เร่ร่อน9
โป๊ก!
ศีรษะผมโขลกลงบนโต๊ะทำงานอย่างจงใจ เหมือนเป็นวิธีช่วยเรียกสติในสามวันที่ผ่านมาแต่สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้มากนัก ซ้ำหน้าผากที่แนบอยู่บนขอบโต๊ะยังรู้สึกเจ็บหนึบคาดว่าอีกประเดี๋ยวคงขึ้นสีชมพูน่ารัก สายตาจ้องต่ำไปยังปลายรองเท้าสีดำมันปลาบของตัวเอง
ไล่เขาไป แต่กลับเป็นตัวเองที่ทั้งคิดถึง ห่วงหา วนคิดเรื่องของเขาอยู่ตลอดเวลา บ้ามั้ยล่ะ
“คุณเล็กครับ”
“อ่อครับ” ผมพรวดขึ้นมานั่งตัวตรงทันทีตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นคุณพชรมือผมจึงคว้าเข้ากับกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์พลางรีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เชิญครับ” คุณพชรผายมือนำทาง ผมค้อมหัวขอบคุณเล็กน้อยก่อนก้าวเดิน ลงบันไดผ่านโถงออฟฟิศออกประตูด้านหลังไปยังลานจอดรถมุ่งตรงไปที่ BMW Z4 สีบรอนด์ ผมอ้อมไปยืนประตูรถด้านข้างคนขับก่อนที่เจ้าของจะกดรีโมตปลดล็อก ผมจึงเปิดประตูสอดตัวเข้าไปนั่งบนเบาะนุ่ม
“วันนี้ทานอะไรดีครับ” ทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามานั่งประจำตำแหน่งคนขับ จัดการเดินเครื่องยนต์ผ่านร่มชายคาที่บดบังแสงแดดออกสู่ถนนหกเลนที่คับคั่งไปด้วยรถหลากหลายแบบ ก่อนเอ่ยถามผมอย่างเอาใจ
“อะไรก็ได้ครับ” ผมตอบผ่าน
“ผมว่าแล้วว่าคุณต้องตอบแบบนี้ ผมเตรียมร้านไว้แล้วล่ะ” เขายิ้มอย่างมั่นใจในขณะที่จ้องถนนเบื้องหน้าอย่างหมายมั่น เขาคงคิดว่าจะทำให้ผมประทับใจได้
ขณะที่ตัวผมไม่ได้ถามเขาต่อด้วยซ้ำว่าจะพาไปที่ไหน รู้ว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทที่ตัดบทสนทนาด้วยการเงียบ ผมรู้สึกผิดนะแต่ความเนือยมันมากกว่า
ผมแค่อยากอยู่เงียบๆ
เพราะสุดท้ายจะทานอาหารร้านดีแค่ไหน อาหารอร่อยเพียงใด มันก็แค่จุดประสงค์เดียว...เพียงต้องการอิ่มท้องเท่านั้น
ย้อนกลับไปวันที่ทำให้ผมต้องออกมาทานมื้อเที่ยงกับคุณพชรแบบนี้ เป็นวันเดียวกับวันที่ใครคนนั้นเดินออกไปจากชีวิตผม ไม่สิ ต้องบอกว่าผมไล่เขาไปต่างหาก ใช่ ไล่...ไล่ไปอย่างเลือดเย็น
วันนั้นคุณพชรเข้ามาวอแวผมเหมือนอย่างเคย ตอนเช้าผมได้ไอ้ปอนด์ช่วยเหลือไว้เหมือนเดิม แต่ประมาณสิบโมงผมก็โดนหัวหน้าเข้าเรียกพบ
โอเค มันคงเป็นเรื่องงาน ถึงคุณพชรจะเป็นคนตามหึ่งได้อย่างน่ารำคาญ แต่เวลางานเขาก็จริงจังและสุขุมอย่างหัวหน้าที่ดี แต่ผิดคาด เขาไม่ได้เรียกผมมาคุยเรื่องงานอย่างที่หวังไว้ สองคนที่เป็นหัวหน้ากับลูกน้องควรโต้ตอบเรื่องงานกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผิดกับสีหน้าเราสองคนในตอนนั้น ผมจำได้
มีผมที่สีหน้าเคร่งเครียดคนเดียว...ผิดกับอีกฝ่ายที่ยิ้มแย้มพลางพูดหว่านล้อมขอโอกาส
เขาบอกว่าชอบผมจริงๆ
สำหรับผมมันเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี
มีผู้ชายสมบูรณ์แบบมาเอ่ยปากขนาดนี้ไม่รู้สึกดีเลยสักนิด หนำซ้ำกลับยุ่งยากใจเสียด้วยซ้ำ
กับอีกคนที่ไม่มีอะไรเลย ไม่รู้แม้แต่ตัวตน แต่หัวใจกลับสั่นไหวเพียงแค่เมื่อเขาอยู่ใกล้ และเจ็บแทบขาดใจเมื่อไม่มีเขาอยู่
ขนาดในเวลาที่ผู้ชายคนหนึ่งอ้อนวอนขอโอกาส ในหัวผมยังมีแต่ภาพของเขาอยู่เลย...
แต่แม้ในหัวผมจะต่อต้านเพียงใด สุดท้ายก็โอนอ่อนไปจนได้จากนิสัยขี้ใจอ่อน ยอมเอ่ยปากให้โอกาสโดยขอวางกรอบไว้เพียงแค่ทานมื้อเที่ยงด้วยกันเท่านั้น การพัฒนาอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลังเมื่อผมพร้อมกว่านี้
แม้ในใจจะตะโกนฟ้องว่าผมไม่มีวันพร้อมได้ ถ้าหัวใจยังสลักอีกคนไว้อย่างแน่นหนาแบบนี้
เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ตะปูแห่งความเจ็บปวดสงสารที่ตอกลงในหัวใจแปรเปลี่ยนเป็นตะปูที่ตอกปิดตายประตูหัวใจของตัวเอง...และได้กักขังบางคนไว้หลังบานประตูนั่น...ในหัวใจ...
หวังว่าสักวันหนึ่งผมจะสามารถปลดตะปูทุกตัวได้อย่างไม่เจ็บมากนัก...เพื่อปลดปล่อยเขาออกจากหัวใจ...ปลดปล่อยความเจ็บปวดทั้งมวล
ส่วนคุณพชรผมไม่หวังให้เขามาช่วย ผมเป็นคนรักใครยาก เรื่องมากพิจารณาล้านแปดกว่าจะคบใครได้สักคน มาตกม้าตายก็อีตอน...เฮ้อ ผมควรหยุดคิดถึงเขาสักที จริงมั้ย ผมกำลังพูดถึงคุณพชร...
“เล็ก...คุณเล็ก”
“คะครับ!”
“ถึงแล้วครับ”
“อ่ะ อ่อ” ผมพยักหน้ามึนๆก่อนจะลนลานเปิดประตูรถออกไป แอบเหลือบเห็นอีกฝ่ายกลั้วหัวเราะ เขาคงคิดว่าผมเอ๋ออีกแล้ว เขาเคยบอกว่าตอนแรกที่เจอผมน่ารักดูเป็นคนตั้งใจทำงาน อัธยาศัยดี ซ้ำยังมีน้ำใจกับคนรอบข้าง แต่เมื่อรู้จักกันจริงๆผมมีมุมเอ๋อๆมึนๆอยู่ในตัว
อยากจะพูดเหลือเกินว่าไอ้ที่รู้จักกันจริงๆของเขายังไม่ถึงสิบวันด้วยซ้ำ แล้วที่เห็นว่าผมเอ๋อผมมึนน่ะไม่ใช่จากตัวตน ผมกำลังเหม่อเพราะคิดถึงบางคนต่างหาก!
ผมถูกเชิญให้นั่งในมุมหนึ่งที่คุณพชรบอกว่าต้องจองล่วงหน้าถึงสองวันกว่าจะได้โต๊ะมุมนี้มุมที่ดีที่สุดของร้าน ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะต่างจากมุมอื่นตรงไหนเพียงแค่เป็นโต๊ะเดียวที่อยู่บริเวณกลางแม่น้ำนี้เท่านั้น มีสะพานไม้สักทอดยาวออกจากแพร้านส่วนใหญ่ที่ลูกค้านั่งให้ยากต่อการที่พนักงานจะเดินมารับออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร และเช็คบิลก็เท่านั้น
ส่วนรถชาดอาหารต้องยอมรับว่าอร่อย ถูกปาก แต่เทียบไม่ได้กับฝีมือการทำอาหารที่ผมคุ้นปากไปเสียแล้ว มันเลยไม่มีร้านไหนอร่อยเท่า
ถึงครั้งแรกที่ได้ทานรสชาดจะธรรมดาพื้นๆ แต่ครั้งต่อๆมาฝีมือเขาก็ค่อยๆพัฒนาจนอร่อยเลิศ ผมยังเคยคิดเลยว่าวันที่เขาทำงานรวบรวมเงินทุนได้สักก้อนจะให้เขาออกจากงานมาเปิดร้านอาหารจะได้ไม่ต้องถูกใช้แรงงานกดค่าแรงอยู่แบบนี้ เพราถ้าผมจะออกเงินทุนให้เขาคงไม่ยอม
แต่ทุกอย่างมันจบไปแล้ว
อึก
“ผมขอตัวไปห้องน้ำนะครับ” ผมเลื่อนเก้าอี้และลุกออกไปทันทีอย่างรู้ว่าถ้าอยู่ต่ออีกแค่เสี้ยววินาทีผมต้องร้องไห้ให้คุณพชรเห็นแน่ๆ
ผมเข้ามาในห้องน้ำเท้าฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนอ่างล้างหน้าหินอ่อน จ้องมองตัวเองในกระจก ขอบตาแดงช้ำที่มีคราบน้ำตาเปียกชื้นบนแพขนตา ผมปาดน้ำตาออกไปตั้งแต่เดินออกจากโต๊ะมา ถอนหายใจหนักก่อนกดเปิดน้ำวักล้างหน้าให้สดชื่นขึ้น
เบื่อที่ตัวเองต้องเป็นแบบนี้ ในวันๆหนึ่งมีหลายความรู้สึกเกิดขึ้นมากมาย เวลานี้ปกติ อีกเวลาก็รู้สึกเบื่อหน่าย สักพักก็เหม่อลอย ซึมเศร้า และสุดท้ายก็ร้องไห้ออกมาอย่างที่เห็น
โดยไม่ว่าจะอยู่ในความรู้สึกไหน ทุกความรู้สึกจะเกิดจาก ‘เขา’ ทั้งสิ้น
นึกย้อนไปวันนั้น ช่วงเวลาที่ทุกวินาทีผ่านไปอย่างอึดอัด เจ็บปวด
“ฉันคิดว่านาย...ควรออกไปอยู่ด้วยตัวเองเสียที”
“ฉันคงช่วยนายได้เท่านี้”
นับจากที่ผมพูดประโยคนั้นออกไป ทุกอย่างก็เงียบเสียงลง ดวงหน้าเข้มของเขาอึ้งตกใจอย่างเห็นได้ชัดดูได้จากดวงตาคมที่เบิกโพลงขึ้น นาทีต่อมาใบหน้าเขากลับเคร่งขรึมขึ้น นัยน์ตาไหววูบอย่างสับสน ถามผมว่าเขาทำอะไรผิดมากหรือ มันร้ายแรงจนต้องไล่เขาออกไปเลยหรือไร ช่วยบอกได้มั้ยว่าโกรธเรื่องอะไร ผมจำน้ำเสียงกึ่งอ้อนวอนนั้นได้
ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธทุกคำพูดที่เขากล่าวอ้าง สองมือกำขากางเกงแน่นทั้งที่ใจอยากยกขึ้นมาทุบอกบรรเทาความเจ็บภายในใจ
ริมฝีปากสั่นพร่าของผมเอ่ยประโยคหนึ่งออกมากรีดหัวใจช้าๆแต่เน้นลึก
มันช่างตรงข้ามกับความจริง
“ฉันไม่ได้โกรธ...ทะที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พูดคุยกับนายเพราะฉันกระอักกระอ่วนใจที่จะมองหน้า เห็นหน้านายทำให้ฉันนึกถึงคำนินทาของคนรอบตัว อึก” ผมหยุดกลั้นสะอื้น ข่มมันลงไปแล้วพูดคำที่ปั้นแต่งขึ้นต่อ “มันอาจจะถึงเวลา...นายมีงาน มีเงินแล้วก็ควรไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง คงไม่คิดจะอยู่กับฉันไปตลอดใช่มั้ย ฮะๆ เป็นอย่างนั้นคงอึดอัดแย่”
เขานิ่งอึ้ง ไม่ใช่อึ้งตกใจอย่างที่เป็นในคราแรก เหมือนนิ่งแบบช็อก คงคาดไม่ถึงว่าผมจะพูดแบบนี้ ขนาดผมยังไม่คิดว่าตัวเองจะร้ายกาจได้ขนาดนี้
“ผมจะไป...” เขาพูดแค่นั้นก่อนหันหลังเดินหนีไปยังระเบียง ผมมองแผ่นหลังกว้างผ่านประตูกระจกที่ถูกเปิดออก ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนปลิวไสวตามแรงลมบดบังแผ่นหลังกว้างของเขาจากการมองของผมเป็นระยะ
ผมปาดน้ำตาที่ร่วงไหลจากดวงตาทั้งสองข้าง ปิดปากกลั้นก้อนสะอื้น พยุงตัวเองเดินเข้าไปในครัว หยิบชามอาหารเช้าที่วันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งเดินกลับมายังจุดเดิม นั่งลง เงยมองแผ่นหลังกว้างที่ยังอยู่ตำแหน่งเดิม ก่อนก้มลงมองชามข้าวต้มกุ้งที่มีควันลอยเหนือชาม มือสั่นระริกหยิบช้อนขึ้นตักเม็ดข้าวนุ่ม ค่อยๆเป่าลมเคล้ากลั้นสะอื้นก่อนนำเข้าปากช้าๆ
ลิ้นไม่รับรู้รสชาติด้วยซ้ำ ลำคอตีบตันยากต่อการกลืน ท้องมวลจนอยากอาเจียน
แต่ที่ทาน เพราะรู้ว่ามันเป็นอาหารมื้อสุดท้ายจากฝีมือผู้ชายคนนี้
เขาผินหน้ากลับมามองเมื่อได้ยินเสียงช้อนกระทบชามก่อนหันกลับไปมองทิวทัศน์ด้านนอกดังเดิม คำที่สองถูกตักขึ้น ยังไม่ได้ทานเสียงเรียบนิ่งแต่อ่อนแรงของอีกฝ่ายก็ดังมาตามสายลม
“ถ้าเจอกันผมยิ้มให้คุณได้มั้ย”
อึก
ผมเม้มปาก วางช้อนลง
“ดะได้สิ”
“คุณยิ้มตอบผมด้วยนะ”
“อะอือ”
“ทักได้ด้วยมั้ย”
“อะอืม...”
“ถึงเวลาผมคงไม่รู้จะเริ่มทักคุณยังไง คนชวนผมคุยนะ อย่าเดินหนีผม”
“นะแน่นอน...”
“ขอบคุณ...” เขาหมุนตัวกลับมาใช้ช่วงสะโพกพิงกับราวระเบียง ดวงตาคู่คมไหวระริกเล็กน้อย แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วกับคนที่ไม่ค่อยแสดงออกอย่างเขา ผิดกับผมที่ตอนนี้ภาพพร่าเลือนไปหมดด้วยถูกบดบังจากน้ำตาที่ไหลบ่าไปตามร่องแก้ม
“คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตผม ขอบคุณที่ก้าวเข้ามา” รอยยิ้มบางถูกส่งมาให้ ผมไม่ไหว...ไม่ไหวแล้ว...
“ฮือออออออออออออออ” ฝ่ามือสองข้างยกขึ้นปิดใบหน้าก่อนสะอื้นไห้อย่างไม่อาจกักเก็บอะไรไว้ได้อีก ผมตัวโยนด้วยแรงสะอื้น มือเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสาย
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ ไม่ได้หยุดลง เสียงนั้นผ่านเลยออกไปทางด้านหน้าประตู เสียงเปิดประตูที่ให้ผมกระเด้งตัวขึ้นหมุนตัวไปมองอย่างร้อนรน
สองแขนยกปาดน้ำตาเพื่อให้เห็นเขาให้ชัดเจนที่สุด ในใจกู่ร้องว่าอย่าไป ทุกคำที่พูดไปมันไม่จริงเลย แค่พูดไปเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกรังเกียจเท่านั้น...แค่ปกปิดคำว่ารักไว้ ด้วยประโยคที่โหดร้ายเกินทน
สองมือจับลูกปิดประตูเปิดบานไม้สี่เหลี่ยมออก มืออีกข้างอุ้มตี๋น้อยไว้ในอ้อมแขน ขายาวทั้งสองข้างก้าวออกไปยังอีกฝั่งของประตู...เขตแบ่งระหว่างภายในกับภายนอก ใหญ่จ้องมองมาที่ผมเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งผมก็ทำเช่นเดียวกับเขา
“อย่าร้อง...ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือเสียใจ คุณคือผู้ให้ชีวิต คือสิ่งที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ และเป็นสิ่งที่อยู่ในใจผมเสมอมา ลาก่อน 明(หมิง) ของผม”
ปัง
จบประโยคประตูก็ถูกปิดอย่างแผ่วเบา บานไม้ใหญ่เบื้องหน้าปิดกั้นสายตาผมจากทุกอย่าง ไม่มีใหญ่ ไม่มีตี๋น้อย ไม่มีแล้ว
ผมทรุดลงกับพื้นตรงนั้น แล้วปล่อยโฮอีกครั้งอย่างอดสู
จบแล้ว ทุกอย่างจบแล้วจริง
แล้ววันนั้นผมก็ลาหยุดงาน แต่ก็เพียงครึ่งวันก็ต้องออกไปทำงาน เมื่อในห้องเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย รองเท้าเขายังวางที่เดิม เสื้อผ้ายังอยู่ในกล่องสีเทาเหมือนเก่า เขาจากไปด้วยเสื้อผ้าที่ใส่ติดตัวซึ่งก็คือเสื้อกล้ามสีดำยืดย้วยและกางเกงยางยืดสีขาวของไอ้ปอนด์กับเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงเพียงเท่านั้น
แล้วผมจะอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยความรู้สึกได้อย่างไร
“คุณเล็กครับ??” ผมสะดุ้งกับสัมผัสที่แตะบนไหล่
“ครับ ครับ” ผมขานรับอย่างที่สมองยังประมวลไม่ถูก
“คุณโอเคมั้ย?”
“ผม?? อ่อ โอเคๆครับ ผมโอเค ขอโทษนะครับที่หายมานานจนคุณต้องมาตาม” ผมยกมือลูบหน้าลูบตาตัวเอง
“ไม่เป็นไรครับ คุณจะกลับไปทานต่อมั้ย” เขาเลิกคิ้วถาม ผมนิ่งไปนิดก่อนส่ายหน้าช้าๆ เขายิ้มบางก่อนบอก “งั้นกลับกันเถอะครับ”
“แล้ว...”
“ผมเช็คบิลเรียบร้อยแล้ว” ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนเดินออกจากห้องน้ำไปยังรถที่จอดอยู่
ขึ้นมาบนรถผมก็หันไปขอโทษคุณพชรที่เมื่อกี้ทำตัวเสียมารยาท เขายื่นมือมาจับแก้มซึ่งผมสะดุ้งถดตัวหนี
“เอ่อ...” ผมพยายามหาคำที่ไม่น่าเกียจนักเพื่อสื่อไปว่าผมไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวเกินควร แต่เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจเลยชิงเอ่ยออกมา
“ผมขอโทษ”
“ครับ ไม่เป็นไร”
ระหว่างทางกลับไปที่ทำงาน คุณพชรจอดรถเลียบฟุตบาทขอแวะสำนักงานทนายความเพื่อเอาเอกสารบางอย่าง ผมขอนั่งรออยู่บนรถ สายตากวาดมองทั่วบริเวณ ตรงนี้ผมเคยขับรถผ่านสองสามครั้งตอนออกมาพบลูกค้ากับพี่มิ่ง ฝั่งที่รถจอดอยู่มีสำนักงานทนายความหลากหลายเจ้าเรียงยาวติดกันห้าคูหา ใกล้ๆกันเป็นร้านขายข้าวสารขนาดใหญ่ ถัดไปเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลาง อีกฝั่งของถนนเป็นร้านขายอาหารสัตว์และอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง...มันทำให้ผมคิดถึงตี๋น้อย
และเจ้านายของมัน
ผมหลับตาส่ายศีรษะพร้อมกับละสายตาจากฝั่งตรงข้ามมาสนใจฝั่งที่ผมอยู่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งนึกคิด
เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง
ทันทีที่ลืมตาภาพของคนตัวโตที่คุ้นเคยก็ปรากฏชัดเจน
ผมรีบดันตัวเองติดเบาะอย่างหลบหลีก ก่อนจะนึกด่าความโง่เง่าของตัวเอง...รถติดฟิล์มดำทึบขนาดนี้ เขาจะมองเห็นผมได้อย่างไร
แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่กล้า ได้แต่ค่อยๆโผล่สายตาจากโครงรถด้านในมองออกไปด้านนอกผ่านกระจกประตูรถฝั่งที่ผมนั่ง
เป็นเขาจริงๆด้วย...ที่ร้านข้าวสาร...ใหญ่กำลังยกกระสอบป่านสีน้ำตาลที่บรรจุข้าวสาร 100 กิโล ไว้บนแผ่นหลังของเขาที่งองุ้มลง
ไอ้คนบ้า!! ยกทีละสองกระสอบแบบนั้นหลังก็หักกันพอดี!!
แล้วดูซูบลงไปหรือเปล่า ดูผอมขึ้นนะ
มือข้างหนึ่งผมยกแนบกระจกรถตรงตำแหน่งแก้มของเขาจากมุมที่ผมมองอยู่ ลูบไล้ปลายนิ้วที่แนบกระจกแผ่วอย่างคิดไปเองว่าได้สัมผัสผิวแก้มสากของเขา
ทุกความรู้สึกตีตื้นอยู่ในอก
ห่างเพียงกั้น แต่ไกลกันเหลือเกิน
กระดึ๊บๆเข้ามา ปั่นตอนสี่โมงครึ่งเพิ่งเสร็จค่าาาา ยังร้อนๆกรุ่นหอมใหม่ การต้มมาม่ามันทำให้อิฉันแสบร้อนไปทั้งตัวจริงๆ ว๊ากๆ น่าสงสารทั้งคู่แต่ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆ มันเป็นเรื่องของคนสองคนนี่เนอะ (หลบteen)
อีกเรื่องคือถ้าหายไปเกินห้าวันแสดงว่าชีวิตวุ่นวายอยู่กับเรื่องเรียนต่อนะคะ ทั้งทุนเอย...สอบภาษาอังกฤษให้ผ่านเกณฑ์เอย...ไม่มีสมัครแล้วเข้าเรียนฟรีได้เลยหรออออ แต่เค้าจะพยายามลงให้ไม่ขาดช่วงเน้ออออ ให้ไม่ห่างกันข้ามสัปดาห์
ทำสารบัญแล้วนะคะ
สุดท้ายขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ