ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง
พ่อเลี้ยงตรัยจ้องมองช่อดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ลูกชายคนเล็กกำลังวางลงบนฝาบาตร ข้าง ๆ กันคือลูกชายคนโตที่ปีนี้เพิ่งจะมีโอกาสได้ใส่บาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่ด้วยกันเป็นครั้งแรก วันนี้นอกจากจะเป็นวันครบรอบการจากไปของภรรยาสุดที่รักแล้วยังเป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่สิบสามของตามตะวันลูกชายคนสุดท้องอีกด้วย เมื่อกลับจากวัดทุกคนในครอบครัวต่างก็มารวมตัวกันที่แสงจันทร์เกสต์เฮาส์ตามคำเชิญของเดือนดารา ครัวของเกสต์เฮาส์ถูกปิดหนึ่งวันสำหรับทำอาหารรับประทานกันเองภายในครอบครัวโดยวันนี้เจ้าของบ้านอาสาเข้าครัวโชว์ฝีมือเอง โดยมีตามตะวัน หมูอ้วนและยะหยาช่วยหยิบจับนี่นั่นอยู่ในครัว ได้ยินเสียงชลธรโวยวายเป็นระยะ ๆ เมื่อบรรดาลูกลิงเริ่มซุกซนจนครัวป่วนไปหมด ส่วนเจ้าแข็งแรงก็คอยเห่าให้กำลังใจเด็ก ๆ อยู่ไม่ห่าง
เต็มฟ้าที่เพิ่งเดินออกมาจากในบ้านพร้อมไดอารีสีฟ้าและถุงกระดาษในมือหยุดมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นพ่อที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ระเบียง อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายอย่างพ่อสามารถครองตัวเป็นโสดมาได้อย่างไรถึงสิบสามปีแต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับความสงสัยที่ว่าพ่ออยู่โดยปราศจากแม่มาจนป่านนี้ได้อย่างไร ชายหนุ่มเดินไปนั่งลงตรงหน้าพลางทอดตามองตามสายตาของผู้เป็นพ่อที่ไม่อยู่ว่าไปสิ้นสุดอยู่ตรงไหน
“พ่อคิดถึงแม่บ้างไหม” ลูกชายเอ่ยขึ้น
พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่ดึงสายตากลับมามองคนตรงหน้าที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ชวนให้นึกถึงภรรยาผู้ลาลับอยู่ร่ำไป ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่มีสักนาทีที่ไม่คิดถึง”
คำพูดของพ่อทำเอาคนฟังน้ำตารื้น บอกไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ คำถามที่ผุดขึ้นในใจตอนนี้คงเป็น ‘ทำไมพ่อถึงเข้มแข็งได้ขนาดนี้’
“ถ้าเป็นเต็ม...คงทนไม่ไหว สำหรับบางคนระยะทางทำให้รักกันมากขึ้นก็จริง แต่ถ้าเต็มรักใครสักคนไปแล้วก็คงอยากเห็นหน้าเขา ถึงจะอยู่ไกลกันแค่ได้ยินเสียงก็ยังดี ขอแค่รู้ว่าเขายังอยู่ วันหนึ่งเราคงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่นี่ไม่รู้เลยว่าจะได้พบกันเมื่อไร”
“เราไม่สามารถอยู่ด้วยกันไปได้ตลอดหรอกนะเต็ม ถ้าไม่เพราะมีความจำเป็นที่ทำให้ต้องแยกจากกันก็เพราะความตาย...” ผู้เป็นพ่อยังคงยิ้มให้ “พ่อเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับลูกสองคนไปได้อีกนานแค่ไหน แต่พ่อเชื่อว่าเมื่อพ่อจากไปแล้วลูกก็จะคิดถึงพ่อเหมือนกับที่พ่อคิดถึงแม่ แล้วเราก็จะเหมือนไม่ได้จากกันไปไหน”
“วันหนึ่งลูกจะรู้ว่าความรักไม่ใช่การครอบครองหรือจะต้องเป็นเจ้าของ ความรักไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน ลูกเข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม”
ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้าสบตานิ่ง นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 13 ปีที่ไม่มีแม่ แต่ละปี ๆ ผ่านไปไว้เหมือนที่ใคร ๆ มักจะพูดกัน แต่กว่าจะผ่านมันมาได้ก็ถือว่าเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน
เสียงถอนใจเฮือกใหญ่ทำเอาคนที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ต้องเหลียวมองคนที่กำลังเดินอ้อมหลังมานั่งลงข้าง ๆ ตามตะวันพาดแขนพร้อมกับเกยคางลงบนโต๊ะด้วยท่าทางเบื่อหน่ายจนพี่ชายและพ่อที่กำลังมองอยู่อดสงสัยไม่ได้
“เป็นอะไรไปไอ้ลูกชาย ถอนหายใจเสียยืดยาวยังกับคนแก่”
“ตามคิดถึงพี่ปุ่นฮะ”
“คิดถึงทำไม ไม่เห็นจะน่าคิดถึงเลย” พี่ชายกล่าวก่อนจะวางไดอารีและถุงกระดาษที่มีตราห้างสรรพสินค้าชื่อดังลงบนโต๊ะ
“ไม่ได้เจอตั้งนานแล้วก็เลยคิดถึงฮะ”
พี่ชายส่ายหน้าน้อย ๆ พลางโยกศีรษะน้องชายเบา ๆ “เลิกคิดถึงเขาได้แล้ว เขายังไม่เห็นจะคิดถึงเราเลย” พูดจบก็เลื่อนถุงกระดาษให้
“อะไรเหรอครับ” น้องชายรีบนั่งหลังตรงพลางควานหยิบของที่อยู่ในถุงออกมา มันเป็นกล่องของขวัญทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของเด็กชาย ยังไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรแต่ตามตะวันก็ยิ้มร่าเอาไว้ก่อนนั่นเพราะของอะไรที่พี่ให้เขาก็ชอบทั้งนั้น
“เปิดดูสิว่าชอบหรือเปล่า”
พ่อเลี้ยงตรัยยิ้มน้อย ๆ มองลูกชายคนเล็กที่ง่วนอยู่กับการแกะกระดาษห่อของขวัญ ไม่นานก็เห็นยี่ห้อนาฬิกาแบบที่เด็ก ๆ นิยมใส่อยู่ที่ฝากล่อง
“โอ้โห! สวยจังเลยฮะพี่เต็ม” ตามตะวันร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นทันทีที่เปิดฝากล่องออกแล้วพบว่าข้างในคือนาฬิสีข้อมือสีดำแบบที่กำลังอยากได้
“ชอบไหม”
“ชอบที่สุดเลยครับพี่เต็ม ขอบคุณนะครับ” น้องชายละล่ำละลักพร้อมกับยกมือไหว้ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในครัวเพื่ออวดนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ให้ทุกคนดู
“บ้าเห่อเหมือนแกตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้น
“อะไรเล่าพ่อ เต็มขี้เห่อตรงไหน จำไม่ได้เลยว่าเคยเห่ออะไรบ้าง”
ตรัยหัวเราะหึก่อนจะตอบ “เรื่องเดียวที่เห็นเห่อก็เรื่องที่จะมีน้องนั่นแหละ เห่อไม่ได้ดูเหนือดูใต้เลยว่าน้องเป็นผู้ชาย”
“โธ่...เรื่องตั้งนานมาแล้วยังจะเอามาแซวอีก”
สองพ่อลูกพากันหัวเราะ หลังจากนั้นลิ้นชักแห่งความทรงจำก็ถูกเลื่อนเปิดอีกครั้ง โดยที่ทั้งสองคนเลือกที่จะหยิบเรื่องราวที่ทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นมาฉายซ้ำแทนที่จะเป็นเรื่องที่รังแต่จะทำให้มีแต่คราบน้ำตายามเมื่อภาพฉายนั้นถูกเก็บลงในกล่อง
ค่ำแล้วแต่เต็มฟ้าก็ยังคงนั่งอยู่ที่บันไดท่าน้ำ ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนออกจากปลายจมูกเมื่อภาพของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิด ถ้าวันนี้อยู่ด้วยกันคงจะได้เอนตัวพิงร่างหนาของเขา ทอดตามองสายน้ำที่ยังคงไหลเอื่อย ๆ แบบที่เคยทำเป็นปกติ แต่ที่ทำได้ตอนนี้คงเป็นนั่งพิงเจ้าแข็งแรงที่นอนขดครางหงิง ๆ อยู่ไม่ห่าง อยากจะถามมันเหลือเกินว่ามันจะรู้สึกเหงาเหมือนกันบ้างไหมยามที่ใครคนนั้นไม่อยู่เช่นนี้
“พี่เต็ม ตามเก็บของเรียบร้อยแล้วนะฮะ” ตามตะวันที่เดินสะพายเป้มาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยขึ้น
“อื้อ...” เต็มฟ้าหันมาพยักหน้า มือที่วางอยู่บนไดอารีบนตักทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้ “นั่งก่อนสิตาม”
น้องชายพนักหน้าก่อนจะเดินมานั่งลงข้าง ๆ อย่างว่างง่าย
“พี่มีอีกอย่างจะให้” พูดจบก็ส่งสมุดบันทึกปกสีฟ้าให้
“ไดอารีเหรอครับ” เด็กชายตามตะวันรับมาก่อนจะเปิดออกดู “เขียนแล้วด้วยนี่ครับพี่เต็ม ของใครเหรอครับ”
“ของแม่น่ะ แม่เขียนไว้เมื่อตอนพี่ยังไม่เกิด”
“ละ..แล้วทำไม..พี่เต็มถึงให้ตามล่ะครับ”
“อ่านมันจนแทบจะจำได้ทุกตัวอักษรแล้ว ก็เลยอยากให้ตามเก็บเอาไว้ ตามเคยถามพี่ไม่ใช่เหรอว่าแม่ของเราใจดีไหม ถ้าอ่านไดอารีเล่มนี้จบตามก็จะรู้ว่าแม่ของเราใจดีแค่ไหน มันอาจจะเป็นเรื่องที่แม่เขียนไว้ตอนพี่ยังอยู่ในท้องของแม่นะ ถ้าแม่ไม่ป่วยเสียก่อนตอนที่มีตามพี่ว่าแม่ก็คงเขียนแบบนี้ให้ตามเหมือนกัน”
“ขอบคุณฮะพี่เต็ม” หนุ่มน้อยยิ้มกว้างพลางกอดไดอารีแน่น
....
ชายหนุ่มปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผมก่อนจะลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายหลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งขึ้นรูปแจกันตามแบบที่ลูกค้าสั่งมาร่วมชั่วโมงแต่ก็ยังไม่ได้ตามที่พอใจ รู้สึกพักนี้จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร เต็มฟ้าถอนใจเฮือกก่อนจะเดินออกไปล้างมือที่ลำธารที่อีกไม่นานระดับน้ำก็คงจะเพิ่มขึ้นเพราะฝนที่เริ่มตกลงมา นึกถึงฝายน้ำล้นที่เคยติดตามพ่อกับคนงานไปสร้างเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อนจึงเดินขึ้นไปตามแนวลำธารเพื่อสำรวจ ไม่นานลูกชายพ่อเลี้ยงก็เดินมาถึงแนวไม้ไผ่ซึ่งมีกรวดหินที่ถูกวางขึ้นซ้อนกันขวางกลางลำธารที่เชื่อมต่อกับแอ่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อชะลออการไหลของน้ำ ไม่ให้ทำลายหน้าดินหรือสร้างความเสียหายให้พืชผลในยามน้ำมาก ถัดจากแอ่งน้ำขึ้นไปเป็นน้ำตกชั้นเตี้ย ๆ ที่มีน้ำตลอดทั้งปี
เต็มฟ้าเดินไปบนโขดหินเหนือม่านน้ำตกก่อนจะนั่งลงจุ่มขาในน้ำเย็นเฉียบปล่อยใจคิดอะไรเพลิน ๆ พลันภาพตรงหน้าก็ดับวูบลงเพราะมือหนาของใครคนหนึ่งที่ยกขึ้นปิดตาของเขาจากด้านหลัง น้ำหอมกลิ่นที่คุ้นติดปลายจมูกทำให้ความตื่นตระหนกภายในใจคลายลงจนหายเป็นปลิดทิ้งในขณะที่เสียงกระซิบข้างหูนั้นก็ชวนให้รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเมื่อได้ฟัง
“ทายซิว่าใคร”
คนถูกปิดตาถอนใจเบา ๆ พร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ “เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ”
“มีแฟนเด็กก็ต้องทำตัวเด็กสิ เร็ว! ทายมา”
“อืม...”
“แน่ะ! ช้าอีก”
“พี่ศิธา”
ศิธาพัฒน์ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับคลายมืออกมองเจ้าของใบหน้าชวนมองที่กำลังลุกขึ้นยืน
“รู้ไหมว่าเรียกแบบนี้จะโดนอะไร” ร่างสูงกล่าวเมื่อยืนอยู่ต่อหน้ากัน
“รู้” เต็มฟ้าตอบหน้าระรื่น เขารู้อยู่เต็มอกว่าถ้าหากเรียกแบบนี้จะโดนอะไร มีแต่พี่ปุ่นเท่านั้นแหละที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย
“รู้แล้วทำไมยังเรียกแบบนี้อีก หรือว่าอยากโดนจูบ” พูดจบศิธาพัฒน์ก็สาวเท้าเข้ามาประชิดตัวก่อนจะประคองเอวของหนุ่มน้อยที่ไม่เจอกันหลายวันเอาไว้ในขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนเหมือนเคย แถมยังสร้างความประหลาดใจด้วยการใช้แขนเล็กคล้องคอของเขาเอาไว้ด้วยซ้ำ ดวงตาอ่อนโยนของคนตัวโตจ้องมองไปยังดวงตาทอประกายของคนตรงหน้าก่อนจะไล่ลงมาที่ริมฝีปากสีหวานที่กำลังเหยียดยิ้มท้าทายราวกับดอกไม้ที่กางกลีบดอกออกเพื่อล่อให้แมลงที่กำลังเพลินกับรูปสวยหลงเข้าไปติดกับ หากเป็นเช่นนั้นแล้วแมลงอย่างศิธาพัฒน์ก็คงจะยอมตายเพื่อให้ได้ชิมเกสรรสหวานสักครั้งหนึ่ง
“นี่ตั้งใจจะยั่วกันใช่ไหม” พูดพลางใช้ปลายนิ้วเขี่ยที่ปลายจมูกของอีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า
“ไม่ได้ยั่วสักหน่อย”
“ไม่ได้ยั่วแล้วทำไมวันนี้ทำตัวน่ารักนัก” ริมฝีปากยิ้มยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน
“เต็มแค่อยากให้พี่ปุ่นจำเต็มไปนาน ๆ เผื่อว่าวันไหนที่เราไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ กันแบบนี้”
คนฟังชะงักก่อนจะขยับออกมามองคนพูดให้ชัด ๆ “ทำถึงพูดแบบนี้ หืม?”
เต็มฟ้าส่ายหน้า เขาเลือกที่จะไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่กลับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น ปากบางยังคงสิ่งยิ้มชวนหลงใหลไปให้ในขณะที่ตาคู่สวยก็ไม่ได้มองไปทางอื่น “แล้วถ้ายั่วล่ะ ทนไหวไหม”
“ไม่ทนเด็ดขาด” พูดจบก็ฉกชิมริมฝีปากที่กำลังส่งยิ้มเชิญชวนราวกับกลัวว่าภาพที่เห็นอยู่จะระเหยไปในอากาศ
“อื้อ...” แขนเล็กที่เหนี่ยวรั้งต้นคอหนาค่อย ๆ คลายออกก่อนจะเลื่อนมาเกาะบ่ากว้างเอาไว้แน่นทันทีที่สัมผัสบางเบาของริมฝีปากร้อนเปลี่ยนเป็นขบเม้มดูดดึงประหนึ่งจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว
“พะ..พี่ปุ่น พอเถอะ ตะ..เต็มล้อเล่น”
คนฟังชะงักพลางหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจพร้อมกับส่งยิ้มมีเลศนัยมาให้ “ของแบบนี้เอามาล้อเล่นได้ยังไงกัน” เสียงกระซิบนั้นแทบจะจมหายไปในผิวเนื้อเนียนเมื่อปากอิ่มลากไล้จากใบหูมากดจูบที่ลำคอระหงทำเอาจั๊กจี้จนต้องเอียงคอหนี
“ไม่หยุดใช่ไหม” คนที่ตอนนี้แทบจะไม่มีแรงยืนกล่าวอย่างแผ่วเบา มือเรียวเลื่อนลงมายันแผงอกกำยำเอาไว้พลันริมฝีปากบางก็ค่อย ๆ ยกยิ้ม แววตาไหวระริกยามเมื่อถูกครอบครองด้วยปากอิ่มจู่ ๆ ก็วาวโรจน์ขึ้นอย่างไร้สาเหตุ กำลังทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ถูกดึงมารวมกันไว้ที่สองมือก่อนจะออกแรงผลักอีกฝ่ายกะว่าจะให้หงายตกลงไปในน้ำโทษฐานที่ไม่ยอมฟังกัน แต่มีหรือที่คนอย่างศิธาพัฒน์จะไม่เท่าทันเล่ห์กลของคนในอ้อมแขนคนนี้ ร่างสูงอาศัยจังหวะก่อนที่จะไถลตกลงไปในแอ่งน้ำกว้างใหญ่กอดรัดเอวสอบเอาไว้ก่อนจะพากันตกลงไปสู่สายน้ำเย็นฉ่ำเบื้องล่าง
ตูม!!!!
เต็มฟ้าที่หลุดการกอดเกี่ยวของแขนแกร่งมาได้ทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำพลางลูบหน้าลูบตามองหาคนที่ดึงเอาตัวเขาตกลงมาด้วยแต่ก็หาไม่พบ ผืนน้ำรอบ ๆ แทบจะราบเรียบเป็นแผ่นกระจกใส มองหาเท่าไรก็ไม่เห็น ตัดสินใจร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ ชายหนุ่มหมุนตัวอยู่กลางน้ำที่ก็ไม่ได้ลึกเสียจนเท้าแตะไม่ถึงพื้นด้านล่าง
“พี่ปุ่น ออกมาเดี๋ยวนี้เลย อย่ามาเล่นอะไรแบบนี้นะ”
เงียบ...ได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดป่าที่ส่งร้องประสานเสียงเซ็งแซ่ ความเงียบงันยิ่งทำให้ใจคอไม่ดีแต่ก็ยังฝืนเก็บอาการเอาไว้
“ถ้าอย่างนั้นเต็มกลับแล้วนะ” พูดจบก็เดินงุ่นง่านแหวกสายน้ำเตรียมจะกลับเข้าฝั่งแต่แล้วร่างสูงของคนที่กำลังมองหาจู่ ๆ ก็ทะลึ่งตัวขึ้นมาขวางหน้าเอาไว้
ศิธาพัฒน์ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเสยผมที่ลงมาปรกหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้เหมือนเคย
“จะรีบไปไหนยังคุยกันไม่จบเลย”
“คุยอะไรอีก ไม่มีอะไรคุยแล้ว” เต็มฟ้าทำหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรวบเอวเอาไว้
“ทำงอนเป็นสาวน้อยไปได้ งอนอะไรพี่เนี่ย” กล่าวพลางจ้องมองแพขนตาของคนที่กำลังเอาแต่ก้มหน้า
“งง งอนอะไรกัน”
“อืม...ถ้าไม่งอนเรื่องที่แกล้งพี่ไม่ได้ก็งอนเรื่องที่พี่ทำให้ตกใจใช่ไหม”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า”
“เป็นห่วงใช่ไหมล่ะ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงอมพะนำ ศิธาพัฒน์จึงแกล้งยั่ว “คิดไม่ผิดที่รีบกลับมา”
“ทำไมจะกลับวันนี้ถึงไม่โทร.บอกเต็ม เต็มจะได้ไปรับ” คนฟังถือโอกาสต่อว่า
“พี่โทร.แล้ว แต่เต็มน่ะลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านนี่นา พี่โทร.ไป ตามรับสายบอกว่าเต็มน่าจะอยู่ที่ท้ายไร่ ถามเอากับคนงานบอกว่าเต็มมาทางนี้พี่ก็เลยตามมานี่แหละ คิดถึงจะแย่”
“ไม่ได้เจอแค่ห้าวันเนี่ยนะ” เต็มฟ้าขมวดคิ้วจ้องหน้าหล่อเหลาที่พูดว่าคิดถึงออกมาได้หน้าตาเฉย
“ก็ใช่น่ะสิ สัมมนาเสร็จก็รีบนั่งเครื่องกลับมาเลย ก็เลยได้รู้ข้อดีของการนั่งเครื่องบินหนึ่งข้อ เป็นข้อดีที่คนชอบนั่งรถไฟอย่างเต็มต้องไม่รู้แน่ ๆ”
“ไหนว่ามาซิ” คนฟังเลิกคิ้วรอ อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่
“ก็...มันทำให้เราได้พบหน้าคนที่รักเร็วกว่าการนั่งรถไฟไง”
เจ้าของพวงแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อถอนหายใจพลางเสมองไปทางอื่น “ไหนบอกว่าระยะทางไม่ใช่อุปสรรคไง”
“มันก็ไม่สำคัญหรอกถ้าเต็มจะรับโทรศัพท์พี่บ้าง นี่โทร.มาทีไรก็ไม่รับสาย แถมไม่ยอมโทร.กลับอีกต่างหาก”
“ก็ไม่ได้เปิดเสียง เห็นอีกทีก็เลยเวลาที่พี่ปุ่นโทร.หาเป็นชั่วโมงแล้ว พี่ปุ่นคงไม่มีอะไรหรือไม่ก็ลืมไปแล้วมั้ง”
“โทร.หาตอนเที่ยง เปิดดูตอนไหนถึงคิดว่าพี่คงลืมไปแล้ว” พูดพลางรั้งเอวคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ ๆ
“เช้าของอีกวัน” เต็มฟ้าตอบหน้าตาเฉย
คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่แทบจะทึ้งหัวตัวเอง
“ไม่เห็นใจคนคิดถึงบ้างเลย ใช่สิ! มีแต่เราที่คิดถึงเขาอยู่คนเดียวนี่”
ศิธาพัฒน์แสร้งทำงอแงเสียจนน่าหมั่นไส้ในขณะที่เต็มฟ้าเองก็ได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ อยากจะเถียงเหลือเกินว่าไม่ได้มีแค่พี่ปุ่นคนเดียวหรอกที่คิดถึง ตัวเขาเองก็คิดถึงไม่แพ้กัน เรื่องโทรศัพท์มันก็แค่ข้ออ้าง จริง ๆ เพียงอยากจะทดสอบใจตัวเองเท่านั้นว่าจะสามารถอดทนต่อการต้องอยู่โดยปราศจากอีกคนได้หรือไม่ อดคิดไม่ได้เลยว่าจะได้เห็นท่าทางแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน
(มีต่อค่ะ)