ต้นกล้าซึ่งแทงยอดผ่านผืนดิน จากเมล็ดของต้นไม้ที่ได้โรยราลงแล้ว
กิ่ง ใบ และดอกผล จะยังเป็นเช่นเดิมหรือไม่
ชีวิตตรงหน้าคือต้นเดิม…ต้นใหม่…หรือต้นเดียวกัน?
“แมว หมา ดอกไม้ และพี่ชายข้างบ้าน”
บทที่ 5 ดอกไม้ดอกเดิม
เอกภพคลายวงแขน ปล่อยมือแล้วผละออกจากอ้อมกอด ขณะที่อีกฝ่ายซึ่งกอดตอบแต่แรกก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งไว้ สถานะระหว่างพวกเขาแสดงตัวอีกครั้งเงียบ ๆ ตั้งแต่วสุรู้สติขึ้นมาและเอ่ยกับเขาเป็นประโยคแรก กระชากเขาซึ่งคล้ายว่าเป็นฝ่ายกำลังละเมอทั้งที่ยังลืมตาให้ตื่นขึ้นดูความเป็นจริง
เด็กผู้ชายตรงหน้าชื่อวสุ เป็นเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายมาใหม่
ส่วนวสันต์จากเขาไปนานแล้ว“...ขอโทษ”
ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนั้นได้อีก ราวกับบางสิ่งเพิ่งถูกดึงออกไปจากอก...แม้บางทีมันอาจไม่มีอะไรอยู่ในนั้นมานานแล้ว ว่างเปล่าจนทรมาน..แต่เขาก็ใช้ชีวิตเช่นที่ว่าได้ดีทีเดียว จนกระทั่งชั่วขณะหนึ่งซึ่งคิดไปเองว่าสิ่งที่หายไปอาจกลับคืนมาอีกครั้ง หลงงมงายจนลืมมองความเป็นจริงซึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้า และในวินาทีที่คล้ายจะคว้าไว้ได้ กลับตระหนักว่ามีเพียงอากาศธาตุอยู่ในมือของตัวเอง
เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเหมือนอย่างแผลใหม่ แต่ยังคงร้าวอยู่ข้างในลึก ๆ และไม่สามารถบอกได้ว่ามาจากไหน เอกภพรู้เพียงแต่มันจะเรื้อรังอย่างนั้นไม่มีวันหาย เฉกเช่นที่เคยเป็นมาตลอดนับแต่สูญเสียคนสำคัญไป
“วสันต์ที่พี่เอกพูดน่ะ...ใครหรือครับ?”
เขามองหน้าเด็กหนุ่ม แน่นในอกจนเหมือนจะหายใจไม่ออกเมื่อเห็นคราบน้ำตาบนแก้มอีกฝ่าย แม้ยังมีหยาดน้ำเอ่อคลออยู่ในดวงตา แต่เจ้าตัวก็พยายามเช็ดมันออกจนหมด ไม่มีอะไรไหลลงมาให้เห็นอีก
วสุพยายามทำตัวเข้มแข็ง แต่นั่นกลับทำให้เอกภพยิ่งรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ ความโง่เง่าและเห็นแก่ตัวของเขา ทำให้เด็กที่เคยคิดว่าเหมือนกับดอกไม้สีขาวต้องร้องไห้ขนาดนี้ คิดไม่ออกเลยว่าควรทำอย่างไรจึงลบล้างสิ่งที่เพิ่งทำพลาดลงไปได้
เมื่อเขาให้คำตอบได้เพียงความเงียบ เด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายพูดต่อเสียเอง
“คนรักของพี่ที่เสียไปแล้วใช่ไหม?”
“...”
“...ที่ว่าเป็นพี่ชายของพี่คิม..”
เขาถึงกับเผลอกลั้นหายใจ วสุเคยได้คุยกับคิมหันต์แล้วเมื่อวันก่อน เรื่องนั้นเขารู้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้รู้ลึกว่าบทสนทนาของทั้งสองดำเนินไปถึงขั้นไหน คิมหันต์เพียงแต่เปรยกับเขาเรื่องชื่อ อายุ และเรื่องแปลกเกี่ยวกับความฝันของวสุนิดหน่อย บอกว่ารู้สึกคุ้นเคยกับเด็กคนนี้อย่างไม่สามารถอธิบายเหตุผล..และชายหนุ่มคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกนั้นถ่องแท้ทีเดียว คิมหันต์ต้องสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้แน่นอน ความคุ้นเคยมากเกินกว่าจะเป็นไปได้กับคนที่เพิ่งรู้จัก
“..ผมคล้ายเขาหรือครับ?”
“..วสุ”
“พี่ตอบผมสิ” เด็กหนุ่มทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ น้ำเสียงอ้อนวอนจนเขาปวดใจ “..ช่วยบอกหน่อยว่าผมเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่า”
วสุโน้มตัวเข้าหาเขา ยื่นมือมาเกาะแขนเสื้อเขาไว้แน่น
“...พี่เอก?”
“..ไม่..”
หากหมายถึงบรรยากาศรอบตัววสุและวสันต์นั้น นับว่าคล้ายกันมากจนราวกับเป็นคนเดียวกัน แต่เขากลับจงใจเลี่ยงไปตอบในเชิงรูปลักษณ์ภายนอกแทน
“..ไม่คล้ายหรอก นายไม่เหมือนเขาเลย..” เอกภพโคลงศีรษะ เอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่ควรดึงอีกฝ่ายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอดีตของตัวเองให้เรื่องวุ่นวายไปกว่านี้ “หน้าตาก็ไม่เหมือน ไม่เกี่ยวอะไรกันหรอก..”
“แล้วทำไมถึงเอาแต่เรียกผมว่าวสันต์ล่ะ”
“คงเพราะชื่อคล้ายกัน..”
“…เท่านั้นเองหรือครับ?”
“เท่านั้นเอง”
วสุทำท่าคล้ายอยากพูดอะไรต่อ ทว่าหลังจากลังเลเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็กลับเงียบไปโดยยังไม่ได้เอ่ยปาก สีหน้าผิดหวัง ความสับสนยังฉายชัดในแววตา ก่อนเจ้าตัวจะก้มลงมองพื้น คลายมือจากที่ขยุ้มแขนเสื้อเขาไว้...แล้วผละออกเชื่องช้าในที่สุด..
หัวใจเขาเหมือนหล่นร่วงไปอยู่บนพื้นเพียงแค่มองท่าทางเหล่านั้น..
“อา..ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสินะครับ” เด็กหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วมองหาข้าวของของตัวเอง เมื่อเห็นว่าอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นซึ่งถูกลากไปไว้อีกฝั่ง ก็ค้อมตัวให้เขาแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะ ยังคงก้มหน้าขณะพูดต่อ “...ขอโทษด้วยครับ ผมมารบกวนแล้วยังพูดจาแปลก ๆ ไปเยอะเลย ไหนจะทำให้ลำบากต้องพาไปโรงพยาบาลอีก”
เอกภพเดินตามไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ เด็กหนุ่มที่กำลังเก็บสมุดและเครื่องเขียนตัวเอง เขาไม่รู้ว่าควรช่วยเก็บด้วยหรือรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่อ นอกจากตัดสินใจไม่ได้แล้วยังถามอะไรไร้ประโยชน์เสียอีก
“จะกลับแล้วหรือ”
วสุพยักหน้า
ใจหนึ่งเขาอยากท้วงว่าอย่าไป..แต่กลับไม่สามารถหาเหตุผลดี ๆ ให้ตัวเองเพื่อจะตอบหากถูกถามว่าทำไมถึงอยากให้อยู่ จึงได้แต่เฝ้าดูกระทั่งวสุเก็บของตัวเองจนเสร็จ
เด็กหนุ่มกอดสมุดไว้แนบอก เมื่อกวาดตามองจนทั่วแล้วว่าคงไม่ลืมอะไรทิ้งไว้ก็สูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นเงยขึ้นมองเขาในที่สุด พยายามยิ้มไปด้วยอย่างยากลำบากทั้งที่ตายังแดง ๆ
“มาเล่นซะนานเลย ขอบคุณมากนะครับที่สอนวาดรูป แล้วยังให้ยืมสีน้ำอีก”
“..อา..”
“เรื่องฝันประหลาดที่ผมเพ้อเจ้อ ก็ช่วยลืม ๆ ไปด้วยเถอะครับ”
เอกภพไม่เคยรู้สึกอับจนด้วยคำพูดขนาดนี้มานานแล้ว เขามีอะไรอยากบอกอยากถามมากมายไปหมด แต่กลับส่งเสียงอะไรแทบไม่ออกเลย ทั้งที่ข้อสงสัยก็ยังลอยฟุ้งอยู่เต็มหัว
วสุคุยอะไรกับคนในฝันที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นเขา วาดรูปอะไรกับผู้ชายคนนั้น จำได้ไหมว่าที่บอกปั่นจักรยานระหว่างบ้านกับโรงเรียนนั้นผ่านสถานที่อะไร อยากไปดูด้วยตาว่าจะเหมือนภาพจริงซึ่งเคยเกิดขึ้นในอดีตของเขาหรือไม่ ตอนที่บอกตัวเองร่วงลงมาจากชั้นดาดฟ้านั้นตั้งใจหรือเป็นแค่อุบัติเหตุ...เจ็บหรือเปล่า...กลัวมากหรือเปล่า...
แล้วยังอีกตั้งหลายสิ่งที่เขาอยากเอ่ย ทว่าปากกลับเพิกเฉยต่อความรู้สึก อมพะนำอยู่อย่างนั้น สุดท้ายจึงเหลือแต่วสุที่พูดตะกุกตะกักอยู่ฝ่ายเดียว
“..งะ...งั้นผมกลับก่อนครับ.."
เด็กหนุ่มเม้มปาก ความพยายามจะปั้นยิ้มคล้ายว่าใกล้ถึงจุดสิ้นสุด รีบยกมือขึ้นไหว้ลาเขาแล้วหันหลังเดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน
"...คิดว่าคงไม่มากวนแล้ว..”
คงไม่มากวนแล้วคืออะไร? หมายความว่าจะไม่มาที่บ้านหลังนี้อีกแล้วหรือเปล่า
ไม่อยากเลย...ไม่อยากให้ก้าวผ่านประตูนั้นไป ทำไมกัน ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่นาน
...อย่าไปเลย... “วสุ!”
“!?”ตัวเล็กนิดเดียวเอง ไหล่ก็เล็ก เป็นแค่เด็กที่ยังไม่โตแท้ ๆ เขาเองที่เป็นผู้ใหญ่กว่าแล้วทำแบบนี้ หากถูกใครเห็นเขาคงไม่ดี แต่ก็ยังกอดเอาไว้ทั้งตัวจากข้างหลังจนร่างอีกฝ่ายแทบจมหายเข้ามาในอก
“...พี่เอก..”
“ไม่รบกวนหรอก” เขาพึมพำ กระชับอ้อมแขนกอดเด็กหนุ่มให้แน่นขึ้นอีก แผ่นหลังวสุแนบกับอกเขา ข้างใจนั้นหัวใจกำลังเต้นระรัว ความรู้สึกรักใคร่เหมือนอย่างที่ร้างราไปนานกลับมาพลุ่งพล่านอีกครั้ง
...ไม่อยากปล่อย...ไม่อยากปล่อย....ไม่อยากปล่อย....“..ผม..”
“ไม่รบกวนสักนิด”
“...ทำไม...”
“..ไว้ก็มาเล่นอีกสิ..อยากให้มาอีก...เมื่อไหร่ก็ได้ที่อยากมา..”
“..ทำไม...” วสุเอ่ยซ้ำเสียงเครือ “...ถึงอยากให้มาล่ะครับ”
ทำไมหรือ?
เรื่องนั้นเขาเองก็ไม่รู้ มันเป็นข้อเรียกร้องซึ่งมืดบอด งี่เง่า และเอาแต่ได้ เขากับวสุไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ก็ไม่อยากปล่อยมือ ทั้งที่เขายังตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามองเห็นวสุอยู่ในฐานะอะไร..
แค่เด็กข้างบ้านธรรมดาคนหนึ่งแน่หรือ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ถ้าอย่างนั้นแล้วจะเป็นในฐานะอะไรกันเล่า?
“..ไม่รู้เหมือนกัน..” เขาตอบตามความจริง แม้มันจะฟังดูไร้น้ำหนักเหลือเกิน “..ถ้าบอกว่าเพราะอยากคุยกันให้มากกว่านี้อีกจะได้ไหม”
วสุเงียบไป ไหล่ทั้งสองสั่นน้อย ๆ อยู่ในอ้อมกอด ไม่มีใครพูดอะไรอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งเด็กหนุ่มยกมือตัวเองขึ้นมา ทำท่าคล้ายจะกอดตอบตรงแขนเขาซึ่งคล้องรอบเอวตัวเองอยู่ แต่แล้วกลับชะงักอยู่เช่นนั้น ลดมือลงทั้งที่มันยังสั่นระริก เอ่ยออกมาเสียงอ่อนแรง
“..ถ้าแค่นั้น...แล้วทำไมถึงกอดล่ะครับ..”
คำถามแต่ละอย่างของเด็กหนุ่มช่างตรงไปตรงมาจนเอกภพนึกละอายกับคำตอบคลุมเครือของตัวเอง เขาควรคลายอ้อมแขนนี้ออกหากยังไม่มีเหตุผลรองรับที่ดีพอ แต่กลับไม่ทำ ขณะที่วสุยังยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิม
“..ผมไม่เข้าใจพี่...พอกับที่ไม่เข้าใจตัวเองเลย”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ตอนนี้เพียงแค่อยากกอดคนในอ้อมแขนไว้แน่น ๆ ไม่รู้สักนิดว่าความรักใคร่เหล่านั้นมาจากไหน สายใยแน่นแฟ้นเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกับคนพี่เพิ่งพบกันเพียงไม่กี่วัน
“...พี่เอกรู้รึเปล่า...คนที่อยู่ในฝันนั่น” วสุกระซิบเสียงแผ่ว ทั้งยังสั่นเครือจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกกว่าจะพูดต่อได้อีก “ผมอยู่กับผู้ชายคนนั้นมาทั้งชีวิต”
เอกภพก้มลงกดจมูกลงบนเส้นผมเด็กหนุ่ม เจ้าตัวไม่ได้ขยับหนี และเขาก็ซบใบหน้าอยู่อย่างนั้น ทั้งหมดที่ทำราวกับเป็นเหตุการณ์ซึ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนคุ้นเคย ดำเนินไปของมันโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการไตร่ตรอง คล้ายรู้ได้โดยธรรมชาติว่าควรวางมือไว้ตรงไหน โอบกอดเอาไว้อย่างไร ขณะที่อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นกอดแขนเขากลับในที่สุด
“...เทียบกับผู้คนจริง ๆ รอบตัวผมที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีใครอยู่กับผมนานอย่างนี้สักคน ก็เลยผูกพันด้วยอย่างกับว่าเป็นคนใกล้ชิดที่มีตัวตนจริง ๆ ...พี่เข้าใจหรือเปล่า...พี่เชื่อที่ผมพูดไหม..”
“เชื่อ”
"..ฮึก!" หลังจากสะอื้นออกมาครั้งหนึ่ง วสุก็ยิ่งกอดแขนเขาแน่นขึ้นอีก
“..ถึงหน้าของเขาที่ผมพยายามเพ่งมองมาตลอดจะไม่เคยชัดสักที...แต่ผมก็คิดว่า.....ผม....”
“....”
“....รัก....”คำสุดท้ายนั้นเสียงสั่นราวกับจะร้องไห้ เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง หยดน้ำอุ่น ๆ ร่วงลงบนแขนเขาจริง ๆ ในที่สุด ก่อนอีกฝ่ายจะพูดไปสะอื้นไปอย่างอัดอั้น
“...มันบ้ามากเลย....ผมรักโดยที่ไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร..เป็นความรักที่ยังค้างคามาถึงตอนตื่น...แล้วก็เจ็บเพราะอะไรไม่รู้..เจ็บอยู่อย่างนั้นจนถึงตอนตื่นด้วยเหมือนกัน...คิดมาตลอดว่าถ้ารู้สักทีว่าเป็นใคร..ถ้าหากได้เจอว่ามีตัวตนจริง ๆ คงดี แต่ไม่เห็นรู้เลยว่าพอเจอเข้าจริง ๆ แล้วมันจะยิ่งแย่กว่าเดิมอีก...เพราะผมเป็นคนละคนกับในฝัน...”
“..วสุ”
“...เพราะผมไม่ใช่ไอ้ตี๋ของพี่...เพราะพี่บอกเองว่าผมไม่เหมือนเขาเลย”
เหมือนสิ...เหมือนมาก...เรื่องนั้นเอกภพรู้ดีที่สุด แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะแตกต่าง แต่ทุกครั้งที่มอง..ที่สัมผัส ก็รู้สึกราวกับทั้งสองเป็นคนเดียวกันจนอยากจะลองเชื่อดูสักครั้ง
“...แต่พี่ตอบผมชัด ๆ ได้ไหม ว่าเรื่องฝันที่ผมเล่าให้ฟังทั้งหมด ใช่เรื่องของพี่กับวสันต์หรือเปล่า”
เขาไม่รู้ทำไมวสุจึงฝันเช่นนั้น แต่มันไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญไปได้เลย ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเอ่ยปากอะไรเกี่ยวกับความฝันของตัวเอง ภาพในความทรงจำเก่า ๆ ของเขาก็กลับขึ้นมาโลดแล่นสอดคล้องไปด้วยราวกับอยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน ไม่ผิดแผกไปสักนิด ไม่มีตรงไหนให้คลางแคลงสงสัยว่าเป็นเรื่องเดียวกันจริงหรือเปล่าแม้แต่น้อย..
เอกภพหลับตา กลั้นไม่ให้บางอย่างที่เอ่อล้นอยู่ในนั้นไหลออกมา ก้มตัวลงจนหน้าผากเลื่อนลงมาซบอยู่บนไหล่เด็กหนุ่ม ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด
“...เป็นพี่เอง...”
“....”
“....เป็นเรื่องของพี่ทั้งนั้น...”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง ริมฝีปากสั่นระริก จากนั้นก็ร้องออกมาราวกับเพิ่งได้พบคำตอบที่ตามหามาทั้งชีวิต
“...ใช่จริง ๆ...”
วสุทรุดตัวลงนั่งบนพื้น ทั้งหัวเราะและปล่อยโฮออกมาพร้อมกัน
“...ในที่สุด...ก็เจอแล้ว..เจอจนได้...”
เขาย่อตัวตามลงไป ดึงร่างอีกฝ่ายให้หันกลับมาแล้วกอดไว้แนบอก ทั้งหน้าเด็กหนุ่มแดงและเปรอะน้ำตาไปหมด สะอื้นฮัก ๆ อย่างน่าสงสารพลางโอบท่อนแขนรอบแผ่นหลังเขาไว้แน่น
“คนนั้นคือพี่เอกจริง ๆ ด้วย..”
“..พี่เอง...อยู่ที่นี่แล้ว...เพราะงั้นไม่ต้องร้องแล้วนะ...”
เอกภพลูบหลังอีกฝ่ายแผ่วเบา ตระหนักได้ถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเอง แต่หากทำอะไรไม่ได้เลยก็ขอแค่กอดไว้และอยู่ข้าง ๆ ในเวลาแบบนี้ จนกว่าอีกฝ่ายจะหยุดน้ำตาลงได้
"...นายอย่าร้องไห้อีกเลย..."
วสุเบียดตัวเองเข้าหา กำเสื้อเขาไว้แน่น พยักหน้ารับอยู่ในอ้อมแขน แต่กลับยิ่งร้องไห้เสียงดังกระทั่งไม่เหลืออะไรให้ไหลออกจากตา
“ตื่นแล้วหรือ?”
วสุสะดุ้งน้อย ๆ ยืดหลังตรงแล้วเหลียวมองไปข้างหลัง เอกภพยืนอยู่ที่โถงทางเดิน คล้องผ้ากันเปื้อนไว้ที่คอ ส่วนเขานั่งทำหน้าเหลอหลาอยู่ครู่หนึ่งด้วยเพิ่งตื่นขึ้นอีกครั้งอย่างงง ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไร เป็นการหลับที่ไม่มีความฝันใดรบกวนสักนิด
“จะอยู่กินข้าวเย็นที่นี่เลยไหม”
“หา”
“ข้าวเย็นน่ะ..” อีกฝ่ายยิ้มขำ ราวกับเรื่องเมื่อตอนบ่ายทั้งหมดเป็นแค่ฝันไป “หิวไหม จะอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนหรือเปล่า”
“..ผะ...ผม..ไม่..คือ..”
“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มส่ายหน้า “ถ้าไม่อยากกินที่นี่จะกลับบ้านก็ได้”
“ไม่ใช่ครับ” เขาอ้อมแอ้ม เหลือบมองใบหน้าอีกฝ่าย แต่พอนึกขึ้นได้ทีละฉากว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างก็รีบก้มหลบตา “...ผม...ไม่ได้...ไม่อยากกิน...”
“ตกลงอยากหรือไม่อยากนะ?” อีกฝ่ายถามติดตลก
เขาผงกศีรษะหงึกหงักจนได้ ยังรู้สึกเหมือนว่าเปลือกตาบวมจนลืมได้ไม่เต็มที่อยู่เลย ถึงไม่มีกระจกตรงนี้ให้ส่องดูหน้าตัวเอง แต่คิดว่าคงต้องดูไม่จืดเป็นแน่ ไม่รู้จะกลับบ้านในสภาพนี้อย่างไรเอาจริง ๆ
“...โคตรน่าอายเลย..” เขาพึมพำ แต่ก็ดังพอจะลอยไปถึงหูเอกภพ “..ไม่เคยร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอย่างนี้มาก่อนเลยครับ”
ชามหนุ่มโคลงศีรษะน้อย ๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งไม่รู้เขาคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่า ว่ามันไม่ได้ดูเป็นยิ้มเหงาเหมือนอย่างตอนเจอกันครั้งแรกอีกแล้ว
“พี่เองก็ไม่ได้ร้องไห้มานาน”
“...”
“น่าขายหน้าพอกันเลย” เอกภพพ่นลมกึ่งขำกึ่งถอนหายใจ “ไม่สิ...น่าอายกว่าอีก ทางนี้อายุปาเข้าไปตั้งสามสิบห้าแล้ว”
“ผมก็จะสิบห้าแล้ว” เขาปลอบ
“ทำไมไม่ค่อยรู้สึกดีขึ้นเลยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะ จากนั้นเดินตรงเข้ามาวางมือบนศีรษะเขา ยีเบา ๆ บนเส้นผม
วสุเอียงคอน้อย ๆ เผลอหลับตาพริ้มไปด้วย เขาชอบเวลาอีกฝ่ายทำอย่างนั้น การสัมผัสที่คล้ายว่าเกิดจากความรัก เด็กหนุ่มพยายามไม่คิดต่อว่าความรู้สึกนั้นของเอกภพมีต่อใครกันแน่ รู้แต่ว่าที่ตรงนี้...เวลานี้ ได้แค่ที่เป็นอยู่ก็พอแล้ว..
“สรุปว่าผมมาอีกได้ใช่ไหมครับ?”
เอกภพเลิกคิ้ว มือหยุดการเคลื่อนไหวจนเขาต้องลืมตาขึ้นมอง เพื่อจะพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังก้มลงทอดสายตากลับมาเช่นกัน
“ได้สิ”
“…”
“อยากให้มา”
วินาทีนั้น เด็กหนุ่มเหมือนลืมวิธีหายใจอย่างที่เคยทำได้ง่ายดายมาทั้งชีวิต
ความฝันซึ่งปกติโลดแล่นแค่ในยามหลับกลับซ้อนขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เขายังลืมตาอยู่กับความเป็นจริงเบื้องหน้า ถูกดึงดูดด้วยนัยน์ตาคุ้นเคยคู่เดิม ชัดเจนยิ่งกว่าภาพพร่ามัวที่เขาทำได้เพียงเฝ้ามองมาตลอด
ใกล้เหลือเกิน อยู่ใกล้เพียงเท่านี้เอง แค่เขายื่นมือออกไปสัมผัส..
“พี่เอก..” โดยไม่รู้ตัว...เขายกแขนขึ้นคล้องรอบต้นคออีกฝ่าย โน้มให้ชายหนุ่มต้องค้อมตัวลงมา ไร้แรงต้านใดระหว่างพวกเขา สายตาสองคู่สบกันนิ่งงัน ขณะที่ใบหน้าเคลื่อนเข้าใกล้กันเชื่องช้า ลมหายใจอุ่นหลอมรวมกันใต้ปลายจมูก
...อบอุ่น...อ่อนโยน...เหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า...เหมือนกลิ่นหอมหวนของดอกไม้ยามพลบค่ำ...
เขายังตื่นอยู่หรือเปล่านะ..?
นัยน์ตาเด็กหนุ่มปรือลง แหวกว่ายในความทรงจำที่ผุดขึ้นมาเหมือนภาพสีซีดจาง ก่อนมันจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นต่อหน้า เขาไม่รู้อีกแล้วว่าตัวเองในตอนนี้คือใครกันแน่...
“...ผมคิดถึงพี่....รอมาตลอดเลย...”เอกภพชะงัก เอ่ยเรียกเสียงแหบแห้งเป็นเชิงถาม ขณะที่ปลายจมูกพวกเขาแตะกันแผ่วเบา
“...วสุ...?”
“...วสันต์...” เด็กหนุ่มพึมพำด้วยเสียงกระซิบ ชื่อใหม่...หรืออาจเป็นชื่อเก่าที่เคยคุ้น เบาหวิวจนแทบถูกกลืนหายไปกับเสียงฝน แต่มันก็ออกจากปากเขาจริง ๆ
...วสันต์...ฤดูใบไม้ผลิ....นั่นชื่อเขาใช่ไหม...?
“..รอผมนานหรือเปล่า..”ความฝันของเขา...ความจริงของเขา...ทั้งหมดเคลื่อนมาซ้อนกัน จำได้จนถึงวินาทีสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความอาวรณ์ ก่อนร่างเขาจะกระแทกพื้นจนแม้แต่กระดูกก็แหลกเหลว ดอกไม้สีเลือดคลี่กลีบแย้มบานบนพื้นคอนกรีตขมุกขมัว...นัยน์ตาพร่าด้วยหยดน้ำก่อนมันจะมืดดับลง...คงเหลือเพียงความปรารถนาสุดท้ายคืออาจได้เกิดใหม่อีกครั้งในอ้อมแขนคนรัก...เหมือนกับต้นไม้ที่แตกใบใหม่...
“..ผมคิดถึงพี่ที่สุด...”ข้างนอกฝนตกได้ครู่ใหญ่ หยดน้ำจากฟ้าโปรยปรายในยามเย็น ทิ้งตัวลงแผ่วเบาบนกลีบดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ ริมรั้วบ้านทั้งสองฝั่ง ดอกแก้วบางดอกโรยร่วงลงบนพื้น แต่อีกไม่นานดอกตูมก็จะผลิบานใหม่บนต้นไม้ต้นเดิม อณูเล็ก ๆ ของกลีบดอกที่เหี่ยวเฉาจะถูกดึงกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของใบและดอกนั้นอีกครั้ง...รอวันที่ได้เบ่งบานขึ้นมาใหม่เมื่อแสงแดดอ่อนละมุนส่องมาถึง...
ไม่มีอะไรที่สูญหายไปจริง ๆ มันแค่เปลี่ยนไป...เป็นรูปแบบอื่น...เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งอื่น....แต่ก็ยังคงอยู่..
แมวดำรีบวิ่งหาที่กำบัง สะบัดหางไปมาแล้วเยื้องย่างด้วยท่าทางเย่อหยิ่งอยู่หน้าชานบ้าน มองตรงเข้ามาอย่างไว้เชิง เห็นประตูบ้านเปิดทิ้งไว้ หมาขนทองนอนฟาดหางเป็นพวงลงกับพื้นอย่างเป็นมิตรอยู่ด้านใน ดูปลอดภัยดีจึงค่อย ๆ ย่องเข้ามาผ่านธรณีประตู กระโจนขึ้นหลังตู้ด้วยท่วงท่าปราดเปรียว ได้ที่แล้วจึงนั่งเลียแต่งขนชื้นเม็ดฝนเป็นหย่อม ขณะปรายตาลอบมองเจ้าเด็กมนุษย์ของมัน ทิศทางเดียวกับที่สายตาดุ๊กดิ๊กก็กำลังจับจ้องผู้เป็นนายของตัวเองเช่นกัน
ขาวใช่ว่าไม่เคยอยู่ร่วมกับมนุษย์มาก่อน เห็นเป็นแมวจรจัดเช่นนี้ก็เคยมีบ้านไว้ซุกหัวนอนกับเขาเหมือนกัน มันรู้ดีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นต่อหน้า ทาสมนุษย์คนเก่าที่ทอดทิ้งกันไปเคยทำแบบนี้ให้เห็นบางคราวเช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นเป็นคู่มนุษย์หญิงชาย
ดุ๊กดิ๊กทำท่าจะลุกไปเสนอหน้าใกล้ ๆ นาย แต่ขาวที่มองเห็นการเคลื่อนไหวนั้นหันไปส่งสายตาดุใส่
ไอ้หมาโง่...ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย ขืนทะเล่อทะล่าเข้าไปตอนนี้ ต้องโดนไอ้มนุษย์ผู้ชายคนนั้นจับโยนออกนอกบ้านเป็นการลงโทษแน่ ๆ
หมาขนทองร้องหงิงเบา ๆ อย่างปอดแหก ก่อนจะย่อตัวลงจุดเดิม ชะเง้อมองสองร่างบนโซฟายาวที่กำลังแลกริมฝีปากกันดูดดื่ม
ท่อนแขนพวกเขาเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ชายเสื้อเด็กหนุ่มเลิกขึ้นถึงอก ขณะที่ผ้ากันเปื้อนของเอกภพร่วงลงไปกองที่พื้น เสื้อยืดเปิดร่นขึ้นจนเห็นแผ่นหลังเปล่าเปลือย แต่ไม่มีใครว่างดึงมันกลับให้เรียบร้อย ยังคงวุ่นวายกับริมฝีปากที่ฉกชิงและดูดเม้มกันไปมา เสียงหอบแผ่วเบาลอยอ้อยอิ่งคลอเสียงฝน อุณหภูมิข้างนอกเย็นเฉียบผิดจากเมื่อบ่าย แต่ตอนนี้เม็ดเหงื่อกลับผุดพรายขึ้นบนขมับคนทั้งสอง
น่าแปลก...ทั้งที่ดูเหมือนรีบเร่งตะกรุมตะกราม...แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและโหยหา..
ขาวรู้ แม้จะไม่ใช่คู่หญิงชายอย่างที่มันเคยเห็น
แต่นั่นเป็นวิธีที่มนุษย์แสดงความรักต่อกัน โปรดติดตามตอนต่อไป
อา...ตอนนี้มันช่าง.....
่ช่างอะไรก็ไม่รู้ ฮือออออ
รักคนอ่านค่ะ *กอดก่าย* ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยือนนะคะ แปะรูปดูเดิ้ลของตอนที่แล้วเนอะ

ส่วนสองคนนี้นี่ คิมหันต์กับวสุ ไม่รู้จะเรียกใครตี๋ใหญ่ตี๋เลยดีเลยค่ะ 55

พบกันบทหน้าค่ะ ^^
ปล.มีรูปที่วาดเล่นไว้เยอะพอสมควรเลยค่ะ แต่ไม่ได้แปะกระทู้นี้เพราะไม่ใช่คู่นี้ แต่เป็นคู่เก่า ๆ จากเรื่องข้างเคียง ถ้าคิดถึงไปส่องเล่น ๆ ที่ FB page ได้นะคะ >3<