- 3 -“เป็นเช่นไร เจ้าคำนึงถึงเรื่องราวใดอยู่” เหนือหัวธรณินตรัสถามบุรุษซึ่งรับตำแหน่งองครักษ์คู่พระทัย
ชนิดไม่ห่างสายพระเนตรแม้แต่น้อย หลังทรงได้รับพระอนุญาตจากรัชทายาทไตรคาน
ให้กลกะลาทำตามหัวใจ ซึ่งองครักษ์หนุ่มเลือกขอใช้ชีวิตอยู่เวฬุวรรณนคร
รับตำแหน่งในฐานะองครักษ์คู่พระทัยเหนือหัวธรณิน
ที่มีผู้คนวงในรับรู้ว่าทั้งคู่หาใช่เพียงองครักษ์กับนายเหนือหัวปกติทั่วไป กลับเป็นคนรักกันไปเสียแล้ว
กลกะลามิอาจรับพระกรุณา อภิเษกสมรสกับเหนือหัวดุจผักตบร่วมพิธีอภิเษกองค์ชายวายุภักษ์
ด้วยเขาแตกต่าง แม้จะได้รับความรักจากเหนือหัวโปรดปราน โดยไม่เหลือสายพระเนตรมอบให้แก่สตรีหรือบุรุษใด
เขามิลำพองตนให้เป็นที่ครหา สร้างความดูแคลนให้พระองค์ เพราะอดีตเขาคือเชลยสงคราม
ศักดิ์ฐานะมิใช่ขัตติยราชนิกุลจึงไม่อาจใฝ่สูงไขว่คว้าตำแหน่งพระมเหสี
แทนองค์หญิงทิพย์เกสรแห่งไอยรานครเป็นอันขาด กระนั้นก็ได้รับสัตย์สาบานจากคนรักเหนือหัวธรณิน
พระองค์จักไม่อภิเษกพระมเหสีหรือรับพระสนมเด็ดขาด จักมิคิดนอกกายนอกใจองครักษ์พิทักษ์พระทัยผู้นี้เสียแล้ว
“ข้าเพียงคิดถึงพระโอรสน้อย ผ่านมา 6 ปี ทรงกำลังซุกซนกระมัง
หากพอมีเพลา คิดชักชวนท่านไปเยี่ยมเยือนยังไตรคานสักหน”
“ข้าก็คิดถึงโอรสเช่นกัน ป่านนี้เป็นเยี่ยงไรเล่าหนอ” เหนือหัวทรงรับสั่งกับองครักษ์คู่พระทัย
พร้อมโอบพระกรดึงคนที่ยืนเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างห้องบรรทม เขาอิงแอบแนบพระอุระด้วยความอ่อนโยน
กลกะลาไม่ได้ขืนตัวต้าน กลับยินยอมโอนอ่อนอิงซบอุระแกร่งโดยแนบแผ่นหลังบนพระวรกายสูงใหญ่ของฝ่ายซ้อนทับ
ทั้งคู่ต่างทอดมองไปยังดวงตะวันชิงพลบ ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้ายามเย็น
ทอแสงสีส้มแดงนำพาภวังค์ความคิดให้ล่องลอยไปไกล
“เขาเป็นโอรสท่าน กลับองอาจหนักแน่นมิต่างเหนือหัววายุภักษ์ หาได้มีนิสัยเช่นท่านแม้แต่น้อย”
กลกะลากลับกล่าวตามข้อเท็จจริง
“นั่นข้ามิอาจโต้แย้งเจ้าได้ ถือว่าข้าภูมิใจที่เขารับนิสัยน่ายกย่องของกษัตริย์ไตรคานได้อย่างดียิ่ง”
เหนือหัวธรณินไม่ได้รู้สึกผิดหวัง พระโอรสของพระองค์มีพระอุปนิสัย
ถอดแบบเหนือหัวคุณธรรมเป็นที่เคารพรักไปทั่วแว่นแคว้น ดังกษัตริย์วายุภักษ์มาแล้ว
“เอาเถอะ..ถือเป็นความลงตัวสมควรยกย่อง ข้าเห็นด้วยกับท่าน กระนั้นกลับแปลกใจนัก
องค์ชายสุริยันโอรสท่านคล้ายเหนือหัววายุภักษ์ ไฉนเลยพระโอรสในสายพระโลหิต
กลับมิคล้ายคลึงผู้ใด ทรงงดงามน่าทะนุถนอมผิดแปลกบุรุษไปแล้ว
พระศิริโฉมกระทั่งกุลธิดาทั่งหลายยังอาย เมื่อเทียบองค์ชาย 'ดารา' ถึงตอนนี้ข้าใคร่ไปเยือนให้หายคิดถึงยิ่ง”
“เช่นนั้นข้าจักรีบสะสางราชการ เพื่อจักเดินทางไปไตรคานเยี่ยมเยือนพวกเขาแล้ว
ที่ลืมไม่ได้..ชลธารน้องหญิงของข้ามิรู้นางกับหญิงอ้าย เป็นเช่นไรบ้าง
ปานนี้คงวุ่นวายหัวหมุนอยู่กับการดูแลหลานทั้งสองหรือไม่ ยังดีตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น
ชลธารมิต่างจากคนธรรมดาสามัญ กลับไร้ซึ่งเทพมหาธาตุครอบครองอีกต่อไป
กระนั้นหญิงอ้ายศศิธร ก็มิได้หมางเมินต่อนาง ถือว่าพวกนางทั้งสองมีใจรักมั่นคงเด็ดเดี่ยวยิ่ง
ข้าสมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง มิให้ผู้ใดต้องกล่าวหาข้าได้ภายหลัง จักรักดูแลเจ้าไปชั่วชีวิตข้า”
กลกะลาเบี่ยงร่างออกจากอ้อมพระกร หันมาเผชิญพระองค์ ดวงตาดำสนิทจ้องสบสายพระเนตรคมเข้ม
ที่ทอดอ่อนลึกซึ้งไม่เคยเปลี่ยน แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี เขายังคงได้รับการเอาใจใส่ดังเดิม
“ขอบพระทัย..พะยะค่ะ” เป็นวาจาที่เขาเอ่ย ถือวิสาสะประกบริมฝีปากลงบนโอษฐ์หยัก
อย่างไม่คำนึงความเหมาะสม ยามได้อยู่ร่วมกันเพียงลำพัง เขารู้แค่ว่ามหาราชองค์นี้
คือบุรุษที่เขารักและเทิดทูนจ้าวหัวใจของเขาเท่านั้น หาใช่ราชาที่ต้องระวังกิริยาแต่ประการใด
นอกจากแสดงออกทั้งกาย วาจา ใจ ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เขาเองก็รักพระองค์ไม่ยิ่งหย่อน
จึงไม่ลังเลเป็นคนเริ่มชักนำเหนือหัวธรณิน สู่ภารกิจของการปลดปล่อยพระอารมณ์กำหนัด ด้วยการสังวาสอันแสนหวาน...
>
>
“คุณ..ลูกยังไม่กลับจากตำหนักพี่หญิงธารเหรอ” ผักตบถามสวามี บัดนี้ทรงสถาปนาเป็นกษัตริย์ได้สี่ปีแล้ว
หลังเหตุการณ์เลวร้ายได้ล่วงเลยผ่านมาถึง 7 ปี ทั้งสองก็มีโอรสเป็นแก้วตาดวงใจ 2 พระองค์
องค์โตมีนามว่าสุริยัน..ด้วยเกิดก่อนสองปี จากการตรวจไม่ผิดเพี้ยน เป็นสายพระโลหิตของเหนือหัวธรณิน
พระองค์กลับถือครองเทพมหาธาตุอัคคีมาจุติ มีเกศาสีแดงเพลิง พร้อมปานเทพมหาธาตุอัคคีตรงอกซ้าย
สำคัญเป็นมหาธาตทรงอานุภาพ เพียงมีโทสะกลับสร้างเปลวไฟร้อนระอุ
ขึ้นเผาผลาญรุนแรงถึงขั้นหลอมละลายเหล็กกล้า หรือคมดาบให้มอดไหม้ไปได้ทีเดียว
ทั้งที่มีชันษาเพียง 6 ขวบ กลับสุขุมนิ่งขรึม ไม่พูดมากนึกคิดเกินวัยหลายปี ฉลาดหลักแหลมเรียนรู้เร็ว
ไม่ว่าเพลงอาวุธหรือทักษะต่อสู้ วิทยาการต่างๆ การปกครองประวัติศาสตร์ทรงแตกฉานรอบรู้ไม่น่าเชื่อ
เพียงแค่ได้อ่านรอบเดียว กลับจดจำทุกบรรทัดเป็นอัจฉริยะบุคคลไปแล้ว
พระองค์เป็นที่โปรดปรานยิ่งสำหรับเหนือหัววายุภักษ์ ที่ไม่เคยแบ่งแยกว่าพระโอรสคือสายพระโลหิตของผู้ใด
ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับพระครรภ์ของพระชายาผักตบ เพราะพวกเขากลับเข้าใจว่าผักตบมีพระครรภ์แฝด
แต่แล้วกลับเป็นหน่อเนื้อของเหนือหัวธรณิน ถือประสูติตามเวลา 10 เดือน
ในขณะที่พระโอรสเลือดเนื้อสายพระโลหิตของเหนือหัววายุภักษ์กับผักตบแท้จริง ดันฟูมฟักอยู่ในครรภ์ถึง 2 ปี
เป็นเพราะในขณะที่ต้องรับเป็นพระมารดาอุ้มบุญนั้น องค์ชายสุริยันช่วงอยู่ในครรภ์ดูดซับพลังเทพมหาธาตุอัคคีของผักตบ
เกิดความร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โอรสน้อยของพวกเขาจึงห่อหุ้มพระวรกายตนด้วยมหาธาตุวารี
ประหนึ่งจำศีลยาวนาน ผลลัพธ์เขาจึงท้องลูกแท้ๆ 24 เดือน กว่าจะลืมตาออกมาดูโลกภายนอก
ส่วนองค์ชายสุริยัน ทรงรับทราบเรื่องราวการประสูติของพระองค์ เกี่ยวกับพระบิดาที่แท้จริง
เพราะผักตบกับพระสวามีมิคิดปิดบัง กระนั้นก็ทรงเลือกที่จะอยู่ไตรคาน ร่วมกับผักตบและเหนือหัววายุภักษ์
มากกว่าจะไปอยู่เวฬุวรรณนคร ด้วยทุกคนต่างรู้ดีว่า สาเหตุที่พระโอรสผู้นี้ไม่ไปอยู่กับพระบิดาที่แท้จริง
ทั้งที่รู้ความทุกอย่าง มีเพียงเหตุผลเดียว กำลังจะเฉลย ในขณะผักตบพำนักที่พระตำหนักภายในห้องบรรทม
ปล่อยพระสวามีทรงงานตามภารกิจที่ต้องสะสาง
“เสด็จแม่ ต้องลงโทษเจ้าพี่สุริยันให้ข้า” เสียงเล็กใสดุจนกการเวก ที่ดังก่อนปรากฏวรกาย
เป็นใครไม่ได้นอกจากพระโอรสหัวแก้วหัวแหวน ดวงใจของเหล่าข้าทาสบริวารผู้รับใช้ รวมถึงผักตบและเหนือหัววายุภักษ์
“เป็นอะไร..ใครทำอะไรให้อีก” ผักตบอ้าแขนรับร่างเล็กขาวหยวก ถ้าเป็นโลกที่เขาเคยอยู่ยุคไฮเทค
คงต้องบอกว่าขาวยังกับหลอดนีออน เหมาะแล้วที่จะใช้เปรียบลูกชายวัย 4 ขวบผู้นี้
ตัวเล็กโอษฐ์นิด นาสิกน่ารักน่าชัง ดวงเนตรกลมโต ขนพระเนตรยาวงอนดุจทารกแขกในภาพเขียนที่ผักตบเคยเห็น
วรองค์บอบบางประดุจกุลธิดามากกว่าเป็นกุลบุตร สำคัญพักตร์กลมบ็อกพวงแก้มยุ้ยอมชมพูอีก
พระโอษฐ์กระจิดริดบางเล็กเสียด้วย กับมีสีชมพูเรื่อเงาวาวอยู่ตลอดเวลา
น่าแปลกเขาไม่คิดว่าลูกแท้ๆ ในสายเลือดจะออกมางดงามอย่างกับเด็กผู้หญิงแบบนี้
แทบไม่อยากเชื่อคือ องค์ดาราถือเทพมหาธาตุวารีจุติ แถมเป็นมหาธาตุที่ทรงอานุภาพไม่ต่างองค์สุริยัน
มีอานุภาพชนิดทำให้เกิดมหาสมุทร ท่วมแผ่นดินทะเลทรายได้พริบตา เพียงพระองค์กันแสง
มวลมหาวารีก็พร้อมใจกันหลั่งไหล จนไม่มีใครกล้าขัดพระทัย ให้พระองค์หลั่งอัสสุชลอีกเลย
ยังดีได้ผักตบกับเหนือหัว ทำให้เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ไม่เกิดขึ้น
เพราะเกราะมหาธาตุพ่อแม่รวมกำลังกันถึงจะเอาอยู่ คิดดูว่าลูกของพวกเขามีพลังยิ่งใหญ่แค่ไหน
ถึงกับพ่อหรือแม่เพียงคนเดียว ต้านไม่ได้กันทีเดียว ทั้งที่ยังเยาว์พระวัย..
“อย่าทำหน้าบึ้งแบบนี้ครับ บอกก่อนโดนใครรังแก” ผักตบอมยิ้ม
กับท่าทางปากยื่นพองแก้มไม่สบอารมณ์ของลูกชาย ที่กำลังอุ้มอยู่ขณะนี้
ขนตางอนยาวหลุบปิดตากลมโต ค่อยช้อนมองเขาคลอรื้นไปด้วยน้ำจนเขาตกใจรีบร้องห้ามวุ่นวาย
“โอ๋ๆ ไม่ร้องครับไม่ร้อง ดาราจะให้น้ำท่วมพสกนิกรหรือ ไม่ร้องนะครับคนเก่ง บอกแม่ใครทำให้ลูกไม่พอใจ”
นี่คือเหตุผลที่ผักตบไม่สามารถให้ลูกร้องไห้เป็นอันขาด ขืนหยดน้ำตาร่วงแผละ
มีอันสายน้ำมหาศาลจะหลั่งไหลเข้าท่วมไตรคานแน่ เดือดร้อนเขากับพระสวามีต้องออกแรงแทบหมด
สร้างเกราะมหาธาตุต้านเอาไว้ กระนั้นก็ต้องมีคนปลอบเจ้าตัวร้ายนี้ให้หยุดร้องด้วย ไม่งั้นสายน้ำก็ไม่หายไปเช่นกัน
“เจ้าพี่สุริยันแกล้งข้า” โอรสน้อยฟ้องเสียงเบา ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาผักตบตอบ
“ลูกดื้อกับพี่เขาหรือเปล่า แน่ใจพี่สุริยันแกล้งหืม” ผักตบแม้จะรักลูกมากแต่ก็ไม่เข้าข้าง
ถ้าออกอาการแบบนี้แสดงว่าเจ้าตัวร้ายในอ้อมแขน คือผู้ที่ก่อเรื่องก่อนแน่นอน
“ข้าเปล่าดื้อเสียหน่อย เจ้าพี่สุริยันต่างหาก ไม่ยอมให้ข้าฟันดาบ ห้ามไม่ให้ใช้ดาบจริงฝึกซ้อม”
ผักตบส่ายหัวให้กับคำตอบ พร้อมกับไม่อาจห้ามรอยยิ้มของตัวเองได้ด้วย เขาเข้าใจแล้วเกิดอะไรขึ้น
“เป็นแบบนี้ยังกล้าบอกเหรอครับ ว่าไม่ได้ดื้อ..ดารารู้ใช่ไหมว่าเรายังไม่ถึงเวลาที่จะใช้ดาบจริง”
เขาพยายามตะล่อมใช้เหตุผลเข้าคุย
“แต่ข้าสามารถกระทำได้แล้ว ใยต้องห้ามมิให้ใช้ด้วย เจ้าพี่สุริยันเองกลับใช้ได้
ข้าก็ต้องการทดลองบ้าง ฝึกแต่ดาบไม้ไม่สนุกนี่” นอกจากจะขี้ฟ้องแล้ว ยังมีเหตุผลมาโต้เถียงอีกต่างหาก
“คึคึ!! เอาล่ะแม่รู้แล้วว่าดาราใช้ดาบจริงได้
แต่มันเป็นกฎนะครับลูกเป็นองค์ชายจะทำผิดกฎเป็นเยี่ยงอย่างไม่ได้ เข้าใจไหมครับ”
ผักตบค่อยตะล่อมสอนอย่างใจเย็น เขาไม่รู้สึกแปลกหูอีกแล้ว
หลังจากแรกเริ่มแม่เล็กให้เขาแทนตัวว่าแม่กับลูก เพราะไม่อาจให้เรียกว่าพ่อสองคน
เด็กจะไม่เข้าใจและงงในสิ่งที่ไม่มีคำตอบ เขาจึงต้องยอมรับต่อฐานะนี้อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“ข้า..ข้า” องค์ชายน้อยหาคำแย้งพระมารดาไม่ได้ จึงก้มพักตร์งุด
พวงแก้มอวบอูมแดงแปร๊ด!! อย่างน่าหยิกเป็นที่สุด
“เสด็จแม่พะยะค่ะ ข้าขอประทานอภัยที่เป็นต้นเหตุให้ดาราโกรธ”
มาแล้วศีรษะแดงเพลิงเด่นมาแต่ไกล รูปร่างสูงใหญ่กว่าวัยเดียวกันไปมาก
บางทีอดคิดไม่ได้ว่าสุริยันหรือเปล่า ที่เป็นสายโลหิตของเขากับเหนือหัววายุภักษ์พระสวามี
หาใช่ดาราที่ดูบอบบางเหมือนเด็กผู้หญิงคนนี้
แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า มหาโหราผู้เฒ่าและทีมหมอหลวงผู้เชี่ยวชาญเก่งกาจ
ต่างระบุตรงกันไม่ผิด สุริยันคือการหลอมรวมจากสายพระโลหิตกับตะขาบแก้ว
ดึงดูดเทพมหาธาตุไว้ด้วยกัน จนทำให้รูปลักษณ์ออกมาแบบนี้ พร้อมถือครองมหาธาตุอัคคีอยู่เต็มเปี่ยม
เพราะตะขาบแก้วกับสายพระโลหิตดูดซับ พลังมหาธาตุอัคคีของผักตบชนิดเดียว
จนตอนนี้ผักตบไม่สามารถใช้อัคคีมหาธาตุได้อีกต่อไป
“อะไรอีกสุริยัน ลูกตามใจน้องแบบนี้ ถึงทำให้น้องเสียนิสัยเอาแต่ใจแล้วนะครับ”
ผักตบบอกลูกชายคนโต พระโขนงเข้มพักตร์คมคาย นาสิกโด่งเป็นสันคม
ผสมลงตัวออกแววหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องคิดว่าโตขึ้นจะหล่อแค่ไหน
“ข้ามิได้ตามใจน้องขอรับท่านแม่ เพียงข้าขัดใจดารามิให้ใช้ดาบ ข้าไม่อยากเห็นน้องบาดเจ็บ”
สุรเสียงแผ่วต่ำพูดตอบ ก่อนแอบชำเลืองเนตรคมยังพักตร์อวบอูมแดงแปร๊ดในวงแขนพระมารดา
เหมือนของอนง้อ ฝ่ายตัวเล็กจ้อยเม้มโอษฐ์พองแก้ม ไม่ยอมเหลียวแลผู้เป็นพี่ชายสักนิด
“ดารา..พี่ขอโทษเจ้า พี่สัญญาหากเจ้าโตอีกหน่อย พี่จะเป็นผู้ฝึกดาบกับเจ้าเอง หายโกรธพี่ได้หรือไม่”
ผักตบนิ่งไม่ขัดลูกชายคนโต ที่กำลังงอนง้อเจ้าตัวร้ายแสนงอนในอ้อมแขน พอได้ฟังพี่ชายตรัสเสียงนุ่ม
มีแอบชำเลืองเนตรกลมโตลอบมองคนง้อแล้ว
“สัญญานะ” ก่อนเปล่งสุรเสียงเล็กใส ย้ำถามกลับไป
“พี่สัญญา” ฝ่ายผู้พี่รีบรับคำ
“แต่กว่าข้าจักเติบโตอีกตั้งหลายปี หาใช่เวลาอันใกล้นี้เสียหน่อย
ถ้าจะให้ข้าหายโกรธ..เจ้าพี่ท่านต้องให้ข้าขี่ม้า ยอมเป็นม้าให้ข้าหรือไม่”
เจ้าตัวร้ายต่อรองอย่างเอาเปรียบ ผักตบกลั้นขำดูลูกชายคนโตจะตอบยังไง
ถึงแม้จะรู้คำตอบล่วงหน้าแทบไม่ต้องเดา
“หากเจ้ายังให้ท่านแม่อุ้มอยู่แบบนี้ เมื่อไหร่เจ้าจักได้ขี่ม้ากันเล่า”
ผักตบแถมปล่อยก๊ากหลุดหัวเราะ หลังได้ยินคำตอบคนเป็นพี่
“ท่านแม่ ท่านปล่อยข้าลงเถิด ข้าจักขี่ม้า”
สุดท้ายตัวร้ายก็หันมาอ้อนพระมารดา ด้วยการทำดวงเนตรน่าสงสารได้น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
“ก็ได้ แต่ต้องหอมแก้มแม่ก่อน” ผักตบยื่นเงื่อนไข ไม่ต้องรอนานแก้มซ้ายขวาเต็มไปด้วยคราบน้ำลาย
ซึ่งลูกชายคนเล็กไม่เพียงหอมปกติ แอบเลียแก้มแม่ข้างละที เขาเลยแฉะน้ำลายอย่างที่เห็น
“ดูแลน้องนะครับ ระวังน้องตก” ผักตบจำต้องส่งตัวร้ายขึ้นหลังพี่ชายผู้ขันอาสาเป็นม้า ที่ดูท่าทางเต็มใจบริการเป็นอย่างยิ่ง
“ขอรับท่านแม่ ข้าจักมิยอมให้ดาราบาดเจ็บ” นี่คือสาเหตุหลักที่องค์ชายสุริยันไม่ยอมไปไหน
พระองค์ทรงหวงแหนพระอนุชาดารายิ่งชีวิต บุตรธิดาของเหล่าขุนนางอำมาตย์ในวัง
ซึ่งเป็นพระสหายของสองพระองค์ สามารถเป็นเพื่อนเล่นได้ แต่ห้ามถึงเนื้อถึงตัวองค์ชายดาราเป็นอันขาด
ไม่เช่นนั้นได้ร้องไห้เป็นเรื่องเป็นราวไปตามกัน
พระองค์หวงชนิดไม่ให้ใครแตะต้ององค์ชายน้อย ยกเว้นท่านพ่อ ท่านแม่ผักตบ เสด็จปู่ เสด็จย่า เสด็จยายเล็ก
ป้าหญิงธาร น้าหญิงศศิธร กระทั่งเหล่านางกำนัลยังต้องขออนุญาตพระองค์เสียก่อน
สองพระโอรสกระเตงกันออกจากห้องบรรทม ผักตบยืนอมยิ้มขำตามหลัง
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีสุริยันก็ยังติดน้องแจ ไม่มีอะไรทำให้ลูกชายของเขาสนใจ เท่ากับน้องชายบนหลังของเขาอีกแล้ว
“เจ้ายิ้มกริ่มอันใดมเหสีข้า” เหนือหัววายุภักษ์ทรงเสด็จเข้าในห้อง ก่อนรับสั่งถามพระมเหสี
“ผมขำลูกครับ สุริยันแพ้ทางดารายอมน้องตลอด แบบนี้อีกหน่อย
เจ้าตัวร้ายของเราคงเอาแต่ใจเสียนิสัยพอดี” ผักตบบอกพระสวามีตามตรง
“หึหึ! สุริยันหวงดารา กระนั้นยังมีเหตุผลในบางเรื่องที่มิตามใจอยู่
ได้ข่าวดารามาฟ้องเจ้า ว่าสุริยันขัดใจมิใช่หรือ” องค์ชายวายุภักษ์ตรัสถาม
“คุณรู้ด้วยหรือ” เขาอดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้
“ก่อนหน้าไปฟ้องเราแล้ว แต่เราวุ่นวายภารกิจราชการ จึงแนะให้มาขอคำปรึกษาเจ้าดอก
ใยจักคาดเดาไม่ถูก” พระองค์ทรงเฉลย
“เป็นแบบนี้เอง ก็อย่างที่คุณบอกแหละครับ” ผักตบยอมรับ
“นั่นย่อมบ่งบอก สุริยันมิตามใจดาราเสียทุกเรื่อง ถึงไม่ยินยอมให้ดาราใช้ดาบจริงฝึกซ้อมเยี่ยงไร” องค์ชายวายุภักษ์ทรงสรุป
“จริงด้วยครับ..แต่สุดท้ายก็ตามมาง้อน้อง” ผักตบยิ้มกว้าง
“นั่นเป็นเพราะรักมากเยี่ยงไร เอาเถอะเพลานี้เรากลับคิดถึงเจ้า
พอจักให้ความรักแก่เราได้หรือไม่ มเหสีที่น่ารักยิ่ง” พระองค์เปลี่ยนมาอ้อนผักตบเฉย
“อ้าว! ยังไม่ค่ำมืดเลย นึกยังไงถึงอ้อนผมหืม” เขาทั้งเขินทั้งอาย แม้จะหลับนอนมีอะไรกันมาไม่ถ้วน
พอเจอรุกขอตรงๆ บางทีก็เขินเอาเรื่อง
“เราเหนื่อยล้ากับงานราชการ มีเพียงเจ้าเท่านั้นจักช่วยให้เราหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
สะสางเสร็จก็รีบกลับมาหาเจ้าทันที” พระสุรเสียงทุ้มนุ่มไม่ว่าจะกี่ปี
กลับมีมนต์เสน่ห์ทำให้ผักตบไม่สามารถปฏิเสธสวามีสักที ด้วยนอกจากอ้อนด้วยน้ำเสียงแล้ว
ยังทอดเนตรคมวาวหวานฉ่ำมาให้อีก แบบนี้เขาก็ใจอ่อนไปเกินครึ่งแล้ว
“ก็ได้ครับ แต่อย่าใช้เวลานานนักนะ เย็นนี้ต้องพาลูกร่วมโต๊ะเสวยกับพวกท่านพ่อ
ท่านแม่และพี่หญิงธารด้วย” สุดท้ายผักตบก็ยินยอมให้เหนือหัววายุภักษ์ จับจูงไปยังเตียงบรรทม
ร่วมใช้เวลาสร้างความสุขกาย ใจร่วมกัน ไม่มีคำว่าจืดจางตามกาลเวลา ความสุขของพวกเขา
หาได้มีเพียงสองเรา นอกจากจะต่างฝ่ายต่างเติมเต็มให้กันไม่ห่างหาย ล้วนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของแม่เล็ก
พระพักตร์อบอุ่นแย้มสรวลตลอดเวลาของอดีตเหนือหัวอนิละ และพระมเหสีคู่พระทัย
ต่างวางพระหัตถ์ยกบ้านเมืองให้โอรสองค์ชายวายุภักษ์ ขึ้นครองบัลลังก์เป็นเหนือหัวเจ้าแผ่นดินสืบต่อ
สิ่งสำคัญสุด คือหลานรักแก้วตาดวงฤทัยทุกพระองค์
คือความสุขสูงสุดทำให้ผู้สูงวัย รวมถึงพระญาติได้พบพานความสดใสไร้เดียงสา
ผู้นำพาความเบิกบานชุ่มชื่นพระทัย ไม่ขาดหายไปจากวังหลวงคือการเจริญเติบโตของไตรคานด้วย
ภายใต้การดูแลของเหนือหัววายุภักษ์ กับพระมเหสีผักตบคู่พระทัย ซึ่งทรงปรีชาสามารถ
นำเอาวิทยาการความรู้มาประยุกต์ใช้ ช่วยให้แผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ท่ามกลางความผาสุกของเหล่าประชาราษฎร์
จวบกระทั่งพระโอรสทั้งสองเจริญชันษาเติบใหญ่ หนึ่งรูปงามเป็นที่หมายปองของกุลธิดาหญิงงามทั่วหล้า
ชื่อเสียงขจรขจายในพระปรีชาสามารถ นามสุริยันองค์ชายผู้มีเกศาสีแดงเพลิง
ส่วนพระโอรสพระองค์เล็ก กลับงดงามเกินหญิงใดในใต้หล้าจักสามารถทัดเทียมได้
แม้นสตรีที่ขึ้นชื่อเล่าลือด้านงดงาม กลับเป็นรององค์ดาราผู้นำพาแสงสว่าง
ขาวนวลรอบพระวรกายประดุจพระนามดาราแล้ว ยามแย้มสรวลเปรียบเหมือนดั่งพฤกษาบานรับแสงอรุณ
กลับสามารถสร้างความประทับใจสะกดตรึงผู้พิศมองไปในทันที
ด้วยจุดเด่นที่แตกต่างของสองพระองค์ สร้างเสียเล่าลือกระฉ่อนไปทั่วทุกแว่นแคว้น
หัวเมืองน้อยใหญ่มักมีกุลบุตรกุลธิดา ต่างประสงค์เดินทางมุ่งสู่ไตรคานนคร
เพื่อขอได้มีโอกาสชื่นชมพระศิริโฉมสองพระองค์สักครั้ง เป็นที่มาให้องค์สุริยันผู้พี่
หวงแหนองค์ดาราพระอนุชาผู้น้องยิ่งนัก กลายเป็นที่ครั่นคร้ามของผู้คน
เรื่องพระอาการหวงองค์ดาราประหนึ่งเชษฐาห่วงพระขนิษฐา หาใช่เชษฐาหวงพระอนุชาเสียกระมัง
แม้วันคืนหมุนผ่าน รุ่นลูกเติบใหญ่โตเป็นหนุ่ม แม้นว่าบ้านเมืองจะสงบสุข
ในทางความเป็นจริงกลับมีบางอย่างที่น่ากลัว ซึ่งพวกเขาไม่เคยหลงลืมว่า
พระปิตุจฉาผู้หลบหนีจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ยังทรงพระชนม์ชีพ หลบซ่อนไร้ร่องรอยให้สืบเสาะ
เป็นภัยมืดที่รอเวลาจะกลับมาเยือนอีกครั้ง เมื่อพระนางพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหม่
ผักตบกับเหนือหัววายุภักษ์ ยังใช่คู่ต่อสู้ของพระนางได้อีกหรือไม่ ในเมื่ออดีตพวกเขาแทบเพลี่ยงพล้ำมา
หากไม่เกิดการเสียสละของแม่นม ไม่แน่อาจเป็นพวกเขาแล้วที่ลำบาก
ถึงแม้ผักตบกับเหนือหัวพระสวามี จะแวดล้อมไปด้วยความสุข
แต่ทั้งสองไม่เคยประมาท ยังจดจำได้ดีว่าพระปิตุจฉาคือบุคคลอันตรายสุด
>
>
“อีกไม่นาน ข้าจักชำระแค้น ทำให้พวกมันเจ็บปวดกันบ้างแล้ว!!”
เสียงปริศนาที่ก่อกวนความฝันของผักตบในค่ำคืนหนึ่ง..ซึ่งไม่เคยเกิดนานกว่า 18 ปี
เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาเสียแล้ว เพราะเสียงที่ว่า แม้จะรับรู้ได้จากความฝัน
ไฉนคุ้นเคยชินหูเป็นอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้พระมเหสีผักตบ
ห่วงกังวลต่อพระโอรสแก้วตาดวงใจทั้งสองพระองค์...
สงครามทะเลทราย..ศึกเทพมหาธาตุ เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายในรุ่นพ่อแม่แล้วนะคะ
สำหรับรุ่นลูก และการกลับมาแก้แค้น ของพระปิตุจฉาครั้งใหม่ ติดตามได้ในหนังสือนะคะ
คนเขียนต้องขออภัย ที่ไม่เคยนำตอนพิเศษ มาลงในกระทู้ให้แฟนนิยายได้อ่านกันเลย
เราถือว่านั่นเป็นของขวัญแทนการขอบคุณ สำหรับแฟนนิยายที่อุดหนุนผลงานกันค่ะ
ส่วนแฟนนิยายที่ติดตามผูกพันกันมานานหลายปี ได้โปรดเข้าใจคนเขียนด้วยนะคะ
ที่เราพูดได้เต็มปากคือ นิยายของเราจบในกระทู้ทุกเรื่องค่ะ และไม่เคยอัพให้ค้างคารอคอยข้ามปีแน่นอน
หลังจากนี้ รอคอยผลงานเรื่องใหม่นะคะ เป็นพล๊อตที่ไม่เคยเขียนเลยเช่นกัน
เป็นแนวของศิลปินนักร้อง ที่จับพลัดจับผลูมารวมตัวกันด้วยเหตุการณ์บางอย่าง
เนื้อเรื่องมีความมุ้งมิ้ง หลากหลายอรรถรสเช่นเคย วางพล๊อตเกริ่นไว้ล่วงหน้าแล้ว
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ จะเริ่มอัพปลายเดือนมีนาคมนี้แน่นอนค่ะ อดทนรอกันอีกสามอาทิตย์กว่านะคะ
ขอบคุณทุกกำลังใจที่เป็นเพื่อนกันมาตลอด
ปล.สำหรับตอนสุดท้ายนี้ เราจะกลับมากดบวกคะแนนชื่นชมพิเศษ
ให้กับแฟนนิยายทุกคอมเม้นท์ในภายหลัง สัญญาจะกลับเข้ามากดบวกแน่นอนค่ะ
ปลล. ใครที่สนใจจองหนังสือ รบกวนไปดูที่หน้า 1 ของกระทู้นี้นะคะ
หรือกดแบรนด์เนอร์โฆษณาด้านบนได้เลยค่ะ จะเข้ากรทู้โอนจองในทันที