CHAPTER 27 ...การแลกเปลี่ยน...เสียงคลื่นสาดกระทบเข้าหาฝั่งสอดประสานกับกระแสลมที่โบกพัดใบไม้ให้เสียดสีเป็นท่วงทำนองธรรมชาติ ผืนทรายสีนวลทอดยาวทั้งสองด้านจรดหินก้อนมหึมากับแหลมชันที่ยื่นออกมาคล้ายจะกักบริเวณนี้ไว้ด้วยอาณาเขต ความเป็นส่วนตัวนี้เองทำให้คนที่นอนมองท้องฟ้าไม่อาทรร้อนใจว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด แม้ว่าจะกางแขนกางขาเหยียดสุดจนหมดสภาพก็ไม่ต้องเกรงใคร ดวงตาดุจเหยี่ยวปิดสนิทแน่นยามต้องแหงนหน้าท้าแสงแดด แต่แสงแรงกล้านั้นก็ยังทะลุทะลวงผ่านเข้ามาจนคล้ายกับว่ามันสว่างจ้าไปด้วยสีแดง พร้อมกับประกายระยิบระยับที่ถูกกลั่นกรองผ่านทางร่มไม้ที่พัดไหวไปมา
ทิวามานอนรับแดดได้พักใหญ่แล้วหลังจากตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงยามเช้าในห้องสีขาวโพลน แอร์เย็นฉ่ำกับอ้อมกอดอบอุ่นทำให้เขาจำนนต่อความรู้สึกด้วยการนอนมองหน้าคนตัวโตอีกสักพัก แต่หลายนาทีพ้นผ่านก็ไม่มีทีท่าว่ารัตติกาลจะตื่นเสียทีมันทำให้เขาเมื่อยขบเกินกว่าจะนอนต่อไปได้ การไปอยู่กับลุงพรเทพทำให้ชีวิตในช่วงเช้าของเขาเปลี่ยนไป ลุงไม่ชอบคนตื่นสายดังนั้นเวลาช้าสุดที่ลุงจะอนุญาตให้ใครก็ตามที่ร่างกายแข็งแรงตื่นได้คือหกโมงครึ่ง ทิวาใช้เวลาปรับตัวเป็นเดือนๆกว่าจะเข้าที่เข้าทาง
แต่หลังจากกลับมาอยู่กับรัตติกาลได้สามวันมันทำให้รู้ว่าไม่ได้มีแค่ตัวเองที่เปลี่ยนแปลง จากคนที่เคยตื่นเช้าจนน่าโมโหกลับตื่นสายจนเขาอดแปลกใจไม่ได้ รัตติกาลทำเหมือนกับว่ากำลังนอนชดเชยเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแม้จะรู้สึกหิวหน่อยๆในตอนนี้ก็เถอะ
คิดย้อนไปแล้วก็อดขำไม่ได้กับการฟาดฟันฝีปากของเพื่อนสองคนที่เรียกว่าสนิทกับแบบสุดๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงได้มีการชกต่อยกันไปแล้วเป็นแน่ มันเป็นอีกมุมหนึ่งที่ทิวาไม่เคยคิดว่ารัตติกาลจะมี จนอดแอบคิดไม่ได้ว่าในตอนนี้เขาได้เห็นผู้ชายคนนี้ในทุกมุมที่มีแล้วหรือยัง
หลังจากง้องแง้งใส่กันอยู่นานสองนาน ท้ายที่สุดรัตติกาลก็ทำการขู่กรรโชกเอากุญแจบ้านพักจากกิตติมาได้ แม้ที่เจ้าของอิดออดแต่ก็ยอมยื่นให้โดยดี แต่ก่อนที่รัตติกาลพาเขากลับมาที่บ้านสีขาวริมทะเลอีกครั้งก็พาเขาไปเลือกซื้อของเสียยกใหญ่ ส่วนมากจะเป็นของบำรุงต่างๆนาๆเกี่ยวกับสุขภาพและผู้หญิงตั้งครรภ์ ใบหน้าคมคายยิ้มอย่างมีความสุขขณะจับมือเขาเดินไปมาพลางเลือกซื้อของไปด้วย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะบิดข้อมือออกเพราะอยู่กลางที่สาธารณะ แต่เมื่อเห็นสีหน้ามีความสุขจนล้นของคนข้างกาย ความอายมันก็เลยดูด้อยความหมายไปอย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ในเมื่อรัตติกาลไม่อายที่จะเปิดเผยให้ใครต่อใครรู้ แล้วเขาที่ได้รับความรักมากขนาดนั้นก็ควรจะยืดอกรับเสียที
รัตติกาลพาเขามาที่บ้านลุงพรเทพ แก้วกับต้นอมยิ้มเมื่อเห็นเราเดินเข้าบ้านมาด้วยกัน เขากับต้นช่วยกันขนของรวมถึงกระเช้าของฝากตะกร้าใหญ่มาวางไว้ที่ส่วนรับแขก ส่วนรัตติกาลน่ะหรือ...ทันทีที่แก้วแนะนำว่าใครคือลุงพรเทพก็แทบจะปรี่เข้าไปไหว้ แถมยังยิ้มกว้างจนตาปิด พูดอะไรบ้าๆให้คนแอบได้ยินต้องหน้าร้อน
‘ขอบคุณคุณลุงมากนะครับที่ช่วยดูแลแฟนผมอย่างดี’
แม้ลุงแกจะดูอึ้งไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็หัวเราะขำ ตบบ่าหนาของเด็กรุ่นลูกสองสามที แถมประโยคที่พูดก็ทำเอาทิวาอยากจะมุดดินหนี
‘ผัวเมียทะเลาะกันมันเรื่องปกติ คนเป็นผัวต้องใจเย็นๆ เมียงอนผัวต้องง้อจำไว้นะ’
‘ครับลุง’
ทิวาได้แต่เก็บคำถามไว้ในใจว่าอะไรที่ทำให้ลุงสามารถชี้ชัดได้ถึงตำแหน่งนั้นอย่างชัดเจน ก่อนกลับลุงเดินมาส่งที่รถลูบผมเขาเบาๆด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
‘ชีวิตคนเรามันสั้นนะลูก แต่ความสุขกลับสั้นยิ่งกว่า รักษามันไว้ให้ดี’
เขายิ้มรับกับคำสอนนั้น ทิวารู้เสมอว่ามันเป็นความจริง ชั่วชีวิตที่แสนสั้นของสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ ความสุขกับความทุกข์มันคงมีปะปนพอๆกัน แต่คนเรากลับจดจำความทุกข์ได้อย่างแม่นยำทั้งๆที่ควรจะลืม ความสุขเลยกลายเป็นช่วงเวลาหายากอันน้อยนิดที่เรากลับไม่พยายามรักษาไว้
ตัวเขาที่เคยโยนความสุขทิ้งไป...จะไม่มีอีกแล้ว
“ทำไมมานอนตรงนี้”
เสียงคุ้นเคยทำให้ทิวายิ้มออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องลืมตามอง แต่ครั้นจะลืมตาขึ้นมาจริงๆกลับแสบตาจนภาพพร่าเลือน ร่างโปร่งขยับตัวลุกขึ้นแต่กลับเซจนคนทักต้องช่วยประคอง
“เหมือนจะหน้ามืด”
“ก็เพราะมานอนตากแดดอย่างนี้ไง” รัตติกาลช่วยฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้นยืน มือหนาตบไปตามด้านหลังจนทั่วเพื่อปัดเศษทรายออกให้มากที่สุด “เลอะไปหมด ถ้าอยากจะนอนก็ควรหาผ้ามาปูด้วยสิ ผมก็เปรอะด้วย เดี๋ยวไปอาบน้ำสระผมเลยนะ”
“อย่าบ่นสิ ผมเหมือนจะเป็นลมอยู่นะ”
“คุณนี่...” รัตติกาลถอนหายใจใส่เขาพร้อมกับช่วยประคองเดินขึ้นทางลาดไปจนถึงบ้านพักก่อนจะอาสาไปซื้ออาหารเช้าในระหว่างที่เขาอาบน้ำล้างเม็ดทรายจำนวนมากออกจากร่างกาย ร่องรอยดูดดึงกระจายตามเนื้อตัวอย่างกับคนเป็นโรคประหลาด เมื่อก่อนนั้นคล้ายจะทำไปเพราะแรงอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่น แต่หลายวันที่ผ่านมานี้ เขากลับรู้สึกว่ารัตติกาลชื่นชอบที่จะมีรอบจูบนี้ตราติดบนตัวเขาเสียมากกว่า ยังดีให้ผู้ชายคนนั้นพอมีสำนึกถึงการใช้ชีวิต รอยน่าอายเหล่านั้นถึงได้ถูกซุกซ่อนในร่มผ้า
ร่างโปร่งเดินออกมาด้วยชุดคลุมอาบน้ำร่างกายมันเฉื่อยชาเกินกว่าจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเส้นผมที่เปียกแฉะ พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นให้ต้องเดินไปหยิบรับ ทิวายิ้มเล็กน้อยกับชื่อที่แสดงบนหน้าจอ
“ครับพี่หนึ่ง”
//เป็นยังไงบ้างสบายดีไหม//
“ดีครับพี่ ตอนนี้ผมอยู่เพชรบุรี” ทิวาเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปรับอากาศบริสุทธิ์ ร่างโปร่งลงนั่งบนโซฟาสีขาวที่หันหน้าออกไปทางทะเลรับลมโชยอ่อนๆที่ผ่านเข้ามาทางบานกระจกสูงที่เปิดอ้าออก พิงแผ่นหลังกับพนักอย่างสบายใจ
//ไปกับคุณรัตติกาลเหรอ//
“ครับ”
//พี่ก็แค่โทรมาถามข่าวคราว มีความสุขก็ดีแล้วทิว//
เสียงเอกสิทธิ์ฟังดูอบอุ่นเหมือนทุกครั้งที่เคยได้ยิน แม้ว่าเรื่องที่เกิดมันจะทำให้เขาแทบไม่เหลือใคร แต่เอกสิทธิ์ก็ยังเป็นคนหนึ่งที่ยืนข้างเขาเสมอมา จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าการพูดคุยกับบิดาครั้งสุดท้ายทำให้เขาร้องไห้ไปมากแค่ไหน แต่มันทำให้เขาสงสัยขึ้นมาว่าตัวเองเคยถูกรักบ้างหรือไม่...
เขาเข้าใจสิ่งที่แม่ของรัตติกาลทำลงไป มันเต็มไปด้วยความรักและความกังวล เป็นสิ่งที่เข้าใจได้หากว่าแม่ที่มีลูกเพียงคนเดียวจะทำ แต่สิ่งที่พ่อพูดกับเขานั้น...เขาคงไม่ต่างอะไรจากตัวน่ารังเกียจ
“พ่อเป็นยังไงบ้างครับพี่หนึ่ง” แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อ เป็นคนที่คอยจุลเจือ เป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง
//ก็ยังเหมือนเดิม เขามีคนดูแลเยอะแยะ// น้ำเสียงที่พูดถึงฟังดูห่างเหินจนคนฟังใจหาย เขาพอรู้จากจัญญาว่าเอกสิทธิ์ทะเลาะกับบิดาด้วยเรื่องเขา สาเหตุคงมาจากสายสุดท้ายนั้นที่เอกสิทธิ์เป็นคนโทรให้
“พี่หนึ่งอย่าโกรธพ่อเลยครับ ผมไม่มีค่าอะไรขนาดนั้นหรอก”
//พี่โมโหเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่พ่อสมควรจะพูดกับลูกแบบนั้น แล้วทำไมถึงได้คิดว่าตัวเองไม่มีค่าอะไร!// ไม่ยากเลยที่จะยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตากำลังรื้นอยู่
“ผมแค่ไม่อยากให้ตัวเองเป็นต้นเหตุทำพี่กับพ่อทะเลาะกัน ผมเดินจากมาแล้วครับ ผมไม่คิดอะไรอีกแล้ว”
//อย่าห่วงเรื่องทางนี้เลย//
“มันทำได้เสียที่ไหนล่ะครับ”
//หึ...แค่นี้แหละ พี่ต้องทำงานก่อนแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะ// ปลายสายตัดไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความกังวลของคนฟังลดลงไปได้เลย
ทิวาถอนหายใจแรงๆ อย่างคนเหนื่อยอ่อน และในวินาทีนั้นเองก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ท่อนแขนแข็งแรงโอบรัดรอบคอจนอึดอัดพร้อมกับริมฝีปากนุ่มที่ประทับลงมาที่ข้างแก้ม ทิวาสะดุ้งตกใจกับความกะทันหัน ใบหน้าสวยหันสบคนที่อ้างว่าออกไปซื้ออาหารเช้าแต่กลับมาเร็วกว่าที่คาด
“ทำไมกลับมาเร็ว” คิ้วเรียวเข้มขมวดตามความเคยชินเวลาเกิดความข้องใจ ทิวาไม่ได้เป็นคนอาบน้ำนานอะไรมากมาย เขาแค่เข้าไปล้างเนื้อล้างตัวจากเศษทรายก็เท่านั้น
“ผมลืมกระเป๋าเงิน” รัตติกาลสารภาพเสียงเรียบก่อนที่วงแขนจะคลายออก เพื่อที่เจ้าของมันจะได้เดินอ้อมลงมานั่งเคียงข้าง คนตัวใหญ่ทิ้งแผ่นหลังลงกับพนักนิ่ม สายตาคมเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลกว้าง ฝ่ามืออุ่นคลำหาไออุ่นดุจเดียวกันจนเจอ
“ผมหิว” แม้จะรู้สึกผิดสังเกตแต่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องบอก รัตติกาลหันมายิ้มให้เขาแถมยังเอามือมาลูบหน้าท้องเขาไปมาหยอกล้อเสียอีก
“อยากให้คุยกันก่อน เรื่องของคุณ”
“ทำไม...”
“เพราะเรื่องของผมทุกอย่างมันเปิดทางให้เรื่องของเราแล้ว”
“................”
“ผมก็เลยอยากรู้ว่าเรื่องของคุณจะเป็นอย่างไร ครอบครัวคุณ พ่อของคุณ”
“ไว้ก่อนสิ ผมหิวจริงๆนะ”
“ทิว...บอกพี่เดียวสิครับ” คำพูดกึ่งสั่งกึ่งหยอกเล่นเอาคนได้ยินอ้าปากค้าง มันสะดุดหูตรงที่คนเอาแต่ใจเรียกตัวเองว่าพี่เนี่ยแหละ รู้อยู่หรอกว่าอายุมากกว่า แต่คนฟังกลับรู้สึกจั๊กเดียมพิกล หากสายตาที่จ้องมากลับไม่ได้ดูจะล้อเล่นอย่างน้ำเสียง และคนที่อยู่ด้วยกันมาอย่างทิวารู้ดีว่า ถ้าไม่ได้อย่างที่ต้องการ...รัตติกาลคงไม่ยอมจบง่ายๆ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า เขาอยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนของเรา” คำชี้แจงถูกพ่นออกมาพร้อมๆกับเสียงถอนหายใจ และหวังจะจบการสนทนาด้วยการลุกเดินออกไป หึ ถ้าเป็นคนอื่นน่ะนะ แต่ผู้ชายคนนี้ที่ชื่อรัตติกาลไม่ยอมจบง่ายๆด้วยคำตอบแบบปล่อยผ่านแบบนี้
“เรื่องคุณกับพ่อ...ให้ผมรับรู้ด้วยคนเถอะนะ”
ทิวาถอนหายใจแรงๆ นี่สินะคือเหตุผลของการเอาแต่ใจครั้งนี้ เพราะมาทันได้ยินเขาคุยโทรศัพท์ถึงได้ต้องมานั่งหาคำตอบทั้งที่เขากำลังหิวข้าว และดูท่าจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆจนกว่าจะได้คำตอบที่เป็นจริงเป็นจังเสียด้วย แต่เขาก็ได้เลือกไปแล้ว เลือกที่จะมีรัตติกาลเคียงข้าง ผู้ชายคนนี้ก็คงต้องรับรู้ถึงครอบครัวของเขาบ้างสินะ เขาตัดใจ ถอนหายใจแรงๆครั้งสุดท้ายเพื่อปลดความกดดันในใจ ทิวาพิงร่างแข็งแกร่ง วางศีรษะซบกับไหล่หนา คว้าฝ่ามือใหญ่มาจับเล่นบนหน้าตัก
“สำหรับผม...คำว่าครอบครัวมันไม่ได้อบอุ่นเหมือนที่คุณมีหรอกนะ”
“..........”
“ผมไม่รู้ว่าแม่หน้าตาเป็นยังไง เท่าที่จำความได้ผมก็โตมากับยายที่มีร้านขายข้าวแกงเล็กๆ ทำงานทุกอย่างเพื่อช่วยยายในขณะที่คนอื่นๆนั่งกินนอนกินกันแสนสบาย ไม่มีใครพูดถึงแม่ให้ผมได้ยิน ยายก็แค่ยิ้มเมื่อผมถาม... ผมเจอพ่อนานๆครั้ง และทุกครั้งพ่อก็จะมีเสื้อผ้าใหม่มาให้ มีของเล่นที่เด็กคนอื่นในบ้านอิจฉาติดมือมาบางครั้ง แต่พ่อไม่เคยอยู่สักครั้งในช่วงเวลาที่ผมต้องการ อย่างเวลาที่เด็กคนอื่นมีพ่อไปพบครูที่โรงเรียน จับมือกันไปเที่ยวในวันพ่อ หรือวันที่ยายเสีย”
รัตติกาลบีบมือเขาแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อยๆ แต่เขากลับส่งยิ้มให้แทนคำขอบคุณ เพราะมันอบอุ่นเหลือเกิน
“จนวันที่พ่อพาผมมาอยู่ที่บ้าน ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองเป็นลูกชู้ เป็นผลพวงที่ทำให้ครอบครัวของพ่อต้องแตกแยก ผมได้รู้ว่าแม่เป็นผู้หญิงไม่ดี เป็นคนชอบแย่งสามีชาวบ้านจากปากคนอื่น แล้วผมก็ได้รู้เหตุผลว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่ผมต้องเป็นฝ่ายรอพ่อ ต้องผิดหวังหลายๆครั้งที่พ่อไม่มาหาตามที่บอก...ที่พ่อกับผมไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะผมเป็นแค่ลูกชู้ที่ไม่มีค่าอะไร”
รัตติกาลปล่อยมือที่จับออก เปลี่ยนเป็นอ้อมกอดที่แทบจะฝังเขาเข้าไปในอก มันอุ่นจนร้อน ผู้ชายคนนี้คงกำลังคิดว่าเขาเศร้ามากมาย แต่เวลาที่ผ่านพ้นมาเป็นสิบๆปี ความด้านชามันก็ช่วยให้น้ำตามันไม่ไหลออกมาอีกเมื่อต้องนึกถึง
“ผมแค่พยายามเจียมตัว หลบอยู่ในมุมแคบๆที่ตัวเองตีกรอบขึ้นมา ไม่เถียง ไม่โวยวาย ผมแค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆโดยมีคำว่าคำแดกดันให้ได้ยินอยู่เสมอ หึ คุณก็คงพอรู้ว่ามาจากใคร... แต่เนื้อแท้แล้ว สองเป็นเด็กดี เวลาที่อยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม สองเป็นเด็กร่าเริง ยิ้มง่าย คุยสนุก พ่อรักสองเอามากๆถ้าดูจากที่ผมเห็น แต่เพราะสองผิดหวังที่พ่อทำแม่ใหญ่เสียใจมันก็เลยเกิดเป็นปมในใจจนยากจะไปถอน ส่วนแม่ใหญ่ท่านเป็นคนที่ใจกว้างที่สุดที่ผมเคยรู้จัก จะมีใครสักกี่คนที่แอบไปร้องไห้เงียบๆเวลาเห็นหน้าผม จะมีใครที่ยอมรับลูกของผู้หญิงคนอื่นให้ร่วมชายคาบ้านแถมยังให้ความสะดวกสบายไม่แพ้ลูกแท้ๆของตัวเอง
“พี่หนึ่งคือคนที่ทำให้ผมรู้จักด้านดีๆของคำว่าครอบครัว ผมไม่รู้ว่าพี่หนึ่งรู้สึกยังไงกับตัวตนของผม ผมไม่กล้าถามและไม่กล้าที่จะฟังคำตอบ พี่หนึ่งออกโรงปกป้องผมทุกครั้งที่ได้ยินคำแดกดันจากสอง คอยถามเรื่องการเรียน คอยห่วงเรื่องสุขภาพ ผมผ่านพ้นความคิดแย่ๆมาได้หลายครั้งก็เพราะพี่หนึ่ง
“ผมเข้าใจสถานะของพ่อนะ พ่อไม่อยากให้สองกับพี่หนึ่งรู้สึกแย่ถ้าจะต้องรักผมเทียบเท่ากัน คงไม่อยากให้แม่ใหญ่รู้สึกไม่ดีถ้าจะดูแลผมมากจนเกินไป แต่อย่างน้อยๆเขาก็ยังยอมรับผม ยังเห็นผมเป็นลูก...ผมรักเขานะเดียว เพราะที่สุดแล้วเขาก็เป็นพ่อผม”
“................”
“เพียงแต่ว่าเรื่องของเรามันคงจะทำให้พ่อรับไม่ได้ และผมก็ไม่หวังว่าเขาจะรักผมจนยอมทุกอย่างได้อย่างที่แม่คุณทำหรอกนะ”
“..............”
“และถ้าผมไม่จุ้นจ้านจนเกินไป ผมก็อยากจะบอกในสิ่งที่คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าแม่คุณรักคุณมากแค่ไหน ผมไม่รู้ว่าเวลาที่เราห่างกันคุณเป็นยังไง แต่ทุกครั้งที่แม่คุณมาหาผมท่านมีสีหน้าทุกข์ใจอยู่เสมอ ท่านรักคุณมากจริงๆนะ ต่อให้วันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าทำให้แม่ต้องร้องไห้อีก ไม่อย่างนั้นคุณจะเป็นลูกที่แย่ที่สุดในสายตาผม”
จะไม่ให้เขารักผู้ชายคนนี้ได้ยังไง...มีเหตุผลข้อไหนที่เขาไม่สมควรรักผู้ชายคนนี้...รัตติกาลไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จะต้องพูดคำไหนเพื่อที่จะบอกให้ทิวาได้เชื่อว่าเขารักเหลือเกิน ต่อให้ทิวาจะไม่เหลือใคร แต่เขาก็ยังอยู่ข้างๆไม่ไปไหน แต่ความหลังที่ผ่านทำให้ทิวาดูจะไม่ตั้งความหวังใดใดเลยกับสิ่งดูจะเหมือนควันยากจะจับต้องอย่างอนาคต เขาได้แต่สัญญากับตัวเองพร้อมๆกับวงแขนที่ยังโอบกอดทิวาอยู่นี้
เขาจะเป็นครอบครัวให้ทิวา...ให้ดียิ่งกว่าที่คนๆนี้เคยมี
“ผมรักคุณ...รู้ใช่ไหม”
รัตติกาลดันร่างบอบบางกว่าออกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มองศาให้ริมฝีปากได้ฉกชิมความหวานจากกลีบปากนุ่ม หาได้มีความรุ่มร้อนเจือปนหากเต็มไปด้วยพิศวาสที่ก่อเกิดจนไม่อาจเหนี่ยวรั้งใจไว้ได้ ทุกร่องรอยละมุนละไมเชื่องช้า เรียวลิ้นกระหวัดเกี่ยวแลกเปลี่ยนความหวานฉ่ำ ก่อเกิดเสียงหยาบโลนที่ทำเอาหัวใจเต้นระรัว
“เป็นสุดที่รักของผม แล้วผมจะเป็นครอบครัวของคุณ” เสียงทุ้มนุ่มนวลชวนฝันพึมพำติดริมฝีปาก คำแลกเปลี่ยนที่ทำเอาคนฟังต้องแย้มยิ้มขบขัน “ไม่ได้พูดเล่นนะ มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุณจะได้รับอะไรมากมาย ลองคิดดูนะ...”
รัตติกาลหอมแก้มนุ่มเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะจัดท่านั่งให้ดูเป็นงานเป็นการมากขึ้น
“ผมจะคอยเป็นพ่อแนะนำเรื่องต่างๆให้คุณ จะเป็นพี่เวลาที่คุณต้องการคำปรึกษา จะเป็นน้องคอยเอาแต่ใจให้คุณปวดหัว และจะเป็นสามีที่ยืนเคียงข้างคุณในทุกเวลาและสัญญาว่าจะเป็นสามีที่ขยันทำการบ้านทุกที่ จะขยันศึกษาเพื่อหาท่าแปลกใหม่ไม่ให้คุณ โอ๊ย!!”
“เดียว!! จริงๆเลยนะ”
เขาลูบต้นแขนตัวเองไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บ แต่พอเห็นใบหน้าขึ้นสีด้วยความเขินอายเขาก็แทบอยากจะก้มลงไปฟัดเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“เห็นไหมล่ะ ผมเป็นอะไรให้คุณได้ตั้งเยอะแยะ แค่คุณเป็นคนรักของผมเท่านั้นเอง” รัตติกาลแย้มยิ้ม “เป็นให้เดียวได้ไหมครับ”
“...ก็เป็นอยู่ไม่ใช่หรือไง”
“ถ้าอย่างนั้น...” รัตติกาลสบสายตาคนตรงหน้าอย่างหมายมั่น “ไปหาพ่อกับแม่ผมนะ ไปกราบท่านด้วยกัน”
คนเอ่ยชวนสังเกตท่าทางของคนฟังด้วยใจลุ้นระทึก สีหน้าของทิวามีเค้ายุ่งยากใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นและมันคลายออกเมื่อสบตาเขา จมูกโด่งพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้มเล็กน้อย มันเต็มไปด้วยความกังวลและไม่สบายใจจนคนมองต้องโอบกอดร่างนั้นเอาไว้อีกครั้ง ครานี้มีมือบางแปะป่ายแผ่นหลังเขาไม่ต่างกัน ออกแรงตบเบาๆราวกับว่าเขาเป็นฝ่ายที่คิดมากเสียเอง
“ผมจะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว ผมรักคุณ...รู้ไว้นะ”
รัตติกาลซุกใบหน้าลงกับซอกคอที่ยังหอมกลิ่นสบู่ จูบซับไปตามผิวเนื้อเนียนเพื่อให้สัมผัสแทนคำตอบรับ ร่างหนาค่อยดันร่างอีกฝ่ายลงกับเบาะโซฟานุ่ม ฝ่ามือไล้ไปตามผิวเนื้อภายใต้ชุดคลุมอาบน้ำ ปัดป่ายเพียงนิดชุดที่มีแค่เชือกผูกรั้งก็หลุดลุ่ยเพิ่มความน่ามองจนเขาใจเต้นตึกตัก ทิวาเชยใบหน้ามองเขา ปลายนิ้วไต่เล่นไปตามลาดไหล่ ขาขาวยกขึ้นจนเห็นอะไรต่อมิอะไรชวนเสียวไส้เพื่อมาเกาะไขว้อยู่ที่สะโพกเขา
“เดียว”
เสียงเรียกชื่อแหบพร่าที่ทำเขาสั่นสะท้านอยากจะตอบรับให้เหมือนสุนัขที่กระดิกหางให้เจ้าของ ฝ่ามือสวยจับสัมผัสกับมือเขาวางบนอกก่อนจะนำทางลากเลื้อยลงมายังหน้าท้องแบนราบ
“ได้ยินเสียงบ้างไหม...
ผมหิว!!”
ปั้ดโถ่... พาไปกินข้าวก่อนก็ได้..._____________________________________________________________ TBC. __________________มาก็ช้า...
แล้วก็จากลาไปอย่างเนียนๆ...

รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN