บทที่ ๒๕
ฟีเรียสพักอยู่กับองครักษ์รุ่นพี่ ชื่อ วิล โชคดีที่วิลเป็นคนง่ายๆ และคุยสนุก องครักษ์มือใหม่จึงไม่มีปัญหาเรื่องเพื่อนร่วมห้อง วิลมีคนรักแล้ว เขาตั้งใจว่าจะแต่งงานกับนางเร็วๆ นี้ ฟีเรียสจึงได้ยินอีกฝ่ายเล่าเรื่องหญิงคนรักให้ฟังบ่อยๆ จนไม่รู้จักก็เหมือนรู้จักดี เมื่อฝ่ายนั้นเอาแหวนเพชรที่อุตส่าห์เก็บเงินหลายปีเพื่อไปซื้อมาออกมาอวดอย่างภูมิใจ และบอกว่าจะใช้แหวนนั้นไปขอนางแต่งงานในเร็วๆ นี้ เขาก็พลอยมีความสุขกับเพื่อนรุ่นพี่ไปด้วย
วันที่ฟีเรียสตั้งใจว่าจะขอทูลลาออก โดยไม่สนใจอีกแล้วว่าจะถูกเจ้าชายรามิเรสทรงดูถูกว่าเหยาะแหยะไม่เอาไหนหรือไม่ วิลก็รอเขาอยู่ในห้องแล้วด้วยสีหน้าเครียดจัด
“เจ้าเห็นแหวนของข้ารึเปล่า ฟีเรียส”
“ท่านเก็บไว้ในกล่อง ในตู้เสื้อผ้าไม่ใช่หรือ”
ทันทีที่พูดออกไป องครักษ์หนุ่มก็รู้แล้วว่าเขาพูดผิด เพราะแววตาของเพื่อนรุ่นพี่แข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม
“ใช่ แต่ตอนนี้มันหายไป และเจ้าก็เป็นคนเดียวที่รู้ว่าข้าซ่อนมันไว้ที่ไหน”
ฟีเรียสเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อประจักษ์ว่าเขาถูกกล่าวหา แต่ในเมื่อเขาไม่ได้เอาไป ก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
“ท่านหาดีหรือยัง”
“ข้าหาดีแล้ว ทุกซอกทุกมุม”
ประโยคท้ายเน้นหนักเป็นพิเศษ ฟีเรียสมองตู้ โต๊ะ และเตียงของเขา แล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดจริงๆ แม้จะโกรธที่ถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว แต่ชายหนุ่มก็พยายามใจเย็น
“มันอาจจะหลงหูหลงตาท่านไป ข้าจะช่วยหาอีกรอบ”
อีกฝ่ายลังเล สีหน้ามีแววครุ่นคิด แล้วก็พยักหน้า
สองคนช่วยกันค้นหาอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ห้องพักก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ก็มีไม่มาก หลังจากแทบจะสำรวจฝุ่นทุกเม็ดในห้องแล้วไม่พบ เจ้าของแหวนก็เครียดจัดยิ่งกว่าเดิม
“ท่านเอาไปซ่อนไว้ที่อื่นรึเปล่า”
แววตาของวิลไหวไปวูบหนึ่ง ก่อนจะปฏิเสธหนักแน่น
“ข้าเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า เจ้าก็เห็น”
ฟีเรียสชักจะโมโหจริงจังขึ้นมาเสียแล้วเมื่อถูกกล่าวหาอีกรอบ
“ครับ ข้าเห็น แต่ถ้าท่านกำลังคิดว่าข้าขโมยไปล่ะก็ ท่านคิดผิด”
“...ข้าขอค้นตัวเจ้าหน่อย”
ฟีเรียสขบฟัน ที่จริงมันก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ ถึงอีกฝ่ายจะค้นละเอียดแค่ไหนก็ไม่พบอยู่ดี แต่เขาเกลียดการดูถูกเหยียดหยาม
“ไม่จำเป็นครับ ข้าว่าท่านเอาเวลาไปนึกให้ออกดีกว่า บางทีท่านอาจจะเอาติดตัวไปแล้วลืมทิ้งไว้ที่ไหน”
“...” วิลสบถคำหยาบออกมาคำหนึ่ง ตาวาว หน้าดำคล้ำเมื่อตวาดเสียงดัง “ของมีค่าขนาดนั้นกูจะไปลืมทิ้งส่งง่ายๆ ได้ยังไงวะ แหวนวงนั้นกูเก็บเงินมาตั้งหลายปีกว่าจะมีปัญญาซื้อมาได้ มึงก็รู้ดี กูรักคนรักของกูมาก มึงยังทำกับกูอย่างนี้ได้ลงคออีกเหรอวะ ขอร้องเถอะว่ะฟีเรียส คืนแหวนกูมา แล้วกูจะไม่เอาเรื่อง”
ฟีเรียสเคยคิดว่าเขาเป็นคนมีความอดทนสูง แต่วันนี้เขาใช้ความอดทนนั้นไปกับการมองเห็นภาพบาดตาจนหมดไปแล้ว และเขาจะไม่ทนกับการเป็นที่รองรับอารมณ์และความผิดที่เขาไม่ได้ก่ออีกต่อไป
“ข้าว่าท่านสงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่า พอใจเย็นกว่านี้ท่านอาจจะคิดออก”
องครักษ์หนุ่มหันหลัง เดินกลับไปทางประตูทันที ทว่าไหล่ของเขาถูกกระชากกลับไปอย่างรวดเร็ว
แล้วหมัดลุ่นๆ ก็กระแทกเข้ามาที่โหนกแก้มของเขาอย่างเต็มแรง
ฟีเรียสไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ กฎระเบียบมีอยู่ว่า หัวหน้าหน่วยองครักษ์ประจำพระองค์มีอำนาจตัดสินเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างองครักษ์ในปกครอง ทั้งที่เรื่องนี้ควรจะจบอยู่ที่คำตัดสินของเรจิน แต่พออีกฝ่ายเห็นว่าหนึ่งในคู่กรณีคือเขา
ทำไมต้อง ‘กราบทูลพระกรุณา’ ให้เจ้าชายหกเป็นผู้ตัดสินด้วย
วิลเองก็ดูจะตกใจเช่นกัน องครักษ์หนุ่มดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เมื่อต้องมาอยู่ต่อพระพักตร์ของผู้เป็นนายในห้องทรงงาน
ฟีเรียสมองสบสายพระเนตรของผู้ประทับหลังโต๊ะทรงงานสุดปลายห้องเพียงแวบเดียวแล้วก็หลุบตาต่ำลง
บ้าจริง เวลาแบบนี้เขายังอุตส่าห์คิดถึงเรื่องที่พระองค์จูบกับพระคู่หมั้นอยู่อีก
“ค้นหาดูทั่วห้องแล้วหรือ”
“กระหม่อมค้นหาทั่วห้องดีแล้วพระเจ้าค่ะ แต่ไม่พบ”
แม้วิลจะกราบทูลเช่นนั้น แต่เจ้าชายรามิเรสก็ยังตรัสสั่งให้องครักษ์ประจำพระองค์คนสนิทไปตรวจค้นอีกรอบหนึ่ง คราวนี้ตรัสสั่งให้ค้นทุกห้องในตึกพักอย่างละเอียด
ระหว่างรอรายงาน พระองค์ก็ไม่รับสั่งอะไรเลย ยังทรงงานอื่นตามปกติไปเรื่อยๆ
ห้องทั้งห้องเงียบสงัด ฟีเรียสอึดอัดแทบจะเป็นบ้า ถือโอกาสตอนที่พระองค์ไม่ได้มองมา มองคนที่พระทัยจดจ่ออยู่กับเอกสารตรงเบื้องพระพักตร์อย่างเต็มตา
ที่ผ่านมา เขาคงยังไม่รู้จักเจ้าชายพระองค์นี้ดีพอสินะ หรือไม่ เจ้าชายหกที่เขารู้จักกับเจ้าชายหกที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็คงเป็นคนละคนกัน
คนที่เฉยเมยเย็นชาแบบนี้ เขาไม่รู้จัก... ไม่อยากจะรู้จักเลย
มหาดเล็กกลับมากราบทูลรายงานว่าไม่พบแหวน
“มีที่ไหนที่เจ้าเคยเอาแหวนไปซ่อนแล้วยังไม่ได้ค้นอีกไหม”
วิลเหงื่อตก ความจริงแล้วเขาเคยเปลี่ยนที่ซ่อนหลายครั้งมาก แต่จำได้ว่าครั้งล่าสุดเอากลับมาเก็บไว้ที่ห้องพักเหมือนเดิมแล้ว เมื่อมันหายไป เขาเครียดมากจนคิดอะไรไม่ออก ครั้นฟีเรียสโผล่หน้าเข้าไป เขาก็คิดออกอยู่อย่างเดียวจึงพูดเชิงกล่าวหาออกไป ไม่เคยคาดคิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็ได้แต่แข็งใจกราบทูลไปว่าเขาค้นหาดูทุกที่แล้ว
“เจ้ารู้ว่ามันหายไปเมื่อไหร่”
“เมื่อเช้านี้พระเจ้าค่ะ”
“แล้วมีเวลาค้นดูทุกที่หรือ ที่บ้าน กลับไปดูรึยัง”
องครักษ์หนุ่มตกใจ ฝ่ามือชื้นเหงื่อทั้งสองข้าง แต่เมื่อโกหกครั้งหนึ่งแล้วก็กัดฟันโกหกต่อไป
“กระหม่อมไม่เคยเอาแหวนไปซ่อนไว้ที่บ้านพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายรามิเรสทรงขยับพระโอษฐ์ จะตรัสสั่งให้เรจินส่งคนไปถามที่บ้านขององครักษ์หนุ่ม แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นรอยช้ำตรงโหนกแก้มขององครักษ์ใหม่ พระองค์ก็เก็บงำรับสั่งนั้นเอาไว้ ประจวบกับวิลถือโอกาสกราบทูล
“ขอเดชะฯ พระอาญามิพ้นเกล้าฯ กระหม่อมยังไม่ได้ค้นตัวฟีเรียสพระเจ้าค่ะ กระหม่อมขอค้นแล้ว แต่เขาปฏิเสธ แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเขาต้องการปกปิดพระเจ้าค่ะ”
“เจ้าก็เลยใช้กำลังกับเขา”
วิลชะงัก ไม่แน่ใจว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือไม่ พระสุรเสียงของเจ้าชายหกจึงฟังเย็นชากว่าปกติ
“เอ่อ... กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจพระเจ้าค่ะ เพียงแต่ขอค้นดีๆ แล้วเขาไม่ยอม”
เจ้าชายหนุ่มทรงหันไปทอดพระเนตรองครักษ์ใหม่ และฟีเรียสก็มองสบสายพระเนตรแน่วนิ่ง
“เจ้ายินดีให้ค้นตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ไหม”
ฟีเรียสเม้มปาก ก่อนจะพยักหน้า
“กระหม่อมยินดีพระเจ้าค่ะ”
“เรจิน”
องครักษ์หนุ่มผิวเข้มร่างสูงค้อมศีรษะรับคำสั่งแล้วลงมือตรวจค้นด้วยตนเอง ฟีเรียสยืนตัวเกร็ง สีหน้าถมึงทึง มองตรงไปยังเจ้าชีวิตของเขาไม่วางตาโดยไม่รู้เลยว่า ในสายพระเนตรของคนที่มองตอบ สีหน้าของเขาดูตัดพ้อมากแค่ไหน
“ฝ่าบาท ไม่พบพระเจ้าค่ะ”
วิลเหงื่อตก
“ขอเดชะฯ บางทีเขาอาจจะซ่อนไว้ในที่ที่ตรวจหาแค่ภายนอกไม่พบพระเจ้าค่ะ”
ฟีเรียสหันขวับ มองหน้าอีกฝ่ายตาวาวโรจน์
“หมายความว่ายังไง” เจ้าชายหนุ่มตรัสถาม
“กระหม่อมอยากให้มีการถอดเสื้อผ้าตรวจพระเจ้าค่ะ”
ปัง!
เฮือก!
ทั้งวิลและฟีเรียสล้วนแต่สะดุ้ง ฟีเรียสงุนงง ขณะที่วิลหน้าซีดเผือด ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรให้เจ้าชายหนุ่มกริ้วจนต้องทรงทุบโต๊ะทรงพระอักษร
อย่างไรก็ดี เจ้าชายรามิเรสตรัสถามฟีเรียสเรียบๆ ทั้งที่สีพระพักตร์บ่งบอกว่ายังไม่หายกริ้ว
“เจ้ายินดีจะให้เขาพิสูจน์ไหม”
“...พระเจ้าค่ะ”
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกริ้วอะไร แต่แค่ไม่อยากเสี่ยงขึ้นมาเฉยๆ ไม่คิดว่าคำตอบนั้นจะทำให้พระองค์ดูจะกริ้วมากกว่าเดิม
“เรจิน”
“พระเจ้าค่ะ”
“พาเขาไปตรวจที่ห้องข้างๆ”
เรจินพยักหน้าให้องครักษ์ใหม่ แล้วเดินนำไป ฟีเรียสเดินตาม
“เดี๋ยว” ทุกคนในห้องหยุดชะงักกันหมด “ข้าตรวจเอง”
วิลดูประหลาดใจมาก ขณะที่ฟีเรียสเบิกตากว้าง
“ถอดเสื้อผ้าออกสิ”
คนถูกสั่งยืนนิ่ง ตัวเกร็ง หน้าเครียด ถ้าเป็นคุณเรจิน เขาจะไม่มีวันรู้สึกอับอายอย่างนี้เลย แต่นี่เป็นคนที่เขาเคยแก้ผ้าให้ดูต่อหน้า แล้วถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดีมาแล้วครั้งหนึ่ง ถึงตอนนี้กับตอนนั้นจะมีความจำเป็นคนละอย่างกันก็เถอะ
เขายืน แต่อีกฝ่ายนั่ง รอทอดพระเนตร แถมห้องนี้ยังสว่างโล่งโจ้ง แล้วยังไม่ใช่ห้องน้ำหรือห้องนอนอีก
สายพระเนตรที่ทอดมองมาไม่บ่งบอกอะไรเลย แต่เขายังจำพระอารมณ์กริ้วเมื่อครู่นี้ได้
องครักษ์รุ่นพี่ล้วนบอกต่อกันมา ว่าเจ้าชายหกไม่ใช่คนที่กริ้วใครง่ายๆ เพราะฉะนั้นถ้าถูกกริ้วก็ให้รีบพิจารณาตัวเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระองค์กริ้วเขารึเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้ากราบทูลขอให้เปลี่ยนคนตรวจ
“ฟีเรียส”
รับสั่งเรียกไม่มีความหมายอะไรหรอก นอกจากเตือนให้เขาทำเร็วๆ
องครักษ์หนุ่มจับหัวเข็มขัด กำแน่น แต่ไม่ยอมขยับ ดูๆ ไปเหมือนจะป้องกันไม่ให้ใครมาถอดมากกว่าจะถอดออก
“ข้าไม่มีเวลานั่งรอเจ้าทั้งวัน”
อารมณ์รุนแรงบางอย่างพุ่งพรวด ฟีเรียสมองสบสายพระเนตรเขม็ง ตาร้อนผ่าว
อีกฝ่ายทรงเป็นเจ้า ส่วนเขาเป็นขี้ข้า ไม่มีสิทธิ์ขัดขืนสินะ
“กระหม่อมจะลาออก” เจ้าชายหนุ่มทรงงันไป “กระหม่อมขอทูลลาออกเดี๋ยวนี้พระเจ้าค่ะ”
“เหตุผลล่ะ”
“...”
“เพราะทำผิดจริง หรือเพราะข้าสั่งให้เจ้าแก้ผ้า”
ไม่ว่าเหตุผลไหนก็น่าอายทั้งนั้น
“กระหม่อมไม่ได้ทำ! กระหม่อมไม่ใช่ขโมย!”
ฟีเรียสจะร้องไห้อยู่แล้ว เขาไม่คิดว่าจะต้องมาร้องไห้ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะร้องเพราะอะไรแบบนี้
“ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำสิ ทำไมต้องร้องไห้ด้วย”
องครักษ์หนุ่มผงะ รีบยกมือขึ้นลูบแก้ม ทว่านอกจากความเจ็บตรงรอยช้ำแล้วก็ไม่รู้สึกว่าเปียกชื้นแต่อย่างใด
คนถูกหลอกหน้าบึ้ง
“ปรับสีหน้าให้ดีๆ แล้วออกไปข้างนอกกัน หน้าแดงขนาดนั้นเดี๋ยวใครจะเข้าใจผิดว่าข้าทำอะไรเจ้า”
คนได้รับคำแนะนำรู้สึกว่าหน้าร้อนยิ่งกว่าเดิม รู้สึกว่าถูกปั่นหัวจนหัวหมุนไปหมด
“แล้วก็อย่าพูดว่าจะลาออกอีก ฟีเรียสที่ข้ารู้จักไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
ตาของคนฟังร้อนผ่าวหนักขึ้นไปอีก เขาฟังไม่ผิดใช่ไหม ที่เจ้าชายหกรับสั่งว่าพระองค์ทรง ‘รู้จัก’ เขา
ในที่สุดก็รู้จักเขาเสียที คงจะไม่หมางเมินให้เขาใจสั่นเหมือนที่ผ่านมาอีก
เจ้าชายรามิเรสเป็นผู้รับสั่งเองว่าไม่พบแหวนที่ตัวขององครักษ์ใหม่ การสอบสวนดำเนินต่อไป องครักษ์หลายคนถูกเรียกมาสอบปากคำ มีคนยืนยันว่าเห็นวิลซื้อแหวนมาจริง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเก็บซ่อนไว้ในห้องพัก มีคนเชื่อว่าวิลจะไม่กล่าวหาเพื่อนรุ่นน้องลอยๆ แน่ เพราะทั้งคู่ถูกอัธยาศัยกันดี ไม่มีเหตุผลให้วิลใส่ความฟีเรียส
เพื่อนร่วมรุ่นสองคนของฟีเรียสยืนยันว่าฟีเรียสไม่มีประวัติลักขโมย ชายหนุ่มเป็นคนซื่อสัตย์และไว้ใจได้
ที่สำคัญคือไม่มีหลักฐานหรือพยานยืนยันว่าฟีเรียสเป็นคนขโมยไป
อย่างไรก็ดี วิลมีเหตุผลที่กล่าวหาเพื่อนร่วมห้อง
“ฟีเรียสเคยบอกกระหม่อมว่าเขามีหนี้สินมากพระเจ้าค่ะ ลำพังเงินเดือนองครักษ์คงไม่พอให้เขาใช้หนี้ ต่อให้เป็นองครักษ์ไปอีกสามสิบปีก็อาจจะใช้ไม่หมด”
เพื่อนสองคนของฟีเรียสไม่รู้เรื่องเขาเป็นหนี้ แต่ก็กราบทูลว่าตอนเป็นนักเรียนองครักษ์ ฟีเรียสทำงานพิเศษอย่างหนัก หาเงินตัวเป็นเกลียว โรดีอัส เพื่อนสนิทของฟีเรียสเคยบอกกับใครๆ เล่นๆ ว่า ฟีเรียสเตรียมเก็บเงินไปแต่งเมีย
“จริงหรือ”
ฟีเรียสงง
“ที่ว่าเจ้าเก็บเงินเตรียมแต่งเมีย”
ไม่เพียงแค่ฟีเรียสคนเดียว แต่ทุกคนในห้องดูจะงุนงงเหมือนกันหมด ประเด็นนี้มันสำคัญขนาดที่ต้องตรัสถามด้วยพระสุรเสียงจริงจังถึงขนาดนั้นด้วยหรือ
ทั้งที่คนให้ข้อมูลก็กราบทูลแล้วว่าโรดีอัส ‘พูดเล่น’
ที่สำคัญก็คือ คนตรัสถามก็รู้ดีว่าเขาหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่ออะไร
องครักษ์หนุ่มมองพระพักตร์... สรุปว่าเขาต้องทูลตอบจริงๆ ใช่มั้ย
“ไม่จริงพระเจ้าค่ะ”
แค่นี้ก็ดูจะพระอารมณ์ดีขึ้นมาได้ ประหลาดคนแท้ๆ
หลังจากการสอบสวนอันเคร่งเครียดดำเนินไปติดต่อกันหลายชั่วโมง ผลสรุปก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมคือเป็นการกล่าวหาของวิลแต่เพียงฝ่ายเดียว อย่างไรก็ดี เจ้าชายหกผู้ที่ขึ้นชื่อว่า ‘พระทัยดีมาก’ ก็ตัดสินคดีนี้ ‘อย่างเป็นธรรม’ ว่า
“ฟีเรียสพ้นผิดเพราะไม่มีหลักฐาน ส่วนวิล ข้าจะออกเงินค่าแหวนเพชรวงใหม่ให้ เจ้าไปเบิกกับธอมัสได้” ทรงหมายถึงหัวหน้ามหาดเล็กประจำพระตำหนัก “ให้ทั้งสองคนแยกกันพักคนละห้อง แต่เนื่องจากไม่มีห้องพักว่าง ให้วิลพักที่ห้องเดิม ส่วนฟีเรียสย้ายมาพักที่ห้องว่างชั้นล่างในตำหนัก เรจินพาเขาไปหาธอมัส บอกให้จัดการเรื่องนี้ด้วย”
ตัดสินความจบก็ตรัสสั่งให้ทุกคนแยกย้ายไปทำงาน ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ฟีเรียสต้องขนข้าวขนของย้ายไปอยู่ห้องใหม่ภายในเย็นวันนั้น ขณะที่ลีโต องครักษ์ประจำพระองค์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับเรจินได้รับพระบัญชาให้พาวิลกลับไปที่บ้าน หลังจากสอบถามมารดาขององครักษ์หนุ่มคู่กรณีของฟีเรียสแล้วก็ได้ความว่านางพบแหวนของเขาในกระเป๋าเสื้อที่เขาใส่กลับมาบ้าน แต่ยังไม่ได้บอกเพราะวิลกลับไปเข้าเวรเสียก่อน
ลีโตเป็นคนนำเรื่องขึ้นกราบทูลรายงานเจ้าชายหก
วิลได้รับพระบัญชาผ่านลีโตว่าให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด โดยเฉพาะฟีเรียส
สรุปว่าเจ้าชายหกแห่งไมซีนไม่ต้องทรงเสียค่าแหวนเพชรวงใหม่ และได้องครักษ์ใหม่มาอยู่ร่วมพระตำหนักอีกคนหนึ่งอย่างง่ายดายด้วยประการฉะนี้
tbc.
**************************************
ขอแจ้งข่าวดีและข่าวร้ายดังนี้ค่ะ
ข่าวดี – ตอนหน้าก็จะเคลียร์เรื่องความรู้สึกกันแล้วนะคะ
ข่าวร้าย – หลังจากลงตอนหน้า (บทที่ 26) แล้วก็จะขอดองไปก่อนนะคะ อีกไม่นานก็คงจบ แต่ว่าพอสารภาพความรู้สึกกันแล้วก็ตันๆ หมดอารมณ์ซะงั้น เพราะงั้นอาจจะลงอีกทีตอนที่เขียนใกล้จบแล้วนะคะ จะได้ไม่ค้างคาค่ะ
ป.ล. เรื่องนี้ปัญหาใหญ่เพียงหนึ่งเดียวคือความคิดเยอะของฟีเรียสนะคะ ปัญหาเรื่องคู่หมั้นคาดว่าจะสามารถแก้ไขได้ในสามบรรทัด ส่วนปัญหาอื่นๆ ก็จะรวบรัดให้ผ่านไปค่ะ ไม่ดราม่า