ตอนที่ 37ภูธิป “สูตรพวกนี้เป็นสิ่งสำคัญ อาจารย์อยากให้พวกเราจดจำไว้นะครับ...เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน อีกสองวันกลับมาเจอกันครับ” สิ้นเสียงติวเตอร์หน้าห้องเท่านั้น เสียงจอแจของบรรดาเพื่อนร่วมคลาสของผมก็ดังขึ้นทันที
ผมเองก็เริ่มเก็บข้าวของบนโต๊ะ พวกหนังสือ สมุดโน้ต และดินสอปากกา โดยมีไอ้ฟูบ่นงึมงำอยู่ข้างๆถึงสูตรลัดที่ติวเตอร์เพิ่งสอนไป ทำนองว่าสูตรร่วมครึ่งร้อยจะเอาหัวที่ไหนไปจำหมด ก่อนไอ้แหนมที่นั่งอีกฝั่งของผมจะยื่นปากหาเรื่องแกล้งเหน็บไอ้ฟู ประมาณว่าหัวโตซะเปล่าแต่เนื้อสมองกับฝ่อซะได้ ทำเอาคนโดนบ่นถึงกับโวย ยื่นหน้ายื่นมือข้ามหน้าผมจะเอาเรื่องคนช่างเหน็บ จนคนอื่นๆในห้องเริ่มมองมาอย่างสนใจ ผมจึงต้องปรามให้ทั้งคู่ได้เบาเสียงลง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวาย
“เอิ่ม โทษที...นายใช่เบสที่ถ่ายแฟชั่นเซตเดอะซัมเมอร์ออฟเลิฟรึเปล่า” ผมกวาดตามองคนที่เข้ามาทัก
ถ้าต้องให้คำนิยามหน้าตาท่าทางของคนตรงหน้า คงต้องใช้คำว่าตี๋หล่อ ด้วยผิวขาวสว่าง คิ้วเข้มจัด ดวงตาเรียวยาว ปากบาง แต่จมูกกลับโด่งอย่างน่าอิจฉา และมีส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกับผม แต่อาจจะสูงกว่าไม่กี่เซ็น
เมื่อผมพยักหน้ารับว่าใช่คนที่นายนี่ถามถึง คนที่ผมให้นิยามว่าตี๋หล่อก็ยิ่งตอกย้ำว่าผมคิดถูก เพราะตาคู่เรียวกลับยิบหยีทอประกายระยิบระยับจับตาขึ้นมา และมุมปากก็ยกยิ้มได้อย่างน่ามองทันที
ส่วนแฟชั่นชุดที่นายนี่พูดถึงนั้น คือแฟชั่นที่ผมเป็นนายแบบครั้งแรกให้ห้องเสื้อของพี่อ๋อมแอ๋ม เมื่อครึ่งปีก่อนตอนช่วงซัมเมอร์ของมอห้านั่นเอง แถมเมื่อเร็วๆนี้ผมก็โดนพี่อ๋อมแอ๋มขอร้องแกมบังคับ ให้ถ่ายเซตเดอะวินเทอร์ออฟเลิฟแล้วด้วย เพราะเซตแรกที่ผมถ่ายเปิดตัวให้ห้องเสื้อของพี่อ๋อมแอ๋มนั้น ดังเป็นพลุแตกแบบคาดไม่ถึงเชียวล่ะ และนายนี่คงเป็นหนึ่งในบรรดาอาฟเตอร์ช็อกของการถ่ายแบบครั้งนั้น
อาฟเตอร์ช็อกเป็นคำนิยามแบบประชดประชันที่นนมักใช้ ยามมีคนที่ชื่นชอบผลงานของผมเข้ามาทักเหมือนในขณะนี้ โดยที่หลายเดือนก่อนหน้านี้ ผมอุตส่าห์สบายใจว่าไม่มีใครคอยตามแล้วเชียว เพราะแค่แฟนคลับในโรงเรียนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ผมก็รับมืออย่างลำบากแล้ว
“ใช่จริงๆด้วย เราสังเกตมาหลายวันแล้ว จนแน่ใจเลยเข้ามาทัก เอ่อ...ช่วยเซ็นให้เราหน่อยได้มั้ย น้องสาวเราชอบนายมาก” หนังสือนิตยสารวัยรุ่นเมื่อครึ่งปีก่อนถูกยื่นมาให้ โดยเปิดหน้าที่มีรูปผมให้พร้อมเซ็น
ผมรับหนังสือมาและเซ็นให้อย่างไม่อิดออด แม้จะแอบตะขิดตะขวงใจเล็กๆกับสายตาชื่นชมเปิดเผยคู่นั้น ระหว่างที่ผมก้มหน้าเซ็นชื่ออยู่นั่น ทั้งฟูและแหนมมันสองคนกลับขยุกขยิกมีกระซิบกระซาบลับหลังผมด้วย แต่ผมจับใจความไม่ได้ว่าทั้งคู่คุยเรื่องอะไรกัน และเมื่อเซ็นเสร็จผมจึงรีบยื่นหนังสือในมือคืน
“ขอบใจ เราจุ้ยนะ ยินดีที่ได้รู้จัก...แล้วเบสจะมีถ่ายแบบอีกเมื่อไหร่ เราจะได้บอกน้องสาวให้ติดตาม” ผมที่เตรียมจะเดินเลี่ยงออกมา หลังจากยกยิ้มตอบรับคำแนะนำตัวของนายจุ้ยแล้วนั้น มีอันต้องชะงักกับคำถามที่ตามมา เหมือนว่าคนถามไม่อยากจบบทสนทนาง่ายๆ
ส่วนคำตอบแม้จะมีอยู่ในใจแต่ผมยังบอกไม่ได้ด้วยสิ ขนาดคนสำคัญของผมมันยังไม่รู้เลย ผมไม่อยากจะคิดว่าถ้านนรู้จะมีปฏิกิริยายังไง เพราะมันเคยยื่นคำขาดไม่ให้ผมถ่ายแบบอีกแล้ว ด้วยครั้งแรกที่ผมถ่ายไอ้ดำตูดหมึกหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมด ยามมีแฟนคลับนอกโรงเรียนพยายามเข้าใกล้ผมแบบถึงเนื้อถึงตัว จนเจ้าตัวมันบ่นเหนื่อยกับอารมณ์ตัวเอง
ผมเองก็ทั้งขำทั้งเหนื่อยใจกับคนขี้หวง แต่ยังดีที่ครั้งนั้นผมไม่ได้รับปากนน ไม่เช่นนั้นผมคงไม่รู้จะใช้คำพูดไหนไปเกลี้ยกล่อมเจ้าตัว เพราะผมเองก็ไม่กล้าปฏิเสธพี่อ๋อมแอ๋มที่ลงทุนมาอ้อนวอนผมลับหลังนน พี่อ๋อมแอ๋มคงรู้ล่ะครับว่าขืนนนรู้ก่อน คงไม่ได้ตัวผมไปถ่ายแบบให้อย่างแน่นอน
“เรื่องถ่ายแบบเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงฝากบอกขอบใจน้องสาวนายด้วย เราขอตัวก่อน มีคนรอรับอยู่น่ะ...อ่ะ!” ผมชะงักอีกครั้งแต่ครั้งนี้ออกแนวตกใจร่วมด้วย
เมื่อไอ้คนที่ผมเพิ่งเอ่ยขอตัวด้วยนั้น มันดันรั้งต้นแขนผมไว้ แต่กลับมีอีกสองคนที่ตกใจมากกว่าผมเข้าแล้ว
“เฮ้ย!!” ทั้งไอ้ฟูและไอ้แหนมดันร้องออกมาพร้อมกันซะดัง
แถมด้วยการที่ไอ้ฟูปัดมือนายจุ้ยออกจากต้นแขนผม ตามมาด้วยไอ้แหนมเอาตัวหนาๆของมัน มายืนแทรกระหว่างผมกับนายจุ้ย เรียกได้ว่าบังผมไว้จนมิดเลยทีเดียว ผมที่กำลังงงๆก็ได้แต่ยืนนิ่ง
“พูดคุยด้วยได้ แต่อย่าคิดแตะต้อง มีครั้งหน้านายเจอดีแน่...เข้าใจนะ!” ฟังไอ้แหนมพูดแล้วก็ให้คิดถึงหน้านนขึ้นมา เพราะรูปประโยคช่างไม่ต่างจากที่ไอ้ดำตูดหมึกมันเคยใช้
ส่วนนายจุ้ยจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ผมไม่รู้ได้เพราะโดนไอ้ฟูดันหลังให้ออกมาซะก่อน แต่ผมกลับได้ยินเสียงไอ้แหนมแว่วตามหลังมา
“...ไม่เชื่อก็เรื่องของมึง แต่ถือว่ากูเตือนแล้ว อย่าให้เจ้าของมันเห็นแล้วกัน กูไม่รับประกัน!...”
“มึงนี่นะ! เฮ้อออ กูล่ะสงสารไอ้นน” ผมเหล่ตามองไอ้ฟูที่กำลังทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย แถมด้วยการส่ายหัวประกอบคำพูดด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้
ไอ้ฟูจะมาสงสารไอ้ดำตูดหมึกเรื่องอะไร คนที่น่าสงสารจนเกือบน่าสมเพชน่ะต้องเป็นผมมั้ย ที่มีแต่ผู้ชายด้วยกันเข้ามาจีบ กรณีนายจุ้ยนี่ก็ใช่ ผมไม่ได้ไร้เดียงสาซะจนไม่รู้ว่าสายตาแพรวพราวชื่นชมนั่นมันสื่อถึงอะไร
“นั่นรถบ้านไอ้นนมาแล้ว เบสมึงรีบกลับเลยไป...พวกกูจะได้หมดภาระสักที” ไอ้แหนมเดินตามมาทัน มาถึงมันก็ไล่ผมกลับ แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินนี่สิ สะกิดใจผมอย่างจัง
ผมจึงฝืนตัวไม่ยอมเดินตามแรงที่ไอ้ฟูดันหลังมาอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อหันมาเผชิญหน้ากับมันสองคน
“หมายความว่าไง...ที่มึงกับแหนมกระตือรือร้นมาเรียนคอร์สเดียวกัน เพราะนนใช่มั้ย” มันสองคนอึกอักหลบตาไม่ตอบแบบนี้ แสดงว่าสิ่งที่ผมเดามันเป็นความจริง และถึงผมจะซักไซ้พวกมันแค่ไหนคงไม่มีประโยชน์ รอจัดการไอ้ตัวดีซะทีเดียวดีกว่า ช่างคิดนักที่หาไม้กันหมามากันท่ากันแบบนี้
“เฮ้อออ เอาเถอะ กูกลับล่ะ กลับดีๆกันล่ะ”
“อะ เออ โชคดีมึง อีกสองวันเจอกันน้า” ไอ้ฟูถึงกับติดอ่างที่เห็นผมยิ้มให้แทนการเอาเรื่องเพื่อนสนิทอย่างมันที่แปรพักตร์หน้าตาเฉย ส่วนไอ้แหนมก็แค่ถอนใจยาว และยกมือโบกเบาๆพลางทำคอตกอย่างโล่งอก
ผมเห็นสองคนนี้แล้วก็นึกขำ ไม่คิดว่าพวกมันจะกลัวผมซะขนาดนี้ ผมทิ้งเพื่อนสองคนไว้ข้างหลัง ก่อนจะเดินมาขึ้นรถของบ้านชลาสินธุ์ ซึ่งเป็นอภินันทนาการมาจากลูกชายคนเล็กของเจ้าของบ้าน
ย้อนคิดถึงเมื่อสามวันก่อนที่นนจะไปฮ่องกง นนค้านหัวชนฝาที่ผมปฏิเสธความหวังดีเรื่องราชรถพร้อมคนขับ แถมยังกล้าขู่อีกว่าถ้าผมไม่ยอมตามใจ มันจะไม่ไปฮ่องกงเพื่ออยู่คอยเทียวรับส่งผมไปเรียน สุดท้ายเป็นผมเองที่ต้องยอมไอ้คนหัวดื้อ แต่เรื่องที่นนจะให้ผมไปนอนบ้านชลาสินธุ์ช่วงเจ้าตัวไม่อยู่ เป็นผมเองที่ค้านหัวชนฝา แม้พ่อพลแม่อรจะรับรู้เรื่องของเรา และยอมรับผมเป็นลูกชายคนหนึ่งของท่าน แต่จะให้ผมไปเดินลอยชายเข้านอกออกในบ้านชลาสินธุ์ ทั้งๆที่ลูกชายตัวจริงของท่านไม่อยู่ ผมก็เกรงใจเกินกว่าจะทำได้
สำคัญที่ผมไม่อยากทิ้งแม่ผกาให้อยู่คนเดียว แม้ว่าไม่ได้เป็นช่วงที่แม่แทนตัวเองว่าเป็นผีดิบที่ต้องปั่นนิยาย และต้องมีผมคอยดูแลใส่ใจเป็นพิเศษก็ตาม ซึ่งข้อนี้นนเองก็ต้องยอมผม ทำให้สามวันที่ผ่านมามีรถจากบ้านชลาสินธุ์มารับผมในช่วงเช้า เพื่อพามาส่งที่สถาบันกวดวิชา และมารับในช่วงเที่ยงเพื่อพาผมกลับบ้าน ทำให้ผมโดนแม่ผกาแซวจนได้ ว่ากลายเป็นคุณชายภูธิปแห่งวังชลาสินธุ์ไปแล้ว
คิดถึงเจ้าของวังอยู่ไม่ทันไร เจ้าของวังตัวจริงก็มาปรากฏกายที่บ้านพาให้ผมประหลาดใจ เมื่อผมเดินเข้ามาถึงตัวบ้าน จึงได้เห็นว่าแม่อรกำลังนั่งคุยกับแม่ผกา ที่สวนข้างบ้านใต้ต้นชมพู่ต้นใหญ่ ผมจึงรีบสาวเท้าเข้าหาท่านทั้งคู่ จนได้ยินเสียงหัวเราะกังวานใสดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาผมถึงกลับกลั้นยิ้มไม่อยู่
“สวัสดีครับแม่อร แม่ครับสวัสดีครับ” หลังจากผมยกมือไหว้คุณแม่ทั้งสองแล้ว ผมก็ถูกแม่อรดึงตัวเข้าไปสวมกอด
“แม่คิดถึงน้องเบสจังเลยครับ...[ฟอดดด]...อรล่ะน้อยใจค่ะคุณผกา เจ้านนไม่อยู่ ลูกๆก็ไม่มีใครอยู่สักคน อรเองก็เหงา เบสก็ไม่ไปหาอรเลย จนอรต้องตามมาขโมยกอดขโมยหอมลูกชายคุณผกาอยู่แบบนี้น่ะค่ะ”
หลังจากผมโดนขโมยหอมแก้มจากแม่อรไปฟอดใหญ่ ผมก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทัน เมื่อได้ยินประโยคน้อยใจแกมต่อว่าของท่านเข้า พาเอารู้สึกผิดเต็มหัวใจ แต่ผมไม่ทันมองหรอกครับว่าแม่อรจะทำสีหน้าแบบไหน ด้วยไม่กล้าและไม่อยากเห็นแววตาผิดหวังของท่าน ก่อนผมจะพนมมือไหว้ขอโทษแม่อรที่ไหล่บอบบาง แม่อรเองก็รวบกอดผมไว้จนเต็มอ้อมแขน แม้ความรู้สึกผิดในใจยังคงอยู่ แต่ก็ถูกเจือจางด้วยกระแสความอบอุ่นอ่อนโยนของแม่อรไปได้บ้าง
“เบสครับ ไม่ต้องขอโทษหรอกลูก แม่ล้อเล่น ดูสิ หน้าเสียหมดหล่อแล้วลูกชายแม่ คิกๆ” ผมเบาใจไปได้เยอะเชียวครับ ที่ได้ยินประโยคนี้ของแม่อร แถมเสียงหัวเราะพลิ้วหวานของท่านก็ทำเอาผมยิ้มออก ก่อนจะหันไปหาแม่ผกาที่ก็ระบายยิ้มหวานหันมาทางผมพอดี
“คุณผกาเก่งจังนะคะ ที่เลี้ยงน้องเบสมาเป็นเด็กดีได้ขนาดนี้ เจ้านนโชคดีมากที่ได้เบสมาเป็นแฟน”
“คิกๆ คุณอรก็ชมเกินไปค่ะ ตาเบสเองก็โชคดีค่ะที่เจอกับน้องนน เด็กอะไรไม่รู้เป็นสุภาพบุรุษมาก คอยตามเอาใจตามดูแลทั้งผกาทั้งเบสอย่างดีเชียวค่ะ ไม่ให้รักได้ยังไง จริงมั้ยลูก ฮิๆ” ไม่ใช่แค่แม่ผกานะครับที่หัวเราะเสียงใส พร้อมจ้องรอคำตอบจากผมด้วยแววตาระยิบระยับมีความสุข เพราะแม่อรเองก็มีกิริยาไม่ต่างกัน
ส่วนผมที่โดนกดดันก็ได้แต่นั่งก้มหน้าหลบตาคนสวยทั้งคู่ ด้วยแก้มที่ร้อนผ่าว ใครจะกล้ายอมรับว่ารักลูกชายต่อหน้าแม่เจ้าตัวและแม่ตัวเองกันครับ สุดท้ายผมก็ไม่ได้ตอบ เพราะหาทางเลี่ยงด้วยการขอตัวมาเก็บสัมภาระ ซึ่งแม่ๆเองก็ไม่ได้จริงจังกับคำตอบของผมอยู่แล้ว จึงยอมปล่อยตัวผมออกมาอย่างง่ายดาย ถึงแม้ผมจะไม่ตอบแต่ท่านทั้งคู่คงรู้คำตอบดีแก่ใจอยู่แล้วล่ะครับ ถ้าไม่รักผมคงไม่ยอมให้ผู้ชายด้วยกัน ตามติดเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบที่ผ่านมาหรอก
เมื่อผมเก็บของและเข้าห้องน้ำล้างหน้าตาให้สดชื่นดีแล้ว ผมก็ลงมาที่ครัวด้วยตั้งใจทำมื้อกลางวันง่ายๆ ก่อนจะตกลงใจทำราดหน้าเส้นใหญ่หมูหมัก ด้วยมีวัตถุดิบครบถ้วนอยู่แล้ว ใช้เวลาไม่นานผมก็ได้ราดหน้าสำหรับสี่คน รวมน้าตุ๊คนขับรถที่คอยรับส่งผมตลอดสามวันนี้ด้วย
เมื่อทุกอย่างพร้อมผมก็ไปตามแม่อรกับแม่ผกา ที่ยังนั่งคุยอย่างออกรสเข้ามาทานในบ้าน ก่อนจะตามน้าตุ๊ให้มาทานด้วยกัน แต่น้าเค้าเลือกที่จะขอทานคนเดียวยังโต๊ะที่แม่ๆเพิ่งลุกไป ผมเข้าใจดีจึงเดินกลับเข้ามาในบ้าน เพื่อยกทั้งจานราดหน้าและน้ำดื่มไปให้
ราดหน้าฝีมือผมหมดเกลี้ยง แถมคนทานยังชมไม่ขาดปากอีกด้วย โดยเฉพาะแม่อรถึงกลับขอให้ผมไปทำให้ทานที่บ้านชลาสินธุ์อีกครั้ง เพื่อให้พ่อพลและพี่ๆได้ลองทานบ้าง แถมยังจัดการนัดวันเสร็จสรรพ ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับพี่ๆและนนเดินทางกลับถึงไทยด้วย และท่านยังเชิญกึ่งบังคับ ให้แม่ผกาพาคุณอาวิสุทธิ์ไปร่วมปาร์ตี้ราดหน้าที่บ้านชลาสินธุ์อีกต่างหาก งานนี้แม่ผกาจึงได้แต่ตอบตกลงด้วยความยินดี
ผมปล่อยให้ท่านทั้งคู่คุยกันเรื่องนิยายเรื่องใหม่ ที่แม่ผกากำลังตีพิมพ์กับนิตยสารรายปักษ์เจ้าประจำกันต่อ ผมได้ยินว่าแม่อรอยากรู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร เพราะตอนล่าสุดแม่ผกาทิ้งท้ายไว้ได้ชวนติดตามมาก แต่ท่านนักเขียนใหญ่ของเรากลับทำเพียงหัวเราะอย่างมีเลศนัย จนแฟนคลับเบอร์หนึ่งของคุณพวงชมพูถึงกลับโอดโอย ผมก็ได้แต่กลั้นขำ ก่อนจะหาชมพู่ในตู้เย็นมาผ่าแบ่งเป็นชิ้นๆ และนำไปเสิร์ฟให้สองสาวสุดสวย ก่อนที่ผมจะหันไปเก็บล้างพร้อมฟังนักเขียนและแฟนนิยายเค้าคุยกัน
หลังจากนั้นไม่นานแม่อรก็ขอตัวกลับบ้าน แต่ก่อนท่านขึ้นรถ ผมที่กำลังกระพุ่มมือไหว้ลาท่านนั้น กลับโดนรวบตัวเข้าไปกอด พร้อมเสียแก้มให้ท่านไปสองฟอดใหญ่ ก่อนท่านจะย้ำไม่ให้ผมเกรงใจเรื่องรถจากบ้านชลาสินธุ์ และย้ำเรื่องนัดปาร์ตี้ราดหน้าแถมมาด้วย ผมก็ได้แต่ขอบคุณด้วยรู้สึกตื้นตันกับความรักความเอ็นดูที่แม่อรมีให้ เมื่อรถบ้านชลาสินธุ์ลับตาไปแล้ว แม่ผกาที่ยืนยิ้มไม่หุบตลอดเวลาที่เรามาส่งแม่อรขึ้นรถนั้นก็พูดขึ้นมา
“เบสโชคดีมากนะลูก ที่คนทางบ้านชลาสินธุ์ให้ความรักความเอ็นดูขนาดนี้ ในอนาคตไม่ว่าเบสกับนนจะเป็นยังไง แต่อย่าลืมเด็ดขาดว่าคนบ้านนั้นดีกับเบสขนาดไหน ความกตัญญูและรู้คุณคนเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ ที่เบสต้องปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณนะลูก” แม่อรไม่ได้ให้ความรักผมอย่างเดียว แต่ท่านสั่งสอนให้ผมได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตด้วย
“ครับแม่ เบสจะจำสิ่งที่แม่สอน...เบสรักแม่นะครับ” ผมสวมกอดผู้หญิงที่รักผมที่สุดในโลกไว้แน่น
ส่วนแม่เองก็กระชับกอดผมไม่ต่างกัน ก่อนผมจะรู้สึกถึงสัมผัสของฝ่ามือที่แสนอ่อนโยนลูบไปมาทั่วทั้งแผ่นหลัง พาลให้หัวตาร้อนผ่าว แต่มุมปากกับยกยิ้มได้อย่างไม่ต้องฝืนใจสักนิด ด้วยสัมผัสได้ถึงความรักที่แม่ส่งผ่านมาให้โดยที่ไม่ต้องมีคำรักให้ได้ยิน เราสองคนแม่ลูกยืนกอดกันหน้ารั้วไม่นานนัก ก่อนผมจะจูงมือแม่เข้าบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว แม่ผกาก็ขอตัวไปเอนหลังบนห้อง ส่วนผมเลือกที่จะนั่งทบทวนบทเรียนอยู่บนพื้นหน้าทีวีชั้นล่าง
ผมอยากทุ่มเทให้กับการสอบครั้งนี้ให้มากที่สุด เพราะทั้งมหาวิทยาลัยและคณะที่ผมตั้งใจเลือกนั้น ต้องใช้คะแนนที่ค่อนข้างสูง ด้วยผมอยากเรียนสถาปัตย์ในรั้วจามจุรีนั่นเอง เรื่องนี้นนเองก็รู้ความตั้งใจของผม ทำให้ช่วงนี้ไอ้ดำตูดหมึกทำตัวน่ารักเป็นพิเศษ นอกจากคอยดูแลผมตอนอ่านหนังสืออย่างดีแล้ว ยังไม่มีมากวนยามพักผ่อนให้ผมต้องเหนื่อยกายเพิ่มขึ้นเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไอ้ตัวดีมันหื่นน้อยซะที่ไหน เอะอะเป็นอันจับผมกดได้ตลอด
นี่ถ้าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ฮ่องกง ก็คงป้วนเปี้ยนไม่ห่างตัวผมหรอก ชักคิดถึงไอ้ดำตูดหมึกแล้วสิครับ ไม่รู้บ่ายๆแบบนี้ยังต้องเดินตามท่าเรือท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ เหมือนสามวันที่ผ่านมารึเปล่า จากที่คล้ำอยู่แล้วกลับมาคงไม่ดำเป็นตอตะโกนะครับ ฮึๆ
“Rrr Rrr Rrr…สงสัยจะรู้ว่าเราคิดถึง ฮึๆ” คงไม่ต้องบอกนะครับว่าใครคือคนที่ผมคิดถึง
ผมกดรับสายที่โทรเข้ามาแบบรู้จังหวะ ตามมาด้วยเสียงออดๆอ้อนมาตามสายทันที ซึ่งคำแรกที่ผมได้ยินก็เป็นคำเดียวกับที่ผมรู้สึกกับเจ้าตัวยามนี้
“คิดถึง~ นนคิดถึงเบสจังเลย อยากกอดอยากหอมจะแย่แล้ว พรุ่งนี้บินมาให้นนกอดเถอะน้าๆๆๆ” เสียงทอดยาวท้ายประโยคที่ดังมาตามสาย ทำให้ผมถึงกลับกระตุกยิ้ม จนเกือบเผลอหลุดเสียงหัวเราะออกไป
“พูดเล่นอยู่ได้นะนน แล้ววันนี้เป็นไงบ้างครับ พี่ชนะพาไปดูงานที่ท่าเรืออีกรึเปล่า” ต้องรีบถามเรื่องงานครับ ขืนปล่อยให้ไอ้ตัวดีอ้อนต่อ มีหวังผมเองนี่แหละจะใจอ่อน ยอมบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปหามันถึงฮ่องกง ด้วยลูกอ้อนของไอ้ดำตูดหมึกไม่เคยธรรมดาสักที
“นนไม่ได้พูดเล่นนะครับ ถ้าเบสยอม นนยอมควักเงินตัวเองออกตั๋วให้เบสบินมาเลยล่ะ เอามั้ย!?” ดูเหมือนไอ้ดำตูดหมึกจะไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องง่ายๆ น้ำเสียงที่ใช้ก็ฟังดูจริงจัง
ผมคิดผิดที่ไหนว่าลูกอ้อนของนนน่ะไม่ธรรมดา จนผมต้องปฏิเสธออกไปตรงๆนั่นแหละ เจ้าตัวถึงจะเลิกตื๊อ และยอมตอบคำถามของผมจนได้ ว่าวันนี้ไม่ได้ไปดูงานที่ท่าเรือของตระกูลหยางเหมือนเคย แต่ตามพี่ๆไปพบลูกค้าที่ทางหยางหลงเหยียนแนะนำให้ ซึ่งจะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะตระกูลหยางที่นนกับพี่ๆไปศึกษาดูงาน ซึ่งในอนาคตมีแผนว่าจะทำธุรกิจร่วมกับชลาสินธุ์นั้น ผู้ที่เป็นนายใหญ่คุมบังเหียนแห่งหยางหลงเหยียน คืออาเขยของน้องธันว์เอง
นนเองก็เพิ่งรู้เมื่อไปถึงที่นั่น และได้เจอคนที่นนเรียกว่า ‘อาตี้หลง’ ซึ่งคุณอาเองก็จำนนได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของหลานชายคนรัก แม้จะเคยเห็นหน้านนไม่กี่ครั้งก็ตาม ทำให้การดูงานของพนักงานชลาสินธุ์ที่ท่าเรือตระกูลหยาง ได้รับความสะดวกและได้เรียนรู้มากมาย พร้อมช่องทางธุรกิจอันสดใสที่สองบริษัทจะทำร่วมกันอีกด้วย
ผมยังจำน้ำเสียงตื่นเต้นของนนเมื่อวันแรกที่นนไปฮ่องกง และโทรกลับมาเล่าให้ผมฟังได้ดี ว่าไอ้ตัวดีตื่นเต้นขนาดไหนที่เจออาตี้หลง แถมด้วยการที่พี่ๆกับนนได้รับเชิญไปทานอาหารที่คฤหาสน์หยาง จากอาเจ็กธัชคุณอาแท้ๆของน้องธันว์ที่คงรู้ข่าวจากคนรัก
วันนั้นทำให้ผมรู้ว่านอกจากอาเจ็กธัช ที่เป็นลูกชายคนรองของครอบครัวธนอรรถย์ได้ใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายด้วยกัน ยังมีอาเจ็กธีที่เป็นลูกชายคนที่สามอีกคนที่มีคนรักเป็นผู้ชาย และเป็นถึงผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในกรุงเทพอีกคนด้วย ซึ่งความรักของคุณอาทั้งคู่ก็ยืนยาวและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขมาจนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่ได้รู้เท่ากับเป็นการเปิดมุมมองความรักของผม ทำให้รู้ว่าความรักของชายกับชายนั้น มั่นคงจริงจังและมีความสุขได้ไม่แพ้ความรักระหว่างชายหญิงตามวิถีธรรมชาติเลยเชียวล่ะ สำหรับผมจึงมีความมั่นใจเพิ่มยิ่งขึ้นกับความรักที่ผมมี ว่าผมกับนนเราจะจับมือกันและเดินไปด้วยกันตามเส้นทางรักที่เราต่างได้เลือกแล้ว
“งั้นตามใจเบส แต่ไม่ใช่เพราะเบสเบื่อนนใช่มั้ย นนห้ามเลยนะ! ห้ามเบื่อ ห้ามเลิกรัก ที่สำคัญห้ามเห็นใครดีกว่านน...โดยเฉพาะไอ้ตี๋หิตนั่น!” จากที่ขำๆไอ้คนขี้หวงแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ
ผมถึงกลับสะดุ้งกับสรรพนามสุดท้ายที่นนใช้ อย่างคำว่า ‘ตี๋หิต’ อย่าได้ผวน เพราะเดี๋ยวจะสะดุ้งอย่างผมซะก่อน แต่อะไรก็ไม่เท่าความสงสัยของผมว่านนพูดถึงใคร
“เฮ้อออ ได้ยินเบสถามว่าพูดถึงใครแบบนี้ นนก็เบาใจได้หน่อยว่าเบสไม่ได้สนใจไอ้ตี๋นั่น ช่างมันเถอะเบส...วันนี้นนตามพี่ชนะพี่กานต์ไปติดต่อลูกค้าที่หยางหลงเหยียนแนะนำให้น่ะ เลยไม่ได้ไปที่ท่าเรือ เอ่อ เบสอยากได้อะไรมั้ย วันนี้พี่อ๋อมแอ๋มจะบินมา พี่กานต์ก็ว่าจะพานนกับพี่อ๋อมแอ๋มไปช้อปปิ้งอ่ะ”
ถ้าไอ้ดำตูดหมึกตั้งใจเบี่ยงเบนความสนใจของผมจากไอ้ตี๋หิต ที่มันเรียกอย่างประชดประชันนั่น ไปเป็นการตอบคำถามของผมที่ผมถามไว้ แถมยังลากเอาพี่อ๋อมแอ๋มและพี่กานต์เข้ามาในประโยคอีก ขอบอกเลยว่าผมยอมหลงกลอย่างเต็มใจ ยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่ไอ้ตัวดีตั้งใจก็ได้ แต่ในใจนี่ผมมาดหมายไว้แล้วว่าถ้าเจอไอ้แหนมหรือไอ้ฟูเมื่อไหร่ คงต้องมีเคลียร์เรื่องตี๋หิต
ผมไม่ได้บื้อนะครับ รู้หรอกว่านนต้องระแคะระคายเรื่องนายจุ้ยมาจากหนึ่งในสองนี่แหละ แต่ที่ผมไม่ต่อความยาวซักไซ้เอาเรื่องกับนน เพราะไอ้ตัวดีมันยังรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ แค่มันหลอกถามผมและเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้อะไรกับนายจุ้ย นนก็รู้จักที่จะไม่เอามาเป็นประเด็นระหว่างเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนขี้หึงอย่างนน ไอ้ดำตูดหมึกของผมพัฒนาตัวเองขึ้นแล้วจริงๆ ก็ถ้าขืนทำตัวงี่เง่าหึงด่ะ ไอ้ตัวดีคงไม่ได้ยินประโยคบอกลาจากผม สำหรับค่ำคืนดีๆระหว่างเราอยู่แบบนี้หรอกครับ
“ฝันดีครับนน คืนนี้ขอให้ฝันถึงเบส เหมือนอย่างที่เบสอยากจะฝันถึงนนนะ”
“เบสสสสส~” และนั่นคือเสียงสุดท้ายของค่ำคืนที่ผมได้ยินจากนน
ไม่ว่าโทรศัพท์จะดังขึ้นอีกกี่ครั้งผมก็ไม่กดรับ เพราะแค่ทำให้ตัวเองหายแก้มร้อน และทำให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ ผมก็ทำได้ยากยิ่งแล้ว ขืนรับสายไอ้ดำตูดหมึกอีก คืนนี้ตัวผมคงระเบิดเพราะความร้อนจากภายใน และนอนแดดิ้นอยู่บนเตียงจากความเขินอายเป็นแน่ ด้วยเชื่อว่าไอ้คนปากหวานเป็นนิจคงไม่ปล่อยให้ผมลอยนวล นนต้องพ่นคำหวานใส่ผมมากกว่าที่ผมพูดไปอย่างแน่นอน
...............................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะอมยิ้มน้อยๆกับคำลาหวานๆของสุดหล่ออยู่รึเปล่าเอ่ย

เชื่อได้เลยว่าไอ้ดำตูดหมึกคงยิ่งกว่าเพ้อ เผลอๆคลั่งใจแทบตาย
จนอยากบินกลับแล้วแน่ๆ ส่วนจุ้ยเป็นอาฟเตอร์ช็อกเบาๆให้เห็นถึง
เสน่ห์ของเบสล่ะน้า
ตอนหน้านนกลับมาแล้วค่ะ สุดหล่อน่ะตื่นเต้นกว่าใคร แต่นนดัน
ไม่ได้กลับมาคนเดียวนี่สิ แต่จะพาใครมาด้วยติดตามในวันพุธนะคะ
ปล. Mooping-7 ตอนหน้าจัดให้แล้วนะคะ แต่เบ๊าเบาล่ะ ฮุๆ
Lily teddy เป็นแม่หมอรึเปล่าเนี่ย ทายแม่นค่อดๆ รู้ได้ไงอ่ะ

+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตาม
