญิงศรบางไหมเอ่ยย
ขอตอบหน่อยนะคั เรื้องนี้เป็นเรื้องหนึ่งที่เราติดตาม มันน่านสนุกค่ะ แต่หลังจากเจอพล็อตโอเคมันพลิกแนว แต่เราเฉยๆะค่ะ พอคาดได้อยู่แล้วว่ามันไม่ง่าย เนื้อเรื่องเริ่มไม่ต่อเนื่อง มันกระจัดกระขายมากขึ้น ยอมรับค่ะว่าเสียความรู้สึกค่ะ คือสุขยังไม่ทันโอเคเศร้ามาต่อ มันเป็นพล็อตแล้วแต่ผู้เขียนที่จเขียน แต่เราคงโบกมือลาค่ะ ไม่ไหว เพราะดราม่าจริงแต่ยังไม่คั้นอารมณ์เราไม่เท่าไร เหตุผลมันดูไม่ต่อเนื่องด้วยค่ะ
ขอยคุณนะคะ ที่อ่านมาถึงตอนนี้ ^^
ต้องยอมรับค่ะว่าบางช่วงคนเขียนเองก็ยังต่อเรื่องไม่ดี บางช่วงตัดตอนไปแบบไว ๆ (ต่างจากจ้าวหัวใจ จอมใจจักรพรรดิที่เคยลง อันนั้นยืดยาวเลยทีเดียว 555) ยิ่งตอนนี้ แต่งในมือถือ กะว่าจะไปขยายความในคอม ก็ไม่ได้ทำ เพราะเห็นว่าดองนานมากแล้ว... (อันทีี่จริงเรื่องนี้วางพล็อตไว้ตอนมัธยม มาเขียนค้างเอาไว้ถึงตอนที่ศศินและภาสวรมีอะไรกัน(แต่งกลอนทิ้งไว้) และมาต่อตอนต่อ ตอนมหาลัย พล็อตครึ่งหลังหายไปกับกองหนังสือเรียนจนต้องมาต่อใหม่(ทำให้ช่วงที่ศศินซื้อใจภาสวรได้หายไป...) แล้วก็หายอีก เพิ่งแต่งออกมาใหม่ค่ะ บอกตรง ๆ ว่าเคว้งจนจะไม่ต่อแล้ว ในตอนแรก แต่ใจยังนึก ยังมีคนรออ่านอยู่นะ เลยทำให้เป็นส่วนที่ช่วงแรกช่วงหลังเริ่มกระจายหนัก กับพล็อตที่วางใหม่ถึง 3 รอบ ขออภัยค่ะ) และอาจจะด้วยเป็นคนที่ยังเขียนสื่ออารมณ์ได้ไม่ดีนัก จึงทำให้ไม่สุดในหลาย ๆ เรื่อง ขอขอบคุณสำหรับคำติชมนะคะ ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันในเรื่องหน้าค่ะ
สำหรับใครที่ได้อ่านตรงนี้ และจะติดตามอ่านต่อ เนื้อเรื่องจะไม่มีพลิกแล้วนะคะ ไม่ได้ยกให้ใครแล้วนะคะ เนื้อเรื่องจะไปต่อทางตรงแล้ว ยังไงศศินก็กลับไปอยู่กับภาสวรเหมือนเดิม แต่เรื่องจะไปจนจบยังไง ติดตามต่อนะคะ อีก 6 บทก็จะจบแล้วค่ะ
อาจจะดูเหมือนไม่ตั้งใจแต่งเท่าจ้าวหัวใจ จอมใจจักรพรรดิ (ถ้าเคยอ่านกัน) แต่ขอบอกเลยนะคะ ว่าสุริยายอแสงนี้ คนเขียนทุ่มเทในการเขียนไม่น้อยกว่าเรื่องอื่น ๆ ค่ะ โดยเฉพาะในด้านภาษา จริงๆคนเขียนเป็นคนที่ไม่ได้ชอบอ่านพวกวรรณคดี โคลงกลอน พวกนี้เลย (ชอบแฟนตาซี...) อาจจะมีจุดพลาดมากมาย แต่จะขอปรับปรุงต่อไปนะคะ // แต่คงไม่มีแนวนี้ออกมาแล้วล่ะค่ะ (แต่จะต่อจ้าวหัวใจให้จบนะคะ... ถ้ามีคนอ่าน555) จะหันไปเอาดีแนวอื่นบ้าง แนวนี้พอแนวเรื่องที่วางไว้หายก็ไปไม่ถูกจริง ๆ TT (พูดตรง ๆ ก็คงต้องบอกว่า แอบท้อแล้ว ท้ออีกล่ะค่ะ)