ตอนที่ ๔ สองลูกสิงห์สุดแสบส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเริงร่ามาจากหน้าบ้าน บัวชะเง้อชะแง้มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ตัดสินใจหยิบหมวกแก๊บมาสวมเพิ่มอีกใบ อากาศวันนี้คงจะร้อนชื้น บัวเลยเลือกใส่แค่เสื้อยืดพอดีตัว กางเกงยีนส์ขาสั้นครือเข่า แล้วก็รองเท้าผ้าใบคู่เก่งที่มันเปื้อนดินโคลนไปแล้วเมื่อวาน ทว่าบัวก็มีอยู่คู่เดียวเมื่อไม่ได้แคร์ที่มันเปื้อนเด็กหนุ่มจึงหยิบเอามาใส่เป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไปยืนยิ้มพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ตรงนอกชานบ้าน
เด็กแสบสองคนที่ปั่นจักรยานกันอยู่นอกบ้านเมื่อเห็นครูบัวออกมายืนยืดแขนอยู่ก็รีบแข่งกันปั่นมาหาใหญ่ ไทกอนที่ปั่นมาถึงก่อนจอดจักรยานโดยการทิ้งให้มันนอนอยู่กับพื้น แล้วรีบวิ่งเข้าไปในโรงรถที่อยู่ใกล้ๆตัวบ้าน จากนั้นไลเกอร์ที่มาทีหลังก็ตามเข้าไปอีกคน บัวได้ยินเสียงก็อกๆแก๊กๆอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นเด็กสองคนช่วยกันเข็นรถจักรยานเสือภูเขาคันใหญ่คันหนึ่งออกมา สภาพฝุ่นจับจนเห็นสีเดิมของตัวรถได้แบบเลือนลางทำให้บัวรู้ว่าคนเป็นเจ้าของคงไม่ได้ใช้มันมาซักพักใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มเดินลงไปหาเด็กๆที่ยืนยิ้มแฉ่งผายมือเป็นพริตตี้พรีเซนต์จักรยานด้วยความภาคภูมิใจ บัวเดินไปหยุดอยู่ข้างจักรยานแล้วก็พบว่าอานของมันสูงเกือบถึงอกเขาเลยทีเดียว
“นี่รถใครครับ...” บัวออกปากถามพร้อมรอยยิ้ม
“รถพ่อสิงห์ครับครูตาหวาน” ไลเกอร์ตอบพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง บัวที่กำลังเอื้อมมือไปจะแตะลงที่แฮนด์รถถึงกับรีบชักมือกลับ เมื่อได้ยินเด็กๆบอกว่าเจ้าของรถเป็นใคร
“แหม ครูบัว...ไม่ต้องกลัวไปหรอกครับ นายเหมืองสั่งเอาไว้เองแหละเมื่อเช้า ว่าให้ครูบัวเอาจักรยานแกไปปั่นเล่นกับเด็กๆได้ นี่ผมก็จะมาปรับอานให้นี่แหละครับครู...” เด็กหนุ่มนามเม่นยืนยิ้มยิงฟันขาวพร้อมยกชูผ้าขี้ริ้วชุบน้ำในมือให้ดู บัวยังมีอาการไม่แน่ใจอยู่ จนกระทั่งเด็กเม่นมันขัดถูคันจักรยานและปรับเบาะให้ลงมาอยู่ในระยะที่พอดีให้บัวปีนขึ้นไปนั่งได้
“ประมาณนี้ได้มั้ยครับครู...” นายเม่นถามพร้อมยื่นแฮนด์จักรยานมาให้บัว เด็กหนุ่มจำใจยอมยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะลองเขย่งขาก้าวคร่อมแล้วยกก้นตัวเองไปวางบนเบาะ
“โห...ทำไมครูบัวขาสั้นจัง” นายเม่นเผลออุทาน เมื่อมองเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของครูตาหวานที่กำลังปลุกปล้ำกับจักรยานเสือภูเขาอยู่อย่างเมามันส์
“จะบอกว่าพี่เตี้ยก็พูดมาตรงๆก็ได้นะเม่น” บัวไม่โกรธแถมเย้ากลับ พุดฤทัยที่ได้ยินเสียหัวเราะคิกคักดังมาจากนอกบ้านเลยเดินออกมาดูพร้อมเอ่ยปากถาม
“อ้าวๆ...ปั่นกันดีๆสิคะ นี่จะกลับมาทานข้าวเที่ยงที่บ้านมั้ยคะป้าจะได้ทำเผื่อ”
สิ้นทำถาม สองแสบหันมองตากันก่อนกระพริบปริบๆแล้วหันไปตอบ
“ไม่ล่ะยายพุด เกอร์กับไทจะไปกินที่โรงอาหารกับพ่อสิงห์ จะเอาครูตาหวานไปด้วย อิอิ...” เด็กแสบเอามือปิดปากพร้อมหัวเราะแบบมีเลศนัยกันสองคน
“แน่ะ ยายไม่ค่อยไว้ใจสองแสบเลยนะคะ...อย่าไปดื้อไปซนกับครูบัวเขาล่ะรู้มั้ย ไอ้เม่น เอ็งก็ขับรถระวังหลังไปดีๆล่ะ ถ้าครูบัวเขาขับไม่ไหวก็ให้มาซ้อนท้ายเอ็งเอา...ดูแลครูบัวดีๆด้วยนะ”
“จ้า ยายพุด...บ่นมากระวังผมร่วงนะยาย...ฉันไปละ”
“ไอ้เม่น! สำหรับเอ็งน่ะแค่ป้าก็พอแล้วย่ะ หนอย...ติดเชื้อแสบมาจากสองแสบหรือไง...ครูบัวปั่นดีๆนะคะ ทางมันขรุขระ...” พุดฤทัยเท้าเอวบ่นไปด่าไปก็ยังไม่วายตะโกนห่วงครูบัวตัวเล็กด้วย สองเท้าแทบจะดันไม่ถึงพื้น รถคันก็ตั้งใหญแล้วจะไปถึงโรงอาหารกันมั้ยนะ...สาธุ๊ ขออย่าให้สองแสบแผลงฤทธิ์จนครูบัวทนไม่ไหวขอลาออกเล้ย...
สาวใหญ่มองตามท้ายรถมอเตอร์ไซค์กลางเก่ากลางใหม่ของนายเม่นที่หายลับตาไปด้วยความเป็นห่วง
------------------------------------------------- - - -- - - -
บรรยากาศสองข้างทางที่ร่มรื่นไปด้วยทุ่งนาและป่าต้นยางในบางช่วงทำให้คนเมืองกรุงอย่างบัวมองข้ามความลำบากของถนนลูกรังขรุขระไปได้หมด อากาศแสนบริสุทธิ์ที่ไม่ค่อยได้พบนักในเมืองหลวงของประเทศไทยทำให้บัวต้องพยายามฟอกปอดด้วยการหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปอย่างเต็มที่ แม้มันจะมีฝุ่นผงจากถนนลูกรังปลิวฟุ้งขึ้นมาบ้างบัวว่ามันก็ดีกว่าการไปยืนสูดกลิ่นควันรถและควันบุหรี่เวลารอรถเมล์กลับบ้านเยอะเลย
และท่าทางการยิ้มเริงร่าของครูบัวก็ทำเอาสองแสบ ผู้นึกอยากพาอาจารย์คนใหม่มาตกระกำลำบากถึงกับทึ่ง ไม่อยากจะเชื่อว่าครูตาหวานคนนี้จะปั่นจักรยานเล่นกับพวกเขาได้แบบไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แถมยังดูสนุกสนานมากเสียอีกต่างหาก
“ไลเกอร์...ฉันว่าข้อนี้ครูตาหวานสอบผ่านว่ะ” ไทกอนกระซิบบอกพี่ชาย ไลเกอร์พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเสริมว่า
“ในบรรดาครูทั้งหมดนะ เกอร์ชอบครูตาหวานที่สุดแล้วอ่ะ” พูดจบลูกคู่ผู้อ่อนกว่าหนึ่งปีก็พยักหน้ารับเห็นด้วย
สองแสบที่ปั่นจักรยานนำหน้าครูคนใหม่ชะลอความเร็วลงนิดหน่อยเมื่อทั้งคู่เลี้ยวเข้าไปในซอยแยกหนึ่ง ซึ่งมีป้ายเขียนติดเอาไว้ว่า ‘ยินดีต้องรับสู่ เหมืองสุตนันท์’ ครูบัวผู้ยังไม่ชินทางพอจะจำได้ว่าเขาเคยเห็นป้ายแบบนี้มาก่อนแล้วที่ถนนใหญ่นอกหมู่บ้านโน่น และป้ายใหญ่นี่แหละที่ทำให้บัวกดลงรถถูกไม่เลยออกไปอีกอำเภอหนึ่งเสียก่อน
“นี่เป็นทางเข้าหลังเหมืองน่ะครู หน้าเหมืองมีป้ายสวยกว่านี้อีก” นายเม่นที่ขับรถมอเตอร์ไซค์มาเทียบใกล้ๆครูบัวตะโกนบอก บัวหันไปยิ้มรับคำอธิบายก่อนจะเร่งฝีเท้าปั่นตามเด็กๆต่อไป
พอเข้ามาในเขตเหมืองแล้วบัวก็เริ่มเห็นสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายๆหอพักอยู่สองตึก นายเม่นที่ชักสนุกกับการทำตัวเป็นไกด์ก็ตะโกนอธิบายแข่งกับเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์มาว่ามันคือบ้านพักคนงาน มีสามชั้นและมีห้องน้ำในตัวด้วย สวัสดิการดีเยี่ยมไม่เหมือนเหมืองอื่น มันอธิบายพร้อมรอยยิ้มปลื้มอกปลื้มใจ บัวเห็นด้านหน้าระเบียงของแต่ละห้องบ้างมีต้นไม้แขวน บ้างมีเสื้อผ้ากางเกงในแขวนตากไว้ ดูแล้วเหมือนผู้หญิงผู้ชายอยู่รวมๆกัน แต่ตอนหลังเม่นก็มาบอกเขาว่าส่วนใหญ่คนงานเขาอยู่กันเป็นครอบครัว ถ้าคนไหนโสดไม่มีคู่ก็สามารถเลือกเพื่อนที่เป็นเพศเดียวกันอยู่ด้วยกันได้
ถัดมาบัวก็เจอสองแยก มีป้ายเขียนบอกทางตรงแยกพอดีว่า ทางไปเหมือง และทางไปสำนักงาน ตอนแรกสองแสบจะพาเขาไปทางเหมืองแล้ว แต่ทว่าเม่นกลับยืนกรานหนักแน่นที่จะไม่ให้สองแสบเข้าไปซนที่นั่นก่อน เพราะเมื่อคืนได้ข่าวว่าเพราะพายุเข้าทำให้เกิดปัญหาขี้นที่รางกู้แร่ สองหนุ่มน้อยจึงได้แต่ทำปากจู๋อย่างเด็กโดนขัดใจแล้วเบี่ยงหัวจักรยานไปทางสำนักงานแทน
“เมื่อกี๊เม่นบอกพี่ว่าเกิดปัญหาขึ้นที่รางกู้แร่เหรอ ร้ายแรงมากหรือเปล่า เห็นนายเหมืองของนายเม่นต้องออกจากบ้านไปดูกลางดึกเชียว”
“อ๋อ...ไม่หรอกครูบัว คนที่นี่น่ะนะ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาแม้จะแค่เล็กน้อยเขาก็จะวิ่งมาบอกนายเหมืองก่อนหมดแหละ บางทีพวกเขาก็แก้ปัญหากันเองได้นะแต่ยังไงก็ต้องบอก ขนาดเรื่องผัวเมียตีกันมันยังเอามาบอกนายเหมืองเลย” เม่นจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะร่า แถมยังโบกมือยิ้มให้ป้าคนหนึ่งที่นุ่งกระโจมอกเดินอยู่ข้างทางอย่างมีความสุข
“โห...ทำตัวอย่างกับตัวเองเป็นผู้พิพากษาแน่ะ” บัวเอ่ย ตั้งใจให้ได้ยินคนเดียวนะ แต่นายเม่นกลับมาพยักหน้ารัวๆเห็นด้วยซะอย่างนั้น
บัวมองต้นไม้สองข้างทางด้วยความเพลิดเพลิน ช่วงนี้เป็นถนนลาดยางแล้วบัวจึงปั่นจักรยานอย่างสบายก้นขึ้นมาหน่อย นายเม่นยังคงพล่ามเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เกี่ยวกับเหมืองที่นี่ให้ฟังอย่างไม่รู้เบื่อ บัวมองสองแสบที่พากันปั่นจักรยานแข่งกันอยู่ข้างหน้าไปด้วย รายละเอียดเหมืองที่ตกตะกอนมาในความทรงจำจึงมีแค่ว่า ที่นี่เป็นเหมืองแร่ดีบุกและชีไลต์ และเป็นการทำเหมืองแบบเหมืองหาบเท่านั้น...
“แล้วก็พอเราย่างแร่จนมันแห้งเรียบร้อยแล้วเนี่ยนะครู เราก็ต้องเอามันไปคัดขนาดแล้วถึงจะแยกแร่ดีบุกกับชีไรต์ออกจากกันได้...ทีนี้ขั้นตอนตรงการแยกแร่นี่เราต้องใช้แรงไฟฟ้าสถิตย์มา...”
“วี๊ดวิ้ววววว ไอ้เม่น!!! ป้อสาวที่ไหนอยู่วะ ขาวๆแบบนี้คนเมืองกรุงแหงๆ เล่นของสูงเชียวนะมึง! ฮ่าๆ” จู่ๆในระหว่างที่บัวกำลังเพลินฟังนายเม่นฝอยน้ำลายแตกฟองอยู่นั่นเอง เสียงคนงานที่นั่งกันอยู่ตรงนอกชานโรงอาหารก็ส่งเสียงแซวเป็นภาษาถิ่นออกมา บัวที่พอฟังออกบางคำถึงกับต้องหันไปมอง เมื่อนายเม่นยกนิ้วกลางชูให้แล้วเปลี่ยนเป็นชี้นิ้วโป้งมาทางเขาแล้วตะโกนตอบว่า
“ของนายๆ!!!” บัวเองถึงกับเงิบจนเกือบเผลอจอดจักรยานล้มทับสองแสบที่เอาจักรยานมาจอดข้างกัน ทว่าแลดูเหมือนคำแซวที่ทำเอาบัวหน้าแดงนั้นจะไม่ส่งผลในด้านลบใดๆเลยให้กับสองแสบ เมื่อทั้งไลเกอร์และไทกอนยังคงกุมท้องแล้วก็หัวเราะงอหกงอหงายแบบถูกใจกับคำตอบนายเม่นเป็นที่สุด
“อาเมฆ! อย่ามาแซวนะนี่ครูตาหวาน...ครูใหม่ของไลเกอร์เอง” หลังจากที่ยืนหัวเราะจนพอใจแล้ว เด็กน้อยไลเกอร์ก็อุตส่าห์ใจดีเดินเข้าไปหากลุ่มคนงานกลุ่มนั้นที่นั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ แล้วเอ่ยตอบแก้ให้กับนายคนที่ผิวปากแซวบัวไปเมื่อครู่
“โห...นี่เอ็งกล้าจีบครูของคุณหนูสิงห์เล็กเชียวเหรอวะ ไม่เบาเหมือนกันนะเอ็งนี่...” อาเมฆของไลเกอร์ยังคงไม่หยุดแซว แม้ว่าบัวจะถูกไทกอนกึ่งลากกึ่งจูงมาที่กลุ่มคนงานตรงนั้นให้ได้โดนแซวกันต่อหน้าแล้วก็เถอะ
“ใช่ที่ไหนล่ะพี่เมฆ...คนนี้ชื่อครูบัว เป็นครูสอนพิเศษคนใหม่ของคุณหนูสองแสบจริงๆ ผมไม่กล้าจีบหรอก...ครูบัว อย่าไปถือสาเลยนะ พวกคนที่นี่เขาก็แซวคนมาใหม่ทุกคนนั่นแหละ ถือเสียว่ารับน้องนะครูนะ...แล้วนี่ก็พี่เมฆ พี่พุ่ม พี่หยัด ลุงแปล กับน้าเอื้อ คนงานที่นี่เองแหละครูบัว” เป็นนายเม่นที่ช่วยเอ่ยถ้อยขยายความ บัวแม้จะมีอาการทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างกับคำแซวก่อนหน้านี้ แต่มารยาทที่ดีซึ่งมารดาสั่งสอนมาแต่เด็กก็ทำให้เด็กหนุ่มยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม ก่อนจะจบด้วยการกราดยิ้มแสดงไมตรีจิตเข้าสู้เสียก่อน
“ชื่อครูบัวเหรอคุณ...แล้วนี่จะอยู่ได้กี่วันล่ะ คุณหนูสองแสบน่ะแสบจริงๆนะครู” คนที่ถูกแนะนำว่าชื่อพี่หยัดเป็นคนเอ่ยถามเป็นภาษากลางสำเนียงทองแดง ซึ่งบัวก็ยิ้มรับคำถามและตอบให้ตรงๆแบบไม่ได้ถือสาอะไรว่า
“ก็จนกว่านายพวกพี่เขาจะไล่บัวออกนั่นแหละ...ถ้าโชคดีคงได้อยู่จนส่งสองคุณหนูนี่เข้าโรงเรียนเทอมหน้านะ”
“แล้วครูมาจากไหนเนี่ย ผิวขาวๆแบบนี้ครูมาจากกรุงเทพฯใช่มั้ยล่ะเนี่ย” อันนี้น้าเอื้อ คนงานที่ตัวเล็กที่สุดในบรรดาห้าคนเป็นคนถาม บัวพยักหน้ารับก่อนเอ่ยขยายความเพิ่มว่า
“ครับ แต่จริงๆแล้วบ้านปู่กับย่าของบัวอยู่เชียงรายน่ะ...”
“...มิน่าล่ะ ครูบัวถึงได้ข๊าวขาว ผิวก็ส๊วยสวย หน้าก็หวานเหมือนผู้หญิงเลยเนอะไท...” อันนี้ไลเกอร์เป็นคนพูด บัวอยากจะถือเป็นคำชมอยู่นะแต่มันก็รู้สึกทะแม่งๆแฮะ
“เหมือนผู้หญิง? งั้นก็แสดงว่า...ครูบัวเป็นผู้ชายเหรอครับเนี่ย!!!” คำถามจากนายพี่เมฆคนเดิมทำให้บัวเหนื่อยใจที่จะตอบ เด็กหนุ่มจึงทำเพียงแค่ยิ้มบางๆให้เฉยๆ รับสีหน้าตื่นตะลึงของทั้งห้าหนุ่มรุ่นกระทงที่อ้าปากค้างมองเขานิ่ง
“อะแฮ่ม...เอาล่ะ ถ้าสัมภาษณ์ครูบัวกันเสร็จแล้วก็ช่วยกรุณาถอยหน่อยครับ กระผมจะได้พาครูบัวไปดูในโรงอาหารต่อ...” เม่นเมื่อเห็นว่าขืนปล่อยให้ครูบัวอยู่ตรงนี้นานอาจไม่ค่อยปลอดภัย จึงรีบดันหลังพาเด็กน้อยสองคนกับคุณครูคนใหม่ให้เข้าไปในตัวอาคารอย่างรวดเร็ว โดยมีสายตาของทั้งห้าหนุ่มรุ่นกระทงมองตามแบบเหลียวหลัง
โรงอาหารของที่นี่เป็นอาคารปูนซีเมนต์ชั้นเดียว ตัวห้องเป็นโถงกว้างยาวหลายเมตร บัวเดาว่าที่นี่คงเป็นจุดศูนย์รวมของกิจกรรมต่างๆแน่ เพราะที่ด้านหนึ่งมันมีเวทีไม้สร้างยกสูงจากพื้นราวๆหนึ่งไม้บรรทัด ในขณะที่อีกด้านหนึ่งมีโต๊ะไม้ยาวต่อกัน บัวคิดว่านั่นคงเป็นที่วางกับข้าวละมั้ง เพราะกลิ่นแกงเทโพและอะไรซักอย่างทอดน้ำมันส่งกลิ่นหอมฉุยออกมาจากอาคารไม้ที่มีทางเดินเล็กๆเชื่อมติดกันด้านหลังนั่น และตอนนี้ก็เริ่มมีคนยกถาดกับข้าวที่มีผ้าปิดเรียบร้อยออกมาวางบนโต๊ะยาวนั่นบ้างแล้ว
เม่น ไลเกอร์กับไทกอนแข่งกันแนะนำเขาให้สามแม่ครัวรุ่นป้าพุดรู้จักว่าเขาคือคุณครูคนใหม่ และอาจได้เห็นแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆหลังจากนี้ ทั้งสามแม่ครัวซึ่งก็เป็นภรรยาคนงานในเหมืองซึ่งเป็นคนยกกับข้าวออกมาวางก็ออกปากชวนบัว ให้ลองทานอาหารเที่ยงฝีมือพวกเธอกันใหญ่ บัวเลยบอกไปว่าขอฝากตัวและฝากท้องมื้อเที่ยงไว้กับที่นี่ด้วย เพราะสองลูกศิษย์ของเขานั้นก็หวังจะมาทานที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว สามแม่ครัวก็แสนใจดีตรงเข้ามาลูบหลังลูบไหล่เขากันใหญ่...อวยพรว่าขอให้อยู่ได้นานๆ ซึ่งบัวก็ยิ้มรับคำอวยพรนั้นแต่โดยดี
ระหว่างที่บัวยืนคุยกับแม่บ้านสามคนที่ผลัดกันยกถาดออกมา และปฏิเสธความช่วยเหลือจากบัวที่อยากจะช่วยยกอย่างเพลิดเพลิน เจ้าสองแสบก็มากระตุกมือบัวคนละข้าง มองช้อนสายตาเขาอย่างมีความหมายก่อนจะชี้ไปที่เด็กชายหน้าตามอมแมมสองสามคนที่ยืนเกาะประตูขวางทางเดินอยู่ แล้วเอ่ยปากขออนุญาตเขาออกไปเล่นกับเพื่อน บัวส่ายหัวยิ้มนิดๆก่อนจะพยักหน้าอนุญาตไป สองแสบร้องเย้ดังลั่นแล้ววิ่งเร็วตื๋อ สวมวิญญาณหัวโจกลากเพื่อนซึ่งก็คือลูกเล็กเด็กแดงของคนงานในเหมืองนั่นแหละออกผจญภัยไปด้วยกัน บัวตะโกนบอกอีกครั้งว่าให้วิ่งช้าๆระวังสะดุดหกล้ม ไม่รู้จะได้ยินหรือเปล่า...แต่อย่างน้อยก็ถือว่าบัวได้เตือนแล้วล่ะนะ
“ถ้ากลับมาพร้อมแผลแล้วร้องไห้มาล่ะก็ จะโดนเป็นสองเท่าเลย...”
“แหมครูบัว หน้าตาอย่างนี้ไม่น่าโหดเลยนะจ๊ะ” ป้าแม่ครัวคนที่หนึ่ง ชื่อป้าแจ่มเป็นคนเอ่ยขึ้น
“อ้าว ถ้าไม่ดุแล้วจะเอาคุณหนูสิงห์น้อยกับเสือเล็กอยู่เรอะ เมื่อกี๊แกก็น่าจะเห็น...คุณหนูสองแสบมีการวิ่งเข้ามาขออนุญาตด้วยนะ เคยทำซะที่ไหนล่ะกับครูคนอื่น...ขนาดไอ้เม่นคุณหนูยังไม่เห็นหัวมันเล้ย...” ป้าแม่ครัวคนที่สองที่ชื่อป้ามุ่ยเป็นคนตอบบ้าง บัวขมวดคิ้วเล็กๆกับชื่อเรียกแปลกหูจึงอ้าปากเอ่ยถามต่อ
“คุณหนูสิงห์น้อยกับเสือเล็กนี่...คือ...”
“พอดีชื่อจริงๆของคุณหนูสองแสบน่ะค่อนข้างเรียกยาก ชาวบ้านกับคนงานแถบนี้เลยตั้งชื่อให้สองคุณหนูใหม่...คนพี่ก็ชื่อสิงห์น้อย คนน้องก็ชื่อเสือเล็กน่ะครู” เสียงตอบจากด้านหลังทำให้บัวหันมองกลับไป พบเป็นกลุ่มของนายเมฆที่เมื่อครู่ยังนั่งกันอยู่นอกโรงอาหารนั่นเอง ทั้งห้าคนยืนแบบนบนอบเอามือกุ้มเป้าก่อนที่คนชื่อพี่พุ่มจะเป็นคนเอ่ยต่อว่า
“เมื่อกี๊พวกผมแซวครูไปอย่างนั้นเอง ครูอย่าโกรธพวกเราเลยนะ...เมื่อกี๊ผมเห็นสองคุณหนูเข้ามาขออนุญาตครูก่อนออกไปเล่นแล้วพวกผมเลยค่อยแน่ใจ ว่านี่ครูจริงๆ” ฟังแล้วบัวก็นึกสงสัยอยู่นิดๆเหมือนกันแฮะ มีครูจริงครูปลอมด้วยงั้นหรือ
“เป็นไงล่ะ ผมบอกพวกพี่แล้วก็ไม่เชื่อ...” นายเม่นได้ทีอวดใหญ่ ห้าหนุ่มรุ่นกระทงจึงพากันเอามือไปเคาะหัวนายเม่นแรงๆเป็นเชิงหมั่นไส้
บัวมองการเล่นแบบเป็นกันเองของคนที่ทำงานที่นี่แล้วก็ค่อยโล่งขึ้นมาอีกนิด จริงๆแล้วคนที่นี่ถึงจะตัวใหญ่ หน้าตาดูโหดๆไปหน่อยสำหรับบัว แต่ก็ไม่ใช่คนใจร้ายหรือคนไม่ดีอะไร บัวจึงค่อยคลายใจที่จะคุยเล่นกับพวกเขามากขึ้น...ซักพักโต๊ะที่บัวนั่งอยู่ก็เริ่มมีคนงานมุงมามองดูของแปลกจากคำบอกเล่าปากต่อปากของคนงานเหมือง ที่ว่าคุณครูคนใหม่ผู้สามารถปราบพยศสองแสบแห่งเหมืองสุตนันท์ได้มาปรากฎกายอยู่ในโรงอาหาร คนงานเหมืองทั้งหญิงทั้งชายจึงเริ่มทะยอยเข้ามาเมียงมองดูบัว บ้างก็เข้ามาแนะนำตัว บ้างก็ขอเข้ามาจับมือ จนบัวเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใกล้ความเป็นไก่สามขาหรือต้นกล้วยที่ออกผลเป็นสีรุ้งอย่างไรอย่างนั้นเลย
ในระหว่างที่บัวกำลังมองหาตัวช่วยเพราะชักจะหายใจไม่ออก ก็มีเสียงคำรามดังลั่นโรงอาหารออกมาว่า...
“
เฮ้ย...! นี่มันเวลาพัก เขาให้มากินข้าว ไม่ใช่มาดูปาหี่!...แล้วนี่มามุงอะไรกัน”
“
นายเหมือง! / นายสิงห์!” เสียงอุทานของคนรอบตัวบัวดังลั่น บรรยากาศแตกฮือราววงไพ่ที่ถูกตำรวจบุกจู่โจมเข้ามาจับกุมอย่างกะทันหัน เมื่อทุกคนลุกออกไปคนละทิศคนละทางแล้วเมื่อนั้นบัวถึงได้เห็น ว่าใครที่เข้ามาสลายม็อบครั้งนี้ให้กับบัว...
“นายเหมือง...” พอได้เห็นร่างกายสูงใหญ่บึกบึนที่มีเหงื่อเกาะพราวไปทั้งใบหน้าและลำแขน บัวก็ต้องออกปากเรียกชื่อคนร่างสูงใหญ่นั่นไปด้วยอีกคน
“ครูบัว...” พอได้เห็น ว่าใครที่นั่งผิวขาวเป็นจุดศูนย์รวมเหมืองมุงอยู่นั่น คนร่างสูงก็สาวเท้าเดินเข้าไปหาก่อนรำพึงชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมาเหมือนกัน “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...แล้วลูกผมไปไหน”
“คือ...สองแสบเขาขอออกไปเล่นกับเพื่อนครับ ผมก็เลยให้ไป...”
“แต่นี่มันเวลากินข้าวเที่ยง คุณยังปล่อยให้สองคนนั้นออกไปเล่นอีกได้ยังไง...” น้ำเสียงห้วนดุทำเอาบัวคอย่น ร่างสูงใหญ่เดินเอาผ้าขาวม้าที่พาดบ่าอยู่ข้างหนึ่งมาเช็ดหน้าเช็ดผมตัวเองลวกๆ มือเท้าเอวยืนข่มบัวเสียจนบัวไม่กล้าลุกขึ้นยืนหรือสบตาเพื่อตอบโต้กับเขาเลย สุดท้ายจึงได้นายเม่นที่ไม่ได้แตกฮือไปกับคนอื่นด้วยมาช่วยอธิบาย
“นายอย่าไปดุครูบัวสิ...สองแสบน่ะปกติก็กินทีหลังพวกเราอยู่แล้ว จะได้เบิ้ลสองจานไงนาย...โธ่ ดูซินายดุจนครูบัวหน้าซีดหมดแล้ว...”
พอได้ยินดังนั้นคนเป็นนายจึงค่อยผินหน้ามาพิจารณาคนโดนดุว่าหน้าซีดดังว่าจริงหรือเปล่า และนายเหมืองสิงห์ก็ได้เจอคนนั่งก้มหน้าไม่ยอมพูดยอมจา ชายหนุ่มจึงใช้มือใหญ่โตของตัวเองช้อนเข้าที่ใต้คาง บังคับอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย และเขาก็พบว่าใบหน้านวลนั้นขาวจนเห็นเส้นเลือดฝาดเลยทีเดียว...
“นี่ครูหน้าซีดจริงๆหรือแค่ผิวขาวเฉยๆห่ะ...” ชายหนุ่มถามแบบไม่ต้องการคำตอบ บัวเบี่ยงหน้าหนีออกจากฝ่ามือใหญ่ แล้วเดินเลี่ยงไปเข้าแถวต่อคนงานคนอื่นๆ โดยมีร่างสูงใหญ่ที่มองตามยิ้มมุมปากแบบไม่รู้ตัวตามไปต่อหลังด้วยอีกคน
กับข้าวพูนจานที่เหล่าแม่ครัวแถมให้บัวค่อยๆถูกละเลียดทาน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องอายสายตาดุๆของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งขยันส่งมาให้ขนาดนี้ด้วย
“ครูตาหวานชอบกินผักอย่างเดียวสินะ มิน่าล่ะ ตัวเล็กกว่าพ่อตั้งเยอะ” ไทกอนว่าพลางขโมยหมูทอดในจานครูตาหวานมาทานเอง ซึ่งคนเป็นครูก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังยกหมูทอดในจานตัวเองให้ไลกอนเป็นการทำให้เด็กสองคนรู้สึกถึงความเท่าเทียม คนเป็นพ่อเห็นแล้วอยากแกล้งจึงยกจานตัวเองขึ้นจ่อไปที่หน้าครูตาหวาน แล้วออกปากขอหมูเหมือนลูกบ้าง
“ให้แต่ลูก พ่ออย่างผมก็ชอบกินหมูเหมือนกันนะ...” บัวมองคนทำเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วรู้สึกขนลุก ใช้ช้อนคีบผักคีบหมูโยนใส่จานอีกฝ่ายส่งๆพร้อมบอกว่า
“อย่างนายเหมืองน่ะ ต้องหัดทานผักบ้าง มีแต่เนื้อเต็มจานเลย”
คนฟังเพียงยักไหล่ เอาจานของตัวเองกลับมาแล้วช้อนกินพร้อมบอก “ถึงผมจะเป็นประเภทสัตว์กินเนื้อ แต่มีผักอย่างหนึ่งที่ผมชอบกินมากเหมือนกัน”
“อะไรเหรอครับ” บัวถามด้วยความซื้อ ยกช้อนป้อนข้าวใส่ปากไลเกอร์ที่อ้ารอ ซึ่งไทกอนพอเห็นว่าพี่ได้กินแล้วตัวเองก็เอามั่ง
“ผมชอบกิน...บัว” คนฟังได้ยินแล้วถึงกับสำลัก สองแสบก็ทำท่าจะอ้วกกับมุกเสี่ยวๆของคนเป็นพ่อ แต่คนแกล้งกลับหัวเราะออกมานิดๆราวถูกใจกับปฏิกริยาของบุคคลทั้งสามนักหนา “เป็นอะไรห๊ะสองแสบ คิดว่าพ่อจะจีบครูบัวเขารึไง พ่อหมายถึง...พ่อชอบกินสายบัว เม็ดบัวอะไรอย่างนี้...คิดอะไร แก่แดดนะเรา...” ชายหนุ่มบอกลูก
สองแสบส่ายหน้าหวือ บ่นพึมเป็นลูกหมีกินผึ้งว่าพ่ออ่ะแสบกว่าพวกเขาเยอะ ส่วนครูบัวน่ะหรือพอได้ยินคำเฉลยแล้วแทบอยากเอาช้อนเขวี้ยงใส่จานข้าวคนตรงหน้านัก โทษฐานที่ทำให้เขาถูกคนงานเหมืองคนอื่นๆหัวเราะเอา
“แล้วบ่ายนี้ สองแสบจะพาครูเขาไปซนที่ไหนอีก” พอทานกันไปได้ซักพัก นายเหมืองสิงห์ก็เอ่ยถามขึ้นระหว่างมองภาพลูกหมีสองตัวที่พากันไปออที่ครูบัวพร้อมร้องเจี๊ยวจ๊าวให้ครูป้อนข้าวให้ ทั้งที่จานของตัวเองก็มี จนครูบัวไม่ได้ทานข้าวดีๆเลย
“ผมจะพาครูตาหวานไปผจญภัยในเหมืองมหัศจรรย์ของพ่อสิงห์ไงครับ” ไลเกอร์ตอบเสียงใส
“ผจญภัย? หรือจะชวนกันไปทำบรรลัยในเหมืองของพ่อกันแน่...ไม่ได้ พ่อไม่อนุญาต” นายเหมืองตอบ มือก็เก็บรวบรวมจานข้าวของทั้งตัวเอง สองแสบ และยังมีน้ำใจหยิบของครูบัวไปรวมกันด้วย สองแสบพอพ่อเดินออกจากโต๊ะไปแล้วก็รีบคว้าแขนครูบัวคนละข้าง พากึ่งลากกึ่งจูงไปออกไปนอกโรงอาหาร บัวละล้าละลังมองกลับหลัง เพราะได้ยินชัดอยู่เต็มสองหูว่าคนเป็นพ่อห้ามสองแสบไปลั้นลากันในเหมือง แต่นี่กลับเจื๊อยแจ้วใหญ่ว่าในเหมืองมีนู่นนี่นั่น ไม่ฟังคำสั่งของคุณพ่อร่างใหญ่เลย
“เดี๋ยว...ไลเกอร์ ไทกอน คุณพ่อห้ามไม่ให้ไปเล่นในเหมืองไม่ใช่เหรอ” บัวเบรกเท้าตัวเองก่อนถึงที่จอดรถจักรยานสามคันสองขนาด เจ้าสองแสบหันไปมองหน้ากันเองแล้วยิ้มปากกว้าง
“ครูตาหวาน...รู้ป่ะว่าพ่อน่ะสั่งพวกเราทุกวี่ทุกวันตั้งแต่แบเบาะจ๊น...โตหมาเลียตูดไม่ถึง ไทไม่เห็นว่ามันจะได้ผลเลยครู” ไทกอนว่า ท่าทางเลียนแบบคนเป็นผู้ใหญ่อย่างน่ารักน่าชัง บัวกอดอกมองยิ้มๆ มั่นใจในความซนของแสบแล้วว่าคงฤทธิ์เยอะดังว่าตั้งแต่เด็กจนโตจริงๆ
“
แต่วันนี้มันต้องได้ผล” จู่ๆเสียงเยียบเย็นที่มาพร้อมท่อนแขนใหญ่ทั้งสองข้างของนายเหมืองสิงห์ ที่ยื่นมาหิ้วคอเสื้อเด็กแสบสองคนเสียจนเท้าเกือบลอย สองแสบโวยวายหน้าดำหน้าแดง เพราะรู้ว่าถ้าพ่อพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้คงจะเอาจริง
“ไม่เห็นรึไง ว่าครูตาหวานปั่นจักรยานพ่อเข้าเหมืองไม่ได้ คนเขาไม่ชินทางแถมจักรยานยังคันใหญ่กว่าตัวขนาดนี้...เกิดครูเขาปั่นพลัดตกเหมืองลงไปจะว่าไง” น้ำเสียงห้วนๆแบบที่บัวเริ่มจะชินๆขึ้นมาบ้างบอกเสียงดุ แต่เด็กสองคนที่ยังพยายามดิ้นรนอยู่ในกำมือของคนเป็นพ่อยังไม่ยอมล้มเลิกความคิด ไลเกอร์จึงเอ่ยขัดพ่อขึ้นมาเสียงดังว่า
“ไม่เห็นจะยากเลย พ่อก็ปั่นแล้วให้ครูตาหวานซ้อนสิ! โธ่ พ่อนี่...เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ได้” คนเป็นลูกบอก คนเป็นพ่อเลยปล่อยเสื้อคนเป็นน้องมาเขกหัวคนเป็นพี่เบาๆหนึ่งทีถ้วน
“..รถพ่อมันมีเบาะซ้อนท้ายที่ไหน...” ชายหนุ่มเอ่ยกัดฟัน คนเป็นลูกคลำหัวป้อย อีกหนึ่งหน่อจึงเข้ามาเสียบแทนคนพี่แล้วเอ่ยแนะอีกแนวทางว่า
“งั้นพ่อก็ให้พี่เม่นไปเอาฟองน้ำเก่าๆในโรงเก็บของมาใส่ข้างหน้าสิ แล้วพ่อก็ปั่นให้ครูตาหวานนั่งหน้าไง...นะพ่อน้า ไทอยากให้ครูได้ไปเห็นเหมืองของพ่ออ่ะ ว่ามันหย่าย...แค่ไหน” ไทกอนบรรยายคำว่าใหญ่ด้วยการผายมือแล้ววาดออกสองข้างว่ามันใหญ่ขนาดไหน นายเหมืองสิงห์เริ่มมีอาการคิดพิจารณาตามคำลูกว่าเล็กน้อย ชายหนุ่มเหลือบตาหันมามองทางครูตัวเล็กที่ยืนนิ่งเงียบฟังเขาบ่นลูกไม่พูดไม่จา ก่อนจะออกปากถามว่า
“แล้วครู...อยากไปรึเปล่า”
ไม่รู้ว่าบัวคิดไปเองหรือเปล่า แต่ตอนที่ชายหนุ่มถามเขาบัวแอบเห็นนะ ว่าหูเจ้าตัวแอบแดง หรือว่าแค่โดนแดดเผาก็ไม่รู้
“เอ่อ...บัวยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่คุณจะสะดวกเถอะ” บัวตอบ
คนฟังแปลความไปว่าอีกคนคงตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ซึ่งจริงๆแล้วก็คงอยากจะไปอยู่เหมือนกันเพราะมองจักรยานตาละห้อยเชียว ซึ่งความจริงแล้วนัยตาของครูบัวนั้นหวานอยู่แล้วนายเหมืองหนุ่มจึงมองออกไปอย่างนั้น ชายหนุ่มหันมามองลูกน้อยสองคนที่พากันมาเกาะแข้งเกาะขา อ้อนวอนขอพาครูตาหวานเข้าไปชมเหมืองให้ได้ คนเป็นเจ้าของเหมืองนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ออกปากให้นายเม่นไปเอาอุปกรณ์สำหรับทำเบาะเทียมกับปรับอานรถจักรยานตัวเองให้เข้าที่เดิม พอเสร็จก็เชื้อเชิญให้ครูหนุ่มน้อยขึ้นนั่ง ก่อนที่ตัวเองจะขึ้นคล่อมด้านหลังตาม
------------------------------------------------- - - -- - - -
to be continue...
เปลี่ยนวันที่ให้แล้วนะจ๊ะ