Chapter 12
เมื่อวารินทร์จัดการธุระที่บ้านของวายุเทพเสร็จสิ้นแล้วก็รีบกลับมาที่บ้านของตัวเองทันที ด้วยการเลื้อย!!! ตัวเค้าเองไม่อยากปล่อยนารินทร์ไว้คนเดียวนานมากนักถึงจะรู้ว่าไม่มีอะไรสามารถทำร้ายนารินทร์ได้ในบ้านหลังนั้นแต่จะไว้ใจอะไรได้ แค่ช่วงเวลาที่นารินทร์ไปเรียนยังโดนวายุลากไปยำทำแกงได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นขึ้นมาอีกรู้ตัวอีกทีวารินทร์ก็มาถึงบ้านแล้ว
นารินทร์ที่เผลอหลับไปในอ้อมกอดของพี่ชายตัวเองไปเมื่อคืนนี้ พอตื่นขึ้นมาก็ไม่พบกับพี่ชายแล้วนารินทร์จึงเดินลงมาข้างล่างที่ๆประจำของพี่ชายแต่ก็ไม่พบ นารินทร์จึงกลับขึ้นไปหาวารินทร์ที่ห้องส่วนตัว เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบกับงูจำนวนมากที่ยั๊วเยี๊ยอยู่ในห้องของวารินทร์และดูเหมือนจะเยอะผิดปกติด้วย
“พี่รินทร์…” วารินทร์หันไปตามคำเรียกของน้องชาย แต่นั้นทำให้นารินทร์หัวใจเต้นแรงและเร็วอย่างหวาดกลัวเพราะสายตาของวารินทร์ไม่ได้นิ่งเป็นน้ำแข็งอย่างที่เคย กลับกลายเป็นสายตาที่ชิงชัง อาฆาต เคียดแค้น และที่สำคัญมันเป็นสีแดง!!!
“ไม่ต้องตกใจนารินทร์…พี่จะคุยกับเราเรื่องนี้พอดี” พูดจบสายตาของวารินทร์ก็กลับกลายเป็นปกติดังเดิมสร้างความแปลกใจให้กับนารินทร์ไม่น้อย
“ตามพี่มานี่สิ” วารินทร์พาน้องชายเดินไปทางห้องสมุดของบ้านแล้วจับรูปปั้นพญานาคที่โต๊ะหนังสือหมุนจนครบหนึ่งรอบ ทันใดนั้นก็ปรากฏทางเดินกลางห้องซึ่งมันสามารถลงไปข้างล่างได้อีก วารินทร์ไม่รอช้ารีบเดินนำนารินทร์ลงไปข้างล่างและสิ่งที่นารินทร์ต้องตะลึงยิ่งกว่าเดิมก็คือผนังที่เป็นเหมือนถ้ำและเพดานใต้ห้องนี้เป็นบ่อน้ำในป่าที่ตัวเค้าชอบไปนอนประจำแถมภายในนี้ยังมีทองอีกจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งคาดว่าใช้ทั้งชาติก็ใช้ไม่หมดหากตีค่าออกมาเป็นเงิน
“มันคืออะไรพี่รินทร์” นารินทร์ถามพี่ชายของตัวเองอย่างต้องการคำตอบ เพราะสิ่งที่นารินทร์เห็นอยู่ตอนนี้มันเกินกว่าวิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายได้
“ไม่เคยสังเกตบ้างหรอว่าทำไมงูถึงไม่กัดเราสองคน ทั้งที่งูเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและมีพิษที่พรากชีวิตของสัตว์บนโลกนี้ได้แทบทุกชนิด ยิ่งกับคนธรรมดายิ่งเป็นไปไม่ได้ที่งูจะเชื่อฟังและเชื่องเสมือนสัตว์เลี้ยง” วารินทร์ตั้งคำถามให้นารินทร์คิดตามซึ่งนารินทร์เองก็เห็นด้วยกับทุกคำพูดที่วารินทร์พูดออกมา
“หมายความว่า พี่กับนาไม่ใช่คนธรรมดา” สิ้นเสียงของนารินทร์วารินทร์ก็พยักหน้าพร้อมกับพี่ดำที่โผล่มาจากตรงไหนไม่ทราบมาอยู่ด้านหลังของวารินทร์
“วารินทร์ วารีรินทร์ และ นารินทร์ วารีรินทร์ คือพญานาคที่ชะตาลิขิตให้มาเกิดบนโลกอีกครั้งเพื่อแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดบางอย่าง…แต่เราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
“เดี๋ยวก่อนนะ นาเนี่ยนะเป็นพญานาค” นารินทร์พูดเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ เราสองคนเป็นพญานาค…ส่วนสุบรรณกับเวนไตย…เป็นพวกครุฑ”
“เดี๋ยวก่อนนะ ในเมื่อเราเป็นพญานาคแล้วพวกนั้นเป็นพญาครุฑ ถ้าอย่างนั้นเราสองฝ่ายก็เป็นศัตรูกัน…” พูดจบวารินทร์ก็เดินไปอีกห้องหนึ่งเพื่อเตรียมตัวทำอะไรบางอย่างโดยปล่อยให้นารินทร์ยืนประติดประต่อเรื่องเองอยู่ที่โถงใหญ่
“นารินทร์เดินเข้ามาห้องนี้” พูดจบนารินทร์ก็เดินไปตามคำสั่งของวารินทร์ เมื่อเข้ามาในห้องก็ถูกวารินทร์จับนั่งอยู่กลางห้องและสั่งให้นั่งเฉยๆอย่างเดียว จากนั้นวารินทร์ก็เริ่มร่ายรำเพื่อเริ่มทำพิธีบางอย่าง ในขณะที่วารินทร์กำลังร่ายรำนั้นชุดของวารินทร์ก็ค่อยเปลี่ยนไปเองโดยเหมือนชุดไทยในสมัยโบราณสีเขียวสลับทองรูปร่างคล้ายเกล็ดมีเครื่องประดับประปรายอยู่ตามตัวอย่างสวยงาม ในจังหวะสุดท้ายวารินทร์ก็กระแทกมือข้างหนึ่งใส่ตัวนารินทร์ นารินทร์สะดุ้งอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับความรู้สึกรุ่มร้อนในตัวที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ทนหน่อยนะนารินทร์” วารินทร์เลิกร่ายรำแล้วนั่งประคองร่างของนารินทร์เอาไว้อยู่นานจนกระทั่งอาการของนารินทร์สงบลง นารินทร์ลืมตาขึ้นก็พบว่าวารินทร์ยังคงนั่งประคองเค้าไว้อยู่แต่นารินทร์ยังคงสงสัยอย่างหนึ่งว่าชุดอันงดงามที่นารินทร์เห็นคืออะไร
“ต่อจากนี้ไปนารินทร์ไม่ใช่นารินทร์เด็กธรรมดาอีกแล้วนะ…จะทำอะไรต้องมีสติ อารมณ์ของเรามีผลกระทบต่อคนรอบข้างมากมาย อย่าโมโหง่ายไม่งั้นจะเป็นแบบนี้…” พูดจบวารินทร์ก็ทำตาสีแดงใส่นารินทร์ซึ่งนารินทร์ก็พยักหน้าเข้าใจ
“ห้ามแช่งคนอื่นเพราะจิตของเราสามารถทำให้คนๆนั้นมีอันเป็นไป มันจะเป็นบาปกับตัวเองเรา…เข้าใจไหม” นารินทร์พยักหน้ารับปากแต่วารินทร์ก็ยังไม่มั่นใจ จึงคอยกักบริเวณนารินทร์เอาไว้เพื่อฝึกควบคุมสมาธิกับเค้าและมีพี่ดำคอยช่วยบางโอกาส
ทางด้านของพายุที่ตอนนี้ลากน้องชายของตัวเองมานั่งคุยกันพร้อมกับมีพ่อและแม่นั่งร่วมอยู่ด้วยซึ่งวายุก็ได้แต่ทำหน้านิ่งอย่างเดียว แต่พายุเองก็พอจะจับทางได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงแต่ว่าเค้าไม่แน่ใจแค่นั้นเอง
“ไหนมึงเล่ามาสิว่ามึงไปทำอะไรไว้” พายุเปิดฉากถามทันที ซึ่งพ่อกับแม่ก็รอฟังคำตอบจากวายุอย่างใจจดใจจ่อเพราะทุกคนต่างงงกับการมาเยือนของวารินทร์
“ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกก็แค่…”
“ไม่ได้ทำอะไรมากหรอ!!! มึงใช้อะไรพูดถ้ามึงไม่ได้ทำเค้าหนักมากมายเค้าจะกลายร่างเป็นปิศาจอย่างที่มึง กู แล้วก็พ่อกับแม่เห็นไหม!!!…มึงเล่าความจริงมาซะ” พายุตะคอกใส่วายุอย่างเหลืออดเพราะการทำอะไรไม่คิดของวายุทำให้ใครหลายๆคนต้องเจอเรื่องที่น่ากลัว ยังไม่รวมถึงห้าคนที่โดนฆ่าอย่างน่าสยดสยอง แต่วายุไม่สลดกลับขึ้นเสียงใส่พายุกลับอย่างมีน้ำโห
“เออ!!!…กูจับน้องมันทำเมียก็แค่นั้น แล้วมันเป็นผู้ชายมันไม่เสียหายอะไรหรอก…พลั๊ว!!!” พายุมอบหมัดใส่วายุทันทีที่ได้ยินคำตอบ ตัวเค้าเองแทบไม่อยากจะเชื่อว่าน้องชายของเค้าจะทำอะไรเลวระยำได้มากขนาดนี้
“พายุ!!! อย่าทำน้องสิลูก มีอะไรค่อยๆพูดกันสิ” พายุและวายุต่างนิ่งเงียบจนวายุเป็นฝ่ายยอมเอ่ยปากเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่แรกให้ทุกคนในห้องฟังเรื่อยๆจนถึงตอนที่วารินทร์บุกมาที่บ้าน
“ถ้ากูเป็นวารินทร์มึงไม่ได้หายใจอยู่จนทุกวันนี้แน่ไอ้วายุ” วายุหันขวับมองหน้าพี่ชายทันทีเพราะแทนที่จะเข้าข้างหรือคอยให้กำลังใจแต่พายุกลับซ้ำเติมเค้าเสียอย่างนั้น
“หึ…แน่สิ มึงมันก็เห็นคนอื่นดีกว่าน้องตัวเอง โดยเฉพาะคนที่มึงหวังจะเอาเค้าเป็นเมีย!!!”
“มึงไม่รู้อะไรก็หุบปากไปซะ!!! มึงไม่รู้หรือไงว่าวารินทร์รักนารินทร์มากแค่ไหน ต่อจากนี่มึงอย่าหวังเลยว่าจะได้เจอตัวนารินทร์ง่ายอีก” พูดจบพายุก็เดินจากไปด้วยความโมโหเพราะความเห็นแก่ตัวของน้องชายเค้าจะทำให้ตัวเค้าได้พบกับวารินทร์อีกหรือเปล่า เค้าจะถูกเกลียดไปด้วยไหม ยิ่งคิดพายุก็ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ก็ได้แต่ทำใจและหาวิธีเชื่อมสัมพันธ์กับคนสวยใหม่เท่านั้น
“พายุลูกแม่เข้าไปได้ไหม”
“เชิญครับคุณแม่” พายุเปิดประตูให้แม่ของตัวเองเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งมีไม่กี่คนที่สามารถเข้ามาได้ถ้าพายุไม่อนุญาต
“คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” พายุถามเสียงอ่อนอย่างหมดแรง ถึงเรื่องงานในบริษัทจะไปได้สวยและราบรื่นดีแต่กลับมีปัญหาทางใจมาก่อกวนแทน พายุคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้เค้ายอมมีปัญหาทางการงานดีกว่ามันจะไม่อึดอัดเท่าปัญหาทางใจอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย
“แม่ว่าเราควรจะไปขอโทษนารินทร์เค้านะลูก วายุทำผิดจริงๆ…แม่ไม่คิดเลยว่าวายุจะทำเรื่องแบบนี้ได้…ซิก…ฮึก” คุณหญิงสุดาปล่อยน้ำตาต่อหน้าลูกชายคนโตเพราะความผิดหวังในตัววายุเค้าไม่เคยสอนให้ลูกเค้าทำเรื่องระยำแบบนี้กับคนอื่น พายุเห็นภาพที่คุณแม่ของตัวเองร้องไห้ก็พาลนึกอยากให้วายุได้เห็นว่าการกระทำของตัวเองทำให้คุณแม่ต้องเสียใจมากแค่ไหน
“ไว้เดี๋ยวเราไปหาเค้าก็ได้ครับ…ถ้าเค้ายอมให้เราพบ” เพราะพายุคิดว่าวารินทร์คงไม่อยากเห็นหน้าคนตระกูลวายุเทพอีกจึงเป็นเรื่องยากที่จะพูดคุยกันดีๆ เพราะทางวายุก็ทำไว้เจ็บแสบจริงๆ
“พาน้องไปด้วยนะลูก เค้าจะรับคำขอโทษหรือไม่น้องก็ต้องไปเพราะน้องเป็นคนก่อเรื่อง” พายุได้แต่พยักหน้ารับคำของแม่ แต่ในใจกลับกลัว…หากวารินทร์เห็นหน้าวายุอีก วายุจะยังมีชีวิตรอดกลับมาหรือเปล่า เพราะพวกวารีรินทร์ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอนซึ่งพายุมั่นใจในเรื่องนี้มาก
ถัดจากนั้นหนึ่งสัปดาห์เมื่อวายุฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้วก็ถูกคุณแม่ คุณพ่อ และพี่ชายลากไปที่บ้านวารีรินทร์เพื่อขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมาถึงคุณหญิงสุดาชอบบ้านวารีรินทร์อย่างมากเพราะขนาดแค่อยู่หน้าบ้านยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของธรรมชาติที่บริสุทธิ์ซึ่งหาได้ยากในเมืองหลวงที่การจราจรแออัดแบบนี้
“ไม่กดกริ่งเรียกเค้าหรอลูก” พายุส่ายหน้าแล้วเดินนำเข้าไปในบริเวณบ้านและทันทีที่พายุมายืนอยู่หน้าบ้านก็พบกับวารินทร์ที่ยืนอยู่หน้าบ้านคอยอยู่แล้ว ซึ่งพายุเองก็คาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วเช่นกันว่าวารินทร์จะต้องรู้ตัวแล้ว…ว่าเค้ากำลังบุกรุก
“พวกคุณกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของผมอยู่” วารินทร์พูดเสียงนิ่งและกวาดสายตามองไปยังแขกผู้บุกรุกแต่วารินทร์ไม่คาดคิดว่าวายุยังจะกล้ามาให้เค้าเห็นหน้าอีก
“ยังกล้ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกหรอ!!!...กลับไปซะ ก่อนที่แกจะได้ตายสมใจ!!!” วารินทร์พูดจบท้องฟ้าจากที่สงบอากาศแจ่มใสก็เกิดเมฆครึ้มดำไปทั่วบริเวณพร้อมกับลมที่กรรโชกแรงอย่างไม่น่าเชื่อและเมื่อทุกคนมองเจ้าบ้านที่กำลังยืนอย่างโมโหนั้น ก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อตาของวารินทร์กลายเป็นสีแดงอย่างที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน ทำให้ไม่มีใครกล้าสบตากับวารินทร์สักคนเดียว
“คุณพ่อคุณแม่ระวังครับ!!!” พายุรีบกันบิดามารดาของตัวเองไว้อย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้งูจำนวนมากได้ล้อมรอบพวกเค้าไว้ทุกตารางนิ้วที่ยืนอยู่มีทั้งตัวเล็กไปจนถึงตัวขนาดใหญ่
“หนูวารินทร์ฟังป้าก่อนนะ ป้าแค่อยากมาคุยด้วย อยากจะทำอะไรให้มันถูกต้องจะได้ไม่ต้องผูกเวรกันต่อไปอีก…เชื่อป้าเถอะนะลูก” คุณหญิงสุดาพูดกล่อมวารินทร์ซึ่งมันก็ได้ผลลมพายุสงบลงพร้อมกับท้องฟ้าที่แจ่มใสอีกครั้ง และบรรดาบริวารของวารินทร์ก็ถอยกลับเข้าสู่ป่าไป
“เชิญข้างในก่อนครับ…แต่ผมคงมีเวลาไม่มาก!!!” วารินทร์เดินนำขึ้นบ้านไปและคิดว่าถ้าหากคิดจะมาลูกเล่นอะไรอีกละก็…วายุเทพได้ตายยกตระกูลแน่!!!