บทที่ ๒๑
นักเรียนองครักษ์ปีสุดท้ายเกือบทั้งรุ่นรู้ว่าโรดีอัสกับฟีเรียสทะเลาะกัน แม้ไม่มีใครรู้ว่าทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร แต่ก็รู้ว่าร้ายแรงขนาดที่ฝ่ายแรกถึงกับย้ายห้องพัก ไปนอนอัดสามรวมกับเพื่อนอีกห้องหนึ่ง
ฟีเรียสไม่ใช่คนที่มีเพื่อนมาก เพื่อนในกลุ่มของเขาคือเพื่อนที่สนิทกับโรดีอัสมาก่อนทั้งสิ้น ถึงกระนั้นทุกคนก็เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเขา ทั้งกลุ่มมีแปดคน หลังจากโรดีอัสปฏิเสธฟีเรียสอย่างชัดเจนด้วยการลุกออกจากวงกินข้าวทันทีที่ฟีเรียสเดินถือจานข้าวมาถึง เพื่อนในกลุ่มสามคนที่ล้วนเห็นใจเขาก็เดินตามโรดีอัสไป ส่วนอีกสามคนยังนั่งกินข้าวกับเขาอยู่
ทั้งหกคนสลับผลัดเปลี่ยนกันอยู่กับทั้งโรดีอัสและฟีเรียส แม้จะเอือมระอาเต็มทีที่สองคนนี้ไม่มีใครบอกสาเหตุแก่พวกเขาเลย โรดีอัสบอกให้ไปถามฟีเรียส ส่วนฟีเรียสก็เงียบ
อย่างไรก็ดี อย่างน้อยที่สุด ฟีเรียสก็โล่งใจอยู่อย่างหนึ่งว่าเพื่อนสนิทไม่คิดจะบอกความลับของเขาแก่ใคร
ฟีเรียสไม่ใช่คนที่จะเข้าหาคนอื่นได้อย่างง่ายดายนัก ในเมื่อเขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรผิดตรงไหน เขาก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปคุยกับโรดีอัสเรื่องอะไร ฝ่ายนั้นไม่ได้โกรธที่เขาปิดบังเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่รังเกียจที่เขาชอบผู้ชายด้วยกัน ซึ่งเรื่องนี้เขาไม่สามารถแก้ไขได้
ดีลุคซรู้สึกผิดที่เขาเป็นต้นเหตุให้เรื่องนี้แดงขึ้นมา ชายหนุ่มไม่รู้เรื่องในคืนนั้น แต่เขามั่นใจว่าฟีเรียสชอบพออยู่กับเจ้าชายรามิเรส เมื่อเขาถามฟีเรียสตรงๆ ในคืนหนึ่งแล้วฟีเรียสไม่ยอมรับ ชายหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่บอกขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้นและอาสาจะนอนเป็นเพื่อน
ฟีเรียสปฏิเสธ แต่ทั้งสองก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันจนดึก จนกระทั่งเพื่อนร่วมห้องของดีลุคซมาตาม
จิลเวลเป็นหัวหน้าชั้นปีที่เคร่งครัดระเบียบวินัยมาก ตัวสูง สวมแว่น พูดน้อย และมีบุคลิกที่ดูเย็นชา เข้าถึงยาก แต่ฉลาดและสามารถแก้ปัญหาได้ดี ชายหนุ่มเคาะประตูสามครั้งตามมารยาท ฟีเรียสเป็นคนไปเปิดประตู ทว่าฝ่ายนั้นมองเขาเพียงแวบเดียวก่อนพูดกับคนในห้องประโยคเดียว
“กลับห้อง”
ดีลุคซกระตุกยิ้มมุมปากในแบบที่ฟีเรียสไม่เคยเห็น ก่อนจะเดินมาดึงหัวหน้าชั้นปีเข้าห้องแล้วปิดประตู
“ข้าว่าจะนอนเป็นเพื่อนฟีเรียส”
“ก็ตามใจ”
จิลเวลว่าอย่างนั้น แต่เมื่อจะเดินออกไป กลับถูกดีลุคซดึงแขนไว้ หัวหน้าชั้นปีทำตาดุทันที
“ปล่อย”
ฟีเรียสชักเห็นท่าไม่ดี เขามีปัญหามากพอแล้ว ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครมีปัญหาอีก
“เจ้ากลับไปนอนห้องตัวเองเถอะ”
“นั่งคุยกันหน่อยมั้ย”
ดีลุคซถาม แต่ไม่รอคำตอบ เขาหันไปถามหัวหน้าชั้นปี น้ำเสียงฟังดูอบอุ่นเป็นพิเศษและออดอ้อนอยู่ในที
“เล่าเรื่องของพวกเราให้เขาฟังได้มั้ย”
จิลเวลขมวดคิ้วมองหน้าฟีเรียส ก่อนหันมามองดีลุคซด้วยสายตามีคำถาม
“เขาก็เป็นเหมือนเจ้าตอนแรกๆ ที่ถูกข้าจีบ”
คราวนี้ทั้งจิลเวลและฟีเรียสต่างสะดุ้ง ทั้งสองมองตากัน
คืนนั้นฟีเรียสไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ตอนเช้ากลับมีสีหน้าสดชื่นขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมา นักเรียนองครักษ์หนุ่มสังเกตเพื่อนร่วมรุ่นทั้งสองคนทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งดีลุคซและจิลเวลไม่มีใคร ‘แสดงออก’ แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็เห็นได้ไม่ยาก ว่าทั้งสองดูปฏิบัติต่อกันอย่าง ‘พิเศษ’ กว่าคนอื่น
“เรียนจบแล้ว ข้ากับจิลจะสอบเป็นครูที่นี่”
ทั้งสองคนวางแผนการในอนาคตไว้แล้ว ทั้งยังมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะมีอนาคตที่ดีร่วมกัน โรงเรียนองครักษ์อยู่ในความดูแลของกรมองครักษ์ ดีลุคซบอกว่า แม้แต่เจ้าชายฟารุคซึ่งเป็นเจ้ากรมยังมีคนรักเป็นผู้ชายทั้งที่เคยเจ้าชู้มาก มีสนมนางในมากถึงครึ่งร้อย แต่สุดท้ายก็เลิกหมด หากจะมีครูในโรงเรียนองครักษ์ชอบผู้ชายด้วยกันสักคนสองคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ฟีเรียสมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ว่ารสนิยมทางเพศของเขาไม่ใช่สิ่งผิด เพียงแต่เขาก็ต้องยอมรับว่าไม่สามารถเรียกร้องให้ทุกคนยอมรับได้
ฟีเรียสรู้ว่าเขาควรทำยังไง... ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไป แต่เขาก็ทำใจได้ยาก นักเรียนองครักษ์หนุ่มอึดอัดมากขึ้นทุกวัน โรดีอัสเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาที่โรงเรียนองครักษ์ เขาไม่ต้องการจบจากที่นี่ไปด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ แต่ตอนนี้แม้แต่จะมองหน้ากัน โรดีอัสก็ยังไม่ยอมทำ
เพื่อนคนอื่นปลอบใจ ไถ่ถาม แต่เขาน้ำท่วมปาก นานวัน หลายคนก็พลอยหงุดหงิดใส่เขาตามไปด้วย ฟีเรียสตัดสินใจฝากข่าวไปทางมิทรอส ขอให้คุณชายหนุ่มช่วยกราบทูลเจ้าชายหกว่าเขาขอหยุดงาน... อย่างไม่มีกำหนด
เขารู้ว่าทำอย่างนี้ไร้ความรับผิดชอบ เขารู้ว่าไม่ควรโกรธเจ้าชายหก แต่หลายครั้งเขาก็คิด ว่าถ้าเจ้าชายหกไม่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา เขาก็คงไม่ต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งยาก ไม่ต้องเสียเพื่อน
ใยรักต้นนั้นโตขึ้นบ้างแล้ว เขาหมั่นรดน้ำทุกเช้าเย็น ขอปุ๋ยจากคนสวนในโรงเรียนมาหยอดมันบ้าง แต่วันนี้หลังจากที่โรดีอัสเปลี่ยนเส้นทางไปต่อหน้าต่อตา เพียงเพื่อจะได้ไม่เดินสวนกับเขา ฟีเรียสก็แทบจะหมดความอดทน
เขายกต้นไม้ที่มีใบรูปหัวใจเป็นกระจุกออกมาวางไว้ตรงระเบียง วางไว้แล้วจึงเดินกลับห้อง มือยังไม่ทันปล่อยจากลูกบิดประตูก็ต้องเปิดออกไปใหม่ แล้วยกกลับเข้ามาในห้องดังเดิม ครั้นมองเห็นเตียงโล่งๆ ที่เจ้าของไม่ได้กลับมานอนอาทิตย์กว่าแล้วชายหนุ่มก็กัดฟัน ดันประตูให้เปิดออกอีกด้วยมือข้างหนึ่ง ถือกระถางใยรักออกไปตรงระเบียงอีกครั้งด้วยมือเพียงข้างเดียว ยืนนิ่งอยู่บนระเบียงแคบๆ อยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจหันกลับ
“เมี้ยววววว!”
แมวลายเสือตัวอ้วนกระโจนจากระเบียงห้องข้างๆ ผ่านหน้า ฟีเรียสผงะถอย กระถางต้นไม้ถูกเหวี่ยงร่วงจากระเบียงชั้นสาม
เพล้ง!
“เฮ้ย! ใครวะ”
ฟีเรียสไม่ได้โผล่หน้าลงไปดูว่าใครพูด ชายหนุ่มเปิดประตูพรวด กระโจนลงบันไดทีละสองสามขั้น ปราดไปถึงซากกระถางที่แตกกระจายแล้วก็รีบประคองเอาต้นไม้สูงเพียงศอกขึ้นมาสำรวจสภาพ เห็นว่ากิ่งหักร่องแร่งไปบ้างแต่รากยังมีดินเกาะอยู่พอสมควรก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
“ต้นไม้เจ้าเองหรือฟีเรียส” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ทำยังไงถึงหล่นลงมาได้วะ” อีกคนถามต่อ
ฟีเรียสเพิ่งเงยหน้ามอง
คนที่อยู่ตรงหน้าคือเพื่อนรักที่ไม่ยอมคุยกับเขาเลยเกือบสองสัปดาห์ โรดีอัสมองหน้าเขานิ่ง ตาวาว สีหน้าผสมผสานกันระหว่างความไม่อยากจะเชื่อ ผิดหวัง และเจ็บใจ
“เฮ้ย! เจ้าเลือดไหลนี่หว่าโรดีอัส” ใครอีกคนทักขึ้น
ฟีเรียสยืนขึ้นโดยประคองต้นไม้ไว้ในมือ ตามองตรงขมับขวาที่มีรอยถูกของมีคมบาด เลือดไหลลงมาเป็นทางเล็กๆ
“โดนตอนไหนวะ เจ้าหลบทันนี่หว่า หรือสะเก็ดกระถางกระเด็นมาโดน”
คนมีแผลยังมองหน้าอดีตเพื่อนร่วมห้องอยู่ ฟีเรียสมองตอบ เขาไม่ตกใจเรื่องแผลเล็กๆ ของอีกฝ่าย แต่รู้สึกผิดที่เขาไม่ได้เห็นโรดีอัสตั้งแต่ทีแรกเพราะมัวแต่มองหาซากกระถาง
“ไปทำแผลที่ห้องไหม ข้าทำให้”
โรดีอัสเช็ดเลือดออกลวกๆ แล้วเดินผ่านไปทันที เพื่อนๆ มองหน้ากันพลางพยักพเยิดให้ฟีเรียส แต่เขาตั้งใจจะเดินตามโรดีอัสไปอยู่แล้วแม้เพื่อนจะไม่บอก
“โรดีอัส”
ฟีเรียสเรียกเมื่อเพื่อนสนิทเลี้ยวที่ชั้นสองแล้วเปิดประตูจะเข้าห้องตรงมุมบันได เจ้าของชื่อชะงักแล้วหันมามอง
“ข้าขอโทษ”
โรดีอัสรอฟัง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ แมวของไวซ์กระโดดผ่านหน้าข้า ข้าเลย...”
ปัง!
ดูท่าว่านั่นจะไม่ใช่คำพูดที่โรดีอัสรอฟัง
ฟีเรียสนิ่งงัน ก่อนจะหันหลังกลับไปแล้วพบว่าเพื่อนๆ ต่างมองมาด้วยสีหน้าเห็นใจ ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากฝืดๆ นิดหนึ่งเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่เป็นไร
ฟีเรียสรู้สึกว่าเรื่องราวเลวร้ายลงอีกในวันที่สอบต่อสู้แบบจับคู่ โรดีอัสกับเขาจับฉลากได้หมายเลขเดียวกันและฝ่ายนั้นก็เอาจริงเอาจังมาก โดยเฉพาะเมื่อกระบี่เป็นอาวุธที่โรดีอัสถนัดที่สุดและเขาก็ทำได้คะแนนดีเสมอมา ฟีเรียสทำเต็มที่เช่นกัน เขาเคยซ้อมกับโรดีอัสอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดจะสูสีเท่าครั้งนี้ ไม่รู้ว่าโรดีอัสไม่มีสมาธิหรือว่าฝีมือของเขาดีขึ้น
ฟีเรียสค่อนข้างเชื่อมั่นว่าเป็นอย่างหลัง
ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นเมื่อคิดถึง ‘ครูพิเศษ’ ของเขา แม้จะไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนสนิทก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าโรดีอัสไม่อยากให้เขาอ่อนข้อให้แน่
ฟีเรียสรุกคืบเข้าไปเรื่อยๆ ในจังหวะที่เขาคิดว่าน่าจะรู้ผลแพ้ชนะได้แล้วและครูฝึกก็บอกให้หยุดมือ ชายหนุ่มดึงกระบี่ของตนกลับมา ทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่รามือ คมกระบี่กรีดแขนขวาเขาไปทั้งที่เขาถอยหลบแล้ว เลือดซึมผ่านเสื้อตัวหนาออกมาจนแดงฉานทันที ทว่าฟีเรียสเจ็บหน้าอกมากกว่าเจ็บแขน
ชายหนุ่มมองเพื่อนอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่โรดีอัสก็ดูจะตกตะลึงไม่แพ้กัน ฟีเรียสเห็นความรู้สึกผิดฉายอยู่ในดวงตาของเพื่อน ขณะที่ฝ่ายนั้นก้าวเข้ามาหา ทำท่าว่าจะจับแขนเขาไปดู ทว่าก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้น
ไม่ยอมแตะต้องตัว
โรดีอัสกัดฟัน
“ขอโทษ”
แค่นั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพราะผู้คุมสอบประกาศให้ฟีเรียสเป็นฝ่ายชนะ อบรมกึ่งเตือนโรดีอัสหนักๆ สองสามประโยคและสั่งให้เขาพาฟีเรียสไปห้องพยาบาล ทว่าโรดีอัสหันมองเพื่อนเพียงชั่วอึดใจแล้วก็สั่งให้เพื่อนอีกคนในกลุ่มซึ่งสอบเรียบร้อยแล้วเป็นคนพาไป ส่วนตนเองเดินลิ่วๆ ไปอีกทาง
ฟีเรียสไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับโรดีอัสจะดำเนินมาถึงจุดนี้
คุณชายแห่งบ้านเสนาบดีกลาโหมใช้ให้คนสนิทนำจดหมายมาให้ฟีเรียส ข้างในมีจดหมายเล็กๆ อีกฉบับหนึ่งซึ่งจ่าหน้าซองถึงเขา นักเรียนองครักษ์หนุ่มดูแล้วก็รู้ว่าเป็น ‘ลายพระหัตถ์’ ของใคร หลังจากลังเลใจอยู่นานมาก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเปิดออกอ่าน ข้างในเป็นข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ถามไถ่ถึงสาเหตุที่เขาไม่ยอมไปพบพระองค์ติดกันเป็นอาทิตย์ที่สองแล้ว รับสั่งบอกว่าพระองค์เสด็จไปรอทุกครั้ง รวมทั้งเสด็จไปเสวยอาหารที่ร้านของเด็กหญิงพรีเชียสเพื่อจ่ายเงินสิบเหรียญให้นางด้วย หาไม่นางอาจจะไปส่งข่าวให้ ‘พี่นีน่า’ แล้วพระองค์จะไม่สบายพระทัย
...ไม่ว่าเจ้าจะมีปัญหาอะไร ใหญ่หรือเล็ก ขอให้ปรึกษาข้า อยากให้เชื่อว่า ข้าเต็มใจจะช่วยเหลือเจ้าอย่างถึงที่สุด...
ฟีเรียสทำกระดาษยับเมื่ออ่านถึงประโยคสุดท้าย ชายหนุ่มเขียนตอบสั้นๆ ทั้งที่ยังปวดแขน
‘เป็นพระกรุณาอย่างยิ่งพระเจ้าค่ะที่ฝ่าบาทจะทรงช่วย กระหม่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่หากฝ่าบาทจะประทานพระกรุณา กระหม่อมขอเพียงอย่างเดียว... เราอย่าพบกันอีกเลย... เรื่องหนี้ กระหม่อมจะพยายามหาเงินมาทยอยใช้คืนแน่นอนพระเจ้าค่ะ’
หลังจากฟีเรียสส่งจดหมายถวายคืนไปได้เพียงวันเดียว วันรุ่งขึ้นเขาก็ถูกตามตัวไปห้องผู้อำนวยการ
“เจ้าชายหกเสด็จว่ะ ผู้อำนวยการให้ข้ามาตามเจ้าไปเข้าเฝ้าด่วน” ทั้งสีหน้าและสายตาของคนมาบอกช่างอ่านง่าย มีคำถามอยู่เต็มหน้าว่าฟีเรียสไปทำอะไรผิดมารึเปล่า ทว่ารู้จักกาลเทศะดีพอที่จะไม่ถามตอนนี้
“เร็วดิวะ รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย”
“ข้าไม่ไป”
“ฮะ!”
“เจ้าช่วยไปกราบทูลด้วยว่าข้าไม่สบาย”
“ฟีเรียส” คนเรียกหน้าเครียด “เจ้าคิดจะทำอะไร นี่มันเรื่องใหญ่นะเว้ย เจ้าชายทรงรออยู่”
ฟีเรียสรู้ว่าเขางี่เง่า แต่ในสภาพอย่างนี้เขาไปเข้าเฝ้าไม่ได้จริงๆ กลัวว่าจะระเบิดอารมณ์ใส่เจ้าชายหนุ่มทั้งที่รู้ดีว่าพระองค์ไม่ได้ทรงทำอะไรผิดเลย
“เจ้าบอกตามนี้ ข้าไม่สบาย ไปเข้าเฝ้าไม่ได้”
“เจ้าไปทำอะไรผิดมาข้าไม่รู้ แต่บอกตรงๆ เลย ข้ากลัวหัวขาดว่ะ”
“งั้นก็บอกว่าข้าเป็นคนสั่งให้เจ้าไปกราบทูลแบบนี้เอง”
คนฟังลังเลใจ แบบนี้ถึงความผิดจะตกอยู่กับเจ้าตัวคนเดียว แต่ถ้าเจ้าชายเกิดกริ้วขึ้นมา ใครจะรับประกันได้เล่าว่าเขาจะไม่เดือดร้อนไปด้วย ขนาดท่านผู้อำนวยการเองยังดูเกรงกลัวเจ้าชายหกถึงขนาดนั้น ดีไม่ดีจะเดือดร้อนกันหมดทั้งโรงเรียน แต่เมื่อเห็นสีหน้าเครียดขรึมแถมยังหมองคล้ำอย่างคนมีความทุกข์ของเพื่อน เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ
“เออๆ ข้าจะไปบอกให้ แต่ถ้าโดนกริ้วแล้วโปรดให้ข้ามาตามอีกรอบ คราวนี้ไม่ไปไม่ได้แล้วนะโว้ย”
ฟีเรียสพยักหน้า ถึงตอนนั้นถ้าเขาไม่ไปอีก พระองค์ก็คงจะเสด็จมาเอง ซึ่งเขาไม่ต้องการ
“เดี๋ยว”
คนถูกเรียกหันกลับมา ฟีเรียสชั่งใจ เขาไม่แน่ใจหรอก แต่กันไว้ย่อมดีกว่าแก้
“ถ้าเจ้าชายรับสั่งว่าจะเสด็จมาเยี่ยม เจ้าช่วยกราบทูลด้วยว่าข้าขอร้องว่าอย่ามา”
คนฟังมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด สงสัยจนใกล้เคียงกับระแวง แต่ก็พยักหน้า ก่อนจะเดินแกมวิ่งพลางขมวดคิ้วไปตลอดทาง
หลังจากได้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง ทั้งความตระหนักรู้และความรู้สึกผิดก็ปรากฏขึ้นชัดแจ้ง แจ่มใจกว่าเมื่อครู่มาก ความวิตกกังวลจู่โจม จับใจจนทนนั่งนิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ต้องเดินไปเดินมาเพื่อบรรเทาความกระวนกระวาย
เจ้าชาย... ต่อให้ ‘ใจดี’ แค่ไหนก็ยังคงเป็นเจ้าชาย ไม่ต้องพูดถึงว่ายังเป็นเจ้าหนี้ของเขาอีกด้วย อยู่กันตามลำพังอาจจะพระทัยดีด้วยได้ แต่ถูกปฏิเสธต่อหน้าคนอื่นนี่คงจะทำให้พระองค์ทรงรู้สึกเสียหน้ามากแน่
ทำอย่างนี้ทั้งไม่เป็นผู้ใหญ่และไม่เป็นผลดีแก่ใครเลย
เขาใกล้จะเรียนจบเต็มทีแล้ว แต่เสียเพื่อนสนิทไปหนึ่งคน และตอนนี้ยังเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยไว้ในใจเพื่อนร่วมรุ่น
เมล็ดพันธุ์ที่เขาไม่แน่ใจเลยว่ามันจะงอกเงยและเติบโตอย่างรวดเร็วหรือไม่ ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่แค่โรดีอัสอีกต่อไป
ฟีเรียสกำมือแน่นจนเจ็บ
นักเรียนองครักษ์หนุ่มไม่รู้ตัวว่าเดินไปมาอยู่ในห้องนานแค่ไหน แต่ทันทีที่ประตูถูกเคาะ คนข้างนอกยังไม่ทันเรียก เขาก็เปิดพรวด
คนที่อยู่หน้าห้องยังเป็นเพื่อนคนเดิมที่มาตาม
“เป็นยังไงบ้าง”
.
.
.
.
.
.
“โรดีอัสถูกเรียกให้เข้าเฝ้าว่ะ”
tbc.
**********************************
สองเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่รู้สึกว่าทิ้งไว้นานขนาดนั้นเลยค่ะ
ตอนหน้า คงจะราวๆ สัปดาห์หน้านะคะ