CHAPTER 23 ...คนที่จาก...ความเหงาจริงๆแล้วมันเป็นอย่างนี้รึเปล่านะ...แม้รอบตัวจะมีผู้คนรายล้อมสักแค่ไหน แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอยู่เพียงลำพัง แต่ถ้าความเหงามันคล้ายอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าตัวเขาเหงามาตั้งแต่แรกแล้วหรือไง
ในตอนที่ยังเด็กมากๆ การที่ต้องอาศัยอยู่กับญาติห่างๆมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่ แม้จะไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายใดใดเหมือนอย่างในละครบางเรื่อง แต่เขาก็รับรู้ถึงการเป็นส่วนเกินได้ดี พ่อแท้ๆที่ทิ้งเขาไว้นั้นพร่ำบอกเสมอว่าครอบครัวนี้ได้ค่าเลี้ยงดูจากพ่อทุกเดือน เพื่ออะไร? เพื่อให้เขาได้ยืนหยัดในบ้านนี้ได้อย่างมั่นคงเหรอ เขาในตอนนั้นไม่ได้ต้องการความมั่นคงอะไรเลยสักนิด แค่พ่อจับจูงมือเขา ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการอยู่ด้วยกัน เขาพอใจแค่นั้นต่างหาก...
จนเมื่อพ่อรับเขามาอยู่ในบ้านหลังโต... เขาถึงได้รู้ว่าเวลาในช่วงวันหยุดของพ่อหมดไปกับการดูแลครอบครัวของตัวเอง ลูกชายคนโตที่ดูจะเป็นที่รัก ลูกสาวคนเล็กที่แสนน่ารักน่าเอ็นดู หนึ่งกับสอง
แล้วเขาเป็นใคร...เด็กสองคนนั้นมีทุกอย่างที่เขาปรารถนาจะมี พ่อที่อยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเวลาไหน แม่ที่สวยและดูดี อย่างที่เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าแม่หน้าตาเป็นยังไง
เขารู้ตัวเองดีตั้งแต่วินาทีนั้นว่าที่ตรงนี้ ไม่ควรมีเขารวมอยู่ด้วย...
คำว่าลูกชู้ มันกรอกหูเขามาตั้งแต่เหยียบย่าง พูดซ้ำๆในสิ่งที่ไม่รู้ว่าเขานั้นเป็น ไม่ใช่แค่เด็กคนนั้นที่เกลียดเขาอย่างเห็นได้ชัด เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อมีครอบครัวของตัวเอง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รู้เสียทีว่าทำไม ตัวเองถึงได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เพราะเขาสำคัญไม่พอ...
มันเป็นแค่ความหวังลมๆแล้งๆที่จะหาสถานที่ของตัวเอง หาใครสักคนที่จะมองเขาเป็นคนสำคัญที่สุด ใครคนนั้นที่จะไม่ทำให้เขาต้องแอบไปร้องไห้ ใครคนนั้นที่จะไม่ทำให้เขารู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเพียงลำพัง
เขาหาไม่เจอ...หรือแค่...มันไม่มี
แล้วเมื่อเขาได้เจอกับรัตติกาล
ชีวิตทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนไป เรื่องร้ายๆที่ผู้ชายคนนั้นทำ ความเอาแต่ใจทั้งหลายทั้งแหล่ มันกลายเป็นสิ่งที่เขายอมรับได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แม้ปากจะพ่นกล่าวอ้างว่าเกลียดชัง แต่เขารู้ดี ในใจส่วนลึกที่สุดกับยินดีปรีดาว่าตัวเองเป็นที่ต้องการกับคนๆหนึ่งมากขนาดไหน
ผู้ชายคนนั้นมักจะพูดจาด้วยถ้อยคำเอาแต่ใจ ไม่ว่าจะต้องการอะไร ชอบสิ่งไหน รัตติกาลจะพูดมันออกมาแม้ว่าจะไม่ถูกใจคนฟัง มันเป็นหนึ่งในนิสัยที่เขาเกลียด แต่มันก็ช่างน่าหลงใหลเหลือเกินที่คนๆหนึ่งสามารถซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองได้ขนาดนี้
เขาถึงได้เชื่อ... ยามที่ถูกบอกรัก เวลาที่บอกคิดถึง รัตติกาลคงพูดมันออกมาจากใจ
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ารักเริ่มขึ้นตอนไหน เพราะฉากจบต่างหากที่มันจะฝังอยู่ในความทรงจำ
วันที่จากมา เป็นวันเดียวที่น้ำตามันไหลอย่างที่ไม่เคยเกิด ไม่ว่าจะผ่านเรื่องชวนเศร้ามากมายแค่ไหนเขาก็ไม่เคยร้องไห้จนไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้ การโดนทอดทิ้งว่าเจ็บแล้ว แต่ทำไมการจากถึงได้เจ็บกว่าหลายเท่านักนะ
เขาทำเพื่อผู้ชายคนนั้น คนที่เป็นที่รักของครอบครัว เป็นความหวัง เป็นความฝัน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกชายคนนึงจะเป็นได้...อย่างที่เขาต้องการจะเป็นแต่เป็นไม่ได้
แต่อีกใจหนึ่ง ในส่วนลึกที่ดำมืดเกินกว่าที่เขาจะคาดคิดว่ามันซุกซ่อนไว้ เขาอยากให้รัตติกาลเป็นใครคนนั้น คนที่เห็นเขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นไม่ได้...
เขาก็ไม่ต้องการ...
ความคิดนั้นมันน่ารังเกียจเกินทน แค่คิดว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งในใจเขาก็แทบคลื่นเหียน มันช่วยยืนยันว่าดีแค่ไหนแล้วที่เขาตัดสินใจจากมา เพราะถ้าขืนดึงดันไว้ เขาคงกลายเป็นอะไรสักอย่างที่รัตติกาลคงรักไม่ลง
ถูกทิ้ง...แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว
คนไม่มีที่ไปอย่างทิวากำลังมืดแปดด้าน แม้ว่าคนที่นั่งขับรถข้างๆกันจะเป็นที่พึ่งได้ก็เถอะ แต่จัญญาเกี่ยวข้องกับบ้านใหญ่เกินไป ตอนนี้เขาแค่อยากไปไกลๆ ไม่ต้องวุ่นวายกับคนรู้จักเดิมๆเลยยิ่งดี
จัญญาไม่ถามอะไรเขาสักคำเมื่อเขาออกจากห้องนอนมาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า คนที่เหมือนพี่ชายเพียงแค่นั่งดูรายงานข่าวในโทรทัศน์ และปิดมันลงเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ไม่ถามอะไรสักนิดกับคำขอร้องที่ว่าช่วยพาไปจากที่นี่ที... จัญญาแค่ทำตัวเป็นสารถีที่ดี ขับรถไปเงียบๆ ส่วนเขาก็แค่นั่งไปตามแต่ใจคนขับต้องการ
แล้วรถยนต์ก็เลี้ยวเข้ามายังสถานที่คุ้นตา ที่จอดรถเล็กๆถูกเบียดเสียดเนื้อที่ไปมากโขโดยรถเก๋งคันใหญ่ แผ่นไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าสลักอักษรไทยลงสีทองเด่นหลาอยู่บนกำแพงปูนด้านนอก ‘ค่าย ส. สิงห์ชัย’
ทิวามองค่ายมวยคุ้นตาผ่านกระจกด้านข้าง ค่ายมวยไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่ก็ส่งนักชกหลายคนให้มีชื่อเสียงในวงการ ทั้งที่ยังเช้าตรู่แต่ก็เห็นหลายคนเริ่มออกกำลังกายเบากันบ้างแล้ว ดูจากสภาพร่างกายคงเพิ่งกลับจากวิ่งรอบเช้ามาได้ไม่นาน จัญญาลงจากรถไปก่อน เดินผ่านเด็กฝึกบางคนที่ส่งเสียงทักทายและเปิดประตูเข้าไปยังห้องสำนักงานที่อยู่ด้านใน
เสียงสูดลมหายใจดังก้องรถที่เครื่องยนต์ดับสนิท ทิวาเปิดประตูรถเพื่อเดินตามลงไป ภายในห้องสำนักงานขนาดกะทัดรัดเย็นฉ่ำอย่างผิดสังเกต เจ้าของค่ายหรือลุงชาญชัยจะไม่เปิดแอร์ในห้องนี้ถ้าไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แล้วเขาก็พบกับต้นเหตุของความสิ้นเปลืองกำลังนั่งจ้องมาที่เขาด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก
“ไงครับมึง...มานี่ดิ๊ มานั่งข้างพี่เร็วๆน้อง” ทิวาถอนหายใจเฮือกโตกับเสียงเล็กเสียงน้อยของหนึ่งในเพื่อนสนิท ทินกรตบเบาะว่างข้างๆตัวเรียกเขาเข้าไปหา
“เร็วน่าทิว อย่ายึกยัก มึงไม่ใช่นางเอกนะ” เสียงของสารถีจำเป็นกระตุ้นซ้ำ มันแทบจะทำให้เขาหลุดจากความเศร้าเป็นความหงุดหงิดได้ง่ายๆ
ทิวาเดินไปนั่งด้านข้างเพื่อนที่อายุเท่ากัน ก่อนที่เพื่อนแก่กว่าจะเดินเข้ามานั่งสมทบอัดเขาแทบแบนด้วยความหนาของร่างกาย เขาไม่รู้ว่าทินกรมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้ยังไง แต่นั่นก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ถ้าจะเป็นเพราะจัญญาขันอาสาบอกต่อโดยไม่จำเป็น
“กูไม่อยากรู้ตอนเริ่ม บอกตอนจบมาเลยดีกว่า” ทิวาก้มหน้านิ่วกับคำถาม
“กูไม่รู้ว่ามึงพูดอะไรนะเทียน”
“ซีนนางเอกมันไม่โดน ถึงจะเป็นเมียเขาแต่มึงก็ควรเป็นพระเอกร่วมป่าววะ” วาจาของไอ้สารถีที่เคยมองว่าดี อดใจให้เขาฟาดมือลงกับหน้าตักมันไม่ได้ “อย่าแถ อย่าเฉไฉ ขอเหอะทิว กูนอนฟังทั้งคืนอ่ะ”
ไม่รู้ว่ามันฟังอะไรมาเมื่อคืน แต่สัญชาตญาณมันส่งเลือดขึ้นไปกองที่ใบหน้าจนร้อนผ่าวไปหมด แต่อย่าคิดว่าความเงียบจำทำให้ประเด็นถูกปิด เพราะประสบการณ์การเป็นเพื่อนเป็นน้องของสองคนนี้มาตั้งแต่เด็กทำให้รู้ว่ายามที่พวกนี้รวมตัวกันเมื่อไหร่ ปากแม่ค้าที่ว่าร้ายๆยังต้องพ่ายแพ้
“หือ? เสียงไรของมึงวะหมอ”
“อื๊อ อ๊า อี๊ โอ๊ว อู๊ว...แม่ง! กูผันวรรณยุกต์ตามแทบไม่ทัน” ไม่ตอบเปล่า ยังเสือกเลียนเสียงสูงต่ำให้คนรอฟังหัวเราะคิกคัก ส่วนตัวเขานั้นแทบอยากจะให้ธรณีสูบลงไปซะเดี๋ยวนี้
“ว๊ายๆๆ เพื่อนกูมีผัวอ่ะ”
“หล่อโคตรอ่ะกูจะบอก ถึงจะขี้เหร่กว่ากูนิดหน่อยก็เถอะ”
“ถุย!! อายปากบ้างนะที่พูด ขนาดคนหล่อแท้ๆอย่างกูยังไม่กระโตกกระตากเลย”
“อย่างมึงมันหล่อแบบสถุน คนอย่างกูน่ะหล่อแม่งมาจากจิตวิญญาณ หล่อตั้งแต่ขนสะมอยยันขนตาเลยนะมึง”
“ไหนๆ งั้นมึงดึงไอ้ขนที่ว่ามาให้กูดูดิ๊ จะเปรียบกับหน้ามึงให้”
“ชะหนอยไอ้เทียน อย่ามาทำริษยาใส่ แม้แต่ขนสะมอยกูยังดูดีกว่าเส้นผมมึงแล้วกัน”
“ไอ้จัญไร!”
“สลัดเหอะ กูชื่อจัญญา”
มันยากจริงๆ ยากเหลือเกินที่จะทำเป็นนิ่งจากศึกน้ำลายที่พ่นข้ามหัวเขาอยู่ตอนนี้ ทิวาหลุดขำออกมาเล็กน้อย แต่มันก็ยากจะหยุดลงได้กับบรรยากาศที่ไม่ได้รับมานาน ทิวาหัวเราะจนน้ำตาแทบไหล ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ จนกระทั่งเสียงหัวเราะจางหาย แต่น้ำตากลับยังไหลรินอยู่
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะมึง” ทินกรโอบบ่าผมไว้ ตบเบาๆปลอบโยน “ไอ้หมอโทรหากูตั้งแต่เมื่อคืนว่ามึงมีปัญหา นี่กูทิ้งเมียมาแต่เช้าเพราะมึงเลยนะ”
“บอกตรงๆว่ากูคนเดียวรับมือกับมึงในอารมณ์นี้ไม่ถูกหรอกว่ะ” หมอจัญญาพิงไหล่ผมราวกับคนหมดแรง
“ที่ไหนก็ได้ที่อยากไป กูจะพามึงไปเองทิว เพราะถ้าคนเข้มแข็งอย่างมึงอยากจะหนีขึ้นมา กูก็พอรู้ว่ามันที่สุดของแจ้แค่ไหน” ทินกรไม่ยอมแพ้พิงหัวลงมากับหัวของเขาบ้าง
“อย่าคิดว่าอยู่ลำพังสิวะ ถึงพวกกูจะดูพึ่งไม่ได้แต่ก็อยู่ข้างมึงมาตลอดนะทิว”
“ถ้ามึงอยากจะไป พวกกูก็ควรรู้จุดหมายของมึงบ้าง”
“ทีมึงไป มึงยังไปเงียบๆเลย” เขาแขวะไอ้คนพิงหัวเขาทั้งที่ยังสะอื้นเบาๆ เพราะชีวิตรักล่ม ทินกรถึงหนีหายไปเป็นปีๆ เพิ่งจะยอมพบปะเพื่อนก็ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มันปล่อยให้เขากับจัญญาวิ่งวุ่นตามหา ยังจะมีหน้ามาปากดีอีก
“พี่เทียนน่ะบุกป่าฝ่าดงตีนมาเยอะ ระดับมันต่างกันนักน้องทิวต้องเข้าใจนะครับ”
“มิน่า ไม่ได้ตายคาตีนสักที” แล้วแทนที่จะเป็นเรื่องเขาที่สองคนนี้ควรจะสนใจ กลับกลายเป็นว่าเขาต้องละความเศร้าทิ้งไปเพื่อมาทำหน้าที่เดิมๆ อย่างกรรมการห้ามศึกน้ำลาย
อย่างน้อยก็มีลุงชาญชัยที่เป็นที่พึงได้แม้ไม่ต้องอวดอ้างอะไรมาก ลุงแกไม่ถามอะไรสักนิด แค่พยักหน้าหลังจากทินกรหลานชายแกเล่าจบ แล้วเดินหายไปโทรศัพท์อยู่เกือบสิบนาที ลุงมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น
“ไปอยู่กับเพื่อนลุงสักพักนะ ค่อยๆคิด ค่อยๆจัดวางอนาคตให้ดี แล้วถ้าอยากจะอยู่ลำพังเมื่อไหร่ก็ค่อยบอก”
“ผมเกรงใจครับลุง เพื่อนลุงผมก็ไม่รู้จัก”
“มันเป็นคนดี ชนิดที่ว่าลุงฝากผีฝากไข้กับมันได้ ไปเถอะ ไอ้เทียนก็รู้จักคนบ้านนี้ ลุงพามันไปบ่อยตอนเด็ก”
มันไม่มีตัวเลือกมากมายกับคนที่ยังคลำทางชีวิตไม่เจอ เมื่อเขาตกลงก็เป็นทินกรที่อาสาขับรถไปส่ง เขายินดีให้รถที่ผ่อนมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจอดสนิทไว้ที่เดิม มันคงจะสบายใจกว่าถ้าจะไปแต่ตัวเปล่าๆ
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมาย แม้จะใกล้ชานเมืองแต่ที่นี่กลับมีสวนมากมายราวกับอยู่ในชนบท มีทั้งบ้านเรือนทันสมัยและบ้านไม้หลังเล็กๆริมน้ำ บ้านหลังนี้อยู่ต้นๆซอยที่ใกล้กับตลาด การเดินทางก็ค่อนข้างสะดวก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
บ้านปูนสองชั้นขนาดกะทัดรัด หากเนื้อที่รอบบริเวณกว้างขวาง มีสวนผัก กับผลไม้หลายสิบต้น ลุงพรเทพคือเจ้าของบ้านหลังนี้ ผิวขาวร่างท้วมกับตาตี่ๆที่ยิ้มทีแทบจะปิดกันมิดของแก ทำให้เขาคลายใจว่าลุงแกน่าจะเป็นคนใจดี แกอยู่กับลูกสาวชื่อแก้ว กับลูกเขยที่ชื่อต้น ทั้งสองคนต่างก็ยิ้มแย้มต้อนรับเขา พูดคุยแนะนำอย่างกับรู้จักกันมานาน
“แล้วทางบ้านมึงล่ะจะเอายังไง” ทินกรถามขึ้นเมื่อเขาเดินมาส่งมันขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน
“ไม่รู้สิเทียน ยังคิดอะไรไม่ออกเลย” มันโยกหัวเขาไปมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากลุงชาญชัย บอกลากันสั้นแล้วจากไป
ลุงพรเทพเป็นคนคุยสนุก แกหัวเราะเสียงดังกังวานทุกครั้งที่ลูกสาวกับลูกเขยแกพูดอะไรให้ขำขัน ต้นคุยให้เขาฟังว่าเป็นเด็กที่ลุงพรเทพแกเก็บมาเลี้ยง แต่เมื่อต้นกับแก้วเกิดรักชอบพอกัน ลุงแกก็ไม่คิดขัดขวางซ้ำยังช่วยส่งเสริม เพราะแก้วนั้นเป็นเด็กดี ส่วนต้นก็แสนขยัน มันเป็นภาพครอบครัวเล็กๆที่เขาเห็นแล้วชื่นในใจ
ทิวาเพียงแค่โทรไปหาเอกสิทธ์เพื่อขอลาพักร้อน เขาใช้ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ทำสิ่งหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ ช่วยลุงพรเทพเก็บผักไปขายในตลาด ลงต้นกล้าใหม่ในดิน แม้มือจะคลุกฝุ่นเปรอะเปื้อนแต่เขากลับยิ้มได้ ตอนเช้าตรู่ก็ช่วยแก้วเตรียมของไปขายที่ตลาด มันเป็นช่วงอาทิตย์นึงที่เขาไม่ต้องคิดอะไร
ยกเว้นเวลาค่ำคืน
หัวใจของเขาไม่สามารถลืมใครบางคนได้ง่ายๆอย่างที่ปากบอก รัตติกาลยังคืบคลานเข้าหาเขาในยามมืดมิดสมดั่งชื่อ มันสุข แต่ก็เหงา หากยิ่งคิดถึง มันก็ยิ่งทุกข์ ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ ‘ลืม’ ได้ซะที
“ลุงไม่อยากรู้เหรอว่าผมหนีอะไรมา” ทิวาถามขึ้นในช่วงเช้าของวันหนึ่ง ในวันที่ครบหนึ่งสัปดาห์ เขากับลุงพรเทพกำลังก้มๆเงยๆเด็ดต้นกระเพราเพื่อไปมัดขายในตอนเย็น
“แล้วมันอะไรล่ะ ทิวรู้แน่ชัดแล้วหรือลูกว่าหนีอะไรกันแน่” ลุงบอกเสียงเนิบนาบ มืออวบหยุดการกระทำพลอยให้เขาต้องหยุดตามเพื่อตั้งใจฟัง “คนเราน่ะเกิดมาเพื่อสู้กับอะไรหลายๆอย่าง แต่กลับกันมันก็มีอีกหลายๆอย่างที่เราต้องการจะหนี ต่อให้ใครจะมองว่าขี้ขลาดหรือเป็นไอ้ขี้แพ้หนีปัญหา แต่ลุงมองว่ามันคือเกราะที่ปกป้องเรา ตัวของเรา ใจของเรา ทิวเอ๊ย ชีวิตแกมันยังเพิ่งเริ่มต้น จะหนีเพื่อตั้งต้นใหม่ หรือจะถอยเพื่อตั้งหลักสู้ก็ทำไปเถอะ ขอให้มันเป็นทางที่ใจเราต้องการจริงๆก็พอ ถ้าที่ที่เคยอยู่มันเป็นแค่กล่องใบเล็กๆที่บีบเราจนแทบหายใจไม่ออก ก็ออกเดินทางไปตามหาสถานที่ใหม่เถอะ ที่ที่เราจะเป็นเราได้อย่างสมบูรณ์”
คำพูดของลุงทำให้เขาต้องกลับมานั่งคิด ว่าแท้จริงแล้วอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาจากมา
สุดท้ายเขาก็ส่งจดหมายลาออกโดยการฝากต้นให้ไปทิ้งไว้ที่ประชาสัมพันธ์ของบริษัท เพียงเท่านั้นจริงๆ แต่ราวกับว่าภูเขาครึ่งลูกในใจมันยกออกไป มันน่าจะเป็นสิ่งที่เขาควรทำตั้งนานแล้ว การตัดขาดกับครอบครัวนั้น แม้ว่าเขาจะรักพ่อและพี่ แต่การคงอยู่ของเขามันเหมือนเนื้อร้ายคอยกัดกินความรู้สึกของผู้หญิงสองคนมานานหนักนาแล้ว ทีนี้อติกานต์จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแรงทำตัวร้ายกาจใส่ใครอีก แม่ใหญ่คงจะยิ้มได้เต็มปากเสียที แต่เพื่อไม่ให้พ่อกับพี่วุ่นวายกันมาก เขาจึงโทรศัพท์ไปหาเอกสิทธิ์บ้างตามคำแนะนำของคนมีประสบการณ์อย่างทินกร
เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขารับงานออกแบบอิสระมาจากบริษัทของคนรู้จักเพื่อเลี้ยงปากท้อง แถมเป็นงานที่ทำอยู่กับบ้านนั้นยังช่วยให้เขามีเวลาทำสวนกับลุงพรเทพ ได้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟจำเป็นที่ร้านโจ๊กของแก้ว ได้วุ่นวายทั้งวี่ทั้งวัน เพื่อความเหนื่อยจะทำให้เขาหลับไปโดยไม่ต้องคิดถึงรัตติกาลมากนัก
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนเขาถึงต้องหนีหายไปจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ เพราะมันสบายใจ มันอิสระ อยากจะคิด อยากจะพูด เหมือนเขาได้ตัวตนของตัวเองกลับคืน
ทุกอย่างกำลังไปได้สวย
จนกระทั่ง...
“พี่ทิวมีคนมาหาพี่แน่ะ” เสียงแก้วเรียกดังขึ้น ทำให้เขาต้องละจากงานบนหน้าจอคอมฯเพื่อเดินออมาดูแขกด้วยความสงสัย ถ้าจะเป็นหมอจัญหรือทินกร ไอ้เรื่องมารยาทน่ะสอบตกไปได้เลย แม้เจ้าบ้านจะไม่อยู่หรือไม่เต็มใจจะเชิญพวกมันสองคนก็คงจะเดินบุกเข้าไปหาเขาถึงห้อง แต่คนมารยาทดีที่ทำให้แก้วต้องเรียกเขานี่คือใครกัน
“สวัสดีจ้ะ จำฉันได้มั้ย?”
ทำไมเขาจะจำไม่ได้ ในเมื่อผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของคนที่เขารัก
“คุณ...” คำถามที่ว่ามาทำอะไรที่นี่มันติดอยู่ในคอ แต่ยิ่งกว่าคำถามนั้นคือ รู้ได้ยังไง?
“คุณลุงคุณป้านั่งก่อนนะคะ” แก้วทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เชื้อเชิญคนสองคนให้มานั่งที่โซฟาไม้แข็งๆใต้บันไดไม้ เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นใครอีกคนที่มาด้วยกัน ผู้ชายวัยปลายที่ยังดูดีในชุดสูทราคาแพง
หลังจากที่แก้วเอาน้ำมาวางไว้ตรงหน้าแขกแล้วขอตัวออกไปข้างนอก ความเงียบก็แทบจะกลืนกินบ้านแสนอบอุ่นนี้ทันที ทิวาอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก การที่อยู่โดยไม่ต้องเก็บความต้องการของตัวเองมันทำให้เขาชักจะไม่คุ้นชินกับบรรยากาศเดิมๆ
“เธอคงรู้จักภรรยาฉันแล้ว” ชายอีกคนพูดขึ้นก่อน ทิวาหันไปมองอย่างเต็มตา ถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนนี้ก็คือพ่อของรัตติกาลสินะ จะว่าไป ทั้งรูปร่าง ส่วนสูง หรือเค้าโครงหน้าก็ได้รับกันมาแบบไม่ผิดเพี้ยน “เธอชื่อทิวาสินะ”
ทิวาพยักหน้ารับน้ำเสียงเนิบนาบแสนสุภาพ
“ก่อนอื่นฉันต้องขอโทษเธอจริงๆ ไม่รู้เลยว่าลูกชายฉันจะเคยทำเรื่องเลวๆกับเธอเอาไว้”
เขาไม่รู้ว่าดวงตาเขามันโตได้ขนาดไหน แต่เขาก็เบิกมันออกด้วยความตกใจ เรื่องเลวๆที่คนคนนี้พูดถึงคืออะไร คงไม่ใช่ว่า...
“เจ้าเดียวมันสารภาพกับแม่เขาหมดทุกอย่าง ฉันที่เป็นพ่ออบรมสั่งสอนลูกไม่ดี ทำให้เธอต้องเจอเรื่องร้ายๆแบบนั้น”
เพราะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว...ถึงได้ตามมาอย่างนั้นหรือ หรือเพราะว่าเขาหนีได้ไม่ไกลพอ...
“คุณตรี...” เสียงนุ่มๆเรียกคนข้างๆคล้ายกระตุ้น และนั่นทำให้เขาได้ยินในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด
“ฉันขอโทษนะทิวา เป็นเพราะความใจร้อนทำให้ฉันพูดอะไรไม่ดีกับเธอไปหลายย่าง”
ทิวาของผู้หญิงคราวแม่ตรงหน้าแน่นิ่ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องมีปฏิกิริยาอย่างไรกับสีหน้าเจ็บปวดใจที่ได้เห็น ขอบตาของคนตรงหน้าระเรื่อแดงเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ มันดูสมจริงเกินกว่าจะคิดว่าเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ
“ช่างมันเถอะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“ไม่! ฉันขอโทษจริงๆ แต่ได้โปรดเถอะนะทิวา” เสียงแม่ของรัตติกาลเริ่มสั่นเครือ
“กลับไปหาเดียวได้มั้ย”
“......................”
“เดียวแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ตอนเธอไปก็เอาแต่ดื่มเหล้า”
“......................”
“ตอนนี้ก็ทำงานไม่ได้พัก ร่างกายก็โทรมลงทุกวัน”
“....................”
“เดียวเหมือนคนใกล้ตายทุกวัน ฉันขอเธอล่ะ กลับไปหาเดียวเถอะนะ”
ในอกมันเจ็บราวกับมีใครลงมีดกรีด ทำไมต้องให้เขามารับรู้ด้วยว่ารัตติกาลเป็นอย่างไร ทำไมต้องมาตอกย้ำให้รู้ว่าเขายังรักรัตติกาลมากแค่ไหน มันอาจจะดีกว่าถ้าได้ฟังว่ารัตติกาลเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน
“ผม...ทำตามความต้องการของคุณแล้ว” เสียงที่ไม่ต่างจากการกระซิบเอ่ยตอบ “เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง อีกหน่อยเขาก็คงเป็นเหมือนเดิม”
“แต่...”
“ให้เวลาเป็นตัวตัดสินเถอะครับ เดียว...” แค่เพียงชื่อที่เรียกก็ทำเอาลำคอแห้งผากอย่างน่าใจหาย “มันก็แค่ความหลงชั่วครู่อย่างที่คุณว่าไว้ แล้วเขาจะลืมผมไปเอง คุณอย่ากังวลเลยนะครับ”
“ฉันรู้ดีว่าไม่... เธอไม่ได้เห็น เธอไม่”
“คุณตรี!” เสียงร่ำร้องของคนเป็นแม่ถูกหยุดด้วยคำเรียกหนักแน่น “พวกเรามาที่นี่เพื่อจะขอโทษและบอกว่าฉันยินดีถ้าเธอจะกลับไปด้วยกัน จะไม่มีการกีดขวางใดใดทั้งสิ้น แต่ถ้าเธอยังลังเล ฉันก็อยากจะขอโอกาสสักครั้ง ถ้ายังรักก็กลับไปอยู่ด้วยกันเถอะนะ”
รักสิ!!เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเลิกรักได้ยังไง
“ฉันจะยังไม่บอกเดียวเรื่องที่เจอเธอ บางทีเธออาจจะต้องใช้เวลาในการตัดสินใจอีกครั้ง ถ้าเวลาจะพิสูจน์ใจคนได้งั้นเราก็มาดูกันเถอะว่าอีกกี่เดือนหรือกี่ปีกว่าลูกชายฉันจะลืมเธอ”
เวลา...สิ่งที่น่ากลัวนั่นน่ะหรอ
“แต่ถ้าเธอยังรักและให้อภัยพวกเราได้แล้ว ก็กลับมาหาเดียวเถอะนะ”
แม้จะผ่านไปหลายเดือนแต่ทิวาก็ยังไม่ลืมคำพูดในวันนั้น เวลาที่ผ่านมันทำให้ใจเขาสงบขึ้นมาก แต่กับใครอีกคนนั้น...
แม่ของรัตติกาลยังคอยวนเวียนมาหาเขาแทบทุกอาทิตย์ เพื่อบอกเล่าว่าลูกชายตัวเองเป็นยังไง ย่ำแย่แค่ไหน ราวกับจะตอกย้ำซ้ำเติมให้เขาไม่ลืม
เขายังรัก แม้จะผ่านเวลาไปขนาดไหน ความรู้สึกนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย อยากจะเห็นหน้า อยากจะกอด อยากจะฟังเสียง
แต่เขากลับกลัวใจตัวเอง...
ยิ่งได้อิสระ ยิ่งมีเสรี ก็ยิ่งเหมือนว่าตัวเองเปลี่ยนไป เขาทำตามความต้องการของตัวเองจนเริ่มชิน แต่มีแค่การกลับไปหารัตติกาลเท่านั้นที่เขาไม่กล้าพอ ถ้าตัวเองเปลี่ยนไป ถ้าไม่ใช่คนเดิมที่ผู้ชายคนนั้นต้องการ ถ้าความรักมันจะทำให้เขามีนิสัยน่าชิงชังขึ้นมาล่ะ ยิ่งเขากระหายในความรักความอบอุ่นมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งไม่ต้องการเผื่อแผ่สิ่งเหล่านั้นให้ใคร
หลุมดำที่มันอยู่ในใจลึกๆ มันเริ่มจะขยายวงกว้างปล่อยความน่าเกลียดฉายชัดออกมา
ตัวเขาที่คิดแบบนั้น...
รัตติกาลจะยังรักได้อยู่เหรอ
_____________________________________________________________ TBC. __________________มาแบบสดๆร้อนๆ รวดเร็วจนน่ากลัว

ตอนนี้ยาวที่สุดเท่าที่แต่งมาเลยทีเดียว ขอไปปั่นเรื่องอื่นบ้างนะจ๊ะ

จ๊วบบบบ

รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN