คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561  (อ่าน 256359 ครั้ง)

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
แมะ คุณย่า ไม่อยากจะด่าเดี๋ยวจะหาว่าถอนหงอกคนแก่ ชิส์ :m16:
อู๊ย มันช่างเหมาะเจาะจริงๆนะเต็ม
มาได้ยินพอดี แต่ทำไมไม่ยืนฟังให้มันจบก่อน
ช่างสมกับเป็นนายเอกละครไทยจริงๆ
ยังไงก็อย่าเพิ่งถอยนะเต็ม เพราะไม่ใช่แค่ชะนีพรีม
แต่ตอนหลังคิดว่าจะต้องได้เจอน้องชายชะนีแน่ๆ
ไอ้หมอภูมิมันเป็นน้องชายชะนีนะเต็ม
อิพี่ปุ่น ไปง้อไปอธิบายกับน้องให้ไวเลยนะ :katai1:

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
รอดูพี่ปุ่นจะจัดการกับปัญหายังงัย
เห็นบอกว่าจะหลงรักคุณย่างัย มุมไหนของคุณย่าดีนะ

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
เริ่มตอนมาอย่างเขิน อ่านไปบิดไป
ตอนจบมาอย่างหน่วง อ่านไปเฮ้อไป  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
สวัสดีค่ะ เอาตอนที่ 21 มาฝากนะคะ

ขอโทษที่ทำให้รอค่ะ และต้องขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตาม

ยังไงก็มาตามเอาใจช่วยเต็มในตอนหน้า ตอนที่ 22 เป็นตอนสุดท้ายของเรื่องคุณบุรุษไปรษณีย์ฯ นะคะ


ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า


การจราจรที่แทบจะเป็นอัมพาตของกรุงเทพมหานครทำให้รถเก๋งสีดำเข้ามาจอดในบริเวณที่จอดรถของคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงล่าช้ากว่าเวลาที่ประมาณเอาไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง ทันทีที่รถจอดสนิทร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ผุดลุกขึ้นจากโซฟาที่หน้าเคาท์เตอร์ต้อนรับก่อนจะเปิดประตูพรวดออกมายืนฉีกยิ้มรอเจ้าของรถที่เปิดประตูออกมา 


เป็นเวลานานทีเดียวที่ไม่ได้พบหน้ากัน...


กีรติไขกุญแจเปิดประตูก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้เพื่อนเดินเข้าไปในห้อง พอเข้ามาได้เต็มฟ้าก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกที่ว่าสภาพของมันดีกว่าหอพักที่เคยอาศัยอยู่เมื่อตอนเริ่มทำงานมากโข ทั้งที่กีรติเล่าให้ฟังนานแล้วว่าย้ายมาอยู่ที่นี่แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้มาเหยียบให้เป็นมงคลแก่ฝ่าเท้าเลยสักครั้ง


"เป็นอะไรวะ ทำหน้าอย่างกับมีกรดในกระเพาะ"


คนถูกแซวช้อนตามองหัวเราะขื่น ๆ พลางทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา "เออ คงมีจริงแหละมันถึงได้รู้สึกอึดอัดขนาดนี้" เสียงเรียบนิ่งทำให้คนเป็นเพื่อนกันมาเกือบสิบปีรู้ได้ทันทีว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ ดวงตาคมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนุ่มใต้จ้องมองเสี้ยวหน้าที่เพียงเห็นก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องบางอย่างให้คิด ยิ่งลมหายใจหนัก ๆ ที่ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกยิ่งให้อดเป็นห่วงไม่ได้


"เกิดอะไรขึ้นวะ วันนี้ไปบ้านเขามาไม่ใช่เหรอ"


"อือ"


"แล้วเป็นยังไงบ้าง ไม่ดีเหรอ"


"ดี ทุกคนน่ะดี ยกเว้นคุณย่าเขา"


"ทำไมวะ คุณย่าเขาพูดไม่ดีเหรอวะ"


"ถ้าพูดก็ดีสิ นี่เล่นไม่พูดอะไรเลย อึดอัดว่ะ"


"คิดมากน่า" พูดจบกีรติก็เดินมานั่งลงพร้อมกับขยี้ผมคนนั่งข้างกัน


"เวลาถูกมองด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้น มันรู้สึกเหมือนเป็นตัวน่ารังเกียจยังไงไม่รู้ว่ะ" เต็มฟ้ากล่าวพลางเอนศีรษะวางลงบนพนักโซฟา ดวงตาเลื่อนลอยจ้องมองเพดานโล่ง ๆ พลันภาพเก่าก็วนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง สายตาเย็นชาของนายทหารยศสูงผู้นั้นยังคงชัดเจนอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ ถ้าไม่นับรวมครั้งนี้ก็ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้รู้สึกไร้ตัวตนได้เท่าครั้งนั้นอีกแล้ว


“เฮ้ย! คิดมากว่ะ ตัวน่ารังเกียจอะไรกัน จะไปสนใจอะไรกับคนที่ไม่ชอบเรา ทำไมไม่รักษาความรู้สึกของคนที่รักเราให้มาก ๆ วะ”


“เฮ้อ!!!! ถ้ามันหยุดคิดกันได้ง่าย ๆ ก็ดีสิวะ แบบกดปุ่มหยุดไปเลยยิ่งดี”


“มา เดี๋ยวกดให้” พูดจบก็รั้งคออีกฝ่ายเข้ามาหาตัวก่อนจะใช้มือข้างที่เหลือตบลงกลางกระหม่อมแบบเน้น ๆ จนคนไม่ทันระวังตัวร้องโอดโอย


“ไอ้เก้!! ตบมาได้ เจ็บนะโว้ย! หัวแตกหรือเปล่าวะ” เต็มฟ้าโวยวาย กว่าจะดิ้นหลุดไม่ได้โดนซ้ำก็เล่นเอาหอบแฮ่ก พอตั้งตัวได้ลูบศีรษะตัวเองพร้อมกับส่งสายตาขุ่น ๆ ให้เจ้าของมือหนักที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจ


“เยอะไป หัวตงหัวแตกอะไร ก็ทำให้เจ็บ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน” หนุ่มผิวเข้มพูดกลั้วหัวเราะพลางสบตาคนตรงหน้า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังมีความปรารถนาดีให้แก่กันเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ยังมีความรู้สึกดี ๆ ที่พร้อมจะมอบให้ หากวันนี้ได้เป็นเพื่อนก็จะทำหน้าที่ของเพื่อนให้ดีที่สุด นี่คือคำสัญญาที่กีรติตะโกนก้องอยู่ในใจโดยที่อีกฝ่ายไม่มีวันได้ยิน รู้สึกสบายใจเมื่อในที่สุดริมฝีปากบางก็ยิ้มน้อย ๆ อีกครั้ง....


ทั้งที่เป็นวันหยุดยาวแต่ทั้งกีรติและดุ่ยยังต้องเร่งทำงานเพื่อให้เสร็จตามกำหนด หนุ่ม ๆ จึงตกลงกันว่าจะใช้เวลาหลังเลิกงงานเป็นเวลาพบสังสรรค์กัน ตั้งแต่เช้าเต็มฟ้าจึงฆ่าเวลาด้วยการเดินเตร็ดเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้อของขวัญให้คนสำคัญในโอกาสพิเศษที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจนแทบจะลืมคนที่ร่วมทางมาจากลำปางไปเสียสนิท มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลาเลิกงานจึงรีบออกจากห้างสรรพสินค้าเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าไปยังที่ที่ได้นัดหมายกันเอาไว้


หากจะเปรียบเทียบอากาศหน้าหนาวในกรุงเทพฯ กับลำปางแล้วก็ช่างต่างกันลิบลับ  ยังคงเป็นเมืองที่แออัดในความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัด แม้จะเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เสียหลายปีแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกชินตากับภาพที่เห็นอยู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยฝูงชนที่ต่างก้มหน้าก้มตาอยู่ในโลกใบเล็ก ๆ บนฝ่ามือของตัวเอง บนถนนคลาคล่ำด้วยยวดยานพาหนะ ส่งเสียงดังจนน่ารำคาญ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าออกมาดูแต่คนที่โทร.เข้ามาก็วางสายไปเสียก่อน รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกันที่หน้าจอแสดงตัวเลขของสายที่ไม่ได้รับเป็นสิบสาย ซึ่งเจ้าของเบอร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนที่ยังไม่ได้คุยกันเลยหลังจากแยกกันตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำนั่นเอง


เต็มฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ก้าวลงบันไดเลื่อนมุ่งสู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่อยู่ด้ายล่าง พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่เห็นยืนอยู่ไกล ๆ ในฝั่งตรงข้ามกัน แว่นสายตากรอบหนาไม่อาจบดบังดวงตาคู่นั้นที่เคยให้ความรู้สึกวูบไหวยามเมื่อได้สบประสานกันได้เลย โชคดีที่เขาไม่ได้มองมาทางนี้แต่กำลังมองไปยังสาวน้อยร่างเล็กที่ยืนเกาะแขนกันไม่ห่าง เสื้อกาวน์แขนสั้นปักด้วยด้ายสีเขียวทำให้รู้ว่าเธอเป็นนักเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยที่เต็มฟ้าสำเร็จการศึกษา ผมสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอนหลวม ๆ เข้ากับหน้ารูปไข่เคลือบทับด้วยเครื่องสำอางบาง ๆ ยิ่งทำให้เธอดูสวยเด่นกว่าบรรดาหญิงสาวมากมายที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่บนบันไดเลื่อน ใคร ๆ ที่ได้มองคงก็ว่าเหมาะสมกัน...นายแพทย์หนุ่มหล่ออดีตเจ้าของตำแหน่งเดือนคณะแพทยศาสตร์กับนักเรียนแพทย์สาวสวย ภาพนั้นขยับเข้ามาใกล้เข้ามาทุกทีกระทั่งเมื่อถึงจุดที่สวนกันระยะห่างระหว่างคนสองคนใกล้แค่เอื้อม แต่เต็มฟ้าก็ไม่คิดจะเอื้อมมือคว้า เขาเลือกที่จะปล่อยให้ภาพนั้นค่อย ๆ ผ่านไป ไม่คิดแม้แต่จะเหลียวกลับไปมองด้วยซ้ำ



ทันทีที่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงแต้มด้วยริ้วเมฆสีส้มให้บรรยากาศชวนเหงาอย่างไรบอกไม่ถูก นึกถึงตอนสมัยเรียนหากเป็นเวลานี้เขาคงขลุกอยู่ในห้องปฏิบัติการเซรามิคไม่เช่นนั้นก็คงชวนเพื่อน ๆ นั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่ที่ร้านประจำร้านไหนสักร้านรอบ ๆ มหาวิทยาลัย  เดินจากสถานีรถไฟฟ้าเพียงไม่นานก็เห็นป้ายบอกทางไปมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งพร้อมกับรีบเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นว่าเลยเวลานัดมาเกือบห้านาที อาศัยช่วงจังหวะรถติดข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยแคบ ๆ ที่ขนาบข้างด้วยร้านค้าแผงลอย จากนั้นก็ข้ามสะพานข้ามคลองแล้วมาหยุดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับท่าเรือ ในร้านเต็มไปด้วยหนุ่มสาวคนทำงานและบรรดานักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียน เพราะราคาถูกและรสชาติที่ถูกปาก ทั้งเขาและเพื่อน ๆ ต่างก็ยกให้ร้านนี้เป็นหนึ่งในทางเลือกเมื่อต้องคิดว่าจะกินอะไรดี


“ไอ้เต็ม!!!” ชายหนุ่มร่างเล็กตะโกนเรียก พาให้คนอื่น ๆ ในร้านหันมามองกันเป็นตาเดียว เต็มฟ้ายกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขาเห็นแล้วก่อนจะเดินไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างโต๊ะของนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่คงจะพากันมาเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสพิเศษเข้าไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านในสุด ซึ่งอยู่ติดกับแนวทางเดินยกสูงขนานลำคลอง มีลูกกรงเหล็กซี่ห่างที่กั้นแบ่งอาณาเขต


“มาช้าจังวะ” หนุ่มเคราแพะกล่าวพลางยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นดื่ม


“พอดีไปซื้อของให้น้องมา” เต็มฟ้ากล่าวเมื่อนั่งลง ทอดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศสนุกสนานและเสียงหัวเฮฮาในหมู่เพื่อนฝูง ภาพผู้คนจำนวนมากที่กำลังรอเรือโดยสารอยู่บนโป๊ะเป็นสิ่งชินตาที่เห็นมาตั้งแต่สมัยเรียน ยามเมื่อเรือจอดเทียบท่าต่างคนก็ต่างก้าวลงเรือหาที่ยึดเกาะ เวลาเรือสวนกันก็ต้องยกผืนพลาสติกขึ้นกันตัวเองจากละอองน้ำสีดำสนิทที่กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศจนแทบจะไม่มีเวลาได้ซึมซับกับทิศทัศน์ริมฝั่งน้ำ

 
“มาที่นี่ทีไรนึกถึงไอ้เด็กคณะพละคนนั้นทุกทีเลยว่ะ” พูดพลางใช้หลอดคนน้ำในแก้วอะลูมิเนียมไปเรื่อยเปื่อย


“อ๋อ ที่มันก้าวพลาดตกลงไปในคลองใช่ไหม” กีรติกล่าวเมื่อเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์กีฬาในมือมองตามสายตาของเพื่อนรัก 


“เออ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง”


“ได้ข่าวว่ามันเกือบติดทีมชาตินะ แต่เพราะต้องไปรักษาโรคผิวหนังเรื้อรังเลยตัดสินใจลาวงการ” น้ำเสียงจริงจังของพ่อหนุ่มเคราแพะทำเอาเต็มฟ้ารู้สึกสนอกสนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดไม่น้อย คิ้วหนาเลิกขึ้นอยากแปลกใจไม่คิดว่าเพื่อนจะมีข้อมูลแน่นขนาดนี้


“จริง?”


“เชื่อเหรอวะ”


“ไอ้ดุ่ย เอาดี ๆ สิวะ” เต็มฟ้ากล่าวอย่างขัดใจ


“อ้าว ไอ้นี่ ใครจะไม่รู้กับมันวะ ข้าก็เจอมันครั้งเดียวตอนที่เห็นมันตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำครำนั่นแหละ เช้าวันรุ่งขึ้นก็จำหน้ามันไม่ได้แล้ว”


“โธ่...คิดว่าจะรู้จริง”


กีรติที่นั่งฟังอยู่นานส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะชะเง้อมองเข้าไปในครัวที่ดูจะวุ่นวายเหลือเกิน ตั้งแต่นั่งรอมาเกือบครึ่งชั่วโมงได้ยินเสียงตะหลิวกระทบกับกระทะไม่หยุดแต่ก็ยังไม่ได้อาหารสักที พลันสายตาก็เลื่อนมาหยุดที่ร่างของใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินออกจากทางเดินแคบ ๆ ข้างร้านตรงมาทางที่พวกเขานั่งอยู่ คงจะใช้ทางนี้เพื่อย่นระยะในการเดินไปที่ท่าเรือเหมือนกับคนอื่น ๆ


“เฮ้ย ๆ ไอ้ดุ่ย นั่นมันไอ้หน้าหล่อที่ไปนั่งกินข้าวบนฟู้ดคอร์ทตึกเรานี่หว่า”


ดุ่ยกลืนน้ำที่อมไว้ในปากลงคอก่อนจะหันมองตาม “เออ จริงด้วยว่ะ”


เต็มฟ้ามองสองคนตรงหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหาอีกคนหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึง รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหนมาก่อน ในที่สุดก็นึกได้เมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ ยิ้ม...เหมือนพี่ชายไม่มีผิด


“อ้าวเฮ้ย!? เต็ม มาทำอะไรแถวนี้” เภสัชกรหนุ่มหล่อทักทายเมื่อเดินมาหยุดที่โต๊ะ


“นัดเพื่อนกินข้าวน่ะ แล้วนายล่ะ”


“เราแวะมาหาเพื่อนแถวนี้ นี่ก็กำลังจะกลับ ว่าจะลองนั่งเรือสักหน่อย ไม่ได้นั่งนานแล้ว”


“กินข้าวด้วยกันก่อนไหม”


“อืม...” ศิลาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าคงไปไม่ทันเเวลาอาหารเย็นของที่บ้านแล้วจึงตอบตกลง ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างเต็มฟ้าพลางยิ้มให้สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“นี่...รู้จักกัน?” กีรติถามด้วยความสงสัยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เพื่อนรักและคนแปลกหน้าสลับกัน


“อือ..รู้จัก” พูดจบก็คนถูกถามลุกขึ้นไปตักน้ำแข็งใส่แก้วก่อนจะเดินกลับมาวางให้ตรงหน้าของคนมาใหม่


“รู้จักกันได้ยังไงวะ” หนุ่มผิวเข้มพึมพำพลางหันไปสบตาเจ้าของเคราแพะที่นั่งส่ายหน้ายิกให้รู้ว่าเขาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนมาก่อน


“เรื่องมันยาว แกมีเวลาสักสามวันไหมจะเล่าให้ฟัง” เต็มฟ้าตอบแบบไม่ทุกข์ร้อน ทำเอาศิลาอดขำหน้างง ๆ ของสองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะไม่ได้


“ลีลาทำไม ก็บอกเขาไปสิว่าเราเป็นน้องชายแฟนนาย” สิ้นเสียงเภสัชกรหนุ่มทุกคนก็ถึงบางอ้อ


“นี่เพื่อนเรา ชื่อเก้ ส่วนไอ้เคราแพะนี่ชื่อดุ่ย” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะหันไปแนะนำน้องชายของศิธาพัฒน์ให้เพื่อนทั้งสองรู้จักบ้าง “นี่ปุ้น”


“เราว่าเราคุ้นหน้าพวกนายนะ” พูดพลางใช้ปลายนิ้วถูคางไปมาอย่างใช้ความคิด


“น่าจะคุ้นอยู่หรอก ก็นายไปกินข้าวบนฟู้ดคอร์ทบนตึกที่พวกเราทำงานออกจะบ่อย บ่อยกว่าคนในนั้นเสียอีก” กีรติกล่าวขณะเทน้ำอัดลมสีดำลงในแก้ว


“อ๋อ ที่ครีเอทีฟสตูดิโอใช่ไหม เราว่าอาหารมันอร่อยดีนะ กินแต่อาหารโรงพยาบาลเบื่อจะแย่เลยลองเปลี่ยนบ้าง”


“เอ๊า ๆๆๆ พูดแบบนี้แสดงว่าไม่รู้ว่าความอร่อยที่แท้จริงมันเป็นยังไงใช่ไหม เดี๋ยววันหลังพี่ดุ่ยจะพาน้องปุ้นไปสัมผัสรสชาตินั้นนะครับ” พ่อหนุ่มเคราแพะแทรกขึ้น


“เฮ้ย! ขนาดนี้ยังว่าไม่อร่อยอีกเหรอ”


กีรติและดุ่ยสบตากันก่อนจะหันมาส่ายหน้าเป็นคำตอบ ถ้าไม่เป็นเพราะเขาทั้งสองคนกินบ่อยจนเบื่อ ศิลาคนนี้ก็คงลิ้นจระเข้เต็มที


“มีอะไรบ้างที่อร่อย” เต็มฟ้าถือโอกาสถาม ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไรอร่อยจนต้องขึ้นไปกินทุกวัน ฟู้ดคอร์ทบนตึก ถ้าฝนไม่ตกหรืองานไม่เร่งจริง ๆ ก็แทบจะไม่ได้ย่างกลายเข้าไป

 
“ข้าวมันไก่ก็อร่อยนะ แต่เสียดายไปทีไรน้ำซุปหมดทุกที”


“หมดบ้าอะไร ร้านนั้นน่ะงกจะตาย บางทีก็ทำเนียนไม่ตักน้ำซุปให้นะ ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม” หนุ่มผิวเข้มโคลงศีรษะให้กับความไม่รู้อะไรเลยของคนที่เพิ่งได้พบกัน


“โห...มีแบบนี้ด้วยเหรอ งกน้ำซุปน่ะ แบบนี้คนกินแล้วติดคอก็แย่เลยสิ”


“มันมีเคล็ดลับโว้ย”


“เคล็ดลับ?” ท่าทางกวน ๆ กับรอยยิ้มมีเลสนัยทำให้ศิลามองคนเคราแพะด้วยสายตาไม่ไว้ใจ


“ใช่..เคล็ดลับ รู้แล้วเหยียบเลยนะ” คนพูดป้องปากกระซิบกระซาบ “ถ้าติดคอ แค่ลากลงไปกินในน้ำก็จบ”


ศิลาหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างเซ็งในอารมณ์ ‘รู้แล้วว่าควรจะเหยียบอะไร เหยียบน่าจะดีที่สุด’ พยายามเก็บอาการไว้ก่อนจะพูดต่อหน้าตาเฉย “นอกจากข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวอีกนะ ไม่ต้องปรุงเลย”


“อร่อยขนาดนั้นเชียว?” กีรติมุ่นคิ้วสงสัย ‘ทำไมอร่อยหลายอย่างจังวะ?’


“ไม่รู้เหมือนกัน มันหกก่อนเลยไม่ทันได้ปรุง” พูดจบก็ยักคิ้วกวน ๆ รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยหลังจากได้เอาคืนบ้าง


“โห...คุณเภ-สัด……-ชะ-กอนครับ กวนตีนขนาดนี้ท่าจะคบกันยาวแล้วว่ะ ถ้ากินตีนนนนนน...ไก่แล้วเบื่อก็บอกนะ จะพาไปหาอร่อย ๆ กิน” สิ้นเสียงของพ่อหนุ่มเคราแพะ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับมิตรภาพใหม่ที่เริ่มก่อตัว และนั่นก็คือภาพใคร ๆ มักจะได้เห็นเมื่อมีโอกาสแวะเวียนมาที่ร้านอาหารริมคลองแห่งนี้.....


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2014 22:16:20 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เข็มที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีจะสามทุ่ม ศิธาพัฒน์ถอนหายใจพลางใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างตัดสินใจ ดวงตายังคงจ้องมองเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่าวันนี้กดโทร.ออกไปกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเจ้าของเบอร์ก็ไม่รับสายเสียที


“เดี๋ยวเอาของไปเก็บที่รถก่อนนะ” เต็มฟ้ากล่าวกับกีรติขณะที่ทั้งคู่มาถึงคอนโด


“ไปสิ เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน” พูดจบก็พากันเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ที่ลานกว้าง


ทันทีที่เดินไปถึงสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่ง เต็มฟ้ามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะพบกับเขาที่นี่ “มาได้ยังไงวะ” ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง 


“พี่ปุ่น มาทำอะไรที่นี่”


“ก็มาหาเต็มนั่นแหละ” คนถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบค่อนไปทางแข็งทื่อเสียด้วยซ้ำ   


กีรติเหลือบมองเพื่อนรักพลางหันไปสบตาชายหนุ่มแปลกหน้า เพียงแค่นี้ก็พอจะเดาได้ว่าคนตรงคือใคร ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไรต่อ เต็มฟ้าก็แนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน


“พี่ปุ่น นี่เก้เพื่อนเต็ม เก้...นี่พี่ปุ่น ที่เล่าให้ฟัง”


คนถูกแนะนำไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยกมือไหว้ตามมารยาท จากนั้นจึงขอตัวเพื่อให้ทั้งสองคนได้คุยกัน


“พี่ปุ่นมาทำอะไรที่นี่”


“ก็เต็มไปรับโทรศัพท์พี่ โทร.กลับก็ไม่โทร. แล้วจะให้พี่ทำยังไง” ศิธาพัฒน์พูดพลางมองตามชายหนุ่มที่กำลังเดินไปเปิดประตูด้านหลังคนขับก่อนจะวางถุงกระดาษใบหนึ่งลงบนที่นั่ง


“เต็มไม่ได้เปิดเสียง กะว่าถึงคอนโดแล้วจะโทร.หา” เต็มฟ้าหันมากล่าวหลังจากปิดประตูรถ


“แล้ววันนี้ไปไหนมาบ้าง” เสียงนั้นอ่อนลงชวนให้คนฟังคลายความกังวลพอ ๆ กับวงแขนอุ่นที่โอบรัดรอบเอวสอบอยู่ในขณะนี้


“ไปซื้อของให้น้องแล้วก็ไปกินข้าวกับเพื่อนมา” พูดพลางมือก็ดันแผงอกกว้างไปพลาง


“เพื่อนคนเมื่อกี้น่ะเหรอ”


“ใช่...เก้กับดุ่ยแล้วก็ปุ้นด้วย”


ศิธาพัฒน์ไม่แปลกใจนักเพราะน้องชายตัวดีส่งข้อความมารายงานตั้งแต่ตอนที่พวกเขานั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน


“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นเต็มไปกินข้าวบ้านพี่นะ ย่าให้มาชวน”


นี่สิเรื่องที่น่าแปลกใจ....


เต็มฟ้าจ้องหน้าคนตัวสูงอย่างไม่เชื่อหู คิดไม่ออกเลยว่าทำไมหญิงชราท่าทางเย็นชาคนนั้นจึงให้หลานชายมาชวนเขาไปร่วมโต๊ะอาหารด้วยทั้งที่เมื่อวันก่อนแค่หน้าของเขาก็ไม่อยากจะมองเสียด้วยซ้ำ ขณะกำลังคิดเพลิน ๆ อยู่นั้นปลายนิ้วหนาก็กดเบา ๆ ลงบนปลายจมูกพร้อมกับรอยยิ้มแบบที่เห็นทีไรก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักที


“ทำไมทำหน้าแบบนี้ หืม?”


“แค่แปลกใจน่ะ”


“ก็เมื่อวานเต็มรีบกลับไปก่อน ย่ากลับมาจากสวนก็ถามหาบ่นว่ายังไม่ได้คุยกันเลย”


คนฟังหัวเราะขื่น ๆ ในเมื่ออยากเจอก็จะไปเจออีกสักครั้ง....



....
 


ดวงตาพญาเหยี่ยวของคุณนายยุพาจ้องมองรถเก๋งสีดำที่กำลังขับผ่านประตูบ้านเข้ามา ทันที่ที่รถจอดสนิทร่างสูงของชายหนุ่มผิวขาวละเอียดที่เพิ่งได้พบกันเมื่อวันก่อนก็ปรากฏขึ้น เต็มฟ้าเดินตามหลังศิธาพัฒน์เข้ามาในบ้านก่อนจะยกมือไหว้ผู้อาวุโสที่ยังคงทำหน้านิ่งและรับไหว้เขาแบบเสียไม่ได้ อดรู้สึกไม่ได้ว่าเธออยากจะพบเขาจริงตามที่หลานชายคนกลางของเธอบอกจริง ๆ หรือไม่


“ย่าจะไปสวนเหรอครับ” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นย่าหันไปคว้าหมวกใบเก่งสำหรับสวมเพื่อกันแดด


“ว่าจะเข้าไปดูเรือนกล้วยไม้สักหน่อย พอดีคนงานบอกว่ากล้วยไม้ในโรงเรือนมันเป็นโรค แย่จริง ๆ เพิ่งจะเริ่มปลูกก็เป็นโรคเสียแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกับเต็มไปกับย่าด้วยนะครับ”


“แกอยู่นี่แหละ คอยรับของจากคุณยุทธ์แทนย่า เห็นว่าจะให้พลทหารเอามาให้ เดี๋ยวมาแล้วจะไม่เจอใคร นี่พ่อกับแม่แกก็ไม่อยู่”
เต็มฟ้าและศิธาพัฒน์สบตาก่อนจะต่างฝ่ายต่างเงียบ กระทั่งเมื่อคุณนายยุพากล่าวขึ้นอีกครั้ง “ส่วนเธอ ถ้าอยากจะไปเที่ยวในสวนก็ไปด้วยกันสิ”


แม้จะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างแต่เต็มฟ้าก็มิได้มีท่าทางอิดออด ชายหนุ่มเดินตามหญิงชราออกจากบ้านไปเงียบ ๆ โดยมีศิธาพัฒน์ยืนส่งสายตาให้กำลังใจ


คุณนายยุพาในวัยเจ็ดสิบห้าปียังคงเดินเหินอย่างคล่องแคล่ว เธอพาเต็มฟ้าเดินลัดเลาะไปในที่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นแผ่กิ่งก้านเขียวขจี เต็มฟ้ามองแผ่นหลังเล็กของคนเดินนำหน้าคิดว่าหากให้ประมาณระยะทางจากบ้านมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ตลอดทางหญิงชาราก็ยังคงเงียบมาตลอดทางกระทั่งผ่านต้นทุเรียนที่เริ่มออกผลเล็ก ๆ ให้เห็น


“เธอทานทุเรียนเป็นไหม”


“ทานได้ครับคุณย่า”


“อืม...ไม่เหมือนหลานบ้านนี้ ไม่มีใครทานสักคน”


“ผมเป็นพวกลิ้นจระเข้ครับ ทานได้หมด” เต็มฟ้าตอบยิ้ม ๆ ถึงนาทีนี้ก็พอจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง


“ยิ่งเจ้าปุ่นน่ะ ยิ่งกินยาก ไอ้โน่นก็ไม่กินไอ้นี่ก็ไม่กิน เวลาฉันจะทำกับข้าวแต่ละทีถึงกับกุมขมับ”


ริมฝีปากบ่งเผลอคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกภาพของอีกคนที่กำลังถูกพูดถึง “จริง ๆ ก็ทานไม่ยากนะครับ แต่เงื่อนไขเยอะไปหน่อยเท่านั้นเอง”


“เงื่อนไข?” คุณนายยุพาหันกลับมามองคนพูดอย่างแปลกใจก่อนจะเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าพลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงหลายชายที่มักจะทำให้ต้องปวดหัวอยู่เสมอ “จริงสินะ บางอย่างถึงจะชอบแค่ไหนถ้าไม่ถูกใจเสียแล้วละก็พาลไม่กินเอาเฉย ๆ”


คนฟังเพียงแต่พยักหน้าก่อนจะเดินต่อ ไม่นานก็มาถึงเรือนเพาะชำขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยกล้วยไม้หลายสีปลูกอยู่ในกระถางบนนั่งล้านยกสูงเรียงกันไปตามแนวลึกของโรงเรือน ทันทีที่เห็นคุณนายยุพาคนงานก็รีบเข้ามารายงานเรื่องอาการผิดปกติของกล้วยไม้ทันที เต็มฟ้าเดินไปตามช่องว่างระหว่างนั่งล้าน สังเกตว่าที่ใบของกล้วยไม้จำนวนหนึ่งที่ด้านหน้าและหลังใบเป็นจุดสีดำ


“แปลกจริง ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้” หญิงชราบ่นพลางพลิกใบกล้วยไม้ไปมาเพื่อสำรวจดูความเสียหายก่อนจะหันไปมองต้นที่ปลูกอยู่ข้าง ๆ กันที่ยังคงเป็นปกติ


“คุณย่าอย่าจับนะครับ” เต็มฟ้าทักขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยื่นมือไปสัมผัสกล้วยไม้กรถางข้าง ๆ


เพียงเท่านั้นความรู้สึกขัดใจก็แล่นปรี๊ดขึ้นทันที หญิงชราหันไปสบตาคนพูดพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะถามถึงเหตุผลที่อยู่ ๆ หนุ่มน้อยผู้นี้ถือวิสาสะมาออกคำสั่งกับเธอ


“ผมว่ามันน่าจะเป็นโรคเพราะติดเกิดเชื้อรา ถ้าเราเอามือไปจับต้นที่เป็นโรคไปจับต้นอื่น ๆ มันก็จะติดต่อกันได้ พวกมีดตัดแต่งก็เหมือนกันครับ”


คำอธิบายที่ฟังดูมีน้ำหนักทำให้ความรู้สึกไม่พอใจคลายลงเล็กน้อย ถึงจะอธิบายได้เป็นฉาก ๆ แต่ชาวสวนผู้คลุกคลีอยู่กับต้นไม้มานานปีอย่างคุณนายยุพาก็ยากจะทำใจเชื่อ


“ทำไมเธอถึงรู้เรื่องพวกนี้”


“พ่อผมก็ปลูกกล้วยไม้พวกนี้เหมือนกัน หวงนักหวงหนายิ่งกว่าลูกตัวเองเสียอีก” พูดไปก็ยิ้มไป “แต่พอเวลาเป็นโรคขึ้นมาทีก็ต้องตัดใจทำลายทิ้งเหมือนกัน มันจะได้ไม่แพร่กระจายไปต้นอื่น”


“แล้วอย่างนี้ฉันควรจะทำยังไง” หญิงชราถือโอกาสลองภูมิ


“ต้นที่เป็นโรคแล้วก็ต้องเผาทิ้ง เชื้อราพวกนี้แพร่กระจายไปกับน้ำและลมรวมถึงจากมือเราด้วย โรงเรือนก็ต้องทำให้โปร่งเข้าไว้ แล้วก็ต้องฉีดพ่นด้วยสารเคมีหลีกเลี่ยงการพ่นปุ๋ยในอัตราความเข้มข้นสูงเวลาแดดจัดด้วยครับ”


“คุณพ่อเธอทำแบบนี้เหรอ”


“ใช่ครับ”


คุณนายยุพาพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะหันไปสั่งการคนงานให้ทำตามข้อแนะนำของชายหนุ่ม


“คราวก่อนที่ไปลำปางก็ได้คุยกันไม่กี่คำเลยไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงตรัยก็ปลูกกล้วยไม้ด้วย สงสัยไปลำปางคราวหน้าจะต้องแวะไว้คุยด้วยสักหน่อยก่อนที่จะไม่มีโอกาส”


คำพูดของอีกฝ่ายสร้างความสงสัยให้คนฟังไม่น้อย


“เธอรู้ใช่ไหมเรื่องที่เจ้าปุ่นเคยสัญญาเอาไว้”


“ครับ พี่ปุ่นเคยเล่าให้ฟังว่าสัญญาเอาไว้กับคุณย่าว่าจะขอทำงานที่ลำปาง 3 ปี แล้วจะกลับมาเรียนต่อ”


“อืม...แล้วเธอคิดว่ายังไง”


“ผมคิดว่าถ้าเราสัญญาอะไรกับใครไว้เราก็ควรจะรักษาสัญญาครับ”


“แล้วถ้าฉันขอให้เธอสัญญาว่าเมื่อถึงเวลานั้นเธอจะไม่มายุ่งกับหลานชายฉันอีกล่ะ”


คำถามนั้นทำเอาเต็มฟ้ารู้สึกชาไปทั้งตัว ชายหนุ่มสบตานิ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจผ่านปลายจมูกอย่างแผ่วเบา


“ฉันรู้ว่ามันอาจโหดร้ายไปหน่อยนะ แต่อยากลองคิดในมุมของคนในครอบครัว เรื่องแบบนี้มันค่อนข้างทำใจยอมรับได้ยากสักหน่อยโดยเฉพาะคนแก่หัวโบราณอย่างฉัน อีกอย่างครอบครัวเราค่อนข้างมีหน้ามีตาทางสังคมเธอจะรับได้เหรอเวลาที่หลายคนจะมองพวกเธอด้วยสายตาแปลก ๆ”


“ผมเข้าใจครับ” คนฟังกล่าวอย่างสุภาพ


“ฝากให้เธอไปลองคิดทบทวนก็แล้วกัน” คุณนายยุพากล่าวทิ้งท้าย


....


ลมหายใจหนัก ๆ ถูกส่งผ่านปลายจมูกออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งที่เขาหยุดยืนอยู่ตรงนี้ เต็มฟ้าทอดตามองผืนน้ำเบื้องหน้า เรือที่แล่นผ่านทำให้เกิดเป็นระลอกลูกใหญ่ซัดเข้าหาตลิ่งจนเกิดเป็นระลอกคลื่น แรงปะทะของน้ำทำให้เกิดเสียงดังแต่เพียงไม่นานสายน้ำก็กลับสงบนิ่งลงอีกครั้งต่างจากความรู้สึกภายในใจขณะนี้ที่ยังหาความสงบไม่ได้เลย คำพูดของหญิงชราเหมือนเกลียวคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าหาราวกับจะดูดกลืนตัวเขาให้หายไปต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะหันหลังกลับ พลันร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงตาคมกริบภายใต้กระจกแว่นตาจ้องมองมาราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริง 


“ตะ..เต็ม” ยุทธภูมิกล่าวอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกดีใจระคนแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งที่นี่


เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบอะไรซ้ำยังทำท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งข้อมือเอาไว้


“ดะ..เดี๋ยวก่อน คุยกันก่อน”


“ปล่อยเรา”


ยุทธภูมิจ้องมองอดีตคนรักที่กำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาเรียบเฉย


“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ระ..หรือว่าคนที่พี่พรีมพูดถึง....” คุณหมอหนุ่มกล่าวพลางทบทวนเรื่องราวของศิธาพัฒน์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากปากของพี่สาว “ตะ..เต็มกับพี่ปุ่น...ไม่จริงใช่ไหม”


“ไม่เกี่ยวกับนาย” เต็มฟ้าตอบห้วน ๆ พร้อมกับพยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน


“จะทิ้งกันง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”


ประโยคนั้นทำเอาคนฟังต้องเงยหน้าขึ้นสู้สายตาของคนที่กำลังบีบข้อมือของเขาแน่น “ใช้คำนี้ไม่น่าถูกนะ นายเองน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”


ยุทธภูมิถอนหายใจหนัก ๆ รู้ว่าตนเองผิดแบบเต็มประตูที่การโกหกผู้เป็นพ่อทำให้อีกคนหนึ่งต้องเสียใจ แต่จะทำอย่างไรได้ หากจะต้องเลือก อย่างไรเขาก็ต้องเลือกรักษาความรู้สึกของคนในครอบครัวก่อนแทนที่จะเป็นความรู้สึกของ ‘คนอื่น’ และยิ่งพ่อแสดงท่าทางรังเกียจความรักระหว่างเพศเดียวกันด้วยแล้วมันก็ยิ่งทำให้คนเป็นลูกอย่างเขาไม่กล้าที่จะแสดงออกถึงความต้องการของตนเอง “เราขอโทษนะ แต่นายก็น่าจะรู้ว่าพ่อเราไม่ชอบ....”


“ก็เลยต้องคบผู้หญิงบังหน้า แล้วแบบนี้มันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ”


“นี่นายรู้?”


ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเสียงแว้ดก็ดังขึ้นดังขึ้นขัดจังหวะ “นายภูมิ เธอทำอะไรน่ะ ทะ...ทำไมจับไม้จับมือกันแบบนั้น” พีรนันท์ย่างสามขุมเข้ามาพลางกระชากแขนน้องชายก่อนจะใช้มือของตนเองระดมตีแขนแกร่งของคนเป็นน้องราวกับเขาได้สัมผัสกับสิ่งน่าขยะแขยงก็ไม่ปาน 


“นี่ ๆๆๆ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ทำไมแบบนี้”


“โอ๊ย! พี่พรีมหยุด ภูมิเจ็บ หยุดได้แล้ว!” น้องชายร้องห้ามพร้อมกับใช้มือปัดป้องแต่พี่สาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


“ทำไมจับมือกัน เธอสองคนรู้จักกันเหรอบอกพี่มาเดี๋ยวนี้”


“หยุดได้แล้วพี่พรีม ก็แค่คนรู้จักน่ะ เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน” ยุทธภูมิขึ้นเสียงก่อนจะผ่อนลมหายใจ จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่หนักแน่นพอ ๆ กับหัวใจของตนเอง “เขามายุ่งกับภูมิเอง พี่พรีมก็รู้ว่าภูมิไม่คบหรอกคนแบบนี้น่ะ”


เต็มฟ้ากรอกตาขึ้นพลางถอนหายใจ เป็นอีกครั้งที่ยุทธภูมิโยนภาระทิ้งเช่นนี้เมื่อถึงยามจวนตัว คิดได้ดังนั้นก็ทำท่าจะเดินหนีแต่ก็ต้องชะงักกึก 


“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป เธอยังไปไหนไม่ได้จนกว่าจะบอกว่าเธอมายุ่งกับน้องชายฉันทำไม” พีรนันท์แผดเสียงดุ


“น้องชายคุณมายุ่งกับผมเอง” เต็มฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกพลางมองคนขี้ขลาดที่ยืนอยู่ด้านหลัง


“แต่น้องฉันเขาบอกว่าเธอไปยุ่งกับเขานี่ นี่ยุ่งกับปุ่นคนเดียวยังไม่พอหรือไง ถึงเที่ยวไปยุ่งกับชาวบ้านเขาระวังเถอะจะติดโรค”


“พี่พรีมพอเถอะน่า”


“เธอเงียบไปเลยนายภูมิ ฉันจะสั่งสอนพวกคนวิปริตนี่”


‘พวกคนวิปริต’ คนถูกกล่าวหาพยายามข่มอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นของตนเองก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ


“ผมก็เป็นคนปกติเหมือนคุณ ในความคิดของผมคนวิปริตน่าจะเป็นพวกที่คิดว่าตัวเองสูงส่งจนกระทั่งพูดจาดูถูกเหยียดหยามคนอื่นมากกว่า”


“เด็กบ้า! นี่เธอว่ากระทบฉันเหรอ”


“ผมไม่ได้ว่าคุณ แต่อยากจะให้คุณเข้าใจเสียใหม่”


“แก!!!” พีรนันท์กัดฟันกรอด “พวกผิดธรรมชาติ”


“พอเถอะครับ” เต็มฟ้าเม้มปากแน่น ทั้งที่คิดว่าจะไม่พูดให้อีกฝ่ายเสียหายเพราะอย่างน้อยก็เคยเป็นคนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันมาก่อน แต่สุดท้ายอารมณ์ก็ทำให้สิ่งที่ตั้งใจเอาไว้พังทลายลง “เพราะยิ่งคุณว่าผมก็เหมือนว่าน้องชายของตัวเอง”


“กะ..แก...หมายความว่ายังไง น้องฉันทำไม” หญิงสาวกล่าวก่อนจะหันไปส่งสายตาคาดโทษให้น้องชาย


“ถามน้องชายคุณเองดีกว่า ผมขอตัว”


“ไอ้เด็กบ้า บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่าที่พูดเมื่อกี้แกหมายความว่ายังไง”


“พอเถอะน่าพี่พรีม อย่าไปฟังมากเลย ตัวเองน่ารังเกียจคนเดียวไม่พอยังจะดึงให้คนอื่นเขาเป็นแบบตัวเองอีก คนแบบนี้น่ะอย่าไปเสียเวลาด้วยเลย”


เต็มฟ้าหันขวับจ้องตายุทธภูมิ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้ยินคำพูดที่สะท้อนบางอย่างในจิตใจของเขา มือเล็กกำแน่นพยายามจะบอกตัวเองว่าสิ่งที่ได้ฟังมันเป็นเพียลงแค่สายลมที่พัดผ่านไม่อาจสร้างความเจ็บปวดได้เลยสักนิด


“ตัวเองต่ำแล้วยังดึงให้คนอื่นลงต่ำ” ผู้เป็นน้องชายยังคงย้ำในขณะที่พีรนันท์มองคนตรงหน้าด้วยสายตาขุ่น ๆ นึกสงสัยเมื่อริมฝีปากบางที่ค่อย ๆ เหยียดออก แปลกใจที่อีกฝ่ายกลับยังยิ้มได้


“แกยิ้มอะไร” หญิงสาวกล่าวเสียงเขียว


“ก็แค่...รู้สึกว่าตัวเองโชคดีน่ะครับ ที่คนในครอบครัวของผมยอมรับกับสิ่งที่ผมเป็น ไม่เหมือน....” เต็มฟ้าจงใจท้าทาย


“เต็ม! หยุดพูดได้แล้ว!” ยุทธภูมิขึ้นเสียง


 “ไม่เหมือนอะไร แกพูดมาให้จบนะ”


“ก็ไม่เหมือนน้องชายขะ..ของ....”



พลั่ก!



ยังพูดไม่ทันจบเต็มฟ้าก็ถูกยุทธภูมิผลักจนเซ อีกฝ่ายสาวเท้าตามมาคว้าคอเสื้อก่อนจะง้างหมัดใส่คนที่กำลังจะทำให้ความลับที่ตนเองไม่เคยบอกให้คนในครอบครัวรู้ถูกเปิดเผย เต็มฟ้าจ้องตาเขม็งกะว่าอย่างไรเสียการตกเป็นรองเช่นนี้ก็คงต้องเจ็บตัวแน่   


“อย่ามาทำนิสัยป่าเถื่อนในบ้านนี้” ศิธาพัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกในขณะที่มือหนารั้งข้อมือของคนอารมณ์พุ่งพล่านเอาไว้ ดวงตาแข็งกร้าวเขม็งจนอีกฝ่ายต้องรีบคลายมือที่กำคอเสื้อของเต็มฟ้าพร้อมกับรีบผละออก


“ปะ..ปุ่น...” พีรนันท์พยายามจะอธิบายเรื่องทั้งหมดแต่ศิธาพัฒน์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด

 
"ไปทานข้าวเถอะ ย่ารออยู่” เจ้าของร่างสูงหันคว้าข้อมือเล็กของคนที่ยืนอยู่ข้างกันก่อนก็เดินจากไปทิ้งให้สองพี่น้องยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2014 22:38:15 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบ เพราะสมาชิกในบ้านเหลือกันเพียงแค่คุณย่ากับหลานชายคนรองและหลานชายคนเล็กกับแขกอีกสามคนเท่านั้น ศิลามองคนนั่งข้าง ๆ กันสลับกับสองพี่น้องตระกูลวรารักษ์โดยเฉพาะผู้เป็นพี่สาวที่จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


“ภูมิกับเจ้าปุ้นนี่อยู่โรงพยาบาลเดียวกันใช่ไหม” ผู้อาวุโสที่สุดเอ่ยขึ้น


“อะ..เอ้อ...ใช่ครับคุณย่า” นายแพทย์หนุ่มหล่อกล่าว


“อืม...รู้แบบนี้ก็สบายใจ คนกันเองมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”


“รับรองว่าไม่พากันออกนอกลู่นอกทางแน่ค่ะคุณย่า” พีรนันท์แทรกขึ้นทำเอาศิลาอดนึกขำในคำพูดของเธอไม่ได้ นอกลู่นอกทางอะไรกัน ถ้าจะออกนอกลู่นอกทางก็คงจะมีแต่คุณหมอคาสโนวาที่นั่งอยู่ข้างเธอนั่นต่างหาก ไม่ใช่ตัวเขาแน่ ๆ


“ยิ้มอะไรเจ้าปุ้น” ผู้เป็นย่าเอ่ยขึ้น


“เปล่าครับ แค่ขำพี่พรีมที่พูดยังกับปุ้นเป็นเด็ก”


“แหม...ก็พี่ยังเห็นน้องปุ้นเป็นเด็กอยู่นี่คะ คนสมัยนี้มันไว้ใจได้ที่ไหน น่ากลัวจะตาย บางคนก็จ้องแต่จะเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้” เจ้าของริมฝีปากสีชมพูกล่าวพลางเหลือบมองชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม


“แต่ก็มีบางคนนะครับที่ตอนมีของบางอย่างอยู่กับตัวกลับไม่เห็นคุณค่า แต่พอไปเป็นของคนอื่นแล้วอยากจะได้คืน” คำพูดของเต็มฟ้าทำให้ศิธาพัฒน์ที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มแทบสำลัก


“เออ จริงด้วย พูดเสียเห็นภาพเชียว” ศิลากล่าวลอยหน้าลอยตาพลางมองสองคนพี่น้องที่พากันทำหน้าเจื่อน


“เอาละ ทานข้าวต่อดีกว่านะ” คุณนายยุพาตัดบทก่อนจะลงมือรับประทานอาหารต่อเงียบ ๆ


หลังรับประทานอาหารเย็นหญิงชราที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนของบ้านหยุดยืนที่หน้าต่างพลางถอนใจเบา ๆ พร้อมกับทอดสายตามองสองหนุ่มที่กำลังเดินตามกันไปที่ศาลาท่าน้ำ ในที่สุดเธอก็ต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังใกล้เข้ามา


“พรีมกับภูมิจะมาลาคุณย่านะค่ะ”   


คุณนายยุพาพยักหน้ายิ้มให้สองพี่น้องตระกูลวรารักษ์ นี่ถ้าหากศิธาพัฒน์และพีรนันท์ไม่เลิกรากันไปเสียก่อน ทั้งสองคนอาจเป็นคู่แต่งงานคู่ต่อไปของบ้านก็ได้ “ย่าขอบใจพรีมกับภูมิมากนะที่อุตส่าห์เอาของฝากมาให้ ฝากขอบคุณคุณพ่อด้วยนะ"


"ไม่เป็นไรค่ะคุณย่า" หญิงสาวกล่าวพลางชะเง้อมองสองคนที่เห็นอยู่ไกล ๆ "หน้าตาก็ดี ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจะเป็นพวกวิปริต” คำพูดที่ไม่ได้หวานตามน้ำเสียงรอดผ่านริมฝีปากเคลือบลิปติกสีชมพูอ่อน


แม้สังคมในมหาวิทยาลัยและสังคมเมืองนอกที่พีรนันท์ไปอยู่จะเปิดกว้างเรื่องเพศแต่เธอก็ยังหลีกเลี่ยงที่จะคบค้าสมาคมกับพวกที่เธอให้คำจำกัดความของพวกเขาว่า 'วิปริต' อยู่ดี นั่นอาจเป็นเพราะเธอเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นการถูกเลี้ยงดูจากพ่อซึ่งเป็นทหารจึงค่อนข้างเข้มงวดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะคบหากับใคร จะเรียนหรือจะเลิกทำงานอะไรก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้เป็นพ่อเสียก่อน เธอจึงเป็นประเภทที่ต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ


คำก็วิปริตคำก็ผิดธรรมชาติ ยุทธภูมิฟังพี่สาวพลางถอนใจเบา ๆ


“ตอนที่คุณย่าเล่าให้ฟังพรีมยังตกใจไม่หายเลยค่ะ”


"นั่นน่ะสินะ ตอนที่เจ้าปุ่นมาบอก ย่าก็แทบช็อกเหมือนกัน" คุณนายยุพากล่าวน้ำเสียงเรียบ ๆ จนยากที่ใครสามารถจะคาดเดาความรู้สึกในตอนนี้ได้แม้แต่หลานสาวคนสนิทอย่างพีรนันท์


"ยิ่งเห็นกิริยามารยาทวันนี้แล้วยิ่งรับไม่ไหวค่ะ แต่คุณย่าไม่ต้องคิดมากนะคะ ความรักแบบนี้มันไม่จีรังยั่งยืนหรอกค่ะ พรีมเห็นมาเยอะแล้ว"


"แล้วหนูล่ะ รู้แบบนี้แล้วยังคิดจะกลับมาคบกับเจ้าปุ่นอีกไหม"


คำถามนี้เล่นเอาคิดหนัก พีรนันท์ยืนนิ่งทบทวนความรู้สึกตัวเอง ตอนแรกก็คิดอยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หวังจะเกลี้ยกล่อมศิธาพัฒน์ให้ละทิ้งจากสิ่งที่กำลังทำอยู่เพื่อมาทำในสิ่งที่เธอคิดว่าเขาควรจะทำ เพราะเขาคือคนที่เธอและพ่อได้เลือกแล้ว แต่สุดท้ายก็โดนตอกกลับจนยับเยิน ตอนนี้พอรู้ว่ามีเด็กนั่นเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญความคิดอยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็กลายเป็นความอยากเอาชนะตราบใดที่ศิธาพัฒน์ยังไม่ถลำลึกเธอก็อยากจะได้เขากลับคืนมาอีกครั้ง


“คิดสิคะ คุณย่าก็รู้ว่าพรีมคบกับปุ่นมานาน...”


คนฟังพยักหน้า เธอรู้เรื่องนั้นดีและพอ ๆ กับรู้เหตุผลว่าทำไมทั้งสองคนถึงเลิกรากัน


“หนูบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นพวกวิปริต ตอนนี้เจ้าปุ่นคบหากับเด็กคนนั้นเท่ากับว่าเจ้าปุ่นก็วิปริตไปด้วย แล้วแบบนี้หนูจะยอมรับได้ไหมถ้าหากจะกลับมาคบกับเจ้าปุ่นอีกครั้ง”


"เอ่อ...คือ..."


เมื่อเห็นคนถูกถามมีท่าทีอึกอักคุณนายยุพาจึงกล่าวต่อ “เจ้าปุ่นกับเด็กคนนั้นก็คบกันมาได้พักใหญ่แล้ว ป่านนี้เพื่อน ๆ หรือคนรู้จักก็คงรู้กันหมด หนูจะทนได้ไหมที่ใคร ๆ จะต้องมองทั้งหนูและเจ้าปุ่นด้วยสายตาแปลก ๆ หนูยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ย่าแค่อยากฝากให้หนูกลับไปลองคิดทบทวนดู” หญิงชรากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปส่งทั้งคู่ที่หน้าบ้าน


.....



ศิธาพัฒน์เดินจูงมือเต็มฟ้ามาที่ศาลาท่าน้ำเพื่อถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น  แม้จะทำอิดออดถ่วงเวลาแต่ในที่สุดคนโดนสอบสวนก็จำต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง


“เพิ่งรู้ว่าชอบหมอ” เจ้าของร่างสูงกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดจนคนฟังต้องกอดอกถอนหายใจ


“ไม่อยากเล่าให้ฟังก็เพราะแบบนี้แหละ”


“พี่บอกแล้วยังไงว่าถ้ามีอะไรให้คุยกัน”


“ถ้าบอกแล้วพูดประชดกันแบบนี้ไม่บอกดีกว่า”


“ไม่ได้ประชดสักหน่อย”


“เนี่ยนะไม่ประชด ก็ได้ยินอยู่”


ศิธาพัฒน์คลี่ยิ้มพลางรั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ “ไม่ได้ประชดจริง ๆ หึงต่างหาก มีอย่างที่ไหนอยู่ ๆ แฟนเราก็ไปจับมือถือแขนกับแฟนเก่า”


“ทีพี่ปุ่นยังคุยกระหนุงกระหนิงกับแฟนเก่าได้เลย”


“พูดอย่างนี้แสดงว่าหึง ไปได้ยินอะไรมาไหนบอกพี่ซิ หืม?” พูดพลางยกมือขึ้นเขี่ยปอยผมที่ตกลงมาปิดหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นราวกับต้องการค้นหาคำตอบที่ถูกซ่อนเอาไว้


“ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่อยากฟัง”


“ไม่อยากฟังก็เลยเดินหนี ไม่ยอมฟังให้จบใช่ไหม”


คนฟังหลุบตาลงเสมองไปทางอื่น แต่แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ร่างบางที่กำลังเดินเข้ามา พลันริมฝีปากบางก็เหยียดยิ้มราวกับกำลังนึกสนุกคิดทำอะไรแผลง ๆ เต็มฟ้าเบนหน้ากลับมาสบตาเจ้าของร่างสูงก่อนจะยกแขนขึ้นคล้องคอหนาออกแรงเบา ๆ เพื่อโน้มตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ใกล้พอจะหลอกคนที่ยืนมองอยู่ไกล ๆ ให้คิดว่าเขาทั้งสองคนกำลังจูบกัน


“อะไรเนี่ย” ศิธาพัฒน์กล่าวอย่างแปลกใจ


“พี่ปุ่นอยู่เฉย ๆ เถอะน่า” ปากบางที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบกล่าว

 
“แกล้งเขาอีกแล้วนะ” คนตัวโตกล่าวอย่างรู้ทันเพราะไม่มีทางแน่ที่ตัวแสบอย่างเต็มฟ้าจะทำตัวน่ารักแบบนี้ “ตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารก็แกล้งพูดกระทบเขา นี่ยังจะมาใช้พี่เป็นเครื่องมือแกล้งเขาอีก” เจ้าของร่างสูงกระซิบ


“ช่วยไม่ได้ อยากมาทำไม่ดีกับเต็มก่อน”


“เขาไปหรือยัง”


“ยังเลย ทำหน้าตลกเป็นบ้า” เจ้าของแผนการพยายามกลั้นหัวเราะ


ศิธาพัฒน์ยังคงยืนเงียบ ๆ ตาคมจ้องมองเด็กดื้อด้านในอ้อมแขนเสียจนเพลิน ในขณะที่ใจก็เต้นแรงทุกครั้งที่ริมฝีปากบางชวนสัมผัสขยับยิ้ม  ตาคู่สวยยังคงลอบมองหญิงสาวที่ยืนกระทืบเท้ากระฟัดกระเฟือดเป็นระยะ ๆ ในที่สุดเต็มฟ้าก็หลุดหัวเราะชอบใจเมื่ออีกฝ่ายสะบัดก้นเดินหนีไป


“สมน้ำหน้า” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะคลายวงแขนออกให้อีกฝ่ายเป็นอิสระแต่ดูเหมือนว่าศิธาพัฒน์จะไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น
“ปล่อยได้แล้ว เขาไปแล้ว”


“เผื่อเขาแอบดูอยู่ล่ะ ต้องเล่นให้สมบทบาทสิ เดี๋ยวเขาไม่เชื่อว่าเราเป็นแฟนกันจริง ๆ”


“บทบาทอะไรกัน ปล่อยยยยยย”


คนฟังได้แต่อมยิ้มทำหูทวนลม แขนแกร่งยังคงโอบรัดเอวสอบ ยิ่งหนุ่มน้อยเจ้าแผนการพยายามจะขยับออกก็ยิ่งโดนรั้งให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้นเท่านั้น


“พี่ปุ่น ปล่อยยยยยยย! ไม่ได้ยินหรือไง”


“ได้ยิน แต่ไม่ปล่อย ชอบจังเวลาที่เต็มหึง”


“หึงอะไรเล่า! ไม่ได้หึงเลย”


“เนี่ยเหรอไม่ได้หึง” ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอพลางจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู



“คัท!”


พลันเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะจนสองหนุ่มที่กำลังยืนกอดกันกลมต้องหันมองเป็นตาเดียว ไม่ช้าร่างสูงของศิลาก็ก้าวพ้นพุ่มไม้ออกมา เต็มฟ้าจึงใช้จังหวะนี้ผลักเจ้าของมือปลาหมึกให้ออกห่างตัว


“อะไรของแกเจ้าปุ้น”


“ผู้กินกับสั่งคัทไง เอ้านี่...” พูดจบก็ยื่นตลับขี้ผึ้งสำหรับทาแก้ฟกช้ำให้พี่ชาย


“เอามาทำไม” พี่ชายคนรองขมวดคิ้วมองตลับยากลม ๆ ในมือชายหนุ่ม


“ก็เห็นย่าบอกว่ามีคนโดนแมลงกัดตอนไปเดินในสวนกับย่าเลยให้ปุ้นเอายามาให้”


สิ้นเสียงของศิลาทั้งศิธาพัฒน์และเต็มฟ้าต่างก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง


“ไม่ต้องทำหน้างง” น้องชายคนเล็กกล่าวพลางยัดตลับยาใส่มือพี่ชาย “จะทำอะไรก็ทำต่อ ไม่รบกวนแล้ว” พูดจบก็หันไปสบตาชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแวบหนึ่งพร้อมกับส่งยิ้มปริศนาให้ก่อนจะเดินจากไป


“ไหนมาให้พี่ดูซิ” ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะเดินไปโอบเอวคนที่กำลังยืนทำหน้างงแล้วพากันเดินไปนั่งลงที่บันไดท่าน้ำ ตาคมมองสำรวจเนื้อตัวของคนตรงหน้าเห็นว่าตามแขนเต็มไปด้วยตุ่มสีแดงที่น่าจะเกิดจากแมลงสัตว์กัดต่อย มือหนาจัดการปิดตลับยาก่อนจะควักเอาขี้ผึ้งสีเขียวออกมาทาให้



“เจ็บหรือเปล่า” เจ้าของริมฝีปากอิ่มกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่กำลังส่ายหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ


“ถ้าอย่างนั้นถามใหม่” ศิธาพัฒน์ยิ้มมีเลศนัยพลางกระชับมือที่เกาะกุมข้อมือเล็กเอาไว้


“ถามอะไร”


“ถามว่าหายหึงหรือยัง”


“บอกแล้วไงว่าไม่ได้หึง”


“ไม่ได้หึงแล้วทำไมวันนั้นต้องเดินหนี”


“ก็ไม่อยากฟัง พี่ปุ่นจะรักใครเท่าไหนมันก็เรื่องของพี่ปุ่น” หนุ่มน้อยที่โดนต้อนจนเกือบจะจนมุมรีบสวนกลับ


“พี่จะไปรักใครได้อีก ก็รักคนนี้ไปแล้ว” ปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ พลางจ้องมองคนตรงหน้าที่ไม่ได้หลบลี้หนีสายตาคู่นี้ไปไหน


“รักเท่าไหน มากกว่าคุณคนดีอะไรนั่นหรือเปล่า” น้ำเสียงเอาแต่ใจนั้นทำให้คนฟังอดยิ้มไม่ได้ ‘ไหนบอกว่าไม่ได้หึง’


“มากกว่าสิ ต้องมากกว่าอยู่แล้วเพราะพี่ไม่ได้รักเขาแล้วนี่ แต่เท่าไหนนี่ตอบยาก...อืม...เท่าฟ้าก็คงใหญ่ไป เท่าเต็มฟ้านี่แหละกำลังดี” พูดจบก็รั้งเอวของอีกฝ่ายเข้ามานั่งใกล้ ๆ กัน


เต็มฟ้าสบตาอีกฝ่ายก่อนจะวางศีรษะลงบนบ่าหนา นึกถึงคำถามของหญิงชราเมื่อตอนเย็น พลันรอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนในหน้า แม้อนาคตจะยังมาไม่ถึงแต่ก็พอจะมีคำตอบที่ชัดเจนให้ตนเองแล้ว ชายหนุ่มหลับตาลงช้า ๆ ในเวลาเช่นนี้หากเป็นพี่ปุ่นของเขาแล้วละก็คงจะใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้และตัวเขาเองก็คิดว่าจะทำแบบนั้นเหมือนกัน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2014 22:36:38 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มีความสุขในความหม่น

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่น้องคู่นี้เกินบรรยาย 
ผู้ชายอย่างหมอภูมิ มันน่ารังเกียจจริงๆ
เห็นแก่ตัวมาก ดีแล้วที่เต็มหลุดพ้นมาได้

เต็มไม่ได้หึงงงงงงงงงงงพี่ปุ่นเลย จริงๆ
เข้าง้อกันน่ารักดี อบอุ่นมาก
ชอบจังที่ปุ่นบอก "รักเท่าเต็มฟ้า" 
 :-[ :-[ :-[


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ butter.juliet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เหมือนคุณย่ากำลังทดสอบทั้งเต็มทั้งพรีม แกฉลาดนะ  :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
รอคอยคนเขียนนาน แต่ก็เต็มอิ่ม
แต่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยน้า
ชอบบรรยากาศที่อบอุ่นมาก ๆ
ในชีวิตจริง จะเป็นไปได้ไหมนะ
เพ้ออีกแล้วเรา
 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
เขาเล่นกันน่ารักอ่ะๆๆๆ  :impress2: :-[ :o8:

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
พริมกับภูมินี่สมควรเป็นพี่น้องกันจริงๆๆนิสัยแย่พอกัน :beat: :beat: :beat: :beat:

เต็มสู้ๆๆๆ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
หวานกันแบบเรียบๆ แต่ก็ทำเราเขินตัวแตกอยู่ดี แอร้ยยยย

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เหมือนเต็มจะยอมเลิกกับพี่ปุ่นจริงๆ

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
จิตใจคับแคบ ตตัวน้องก็ขี้ขลาด
อย่าไปอยากดองกับครอบครัวแย่ๆแบบนี้เลยคุณย่า
เต็มมั่นใจได้น่ะ คุณย่าน่าจะมองตามความคิดและการตอบคำถาม
แถมพี่ปุ่นรักเต็มขนาดนี้ด้วย


ปลฺตอนหน้าจบแล้ว ใจหายยยย

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
ชอบที่เต็มพูดบนโต๊ะอาหาร รู้สึกสะใจจริงๆ o18
พี่ปุ่นกับเต็มหยอกกันน่ารัก :-[
3ปี เต็มคงทำให้คุณย่ารักเต็มได้แล้วล่ะ
เพราะแค่ที่มาวันนี้คุณย่าก็เริ่มรู้สึกดีกับเต็มด้วยแล้ว(รึเปล่าหว่า)
ใกล้จบแล้ว ยังไม่อยากให้จบเลย :katai1:

ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
กรี้ดดด เขิลอ่ะ
ผ่านการทดสอบของคุณย่าให้ได้นะคะพี่เต็ม

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
เต็มฟ้าก็เคยโง่นะ ไปรักคนอย่างภูมิได้ไง หลายปีที่คบกันมองไม่ออกเลยเหรอ

คุณย่าเหมือนจะดี แต่เงื่อนไข อะไรนั่นอีก ยุ่งยากซะจริง 75แล้ว ยังไม่ปลง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
คุณย่ากำลังทดสอบอะไรอยู่.....สู้ต่อไปนะเต็ม

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14

ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เต็มไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวคุณย่าก็เห็นเองว่าใครกันแน่ที่น่ารังเกียจ
ชอบพี่ปุ่นใจเย็นและใส่ใจเต็ม ไม่เคยปล่อยให้ปัญหาลุกลามบานปลาย เคลียร์ได้หมด
ปุ้นก็น่ารักนะ


ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
หวังว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีนะ

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
'รักเท่าเต็มฟ้า'~~

แงๆๆๆ ขอผู้ชายอย่างพี่ปุ่นคนนึงค่ะ โคตรอบอุ่น ~.~


ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
ไมตรีจากตลับสีผึ้งที่ฝากมาให้ คงเป็นนิมิตรหมายที่ดี  :mew1:
นั่งคุยกันต่อระวังมดในสวนจะตายด้วยความหวานของพี่ปุ่น หมดสวนนะ  :hao6:
+1 ให้เป็นกำลังใจให้น้องเต็ม รับมือกับคุณย่า

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
โว้ววววว กว่าจะได้มาเม้น ต้องรอเลิกงานเลยนิ
กลัวที่ทำงานจับได้ว่าแอบอู้งานมาอ่านคุณบุรุษฯ

ครึ่งแรกนี่ อยากจับเต็มมาอบรม เรื่องไม่รับโทรศัพท์นี่เป็นอะไรที่ไม่ชอบเลย
คือจะอะไรก็ได้นะ แต่ช่วยรับโทรศัพท์หน่อย บางทีคนโทรเป็นห่วงไง
คิดไปไกลถึงขั้นเป็นอะไร บาดเจ็บหรือเปล่า ได้รับอุบัติเหตุอะไรมั้ย
มันฟุ้งซ่านนะ จะเคืองมากอ่ะ ถ้าติดต่อได้แต่ไม่รับนี่ แบบ...ฮึ่ม น่าจับมาตีก้น


ครึ่งหลังนี่พอให้อภัยได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำตัวเป็นนางเอกให้เค้าโขกสับ
ตอกกลับอย่างนี้แหละ สะใจดี ช็อตยั่วพี่ปุ่นนี่ ยกนิ้วให้นะคะ แร่ดได้อีก กร๊ากกกก


รู้สึกว่าคุณย่าจะไม่ได้ทดสอบแค่เต็มแล้วนะ
คำถามของคุณย่าที่ถามยัยพรีม(แหม่ะ เคยชอบชื่อนี้ แต่พอเป็นพรีมนี้ละ ไม่ปลื้ม)
ก็เหมือนเป็นบททดสอบเหมือนกัน
ซึ่งคาดว่าเต็มคงสอบผ่าน

ตอนหน้าจบแล้ว ยังไม่อยากให้จบเลย อยากให้ต่อไปอีก ยาวๆ
ให้มีอะไรอ่านระหว่างรอเล่มของพี่ตังพี่จ้า เพราะระหว่างนี้ก็ต้องทำการบ้านด้วยจิ้นฉากหลังโคมไฟกันอีก โฮะๆๆๆ :fox2:

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
...พรีม กับ...ภูมิ


ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงเป็นพี่น้องกัน


นิสัยนี่ส่งต่อกันมาอย่างกับคัดลอก   :z6: :z6: :z6:

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
เอาน่า...ถึงคุณย่าจะไม่เปิดใจเต็มร้อย แต่ช่วยเขี่ยชะนีให้ก็เกินร้อยแล้วแหละค่ะ อิๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด