GoneOn ทำใจได้ยังครับ เอิ้กๆ
มูมู่น้อย โทษนะครับ พอดีเรี่ยวแรงมันเหือดแห้งไปครับ
Aki_Kaze แหะๆ สู้ๆ

FlukeHub คนชื่อปอนด์น่ารักแบบนี้ทุกคนป่าวหนอ

GobGab ผมอยากเห็นความเห็นของเพื่อนๆนะครับว่าคิดอย่างไร
shell แบบนี้ต้องสู้กับ flukehub แล้ว เชียร์กันออกนอกหน้านอกตากันทั้งคู่ คิกคิก
Subson เรื่องราวแห่งความรักมันมีทั้งสุขและทุกข์ที่ต้องเผชิญครับ
moopai ผมสงสารทุกคนที่เป็นตัวละครหลักเลย
Tantalum อ่าวพูดไปพูดมา เลี้ยงลงคลองซะงั้น คิกคิก
(ตะแน๋วกิ๋วกิ้ว) อืม เป็นอะไรๆที่เกินกว่าจะรับได้ครับ
momoki มีอะไรหรือครับ
beaches น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม กับลมหายใจที่รวยริน เนื่องจากหัวใจที่เคยเป็นรอยแผลถูกกรีดซ้ำ จะมีใครรู้ จะมีใครนึก ว่าคนๆนี้ทรมานแสนสาหัสเพียงใด

ตอนนี้ผมยังไม่สามารถคุยอะไรกับเพื่อนๆได้มากนะครับ
เพราะพึ่งดูซีรีสเกาหลี autumn in my heart จบไป
น้ำตาผมแทบออกมาเป็นสายเลือด เหงาเกินกว่าจะทำอะไรได้
ความรักมันไม่มีถูกผิด
มันมีแต่คำว่าใช่หรือไม่เท่านั้น******************************************************************************
กุมภาพันธ์ ของปีเตอร์ คอป
[wma=300,50]http://f1.podcast.blog.webs-tv.net/upload2/new/e/e/a/eead8016b7c106b9153ec8acc1bbecfb.mp3[/wma]
**********************************************************************************ขอให้รักเรานั้น...นิรันดร ( 27 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป ส่วนรักครั้งสุดท้ายกลับสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------------
หลังจากที่ต้องเลิกรากับทีม ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะรู้สึกทุกข์ทรมานมากมายถึงขนาดนี้ ความเจ็บปวดจากการถูกทิ้งในครั้งนั้นทำให้ผมเหมือนกับคนที่ตายทั้งเป็น
ทุก ๆ วันผมจะต้องกลับไปที่ห้องนอน เอาใบหน้ากดลงบนหมอนแล้วก็กรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเจ็บปวด
ความเป็นลูกที่ปิดบังว่าตัวเองเป็นเกย์ และความเป็นนักเรียนดีเด่นที่ถูกจับตามองจากครูบาอาจารย์และเพื่อนนักเรียนทำให้ผมต้องเสแสร้งแกล้งทำว่าชีวิตของผมปกติดีและไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การทำตัวเช่นนี้ยิ่งทำให้ความทุกข์ถาโถมเข้าหาผมหนักขึ้น เมื่อผมต้องเก็บกดความรู้สึกทุกข์ทรมานของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น
จะมีเพียงเวลาที่ผมอยู่ในห้องนอนและห้องน้ำเท่านั้นที่ผมจะใช้เวลานั้นร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมดีขึ้นเพราะทุกครั้งที่ผมร้องไห้ ผมก็ต้องพยายามไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่สักนิดเดียว
จนกระทั่งหลายครั้งที่ผมร้องไห้ มันเหมือนกับผมเห็นภาพหลอนของตัวเองที่ลอยเคว้งอยู่ในห้วงน้ำลึกที่ดำมืดอย่างหาทางออกไม่ได้
ความรักที่ทีมเคยมีให้ผมในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นเสมือนแรงฉุดดึงให้ผมค่อยๆดำดิ่งลงสู่มหาสมุทรที่ไม่มีก้น
จนเมื่อวันหนึ่งที่เขาจากผมไป ผมจึงต้องลอยเคว้งอยู่ในความมืดนี้เพียงลำพัง และไม่ว่าผมพยายามจะดิ้นรนแหวกว่ายเพื่อเอาตัวรอดแค่ไหน ผมก็ยิ่งดำดิ่งลงสู่ความลึกที่ดำมืดนั้นลงไปทุกที
การทำตัวเสแสร้งว่าเข้มแข็งนี้ทำให้บางครั้งผมก็อดรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ เพราะในขณะที่สภาพของผมเองแทบจะเรียกได้ว่าทุกวันนี้ ต่อให้ยืนหายใจอยู่เฉยๆ มันก็ทำได้ยากเต็มทีแล้ว แต่นี่ผมกลับยังต้องฝืนยิ้ม ฝืนหัวเราะ และฝืนทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในตอนนั้นมีเพียงเพื่อนสนิทของผม 2 – 3 คนที่ต้องพลอยเดือดร้อนฟังผมระบายความทุกข์ที่ผมได้รับ แต่ยิ่งเล่า ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาช่วยอะไรผมไม่ได้เลย
จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ความผิดของเพื่อนผมหรอกที่ไม่รู้ว่าจะปลุกปลอบผมอย่างไรดี เพราะในตอนนั้นพวกเราก็ยังอยู่กันแค่ ม. ต้นเท่านั้น
สำหรับพวกเขา คำว่า “ความรัก” และ “อกหัก” ยังห่างไกลจากประสบการณ์ที่พวกเขาเคยประสบมามากนัก
เพื่อนๆ ของผมจึงย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียความรักว่ามันเป็นอย่างไร มันจะเหมือนกับการสอบตกหรือเปล่า หรือเหมือนกับการถูกแย่งของเล่นมั้ย
เอาเข้าจริงแล้ว ความรักครั้งนี้ของผม...มันคงมาเร็วเกินไป จนทำให้ผมไม่สามารถที่จะรับมือมันได้และไม่รู้ว่าจะหาทางออกให้ตัวเองยังไงดี
ระยะหลังๆ ผมจึงเลิกที่จะไปโอดครวญกับพวกเขาในที่สุด เพราะยิ่งผมแสดงแง่มุมที่เลวร้ายของความรักออกไปให้พวกเขาฟังมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ดูจะเริ่มพลอยเกลียดกลัวความรักมากขึ้นไปด้วย
ผมจึงอดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมจะดันทุรังดึงพวกเขามาสู่โลกที่ดำมืดเหมือนผมต่อไป ผมก็คงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก
ในที่สุดผมจึงได้ตัดสินใจที่จะเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วยตัวเองซึ่งมันทำได้ไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อผมได้รู้ข่าวว่าทีมกำลังตามจีบ “เกรซ” เพื่อนนักเรียนหญิงชั้นเดียวกันที่อยู่ต่างห้อง มันก็ยิ่งทำให้ผมเหมือนกับถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
แต่ดูเหมือนข่าวนี้จะถือเป็นข่าวเล็กๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับความจริงที่ผมมารู้ในภายหลังว่าในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา เกรซ ก็ได้ไปเรียนกวดวิชาที่กรุงเทพฯ ด้วย
ผมอดคิดไม่ได้ว่า...หรือว่านี่คือเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้ทีมตัดสินใจทิ้งผม
น่าแปลกที่ในตอนนั้น..แทนที่ผมจะเคียดแค้น ชิงชังที่เขาทำอย่างนั้น แต่ผมกลับยินดีไปกับความรักครั้งใหม่ของเขาด้วย
เพราะผมรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าคนธรรมดาๆ อย่างผมไม่เคยคู่ควรกับหนุ่มหล่ออย่างทีมเลย
การที่เขามาทำดี และทุ่มเทความรักอย่างมากมายในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มันก็มีค่ามากพอแล้วสำหรับคนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างผม
ถ้าคนอย่างเขาจะทิ้งผมไปผมก็คงไม่ว่าอะไร แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมติดค้างในใจก็คือ.....ทำไมเขาถึงไม่ยอมบอกผมตรงๆว่าเขาทิ้งผมไปเพราะอะไร
ผมจึงได้แต่เดาว่า นี่ล่ะคงเป็นสาเหตุในการเลิกราของเราในครั้งนี้
ในตอนนั้นผมคิดว่าการที่ทีมเลือกผู้หญิงอย่างเกรซมาเป็นแฟนนั้น มันทำให้ผมรู้สึกดีกว่าตอนที่เขาไปมีอะไรกับพี่กุ้งมากนัก เพราะอย่างน้อยผมก็มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ
เพราะเท่าที่ผมรู้...เกรซเป็นผู้หญิงน่ารัก นิสัยดี และก็มีมารยาทสมกับการเกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเนื่องจากคุณพ่อของเกรซเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัด ในขณะที่คุณแม่ก็เป็นครูประจำโรงเรียนสตรีที่มีชื่อเสียง
การที่ทีมจะทิ้งผมไปเพราะผู้หญิงแบบนี้ ผมก็น่าจะยินดีไม่ใช่เหรอ
การพ่ายแพ้ต่อผู้หญิงที่มีคุณสมบัติอย่างเกรซไม่ใช่เรื่องที่ผมน่าจะเสียใจเลย เพราะอย่างไรก็ดีผมก็ไม่มีวันชนะผู้หญิงคนนี้ได้แน่ ในเมื่อ....
ผมไม่มีวันที่จะเป็นภรรยาที่ออกหน้าออกตาในสังคม และเป็นแม่ของลูกให้ทีมได้
ถ้านี่จะคือเหตุผลที่เขาทิ้งผมไปจริงๆ ผมก็คงจะพอรับได้และยินดีจะยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา
แต่ถึงแม้ในตอนนั้นผมจะไม่รู้สึกโกรธเกลียดทีมเลยที่ทิ้งผมไป รวมทั้งยินดีอย่างบริสุทธ์ใจต่อรักนี้ของทีม แต่ในหัวใจผมก็ยังเจ็บปวดเกินกว่าจะสรรหาคำพูดมาบรรยายได้
การระบายและปลดปล่อยที่ผมทำได้เพียงอย่างเดียวในเวลานั้นก็คือการ “ร้องไห้”
จนต่อมาผมเริ่มรู้สึกชินชากับการที่อยู่ดีๆ น้ำตามันก็ไหลลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
สำหรับผมในตอนนั้นแล้ว การร้องไห้กลายเป็นกิจวัตรที่ผมจะต้องทำเป็นประจำทุกวันเหมือน อาบน้ำ แปรงฟัน ทานข้าว จนบางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าร่างกายของคนเรานี่ช่างมหัศจรรย์นักที่สามารถผลิตน้ำตาออกมาได้อย่างไม่มีวันหมด
นอกจากนั้นการร้องไห้ในหลายๆครั้งของผมก็เกิดขึ้นเมื่อผมต้องตื่นนอนในตอนเช้าแล้วต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
มันเป็นความผิดหวังที่ผมพบว่าตัวเองยังมีลมหายใจอยู่ ทั้งๆที่ทุกคืนก่อนนอนผมได้แต่ภาวนาว่าขอให้ผมนอนหลับฝันไปโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย
ดูเหมือนช่วงเวลาที่อยู่ในความฝันจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่ผมจะสามารถหลบหนีความโหดร้ายจากโลกของความจริงได้
แต่น่าเสียดายที่ผมไม่เคยโชคดีขนาดนั้น เพราะทุกวันผมก็ต้องตื่นมาพบกับความจริงที่ว่า.....ผมยังมีชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีทีมอยู่ข้างๆ อีกแล้ว
หลายสัปดาห์ต่อมาดูเหมือนข่าวคราวที่ผมเลิกกับทีมจะแพร่กระจายไปถึงบรรดาคนที่รู้เรื่องของเรา 2 คนจนทำให้กอล์ฟเดินมาหาผมหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง
“บี ไปกินไอติมกันมั้ย”
“เอ่อ.....บี....”
ในตอนนั้นผมอยากจะปฏิเสธเพราะกลัวว่าเขาจะพูดกับผมเรื่องทีม
“ไปนะ กอล์ฟขอล่ะ เราไม่ได้ไปกินอะไรด้วยกันนานแล้วนะ”
หลังการคะยั้นคะยอของกอล์ฟทำให้ผมไม่อาจปฏิเสธเขาได้ ผมจึงเดินตามเขาไปที่ร้าน
“กอล์ฟเสียใจด้วยนะ เรื่องทีม”
กอล์ฟเปิดฉากพูดกับผมตรงๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมเหมือนกับจะร้องไห้เมื่อเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนของเขา
ผมคงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าแววตาคู่นั้นจะเป็นแววตาที่กำลังสมน้ำหน้าผม ที่ในตอนนั้นผมไม่เลือกเขาแต่กลับไปเลือกทีม ผมจึงต้องมาอยู่ในสภาพน้ำตาเช็ดหัวเข่าอย่างนี้
แต่นี่เขากลับชวนผมมาทานไอติมแล้วมองผมด้วยสายตาห่วงใยอย่างที่สุด มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองมากขึ้นไปอีก
“รู้มั้ย ทำไมกอล์ฟถึงชวนบีมากินไอติม แล้วทำไมต้องมานั่งโต๊ะตัวนี้”
หลังคำถามของเขาทำให้ผมถึงกับงง พลางก้มลงมองโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่อย่างสงสัยว่ามันแตกต่างจากโต๊ะตัวอื่นตรงไหน
“บีจำไม่ได้เหรอ ครั้งที่แล้วเราก็มานั่งโต๊ะตัวนี้ไง ลืมเรื่องที่มันผ่านมาเถอะนะ เรามาให้โอกาสตัวเองกันอีกสักครั้ง...บี มาเป็นแฟนของกอล์ฟได้มั้ย”
หลังคำถามนี้ผมได้แต่มองผู้ชายตรงหน้าอย่างรู้สึกหดหู่ และโกรธเกลียดตัวเอง ทำไมกอล์ฟต้องมาให้โอกาสผมอีกครั้งทั้งๆ ที่ผมเคยทำให้เขาเจ็บปวด ทำไมเขาไม่พูดจาสมน้ำหน้าผมที่ไม่เลือกเขาในวันนั้น ทำไมเขาต้องมาดีกับผมในเวลาอย่างนี้ด้วย
“กอล์ฟ บีขอโทษนะ อย่าทำอะไรเพื่อบีอีกเลย บีมันไม่คู่ควรที่จะได้รับโอกาสอะไรอีก บีไม่มีค่าสำหรับใครอีกแล้ว”
ผมตอบไปตามตรงเพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
สิ่งที่ผมควรจะมอบให้เขา ผมก็เสียมันไปให้กับทีมหมดแล้ว ดังนั้นผมจะเห็นแก่ตัวโดยทำลายโอกาสที่เขาจะไปเจอคนดีๆและคว้าเขามาไว้เป็นแฟนไม่ได้
ที่สำคัญผมรู้ดีว่า...ผมไม่อาจจะรักใครได้อีก นอกจาก “ทีม” เท่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงกอล์ฟก็คิดไว้แล้วว่าคำตอบของบีจะเป็นอย่างนี้ แต่กอล์ฟก็ยังอยากจะลองดู เผื่อถ้ากอล์ฟโชคดี บีอาจจะมีใจและให้โอกาสกอลฟ์บ้าง”
“กอล์ฟ.....”
ผมเรียกชื่อเขาออกมาอย่างเจ็บปวดและไม่อยากจะเชื่อว่าผมได้ทำให้เขาสียใจถึง 2 ครั้ง
“ช่างเถอะ เรากลับบ้านกันเถอะนะ มา เดี่ยวกอล์ฟเดินไปส่ง”
ในตอนนั้นผมได้แต่เดินตามกอล์ฟไปอย่างเจ็บปวด พลางอดคิดไม่ได้ว่าทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่เมื่อเดินไปสักพักผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่ากอล์ฟจะพาผมไปไหน เพราะตอนนี้เรากำลังเดินมาห้องน้ำด้านหลังโรงเรียน
“กอล์ฟ นี่ไม่ใช่ทางออกนี่” เสียงที่ผมเริ่มทักทำให้เขาหยุดเดิน
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ พอดีกอล์ฟมีเรื่องสงสัยอยากถามบี กอล์ฟก็เลยพามาในที่ๆไม่มีคน”
“อะไรเหรอ”
“ตกลงแล้วกอล์ฟเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างที่บีเคยบอกหรือเปล่า”
“ใช่สิกอล์ฟ กอล์ฟเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่บีมีเลยนะ”
ผมรีบยืนยันให้เขารู้เพราะกอล์ฟเป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวที่ผมรักและไว้ใจที่สุด
“งั้นแล้วทำไมต่อหน้ากอล์ฟ บีต้องทำเป็นเข้มแข็งด้วย รู้มั้ย มันยิ่งทำให้กอล์ฟรู้สึกแย่ มันเหมือนกับกอล์ฟช่วยอะไรบีไม่ได้เลย ทำไมเหรอ ทำไมบีต้องทำเสแสร้งเป็นเข้มแข็งด้วย เป็นนักเรียนดีเด่นเขาห้ามร้องไห้หรือไง”
คำพูดและสีหน้าจริงจังของกอล์ฟทำให้น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่กอล์ฟดึงตัวผมเข้าไปสวมกอดไว้
“เข้มแข็งไว้นะบี บีจะต้องผ่านมันไปได้ เชื่อกอล์ฟนะ”
หลังคำพูดนี้ของกอล์ฟ ผมก็ปล่อยโฮออกมาเหมือนเขื่อนแตก ความอัดอั้นตันใจและความเก็บกดที่ผมสั่งสมไว้โดยไม่สามารถบอกใครได้ กำลังถูกปลดปล่อยออกมาอย่างท้วมท้นจนผมรู้สึกได้ว่าเสื้อบริเวณอกกอล์ฟกำลังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของผม
ในเวลานั้นเองที่ผมรู้สึกได้ว่า....แม้ผมจะอยู่ในอ้อมกอดของกอล์ฟอย่างนี้ แต่ความรู้สึกที่มีก็ช่างแตกต่างกับตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของทีมอย่างสิ้นเชิง
ความรู้สึกของผมในตอนนี้ไม่ได้เป็นความรู้สึกของ “ความรัก” แต่มันเป็นความอบอุ่น และปลอดภัยจากเพื่อนที่คอยปลอบใจให้กันในยามที่เราล้มเหลว....เท่านั้น
----------------------------------
ขอให้รักเรานั้น...นิรันดร ( 28 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป ส่วนรักครั้งสุดท้ายกลับสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------------
ในความโชคร้ายที่ผมต้องเลิกรากับทีม ดูเหมือนผมจะโชคดีที่ผู้ชายซึ่งผมเคยทำร้ายให้พวกเขาต้องเจ็บปวดกลับมาให้กำลังใจอย่างที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน เพราะนอกจากกอล์ฟจะกลับมาให้โอกาสด้วยการขอเป็นแฟนกับผมอีกครั้ง รวมทั้งยังให้ผมได้ร้องไห้ระบายไปกับเขาแล้ว พี่ปอนด์ก็มาหาผมถึงห้องในบ่ายวันหนึ่ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยขับไสไล่ส่งให้ผมไปให้พ้นๆ
“ถ้ารู้ว่ามันจะทำกับบีอย่างนี้ พี่น่าจะกระทืบให้มันตายคาตีนไปตั้งแต่วันนั้น”
พี่ปอนด์เปิดฉากบอกผมขณะที่เรากำลังไปนั่งคุยกันในสวนป่าของโรงเรียน
“พี่ไม่ทำน่ะดีแล้วล่ะ บีขี้เกียจเอาข้าวผัดกับโอเลี้ยงไปเยี่ยม”
ผมพูดแล้วก็พยายามฝืนยิ้มออกมา
“ฮึ ฮึ ปล่อยมุขอย่างนี้ได้ แสดงว่าไม่เป็นไรแล้วสิ”
“ก็บีบอกแล้วว่าบีไม่เป็นไร พี่น่ะเป็นห่วงไปเอง บีไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”
ผมโกหกพี่ปอนด์ไปทั้งๆที่ในตอนนั้น น้ำตาของผม...มันปริ่มๆจะไหลออกมาตลอดเวลา
“งั้นเหรอ นั่นสินะ พี่รู้ว่าบีต้องทำได้”
“คับ บีไม่เป็นไรหรอก บางทีที่บีต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ ก็อาจจะเป็นกรรมที่บีทำไว้กับพี่ก็ได้”
“กรรมเหรอ พี่ว่าไม่ใช่หรอก สิ่งที่บีทำกับพี่มันคงเป็นบุญมากกว่าเป็นบาปนะ”
สิ่งที่ปอนด์พูดทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เชื่อหู
“เพราะบี.....พี่ถึงได้รู้ว่าความเจ็บปวดจากการอกหักน่ะมันเป็นยังไง พี่ถึงไม่คิดจะไปหลอกใครให้เจ็บปวดเล่น ๆ อีก เห็นมั้ยล่ะว่าอย่างน้อยบีก็ช่วยคนอื่นๆไว้ตั้งหลายคน อย่างนี้มันจะเรียกว่าเป็นบาปได้ยังไงละ”
“พี่ปอนด์...”
ผมเรียกชื่อเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณที่เขาให้กำลังใจผมถึงขนาดนี้
"เชื่อพี่นะบี เดี๋ยวเดียวมันก็จะผ่านไปแล้ว”
ตั้งแต่เลิกรากับทีมดูเหมือนผมจะได้ฟังประโยคที่พี่ปอนด์เพิ่งพูดจบมานับครั้งไม่ถ้วน
“เดี๋ยวเดียว มันก็จะผ่านไป” เป็นสิ่งที่ทุกคนพยายามเฝ้าบอกผม ในขณะที่ผมเองกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย เพราะทุกวันเวลาที่ผ่านไปความทุกข์ทรมานของผมมีแต่จะเพิ่มขึ้น
การที่ทั้งผมและทีมยังต้องอยู่ห้องเดียวกันทำให้ผมต้องทนเห็นเขาอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นกลุ่มเพื่อนของผมกับกลุ่มของทีมก็ยังสนิทสนมกันจนพวกเรามักจะไปทำกิจกรรมต่างๆในโรงเรียนด้วยกันเสมอ ดังนั้นไม่ว่าผมจะพยายามลืมเขาสักเท่าใด มันก็แทบจะไม่มีผลเลยในเมื่อเราทั้งคู่ต่างยังต้องพบเจอกันทุกวันอย่างนี้
ที่สำคัญการที่ทีมได้มีแฟนใหม่เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างเกรซ มันทำให้ผมต้อนทนเห็นภาพบาดตาวันแล้ววันเล่า จนผมแทบอยากจะไม่มาโรงเรียนอีกเลย
น้ำตา...ที่ผมเคยคิดว่ามันจะแห้งเหือดไปได้ในวันใดวันหนึ่ง มันกลับไหลออกมาอย่างไม่ยอมหยุดหย่อนทั้งในยามหลับและยามตื่น
ความปรารถนาที่จะหนีไปให้ไกลจากโลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้ายทำให้ผมกลายเป็นคนขี้เกียจในสายตาของแม่ เพราะไม่ว่าผมจะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ สิ่งที่ผมจะทำเป็นอันดับแรกคือ... “การนอน”
เพราะนั่นคงจะเป็นหนทางเดียวที่พอจะทำให้ผมเลิกคิดถึง “ทีม” ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ได้
แต่กระนั้นในบางครั้ง “ทีม” ก็ยังเข้ามาหลอกหลอนผมแม้ในความฝัน พร้อมๆกับคำพูดที่ว่า “ทีมรักบีนะ” ซึ่งยังคงดังก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา แต่เมื่อผมลองเดินไปตามเสียงนั้นก็เห็นแต่ความว่างเปล่าและได้พบความจริงที่ว่า.....
.....ผมกำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในความมืดมิดที่หนาวเหน็บจนสุดขั้วหัวใจ
ความตรอมใจจากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ร่างกายของผมค่อยๆ ซูบลงอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งจริงๆแล้วผมอยากจะเรียกว่านี่คืออาการของคนที่ “หัวใจได้แตกสลายไปแล้วในร่างกายที่กำลังจะแตกดับ”
ในแต่ละวันที่ผ่านไป ผมยังคงต้องพยายามลาก “ซากชีวิตที่เดินได้” นี้ให้ดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดลงวันไหน
จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงช่วงก่อนสอบปลายภาค พวกเพื่อนๆ ในห้องก็ได้ตกลงกันว่าหลังจากสอบเสร็จพวกเราทั้งห้องก็จะไปเที่ยวค้างคืนด้วยกันที่ต่างจังหวัด ซึ่งแน่นอนว่าผมคงเป็นคนหนึ่งที่ขอสละสิทธิ์ไม่ร่วมทริปนี้ด้วย แม้ว่าในใจมันอยากจะไปสนุกกับเพื่อนๆ แค่ไหนก็ตาม
“ไปเถอะนะบี เธอไม่ไปแล้วพวกเราจะครบทีมได้ไง อย่างนี้ก็หมดสนุกกันพอดี”
จอยหนึ่งในเพื่อนสนิทของผมได้พยายามร้องขอให้ผมร่วมเดินทางไปกับเพื่อนๆ
“ถ้าเราไปนะสิ พวกเธอคงหมดสนุกแน่ๆ”
“งั้นบีก็เลิกทำหน้าอมทุกข์เสียทีสิ ไปสนุกกันเถอะ มันผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้ว ลืมๆมันไปเถอะนะ หรือไม่บีก็ไม่ต้องไปสนใจทีมเค้าก็ได้ ทำเสียว่าเขาไม่อยู่ในโลกนี้ไง” เพื่อนอีกคนพยายามแนะนำ
“ถ้าเราทำได้เราคงทำไปตั้งนานแล้ว” ผมตอบออกมาอย่างหดหู่
“หรือว่าบีไม่อยากไปสนุกกับพวกเราเหรอ พวกเราไปกันทั้งห้องเลยนะ บีจะมัวมาเก็บตัวอยู่คนเดียวหรือไง”
“พวกเธอคิดเหรอว่าเราไม่อยากไป คิดเหรอว่าเราไม่อยากสนุก คิดเหรอว่าเราไม่อยากไปยิ้ม ไปหัวเพราะกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่เราไปไม่ได้จริงๆ ฮือ ฮือ ฮือ”
ผมเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างเหลืออดเมื่อคิดถึงว่าทำไมผมต้องมาเจอเรื่องเหล่านี้ ถ้าผมไม่เจอทีม ผมคงได้ไปสนุก ไปยิ้ม ไปหัวเราะกับเพื่อนๆ แล้ว
“ช่างเถอะ ชั้นว่าบีมันไม่ไปก็ดีแล้ว”
คำพูดของเจ เกย์สาวในกลุ่มของผมทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึง
“จะบ้าไปแล้วเหรอเจ เรากำลังมากล่อมให้บีไปกับเรานะ”
“ก็นั่นแหละ แต่พวกเธอไม่รู้ข่าวเหรอว่าไม่ใช่มีเพียงแค่พวกเราในห้องเท่านั้นนะที่ไป มีคนอื่นไปด้วย”
“จริงอ่ะ ใครเหรอ”
“ก็เกรซไง ทีมเขาพาเกรซไปด้วย”
คำตอบของเจ ทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก และดูเหมือนว่าในที่สุดทุกคนก็เลิกรบเร้าที่จะให้ผมไปเที่ยวกับพวกเขาจนได้ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าถ้าหากให้ผมไปร่วมทริปนี้ด้วย มันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาผมไปฆ่านั่นเอง
หลังจากวันนั้น บรรดาเพื่อนๆ ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องการเที่ยวนี้อีกเลยจนกระทั่งสอบปลายภาคเสร็จ พวกเราจึงต่างต้องแยกย้ายกันไปอยู่ที่บ้านและแทบจะได้ได้พูดคุยกันอีกเลย
ในช่วงปิดเทอมนี้เองเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสสำหรับผม เพราะปกติในวันเปิดเรียน การได้ไปพบเจอเพื่อนๆ การได้ทำกิจกรรมในโรงเรียน การต้องเอาใจใส่การเรียน ทำให้เวลาที่ผมจะได้นึกถึงทีมนั้นมีน้อยลง
แต่ในช่วงปิดเทอมอย่างนี้ ผมกลับต้องใช้เวลาอยู่คนเดียวซึ่งนั่นหมายถึงว่ามันมีเวลาให้ผมคิดฟุ้งซ่านอย่างเหลือเฟือ
ฉะนั้นสิ่งที่ผมพยายามทำในช่วงเวลานั้นก็คือ “การนอน” ซึ่งดูเหมือนการทำอย่างนั้นจะทำให้ผมสามารถเอาตัวรอดผ่านคืนวันอันแสนเจ็บปวดไปได้
แต่แล้วในวันที่อากาศร้อนมากวันหนึ่ง หลังจากตื่นนอนขึ้นมาราวๆ บ่ายโมง อยู่ดีๆ น้ำตาของผมก็ไหลออกมาเฉยๆ อย่างไม่มีเหตุผล
ผมจำได้ว่าอากาศในวันนั้นค่อนข้างร้อนอบอ้าว ผู้คนและถนนหนทางดูเงียบเชียบผิดปกติ หัวใจที่ว้าเหว่ได้เตือนให้ผมรู้ว่าในเวลาเดียวกันกับที่ผมต้องมานั่งทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวนี้ เพื่อนๆของผมคงกำลังสนุกสนานอยู่ที่ชายทะเลแห่งใดแห่งหนึ่ง
ทุกคนคงจะกระโจนลงน้ำและพากันกวักน้ำสาดเข้าหากันอย่างสนุกสนาน ชายหาดแห่งนั้นคงเต็มไปด้วยความคึกคักและมีทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ต่างหาความสำราญกันอย่างเต็มที่ ณ บริเวณชายหาดแห่งนี้
และในท่ามกลางเสียงหัวเราะของบรรดาเพื่อนนักเรียนชายหญิงเหล่านั้น คงมีหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังพลอดรักกันอย่างดูดดื่ม
พวกเขาคงมีคำพูดหวานๆ ให้กัน กอดกัน หอมแก้มกัน และจูบกันอย่างสนิทชิดแนบ และในท้ายที่สุดทั้งคู่ก็คงลงเอยด้วยการตกเป็นของกันและกันในที่สุด
ในตอนนั้นเองที่น้ำตาของผมมันหยดลงมาอย่างห้ามไม่ได้พร้อมๆ กับความรู้สึกที่ว่า
“ผมยอมแพ้แล้ว”
ที่ผ่านมาผมพยายามแข็งขืนต่อโชคชะตาด้วยการแสร้งทำทีว่าตัวเองเข้มแข็ง และฝืนที่จะผ่านมันไปให้ได้ แต่ในวันนี้เป็นวันที่ผมต้องบอกตัวเองว่าผมไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว
ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานนี้ควรจะจบลงเสียที
ในวันนั้นผมจึงเดินเหมือนคนไร้วิญญาณลงมาชั้นล่าง แล้วเดินตรงไปหยิบขวดยาพาราเซตามอลขนาด 100 เม็ดจากตู้ยาแล้วนำมันไปวางไว้บนโต๊ะในครัว จากนั้นจึงเดินไปหยิบขวดน้ำหวานในตู้เย็นออกมาแล้วนำมาวางไว้ใกล้ๆกัน
ผมเทยาพาราเซตามอลลงมากองจำนวนหนึ่ง แล้วเอามือไปหยิบมันมากำไว้จนเต็มมือ พลางคิดในใจว่าด้วยขนาดยาเท่านี้คงพอจะเป็นใบผ่านทางที่จะนำพาผมไปให้พ้นไปจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมานนี้ได้
ผมค่อยๆมองไปยังมือที่กำยาพาราเซตามอลเหล่านั้นไว้อย่างเจ็บปวด เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตที่เคยสมบูรณ์แบบของผมจะต้องมาลงเอยและพบจุดจบอย่างนี้
ในชีวิตของผม...ผมเคยตัดสินใจผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องทีมมาแล้วถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรกเป็นตอนที่ผมตัดสินใจเลือกทีม แทนที่จะเป็นกอล์ฟ
ส่วนครั้งที่ 2 เป็นตอนที่ผมไม่สามารถตัดใจจากทีมได้อย่างเด็ดขาดเมื่อเขานอกใจผมไปมีอะไรกับพี่กุ้ง
ผมจึงได้แต่หวังว่า...การตัดสินใจในครั้งนี้ของผมคงเป็นการตัดสินใจที่......"ถูกต้อง"