ตอนที่ 32คนตรงหน้าผมกำลังตั้งหน้าตั้งตากินข้าวอย่างที่ไม่รู้ว่าไปอดอยากมาจากไหน ดูเขาต่างออกไปจากทุกที หน้าก็ซีดๆ แถมกลิ่นตัวก็ไม่ได้หอมเหมือนตามปกติ มีกลิ่นฟอร์มาลีนจางๆ
“เหม็นเหรอ ขอโทษนะ พี่กลับไปอาบน้ำไม่ทัน” เขาดูเสียความมั่นใจไปมากทีเดียว
“ไม่เป็นไรครับ” ถึงผมจะบอกอย่างนั้น แต่เขาก็ยังยื่นผ้าปิดจมูกมาให้ เป็นของใหม่ยังไม่ได้แกะออกจากถุงเลย
“ใส่ไว้ เดี๋ยวพี่ก็อิ่มแล้ว”
เพราะผมกินหมดก่อน ไม่ใช่ว่ากินเร็วอะไร แต่เขากินเป็นจานที่สองแล้วต่างหาก
เขากินไปพลางเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ตื่นเต้นที่เพิ่งไปเจอมาเมื่อเช้า เขาบอกว่าตอนเช้าเขาก็ราวน์วอร์ดกับอาจารย์หมอตามปกติ แต่บังเอิญมีเคสด่วนเข้ามา เขาเลยได้โอกาสเข้าไปในห้องผ่าตัดกับอาจารย์ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกของเขาและพอออกมาจากห้องผ่าตัดก็กินอะไรไม่ค่อยได้ เขาไม่ได้กลัวเลือด แต่เพิ่งเคยเห็นเลือดมากขนาดนั้นเป็นครั้งแรกเลยเสียศูนย์ไปนิดหน่อย ตอนกลางวันกินอะไรเข้าไปเลยอ้วกออกมาหมด
แล้วก่อนจะมาหาผม เขาไปคลาสวิชานิติเวชมา เขาบอกว่าพี่ซอลเรียกให้ไปดูด้วย ผมเลยไม่แปลกใจที่เขามีกลิ่นฟอร์มาลีนติดตัวมา แต่ทำไม...วิชาที่เรียนในชั้นปี 4 เขาถึงต้องกลับมาเรียนอีกต่างหากที่ทำให้ผมสงสัย อย่างวิชาศัลยศาสตร์ 1 ที่ทำให้เขาต้องไปราวน์วอร์ดทุกเช้าอย่างนี้...มันน่าจะผ่านมาตั้งแต่ปีที่แล้ว? แต่วิชาที่ต้องเรียนในปีนี้เพื่อนกลับต้องเรียกให้ไปดู?
“พี่เรียนไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ ก็ช่วงที่ต้องอยู่ติวกับพวกพี่ซอลก็เพราะวิชานี้ถึงไม่ค่อยกลับ...ห้อง”
ผม...เผลอพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาออกไป แต่ช่างมันเถอะ อะไรตอนนี้ก็ไม่สำคัญเท่าความสงสัยของผมหรอก
“คือพี่...”
“ไม่ผ่าน?”
“ก็ไม่เชิง...พี่ไม่ได้เข้าสอบ OSCE ขาดเรียนบ่อยด้วย เลยดร็อปไว้น่ะ”
“ทำไม”
แต่คำถามของผมไม่ได้รับคำตอบ เขาไม่ได้เลี่ยงหรือเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น แต่กลับบอกผมแค่ว่า 'พี่ขอไม่ตอบนะ'
ผมเลยทำได้เพียงพยักหน้า เขาก็คงมีเหตุผลที่จะไม่พูดนั่นแหละครับ ผมเข้าใจและเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นเสมอ
“รีบกลับมั้ย?”
“ก็มีโฟลวชาร์ทที่ต้องส่งพรุ่งนี้ครับ ผมต้องรีบกลับไปทำ”
“...งั้น...ขับรถดีๆ นะ เอ่อ...คราวหน้ามากินข้าวกันอีกได้มั้ย”
ผมรับแก้วน้ำเปล่าที่เขาเทน้ำให้มาดื่มจนเกือบหมด ก่อนจะวางแก้วลงแล้วตอบกลับไปว่า
“นานๆ ทีก็ไม่มีปัญหาครับ”
เขายิ้มอีกแล้ว...ทำไมคนอย่างเขาถึงได้พอใจกับสิ่งเล็กๆ แค่นี้กันนะ...ผมแปลกใจ...และไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่กับ...มาโปรด...ในสภาพอย่างนี้
เรื่องของเขา ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาตลอดเวลาที่ไม่เจอกัน ผมไม่ได้รับรู้เพราะไม่เคยมีใครเล่าให้ฟัง มีหลายเรื่องที่ความสงสัยทำให้ผมเอ่ยปากถามออกไปก่อน อย่างเช่น...เรื่องรอยแผลที่หลังมือ ทำไมถึงได้มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่บนหลังมือสวยๆ นั่นได้ แต่เขาก็ไม่เล่าหรือให้คำตอบอะไรเลย
ตามตรรกะของพี่เท็น รู้จักกันแล้ว...ถามไถ่ก็ไม่เห็นแปลก ไม่ถามนั่นสิแปลก เพราะคนไม่ถามคือคนที่ไม่รู้จักกันต่างหากล่ะ
แต่ถึงจะถามไปเขาก็ไม่ตอบอยู่ดี เขาให้เหตุผลแค่ว่าไม่อยากพูดถึง และสีหน้าของเขาตอนผมพูดเรื่องรอยแผลนี้...ก็เจ็บปวดมากจริงๆ
“ปลื้มกลับก่อนเลย เดี๋ยวพี่เขียน progress note ก่อน จะรีบเอาไปส่งอาจารย์เย็นนี้”
“งั้นไปนั่งที่โรงอาหารสิครับ ตอนเย็นไม่ค่อยมีคน ไม่วุ่นวาย”
เขาคงคาดไม่ถึงว่าผมจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษ เพราะผมพอใจที่จะไม่กลับห้องตอนนี้ อยู่ที่นี่ก็ไม่เสียหายอะไร
“ปลื้ม กลับก่อนเลยก็ได้นะ เพราะเดี๋ยวหกโมงพี่ต้องไปที่โรงพยาบาล”
เขาบอกแค่นั้นก่อนจะนั่งทำงานไปเงียบๆ บางทีเขาก็มีบางมุมที่เหมือนพี่เท็น เพราะเวลามีสมาธิกับอะไรแล้วจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย หนังสือหลายต่อหลายเล่มที่เขาเปิดอ่าน เอกสารหลายอย่างก็ถูกพลิกดูไปมา นานเหมือนกัน...ที่ผมไม่ได้เห็นภาพอย่างนี้
ครืด...ครืด...ครืด...ครืดดดดด
มือถือของผมสั่นอยู่บนโต๊ะ เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะกลับไปสนใจกับงานตรงหน้าต่อ
“สวัสดีครับคุณปาล์ม” คุณปาล์มนี่นานๆ โทรมาทีครับ ส่วนมากแล้วโทรมาถามถึงพี่เท็น เข้าทำนองคิดถึงแต่ไม่กล้าโทรหาเจ้าตัวนั่นแหละ แต่ไม่ใช่กลัวอะไรนะครับ แค่เพราะโทรไปครั้งล่าสุดพี่เมลเป็นคนรับสาย คุณปาล์มโทรมาดราม่าให้ผมฟังเกือบชั่วโมง เหอๆ
“เจอพี่เท็นบ้างป่าว เขาเป็นไงบ้างอ่ะ เหมือนหายไปจากโลกนี้เลย เงียบมากกกก”
“นี่จะไม่ถามผมก่อนเลยรึไงว่าผมสบายดีอะไรไหม มันน่าน้อยใจจริงๆ”
“เออๆ งั้นปลื้มสบายดีมั้ยครับ”
“สบายดีมากกกกกก ฮ่าๆๆ พี่เท็นก็เจอบ้างครับ แต่ไม่บ่อย เขาชอบหายตัวไปนั่นมานี่ เห็นว่าตอนนี้กลับไปสอนที่มหาลัยแม่พี่เมลอีกแล้ว แต่กว่าพี่เมลจะกล่อมได้ก็นานเหมือนกัน”
“อะไรวะ ทำไมไม่เห็นบอกกันอ่ะ”
“แล้วคุณปาล์มสำคัญอะไรกับเขาล่ะครับ เขาถึงต้องบอก”
“อั่กกกกกก เชี่ยปลื้มมมมมม ปากแม่งร้ายยยย อย่าให้เจออ ได้ไฟท์กันสักตั้ง”
“ฮ่าๆๆ มาๆ ผมไม่กลัว ว่างๆ แวะไปเยี่ยมป้าเนียมบ้างสิครับ ป้าแกเหงานะ”
“เอออออ ก็ไปทุกอาทิตย์อ่ะ ไอ้จิ๊บไอ้เจี๊ยบก็หน้าเหงาๆ คงคิดถึงพี่เท็น ไอ้เจมที่สองนี่ยิ่งเหมือนไก่ใกล้ตาย”
“โหววว ดูแลดีๆ หน่อยสิ ถ้าไอ้เจมที่สองมีอันเป็นไปนะ พี่เท็นได้องค์ลงแน่”
“อยู่แล้วล่ะน่า ไม่ปล่อยให้ตายหรอก เออปลื้ม คิดถึงนะเว้ย วางละ ไว้จะไปหา”
“ครับ คิดถึงเหมือนกัน รีบๆ มานะ ผมเตรียมรถพาไปเที่ยวแล้ว”
“ครับ ไว้ปิดเทอมเจอกัน”
“โอเค”
ฮ้าาา ดีใจจัง ปิดเทอมคงได้เจอคุณปาล์ม จะได้แนะนำให้คุณเฟรนรู้จักด้วย คุณปาล์มนี่เขาตลกนะครับ ติ่งพี่เท็นตัวจริงเสียงจริงเลยอ่ะ ตอนนี้คงอยากได้ยินเสียงพี่เท็นจนชักดิ้นชักงอตายไปแล้วมั้งครับ ฮ่าๆ
ผมวางมือถือลงตามเดิม เห็นเขามองมาแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร พอรู้ว่าผมมองกลับไปก็ทำแค่ยิ้มให้เท่านั้น ผมเลยก้มหน้าลงร่างโฟล์วชาร์ทตามเดิม แต่คงจะกดแรงไปหน่อยไส้ดินสอถึงหัก -_- เซ็งจริงๆ ต่อให้ผมจะชอบใช้ดินสอไม้มากแค่ไหน แต่ก็ขี้เกียจเหลาเหมือนกันนะ ไม่ได้เอากบเหลามาด้วย
“พี่มีคัตเตอร์ เดี๋ยวเหลาให้”
เขายื่นมือมาตรงหน้า ผมเลยส่งดินสอของตัวเองให้ไป จากนั้นก็เบือนหน้ามองไปทางอื่นที่ไม่มีภาพเขากำลังตั้งอกตั้งใจเหลาดินสอให้ผม
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะบอกให้ผมเปลี่ยนไปใช้ดินสอกดหรือหาแท่งอื่นมาให้ ...ก็เพราะมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ตอนนี้แค่เรื่องเล็กๆ ทำไมถึงดูสำคัญกับเขาเหลือเกิน
ทำเสร็จก็คืนมาให้ ผมรับมาแล้วขอบคุณเขาเบาๆ ไม่อยากสนใจแต่ไม่รู้ทำไมมือถึงกำดินสอไว้แน่นก็ไม่รู้
“เจ็บมั้ย...” อยู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมา ผมงงไปชั่วอึดใจแต่ก็คลายสงสัยเมื่อมองตามสายตาของเขาที่กำลังจับจ้องอยู่ที่รอยแผลเป็นที่หลังมือขวาของผม
แผล...ที่เกิดจากเรื่องครั้งนั้น และตอนนี้เขาก็มีเหมือนกัน ข้างเดียวกันอีกต่างหาก...
“ขอโทษนะ ที่ทำให้มือสวยๆ ของปลื้มมีแผลอย่างนี้” เขาเหมือนอยากจะยื่นมือเข้ามาลูบ แต่ก็คงไม่กล้า แววตาที่เจ็บปวดของเขาเหมือนกำลังนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นย้อนกลับไปมาซ้ำๆ อยู่ในความทรงจำ
“มันเป็นอุบัติเหตุ...ผมก็กัดแขนพี่จนเลือดออกเหมือนกัน ผมก็ต้องขอโทษด้วย”
“แผลแค่นั้นเรื่องเล็ก แต่ของปลื้ม...มันไม่ใช่ ปลื้มอาจจะตายไปก็ได้เพราะความโง่ของพี่”
สีหน้าของเขา บอกผมว่าเขารู้ ผมไม่รู้ว่าเขารู้ได้ยังไง แต่แน่ใจว่าไม่ใช่พี่เท็นที่บอกเขาแน่นอน แล้วใคร?
“พี่ก็โง่จริงๆ นั่นแหละ ต่อไปนี้ฉลาดขึ้นซะนะครับ”
เขาหน้าเหวอไปเล็กๆ แต่ก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้าอย่างยอมรับ
ผมคิดว่าเขารู้นะว่าตอนนี้ระหว่างเราเป็นยังไง เขาไม่จำเป็นต้องมาตามผมก็ได้ เพราะเราไม่ใช่คนที่คบกันอีกแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะไปคบคนอื่นและผมก็เช่นกัน เราต่างคนต่างมีสิทธิ์ แต่อยู่ที่ว่าจะเลือกใช้สิทธิ์นั้นกับใครก็เท่านั้น เพราะเขาไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย แค่อยู่ในที่ของเขา ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ อะไรที่ไม่ทำให้ผมอึดอัด อะไรที่ทำให้แล้วคนให้อย่างเขาสุขใจและคนรับอย่างผมเต็มใจรับไว้ นั่นทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่ที่ผ่านมาเขาไม่รู้จักผม แต่ผมว่าเขารู้ดีทีเดียว วันนี้เราถึงยังนั่งใกล้ๆ กันได้ อย่างไม่อึดอัดใจ แม้ว่าจะเป็นแค่คนรู้จักกันก็ตาม
คนรู้จัก...จะว่าไปก็ตลก แต่ผมหาคำจำกัดความให้เขาในตอนนี้ไม่ได้ ถึงผมจะเรียกเขาว่าพี่...แต่ก็ไม่ได้อยากมีพี่อย่างเขาหรอก เป็นคนรู้จักกันก็ดีแล้ว ดูเป็นฐานะที่ไม่อึดอัดดี แถมคนที่ความสูงเกือบร้อยเก้าสิบ สูงกว่าผมเกือบสี่สิบเซ็น อายุก็มากกว่า เป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก
ผมทำโฟลวชาร์ทเสร็จแล้ว กำลังเก็บของเตรียมกลับ ในขณะที่เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ เขาคงใกล้สอบอีกแล้ว เพราะวิชาหนึ่งจำกัดเวลาเรียนไม่ใช่ทั้งเทอมอย่างผม แต่เป็นระยะเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์ ผมถึงไม่แปลกใจที่ในบางทีก็มีข่าวนักศึกษาแพทย์ฆ่าตัวตายบ้าง มันเป็นข่าวที่น่าสลดทุกทีเมื่ออ่านเจอ ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เครียดจนเกินไปนะครับ
“ผมกลับนะพี่”
“อืม เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ผมไปเองได้”
“มันเริ่มมืดแล้ว...”
“โอเคๆ” ถ้าไม่ใช่เพราะความเป็นห่วงที่เห็นได้ชัด ผมไม่ยอมหรอกนะ
เขาเอาย่ามที่อัดแน่นไปด้วยแม็คบุ๊คแอร์กับ Text book เล่มหนาของผมไปถือให้ ย่ามใบนี้ทนจริงๆ ครับ แต่ถ้าขืนผมยังใส่ของหนักๆ อย่างนี้คงได้ขาดเข้าสักวัน
“ขับรถดีๆ มีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครับ ผมไปนะ”
ผมขับรถออกมาแล้ว มองผ่านกระจกมองหลังก็ยังเห็นเขายืนอยู่ที่เดิม
.
.
.
“พี่เท็น พี่อยู่ไหนนะ ห้ะะะะะ สิงคโปร์ แล้วพี่เมลอ่ะ ไปด้วยกัน??? โอ้ยยย อะไรเนี่ย ครับๆ ไม่มีอะไรพี่ วางละ”
ซวยจริงๆ ผมไปทำกระเป๋าตังค์หายที่ไหนวะ มือถือก็ดันหายไปด้วย ไม่น่าหาเรื่องมาเที่ยวเลย นอนอยู่ที่ห้องก็คงไม่ซวยแล้วแท้ๆ วันนี้คุณเฟรนไปทะเลกับที่บ้านด้วย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จำเบอร์มือถือเขาไม่ได้หรอก ที่จำได้มีแค่เบอร์พี่เท็น พี่เมล แล้วก็เบอร์...
คงไม่แปลกนะที่ผมจำแม้แต่เบอร์พ่อแม่หรือเบอร์ที่บ้านตัวเองไม่ได้ เพราะไม่ค่อยได้โทรเท่าไหร่ ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมกลับบ้านทุกเสาร์อาทิตย์อยู่แล้ว นอนคุยกับแม่จนเบื่อกันไปข้างถึงจะกลับคอนโด เลยไม่ค่อยได้โทรหา อาศัยว่าบันทึกไว้ในโทรศัพท์ก็ไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องจำอะไร แต่รู้ซึ้งตอนมือถือมาหายไปนี่แหละ
ผมไม่มีเงินขึ้นรถกลับด้วย เสือกอยากมาตลาดโรงเกลือที่สระแก้วแล้วขี้เกียจขับรถเลยนั่งรถตู้ที่หมอชิตมา -*-
เอาวะ โทรก็โทร
ตื้ดดดดดดด ตื้ดดดดดดดดดดดด ตื้ดดดดดดดดดดดด
“ครับ มาโปรดพูดครับ”
“พี่ อยู่ไหน”
“หือ? ปลื้มเหรอ” โห แปลกใจแฮะที่จำเสียงผมได้
“ใช่ๆ ตอนนี้พี่อยู่ไหน”
“อยู่โรงบาล ทำไมเหรอ แล้วปลื้มอยู่ไหน”
“ผมอยู่สระแก้วอ่ะ กระเป๋าตังค์กับมือถือหาย ไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน เหลือเศษตังค์อยู่ไม่กี่บาท ผมไม่รู้จะกลับยังไง”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับ ปลื้มอยู่ตรงไหน” ทำไมไม่ถามอะไรให้มากกว่านี้นะ อิดออดไม่อยากมาบ้างก็ได้ ไม่ได้ใกล้เลยนะจากกรุงเทพมาที่นี่อ่ะ
“พี่ว่างแล้วเหรอ”
“ว่าง เดี๋ยวพี่รีบไป”
“อ่า...ผมอยู่หน้าตลาดโรงเกลือ”
“ครับๆ เดี๋ยวพี่ไปรับนะ หิวก็ไปหาอะไรกินเลย พี่ไปจ่ายให้ โอเคนะ พี่วางก่อน”
“ขอบคุณครับ”
โล่งใจ อย่างน้อยก็มีทางกลับ พี่เท็นกับพี่เมลไม่น่าไปสิงคโปร์เลย ไม่งั้นคงไม่ต้องรบกวนเขาหรอก สองคนนี้เอะอะก็ไปเที่ยวกันตลอด ทิ้งน้องงงงงง -*-
ผมไปหาร้านกาแฟนั่ง มีอาหารพอให้สั่งกินได้บ้าง เพราะนั่งร้านกาแฟมันนั่งได้นานครับ กว่าเขาจะมาผมคงต้องรออีกสองสามชั่วโมง อรัญประเทศไม่ได้ใกล้ๆ ความจริงก็ลืมไปว่าไม่ได้นัดกันด้วยว่าผมต้องรออยู่ที่ไหน หวังว่าเขาจะหาผมเจอนะ ผมก็อยู่แถวๆ หน้าตลาดนี่แหละ ไม่ได้ไปไหนไกล
“ไง ไม่เป็นไรนะ” เป็นประโยคแรกที่เขาทักหลังจากที่เจอผม เขาหอบน้อยๆ หน้าแดงหน่อยๆ ด้วย แถมเวลาที่ใช้มาที่นี่ก็น้อยกว่าที่คาดไว้ ไม่รู้ว่าบินมาหรืออย่างไร -O-;
“มาเร็วอ่ะ”
“ไม่อยากให้รอ”
“หาผมเจอได้ไง”
“ก็เดินหาทีละร้าน แล้วทำหายที่ไหน จะกลับไปหาดูมั้ย”
“ไม่แล้ว ช่างมันเถอะ ป่านนี้คงมีคนเอาไปแล้วมั้ง”
“เราน่ะขี้ลืม ชอบวางของทิ้งไปเรื่อย ดีนะที่จำเบอร์คนอื่นได้บ้าง”
“ผมคงไปวางทิ้งไว้ในห้องน้ำหรือที่ไหนสักที่ เพราะกระเป๋ากางเกงก็ไม่ได้ขาด ซวยจริงๆ ของยังไม่ได้ซื้อ มาเสียเที่ยว -*-”
เขายิ้มนิดๆ รับแก้วมอคค่าปั่นจากพนักงานมา ก่อนจะมองมาที่ผม
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ปลื้มอยากได้อะไรล่ะ พี่ออกให้ก่อนก็ได้ ไว้ปลื้มค่อยคืนทีหลัง”
เพราะเขาพูดอย่างนั้น ผมถึงยืมเงินเขาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ดีกว่าเขามาทำตัวเสี่ยใส่ อยากได้อะไรก็ซื้อให้เหมือนก่อน
“ผมแค่อยากได้รองเท้า ซื้อในห้างก็แพง เดินไม่นานหรอก พี่ต้องรีบไปเข้าเวรรึเปล่า”
วันเสาร์อาทิตย์อย่างนี้เขามีเข้าเวรกับพี่รหัสเขาที่เป็นเอ็กเทิร์นจนถึงห้าทุ่มครึ่งครับ ผมรู้เพราะเขาเคยบอกไว้นานแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงจำได้ -O-;
“ก็ยังพอมีเวลาครับ อีกหลายชั่วโมง”
“แน่ใจนะ”
“ร้อยเปอร์เซ็น”
ไม่ต้องยกนิ้วขึ้นคอนเฟิร์มก็ได้นะ พนักงานในร้านเขาแทบเอาหน้าไถกับเคาท์เตอร์เพราะเขินพี่กันหมดแล้ว
“งั้นเอางี้มั้ย พี่ไปหากระเป๋าตังค์ให้ แล้วปลื้มไปซื้อรองเท้า เสร็จแล้วกลับไปเจอกันที่รถ”
เขาพูดก่อนจะยื่นกระเป๋าตังค์ตัวเองมาให้ผม โห ไม่กล้ารับไว้เลยนะ หนังแท้ หนาปึก ทั้งบัตรทั้งการ์ดเต็มแน่น แบงค์พันอีกไม่รู้กี่ใบ ทำไมกล้าพกยกขนาดนี้ ขืนผมเอาไปวางหายไว้ที่ไหน คนเก็บได้คงฟินน่าดู
“ก็อยากได้คืนนะ เพราะขี้เกียจไปทำบัตรอะไรใหม่ ถึงจะมีเงินในนั้นตั้งหนึ่งพันก็เถอะ แต่มันคงหายไปแล้วอ่ะ”
“ไม่ลองไปหาจะรู้ได้ไง เดี๋ยวพี่ไปหาให้ ปลื้มไปเลือกรองเท้าให้ตัวเองก็แล้วกันนะ โอเคมั้ย”
ใจจริงก็เกรงใจเขาอยู่หรอกนะ แต่เอาอย่างนั้นก็ได้ อยากได้กระเป๋าคืนเหมือนกัน -O-; มือถือน่ะไม่เท่าไหร่
“โอเค งั้นสี่โมงครึ่งเจอกันที่รถนะพี่ ไม่เจอไม่เป็นไร ไม่ซีเรียส แต่ก็อยากได้คืน”
“ครับ”
เดินออกจากร้านกาแฟมาพร้อมกัน ผ่านร้านขายหมวก เขาเลยแวะซื้อแล้วให้ผมใส่
“แดดแรง ใส่ไว้ เดี๋ยวไม่สบาย”
เขายิ้มให้แล้วก็เดินไปอีกทาง ผมบอกเขาแล้วว่าเดินไปไหนมาบ้าง เขาเลยไปเริ่มหาให้จากจุดนั้น อ่า...จะว่ายังไงดีนะ ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง
แต่แบบนี้...ก็ดีแล้วล่ะมั้ง...ถึงจะไม่ค่อยชิน
อ่ะ กระเป๋าตังค์หนักๆ ในมือนี่ก็ไม่ชินเหมือนกัน ไม่ต่างจากเจ้าของแกเลยนะ เหอๆ -*-
ในกระเป๋าตังค์ของเขา นอกจากจะมีเงินมีการ์ดมีบัตรประชาชนที่ถ่ายหน้าตรงสีไม่เป๊ะก็ยังดูดีแล้ว ยังมีบัตรนิสิตที่คงถ่ายตั้งแต่ปีหนึ่ง เขาคงไม่เคยเปลี่ยนทรงผมเลยสินะ สกินเฮดยังไงก็สกินเฮดอย่างนั้น กลัวเป็นเหาเหรอถึงไว้ผมยาวไม่ได้ ...ค้นไปค้นมาก็เจอหลายอย่างเหมือนกระเป๋าโดเรม่อนเลย แต่ที่ทำให้ผมสะดุดก็คือรูปถ่ายที่ผมกับเขาเคยถ่ายด้วยกัน เราเคยมีช่วงเวลาดีๆ แบบนั้นด้วยสินะ...ผมชูสองนิ้ว ในขณะที่เขาใช้จมูกโด่งๆ กดลงที่แก้ม ตอนนั้นผมยังคงมีแหวนอยู่ที่นิ้วนางซ้าย...แหวนที่เขาให้โดยที่ไม่บอกอะไรนอกจากห้ามถอดห้ามหาย...แต่ผมก็ถอดแล้ววางไว้รวมกับทุกอย่างที่เป็นของเขา ก่อนจะออกจากห้องนั้นมา
และตอนนี้มันไม่ได้หายไปไหน...มันแค่เปลี่ยนที่จากนิ้วนางของผมไปอยู่บนสร้อยที่เขาใส่อยู่เป็นประจำ...ก็เท่านั้น
.........................To be continue..................................
ก็ยังคงเป็นอย่างนี้เรื่อยไป
คนไม่มีสิทธิ์ ก็คือไม่มีนะคะ จะก้าวล้ำเส้นมากก็ไม่ได้ อยู่กับความรู้สึกที่ว่าเราทำอะไรให้ได้บ้างวะ ทำไปเขาจะรำคาญมั้ย แต่ก็อยากทำให้ เอาง่ายๆ คืออยากทำให้แต่ก็ไม่อยากให้เขารู้สึกแย่ นี่เป็นความรุ้สึกของคนเขียนหลังจากที่นางพยายามทำดีให้กับแฟนเก่าที่เลิกรากันไปเพราะความผิดของนางเองเมื่อ...อืมมมมม....สามปีก่อน
นานจริงๆ ปลื้มยังดีกว่าแฟนเก่าคนเขียนหลายเท่าอ่ะ นี่พูดเลย นางยังพอแบบเออนะ คิดบ้าง แต่คนนั้นเขาไม่มีแม้แต่เยื่อใยเลยค่า (นางมาดราม่าชีวิตทำไม
) 
ไม่มีอะไร แค่อยากแชร์ให้ฟัง อยากรู้ว่าใครเคยอยู่ในสถานะแฟนเก่าบ้าง
กอดนะ
เพราะเรารักพวกคุณ และรู้ว่าพวกคุณรอ เราถึงไม่อยากให้พวกคุณต้องผิดหวัง เพราะฉะนั้น ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกัน 
สู้ต่อไปค่ะทุกคน ใครท้อเราเป็นกำลังใจให้ เพราะเวลาเราท้อ เราก็ได้กำลังใจจากพวกคุณ
คืนนี้เราอาจจะฉลองยอดวิวที่ 100000 ลงให้อีกตอน ขอบคุณความคิดเห็นยาวๆ จากคุณ moneza Tingerbell (สะกดถูกป่าวนะ) น่ารักจริงๆ เราอ่านไปยิ้มไป ความคิดเห็นของคนอื่นก็เช่นกัน มาทั้งแบบยาวแบบสั้น แต่ทุกคำนั้นกินใจ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ไปอ่านทวนตอนต่อไปแปร๊บ เผื่อคืนนี้ต้องลง ฮ่าๆๆ 