: เพ้อที่ 07 : คอสเพลย์
ผมกลับเข้ามาในห้องน้ำห้องของพี่เมี่ยงอีกครั้ง แล้วก็ยืนพิจารณาชุดที่พี่เมี่ยงให้มา พลางถอนหายใจ
ชุดนักเรียนปกกะลาสี ...
พี่เมี่ยงบอกว่าวันนี้ใจดี ไม่ต้องใส่ถุงน่องก็ได้ เสี่ยงต่อการฉีกขาด จึงให้ผมใส่แต่ชุดนักเรียนหญิงก็พอ
ผมก็ไม่รู้ว่าพี่เมี่ยงมีต่อมรับรู้ความน่ารักผิดเพี้ยนหรือเปล่า คิดดูนะครับ ผม หัวเกรียน ใส่แว่น หน้าตาบ้าน ๆ ตัวสูง ๆ หุ่นก็ไม่สมส่วน ค่อนไปทางผอมด้วยซ้ำ เวลาอยู่กับไอ้โอ๋ทีแม่งยังกับตะเกียบผีคู่น่ะ เพราะโอ๋มันสูงเท่ากัน ดีอย่างเดียวคือแค่ผิวขาวเหลือง แฟนเก่าเคยบอกว่าผิวเนียน เหมือนผิวเด็กทารกน่ะครับ
โชคดีที่เป็นคนไม่ค่อยมีขน ... หมายถึงขนหน้าแข้ง ขนรักแร้น่ะ ได้มาจากพ่อครับ พ่อก็ไม่ค่อยมี ยิ่งพี่ชายคนโตของพวกผมยิ่งไม่มีใหญ่ ก็แอบกลัวเหมือนกันครับว่าแก่ไป จะหัวล้านหรือเปล่า หรือไม่เกี่ยวกัน ?
“ต้น ข้าวมาแล้วนะ รีบ ๆ หน่อย”
เสียงพี่เมี่ยงดังเข้ามาข้างใน ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก
ยืนทำใจอยู่สองสามนาที
สุดท้ายจึงถอดแว่นวางทิ้งไว้ ถอดเสื้อผ้าของพี่เมี่ยงออก รู้สึกเสียดาย ได้ใส่ไม่กี่นาทีต้องถอดออกซะงั้น แล้วก็หยิบกระโปรง ...สั้นขนาดนี้ เรียกมินิสเกิร์ตเหอะ ขึ้นมาใส่ รู้สึกกระดากใจตัวเองมากครับ .. เหมือนตัวเองกลายเป็นตาแก่โรคจิตไปเลย
ผมรีบใส่กระโปรงด้วยความเร็วแสง รู้สึกโล่งบริเวณหว่างขาแปลก ๆ ไม่คุ้นเคย .. มันยิ่งกว่าตอนใส่กางเกงในตัวเดียวเดินรอบบ้าน (ผมกับไอ้โอ๋เคยทำกันครับ ตอนนั้นโดนแม่ด่าฉิบหายว่าอนาจาร) จากนั้นก็หยิบเสื้อที่พี่เมี่ยงผูกโบว์ไว้ให้แล้วขึ้นมาใส่
แอบส่องในกระจก ....
.... กะเทยควายชัด ๆ
ผมเคยบอกไปแล้วสินะ ว่าสายตาผมน่ะปกติ แว่นที่ใส่ ไม่มีเลนส์ ดังนั้นผมจึงมองเห็นอะไรได้ชัดปกติ หรือบางทีผมควรถ่ายรูปเก็บไว้แล้วเอาไปให้เด็กไอ้โอ๋มันดู ? ... คือ หน้าผมกับโอ๋เหมือนกันมากไง ถ้าผมเอาไปให้ เด็กมันจะต้องเข้าใจผิดว่าเป็นไอ้ตั้งโอ๋แน่ ๆ สนุกเลยทีนี้
ก็ไม่แน่ว่ะ ... ไอ้ไทด์ (ชื่อเด็กไอ้โอ๋มัน) อาจจะชอบก็ได้ ... สองคนนี้แม่งเป็นแฟนกัน (ถึงมันจะไม่เคยเอ่ยปากมาก็เถอะ) ก็เหมือน.... เป็นคู่แค้นกันแต่ชาติปางก่อน ..หืม? เรื่องสมัยเด็ก ๆ น่ะครับ อยากรู้เหรอ ? ยาวนะ ?
ก็ประมาณว่า... เมื่อสมัยสักสิบขวบ ผมกับตั้งโอ๋ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะครับ และทีนี้ก็ไปนอนในห้องคนไข้รวม ก็มีเด็กอยู่หลายคนแหละ แต่พวกผมติดใจไอ้ไทด์ที่สุด มันเป็นหัดเยอรมันที่ลายไปทั้งตัว ผมชอบแกล้งมัน ตอนนั้นมันสี่ขวบเองมั้ง ? แกล้งชนิดแบบ แกล้งจนร้องไห้น่ะ ส่วนใหญ่ผมเป็นคนที่แกล้งนะ แต่ไอ้โอ๋โดนรับเคราะห์ เพราะตอนนั้นไทด์มันแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร แต่มันจำได้ฝังใจว่าคนที่แกล้งมันคือคนหน้าตาประมาณนี้ พอโตมาเข้าโรงเรียนเดียวกัน ไทด์มันก็ดื้อดึงมากขึ้น โอ๋มันเลยเคือง พยายามทำให้ไทด์ยอมมัน ก็นั่นแหละ ไป ๆ มา ๆ ก็เลยชักติดใจ กลายเป็นไปชอบกันตอนไหนก็ไม่รู้
ผมเลยเฉย ๆ กับเรื่องรักร่วมเพศน่ะ เพราะแฝดผมก็เป็นไปแล้วคนนึง พี่ชายคนโต ก็เหมือนจะเป็น นับประสาอะไรกับคนอย่างผม เหมือนโดนเสี้ยมมารุ่นต่อรุ่น จะไม่เป็นก็คงดูแตกแยก
อ๊ะ .. นอกเรื่องไปไกลแล้วครับ กลับมาเรื่องชุดนักเรียนใหม่ของผมก่อน
พอสวมใส่เสร็จ ผมก็เปิดประตูห้องน้ำอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
พี่เมี่ยงนั่งบนเตียง ไขว่ห้าง กระดิกเท้า มองผม
“ใช้ได้นี่” ว่ามาแบบนั้น
ผมนี่ถึงกับเลิกคิ้วสูง
ใช้ได้ ...??
“พี่เมี่ยงครับ”
“ว่า?”
“ใช้ได้นี่คือ....?”
“ก็ต้นดูน่ารักดี อ้อ เมื่อกี้ที่บอกว่าข้าวมาส่งแล้วโกหกนะ คนเยอะ รออีกสักพักแล้วกัน”
นั่นไง ...
ผมถอนหายใจ กำลังจะเดินไปนั่งข้าง ๆ พี่เมี่ยง แต่แล้วพี่แกก็โบกมือห้าม
“เดี๋ยว”
“ครับ?”
“ยืนอยู่ตรงนั้นก่อน ห้ามขยับ”
พูดจบ พี่เมี่ยงก็ไปยกมือถือขึ้นมาส่อง ผมรู้ได้เลยทันทีว่าพี่เมี่ยงกำลังจะทำในสิ่งที่ผมนึกอยากทำให้ไอ้โอ๋มันเมื่อกี้
ผมรีบเข้าไปจับมือพี่เมี่ยงไว้
“ไม่ถ่ายได้ไหมครับ” พยายามขอร้อง
แต่พี่เมี่ยงกับทำสายตานิ่ง
“ไม่ได้ ต้นอุตส่าห์แต่งทั้งที ผมจะเสียมารยาทด้วยการไม่ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ยังไง” ช่วยเสียมารยาทใส่ด้วยเถอะครับ ขอร้อง
สายตาพี่เมี่ยงนั้นแน่วแน่มาก จนผมไม่อยากกล้าปฏิเสธ
จึงบอกแค่ว่า
“งั้น.. รูปเดียวพอนะครับ”
“ได้ จะตั้งไว้เป็นหน้าจอมือถือ”
“ช่วยถ่ายไปเยอะ ๆ เลยครับ ! ขออย่างเดียวอย่าเอาไปโชว์ให้ใครเห็นก็พอ ! !”
ไม่ไหวแล้วคน ๆ นี้ กระบวนความคิดและรสนิยมเหนือคาดไว้อย่างสิ้นเชิง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกย่ำยี
แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบ... ปลื้มใจอยู่เล็ก ๆ
ผมนี่มันน่าสมเพชชะมัด..
พอพี่เมี่ยงถ่ายรูปตอนยืนผมหนำใจแล้ว ..ยัง ครับ ยัง ยังไม่หมดแค่นั้นหรอก พี่เมี่ยงเรียกให้ผมไปนั่งบนโซฟา แล้วพี่แกก็หยิบมือถือมาถ่ายอีก จัดท่าทางให้ด้วย รู้สึกยังกับถ่ายแบบ ได้ยินเสียงกดชัดเตอร์จากมือถือแต่ละครั้งมันทำให้ผมรู้สึกใจสั่นไหว สายตาที่พี่เมี่ยงมองผมมานั้น ทำให้ผมรู้สึกไหววูบแปลก ๆ
พี่เมี่ยงบอกว่าให้ทำอะไรก็ได้นี่นะ
ให้ทำอะไรก็ได้ ...
ให้ทำอะไรก็ได้
หลังจากถ่ายเสร็จแล้ว รู้สึกตัวอีกทีผมก็นอนแผ่อยู่บนเตียง ด้วยท่าทางเหมือนสาวน้อย ชายเสื้อเลิกขึ้นให้เห็นสะดือ ชายกระโปรงโผล่พ้นให้เห็นต้นขาจนรู้สึกโหวง ผมกระพริบจ้องมองหน้าพี่เมี่ยงตาปริบ เขาวางมือถือไว้ข้างตัว จากนั้นก็ใช้แขนทั้งสองข้างวางขนาบตัวผมเอาไว้ ก้มมองลงมา ด้วยใบหน้าที่นิ่งเงียบ
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาสักพัก
“ต้น....”
น้ำเสียงของพี่เมี่ยงนั้นฟังอย่างมีความหมาย เขาไม่ยิ้ม แต่รับรู้ได้ถึงความจริงจัง
ผมดันร่างของตัวเองด้วยข้อศอก ให้ใบหน้าใกล้กับพี่เมี่ยง
บรรยากาศเป็นใจ เป็นใจสุด ๆ
“...พี่เมี่ยง”
ผมเอื้อมมือไปประคองหน้าอีกฝ่ายไว้ ฝ่ามือผมมันใหญ่ ครอบครองใบหน้าพี่เมี่ยงได้เกือบครึ่ง ไม่มีปฏิริยาต่อต้าน
เราสองคนจ้องตากัน
ผมพยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีก
ใกล้อีก ...
จนกระทั่ง
“...ขอโทษนะ ลืมซื้อวิกให้”
สิ้นเสียงผมเบิกตากว้าง พี่เมี่ยงยังคงมองผมนิ่ง ๆ ถึงจะบอกว่าขอโทษ แต่สีหน้าไม่ได้สำนึกผิดแม้แต่น้อย
ผมชะงัก
“ครับ ?”
“จริง ๆ ผมชอบผู้หญิงผมยาวมากกว่าน่ะ พอต้นใส่แบบนี้แล้วเลยรู้สึกว่ามันขาดอะไรไป แต่ไม่เป็นไร เก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นที่หนึ่งละกัน คราวหน้าชุดเมดคงต้องใส่วิกเพื่อความโมเอะแล้วล่ะ”
ผมคิ้วกระตุกจ้องมองคนตรงหน้า
ยังจะมีคราวหน้าอีกเรอะครับ !?
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ก็ได้เวลาทวงของรางวัล ที่พี่เมี่ยงบอกว่าจะให้
แต่ยังไม่ได้อ้าปากพูดอะไร พี่เมี่ยงก็โพล่งขึ้นมาว่า
“เข้าใจแล้ว”
หา ?
“เข้าใจ ? อะไรน่ะครับ”
พี่เมี่ยงนั่งกดมือถือยิก ๆ อยู่บนปลายเตียง ผมคลานเข้าไปหาแอบมองหน้าจอมือถือพี่เมี่ยงจากข้างหลัง เขากำลังนั่งคัดรูปแยกรูป สร้างโฟลเดอร์ใหม่ โชคดีที่ทำเป็นโฟลเดอร์ลับ แต่ชื่อโฟลเดอร์นั้นมันทำให้ผมนึกอยากค้านอะไรออกไป
‘คอลเลคชั่นสุดพิเศษของต้นหอม’
มันไม่ใช่ของผม ของพี่เมี่ยงต่างหาก ใครมาเห็นก็หาว่าผมเป็นโรคจิตกันพอดี
ผมนึกถึงคุณตาที่ญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เขาชอบแต่งคอสเพลย์ชุดนักเรียนโมเอะ จำชื่อไม่ได้แล้ว เคยเห็นผ่าน ๆ ผมคิดไปถึงว่าผมเอง ก็คงใกล้เคียงกับคุณตาคนนั้นเต็มที ... ไม่มีใครว่าอะไรแกหรอก ตรงกันข้าม ทุกคนกลับมองว่าแกคอสเพลย์ด้วยใจรัก เป็นคนดัง ที่กล้าทำแล้วกล้าเผยแพร่รสนิยมของตัวเองให้สังคมได้รับรู้ แต่มันก็เหมือนดาบสองคนนะครับ คนที่เห็นด้วย มันก็มี และคนที่ก่นด่าคุณตาแก มันก็มีเหมือนกัน
เมื่อขยับมองใกล้มากเข้า ผมก็เผลอเอาคางไปเกยไหล่พี่เมี่ยงเอาไว้
“จะอ้อน?”
น้ำเสียงนิ่ง เรียบ สยบความเคลื่อนไหว
ผมส่ายหน้า
“เปล่าครับ แค่อยากเห็นว่าพี่เมี่ยงจัดการกับรูปพวกนั้นยังไง”
“เหรอ” เขายักไหล่ “กำลังคิดอยู่ว่าถ้าอ้อน ก็จะให้อ้อนแท้ ๆ”
โห ... ไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะครับ !?
ผมหน้ายู่อย่างเสียดาย แต่ช่างเถอะ ได้สกินชิพพี่เมี่ยงด้วยคางแบบนี้มันก็ไม่เลวเหมือนกัน ดูเหมือนจะไม่โดนขู่ฆ่า หรือขู่ประทุษร้ายใด ๆ พี่เมี่ยงยังคงจัดการกับรูปในมือถือต่อไปเงียบ ๆ โดยไม่ไล่ผมให้พ้นจากสายตา
เมื่อความเงียบดำเนินไปจนสิ้นสุด พี่เมี่ยงปิดการกระทำเก็บเกี่ยวรูปนั้นลง แล้วเปิดแอพลิเคชั่นใหม่ขึ้นมาที่ชื่อว่าเฟซบุ๊คส์
จริงสิ ผมยังไม่มีโชเชียลเน็ตเวิร์คของพี่เมี่ยงแม้แต่อันเดียว
“พี่เมี่ยงครับ”
“ว่า?”
“ช่วยแอดผมหน่อยได้ไหม เรายังไม่ได้เป็นเพื่อนกันเลย”
“แค่เพื่อน?”
ผมเลิกคิ้วกับคำถามนั้นเล็กน้อย ก็ในหมากมันบอกว่าแอดเฟรนด์นี่ครับ อีกอย่าง...
“...ก็ผมไม่รู้ว่าแอดเป็นแฟนมันปุ่มไหนนี่”
เสี่ยวไหม .. โคตรเสี่ยว แต่มันคือความจริง
พี่เมี่ยงเงียบสักพัก หน้าจอชื่อเฟซเขาเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่น ที่เหมือนจะตั้งชื่อใหม่เอาเอง ก็เหมือนกับการเล่นเว็บบอร์ดด้วยนามแฝงนั่นแหละครับ แต่ของผมลงชื่อจริงกับชื่อเล่นเอาไว้ เพราะหากไม่ทำ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิดว่าผมเป็นตั้งโอ๋อีก
“ชื่อเฟซ?”
“Tinn Toninw ครับ”
พี่เมี่ยงกดปุ่มค้นหา ไม่นานนักก็ปรากฏเป็นหน้าจอเฟซของผม รู้สึกแอบเขินแปลก ๆ เพราะเฟซนี้แอดกันเฉพาะหมู่เพื่อน
พี่เมี่ยงกดแอดทันที
“เดี๋ยวรับแล้วมาคบกันนะครับ” ผมบอก
พี่เมี่ยงหันมา ด้วยสีหน้านิ่ง ๆ
“ไว้จะแท็กรูปที่ถ่ายวันนี้ที่หน้าวอลล์ให้”
“เป็นแค่เพื่อนก็ได้ครับ ! !”
น่ากลัวเกินไปแล้วคน ๆ นี้ คิดจะประจานกันซึ่ง ๆ หน้าเลยเรอะ !?
ก็อยากแสดงความเป็นแฟนกันบนโลกอินเตอร์เนตบ้างก็ยังดีนี่นะ เรื่องที่ผมคบกับพี่เมี่ยงยังไม่มีใครรู้ซะด้วย ผมก็ไม่มายด์หรอกนะหากจะประกาศบอกใครต่อใครว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ดูจากพี่เมี่ยงเองก็คงไม่แคร์สายตาคนรอบข้างเหมือนกัน
แต่ไม่รู้ทำไม พี่เมี่ยงถึงได้ไม่อยากแสดงออกว่าคบกับผม ?
เพราะเพิ่งเป็นแฟนกันมั้ง ? .. อีกอย่าง หากลองคิดดี ๆ ก็แค่คบกันปิดปากซะด้วย มีแต่ผมที่ใจเต้นกับพี่แก ก็ไม่รู้ว่าพี่เมี่ยงจะคิดเหมือนกับผมไหม
แอบชอบแฟนตัวเอง ... สมการนี้มันแปลก ๆ ไปรึเปล่านะ ?
เฮ้อ... รำพึงรำพันยังกับสาวน้อยเลยว่ะผม
ในระหว่างนั้นพี่เมี่ยงก็เช็คหน้านิวฟีดไปเรื่อยเปื่อย เขาไม่ได้ปิดบังกับผมว่าเฟซของเขานั้นเป็นยังไง ก็ตามคาดแหละครับ กดไลค์เพจการ์ตูนล้วน ๆ คล้ายกับเอาไว้เช็คข่าวคราวความเคลื่อนไหว เหมือนที่ผมกดไลค์เพจเกมเอาไว้เหมือนกัน
จากนั้นพี่เมี่ยงก็จิ้มขึ้นสเตตัสใหม่
เขาพิมพ์อย่างรวดเร็วกับประโยคที่ได้ใจความว่า
‘วันนี้เข้าใจแล้ว ว่าทำไมผู้ชายบางคนถึงได้ชอบสาวดุ้นกันนัก’
ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
พอจะเข้าใจสถานะของตัวเองตอนนี้ดีครับ
ผมคือสาวดุ้น .. ผู้ชายที่แต่งหญิง โดยที่ไม่ใช่กะเทย ยังคงมีความรู้สึกความเป็นผู้ชายอยู่ เพียงแต่ภายนอกเท่านั้นที่แสดงว่าเป็นผู้หญิง ถึงรูปร่างผมมันจะไม่ได้อ้อนแอ้นเหมือนในการ์ตูนก็เถอะ แต่ลักษณะแบบนี้ไม่ผิดแน่
ผมลองใจกล้าใช้แขนข้างนึงโอบเอวพี่เมี่ยงเอาไว้
แล้วกระซิบข้างหูเขาว่า
“พี่เมี่ยงครับ ... รางวัลของผม”
พี่เมี่ยงหันมา ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเดิม เขาวางมือถือลงข้างตัว ก่อนจะผลักผมให้นอนลงบนเตียง เมื่อหลังสัมผัสกับที่นอน พี่เมี่ยงก็เข้ามาขึ้นคร่อมผมเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เราสบตากัน จนผมใจเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เด็กแก่แดด” พี่เมี่ยงเอ่ยแบบนั้น ผมนึกยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เป็นคำด่าที่ทำให้ผมรู้สึกดีชะมัด
พี่เมี่ยงตอนอยู่ข้างบนออนท็อปนี่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน อยากเห็น เมื่อไหร่จะถึงตอนนั้น เอ๊ะ หรือตอนนี้ผมจะทำได้แล้ว ?
ก็ให้ทำอะไรพี่เมี่ยงก็ได้นี่ ?
ผมผุดลุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะจับไหล่พี่เมี่ยงไว้แล้วค่อย ๆ เป็นฝ่ายดัน พลิกสลับตำแหน่ง ให้เขานอนอยู่ข้างล่าง
ได้ยินมาว่า การกำหนดสถานะจำเป็นจะต้องเริ่มทำกันตั้งแต่แรก พี่เมี่ยงจับผมกดลงสองรอบแล้ว ไม่ได้ ผมต้องประกาศให้ตัวเองเห็นว่า ผมนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายอยู่ข้างบน ไม่ใช่พี่เมี่ยง
เขาทำตามอย่างว่าง่าย เงยหน้าสบตาผมปริบ ๆ และทันทีที่ร่างของพี่เมี่ยงอยู่ใต้ตัวผม เขาก็ยกแขนขึ้นมาดึงโบว์ที่ผูกกับคอเสื้อออกให้
ผมเลื่อนใบหน้าลงต่ำ จมูกเราห่างประมาณหนึ่งเซน
ผมพริ้มตาหลับ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนอื่นก็อยากลองชิมความหวาน
ในขณะที่ริมฝีปากกำลังจะแตะกับกลีบปากพี่เมี่ยงนั้น
*ก๊อก ก๊อก ก๊อก*
ผมลืมตาขึ้น พบว่าอีกไม่กี่มิลผมจะได้จูบพี่เมี่ยงแล้ว เขายังคงทำหน้านิ่งราวกับเสียงเคาะประตูไม่เกิดขึ้น
แต่อีกนิดเดียว ....
อีกนิดเดียวเท่านั้น
ผมไม่สนใจเสียงเคาะประตูนั่น แล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปอีก
และทันทีที่ริมฝีปากของเราแตะกันนั่นเอง...
*ผลัวะ* !
“ข้าวมาส่งแล้วทำไมไม่ยอมเปิดประตูออกมารับ?”
เสียงเปิดประตู พร้อมด้วยน้ำเสียงของบุคคลที่สามเอ่ยชึ้น ผมสะดุ้งตัวลอยรีบผละจูบอย่างรวดเร็ว พี่เมี่ยงไม่มีท่าทีลุกลนต่อการปรากฏตัวของคนนอกเท่าไหร่ (ไม่สิ คนนอกน่าจะเป็นผมมากกว่า) ผมเหลียวหลังหันไปมอง ก็พบกับคนสองคน
คนหนึ่ง เป็นผู้ชาย ดูดี สูงโปร่ง เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนพับครึ่ง กางเกงสแล็กสีดำ ใบหน้าหล่อเหลา
ส่วนอีกคน เป็นผู้หญิง สวมเสื้อกันเปื้อนสีเหลืองยี่ห้องซีอิ้วดัง ในมือมีกล่องข้าวอยู่สองกล่อง
ทั้งคู่มองผมด้วยสีหน้าแบบอึ้ง ๆ
ผมก็อึ้ง ! !
ผู้หญิงที่สวมผ้ากันเปื้อนเธอแขวนถุงข้าวไว้ที่ลูกบิดแล้วบอกว่า
“ด...เดี๋ยวพี่ให้ป้าแกคิดเงินทีหลังนะ” พูดจบ ก็หันหลังกลับแล้ววิ่งลงบันได
ส่วนผู้ชายอีกคนก็
“เอ่อ.. ขอโทษที่มารบกวนเวลารสนิยมส่วนตัว”
พูดจบพี่แกก็ปิดประตูใส่หน้าพวกผมเฉยเลย ! !
ผมก้มมองพี่เมี่ยงที่ยังคงตีสีหน้าไร้อารมณ์ เรียบนิ่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ผมนี่สิ ใบ้แดกไปแล้ว ...
มันคงจะเป็นเรื่องที่หาไม่ยาก ที่ผู้ชายจะจูบกันบนเตียง
แต่....
ต้องไม่ใช่ตอนพี่ผมกำลังใส่ชุดปกกะลาสีแบบนี้ ! ! ! ! !
อ้ากกกกกกกกกกกกกกก ! ! ! !
ผมกรีดร้องโหยหวนอยู่ในใจ ลุกขึ้นนั่งแล้วน้ำตาจะไหล ..
หมดกัน ..
เป็นเจ้าบ่าวใครไม่ได้แล้ว ...
พี่เมี่ยงลุกขึ้นนั่งบ้าง เขามองออกไปที่ประตูด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่เมี่ยงยิ้ม
แต่... ไม่ใช่สถานการณ์แบบนี้ได้ไหมครับ !?
“คิดถูกจริง ๆ ที่ไม่ล็อกประตูเอาไว้”
หา ? นี่จงใจเรอะ !?
ผมอ้าปากค้างมองพี่เมี่ยงที่กำลังทำสีหน้าสนุก ก่อนจะหันมามองตาปริบ
เขาขยับมาใกล้ผม แล้วบอกว่า
“ต้นทำหน้าจะร้องไห้แบบนี้มันน่ารักจริง ๆ นั่นแหละ”
พี่เมี่ยงว่าแบบนั้น พูดจบ เขาก็ขยับมาใกล้อีก จะถามว่าโกรธเขาไหม ... ไม่เลยครับ ผมไม่มีอารมณ์นั้นอยู่ เพียงแต่กำลังช็อค กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ มีคนเห็นผมสภาพโรคจิตแบบนั้น รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังวิปริต ชอบแต่งหญิงขึ้นคร่อมชาวบ้าน
ผมหน้าเบ้
แล้วทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผมรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่หยุ่นตรงริมฝีปาก มันเปียกชื้น มีเสียงที่ประท้วงในลำคอให้ได้ยินใกล้ ๆ แล้วผมก็ได้เห็นใบหน้าพี่เมี่ยงเต็มสองตา
เขากำลังจูบผม
แล้วก็ผละจูบอย่างรวดเร็ว
พี่เมี่ยงเลียริมฝีปากแล้วยิ้มกริ่ม จู่ ๆ ความร้อนก็ปะทุขึ้นใบหน้าอีกครั้ง หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะระเบิดออกมาข้างนอก ผมยกมือจับใบหน้าพี่เมี่ยงเอาไว้
ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
“พี่เมี่ยง ... ผมขออีกรอบได้ไหม..?”
“ไม่ให้” ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
พี่เมี่ยงกลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิม เขาเอื้อมมือบิดประตูแล้วเปิดมันออก
ผู้ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
นี่คิดจะรอพวกผมทำอะไรกันเสร็จเลยเหรอครับ !?
ดูจากวัยแล้ว ไม่น่าจะเป็นเพื่อนพี่เมี่ยง เพราะดูมีอายุมากกว่านั้น น่าจะสัก ยี่สิบห้ายี่สิบหก เมื่อเขาเห็นพี่เมี่ยง เขาก็เอื้อมมือมาขยี้หัวพี่เมี่ยงเบา ๆ ก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้แปลก ๆ
“สอนเสร็จแล้วเหรอพี่ตัง?”
พี่เมี่ยงทัก เขาพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยคุยกับผมว่า
“ไง แฟนเมี่ยงเหรอเรา?”
ไม่แสดงความต่อต้านสักนิด แถมยังรับรู้สถานการณ์ รีเรชั่นชิพของพวกผมดีอีกด้วย
ว่าแต่เขาเป็นใคร ?
ทำไมผมถึงรู้สึกความไม่น่าไว้วางใจจากเขาคนนี้กันล่ะ ?
เอ๊ะ ?... หรือว่าผมคิดไปเอง ??
ไม่หรอกน่า...
ไม่หรอกมั้ง ..??
เขายิ้มแล้วมองผมอย่างมีความหมาย แต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา จนผมรู้สึกตัวว่า...
“ขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ”
พูดจบผมก็รีบลุกขึ้นไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้หากพี่เมี่ยงจะห้ามผมก็คงไม่ฟัง เพราะมันนอกเหนือจากที่ตกลงกันไว้
ไม่รู้ว่าข้างนอกเขาคุยอะไรกัน แต่ทันทีที่ปิดประตูห้องน้ำลง ผมก็จมอยู่กับความคิด
ความรู้สึกที่ริมฝีปากพี่เมี่ยงสัมผัสมานั้นยังคิดอยู่ที่ปาก
ผมแลบลิ้นเลียมัน
ความหวานยังคงติดอยู่
รู้สึกติดใจ ..
แย่ละ
พี่เมี่ยงกำลังจะทำให้ผมเสพติดเขาซะแล้วสิ
TO BE CONTINUED.....