เร่ร่อน6หืม
หายไปไหนกันหมด
หลังเลิกงานผมตรงดิ่งกลับคอนโด ถึงห้องก็ห้าโมงครึ่งแล้ว พอเปิดประตูเข้ามาก็เจอแต่ความเงียบ เงียบมากเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ในห้องไม่ว่าจะคนหรือสุนัข
ผมถอดรองเท้าไว้บนชั้นวางรองเท้าใกล้ประตูพลางกวาดสายตามองไปรอบห้องจนทั่ว พอส่งเสียงเรียกชื่อทั้งตี๋ใหญ่ตี๋น้อยก็ยังไม่มีเสียงอันใดตอบกลับมา ไม่ใช่ว่าหนีหายไปไหนแล้วเรอะ
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้จริงจังตื่นตระหนกมากนัก อาจเป็นเพราะว่าผมรู้ว่าสิ่งที่คิดเป็นไปไม่ได้ ยังไงตี๋ใหญ่ที่น่ารักของผมก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจกันและผมก็เห็นเขาอยู่ดีมีความสุข
“ใหญ่” ผมส่งเสียงเรียกพร้อมกับเดินหาทั่วห้อง ไปไหนของเขานะ ห้องครัวก็ไม่เจอ ห้องน้ำก็ไม่มี หรือจะอยู่ในห้องนอน
ห้องนอนที่ว่าไม่ใช่ห้องนอนของเขาแต่อย่างใด มันคือห้องนอนของผมเอง ทั้งห้องมีห้องนอนอยู่ห้องเดียวแล้วก็ไม่ได้ให้เขามานอนร่วมห้อง ที่นอนประจำของใหญ่อยู่นู่นนนนน...โซฟาหน้าทีวี
แล้วที่ผมคาดเดาว่าเขาน่าจะอยู่ในห้องนอนเนื่องจากใหญ่จะเข้ามาทำความสะอาดและจัดข้าวของในห้องหลังจากผมออกไปทำงานแล้ว
ความจริงเขาก็ทำมันซุกมุมห้องนั่นแหละ แต่ผมหาที่อื่นจนทั่วแล้วไม่เจอไง ถ้าไม่อยู่ในห้องนอนคงต้องแงะหาตามฝ้าเพดานแล้วล่ะ
แอด
ผมเปิดประตูห้องนอนเข้าไป กวาดตามองรอบห้องก็ไม่เจอ แต่ห้องที่สะอาดตากว่าเมื่อเช้าทำให้รู้ว่าใหญ่เข้ามาทำความสะอาดห้องแล้ว
และหางตาผมก็เหลือบไปเห็นประตูกระจกตรงระเบียงเปิดแง้มไว้ ลมด้านนอกพัดเข้ามาให้ชายผ้าม่านสีครีมปลิวไสว
ผมถอดถุงเท้าออกโยนใส่ลงในตะกร้าไม้สานใบเล็กที่วางเคียงกับตะกร้าไม้สานใบใหญ่กว่าสำหรับเสื้อกางเกงที่ใส่แล้ว ผมชอบแยกถุงเท้ากับกางเกงชั้นในไว้ตะกร้าหนึ่ง เสื้อกางเกงอีกตะกร้าหนึ่งเพื่อป้องกันกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ติดเสื้อผ้า ก่อนค่อยๆเดินไปยังปะตูบานเลื่อนที่เปิดแง้ม เกาะขอบประตูชะโงกหน้าออกไป
แล้วก็ป๊ะ!
อยู่นี่เอง
ผมหลุดขำกับภาพที่เห็น นายตี๋ใหญ่ชายผู้มีใบหน้าคมดุในชุดกางเกงผ้าร่มขาสั้นสีขาวท่อนบนเปล่าเปลือยโชว์แผงอกสีน้ำผึ้งที่ผมชอบ กำลังนั่งกอดเข่าเอนพิงไปกับระเบียง ศีรษะโผล่พ้นซี่เหล็กกั้นออกไปด้านนอกคว้างกลางอากาศอย่างที่ถ้านกสักตัวบินผ่านมาคงชนเขาร่วงตกลงไปปีกหักแน่ๆ
ข้างกันตี๋น้อยที่เดี๋ยวนี้ผมใกล้เปลี่ยนชื่อเป็นตี๋อ้วนให้แล้ว กำลังนอนหมอบหลับมุดอยู่ในกระแป๋งน้ำสีดำที่ล้มตะแคงอยู่เห็นเพียงก้นกลมๆกับหางของมันเท่านั้น
พอกันเลยนะทั้งลูกพี่ลูกน้อง
“ใหญ่” ผมเดินเข้าไปใกล้ นั่งยองๆแล้วใช้นิ้วสะกิดท่อนแขนพ่อตัวใหญ่ ใจไม่อยากปลุกเพราะรู้ว่าเขาตื่นเช้าทุกวัน แต่นี่ใกล้หกโมงเย็นแล้ว
ผมหิวแล้วอ่ะ
“หืม...โอ๊ย”
โป๊ก
โป๊ก
แล้วผมก็หลุดขำอีกครั้ง แหม ตื่นมาก็เจอท่อนเหล็กเคาะเรียกสติเลยนะพ่อคุณ
ใหญ่ปรือตาขึ้นเมื่อถูกสะกิดเรียก พอเห็นว่าเป็นผมเขาก็เด้งตัวจะลุกขึ้น แต่เพราะศีรษะเขาติดอยู่กับซี่เหล็กทั้งบนและล่าง พอเขาผงกหัวขึ้นมาศีรษะก็โขลกเข้ากับท่อนเหล็กถัดไป ร้องโอยหลบศีรษะกลับมาก็โขลกกับท่อนเหล็กที่ใช้รองคอเมื่อครู่อีก
ฮ่าๆ ขี้หูสั่นเลยสิ
ใหญ่นิ่งไปชั่วอึดใจ สงสัยกำลังมึนอยู่ กระพริบตาปริบสามทีช้าๆ ก่อนค่อยๆดึงศีรษะตัวเองออกมาจากซี่เหล็กมรณะอย่างงงๆ
“เป็นไงบ้าง” ผมแกล้งถามออกไป
“เจ็บ” สติยังกลับเข้าร่างไม่ครบจริงๆด้วยแฮะ เพราะถ้าเป็นนายตี๋ใหญ่ตัวจริงเสียงจริงโดนของเด็ดของหนักยังไงไม่มีร้องว่าเจ็บ คนเหล็กของแท้
แปะๆ
ผมยื่นมือไปตบแก้มสากเบาๆแกมหยอก แน่ะ ยังกระพริบตาปริบแบบยังไม่หายมึนอีก ผมเลยส่งเสียงกระตุ้นไปอีก
“หิวแล้ว”
เขามองมานิ่งๆก่อนพยักหน้าช้าๆ
หายเบลอยังเนี่ยยยย
“คุณกลับมานานแล้วหรอ”
“นานพอจะเห็นหมีตาย” ใหญ่ชะงักก่อนโคลงศีรษะเมื่อเข้าใจว่าผมแซว
“ผมทำความสะอาดห้องคุณเสร็จเลยมานั่งพักที่ระเบียง สงสัยลมพัดเย็นไปหน่อยผมเลยเผลอหลับ” เขาอธิบาย ผมยันตัวลุกขึ้น โอย นั่งยองนานแล้วปวดขาแฮะ ก่อนยื่นมือไปคว้าข้อมือใหญ่แล้วออกแรงดึงให้เขาลุกขึ้น ซึ่งเขาก็ยอมลุกตามแรงดึงแต่โดยดี
มีครั้งไหนที่ใหญ่จะปฏิเสธผม ไม่มีหรอก
“ดีแล้วพักบ้าง เดี๋ยวฉันจะไปซื้อข้าวไปด้วยกันนะ” วันนี้ผมตั้งใจจะพาเขาไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง อุดอู้อยู่ในห้องมาหลายวันแล้ว
ใหญ่นิ่งไป ผมเลยดึงเขาเข้าเดินเข้ามาในห้อง ผ่านเตียงกว้างทะลุประตูไปยังห้องนั่งเล่น ก่อนปล่อยข้อมือใหญ่ออกแล้วล้มตัวนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ากล่องพลาสติกสีเทาขนาดกลาง ยกฝาครอบออกก่อนจะชะโงกหน้าไปมองสิ่งของด้านใน
แล้วเลือกหยิบเสื้อกล้ามสีดำออกมา
ไม่ต้องสงสัยกันครับ กล่องพลาสติกขนาดกลางก็คือตู้เสื้อผ้ากลายๆที่ผมพอจะหามาให้เขาได้ มันเคยเป็นกล่องที่ผมเอาไว้ใส่ชีทเรียนตอนสมัยมหาวิทยาลัย ผมเอาติดตัวมาด้วยเผื่อได้ใช้ซึ่งตอนนี้ผมเนรเทศพวกมันไปอยู่ในกล่องกระดาษลังเรียบร้อยแล้ว
อยากจะซื้อใหม่ให้เขา แต่คนเขาไม่ยอมยัดเยียดไปจะทำให้รู้สึกไม่ดีเปล่าๆ ผมน่ะให้โดยไม่คิดอะไรหรอก ใหญ่ที่เป็นผู้รับนี่สิคิดเยอะเกินไป
ขนาดนี้เขายังคิดว่าตัวเองมาเกาะผมอยู่ทุกวี่วัน(ความผิดไอ้ปอนด์คนเดียวเลย!) แทบจะยกผมขึ้นแท่นบูชาเช้าเย็น
ผมเลยพยายามระมัดระวังตัวเองไม่ให้หรือหวังดีกับเขาเกินไปนัก อยากให้เขาสบายใจไม่อึดอัดที่จะอยู่กับผม นี่เป็นเหตุผลหลักที่ผมยอมให้เขาทำงานบ้านตามใจอยากจะทำ ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นสักนิด
เรื่องข้าวของเครื่องใช้เขาก็จะเอาเฉพาะส่วนที่จำเป็นจริงๆและไม่สามารถจะใช้ร่วมกันได้ เช่น แปรงสีฟัน เสื้อผ้า กางเกงใน เป็นต้น
อย่างเสื้อกล้ามสีดำในมือผมก็ของไอ้ปอนด์ฟรีไซส์เลยใส่กันได้
ผมยังไม่มีเวลาพาเขาไปซื้อเสื้อผ้าเพิ่มเลย ทำงานทุกวัน
ตอนนี้เขาจึงมีเสื้อผ้าอยู่สองชุดคือ แจ๊คเก็ตสีแดง เสื้อยืด กางเกงขายาว (ที่ผมซื้อให้) กับ กางเกงขาสั้นสีขาว เสื้อกล้ามสีดำ (ของไอ้ปอนด์) ส่วนกางเกงในผมแวะซื้อให้ที่เซเว่นเจ้าเดิมเจ้าเก่า
ส่วนชุดที่ติดตัวเขามาลองเอาไปซักแล้วแต่มันเกินเยียวยาจริงๆ ผงซักฟอกยี่ห้อไหนก็ล้างคราบสกปรกไม่ออก น้ำยาปรับผ้านุ่มกี่ยี่ห้อก็กลบกลิ่นไม่พึงประสงค์ไม่มิด ผมเลยจัดการเอามันไปลอยอังคารเรียบร้อยโดยผ่านการยินยอมพร้อมลงนามจากเจ้าของอย่าง(ไม่ค่อย)เต็มใจ
“ใหญ่กินอะไร” ผมหันมาถามเมื่อเรามายืนอยู่หน้าร้านข้าวร้านประจำของผมแล้ว ใหญ่ที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกางเกงขาสั้นสีขาวโชว์มัดกล้ามน่าขบกับเรียวขายาวมั่นคง ไม่อยากจะเอ่ย...ชะนีน้อยใหญ่มองกันตาเยิ้มเลยล่ะ แม้แต่หญิงเดอะรุ่นน้ำหมากกระจายยังเหลียวมองจนคอแทบเคล็ด
อาจเพราะไม่คุ้นหน้าคนแถวนี้ แต่ผมเชื่อว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่มองเพราะรูปร่างหน้าตาที่(โคตร)โดดเด่นของเขา!
“ผมกินอะไรก็ได้” เขาหันมาตอบ พลางทำตัวประดักประเดิดกับสายตารอบตัวที่จ้องมองมา
ผมหันไปสั่งกะเพราะไก่ไข่ดาวสองกล่องก่อนกลับมาสนใจคนข้างตัวที่ยกมือถูท้ายทอยอย่างเก้อเขิน ผมขำกับท่าทีนั่น
“เขินหรอ” ผมอมยิ้มแซว เขาส่ายหน้าช้าๆ ผมเลยถามต่อ “แล้วเป็นอะไร”
“แค่รู้สึกแปลกๆ เหมือนโดนจ้อง”
ไม่แค่ ‘เหมือนโดน’ หรอก จ้องกันเห็นๆอย่างโจ่งแจ้งเลยต่างหาก
“แล้วดีใจมั้ย” ผมถามต่อ คราวนี้เขาทำหน้างง
“ทำไมต้องดีใจ”
“ก็...”
ก็ที่ไม่ถูกมองด้วยสายตารังเกียจแล้วผมยั้งปากตัวเองไว้ทัน เพราะไม่รู้ว่าพูดไปแล้วเขาจะรู้สึกยังไงได้อะไรขึ้นมา เมื่อเขามีชีวิตที่ดีขึ้นผมก็ไม่ควรกล่าวถึงอดีตแสนโหดร้าย
“ไม่ต้องเกร็งหรอก เขาแค่ชื่นชมกับความหล่อของนายน่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ส่งมือไปตบต้นแขนปุๆให้เขาปล่อยตัวให้สบาย แต่เหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่
“หล่อ? ผมหรอ” เออออออ นายนั่นแหละค้าบบบบบบ พ่อหล่อลากไส้
ผมไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เอาเถอะ ถ้าผมมีชะตาชีวิตอย่างเขาเรื่องหน้าตาคงเป็นปัจจัยสุดท้ายที่คิดจะใส่ใจเช่นกัน
ยืนรอประมาณสิบนาทีข้าวผัดกระเพราไข่ดาวหอมกรุ่นสองกล่องก็ยื่นมาตรงหน้า ใหญ่รีบรับไปถือไว้ก่อนที่ผมจะเป็นคนจ่ายเงิน ระหว่างรอเงินทอนป้าเจ้าของร้านที่คุ้ยหาเหรียญในตะกร้าก็ส่งยิ้มพูดขึ้น
“เพื่อนหรอพ่อหนุ่ม หล่อดีนะ” ผมยิ้มกว้างรับเงินทอนก่อนตอบคำ
“ครับ เพื่อนผมเอง”
“ไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่ท่าทางคุ้นๆเป็นพระเอกหนังช่องไหนรึเปล่า”
ผมขำ ไอ้ที่คุ้นเพราะเคยเดินโซซัดโซเซอยู่แถวนี้น่ะสิ ส่วนพระเอกหนังเป็นอาชีพที่ผมคิดไว้เลย ยังไม่ล้มเลิกจะพาเขาไปออดิชั่นหรอกนะ เริ่มจากการเป็นนายแบบก่อน อืมๆ เข้าท่าๆ
“สักช่องแหละครับ เดี๋ยวผมรู้จะมาบอกนะ”
“โอ้วววว เป็นดาราจริงๆด้วย”
ผมตัดบท ส่วนป้าแกก็คิดไปไกลแล้ว ผมอาศัยช่วงที่ป้าแกกำลังเพ้อลากนายใหญ่ออกมานอกร้าน ไปหยุดยืนรอข้ามถนนเพื่อข้ามไปเซเว่น ว่าจะซื้อนมกับน้ำผลไม้ซะหน่อย อาหารเม็ดของเจ้าตี๋น้อยด้วยยิ่งโตยิ่งกินจุอ้วนเป็นหมูแทนหมาแล้ว
“คุณคุยอะไรกับป้า ผมไม่เข้าใจ”
“ขำๆ อย่าไปสนใจเลย”
เขาคงเห็นใบหน้าขบขันของผมเลยไม่ใส่ใจอีก เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมทำหน้าแบบนี้ทีไรเขามักจะโดนแกล้งเสมอ รู้ไปก็เข้าตัวเปล่าๆ เขาเลยสนใจการมองซ้ายขวาดูรถที่วิ่งผ่านตรงหน้า มือใหญ่บิดพลิกข้อมือที่ผมจับอยู่เพื่อเป็นฝ่ายมาจับมือผมแทนก่อนดึงผมวิ่งข้ามถนนมาอีกฝั่งเมื่อถนนโล่ง
ผมก้มมองไปยังอุ้งมือใหญ่ที่กอบกุมมือผมอยู่ เม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม...เหมือนกับว่าตัวเองถูกปกป้องดูแล
“ผมรอด้านนอกนะ”
ผมพยักหน้าก่อนเดินผ่านประตูเปิดปิดอัตโนมัติเข้าไป อุณหภูมิเย็นฉ่ำทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น เดินตรงไปหยิบจับของสามสี่อย่างลงตะกร้าสีส้มทั้งนม น้ำผลไม้ อาหารตี๋น้อย แล้วก็ขนมขบเคี้ยวเอาไว้ทานเล่นตอนดูหนัง
เมื่อได้ของครบก็เอามาชำระเงินตรงเคาน์เตอร์ เดินออกมาก็เจอกับภาพที่ทำเอาผมทั้งขำทั้งสงสาร
พนักงานเซเว่นถูพื้นอยู่หน้าร้านอย่างขะมักเขม้น มันจะธรรมดามากถ้านางขยันทำงานด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ใช่นายตี๋ใหญ่เดินไปทางขวานางก็ลากไม้ถูตามรอยเท้าเดินไปทางขวา พอเดินหนีมายืนทางซ้ายก็ลากไม้ถูตามมาทางซ้าย ทำอย่างกับใหญ่เหยียบขี้หมาติดเท้ามาอย่างนั้นแหละ
ไหนจะท่าทางชม้ายตาแลนั่นอีก ลำตัวบิดพันแทบจะเป็นเกลียวเดียวกับไม้ถู
นี่แหละหนาหน้าตาเปลี่ยนชีวิตคน ทำไมผมจะจำไม่ได้ว่าพนักงานเซเว่นฯคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ไล่ใหญ่สมัยยังเป็นชายเร่ร่อนไร้ที่อยู่ ผมไม่โทษเธอเพราะสังคมสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ แต่มันอดขำไม่ได้เมื่อเห็นมาเกี้ยวพาราสีคนที่เธอเคยขับไล่เหมือนหมูหมา
“ใหญ่” ผมเอ่ยเรียก ใหญ่หันมาทำหน้าโล่งใจมากที่เห็นผม ดูเขายังตื่นๆคนอยู่ สังเกตจากเวลามีคนมองมาหรือสนใจเขาจะเงียบกริบท่าทางนิ่งสนิทและพยายามกันตัวเองออกห่าง
สงสารก็สงสาร ขำก็ขำ เอ็นดูร่วมด้วยอีก
น่ารักไปไหนเนี่ยนายตี๋ใหญ่
“ไปเถอะ” ผมเดินเข้าไปกระตุกชายเสื้อ เขารีบพยักหน้าก่อนคว้ามือผมไปจับเดินออกมาทันที เหมือนไม่ได้ตั้งใจจับแต่ลนซะมากกว่า ดูสิ มือชื้นเหงื่อเชียว
เมื่อกลับมาถึงห้องผมก็เอาข้าวในกล่องมาเทใส่จาน และเทน้ำซุปใส่ถ้วย ความจริงตั้งแต่ใหญ่มาอยู่ด้วยเขาจะเป็นคนทำ(แย่งผมทำทุกอย่างแหละ) แต่ตอนนี้หามิได้ ฮ่าๆ เพราะเจ้าหมาตูบกลับวิ่งวุ่นอยู่ริมระเบียงเก็บผ้าลงตะกร้าอย่างรีบร้อนเมื่อฝนที่กำลังตกปรอยเริ่มลงเม็ดห่าใหญ่ขึ้น
ตามจริงใหญ่ตาลีตาเหลือกตั้งแต่ยังไม่ถึงคอนโดด้วยซ้ำ แค่ฟ้าเริ่มตั้งเค้าเมฆก้อนสีดำลอยต่ำก็แทบจะวิ่งพุ่งกลับห้องให้ได้ ติดที่ผมมาด้วยนี่แหละเลยโกยอย่างใจคิดไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังก้าวเดินช่วงยาวกว่าปกติ
ครืดดด
“ฟู่วว เกือบไม่ทัน” คนตัวโตที่ศีรษะเกือบชนขอบประตูระเบียงเพราะส่วนสูงมากเกินไปเลื่อนกระจกปิดวางตะกร้าลงพลางถอนหายใจแล้วบ่นงึมงำกับตัวเอง นี่แหละมุมน่ารักของเจ้าหมาตูบอีกข้อ
โครงหน้าคมดุที่มักนิ่งเงียบเริ่มแสดงสีหน้าอื่นออกมามากขึ้น อยากเช่นเวลานี้ที่เขาทำหน้าดีใจมองเสื้อผ้าในตะกร้าตาวาวเหมือนเด็กน้อยเวลาผูกเชือกรองเท้าสำเร็จด้วยตัวเองครั้งแรก
“ใหญ่มากินข้าวก่อน” ผมร้องเตือน เชื่อสิว่าถ้าไม่เรียกไว้ก่อนมีหวังนู่นเข้าไปนั่งพับผ้าในห้องแล้ว กว่าจะได้กินก็ต้องรอทำงานเสร็จ ผมมักจะเอ็ดเขาเรื่องนี้อยู่เสมอ จะทำอะไรอยู่ก็ตามมันคงไม่ถึงขนาดละมือมาหาอะไรรองท้องไม่ได้เลยมั้ง มันจะเสียเวลาสักเท่าไหร่กันเชียว
แล้วใหญ่ก็รู้ว่าผมจริงจังกับเรื่องทานอาหารให้ตรงเวลา เขาแค่พยักหน้ารับและเดินมานั่งบนพื้นพรมหน้าโต๊ะเตี้ยตำแหน่งที่มีจานข้าววางอยู่อย่างว่าง่าย
ผมไม่นิยมทานข้าวบนโต๊ะอาหารในครัวตามที่จัดไว้ ผมชอบนั่งทานข้าวไปดูทีวีไปมากกว่า เลยกลายเป็นว่าใหญ่ต้องมานั่งทานข้าวโต๊ะหน้าทีวีกับผมด้วย คงเปลี่ยนจากตอนแรกผมนั่งบนโซฟาเป็นนั่งบนพื้นพรมแทนเพราะไอ้หมีตัวโตมันไม่ยอมขึ้นมานั่งบนโซฟา แล้วผมไม่ใช่เจ้านายที่จะให้ใครมานั่งต่ำกว่าหรอกนะ
เอาจริง เห็นแล้วทานข้าวไม่ลง
“คุณชอบกินกระเพราไข่ดาวหรอ” ระหว่างทานข้าวใหญ่ก็ถามแทรกขึ้นมา
“ค่อนข้าง”
“ผมเห็นคุณกินทุกวัน” อ๋อ คงหมายถึงมื้อเย็นของผมที่ไม่กระเพราไก่ไข่ดาว ก็จะเป็นกระเพราหมูไข่ดาวแทน เอ่อ ว่าแต่มันก็แทบไม่แตกต่างกัน
“แล้วแต่ร้าน พอดีร้านนี้ทำกระเพราไข่ดาวอร่อยที่สุด ถ้าไปร้านอื่นก็จะกินอย่างอื่นนะ” ตามนี้ครับ หลายคนเป็นอย่างผมหรือเปล่าไม่รู้แต่ผมเป็นแบบนี้ อย่างเช่นก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านนี้อร่อยก็จะสั่งแต่ต้มยำ แต่อีกร้านเย็นตาโฟอร่อยก็จะสั่งแต่เย็นตาโฟ บ้าเนอะ
“นายเบื่อหรอ” เขากินกระเพราไข่ดาวมาตลอดตั้งแต่เจอผมเลยก็ว่าได้ มีครั้งแรกครั้งเดียวที่ได้กินข้าวเหนียวหมูปิ้ง
“ไม่ครับ แค่มีกินก็โอเคแล้ว” ผมยิ้มบางให้กับประโยคถ่อมตัวของเขา หมายมั่นปั้นมือไว้ในใจแล้วว่าครั้งหน้าจะสั่งเมนูอื่นมาทานบ้าง!
เมื่อกระเพราะไก่ไข่ดาวทั้งสองจานพร่องลง นายตัวโตก็เดินตึกตักหายเข้าไปในครัวก่อนออกมาพร้อมน้ำผลไม้แก้วใหญ่ในมือ ผมยกแก้วน้ำเปล่าดื่มจนหมดก่อนรับน้ำผลไม้มาดื่มต่อพลางเอ่ยขอบคุณ
“ใหญ่ไปอาบน้ำก่อนเลยนะ” ปากบอกทั้งที่ตายังจดจ้องอยู่กับรายการทีวีตรงหน้า มันเป็นรายการมีสาระนะทั้งยังมีพิธีกรตลกช่วยดึงให้ไม่น่าเบื่อ ผมเลยลิสต์เป็นรายการโปรดช่วงค่ำของผม
พอพักโฆษณาผมเหลือบตามองไปเห็นพี่ตี๋ใหญ่ลูบหัวน้องตี๋น้อยที่กำลังให้ปากดุนอาหารเม็ดกินอย่างเอร็ดอร่อยหางยังกระดิกดิ๊กๆ ผมคลี่ยิ้มออกมาให้กับภาพตรงหน้า ความผูกพันที่ก่อเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ผมกับเขาแต่ยังรวมถึงเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยด้วย
ผมมีความสุขนะกับสองชีวิตที่ก้าวเข้ามา ไม่สิ ที่ผมดึงเขาเข้ามาในชีวิต
เช้ามามีคนให้บอกลา เย็นมามีคนให้คิดถึง
มีคนให้ดูแลห่วงใยและขณะเดียวกับก็ได้สิ่งเหล่านั้นตอบแทนเช่นกัน
ค่อยๆคลืบคลานเข้ามา....
ตอนนี้อาจจะสั้นและดูเรียบง่ายไม่มีอะไรนะคะ อยากให้เห็นช่วงเวลาธรรมดาที่เขาสองคน(กับอีกหนึ่งตัว)อยู่ด้วยกันค่ะ ค่อยๆร้อยรักถักความผูกพันกันไป
ขอบคุณคุณ hembetaro มากค่ะที่ช่วยแก้คำผิดให้
และขอบคุณทุกกำลังใจอันล้นหลาม มีแรงฮึดขึ้นอีกมากมายค่าาาา ขอบคุณค้าบบบบ
ค่อยๆคืบคลานออกจากกระทู้ กระดึ๊บๆ...