ครึ่งแรก
CHAPTER 25 ...ข้อเรียกร้อง (ครึ่งหลัง)...แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ไม่สิ รัตติกาลไม่ยอมให้มันจบลงแบบนี้
ทิวาแทบจะแหลกเป็นผงเมื่อเจอกับอ้อมกอดที่รัดแน่นปานคีมเหล็ก รัตติกาลโถมแรงทั้งหมดจนเขาอึดอัด ใบหน้าคมซุกซบกับซอกคอจนร้อนระอุด้วยลมหายใจที่รินรด เก้าอี้หินเล็กๆถูกเบียดนั่งจนคล้ายจะตก
“ผมตอบไม่ได้จริงๆว่าทำไมถึงรักมากขนาดนี้” เสียงของรัตติกาลหนักแน่น หากนุ่มนวลชวนฟัง “ทั้งชีวิตผมไม่เคยต้องอ้อนวอนใครให้รัก วอนขอใครเพื่อไม่ให้ทิ้งกัน แค่คุณ...ทิวา ผมขาดคุณไม่ได้”
“............”
“เกือบปีที่ผ่านมา ผมพิสูจน์ความรู้สึกตัวเองพอแล้ว คุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ได้ จะรักหรือหลง แต่ผมอยู่โดยไม่มีคุณไม่ได้จริงๆ”
พอแล้ว...
แค่คำนี้ก็พอ
เพราะเขารู้ว่าอนาคตมันไม่เคยแน่นอน ต่อให้สัญญาหรือสาบานแค่ไหน ถ้ามันจะต้องเปลี่ยนไป แม้จะเก่งกล้าแค่ไหนก็คงทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่ถ้าเขาไม่คว้าความสุขตรงหน้านี้ไว้ ปล่อยทิ้งให้มันผ่านไป ชีวิตของเขาคงจะไม่เหลือเรื่องราวดีดีไว้นึกถึง
“ฮึก...ฮึก...เดี..ยว...ฮือ...”
น้ำตามากมายรินไหลออกมาจากสองตา ทิวาไม่อาจจะหยุดน้ำร้อนๆนี้ได้อีกแล้ว ไหล่หนาๆกับอ้อมกอดที่เป็นแหล่งพักพิงให้เขายามค่ำคืน ความอบอุ่นที่เขาโยนทิ้งไป คนเดียวที่บอกรักเขาจนเคยตัว คนเดียวที่ร้องไห้เพื่อรั้งเขาไว้ คนเดียวที่ยังรอให้เขากลับไป
“เดียว... ฮือ... เดียว...”
รัตติกาลเพิ่มแรงกอดยิ่งกว่าเดิมยามที่สองมือของทิวาโอบแผ่นหลังกว้างอย่างสมยอม สองร่างกอดรัดท่ามกลางสวนสีเขียวที่สายลมเย็นๆพัดผ่าน หากร่างที่แนบชิดกลับอุ่นไอแห่งความรัก ยิ่งแนบเนายิ่งได้ฟังเสียงหัวใจของกันและกัน ผสานหยาดน้ำตาแห่งความสุข
“ผมรักคุณ รู้ใช่มั้ย?” เสียงกระซิบแหบพร่าทว่าหนักแน่น ราวกับจะย้ำชัดลงไปในใจคนฟัง ทิวาพยักหน้ากับไหล่หนา คลอเคลียกลิ่นไอที่แสนคิดถึง “ถ้าทิ้งผมอีกครั้ง ผมจะตามคุณให้เจอ จะขังไว้ไม่ให้ไปไหนได้อีกเลย”
“ต่อให้ไม่ทิ้งก็ขังผมไว้นะ ผมอยากอยู่กับคุณ...” ทิวากระซิบแนบใบหู ริมฝีปากจุดรอยยิ้มพึงใจ “ตลอดไป...”
ไม่ต่างอะไรกับชายอีกคนที่ไม่อาจยิ้มได้กว้างเท่าที่ใจต้องการ หัวใจที่เคยเต้นช้าราวกับนาฬิกาใกล้หมดลาน ในตอนนี้มันกลับเต้นถี่รัวอย่างมีชีวิตชีวา เหมือนไฟเจอน้ำมัน ลุกโชติช่วงราวกลับไม่มีวันมอดดับ
“กลับบ้านเรานะ”มันไม่ใช่คำถาม หากเป็นคำชักชวนที่ทิวาเพียงแค่ซบใบหน้าแนบอก และนั่นก็คล้ายจะเป็นคำตอบรับที่รัตติกาลเข้าใจ รัตติกาลลุกขึ้นจับจูงมือเขาเดินออกจากบ้าน เราเดินกันมาเงียบๆจนถึงรถคันเดิมที่แสนคุ้นเคย
เขารู้สึกมาก่อนกับบางช่วงกับบางคน ที่ไม่ว่าจะนั่งใกล้กันแค่ไหนก็เหมือนอยู่เพียงลำพัง แต่ตอนนี้เราแค่นั่งกันเงียบๆอยู่ในรถ เพียงแค่มือกุมกันเอาไว้ ก็ราวกลับว่ามันกำลังแบ่งปันความรู้สึกนับร้อยนับพันคำพูด รอยยิ้มของรัตติกาลเป็นสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ เพราะเมื่อเราสองคนขึ้นมาบนห้อง ทุกอย่างมันก็ถูกเบลอด้วยรสจูบที่สุดแสนจะเสน่ห์หา
ทิวาไม่รู้สักนิดว่าเสื้อผ้ากระจัดกระจายไปที่ใดบนพื้น หรือว่าตัวเขาเปลื้องผ้าของอีกฝ่ายได้อย่างไร เพราะทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสที่นอนนุ่ม สองร่างก็เปลือยเปล่าหมดจด มีแต่ความร้อนเร่าห่อหุ้มกับฝ่ามือที่เหมือนเครื่องประดับลูบไล้พาดผ่านไปทั่วทั้งร่าง เขาไม่คิดเลยว่าจะกระหายริมฝีปากใครได้มากขนาดนี้ ยิ่งจูบเท่าไหร่หัวใจยิ่งร่ำร้องว่าต้องการ
รัตติกาลเองก็คงไม่ต่างกัน เพราะไม่ว่าจะเคลื่อนมือไปทางใด ก็ยังจุมพิตดูดดื่มราวกับจะปลิดปลิวลมหายใจกัน มันเหมือนว่าเราพูดกันมามากพอแล้ว คำพูดใดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เราเลยโยนเสียงสนทนาทิ้งให้ไกลเพื่อมาดื่มด่ำกับเสียงครางวาบหวาม ในทุกร่องรอย ในทุกการจับต้อง แม้จะเป็นเพียงปลายนิ้วผะแผ่วก็ยังทิ้งร่องรอยไอร้อนให้ร่างกายได้สะท้าน
ยิ่งถูกรุกเร้าเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งพรั่งพร้อม แม้จะเจ็บเจียนขาดใจยามถูกชำแรกกายหากความตื้นตันอิ่มเอมกลับไปไม่ยอมให้ถูกถอดถอนออกไป แค่เพียงรอยจูบหวานๆ กับอ้อมแขนที่ยังกอดรัด เขายินดีเจ็บอีกหลายครั้งหลายคราถึงแม้ความมืดจะเข้าปกคลุมก็ตาม
เป็นครั้งแรกในรอบเกือบปีที่เขามีความสุขที่สุด
รัตติกาลอยากจะร้องตะโกน วิ่งไปรอบห้องด้วยความสุขที่มันทะลักออกมาจนล้น เขาอาจจะแอบทำตอนอยู่ลำพังแต่ตอนนี้เขาต้องกอดร่างบอบบางนี้ไว้ให้แน่น ในที่สุดเขาก็ได้ทิวากลับมา คืนมาอยู่ในอ้อมแขน ให้เขาได้กอด ได้มอง ได้หอม เขาไม่ต้องทนหลับไปด้วยความคิดถึงอีกแล้ว ไม่ต้องมองทีวีกับภาพรอยยิ้มเดิมๆให้ทรมานกับความฝัน
รักจังเลย
รักเหลือเกิน
รักที่สุด
ถ้ามีทิวาอยู่กับเขาตลอดไป เขาจะไม่ขอพรกับสิ่งใดอีกเลย
...
...
...
“เหรอ...อื้ม...ขอบใจมากนะหมอจัญ”
เอกสิทธิ์วางสายจากหมอจัญญาที่โทรเข้ามาส่งข่าว มันเป็นข่าวที่น่ายินดี แต่คนเป็นพี่อย่างเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะดีใจ ในที่สุดทิวาก็พบรังนอนของตัวเองเสียที แม้มันจะเป็นรังอื่นที่ไม่ใช่ครอบครอบครัวก็ตาม
ตัวเขาคงเป็นคนเดียวจากคนที่ได้ชื่อว่าครอบครัวที่ยังติดต่อกับทิวา แม้จะไม่บ่อยนักหลังจากน้องขอเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเอง ยังดีที่เขามีหมอจัญที่คอยรายงานข่าวคราวให้ฟังตลอด จนถึงสุดท้ายที่ว่า ‘ทิวาถูกพี่หล่อพาตัวหายไปทั้งวันทั้งคืน’ เขาก็พอจะรู้ได้ว่าพี่หล่อที่ว่าเป็นใคร เพราะมีเพียงคนเดียวที่จะเป็นจะตายในตอนที่ทิวาหนีหาย
คำว่าคุกคามยังน้อยเกินไปกับสิ่งที่รัตติกาลทำกับเขาในช่วงแรก แต่เมื่อถูกเขาปฏิเสธหลายครั้งเข้า คนรักของน้องชายก็ยอมตัดใจเปลี่ยนไปตามหาด้วยวิธีอื่น จนกระทั่งพ่อขู่ผ่านจัญญาไปว่าจะแจ้งความ ทิวาถึงได้ติดต่อกลับมา เขาที่คิดว่าพ่อจะถามอะไรเพื่อแบ่งเบาความหนักใจของน้อง แต่สิ่งที่เขาได้ยินกลับเป็นคำถามที่แทบจะพังแรงกายคนฟังให้หมดลง
‘แกคบอยู่กับคุณรัตติกาลงั้นเหรอ’เขาแทบอยากจะเข้าไปกระชากโทรศัพท์ออกจากมือพ่อ เขาไม่รู้ว่าทิวาจะตอบตามความจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่พ่อพูดต่อไป มันทำให้เขาไม่คิดจะสนทนากับพ่อตัวเองอีกเลยจนถึงวันนี้
‘ดีแล้วที่แกหนีไป ให้ทุกอย่างมันจบไปซะ’เอกสิทธิ์ไม่รู้จริงๆว่าพ่อกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดแบบนี้ออกมา แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วกับการกระทำ พ่อไม่เคยถามถึงทิวาอีกเลย ไม่ต้องไปถามถึงแม่กับน้องสาวของเขา ทุกคนทำเหมือนว่าไม่มีทิวมาตั้งแต่ต้น มันปรกติจนเขารับครอบครัวตัวเองไม่ได้
ทิวามีค่าแค่ไหนกันนะในความรู้สึกของคนที่นี่
‘ผมสบายดีพี่หนึ่ง ลุงพรเทพแกสอนผมปลูกต้นไม้ด้วยนะ ผมเป็นเด็กเสิร์ฟให้แก้วกับต้นที่ร้านโจ๊กด้วย’เสียงของทิวาที่บอกเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงเกือบจะร่าเริงเขายังจำได้ติดหู บอกว่าคนที่นั่นดีแค่ไหน ครอบครัวนั้นอบอุ่นเท่าไหร่ เขาดีใจที่น้องได้อยู่กับคนดีดี เพราะคนที่นี่ให้ความอบอุ่นทิวาไม่ได้
คนอื่น...รักได้มากกว่า
คนอื่น...เอ็นดูได้มากกว่า
คนอื่น...เข้าใจได้มากกว่า
ครอบครัวที่ให้ได้ไม่เท่ากับที่คนอื่นให้ ไม่มี...ก็ไม่เป็นไรหรอก
เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาทำให้เอกสิทธิ์รีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า เขาแสร้งเอนหลังลงกับพนักของโซฟาราคาแพงระยับ หยิบรีโมทไล่กดช่องรายการทีวี เขาแสร้งทำไม่สนใจแม้ว่าเสียงเดินจะมาหยุดลงด้านข้าง เขาพอจะรู้ว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้ต้องพูดกัน
“เมื่อไหร่แกจะหายมึนตึงกับพ่อซะที ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” เสียงที่เหมือนกับจะอดรนทนไม่ได้อีกต่อไปของคุณอนันต์ ก็กลายเป็นกรรไกรตัดการควบคุมอารมณ์ของคนฟังเช่นกัน
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพ่อ”
“ทำไม เพราะเรื่องทิวางั้นเหรอ? แกไม่พูดพ่อจะรู้ไหมว่าแกไม่พอใจตรงไหน”
“เห๊อะ!! ได้” เอกสิทธิ์แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน พ่อไม่รู้ตัวเลยเชียวหรือว่าพูดอะไรออกไปบ้าง “พ่อพูดกับน้องแบบนั้นได้ยังไง ดีแล้วที่แกหนีไป พ่อพูดไปได้ยังไง”
“ทิวมันเป็นเกย์นะ! คิดหรือว่าใครๆจะยอมรับได้ ถ้ามันง่ายขนาดนั้นทิวจะหนีไปทำไม แสดงว่าฝ่ายโน้นเขาก็ไม่อยากให้ไปยุ่งกับลูกชายเขาเหมือนกัน”
“แค่นั้นเหรอครับ แค่น้องเป็นเกย์” เอกสิทธิ์แผดเสียงใส่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เพราะเป็นเกย์ ทิวมันก็เลยไม่ได้เป็นลูกพ่อแล้วงั้นเหรอ”
“มันไม่ได้มีแค่พ่อคนเดียว ครอบครัวเราจะเอาหน้าไว้ที่ไหน ยัยสองก็บอกพ่อปาวๆว่ารับไม่ได้ พ่อก็ไม่อยากให้แม่เขาอับอายถ้าใครๆรู้”
“ทิวเป็นลูกพ่อจริงๆรึเปล่า?”
เขาอยากจะร้องไห้กับสิ่งที่ได้ยิน ดีแค่ไหนแล้วที่น้องไม่ต้องมาได้ยินได้ฟังอะไรให้ช้ำใจไปกว่าเดิม
“ทิวไม่ใช่ลูกหมานะพ่อ ที่นึกอยากจะเอ็นดูก็จับมาอุ้มมาเล่น พอเบื่อก็โยนเงินไว้ให้คนอื่นหาข้าวหาน้ำให้กิน ผมเคยเข้าใจว่าพ่อสงสารแม่กับรู้สึกผิดต่อสอง พ่อถึงไม่เคยแสดงความรักกับทิวต่อหน้าคนอื่น และพ่อรู้มั้ยว่าน้องเข้าใจ เพราะยัยสองพูดกรอกหูทิวอยู่ตลอดเวลา ทั้งจิกทั้งกัด พ่อไม่เคยเห็นทิวร้องไห้อย่างผม พ่อไม่เข้าใจหรอกว่าน้องน่าสงสารขนาดไหน ผมไม่ใช่พี่ที่ดีอะไรนัก แต่ผมยังดูแลทิวมากกว่าพ่อเสียอีก”
“............”
“ผมว่าพ่อถามตัวเองดีกว่านะ ว่าพ่อมีสิทธิ์อะไรไปรังเกียจทิว”
“มันจะเกินไปแล้วนะไอ้หนึ่ง!”
“มาจนถึงตอนนี้ผมว่าพ่อพูดถูกแล้ว ดีแล้วที่ทิวหนีไป เพราะคนอื่นเห็นค่าของทิวได้มากกว่าคนที่นี่จะมองเห็น”
“พูดพอรึยัง”
“พอแล้วครับ พอกันที...”
แม้สักวินาทีเดียวเขาก็ไม่อาจยืนเผชิญหน้าบิดาได้อีกต่อไป
ดีแล้วที่ทิวามีรัตติกาล
เพราะผู้ชายคนนั้น คงจะเป็นครอบครัวที่ดีกว่าคนที่นี่ได้อย่างแน่นอน
________________________________________TBC.________________
จบแล้วกับตอนที่ 25 ไม่เคยต้องแบ่งลงมาก่อน
ไม่ใช่ว่ามันยาวเหลือเกินหรอก ครึ่งนี้ออกจะสั้นๆด้วยซ้ำ (อ่านต่อๆกัน เดี่๋ยวมันก็ยาวเอง)
แค่เห็นว่ามันหลายวันแล้วก็เลยลงให้อ่านก่อน ไม่ได้ตั้งใจทำให้ของขึ้นกันเลยจริงจิ๊ง
อ่านหลายคอมเมนท์ โดยเฉพาะ คุณ
hembetaroกับคุณ
AMINOKOONGที่เหมือนกับเข้ามานั่งในใจตัวละครเลยค่ะ แม้จะต่างความเห็น ต่างความเข้าใจ ต่างความชอบ แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือความอินค่ะ คนเขียนปลื้มปริ่มที่สุด
ขอบคุณทุกเม้นท์ที่ไม่ได้กล่าวถึง แม้ว่าจะเห็นชื่อกันมาหลายเรื่องหลายตอน เราจะตามไปเข้าฝันใบ้หวยเป็นการตอบแทน
พบกันใหม่ตอนหน้า ราตรีสวัสดิ์นะคะพี่น้องชาว
วาย