บทที่ 9 (ต่อ)
“ก็เลยจับไอ้ขาวไปทำหมันเลยสินะ”
“ครับ”
คิมหันต์หัวเราะเอิ๊กอ๊าก หลังจากนั่งโม้กับอีกฝ่ายอย่างถูกคอได้พักใหญ่ เหลือบมองสามภพที่คุยกับเอกภพอยู่อีกฝั่ง ห่างกันจนไม่ได้ยินว่าพูดอะไรกันบ้าง และทางนั้นก็คงไม่ได้ยินที่เขาคุยกับวสุเช่นกัน ดูเหมือนจะเจตนาพาแยกออกไปให้เขาได้นั่งกับวสุตามลำพัง “แถมยังเอาปลาเส้นหลอกแมวลงตะกร้าอีกด้วย ร้ายใช้ได้ ฮ่า ๆ”
“ขาวเอาแต่ซุกอยู่ใต้ตู้นี่นา เหมือนรู้”
“งี้ก็ต้องฝากไว้ที่คลินิกก่อนอะดิ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก “คุณหมอแนะนำอย่างนั้นครับ พี่เอกก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
“สนิทกับพี่เอกไวเหมือนกันนี่เรา” คิมหันต์ลองพูดสะกิด ลอบสังเกตท่าทางอีกฝ่ายไปด้วย พอเอ่ยถึงเอกภพขึ้นมา แก้มขาว ๆ สองข้างก็แต้มสีชมพูระเรื่อ ดูง่ายอย่างกับอะไรดี ตอนนี้จะเกี่ยวกับเฮียใหญ่ของเขาหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่มั่นใจอย่างหนึ่ง คือเจ้าเด็กเป๋อตรงหน้านี้ ใจไปกับผู้ชายชื่อเอกภพหมดแล้วเป็นแน่
“ผมว่าพี่เอกเขาคงใจดีกับทุกคน”
“เรื่องนั้นมันก็ใช่” คิมหันต์ผงกศีรษะเออออ กระเถิบตัวเองเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มมากขึ้น ถือวิสาสะยกแขนขึ้นโอบรอบไหล่อีกฝ่ายหน้าตาเฉย แล้วยังทำเนียนเอนศีรษะไปซบอย่างกับจะอ้อนอีก ส่วนวสุก็ดูจะไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยเขานั่งแปะอยู่อย่างนั้น “แต่ระดับความใจดีน่ะ ถ้าดูให้ดีมันก็ไม่เหมือนกันหรอกนะ สังเกตไหม?”
“ผมไม่ค่อยเห็นตอนเขาอยู่กับคนอื่นด้วยสิ”
“เพราะเขาไม่อยู่กับคนอื่นไง ช่วงนี้เขาดูอยู่แต่กับนายนะ”
“อย่างนั้นหรือครับ” ใบหน้าจิ้มลิ้มของคนข้าง ๆ ดูจะดีใจปนโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ใช่สิ” คิมหันต์ยืนยัน “แล้วไอ้ดุ๊กดิ๊กล่ะ เป็นไงบ้าง”
“ร่าเริงดีครับ”
“รู้ไหม พี่ก็มีหมาโกลเด้นชื่อดุ๊กดิ๊กเหมือนกัน”
วสุพยักหน้าลอย ๆ ก่อนจะเงียบไปครู่ใหญ่ ไร้บทสนทนาใดเนิ่นนานจนผิดปกติ ตอนนี้เองที่คิมหันต์สังเกตว่าสายตาอีกฝ่ายมองเหม่อไปไกล แต่คล้ายว่าไม่ได้จับจ้องอยู่กับสิ่งใดเป็นพิเศษ อีกหลายนาทีต่อมา วสุจึงพูดต่อเสียงนุ่มนวล ทั้งยังสำเนียงละม้ายกับพี่ชายของเขาไม่มีผิด
“อยากเลี้ยงมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ”
“เอ๋?”
“โกลเด้นรีทรีฟเวอร์..ใช่ไหม”
เขาเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นกุมอก ใจเต้นแรงขนาดนี้ ไม่ได้เป็นมานานเท่าไรแล้วนะ
วสุยังคงไม่ได้มองกลับมา ขณะที่เขากระซิบตอบแผ่วเบา พยายามไม่ขัดจังหวะอาการเหม่อลอยของอีกฝ่าย
“ใช่”
“ก่อนหน้านั้นก็เคยชอบหมาโกลเด้นของเพื่อน ตัวที่ชื่อข้าวเหนียวนี่นา”
คิมหันต์จ้องอีกฝ่ายเต็มตา วสุรู้...หรืออย่างน้อยก็พูดเหมือนรู้ แม้คาดไว้แล้วว่าอาจมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแต่ก็ยังตกใจ สังเกตรายละเอียดในอากัปกิริยาทุกอย่างเท่าที่จะมีปรากฏให้เห็น ความสงสัยยิ่งขยายตัวเป็นหลุมดำขนาดใหญ่อยู่ในอก เด็กผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่นะ
“...ใช่..” ชายหนุ่มกระซิบ น้ำเสียงแหบพร่าเหลือเกิน
“ขอโทษนะ..”
“..ขอโทษทำไมหรือ?”
“ที่รักษาสัญญาไม่ได้..”
“....สัญ..ญา...”
“..ทั้งที่บอกเองว่าจะซื้อให้แท้ ๆ”
...ใจเขาเต้นผิดจังหวะ แล้วจากนั้นก็เหมือนจะหยุดลงดื้อ ๆ เลย ขณะที่ขอบตาสองข้างก็ร้อนไปหมด เหมือนมีก้อนอะไรขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ กว่าจะเอ่ยออกมาได้ทีละพยางค์ กับคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวมาหลายวัน
“...เฮีย...ใหญ่....เหรอ....”พูดได้เท่านั้นเอง แล้วคิมหันต์ก็สะอื้นออกมา ส่งเสียงเป็นภาษาไม่ได้อีกครู่ใหญ่ จากเดิมที่เขาเป็นฝ่ายคล้องแขนรอบไหล่วสุไว้ ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มหันมากอดเขา มือหนึ่งลูบแผ่วเบาบนแผ่นหลัง วิธีพูดที่ว่าคุ้นแล้ว สัมผัสยิ่งคุ้นเคยกว่า ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกแตกต่าง แต่ใครจะมีกลิ่นอายเหมือนกันได้ถึงเพียงนี้
“..เป็นใครน่ะ...” เขากัดฟันถามต่อ “...ใช่....เฮียใหญ่รึเปล่า..”
วสุโอบคิมหันต์ไว้แน่น เมื่อหลับตาลง ภาพที่เคยเห็นแค่ในฝันก็ย้อนขึ้นมาชัดเจนอยู่หลังเปลือกตา ช่วงหลังมานี้คล้ายว่าไม่ได้ปรากฏขึ้นแค่เฉพาะยามหลับอีกแล้ว แม้ตื่นลืมตาและมั่นใจว่ายังเป็นตัวเอง กลับยังรู้สึกได้อยู่เสมอว่าแบกรับความทรงจำของอีกคนหนึ่งไว้
“...ใช่..หรือเปล่า...ครับ...” คิมหันต์ถามซ้ำ เสียงแผ่วเหมือนจะขาดใจ
เด็กหนุ่มโคลงศีรษะน้อย ๆ “..ผมก็ไม่รู้ แต่คนคนนั้น...คนที่อยู่ในตัวของผม...ในหัวใจ...ในความฝัน...ในความจริง เขาคงอยากบอกพี่คิม...บอกกับตี๋เล็กของเขาว่าอย่างนี้ พี่คิมว่ามันแปลกไหม บางทีผมก็กลัวว่าผมจะเป็นบ้า ผมเหมือนเป็นวสันต์ แต่ผมก็เป็นวสุ...จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าตกลงตัวเองเป็นใครกันแน่...ความทรงจำของผมเป็นสิ่งเดียวกับของพี่ชายพี่คิมหรือเปล่า..ที่ผมพูดไป..มันใช่เรื่องเดียวกันไหม”
“...ใช่...ใช่สิ...” คิมหันต์พยักหน้า สะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง ใจเขาเชื่อไปหมดแล้ว จึงไม่รู้จะเรียกแทนตัวเองว่าอย่างไรดี “..แล้วเฮียจำผมได้ไหมล่ะ..มีผมอยู่ในฝันด้วยหรือเปล่า..”
“...มีสิ...ผมจำได้...และผมไม่อยากให้ตี๋เล็กร้องไห้เลย...พี่คิมไม่ร้องแล้วได้ไหม พอเห็นอย่างนี้แล้วก็เจ็บมาก ๆ ในอก.."
"ได้..ได้..." คิมหันต์พยักหน้า ยกมือปาดหยดน้ำบนแก้ม แต่นอกจากมันจะไม่หยุดแล้ว ยังดูเหมือนจะยิ่งหนักกว่าเก่าเสียอีก
"นอกจากพี่เอกก็ยังมีคนอื่นอีกที่ผมไม่อยากให้ร้องไห้...สา...สิ...ป๊า ม้า...ผมจะทำอะไรให้พี่ ทำอะไรให้พวกเขาได้บ้างหรือเปล่า”
“....เฮีย.....”
ชายหนุ่มน้ำตาร่วงเผาะ ๆ เหมือนเป็นเด็ก คนตรงหน้านี้เกี่ยวข้องกับพี่ชายของเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง วสุอายุใกล้สิบห้าปี พี่ชายของเขาจากไปเมื่อสิบห้าปีก่อน จะพอคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่าว่าอาจเป็นคนคนเดียวกัน กลับมามีชีวิตและลมหายใจอีกครั้งตรงหน้า อยู่เคียงข้างผู้ชายที่ตัวเองเคยรักนักหนาในอดีต
“...อยู่ด้วยกันไง...” เขาร้องครวญออกมาในที่สุด “..อย่าไปไหนอีก อยู่กับทุกคนไง อยู่ด้วยกันตลอดไป”
“ในฐานะใครหรือครับ..”
คิมหันต์เงียบไป ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจความหมายของเด็กหนุ่ม ตรงตามที่เจ้าตัวพูดต่อหลังจากนั้น
“ผมก็ยังเป็นผม...” วสุพึมพำ น้ำเสียงสลดลงจนจับสังเกตได้ง่ายดาย “...ผมชื่อวสุ...ถ้าทุกคนจะเห็นผมในฐานะตัวแทนวสันต์...ก็คง....คงทนไม่ได้...หรือทนได้ก็แค่ไม่นาน..”
“..งั้นก็เป็นวสุ” ชายหนุ่มว่า ยกมือเช็ดน้ำตาป้อย ๆ จนหมดจากใบหน้า นั่งสงบสติอารมณ์จนแน่ใจว่าจะไม่ปล่อยโฮอีกแล้วกระแซะอีกฝ่าย พยักหน้าแรง ๆ เออออกับตัวเองไปด้วย “เป็นวสุนั่นแหละดีแล้ว ชีวิตเป็นของนาย ถ้าถูกมองเป็นคนอื่นมันเป็นเรื่องโหดร้ายจะตายชัก แต่มีความทรงจำของเฮียใหญ่อยู่ในตัวนายใช่ไหม ถ้าขอให้ช่วยแบกรับส่วนนั้นไว้ด้วยนายจะไหวหรือเปล่า...ขอมากเกินไปหรือเปล่า..ถ้าคิดว่าเขาอยู่ในหัวใจนาย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายเป็นวสุอย่างทุกวันนี้ มันก็ไม่ต่างจากความทรงจำเมื่อสองขวบหรือสามขวบหรอก...แค่คิดว่ามันย้อนไปนานกว่านั้นสักหน่อย..”
วสุที่ทำหน้าเศร้าอยู่ตอนแรก ฟังไปฟังมาก็เริ่มอ้าปากหวอ “ผม..ไม่ค่อยเข้าใจ”
“เออ..พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ”
“ทำไมพี่คิมพูดงี้อะ”
“แล้วจะให้พูดไงเล่าเด็กนี่”
“..ก็พูด..พูด...เอ้อ....” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง ถอยออกมามองตาแดง ๆ ของอีกฝ่าย คิมหันต์ร้องไห้ตาบวม จากที่ตาตี่อยู่แล้วตอนนี้เลยยิ่งหยีเข้าไปใหญ่ “พูดแบบ..”
“หรือไง?” ชายหนุ่มว่า สูดน้ำมูกครั้งหนึ่งพลางยักไหล่ สบตากับวสุ แล้วเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“...ก็...พูดงั้นแหละครับ...ดีแล้วมั้ง...” เขาอ้อมแอ้ม “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไอ้เปี๊ยกเอ๊ย..” คิมหันต์ส่ายหน้า “แล้วรักพี่เอกหรือเปล่า”
“..หะ...หา!?”
“รัก..หรือไม่รัก” เขายื่นหน้าเข้าใกล้เด็กหนุ่ม จ้องเข้าไปในตาใส ๆ นั่น “คำถามปลายปิด มีช้อยส์แค่สองข้อ อย่าคิดนาน”
“คือผม..”
“รัก ไม่รัก?”
“...อา..”
“หือ?”
วสุก้มหน้างุด ได้ยินคำตอบหนึ่งพยางค์ถ้วน แม้เสียงเบา แต่เป็นถ้อยคำชัดเจน
“....รัก..”
คิมหันต์นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“..รักเขาเยอะ ๆ เลยนะ”
“..อะ..เอ๋?”
เขาโน้มตัวลง กระซิบเบา ๆ กับอีกฝ่าย “..นายเป็นคนสำคัญนะรู้ไหม ช่วยดึงพี่เอกออกจากเรื่องเศร้า ๆ ที่หลอกหลอนเขามาตลอดทีเถอะนะ..”
“..ผมน่ะหรือ”
“แล้วเอาไว้เราไปหาเจ้ใหญ่กับเจ้สิกัน ..หมายถึงสากับสินั่นแหละ ป๊ากับม้าด้วย”
“เห?”
แม้วสุเหมือนจะเริ่มตามไม่ทันแล้ว แต่คิมหันต์ยังคงพูดต่อไปเรื่อย “อ้อ เจ้ใหญ่...หมายถึงสานั่นละ มีลูกแล้วนะ ลูกแฝดด้วย! แล้วเอาไว้เรียนจบพี่ว่าจะเอาไอ้ดุ๊กดิ๊กของตัวเองกลับราชบุรี ไว้ก็มาเล่นสิ ของพี่เป็นไอ้ดุ๊กดิ๊กที่สอง ตะกละกินอย่างกับอะไรดี ไหนจะ—”
“พี่คิม..”
“หือ?”
“..ขอบคุณนะครับ”
วสุพึมพำกับคิมหันต์ คนฟังได้ยินแล้วก็ที่นิ่งไป จากนั้นคลี่ยิ้มน้อย ๆ แล้วเป็นฝ่ายเริ่มหัวเราะก่อน เขาจึงค่อยหัวเราะตามแก้เก้อ มองอีกฝ่ายขยับเข้ามานัวเนียต่ออย่างกับหมาน้อยขี้อ้อนแบบมองข้ามเรื่องใครอายุมากกว่าไปเลย
“ขอบใจเราด้วยเหมือนกัน”เขาลูบแผ่นหลังคิมหันต์เบา ๆ เทียบกับภาพตี๋เล็กในความฝันของตัวเองไปด้วย ณ ปัจจุบันอีกฝ่ายโตขึ้นตั้งขนาดนี้ ตัวสูงขึ้น แผ่นหลังก็กว้างขึ้น เรียนกำลังจะจบแล้ว พอนึกขึ้นมาก็ตื้นตันจนบอกไม่ถูก หัวใจพองฟูอยู่ในอก จะเป็นเพราะส่วนหนึ่งของวสันต์ที่อยู่ในตัวเขาหรือเปล่านะที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้
แม้อะไรจะไม่ได้ชัดเจนขึ้นนัก แต่รู้สึกดีที่ได้คุยกัน อย่างน้อยคิมหันต์ก็บอกว่าให้เป็นตัวเขาเอง ไม่ได้มองว่าเป็นคนอื่นหรือตัวแทนใคร เรื่องที่บอกให้ช่วยแบกรับความทรงจำในส่วนของพี่ชายเจ้าตัวไว้ได้หรือเปล่า ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็คิดว่าตัวเองทำอย่างนั้นมาทั้งชีวิตอยู่แล้ว เขากลัวเพราะความไม่รู้ แต่หากรู้ว่ามันมีที่มาจากไหน เริ่มต้นและจบลงอย่างไรเหมือนอย่างที่มันค่อยชัดเจนมากขึ้นในตอนนี้ ฝันหรือภาพแปลก ๆ ที่ซ้อนขึ้นมาอาจไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างเคยรู้สึกก็เป็นได้
“เฮ้ย เป็นไร”
พี่เขี้ยวหน้าดุนี่แหละ ที่กลับมาเห็นคิมหันต์ตาบวมฉึ่งก็รีบร้องทัก แถมสายตาดุ ๆ ยังหันขวับมาทางวสุแบบไม่ทันได้รอคำตอบจากเจ้าตัว ถึงยังไม่ได้ต่อว่าต่อขานสักคำ แต่สีหน้าดุดันแบบนั้นก็ชวนให้สะดุ้ง
“..เอ้อ..” เขาอ้ำอึ้ง แต่คิมหันต์พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เฮียเพี้ยนจะกินเด็กเรอะ!?”
“ยังมีหน้ามายิ้มแฉ่งอีก” สามภพบ่น สายตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างกับคนละคนตอนมองชายหนุ่มหน้าตี๋ เอาชายเสื้อตัวเองยกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาอีกฝ่ายที่ยังสูดน้ำมูกฟืดฟาดนาน ๆ ครั้งอย่างไม่กลัวเปื้อน “ขี้แยไปไหมเรา เป็นอะไรเนี่ย”
“พี่น้องคุยกันอ่า...ซึ้งไปหน่อย”
สามภพเลิกคิ้ว เหลือบมองวสุแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ดูโหดอย่างคราวแรกแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่ส่งยิ้มจ๋อย ๆ ไปให้ ถึงรู้สึกว่าน่ากลัว แต่ก็นึกดีใจกับคิมหันต์ที่มีคนห่วงขนาดนี้
“เนอะ” คิมหันต์หันกลับมายิ้มร่าอย่างขอความเห็น ขยิบตาเหมือนรู้กัน ก่อนจะเอ่ยชื่อเขาออกมาเสียงดังฟังชัด คล้ายกับจะยืนยันว่าเขาเป็นตัวเองแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว “วสุ”
“..ครับ”
“ดีจังเลย ที่มีนายอยู่กับพี่เอก” อีกฝ่ายว่าต่อ จากนั้นมองเลยศีรษะเขาไปทางด้านหลัง หันมองตามจึงได้รู้ตัวว่าเอกภพเดินมายืนซ้อนอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร “ใช่ไหมพี่เอก?”
เอกภพยิ้มบางเบา พยักหน้าน้อย ๆ ให้คิมหันต์ วางมือลงบนไหล่เขาอ่อนโยน แล้วยังรู้สึกได้ว่าขยับเข้ามาใกล้จนเกือบชิด ชายหนุ่มพูดคุยกับคนฝั่งตรงข้ามอีกสามสี่ประโยค แต่เขาไม่ทันได้ฟัง ใจคอยไปจดจ่ออยู่กับไออุ่นจาง ๆ จากข้างหลังและตรงฝ่ามือที่วางบนไหล่
อบอุ่น...คุ้นเคย ตัวเขาในปัจจุบันหลงรักสัมผัสเช่นนั้น
และส่วนหนึ่งของตัวตนที่ยังหลงเหลือจากอดีต ก็คล้ายว่ากำลังกระซิบกลับมาไม่ต่างกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป
มาต่อแล้วค่ะ *กราบบบบ* แม้จะช้ามาก แต่สัญญาว่าจะต่อให้จบ อร๊ากกกก
ไม่อยากให้ดราม่าอะไรเยอะแยะ อยากให้คลี่คลาย จริง ๆ นะ //// อยากเขียนตอนหวาน ๆ เรื่อย ๆ บ้าง ฮา
ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ ที่ยังรออ่าน และมีสะกิดในทวิตเตอร์และ FB รักกกกกก ฮืออออ พบกันครั้งหน้าเมื่อหาเวลาอู้ได้ใหม่ค่ะ
ปล. ของแถมมีไม่มาก TwT แปะ(รวม ๆ)เลยแล้วกันนะคะ
วสุ ที่ลองพาเลทสีโทนเหลืองชมพู

อันนี้ดูเดิ้ลเมื่อวันกอดค่ะ (มีวันกอดด้วย! ขาวก็ยอม ๆ ดุ๊กดิ๊กหน่อยเถอะ)

แถมอีกสองรูปของเรื่องข้างเคียง
เด็กแฝดลูกเจ้ใหญ่ พี่วีกับน้องวิน ผู้เชียร์บอลคนละทีมตลอด วาดเล่นช่วงบอลโลกค่ะ

แล้วก็อันนี้ เมื่อวันจูบ (มีวันแบบนี้ด้วย..(อีกแล้ว)) อาทิตย์กับปิ่นหยก จากรักติดดิน ยังจำสองคนนี้ได้มั้ยคะ เพื่อนคิมหันต์ 555

แล้วพบกันค่ะ ^^