CHAPTER 24 ...เริ่มต้นอีกครั้ง...เธอก็แค่ทนอีกต่อไปไม่ไหวการต้องมองเห็นลูกชายตัวเองเปลี่ยนไปเป็นคนละคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนเป็นแม่ อีกกี่ครั้งกี่หนกันที่เธอต้องไปพบลูกชายนอนหลับบนโซฟาหน้าทีวีที่เปิดค้างไว้ด้วยภาพเดิมๆ ภาพใบหน้าสวยผิดชายกับรอยยิ้มน่ารัก ภาพของคนที่เธอประกาศกร้าวว่าให้เลิกยุ่งกับลูกชายคนเดียวของเธอ
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ลูกชายเพียงคนเดียวแทบจะไม่ยอมเงยหัวขึ้นจากการทำงาน และการออกกำลังก็แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อสุขภาพ หากเป็นผลกระทบของมันต่างหากที่ลูกชายเธอต้องการ รัตติกาลผอมลงไปมาก ไม่กิน ไม่เที่ยว ถ้าไม่ทำงานก็จะอยู่แต่หน้าจอโทรทัศน์ เปิดวิดีโอนั้นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนไม่ยอมตื่นจากฝัน
ถ้าลูกชายของเธอคล้ายจะเป็นโรคซึมเศร้า
เธอเองก็คงใกล้บ้าเต็มที
วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เธอมาพบลูกชายอยู่ในสภาพเหมือนเคย ร่างโทรมๆกับวีดิโอเดิมๆ มันเกินกว่าที่เธอจะรับได้อีกแล้ว ต่อให้ถูกตราหน้า หรือว่าจะโดนด่าทออย่างไรเธอก็ยอมทุกอย่าง
๏ ●
● ๏
๏ ●
“
มันหมายความว่ายังไงครับ!”
เสียงทุ้มต่ำเกือบจะกลายเป็นเสียงตวาดกร้าว ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จักรัตติกาลลืมหมดสิ้นเรื่องความอาย ความสับสนมันกลบหมดทุกความรู้สึก ทิวาที่วิ่งหนีเขาไปกับแม่ที่เหมือนรู้ว่าจะพาเข้ามาเจอกับใคร แม้จะไม่ใช่ลักษณะเสียงที่ควรจะเปล่งออกกับผู้ให้กำเนิดมาท่ามกลางที่สาธารณะแต่เขาก็ทำไปแล้วโดยไม่ทันระวังตัว แม่เขาเพียงแค่เหยียดยิ้มเศร้าๆ ปล่อยท่อนแขนของเขา แล้วเดินไปทางเจ้าของร้านโจ๊ก โดยไม่พูดอะไร
“แม่!” แต่เขาต้องการคำตอบ ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ จะมีใครรู้บ้าง! แม่จะรู้ไหมว่าหัวใจเขามันร้อนรุ่มจนทุรนทุราย
“ป้าขอไปหาทิวาที่บ้านหนูได้ไหมจ๊ะ”
“ได้สิคะ ตามสบายนะจ๊ะป้า”
ความสนิทสนมในระดับหนึ่งนี้มันยิ่งเพิ่มความสงสัยให้มากเกินกว่าความอดทนจะเก็บกดไว้ได้ เขาอยากจะเข้าไปกระชากคอใครก็ตามที่จะพออธิบายให้เขาฟังได้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น แต่ติดที่ว่าคนๆนั้นเป็นแม่เขา
“ตามแม่มาเถอะเดียว” แม่เดินกลับมาจูงมือเขาไปยังทิศทางเดียวกับที่ทิวาวิ่งหนีหายไป รัตติกาลอยากจะสะบัดมือทิ้งเสียเดียวนั้นเพราะความเงียบที่ทำเอาเขากลายเป็นไอ้โง่ แต่... “ทิวาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น...”
“.............”
“พ่อเขาให้นักสืบที่ทนายสมพงหาตามสืบจนรู้”
ทนายสมพง!! “ผมก็จ้างนักสืบที่คุณสมพงหามาให้ แล้วทำไม”
“เพราะพ่อเขายังไม่อยากให้ลูกเจอกับทิวา”
มันน่าโมโหนัก!!! รัตติกาลอยากจะโวยวายให้รู้แล้วรู้รอด เพราะอย่างนี้สินะ ไม่ว่าเขาจะคาดหวังไว้เท่าไหร่ลงท้ายก็ต้องผิดหวังไปทุกครั้ง เพราะทนายสมพงเป็นคนของพ่อ เพราะพ่อสั่ง! เขาน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ควรไว้ใจคนใกล้ตัว
“ทำไม! พ่อเข้าข้างแม่ใช่มั้ย”
“ลูกควรจะรู้ดีที่สุดนะว่าพ่อเขาเป็นคนยังไง พ่อมีเหตุผลมากกว่าแม่ ใจเย็นมากกว่า และรักลูกไม่แพ้ใคร”
“แล้วทำไมถึงทำกับผมอย่างนี้”
“พ่อเขาอยากจะให้เวลากับทิวาเหมือนกัน แม่บอกพ่อเขาหมดแล้ว ทุกเรื่อง”
รัตติกาลไม่อยากจะคิดว่าพ่อจะรู้สึกอย่างไร ไอ้ทุกเรื่องที่แม่ว่า คงจะเป็น ‘ทุกเรื่อง’ จริงๆ เขาจนคำพูดที่จะเอ่ยต่อ มันดีเท่าไหร่แล้วที่พ่อไม่บุกมาลงโทษเขาทันทีที่รู้เรื่อง ถึงเขาจะรู้ตัวว่าเป็นลูกชายคนเดียวที่ได้รับความรักจากพ่อและแม่ แต่มีแค่พ่อเท่านั้นที่อะไรถูกก็จะชื่นชมแต่เมื่อผิดก็ไม่รีรอที่จะลงโทษ และถ้าจะให้เปรียบเทียบว่าการที่พ่อเก็บเงียบเรื่องของทิวาเป็นบทลงโทษแล้วล่ะก็มันสาสมยิ่งกว่าโดนทำร้ายทางร่างกายเป็นไหนๆ
เขาได้แต่เดินตามแม่เข้ามาในซอยเล็กๆไม่ไกลจากตลาด มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วไม้เก่า ที่มองเห็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน ที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียวของพรรณไม้ต่างๆ ตัวบ้านมีขนาดไม่ใหญ่เลยถ้าเทียบกับเนื้อที่รอบๆ แม่ของเขาถือวิสาสะผลักประตูรั้วเตี้ยนั้นเข้าไป เดินตรงไปอย่างไม่ลังเลคล้ายกับว่าได้มาเยี่ยมเยือนหลายครั้งหลายครา เขาเดินตามมาไม่ห่างจนกระทั่งถึงประตูบ้านที่เปิดโล่ง แม่หยุดยืนนิ่ง ค่อยๆหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา
“อย่าเกลียดแม่เลยนะเดียว...” คุณนายราตรีที่รัตติกาลรู้จักกำลังเอ่ยขอด้วยน้ำเสียงโรยแรง ดวงตารื้นน้ำใสๆ “แม่ยอมทุกอย่างแล้วจริงๆ”
“แม่...” ใช่! เขาโมโห เขาน้อยใจ แต่เขามีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธเกลียดผู้ให้กำเนิด แม่ก็แค่ทำในสิ่งที่คนเป็นแม่หวังให้ลูกเป็น ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการก็ตาม
เขาไม่เคยรับรู้ ไม่สิ! เขาไม่คิดที่จะสนใจว่าในขณะที่เขาเหมือนกำลังตายช้าๆ แม่จะอยู่ยังไง ในความโมโห เขารับรู้เพียงว่า ยิ่งเห็นแม่มีสีหน้าเศร้าเท่าไหร่ ยิ่งสะใจเขาเท่านั้น เพราะแม่จะได้รับรู้ให้มากว่าเขาเจ็บแค่ไหน
แต่น้ำตาของเขา กับน้ำตาของแม่ มันเทียบกันไม่ได้
ทุกน้ำตาที่แม่หลั่ง บนความสะใจของเขา มันช่างอกตัญญูเหลือเกิน
รัตติกาลก้มหน้าลง เขาไม่อาจทนมองผู้ให้กำเนิดปั้นยิ้มทั้งๆที่นัยน์ตาเอ่อคลอ เขาไม่เคยอยากให้แม่ร้องไห้ แต่หลายเดือนที่ผ่านมา แม่ก็เสียน้ำตาเพราะเขามามากเหลือเกิน แต่สิ่งที่แม่ทำมันก็สร้างรอยน้ำตาให้เขาจนแทบไม่มีจะไหล แต่ใครล่ะจะเกลียดแม่ตัวเองได้ลงคอ ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าถูกรักขนาดไหน ...รัตติกาลจะเกลียดแม่คนนี้ได้ยังไง
สองมือพุ่มพนมยกสูง นิ้วโป้งจรดจมูกฐานะผู้ให้ซึ่งลมหายใจ ศีรษะก้มรับเคารพน้อม
“เดียวขอโทษครับแม่...”
สิ้นประโยค ร่างสูงก็ถูกคว้ากอด เสียงสะอื้นฮึกฮักดังขึ้นเบาๆ
“ขอบคุณครับแม่...”
สองมือคลายออกอ้อมโอบร่างที่เล็กกว่าเอาไว้ สุดท้ายรัตติกาลก็ยังเหมือนเด็กเล็กๆที่เอาแต่ใจอยู่ดี คิดได้เมื่อแม่ยอมตามใจ สำนึกได้เมื่อแม่โอนอ่อนผ่อนตาม
“เข้าไปหาน้องเถอะลูก” คุณราตรีผละจากอ้อมกอดเขา แตะแขนเป็นเชิงให้เขาก้าวผ่านประตูเข้าไป “ชีวิตลูกที่แม่ทำหายไป เอาคืนมาให้ได้นะ”
รัตติกาลยิ้ม อาจจะเป็นรอยยิ้มแรกที่เขามีให้แม่ในรอบหลายๆเดือนที่ผ่าน และตอนนี้เขาอยากจะมอบรอยยิ้มนั้นให้กับคนที่แม้แต่ในห้วงฝันก็ยังเห็น
ในบ้านที่ไม่รู้จัก เขาเหมือนเด็กกำลังหลงทางที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตามหาที่ไหนดี ชั้นล่างที่เปิดโล่งเชื่อทุกส่วนของบ้าน เพียงแค่มองกูพอรู้ว่าไม่มีคนที่เขาต้องการพบ ชั้นสองจึงเป็นส่วนสุดท้ายที่เขาจะวาดหวังได้ บันไดไม้ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดยามเดินขึ้นไป และเมื่อสองเท้าหยุดยืนบนพื้นทางเดินสั้นๆกับประตูหลายบานก็ทำให้รัตติกาลหนักใจอีกหน
ประตูบานแรกเปิดได้อย่างง่ายดาย และไม่มีใครอยู่ บานที่สอง และสามก็ไม่ต่างกัน สองเท้าจึงรีบร้อนก้าวมาหยุดยังประตูไม้บานสุดท้าย แค่เพียงส่งมือจับลูกบิด ขยับเล็กน้อยก็พบกับแรงต้าน ประตูล็อกย่อมต้องมีคนอยู่ข้างใน
“ทิว...” ชื่อที่คล้ายจะตอกสลักลงไปในใจเขาทุกครั้งที่เรียกถูกเปล่งออกมา แต่ที่ได้รับคือความเงียบราวกับเขาละเมอเพ้อพกเพียงลำพัง
“ผมรู้ว่าคุณอยู่ในนั้น...”
“ทิว...” ริมฝีปากเม้มแน่นจนแทบจะเป็นเส้นตรง เขาแค่อยากเห็นหน้า ใบหน้าจริงๆ ผิวอุ่นๆที่มีเลือดเนื้อ ทิวาตัวจริงที่ไม่ใช่ทิวาในหน้าจอทีวี “ทิวา...”
แค่เพียงบานประตูกั้น แต่ทำไมมันคล้ายกับกำแพงหนากั้นขวางเอาไว้ เสียงเรียกของเขามันส่งไปไม่ถึงอย่างนั้นเหรอ หรือแค่คนข้างในปิดหูปิดตาแสร้งว่าไม่ได้ยิน
“ทิว...”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน
ตัวเขาเมื่อเกือบปีที่แล้วจะทำยังไงกับสถานการณ์อย่างนี้นะ เอ้อ เขาคงจะทุบประตูสุดแรง คงจะตะคอกเรียกเสียงลั่น เขาคงจะไม่สนใจว่าคนข้างในจะรู้สึกอย่างไร เขาคงจะทำทุกวิธีที่จะลากใครคนนั้นออกมาเผชิญหน้า เขาคง...
เปลี่ยนไปแล้ว
ทิวาทำให้เขาอยากจะเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม อยากจะเป็นแก่นเสาที่คอยเป็นหลักยึดยามที่ทิวาเหนื่อยล้า แต่ในขณะเดียวกันทิวากลับทำให้เขาอ่อนแอลง ทำให้รู้ว่าความเสียใจมันเป็นยังไง ให้รู้ว่าการที่น้ำตาไหลมันแสบร้อนแค่ไหน ความทรมานของการถูกทิ้งที่ทำให้ทุกค่ำคืนกลายเป็นหายนะ เขาอยากจะจบความรู้สึกแบบนั้นเสียที
“ผม... กำลังจะเป็นบ้า...”
“ผมนอนไม่หลับ...ผมจำเสียงหัวเราะตัวเองไม่ได้...”
“ผมร้องไห้เวลาที่อยู่คนเดียว...ผม...ผมคิดถึงคุณ”
“พอแล้วรึยัง...ลงโทษผมแค่นี้เถอะนะ...มากกว่านี้ ผมคงทนอีกไม่ไหว...”
“ทิว...”
ความเงียบคือสิ่งเดียวที่โอบล้อมตัว เขาต้องการทิวา แต่อะไรคือสิ่งที่ทิวาต้องการ เขาจะต้องทำอะไร ต้องทำอีกสักเท่าไหร่ถึงจะได้เป็นสิ่งนั้น เป็นคนที่ทิวาต้องการ
“เริ่มต้นกันใหม่นะ...ผมจะพยายามทำมันให้ดี”
“ช่วยรักผมอีกครั้งเถอะนะ...”
‘รักอีกครั้ง’มันหมายความว่าความรักที่เคยมีมันหมดลงไปแล้ว แต่...มันยังไม่ได้จางหายไปไหนเลยนี่...ไอ้ความรักนั่นน่ะ
ทิวาหลับตาแน่น แผ่นหลังยังคงแนบชิดติดบานประตูไม่ต่างจากใบหูที่เงี่ยฟังเสียง ทุกคำ ทุกประโยคที่แม้จะแว่วเบาแต่เขากลับได้ยินชัดเจน
ยังจำที่ตัวเองสัญญาได้ว่าจะลืม... แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่วันกี่เดือนเขาก็ลืมไม่ได้อย่างปากว่า คงต้องโทษหัวใจที่มันช่างเกเร เพราะไม่ว่าสมองจะสั่งอย่างไร ใจดื้อๆก็ยังคงหันหลังไม่รับฟัง
“พรุ่งนี้...ผมจะเจอคุณที่ร้านโจ๊กมั้ย?”
อยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่า ‘เจอสิ’
“รักนะครับ”
เสียงฝีเท้าค่อยๆเดินห่างออกไปจากประตู ยิ่งตอกย้ำหัวใจแข็งๆ ที่โดนกัดกร่อนด้วยคำสั้นๆ คำเดิมๆที่ราวกับไม่ได้ยินมาแสนนาน แต่เมื่อได้ฟังอีกครั้งอานุภาพของมันก็ยังคงเดิม คำสั้นๆที่จุดรอยยิ้มให้ริมฝีปาก แม้ตอนนี้น้ำตาจะเอ่อคลอด้วยความเศร้าหากรอยแย้มยิ้มกลับทำให้ร่องรอยนั้นดูงดงาม
คนเดียวที่บอกรักเขา
ความรักที่ให้เขามันยังไม่เปลี่ยนใช่มั้ย?
รัตติกาลจะรักทิวาไปตลอดรึเปล่า?
...
...
...
“เขามาทุกวันเลยนะพี่ทิว” เสียงแก้วพูดขึ้นมาหลังจากนั่งลงพักเหนื่อยบนเก้าอี้ไม้ ทิวาแสร้งไม่สนใจคำบอกลอยๆ ตั้งหน้าตั้งตาช่วยต้นรื้อของออกมาจากรถเข็นเพื่อมาทำความสะอาด ต้นมองหน้าเขาเล็กน้อยคล้ายจะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับก็จำต้องเก็บคำแล้วขนของต่อไป ผิดกับภรรยาที่ยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“จะครบอาทิตย์แล้วนะพี่ทิว แก้วล่ะสงสารพี่เขาจัง”
“ต้นพี่เอาของตรงนี้ไปล้างเลยนะ” ทิวาจำต้องส่งเสียงออกมาให้ดังเล็กน้อย เพื่อที่แก้วจะได้เลิกทำตัวเป็นผู้หวังดีเสียที ทั้งๆที่คิดว่าการเดินเลี่ยงออกไปจะเป็นการตัดบทสนทนาได้ดีแล้ว แต่เขาคงดูถูกแก้วเกินไป เพราะสาวหน้าท้องโตกลับเดินตามเขามาไม่ยอมห่าง
“พี่หล่อเขาทำเรื่องไม่ดีกับพี่ไว้เหรอ?”
แก้วจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ถ้าเขาไม่โต้ตอบอะไรสินะ ผู้หญิงเป็นแบบนี้ทุกคนเลยสิน่า
“เปล่า...”
“งั้นพี่ก็ทิ้งเขา”
“แก้ว!”
“โมโหแก้วหรือว่าแค่ตกใจที่แก้วรู้”
ตกใจสิ! เขาไปแสดงทีท่าในเชิงแบบนั้นตอนไหนกัน หรือว่ารัตติกาลจะพูดอะไรให้แก้วฟัง
“พี่หล่อเขาไม่ได้บอกอะไรหรอก ที่จริงพี่เขาแค่นั่งมองชามโจ๊กนิ่งๆทุกวันต่างหาก” น้ำเสียงใสเจือหัวเราะเล็กๆ “มันเป็นเซ้นส์ของผู้หญิงน่ะจ้ะ”
“ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”
“เป็นได้สิ...” แก้วพูดเสียงเรียบนิ่งจนเขาต้องหันไปมองอีกครั้ง “แต่แก้วคงต้องถามว่าพี่กลัวอะไร”
เขากลัวอะไร?
ในเมื่อตอนนี้เขายังถูกรัก และแม่ของรัตติกาลก็ยังมาพบเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อขอให้เขากลับไป มันไม่ได้เป็นเส้นทางที่มีหนามแหลมบาดหัวใจอีกแล้ว แต่ทุกอย่างมันกลับเป็นเพราะความกลัวของเขาเอง ชีวิตอิสระที่ได้มามันทำให้เขาอยากจะเอื้อมมือคว้าทุกสิ่งที่ต้องการ ความรู้สึกแปลกใหม่นี้แหละที่ทำให้กลัว กลัวว่าสุดท้ายสิ่งที่ตัดสินใจคว้าไว้จะหลุดมือ กลัวว่ารัตติกาลจะทิ้งเขาไป กลัวตัวเองจะต้องถูกทิ้งจากคนที่อยากให้รักอีกครั้ง
“แก้วเรียนน้อย แต่แก้วก็ใช้ชีวิตเหมือนกัน แก้วกลัวตาย กลัววันที่ไม่มีพ่อ กลัวโดนทิ้ง กลัวว่าลูกจะไม่รัก” แก้วเริ่มพูด พิงบั้นท้ายลงกับขอบอ่างน้ำ “ที่กลัวก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่แก้วยังมองไม่เห็นไงคะ มันเป็นอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหนเมื่อไหร่ สิ่งที่แก้วทำได้ในตอนนี้คือทำทุกวันให้น่าพอใจที่สุด ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด เผื่อว่าวันที่แก้วกลัวมาถึง จะได้มีความทรงจำดีๆไว้ลบล้างกัน”
“...................”
“ถ้าพี่เอาแต่กลัวนั่นนี่ พี่อาจจะพลาดสิ่งที่ดีในชีวิตไปก็ได้นะคะ ถ้าใช้ชีวิตอยู่บนความกลัวเราจะไม่มีความสุขหรอกค่ะ”
“...แต่ว่า”
“เฮ้อ...พี่ทิวรอแก้วแป๊บนะ” เขาได้แต่มองตามร่างที่เริ่มอุ้ยอ้ายที่เดินออกไปทางประตู ก้มหยิบอะไรสักอย่างแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับ... “พี่หล่อฝากมาให้พี่”
กระถางเซรามิกลายตารางหมากรุกสีเหลืองอ่อนสลับขาวขนาดกะทัดรัด บรรจุช่อดอกไม้จนเต็ม ดอกเล็กๆสีฟ้าสดใจแซมด้วยสีเขียวของใบ สวยงามจนเขาเผลอยิ้มออกมา ผู้ชายคนนั้นเนี่ยนะ... รัตติกาลน่ะหรือที่ฝากของหวานแหววนี่มาให้เขา ดูไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนี้เลยสักนิด ทิวาส่ายหน้าน้อยๆกับจินตนาการยามที่ผู้ชายคนนี้เข้าร้านดอกไม้ ตรงโบว์ผ้าโปร่งที่ผูกพันรอบกระถางมีการ์ดสีน้ำตาลใบเล็กร้อยเชือกแนบอยู่ ตัวอักษรภาษาอังกฤษถูกเขียนด้วยหมึกสีเขียวฉวัดเฉวียน
- Forget me not -
Don’t forget me. DARLING
...I’m yours...
“แก้วว่าถ้าพี่ไม่รักเขาแล้ว ก็บอกเขาไปตรงๆเถอะ” แล้วแก้วก็ไม่พูดอะไรอีก เธอเดินกลับไปช่วยสามีเก็บของ ทิ้งเขาไว้กับกระถางดอกไม้ในมือ กระถางเล็กๆ หากหนักเหลือเกินที่หัวใจ
เขายังจะต้องรอ ต้องอดทนกับความกลัวไปถึงเมื่อไหร่นะ ในเมื่อสิ่งที่เขาตามหามาตลอดชีวิตก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้จากไปไหน รัตติกาลยังยืนอยู่ที่เดิมรอเขากลับไป
ความกลัวมันทำให้เขาพลาดอะไรไปบ้างแล้วนะ...
ในเช้าวันต่อมาทิวายังคงขี้ขลาดเกินกว่าจะเผชิญหน้าโดยตรง เขาได้แต่แอบมองอยู่หน้าซอยที่พอจะเห็นร้านโจ๊กของแก้วได้ชัดเจน เขารู้ว่ารัตติกาลเป็นคนตื่นเช้า แต่ผู้ชายคนนี้จะต้องตื่นสักกี่โมงกัน เพื่อที่จะมานั่งมองชามโจ๊กในเวลาที่เช้าตรู่แบบนี้ แม้จะมองในระยะไกล แต่เขาก็สังเกตได้ ไม่ยากเย็นนัก รัตติกาลดูผอมลงไป ใบหน้าที่เคยเนี๊ยบอยู่เสมอดูทรุดโทรมลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังเรียกเสียงชมจากแก้วได้ไม่ขาดปาก สีหน้าที่เคยเย่อหยิ่งดูราวกับสิ้นเรี่ยวแรง
ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะมีอิทธิพลกับชีวิตใครได้ขนาดนี้
ตัวเขาเองยังกินได้ ยังนอนหลับ ยังใช้ชีวิต ยังหัวเราะ รัตติกาลไม่ได้เป็นเหมือนกันหรือไง ทำไมถึงได้ดูเปลี่ยนไปขนาดนี้ เวลาหลายเดือนทำให้เขารู้สึกเปลี่ยนไป รัตติกาลก็คงเปลี่ยนไปเหมือนกัน
จริงอยู่ที่เขายังกลัวความผิดหวัง
กลัวว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปจนรัตติกาลคงจะเบื่อในสักวัน
แต่เขาไม่อยากที่จะพลาดสิ่งดีดีในชีวิตเพราะความกลัวนั้น
เท้าค่อยๆเยื้องย่างออกจากที่หลบซ่อน ระยะทางแต่ละก้าวที่เดินไปช่างบีบเค้นหัวใจให้เต้นระรัว ใบหน้าคมคายของรัตติกาลเข้ามาในครรลองสายใกล้ๆขึ้น ใกล้ขึ้น จวบจนใบหน้าที่เคยนิ่งเรียบนั้นหันมาสบสายตากันโดยไม่ตั้งใจ ดวงตาคมกล้าเบิกโตราวกับเจอสิ่งประหลาด ก่อนที่มันจะค่อยๆหรี่ลงเพราะรอยยิ้มกว้างขวาง
รัตติกาลกำลังรู้สึกอย่างไรนะ เพราะเขาที่กำลังหัวใจเต้นแรงราวกับบ้าคลั่ง ทุกแรงสั่นสะเทือนในช่องอกคล้ายกับยินดี...ที่ได้มีชีวิตอีกครั้ง
_____________________________________________________________ TBC. __________________เรากำลังเผาพริกเกลือส่งให้คุณนายเมลอน
อะ เอ่อ...อันนี้บ้านคุณพี่เรียกสาปแช่งนะคะ
คนเขียนหายไปก็เพื่อปฏิบัติภารกิจยังชีวิตให้ปากและท้องค่ะ
งานมันก็ยุ่งเป้็นช่วงๆ อาจจะไม่ทันใจนักอ่านก้ต้องขออภัย
ขอบคุณที่เข้ามาทวงถามกัน ดีใจที่ยังมีคนรอ
แต่บางทีกลับจากงานมาก็หลับเป็นตาย ไม่ไหวจะปั่นนิยายจริงๆ

รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN