ปฏิญญาที่ ๑๒กลิ่นเหม็นหืนชวนองค์เหียนอาเจียน
ร่างนวลเนียนเซียวซีดทรุดลงหน้า
บานทวารไร้แรงเรี่ยวซึ่งกายา
โปรดใครมาช่วยข้าให้ปลอดภัยร่างสูงโปร่งยันกายขึ้นจากขอบสระเล็ก ๆ ในห้องสรง นางกำนัลตรงปรี่พากันเอาผ้ามาเช็ดพระวรกายให้ ก่อนที่จะสวมชุดทรงอย่างนุ่มนวล
“เรียบร้อยแล้วเพคะ”เสียงหวานเอ่ยทูลต่อผู้เป็นนายเมื่อจัดชุดทรงเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ทรงดูยิ้มแย้มกว่าปกตินะเพคะ มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือเพคะ”
“ข้าดูมีความสุขขนาดนั้นเลยหรือ”เสียงทุ้มหวานเอ่ยถามกลับ ก่อนที่จะทรงหันพระวรกายไปหานางกำลังคนสนิท “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก ข้าเพียงรู้สึกดีก็เพียงเท่านั้น”
“โถ่ หม่อมฉันก็คิดว่าองค์สุริยภาสวรทรงทำอะไรให้พระองค์รู้สึกเปรมปรีดิ์เสียอีก”นางทำหน้าผิดหวังน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างร่าเริง “ช่างเถอะเพคะ หม่อมฉันรอดูวันอื่น ๆ ก็ได้เพคะ”
“เจ้านี่นะ... หวังอะไรกันอยู่กันแน่”
“องค์ศศินเพคะ”นางกำนัลอีกนางหนึ่งก้าวเข้ามา พร้อมด้วยถ้วยที่พระองค์เริ่มรู้สึกเกลียดมันขึ้นมาไม่น้อย... “โอสถเพคะ”
“ต้องดื่มมันไปอีกนานแค่ไหนกันนะ”รำพึงเบา ๆ กับองค์เองก่อนที่จะทรงรับถ้วยโอสถมาดื่มแต่โดยดี คราแรกที่ได้ลิ้มสัมผัสก็รู้สึกกว่าขมอยู่หรอก... แต่ให้ดื่มทุกวันเช่นนี้ก็ทรงชินไปเสียแล้ว “ขอบใจเจ้ามาก”
“มิเป็นไรเพคะ องค์ชาย”นางถดกายคลานออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วอย่างนอบน้อม
“จะทรงเสด็จไปไหนก่อนไหมเพคะ”นางกำนัลประจำองค์ทูลถามเสียงใส ถึงแม้นจะทรงเป็นดั่งเชลย แต่ก็เป็นเชลยที่มีสิทธิ์จะไปไหนมาไหนภายในวังแห่งนี้ได้ตามอำเภอใจ โดยที่จะต้องอยู่ในสายตาของนางกำนัลและทหารภายในวัง...
ก็ยังดีกว่าโดนกักขังไว้ในตำหนัก...
“คงยังไม่ได้หรอก...”ถ้าทรงเสด็จไปตอนนี้แล้วสุริยภาสวรตื่นขึ้นมาไม่พบพระองค์ เดี๋ยวจะวุ่นวายกันอีก...
“อ่อ... องค์ชายสุริยภาสวรยังมิทรงตื่นบรรทมสินะเพคะ พระองค์จะทรงรอองค์ชายให้แต่งองค์เรียบร้อยก่อน ถึงจะทรงเสด็จออกไปใช่ไหมเพคะ”นางพูดด้วยเสียงกระเซ้า เย้าแหย่ ถ้าเป็นนายคนอื่นคงได้โดนโบยไปแล้วเป็นแน่... โชคดีนักที่ได้องค์ชายต่างเมืองผู้นี้เป็นนาย
“เจ้านี่นะ...”มิทรงตอบคำถาม แต่ทรงเสด็จกลับไปที่ห้องบรรทมแทนคำตอบ
ผิดจากที่คิดเสียที่ไหนกันล่ะเพคะ
นางกำนัลคนสนิทได้แต่แอบยิ้ม นับตั้งแต่วันที่ถูกส่งมารับใช้องค์ศศิน นางรู้สึกมีความสุขนัก ที่ได้แอบมองนายทั้งสองของนางหยอดคำหวานใส่กันบ้าง แตะเนื้อต้องตัวกันบ้าง ถ้ามีองค์ชายน้อยเมื่อไหร่ ตำหนักแห่งนี้คงครื้นเครงน่าดูชมเชียว
ไปขอพรต่อทวยเทพให้ทรงมีองค์หญิงน้อย องค์ชายน้อยไว ๆ ดีกว่า
“ท่านตื่นแล้วหรือ ภาสวร”เจ้าจันทร์เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ ด้วยปกติแล้วถ้ามิทรงเข้ามาปลุก ดวงสุริยาข้างกายก็มิเคยลุกขึ้นตื่นจากนิทราเลยสักครา
“ฮืม...”ดวงตาคมปรือปรอย เกศานุ่มยุ่งฟู สุริยาภาสวรยันกายลุกขึ้นจากแท่นบรรทม โดยลืมองค์ไปว่าภายใต้ผ้าแพรที่ปิดอยู่นั่น มิได้สวมอาภรณ์ใดไว้ "ข้าต้องไปหาเสด็จพี่... ไม่รู้จักทรงเรียกทำไม”
“ก่อนที่ท่านจะไปไหน... ควรสวมใส่เครื่องทรงก่อนดีกว่า”ถึงแม้ว่าจะเห็นกันอยู่ทุกราตรี เกินเลยไปไกลแล้ว แต่ก็อดที่จะรู้สึกประหม่ามิได้...
สุริยภาสมองเหล่มองร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยสายพระเนตรกรุ้มกริ่ม ก่อนที่จะทรงฉุดเอาศศินเอามาโอบกอดและมอบจุมพิตยามเช้าให้อย่างหวานชื่น
“ชักไม่อยากไปไหนแล้วสิ”
“อย่าทำสันหลังยาว ท่านต้องไปจัดการราชกิจของท่านให้เสร็จก่อน”นิ้วเรียวบีบจมูกโด่งเบา ๆ รอยยิ้มอ่อนโยนคลี่ส่งให้อย่างเคย “เรารอท่านอยู่ที่นี่แหละ มิได้ไปไหนไกลเสียหน่อย”
“ถ้ากลับมาข้าไม่พบเจ้า ข้าจะลงโทษเจ้าให้สาแก่ใจ”ริมฝีปากอุ่นทาบทับกลีบปากนุ่มเบา ก่อนที่จะทรงไปทำกิจธุระของตน แล้วจึงเสด็จออกจากตำหนักไป
“เสด็จไหนไหมเพคะ”นางกำนัลคนสนิทคลานเข่าเข้ามาหาทันที เมื่อเห็นองค์ชายผู้เป็นเจ้าของตำหนังเสด็จออกไปแล้ว
“น้อย ดูเจ้าอยากออกข้างนอกจริงเลยนะ”พระพักตร์มนเบือนมาหานางกำนัลข้างกาย “เจ้าอยากออกไปพบผู้ใดหรืออย่างไรกัน”
“โถ่ องค์ชาย อย่าทรงทำเหมือนจับผิดหม่อมฉันเช่นนั้นสิเพคะ”นางกำนัลสาวค้อนผู้เป็นนายน้อย ๆ สองแก้มแดงปรั่ง”ก็ทรงรู้อยู่นี่เพคะ”
“รู้อะไรหรือ”รอยยิ้มบางเบาฉาบทับบนดวงหน้า ดวงตาหวานนั้นแอบแฝงด้วยแววตาที่พราวระยับ นานครั้งนักที่จะทรงหยอกผู้ใดเล่น
“องค์ชายเพคะ”
“เราไม่หยอกเจ้าแล้วก็ได้”วรกายบางลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงรู้สึกหน้ามืดนิด ๆแต่เพียงชั่วครูก็หายไป “เราจะไปเดินเล่นในสวนเสียหน่อย เจ้าจะไปพบใครก็ไปเถอะ”
“เพคะ”
สุริยภาสวรเดินตรงไปยังตำหนักของผู้เป็นพี่อย่างเร่งรีบ หมายมั่นในพระทัยว่าจะทรงรีบทำกิจทั้งหลายให้เสร็จแล้วจะรีบกลับไปยังตำหนักของพระองค์
“เสด็จพี่ทรงเรียกน้องมี มีอะไรหรือพะยะค่ะ”ร่างสูงนั่งลงบนพระที่นั่งตรงข้างผู้เป็นเชษฐาอย่างสบาย ๆ นัยเนตรกวาดมองฎีกาที่อยู่บนโต๊ะ ก็มิได้มากมายอันใด...
“เดี๋ยวนี้ถ้าพี่ไม่เรียก เจ้าก็มิมาให้เห็นหน้าเลยนะ ภาสวร”รพีธรณินวางของในมือลง ก่อนจะเงยพักตร์ขึ้นสบหน้าอนุชา "ศศินช่างเก่งกาจยิ่งนัก ที่ทำให้น้องชายของพี่อยู่ในกำมือของเขาได้”
“เจ้าพี่ก็ทรงพูดเกินไป”แม้นจะเป็นเรื่องจริงแท้ แต่จักให้ยอมรับกันเลยคงมิได้ เพียงแค่นี้ก็เสียเชิงองค์ชายมากรักไปไม่น้อยแล้ว
“งั้นรึ”องค์รัชทายาททรงยิ้มขำ ดวงเนตรคมจับจ้องน้องของตนอย่างรู้ทัน “ขนาดแม่นางนลินประไพคนโปรดของเจ้า เจ้ายังละทิ้งเพื่อไปตามศศินได้ เช่นนี้หรือ ไม่อยู่ในกำมือของเจ้าจันทรา”
“น้องเพียงมิอยากให้เขาต้องเสียใจ”
“รักมากหรือ”
“น้องมิรู้... ถ้าการที่ไม่อยากห่างไกลกัน ไม่อยากให้ใครมองเห็นศศิน ไม่อยากให้ศศินมองผู้ใด ถ้าไม่มีเขาน้องก็มิอาจหลับนอน มิได้พบหน้าก็รู้สึกไม่อยากอาหาร ถ้าเช่นนี้เรียกได้วารักมาก... ก็คงเป็นเช่นนั้น”สุริยภาสวรตอบกลับอย่างสัจจริง
รพีธรณินทอดพระเนตรมองอนุชาด้วยวามรู้สึกที่หลายหลากนัก...
ในคราแรกพระองค์คิดไว้ว่าถ้าศศินอยู่กับภาสวรแล้วไม่มีความสุข จะทูลต่อเสด็จพ่อให้ยกศศินมาให้พระองค์... แต่เจ้าจันทร์ก็มีรอยยิ้ม
ในคราต่อมาก็ทรงคิดว่าถ้าภาสวรยังรักในแม่นางนลินประไพ ก็จะทรงรอให้ศศินมีโอรสอย่างที่เสด็จพ่อต้องการแล้วขอตัวเขากลับคืนมาให้อ้อมแขนนี้
แต่ภาสวรรักศศิน...
ในขณะเดียวกันศศินก็รักภาสวร
ทั้งสองรักกันก็เป็นเรื่องน่ายินดี...
แต่พระหฤทัยของพระองค์เล่า... จักต้องเจ็บอยู่แบบนี้ต่อไปเช่นนั้นหรือ... ใจเมื่อพระองค์ก็ทรงชอบพอในตัวของเจ้าศีตภาเช่นกัน
มันไม่มีหนทางใดที่จะทำให้ศศินมารักในตัวพระองค์ได้เลยหรือ... แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น อนุชาที่รักของพระองค์คงจักต้องเจ็บปวดเป็นแน่...
จะทรงเป็นพี่ที่ใจดำทำร้ายน้องของตัวได้ลงหรืออย่างไร...
พระองค์ต้องทนเจ็บเช่นนี้อย่างนั้นหรือ...
“เสด็จพี่ เสด็จพี่พะยะค่ะ”สุริยภาสวรร้องเสียพระเชษฐาของพระองค์อยู่หลายครั้ง “ทรงเป็นอะไรหรือพะยะค่ะ เสด็จพี่”
“ไม่มีอะไรหรอก...”
ศศินคคนานต์เดินอย่างเชื่องช้าในสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้ พืชพรรณต่าง ๆ ที่ถูกจัดแต่งอย่างงดงาม มีบ่อน้ำเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกล น้ำนั้นใสจนเห็นก้นบ่อ มีหมูมัจฉาแหวกว่ายอย่างเริงรื่น
หมู่มัจฉาสีสันงามจับตา
ว่ายแหวกมาผ่านไปในวารี
เจ้าช่างดูเริงรื่นล้นสุขี
พาลข้านี้ยิ้มตามอย่างเริงใจ
ทรงประทับมองมวลนกที่โผบินอยู่บนท้องนภา ฝูงปลาที่แหวกว่ายในน้ำอยู่พักใหญ่ ตะวันเริ่มทอแสงแรงขึ้น จึงทรงตัดสินใจกลับเข้าตำหนัก
วันนี้แปลกประหลาดนัก คราที่สองแล้วที่ทรงลุกแล้วรู้สึกเวียนศีรษะ แต่ก็ยังทรงประคององค์เดินกลับเข้ายังตำหนักได้อยู่
กลิ่น...
กลิ่นอะไร... เหตุใดช่างชวนเหียนเช่นนี้ ชั่วยามที่แล้วยังมิมีกลิ่นเช่นนี้เลยมิใช่หรืออย่างไรกัน
มึน... มันหัวยิ่งนัก ยิ่งก้าวเข้ามาในตำหนักลึกขึ้นเท่าไหร่ กลิ่นที่รบกวนนั้นยิ่งแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ร่างเพรียวทรุดลงหน้าบานทวารของห้องบรรทม พระองค์ทรงไร้เรี่ยวแรงที่จะเปิดเข้าไปแล้วจริง ๆ ยิ่งสูดดมกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นี้ ยิ่งทำให้ทรงรู้สึกคลื่นเหียนยิ่ง
แต่จะทรงอาเจียนออกมาก็มิมีอะไรจะออก...
“ภาสวร... ช่วยเราด้วย”เสียงหวานอ่อนระโหยครางแผ่วเบา หวังให้คนรักที่ทำงานอยู่มาช่วยพระองค์ให้พ้นจากความกระอักกระอ่วนแสนอึดอัดนี้
สติที่พยายามประคองไว้นั้นเริ่มหดหายลง ความมืดมิดเริ่มเข้ามาแทนที่ แต่ก่อนที่จะทรงสิ้นสติได้ ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นลั่น
“ศศิน”องค์ภาสวรที่เพิ่งเสด็จกลับมาถึงร้องลั่นพระตำหนัก ร่างสูงโปร่งวิ่งเข้ามาโอบอุ้มชายา (ที่ยังมิได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ) ของตนขึ้นอย่างร้อนรน “เจ้าสม ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้ เร็ว”
“พะยะค่ะ”ทหารผู้ติดตามคนสนิทวิ่งออกจากพระตำหนักไปอย่างรวดเร็ว โดยมิสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม แม้นจะเจอขุนนางที่ศักดิ์ใหญ่กว่าสักเพียงไรก็ตามที
องค์ชายรองทรงพาร่างที่ซีดเซียวห้องบรรทมไป ก่อนจะทรงค่อย ๆ วางร่างที่ไร้เรี่ยวแรงลงบนพระแท่นอย่างนุ่มนวล
“อย่าเป็นอะไรไปนะ ศศิน”
หมอหลวงที่สมไปตามนั้น วิ่งพรวดพราดมาอย่างรวดเร็ว โดยมิห่วงซึ่งภาพลักษณ์และสังขารของตน แม้นจะรู้สึกเหนื่อย แต่ชีวิตคนสำคัญที่สุดสำหรับเขา
“ท่านหมอ ศศินเป็นอันใดหรือ”เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อหมอหลวงวัยกลางคนค่อนไปทางปลายจับชีพจรของครึ่งชีวิตของพระองค์เสร็จ
“องค์ศศินมิได้เป็นอัดใดหรอกพะยะค่ะ องค์ชาย”รอยยิ้มยินดีฉาบทับบนใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยที่ล่วงเลย “ยินดีด้วยนะพะยะค่ะ องค์ศศินทรงตั้งพระครรภ์แล้วพะยะค่ะ”
“ตั้งครรภ์!!”
#################
มาแล้วค้าาา แต่งเสร็จลงเลย เจอคำผิดบอกกันได้ค่ะ
ตอนหน้าจะเป็นตอนแทรก ในช่วงเวลาที่ศศินเข้ามาอยู่กับภาสวรใหม่ ๆ นะคะ ^^ (เตรียมเชือด)
ค่อย ๆ เข็นออกมา แฮร่
โค้งต่อไป... ไม่หลุดไปจากที่คาดกันหรอกค่ะ อยู่แถว ๆ นั้นแหละ แต่สุดท้ายก็คู่กับภาสวรอยู่ดี...
// รพีมีบทแล้วนะคะ 55555
ปล. ฉาก... อยากอ่านเป็นบทความหรืออ่านเป็นกลอนดีคะ 5555 (เจอต้อนก่อนไปแล้วบทนึง... อ่านรู้เรื่องไหมคนแต่งไม่รู้ ไม่กล้าให้เพื่อนดูตอนที่แต่งเสร็จในคาบฟิสิกส์...)
ปล.2 เรื่องต่อไปจะแต่งแนวมหาลัย(ทำหน้ามุ่งมั่น) >>> ไร้ซึ่งความถนัดในแนวนั้น T^T (เอาจ้าวหัวใจ จอมใจจักรพรรดิให้จบก่อนดีกว่าไหม มิดไนท์ เอิ๊ก)
//เพ้อตอนตีสาม...