ติดกลิ่นกายเนื้อนุ่มนวลอนงค์
ถ้อยบรรจงแย้มยิ้มสเน่หา
แตะต้องจิตสิ้นฤทธิ์ภาวนา
เปี่ยมตัณหาหวังข้าได้ครอบครอง
แต่ด้วยแรงฤทธิ์รสพิศวาส
ริอาจคาดปรารถนาคืนสนอง
ข้ารักเจ้าเจ้ารักข้าตามครรลอง
ริจับจ้องทั้งกายน้อง..และครองใจ
-๑๗-
ไม่มีความรู้สึก ‘รัก’ งั้นเหรอ… …อืม…จะว่าไปทำไมผมถึงไม่แปลกใจหรือตกใจดราม่าห่าเหวอะไรเท่าไหร่เลยวะ… …ไม่ใช่เพราะความไว้ใจว่าไอ้พี่วันมันชอบผมขนาดนั้นหรอกนะครับ ไม่ใช่เพราะคลางแคลงใจสงสัยในความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วย ความจริงผมก็พอจะสังเกตได้มาสักพักแล้วว่าเขาค่อนข้างที่จะ..เอ่อ..เฉื่อยชาในการแสดงความรู้สึก ซึ่งดูเหมือนสิ่งนี้จะเป็นเรื่องปกติของจระเข้…
เพราะว่าจระเข้ไม่ใช่ ‘มนุษย์’ …อย่างตอนดูดิสโคฟเวอรี่จระเข้ก็ไม่ได้เป็นสัตว์ชนิดที่จะรักเดียวใจเดียวอยู่กับคู่ครองไปจนวันตาย หรือพูดให้ถูกก็คือไม่ใช่สัตว์ทุกชนิดที่จะมีความรู้สึกแบบมนุษย์นั่นเอง
แต่เพราะที่ผ่านมาแม้จะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ผมก็พอรู้ครับว่า….เขาให้ความสำคัญกับผมขนาดไหน อาจจะไม่มากเท่าจระเข้ตัวอื่นหรืออะไร แค่มากกว่ามนุษย์ทั้งหมดทั้งปวงที่เขาเคยเจอ….
…ดูเหมือนนั่นจะเพียงพอแล้ว… แอดดด… ผมเหลือบสายตามองบานประตูที่เปิดออกพร้อมๆกับร่างสูงที่สาวเท้าเข้ามา เขาหยุดอยู่ตรงนั้น..ขมวดคิ้วมองผม
“ทำอะไรน่ะ?”
“…ยืดเส้นยืดสาย” เขากระพริบตา “…ห้อยหัวน่ะนะ?”
“ทำให้เลือดเดินทางไปเลี้ยงสมองได้สะดวกไง”
ผมเปลี่ยนท่าจากการเอาหัวชนพื้นแต่ตูดอยู่บนเก้าอี้มานั่งดีๆ..มันทุลักทุเลนิดหน่อย..ท่าทางผมจะอยู่ท่านั้นนานไปนิดกระมังครับ
“วันนี้เป็นไงมั่ง?”
“พี่สิต้องถาม” เขายิ้ม “เป็นไงบ้าง? มาลาล่ะ?”
“หลับอยู่โน่น” ผมพยักเพยิดไปที่เตียงอีกห้อง “เจอโป๊ยมั้ย? ได้บอกมันรึเปล่า?”
“เจอสิ บอกแล้วด้วย”
“บอกว่าไง?”
อีกฝ่ายขยับยิ้มกว้าง แล้วยักคิ้วให้
“บอกว่าไกรมาอยู่กินกับพี่แล้ว ไม่ต้องห่วง” “ไอ้พี่วัน!!”
“ฮะๆ ล้อเล่น..แค่บอกว่าไกรไม่สบาย”
หลังจากถอดถุงเท้าโยนไว้ในตะกร้าแล้วเขาก็เดินเข้ามานั่งใกล้ๆผม และระยะที่เขาเบียดเข้ามานั้นทำให้ผมนี่แหละที่ต้องเป็นฝ่ายเขยิบออก แต่เขาก็จับแขนผมเอาไว้
“ไกรล่ะ?...ปวดหัวรึเปล่าครับวันนี้?”
คำง่ายๆที่ผมรู้สึกอยากจะคายหัวใจออกมาทั้งอย่างนั้น “ไม่เลย”
“ดีแล้วล่ะ”
“พรุ่งนี้ไปมหา’ลัยได้ใช่มั้ย?”
“แล้วแต่ไกรสิ แต่ถ้าไม่ไหวก็พักก่อน”
“ไม่เอา” ผมส่ายหน้า พยายามไม่สนใจมือเขาที่ลูบๆคลำๆแขนผมอยู่ “ไม่เคยหยุดเรียนติดๆกันขนาดนี้มาก่อน ยังไงก็ต้องไป…ถ้าขาดเกิน4ครั้งน่ะแย่แน่”
“ยื่นใบรับรองแพทย์เอาสิ”
“จะไปเอามาจากไหนล่ะ ซื้อเอารึไง?”
เขาเลิกคิ้ว
“……พี่ไม่ได้บอกเหรอว่าท่านอาพันวังเป็นหมอ?” ..ผมว่าไอ้บ้านี่มีอะไรให้ผมประหลาดใจได้อีกเยอะเชียวล่ะครับ.. และผมก็เกือบจะลืมๆไปแล้วล่ะ ลองมานึกๆดูแล้วไอ้พี่วันซึ่งเป็นถึง ‘ท่านจ้าว’ ของมวลมหาประชาจระเข้..ที่ก่อนหน้านี้ผมรับรู้แค่ว่าเขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นรุ่นพี่ในคณะเดียวกันกับผม เป็น….แค่ไอ้หน้าหล่อกวนประสาทที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ
…แต่จริงๆเขาก็ไม่ได้กวนประสาทขนาดนั้น ก็พอจะมีมุมเล็กๆน่ารักอยู่บ้าง ซึ่ง..เอ่อ..ทุกวันนี้เขาก็กวนประสาทผมน้อยลง(มั้ง) อาจจะเพราะด้วยอะไรหลายๆอย่างละมั้ง…เราก็เลย……….
….แต่เรื่องหัวใจขอพักไว้แปปนึงครับ….
….เพราะ……. “ไม่ได้” บริภาษตัดฉับทั้งยังไม่ทันจะฟังความให้จบประโยคทำเอาทั้งผมและไอ้พี่วันถึงกับถือช้อนส้อมคาไว้อย่างนั้น คนตรงหน้าพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ราวกับไม่ได้ยี่หระอะไรกับเรื่องที่ผมและไอ้พี่วันเพิ่งขออนุญาตไปเมื่อ..สองวินาทีที่แล้ว
พี่วันหันมามองผมรอบหนึ่ง แล้วพยายามหันไปต่อ “…แต่…ตอนผม ท่านอายัง…..”
“กรณีนั้นก็ส่วนกรณีนั้น กรณีนี้ก็ส่วนกรณีนี้สิ” ท่านอาพันวัง(ขออนุญาตเรียกตามพี่วันนะครับ)สวนกลับ “มันผิดจรรยาบรรณอาชีพ หลานเองก็น่าจะรู้นะ”
มันเป็นคำอธิบายที่ทำให้เราหันมามองหน้ากันอีกครั้งอย่างจนด้วยคำพูด
…แต่ไม่ถึงกับจนปัญญา “ไม่เป็นไรหรอกพี่วัน” ผมบอก ทำเสียงอ่อย “ขาดเรียนไปวันสองวัน…คงไม่ถึงกับหมดสิทธิ์สอบหรอกมั้ง”
“แล้วถ้าต่อจากนี้อาการมันกำเริบล่ะ..” เขาเหมือนจะรู้ความ เลยสบตาผมหวานซึ้ง “ถ้าหากวันที่ไกรปวดหัวหนัก ไม่สบายเหมือนอย่างวันที่แล้วๆมาจนต้องขาดเรียนอีกล่ะ”
ผมบีบน้ำตา “..ไม่..เป็นไรจริงๆ”
“ไกร” พี่วันกุมมือผม “ถึงไกรจะเรียนไม่จบ แต่พี่จะดูแลไกรหลังจากนี้เองนะ”
“ไม่หรอกพี่วัน” ผมบีบมือเขาตอบ พยายามทำให้เหมือนโลกนี้มีแค่เราสองคน “ถึงจะต้องเรียนอีกกี่ปี..ไกรก็ต้องเรียนให้จบให้ได้ จะไม่ให้ใครมาหัวเราะเยาะไกรได้…แล้วก็จะไม่ให้ใครรู้เรื่องที่ไกรป่วยจากอาคมพิลึกพิลั่นแบบนี้ด้วย”
“ไกร….”
“ไกรจะปกป้องความลับนี้ไว้เท่าชีวิต ไกรสัญญา…”
“เออ!!” หนังสือพิมพ์ถูกปิดฉับฟาดป้าบลงบนโต๊ะ กับน้ำเสียงกระแทกกระทั้นที่ทำเอาผมต้องกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เอาก็เอา เดี๋ยวจัดการให้!” “เย้!” ผมยิ้มยิงฟัน “อาพันวังน่ารักที่สุดเลย!”
ดวงตาคู่คมตวัดมาฉับ “ใครอาแก ข้าไม่อยากญาติดีกับพวกมนุษย์หรอก ไม่ต้องมาตีซี้”
ผมกระพริบตาปริบๆ “…อาพูดงี้ได้เหรอ เดี๋ยวผมแฉนะ”
“แกจะแฉอะไรข้า?”
“จระเข้ไง!”
“ก็ลองดูสิ” เขาแสยะยิ้ม “จะกินให้หมด”
“….ใส่เกลือนิดๆด้วยก็ดีนะฮะ…” ไอ้พี่วันหยิกขาผมเหมือนอยากให้ผมเลิกกวนประสาทญาติผู้ใหญ่แกเสียที “ขอบคุณครับท่านอา”
“เออ”
“แล้ว…ท่านอาไม่ทานข้าวด้วยกันเหรอครับ?”
คนถูกถามผ่อนลมหายใจ ปราดสายตามามองผม
“ไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารกับ..มนุษย์” ผมเลิ่กลั่ก หันไปมองพี่วัน “แล้วตอนที่ท่านอาพันวังออกไปทำงานเนี่ย ไม่ต้องกินข้าวกับมนุษย์เหรอ?”
“…ไกร” พี่วันยิ้มให้ผม
แต่ผมยังคงแกล้งทำเป็นไม่รู้ “หรือว่าท่านอา…ไม่มีพ-…..?”
“ไกร” เขาเรียกชื่อผมอีกครั้งขัดขึ้นมา แล้วพูดชัดเจน
“เดี๋ยวก็โดน ‘กิน’ จริงๆหรอก” ผมรู้สึกว่าเขาย้ำเหมือนจะจงใจให้ผมกลัว แถมพี่วันยังต่อด้วยการหันไปทานข้าวเหมือนเดิมราวกับว่าหมดมุขที่จะปกป้องผมแล้ว และตอนนั้นเองที่ผมเหลือบสายตาไปมองคนที่นั่งอีกฝั่ง..ด้วยอยากจะค้อมศีรษะแสดงอาการขอโทษสักทีหนึ่ง
แต่ปรากฏว่า…มีรอยยิ้มเล็กๆอยู่ที่มุมปากคนตรงหน้า
“ไอ้หนู” ชายหนุ่มหน้าคมเข้มคนนั้นหรี่ตามองผม “ชื่ออะไร?”
ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้อยู่แล้วแท้ๆ แต่ก็ตอบ “….ไกร…ครับ”
“ไกร”
“ค-ครับ?”
“รู้มั้ยว่ามนุษย์มีอายุเฉลี่ยเท่าไหร่?”
“…60….70ปี…มั้งครับ”
“แล้วรู้มั้ยว่าจระเข้อย่างเรา…มีอายุขัยเฉลี่ยเท่าไหร่?”
ผมมองเขา หันกลับไปมองคนข้างตัวผม..ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยว่าไอ้พี่วันดูไม่ใยดีผมเอาซะเลย! เอาแต่จ้วงข้าวๆอยู่นั่นแหละ!!! ไอ้บ้าเอ้ย!!
“ผม..ผมไม่รู้…”
“ข้าเองก็ไม่” เขาบอกผม “เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ตายเพราะอายุขัย แต่ถูกมนุษย์ฆ่าตาย”
วูบหนึ่งที่สายตาคู่นั้นทำให้ผมยะเยือกเย็นขึ้น มันน่ากลัวจนผมต้องบังคับตัวเองให้หลบตาลงมา
“ร้อยกว่าปี สองร้อยกว่าปี..ข้าน่ะมีอายุมากกว่าเมืองหลวงนี่ซะอีก” อีกฝ่ายพูดขึ้น น้ำเสียงนั้นซึมลึกเข้ามาในหูทำให้ผมชนลุกซู่ และถึงแม้ว่าจะสงสัยเรื่องใบหน้าที่ไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัยที่เขาอ้าง..แต่ผมก็ไม่อาจเงยหน้าหาคำตอบของความเบบี้เฟสนั้นได้(ยังจะตลก! แม่ง มือสั่นอยู่แล้วยังจะตลกอีก!)
“มนุษย์อย่างแกน่ะ..ข้าเจอมาเยอะแล้ว ไอ้ประเภทกล้า บ้าบิ่น จะทำอะไรพูดอะไรก็ไม่คิดหน้าคิดหลังน่ะ” ..ผมคิดว่าเขาสามารถหยุดลมหายใจผมได้ด้วยการกระดิกนิ้ว..
..เพราะตอนนั้น..ผมก็เผลอกลั้นใจเสียแล้ว.. “… ‘กิน’ มาเยอะแล้วด้วย”+++++++++++++++++++
“น่ากลัว”
ผมพูดขึ้นทันทีที่ปิดประตูห้อง
ไอ้พี่วันส่ายหน้า เดินนำผมเข้ามาที่ห้องนอนราวกับไม่ได้ใส่ใจคำพูดของผมเท่าไหร่
เลยต้องย้ำ “…ไกร…จะกลับหอ”
เขาผ่อนลมหายใจ “ไม่ได้”
ผมทำตามบ้าง “รู้อยู่แล้วล่ะ แต่ก็กลัวนีหว่า”
“สมน้ำหน้า” เขาบอก “ไปยั่วท่านอาแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็เห็นเค้ารับมุขแรก…”
“นั่นไม่เรียกรับมุข เขาเรียกรำคาญก็เลยยอมๆไปงั้น”
“…..จระเข้เป็นแบบนั้นทุกตัวเลยมั้ย?”
“ก็…อย่างที่เห็น”
“…พี่วันจะปล่อยให้ไกรโดนกินมั้ย?”
“คงไม่” เขาไหวไหล่ ไม่ได้หันมามองผม “แต่ถ้าห้ามไม่ทัน…พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง รู้สึกตัวอีกทีไกรอาจจะอยู่ในปากท่านอาแล้วก็ได้”
“ไอ้บ้า ตอนนั้นยังบอกอยู่เลยว่าไม่ยอมให้โดนกินน่ะ”
“ก็ไกรทำตัวเอง” คำพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นเช่นนั้นทำให้ผมสะอึก และรับรู้ได้จากแผ่นหลังที่ไม่ได้หันมานั่นว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป นั่นหมายถึงเรื่องเมื่อครู่ผมคงจะ..ทำมากเกินไปหน่อย….
เลยต้องรับผิด “….ขอโทษครับ”
“อืม”
“โกรธเหรอ?”
“ใช่”
ผมก้มหน้าลง “ขอโทษ”
“รู้แล้ว”
“พี่วัน…”
“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก” เขาถอดเสื้อ เปลี่ยนเป็นชุดนอน “สัญญาสิ”
“ไกรสัญญา”
“เฮ้อ” “อะไรอีกอ่ะ…”
“เหนื่อยใจ” “เหนื่อยกับไกรเหรอ?”
เขาหันมามองผม แล้วถอนหายใจสั้นๆ “กับตัวเองเนี่ยแหละ ทำไมถึงคุมปากไกรไม่อยู่นะ”
“ร-เรื่องนั้นไกรผิดเองเหอะ พี่วันก็เตือนไกรแล้ว” ผมรีบบอกเขา เดินเข้ามาใกล้ๆ “ไกรสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำอีก จะไม่ปากมากปากพล่อยแล้ว นะ สัญญาแล้วนะ”
เขาปรือตามองผม “อือ”
“พี่วันหายโกรธสักทีสิ”
“….ไม่รู้สิ พี่เองก็…ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน”
“รู้สึกแบบไหน”
“โกรธจนอยากกินไกร” “อะไรนะ?”
“ก็ถ้าจะให้ท่านอากิน สู้พี่กินเองดีกว่า” “ไอ้พี่วัน!” ผมต่อยแขนเขา “ล้อเล่นแบบนี้ไม่ตลกนะ”
เขาท่าทางจริงจัง “ก็ถ้าไกรทำตัวน่าจับกินเมื่อไหร่ ก็ให้รู้ตัวไว้ว่ากระโดดเข้ามาในปากพี่ซะ”
“อ…อะไรเนี่ย!”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเอามือมาบีบแก้มผม
“หลับตาซะ” “อะไร?”
ไม่อยากจะนับคำว่า ‘อะไร’ ที่ตัวเองเพิ่งพูดออกไปเลยล่ะครับ! “หลับตาไง”
“…ทำไม?” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกว่าตัวเองออกเสียงลำบากจนอู้อี้ “หลับตาทำไม?”
เขาทำท่าเหมือนอยากจะกินผมจริงๆครับตอนนั้น..ดวงตาสีอำพันเรืองรางอย่างดุดันก้าวร้าวจนน่ากลัว และนิ้วแข็งบีบอยู่ตรงข้างแก้มก็กดน้ำหนักลงมาจนเจ็บ ตอนนั้นเองที่ผมคิดว่าควรจะยอมหลับตาตามที่เขาสั่งแต่โดยดี..อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้อีกฝ่ายโกรธอยู่แบบ…..
“จะจูบ” ...นี้
ช่างหัวเรื่องโกรธแม่งเถอะครับ!! ไอ้คำพูดชวนให้หน้าร้อนฉ่านั่นมันอะไร๊!? “ห๊า!?”
“หลับตา”
“……..ไม่!!!”
“เออ ไม่ก็ไม่”
แล้วเขาก็จูบผม ช่างเรื่องหลับตาไม่หลับตาไปก่อนเถอะครับ!! เพราะไอ้สิ่งที่จู่ๆเขาก็เข้ามาประกบปากแม่งทำเอาผมต้องเบิกตาโพลงค้างเอาไว้ทั้งอย่างนั้นด้วยอารามสับสนกึ่งตกใจ แต่ไม่นานเขาก็ละออก
พร้อมหัวเราะพรืด “หน้าตาตลกนะเราน่ะ”
ผมรู้สึกหน้าตัวเองร้อนมาก “ไอ้……”
“แล้วจะหลับตาได้ยัง?”
“ไม่ ปล่อยเลย!”
“นี่” เขาขมวดคิ้ว ยังบีบแก้มผมอยู่ “พี่โกรธอยู่นะ ตามใจพี่สิ”
“เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวนี่!! ไกรไม่ทำตามที่ใครสั่งหรอกนะ!!”
“โอเค” เขายิ้ม..มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้ว่าเขาหายโกรธแล้ว
“หลับตาสิครับ..คนดี” …และแม่งแย่ตรงที่…ผมเสือกใจเต้นกับทั้งสองการกระทำนั่น!!! แต่ตอนนั้นมันเป็นเวลาที่ผมเถียงอะไรไม่ออกแล้วครับ เพราะเสียงหัวใจแม่งเต้นดังจนผมควบคุมมันไม่ได้ แถมตอนที่เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ไอ้ผมน่ะเหรอจะเหลือ..เผลอหลับตาปี๋รับรสจุมพิตประหลาดๆนี่อีกครั้งหนึ่ง
เขาบีบแก้มผม..บังคับให้เผยอริมฝีปากขึ้น และมันทำให้ผมเขินจนต้องถอยหลังหนี
“ด-เดี๋ยว…!”
ผมตะกุกตะกัก แต่ก็ปล่อยให้ปากตัวเองเป็นอิสระอยู่ได้ไม่นานเพราะอีกฝ่ายก็ตามเข้ามาทันที ครั้งนี้เขาใช้สองมือรั้งเอวผมไว้..ขณะที่ปล่อยให้อะไรๆมันเริ่มจะ..เลยตามเลย
อากาศกำลังจะหมด
..และรสจูบนี้มันทำให้ผมขาสั่นมาก
ผมคิดว่าตัวเองกำลังจะล้ม แต่คนตรงหน้าก็ไม่ปล่อยให้ผมทรุด เขากอดผมแน่น..ดันหลังผมให้ส่วนหน้าของเราแทบจะทาบติดกันหมด ราวกับต้องการจะบังคับให้ผมตั้งสมาธิอยู่กับเสียงฉ่ำแฉะประหลาดๆจากการกระทำที่ไม่เคยลองมาก่อนในชีวิต
ทันทีที่เขาผละออก
ผมก็ต่อยแขนเขา ‘ปั๊ก’ แล้วใช้พลังงานที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเพื่อพุ่งตัวไปที่เตียง ด้วยไม่อยากให้ตัวเองล้มลงไปเหมือน…เอ่อ…ไอ้งี่เง่าไร้เดียงสาที่ไม่เคยลองแม้กระทั่งจูบลึกซึ้งทั้งๆที่ตนอายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว…แบบนั้น!
“ไกร…”
“อย่าพูดนะ!!!” ผมร้องบอกเขา ก้มหน้าลงกับหมอน
“ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น!!” ได้ยินเสียงเขาหัวเราะ “อะไรน่ะ?”
“บอกว่าเงียบไง!”
“ทีพี่บอกให้ไกรเงียบไกรไม่เห็นฟังพี่บ้างเลย”
“ร-เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้สิ”
“……………เขินหรอ?” เท่านั้นแหละผมคว้าหมอนหมับ เขวี้ยงป้าบปะทะหน้าหล่อๆของคนข้างๆ “เออ!!!”
“ฮะๆ”
“หยุดหัวเราะ!!”
“ไกร”
“อะไรอีก”
“ขออีกรอบ”
“ห๊ะ!?!” ผมเบิกตาโพลง
“เมื่อกี้มันยังไม่หนำใจ” เขาบอก พยายามทำสีหน้าจริงจัง “พี่ยังไม่หายโกรธนะ”
“ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาอ้างเลยว้อย!”
“จะเขินอะไรขนาดนั้น…”
“ก็-ก็ผมไม่ได้ทำบ่อยๆแบบพี่นี่”
“ปกติพี่ก็ไม่ได้บ่อยหรอกนะ”
“แล้วกับมาลาวรรณนานี่ไม่จูบกันบ้างเลยรึไง ห๊าาา?” ผมสวนออกไป แม้จะรู้ว่าคำนั้นทำให้ตัวเองเจ็บแค่ไหนก็อยากจะพูดครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมีนิสัยติดประชดประชันไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เขายิ้ม “ไม่รู้สินะ กับไกรมันไม่เหมือนกันนี่”
“อะไรไม่เหมือน?”
“……..มาหาพี่มา” “อะไรเล่า อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ”
“เร็ว” เขาตามขึ้นมานั่งบนเตียง แล้วกางแขนออก
“มาเร็ว” ผมรู้สึกหน้าร้อนจนเหมือนตัวจะระเบิดกับคำพูดและท่าทางแบบนั้น กับดวงหน้าคมที่ติดรอยยิ้มทะเล้นบนริมฝีปากแบบนั้น กับอีกฝ่ายที่เอาแต่ทำให้ทั้งใจทั้งสมองผมปั่นป่วนไปหมดแบบนั้น!
“..คิด-คิดว่าตัวเองเป็นใครวะ เป็นแค่จระเข้แท้ๆอย่ามาออกคำสั่งนะ”
เขาหัวเราะ “แล้วจับมือพี่ทำไมล่ะ?”
“……” ผมเม้มปากแน่น มองมือตัวเองที่ยื่นไปหาเขาอย่างลืมตัวนั่น “กวนประสาท”
คนถูกด่ายักคิ้ว “ใครกันแน่ที่กวนน่ะ..หืม?”
“เมื่อกี้ยังขู่ว่าจะกินไกรๆอยู่เลย อารมณ์แปรปรวนนะ..วันนั้นของเดือนรึไง”
เขากรอกตา “ถ้าพี่ไม่เรียนสุขศึกษามา มุขนั้นพี่ก็ไม่เข้าใจหรอกนะ”
“เออ ลืมไปว่าเป็นจระเข้”
“อย่าลืมสิ” เขาดึงมือผมให้เข้าไปใกล้
“…นั่นตัวพี่นะ” ผมคิดว่าในคำพูดนั้นมีอะไรมากกว่าที่เขาบอกมันออกมา และมันทำให้ผมต้องหลุบตาลง “ไกรขอโทษ”
“อะไรล่ะนั่น?”
“ก็เรื่องเมื่อกี้ไง”
มือข้างหนึ่งแตะที่ข้างแก้มผม
“….พี่ไม่ได้โกรธแล้ว” ผมเอียงหน้ารับสัมผัสนั้น “……พอเห็นแบบนี้ถึงได้รู้ว่า…พี่วันใจดีกว่าอาพันวังนั่นเยอะเลย”
เขายิ้มให้ผม “พี่…ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกนะ….”
“…อย่างนั้นเหรอ”
“พี่เอง…ก็เคย ‘กิน’ ไปเยอะเหมือนกัน…”
ผมมองเขา คิดว่ามีอะไรบางอย่างแตกต่างออกไปในดวงตาสีทองคู่นั้น “การกินของพวกพี่นี่….ต่างอะไรกับการ ‘ฆ่า’ ไหม?”
“ถ้าโดยผลลัพธ์…ก็ไม่ต่างกันหรอก”
“แล้วพี่จะฆ่าไกรเหรอ…?”
เขาเงียบไป มันเป็นความเงียบที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมา
“บอกตามตรง…” คำนั้นเขากระซิบกับผม มันแผ่วเบาเหลือเกิน
“…..พี่เอง…ก็เคยคิดจะฆ่าไกรเหมือนกัน” …มันไม่น่ากลัวเหมือนตอนที่ท่านอาพันวังเป็นคนพูด เรื่องกินๆฆ่าๆแบบนี้..มีแค่ตอนนี้เท่านั้นที่น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและล่องลอย ราวกับว่ามาจากที่ไกลแสนไกล….แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเคว้งไม่น้อย แต่ไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัว ความผิดหวัง ความสงสัย..หรือสมมติฐานอื่นใดที่ผมพอจะนึกออก
ผมแค่รู้สึกเคว้ง
…ก็เท่านั้นเอง