shell ถ้าจะเรียกว่ากรรม จากการที่คนสองคนต้องมาเจอกัน ผมก็ยินดีจะรับกรรมนั้น แม้หัวใจจะแตกสลายไป
FlukeHub คิกคิก ชอบจับคู่ให้ซะแล้ว บีก็มีเหตุผลของบีที่ทำอ่ะครับ ถ้าเราจะใช้ชีวิตกับใครสักคนหนึ่ง ไม่ผิดหรอกที่เราจะใช้หัวใจเราเป็นคนตัดสิน
จำไว้นะครับ ว่าเดาอะไรไว้ คิดอย่างไรไว้ผมยังไม่บอกตอนนี้ แต่ชอบฟังแนวเรื่องที่เพื่อนๆคาดการณ์ครับ
GobGab
แต่ก็ดีแล้วที่บีเลืกทำตามหัวใจตัวเอง.....เพราะถึงแม้อนาคตข้างหน้าจะไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ
แต่มันก็ยังมีความสุขที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันมา.............รึเปล่าคับ....คุณ b|ue B
Y hUb
เพราะบางครั้งการหาเหตุผลกับความรักมากไป....มันมีแต่จะทำให้ได้มาซึ่งความไม่มีเหตุผล
เห็นด้วยครับ บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดคือการใช้เวลา รีบตัดสินใจอะไรไปอาจพลาด ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่เราจะเลือกนั้นได้เป็นสิ่งที่ออกมาจากหัวใจจริงๆ และเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่เสียจายที่ตัวเองเลือกแล้ว
beaches ด้วยความยังเป็นเด็กของทั้งคู่นี่ครับ มันจะตัดสินใจและคิดอะไรน้อยเกินไปอยู่แล้ว ยิ่งรักมากก็ยิ่งแค้นมากไงครับ
มูมู่น้อย ยังงงๆกับพิมพูดนะ คิกคิก ตกลงชอบใครหวา หรือเหมือนบี ตัดสินใจไม่ถูก
หมูพูห์ พักนี้อ่านช้าน้า งานยุ่งหรือครับ คิกคิก หรือมัวแต่คุยโทศัพท์หวา
Aki_Kaze คิกคิก กัวเพื่อนๆตืบหง่ะต้องลงให้อย่างไว
******************************************************************************
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 15 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
-------------------------------------------------------
ในเย็นวันนั้นหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลาย ทีมก็ตามผมกลับมาที่บ้านโดยบอกว่าอยากจะมาคุยกันแบบ “ส่วนตัว”
“นี่ทำไมต้องมาคุยในห้องบีด้วยเนี้ย คุยที่โรงเรียนให้มันจบๆไปก็หมดเรื่อง”
“ อ้าวเป็นผัวเมียกันก็ต้องปิดห้องคุยกันสิ ”
“จะบ้าเหรอ เราเป็นผัวเมียกันตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมตอบกลับไปอย่างเขินๆ
“ถ้าไม่เคยเป็น งั้นก็เป็นมันตั้งแต่คืนนี้เลยมั้ยล่ะ”
พูดจบเขาก็เดินเข้ามาหาผมอย่างไม่ทันตั้งตัวจนผมล้มลงไปบนเตียง ในขณะที่เขาตามเข้ามาทับตัวผมไว้แล้วเอา 2 มือพยายามจะกดแขนผมไว้แน่น
“นี่ อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ”
“มาพูดตอนนี้มันจะสายไปหรือเปล่า ทีมเกือบจะเป็นบ้าไปแล้วก็เพราะบีนั่นแหละ บอกมาเลยนะ .....นี่จงใจจะแกล้งกันใช่มั้ย”
“แกล้งอะไรกัน บีไปแกล้งทีมตอนไหน”
“ถ้าไม่จงใจจะแกล้งกันแล้วทำไมต้องมาบอกว่า...บีขอโทษให้ทีมใจเสียด้วย ”
“ก็ขอโทษที่บีทำให้ทีมไม่สบายใจ ต้องกังวลใจเพราะบีไง มันผิดเหรอ”
ผมเถียงด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความรู้สึกสำนึกผิด
“คนอย่างบี นี่มันน่า...............” ทีมมองผมด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผมดี
“ทำไม จะตบบีอีกเหรอ”
“ก็ทำตัวอย่างเนี้ย มันน่ามั้ยล่ะ”
กอล์ฟมองผมด้วยสายตามันเขี้ยวสุดขีดก่อนที่จะเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนโยนลงแล้วล้มตัวลงมาโอบกอดผมไว้
“อย่าทำอย่างนี้อีกนะ รู้มั้ยว่าทีมทรมานแค่ไหน ช่วงที่ต้องรอคำตอบจากบี”
ผมได้แต่นอนนิ่งในอ้อมกอดของทีมอย่างรู้สึกผิด ผมคงจะทรมานเขามากจริงๆ
“แล้วทำไมบีถึงเลือกทีมล่ะ ทีมนึกว่าบีจะชอบไอ้กอล์ฟมากกว่าทีมเสียอีก”
สิ้นคำถามของทีมทำให้ผมนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานที่ผมต้องนอนอย่างกระสับกระส่ายใช้ความคิดว่าระหว่างทีมกับกอล์ฟผมจะเลือกใครดี
ความคิดของผมในค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยความสับสน เพราะทั้งทีมและกอล์ฟต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่กินกันไม่ลง
กอล์ฟเป็นผู้ชายที่ผมชื่นชอบและชื่นชมในนิสัยใจคอมาโดยตลอด แม้เขาจะเคยทำร้ายผมด้วยการมาขอให้ผมเลิกชอบเขา แต่นั้นก็เป็นเพราะเขาบอกว่า “เขาไม่อยากทำให้ผมต้องร้องไห้เพราะเขาอีก”
ในตอนนั้นกอล์ฟอาจจะพอรู้แล้วว่าเขารู้สึกกับผมพิเศษกว่าคนอื่นๆ แต่เขาก็คงจะยอมรับไม่ได้กับการที่จะมีแฟนเป็นผู้ชายอย่างผม
ดังนั้นเมื่อเขาไม่สามารถรับผมเป็นแฟนได้ เขาจึงไม่อยากจะรั้งผมไว้ให้ผมต้องเจ็บปวด
ผมเชื่อโดยสนิทใจว่าเขาคงรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพราะกอล์ฟที่ผมรู้จักก็เป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยน เขาเป็นสุภาพบุรุษ และ อ่อนโยนกับคนอื่นเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นผมด้วยแล้ว
ในขณะที่ทีมกลับมีนิสัยตรงกันข้าม เขาเป็นคนโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับการกระทำของตนเอง มันเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกมีเพียงแค่ตัวเขากับคนที่เขาสนใจเท่านั้น
แต่ไม่ว่าทีมจะมีนิสัยเสียอย่างไร จุดที่ทำให้เขาเหนือกว่ากอล์ฟก็คือเขาเป็นคนที่รักผมมาก และข้อได้เปรียบที่สำคัญของทีมก็คือ....เขาได้หัวใจของผมไปแล้ว
ในค่ำคืนนั้นเอง ขณะที่ผมกำลังนอนเครียดอย่างไร้ทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้น อยู่ดีๆ ผมก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง
มันเป็นความรู้สึกที่ผมเคยคิดมาบ้างแต่ก็ไม่เคยเด่นชัดเท่านี้ และความรู้สึกที่ว่านี้ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผมตัดสินใจได้ในที่สุด
ความรู้สึกที่ผมกำลังพูดถึงก็คือ .........“ความกลัว”
ตั้งแต่ที่เราค่อยๆโตขึ้น ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่านับวันทีมจะกลายเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากขึ้นทุกวัน
เมื่อเริ่มเข้ามาเรียนใหม่ๆ ความหน้าตาดีของทีมก็เป็นที่เล่าลือไปทั่วโรงเรียนแล้ว แต่คำชมส่วนใหญ่มักจะมาในรูปของ “เด็กคนนี้น่ารักจัง”
แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานวันเข้า ผมเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า...ยิ่งเขาโตขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็เริ่มปรากฏ “ความหล่อแบบหนุ่มวัยรุ่นเต็มตัว” มากเท่านั้น
ยิ่งทีมเป็นคนที่ตัวสูงและมีร่างกายกำยำกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ความมีเสน่ห์ของเขาจึงยิ่งดึงดูดให้เพศตรงข้ามที่พบเห็นอดหลงรักหรือชื่นชมเขาไม่ได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ผมก็เริ่มไม่มั่นใจในอนาคตของผมกับทีมมากขึ้นทุกที
ถ้าวันนึงเขาพบกับคนที่ดีกว่าซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีตัวเลือกให้เขามากมาย หรือวันนึงเมื่อสัญชาติญาณทางเพศของผู้ชายวัยรุ่นเริ่มปรากฏเด่นชัด จนเขาอาจจะรู้สึกได้ว่า “ผู้หญิง” ต่างหากคือเพศที่เขาต้องการ ไม่ใช่ “ผู้ชาย"”อย่างผม
ถ้าวันนั้นมาถึงผมจะทำยังไง และผมจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่หากไม่มีเขา
ในตอนนั้นเองที่ผมได้ข้อสรุปว่า....คงจะดีกว่าถ้าผมจะตัดใจจากทีมเสียตั้งแต่วันนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดในอนาคต
ผมจึงตัดสินใจที่จะเลือก “กอล์ฟ”
ผมเชื่อว่าผมคงจะสามารถมีความสุขได้เมื่อต้องไปเป็นแฟนกับกอล์ฟ เพราะอย่างน้อย ความรักของเขาก็คงไม่ “รวดเร็วและรุนแรง” แบบทีม และความรักแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้น่าจะทำให้ผมทำใจได้ดีกว่าหากเราต้องเลิกร้างจากกันในวันใดวันหนึ่ง
นี่ล่ะคือความรักในแบบของผม เหตุผลย่อมมาก่อนความรู้สึกเสมอ
แต่แล้ว.....เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องบอกผลการตัดสินใจออกไปจริงๆต่อหน้ากอล์ฟ เหตุผลมากมายร้อยแปดที่ผมพร่ำคิดมาตลอดทั้งคืนก็แทบไม่มีความหมายเลยมาต้องมาเผชิญกับความรู้สึกที่ว่า “ผมรักทีม ผมรักเขามากจริงๆ”
“เรื่องที่กอล์ฟถามบีเมื่อวันก่อน บีตัดสินใจได้แล้วนะ”
“จริงเหรอ ดีจังที่กอล์ฟไม่ต้องรอนาน ไม่งั้นกอล์ฟคงบ้าไปก่อนแน่ๆ”
“อืม...สรุปว่าบี............”
ถึงตรงนี้อยู่ดีๆ ภาพความสุขขณะที่ผมได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับทีมก็ปรากฎขึ้นมาในหัวสมองจนทำให้ผมพูดอะไรต่อไปไม่ได้
“ว่าไง กอล์ฟรอฟังอยู่นะ”
“ขอโทษนะกอล์ฟ บีรักทีม บีให้หัวใจเขาไปแล้ว”
ผมตัดสินใจพูดออกไปในสิ่งที่ผมไม่ได้คิดมาล่วงหน้า
ในที่สุด....ผมก็ต้องยอมแพ้ต่อเสียงเรียกร้องจากหัวใจเบื้องลึกของตัวเอง
“................” ดูเหมือนกอล์ฟพูดอะไรไม่ออก ขณะที่มีสีหน้าผิดหวังเสียใจอย่างเห็นได้ชัด
“ขอโทษนะกอล์ฟ บี.......”
“ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงมันเป็นความผิดของกอล์ฟเอง ทั้งๆที่กอล์ฟมีโอกาสมาตลอด แต่กอล์ฟกลับทิ้งมันไปอย่างไม่น่าให้อภัย”
“กอล์ฟ.......”
“ช่างเถอะ ทั้งๆที่กอล์ฟมาก่อนแท้ๆ ดันปล่อยให้ไอ้ทีมมันวิ่งแซงหน้าไปเสียได้ เฮ้อ... ถ้ากอล์ฟจะลองวิ่งกวด บีว่ากอล์ฟจะไล่ทันมั้ย”
“กอล์ฟ อย่างทำอย่างนั้นเลยนะ บีขอร้อง” ผมร้องห้ามเขาอย่างเข้าใจความหมายที่เขาเพิ่งพูดออกมา
“กอล์ฟพูดเล่นน่า กอล์ฟไม่ทำให้บีลำบากใจหรอก แต่ยังไง ๆ เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใช่มั้ย”
“ใช่สิ กอล์ฟเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในใจบีเลยล่ะ”
“งั้นไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น บีต้องจำไว้นะว่า....บีมีกอล์ฟอยู่ข้างๆเสมอ”
ผมไม่รู้ว่าคำพูดของกอล์ฟประโยคนี้จะเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยสำหรับอนาคตของผมหรือไม่ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า...
“ไม่ว่าวันข้างหน้า เรื่องของผมกับทีมจะจบลงเช่นไร ผมก็พร้อมจะรับผลจากการตัดสินใจของผมในวันนี้”
ในขณะที่ผมกำลังคิดเพลินๆอยู่นั้นเอง เสียงของทีมก็ปลุกผมจากภวังค์
“นี่ ทีมถามไม่ได้ยินหรือไง”
“อะไรนะ ถามว่าอะไรนะ”
“ก็ถามว่าทำไมบีถึงเลือกทีมไงล่ะ”
“อืม......ก็คงเพราะสงสารมั้ง ขี้เกียจเห็นคนบางคนร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“นี่.....” ทีมหันมามองผมอย่างไม่พอใจที่ผมไปกัดเขา
“รู้งี้หลอกให้ร้องไห้ไปสักสามวันสามคืนก็คงจะดี” ผมพูดอย่างยิ้มๆ
“งั้นเหรอ รู้มั้ย...นับวันบียิ่งทำให้ทีมรู้สึกว่าเราน่ะเหมาะกันมากๆ”
“ เหมาะกันยังไง”
“ก็หญิงชั่วกับชายโฉดไง ไม่เหมาะกันเหรอ”
“นี่..ปากเหรอ ที่พูดออกมาน่ะ”
“แล้วทีบีล่ะ ใช้อะไรคิด ถามจริง ถึงจะมาหลอกให้คนอื่นๆเขาหัวปั่นเพราะตัวเองได้”
ว่าแล้วแทนที่เหตุการณ์ในวันนี้ของผมกับทีมจะจบลงด้วยความโรแมนติก เรากลับต้องมาทะเลาะกันอย่างหน้าดำหน้าแดง ก่อนที่จะจบลงด้วยการที่ต่างคนต่างงอนกลับไปในที่สุด
แต่ไม่ยังไง....นี่ล่ะคือ.... “ความรักในแบบของเรา”
ผมไม่รู้ว่าคู่รักคู่อื่นๆ จะเป็นยังไงกันบ้าง แต่สำหรับคู่ของผมกับทีม มันก็เป็นอย่างนี้
มันไม่ได้หวานหยดย้อยจนเลี่ยน แต่ก็ไม่ได้ขมปี๋จนหาความสุขไม่ได้
บางทีความรักของผมอาจจะเหมือนกับ... “ช็อคโกแลต”
ในความขม มันก็มีความหวาน และในความหวานมันก็มีความขม...เป็นส่วนผสมที่ลงตัว
“รสชาติความรัก” แบบนี้แหละที่ผมคิดว่า เป็นรสชาติที่... อร่อยไม่เลวเลยทีเดียว....
-------------------------------------------------------
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 16 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------
หลังเหตุการณ์เรื่องรักสามเส้าของผม ทีมและกอล์ฟผ่านพ้นไป ผมกับทีมก็ดูเหมือนจะยิ่งรักกันยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกของการ ( เกือบจะ) สูญเสียคนที่เรารักทำให้ทั้งผมและทีมต่างหันมาเอาใจใส่และถนอมน้ำใจกันมากขึ้น
ทีมได้พยายามปรับปรุงตัวอย่างจริงจังด้วยการพยายามมาสุภาพและอ่อนโยนกับผมมากขึ้น ในขณะที่ผมเองก็พยายามลดการเอาแต่ใจตัวเองลง
ความรักได้ทำให้เราทั้งคู่กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน จนระยะหลังๆ ไม่ว่าใครจะตัดสินใจทำอะไรที่อาจจะกระทบถึงความสัมพันธ์ของเรา ฝ่ายนั้นก็ต้องมาขอความเห็นชอบจากอีกฝ่ายเสมอ
“เป็นไง อร่อยมั้ย” ผมถามทีมขณะที่ผมชวนเขามานั่งทานไอติมในเย็นวันหนึ่ง
“ก็เหมือนเดิมนี่ กินอยู่ทุกวัน”
“อืม...เหรอ...งั้นวันนี้บีเลี้ยงนะ”
“เลี้ยงทำไม ในโอกาสอะไร” ทีมถามผมอย่างระแวง
“ไม่มีอะไรนี่ บีแค่อยากเลี้ยงทีมบ้างอ่ะ”
ทีมมองผมด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจนิดนึงก่อนจะพูดว่า
“ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า รู้สึกอยู่เชียวว่าวันนี้บีแปลกๆ มาตามเอาใจทีมทั้งวัน”
“ไม่มี บีไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ไม่เชื่ออ่ะ นี่แอบไปมีกิ๊กอีกแล้วใช่มั้ย” ทีมทำเสียงแข็งใส่ผม
“นี่ เห็นบีเป็นคนอย่างนั้นหรือไง”
“งั้นแล้วจะทำไมล่ะ มีอะไรพูดมาตรงๆ สิ ทีมไม่ชอบคนอ้อมค้อม”
“ก็..ก็แค่บีอยากจะสมัครเข้าชมรมดนตรีสากล บีอยากเล่นดนตรีเป็น แล้วก็อยากเป็นวงโยธวาทิตของโรงเรียนด้วย”
“ไม่ได้ ทีมไม่อนุญาต” ทีมตอบกลับมาทันทีที่ผมพูดจบซึ่งผมเดาไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ยอม
“ทำไมล่ะ” ผมแกล้งถามทั้งๆที่พอจะรู้คำตอบ
“ก็ชมรมดนตรีสากลของโรงเรียนเรามันมีแต่ผู้ชาย วงโยธวาทิตก็เป็นวงผู้ชายล้วน ฝันไปเถอะว่าทีมจะยอมปล่อยให้บีไปอยู่ในกลางวงผู้ชายแบบนั้น ยังไงทีมก็ไม่ยอม”
“ทีมไม่เชื่อใจบีเลยเหรอ” ผมเริ่มงอน
“ก็พฤติกรรมที่ผ่านมาของบี มันน่าเชื่อนักนี่”
“นี่....จริงๆ แล้วบีไม่ได้มาขออนุญาตจากทีมนะ บีแค่จะมาบอกให้รู้ คนที่บีควรขออนุญาต บีก็ขอแล้ว แล้วทั้งคุณพ่อ คุณแม่ก็อนุญาตแล้วด้วย”
เมื่อเห็นการอ้อนวอนไม่ได้ผล ผมจึงเริ่มใช้ไม้แข็ง
“งั้นเหรอ อืม...งั้นสงสัยวันนี้บีต้องไปเยี่ยมคุณแม่บีหน่อยแล้ว” พูดจบทีมก็มองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ทำไม จะไปหาแม่บีทำไม”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ทีมแค่มีอะไรคุยกับท่านนิดหน่อย” ทีมทำหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผม
ถึงตรงนี้ผมก็ได้แต่ทำหน้าเสียอย่างเข้าใจสิ่งที่ทีมกำลังจะทำ เพราะหลายเดือนที่ผ่านมานอกจากทีมจะได้รับการยอมรับในสถานะสมาชิกใหม่ในครอบครัวของผมแล้ว ทีมยังได้รับความไว้วางใจจากทั้งคุณพ่อคุณแม่มากกว่าผมเสียอีก
จริงอยู่แม้ในสายตาเพื่อนๆ ทีมจะเป็นคนโผงผางใจร้อน แต่เวลาเข้าหาผู้ใหญ่ ทีมกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน เขารู้วิธีที่จะสุภาพ พินอบพิเทาเวลารวมทั้งวางตัวได้อย่างน่าเชื่อถือตลอดเวลาที่อยู่ต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่ของผม
ที่สำคัญนิสัยช่างพูดช่างคุยและช่างเอาอกเอาใจของทีมทำให้คุณแม่ของผมปลื้มเขาเป็นพิเศษจนอดนำเขามาชื่นชมให้ผมฟังบ่อยๆ ไม่ได้ แถมยังบอกให้ผมเอาอย่างทีมอย่างนั้น อย่างนี้ตลอดเวลา และไม่ว่าผมจะขออนุญาตไปไหนหรือทำอะไร หากรู้ว่าทีมไปด้วย คุณแม่ก็จะเปิดไฟเขียวตลอด
จนบางทีผมอดคิดไม่ได้ว่า......แม่ผมอาจจะรัก (ลูกเขยลับๆ) อย่างทีมมากกว่าลูกในไส้อย่างผมเสียอีก
ดังนั้นเมื่อวันนี้ทีมบอกว่าจะไปหาคุณแม่ ผมก็รู้ดีว่าเขาคงจะไปใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนานาให้กับชมรมดนตรีสากลซึ่งนั่นก็คงจะมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้แม่ของผมเปลี่ยนใจไม่ให้ผมไปเข้าชมรมนี้ในที่สุด
“แต่บีอยากเข้าชมรมนี้จริงๆนะทีม” ผมเริ่มทำเสียงอ้อนเมื่อรู้ว่าตนเองตกเป็นรอง
เมื่อเจอการอ้อนวอนจากผมซึ่งก็มีไม่บ่อยครั้งนัก ทีมก็ทำท่าคิดนิดนึงก่อนจะตอบว่า
“งั้นก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“อะไรล่ะ”
“บีต้องสัญญากับทีมมาก่อน 3 ข้อ”
“ตั้ง 3 ข้อเชียวเหรอ ไม่มากไปหน่อยหรือไง” ผมเริ่มโวย
“จะเอาหรือไม่เอา”
“ก็ได้” ผมตอบเสียงอ่อยอย่างไม่มีทางเลือก
“งั้น ข้อ 1 บีจะต้องไม่งอนทีมอย่างไม่มีเหตุผลอีก”
“อะไรกัน บีเคยงอนทีมแบบไม่มีเหตุผลเมื่อไหร่”
“ข้อ 2 ต้องเชื่อฟังทีมทุกอย่าง......แล้วก็ห้ามเถียง”
“นี่....มันจะเกินไปแล้วนะ” ผมพูดออกมาอย่างเหลืออด
“บีไม่ต้องตกลงก็ได้ ทีมไม่ได้บังคับนี่ ว่าแต่วันนี้ทีมจะไปคุยอะไรกับคุณแม่บีบ้างดีน๊า” ทีมพูดพลางทำสีหน้ายียวนมาทางผม
“ก็ได้ จำไว้เลยนะ ” ผมพูดออกมาด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“ข้อ 3 ห้ามไปกิ๊กผู้ชายคนไหนอีก”
“ไม่เห็นยากเลย บีก็ไม่เคยทำอยู่แล้ว”
“ให้มันจริงเถอะ อย่าคิดว่าทีมจะลืมเรื่องไอ้กอล์ฟไปง่ายๆ นะ”
ถึงตรงนี้ผมเริ่มทำหน้างอนผู้ชายคนนี้ไม่ได้ จนทีมต้องร้องทัก
“อ๊ะ อ๊ะ สัญญาข้อ 1 จำได้มั้ย”
“บีก็ไม่ได้งอนสักหน่อย” ผมพยายามทำสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ
“ไม่งอนก็ดีแล้ว ท่องไว้นะ.....ชมรมดนตรีสากล ....ชมรมดนตรีสากล”
ทีมพูดพลางยิ้มอย่างสะใจ ในขณะที่ผมรู้สึกว่าอยากจะบีบคอฆ่าผู้ชายคนนี้ให้ตายคามือ
“ตักไอติมป้อนทีมหน่อยสิ”
“มือตัวเองไม่มีหรือไง”
“อ่ะ สัญญาข้อ 2 ว่าไงนะ”
“ทีม......บีจะเหลืออดแล้วนะ” ผมเรียกเขาด้วยอาการงอนๆอีกครั้ง
“อ้าว....ถ้าทำหน้าอย่างนี้ต้องกลับไปสัญญาข้อที่ 1” ทีมพูดอย่างยิ้มๆ
หลังจากวันนั้นผมแทบจะเป็นบ้าเพราะสัญญา 3 ข้อที่ให้ไว้กับทีม เพราะเขาได้นำสัญญานี้มาแกล้งผมตลอดจนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมสมัครเข้าชมรมดนตรีสากลเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะเอาคืนทั้งหมดเลย...คอยดู
แต่เมื่อได้สมัครเข้าชมรมแล้ว ด้วยความตื่นเต้นทำให้ผมลืมความคิดข้างต้นไปเสียหมดสิ้น และเมื่อมาถึง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาค ทางชมรมก็ได้มีการเรียกสมาชิกใหม่มาเข้าค่าย 2 วัน 1 คืนเพื่อฝึกให้พวกเราเริ่มเล่นเครื่องเล่น รวมทั้งจัดรูปขบวนของวงโยธวาทิตอย่างจริงจัง
เป็นอีกครั้งที่การมาเข้าค่ายของชมรมดนตรีสากลนี้ทำให้ผมได้พบกับคนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่
“บาส นายก็เข้าชมรมนี้ด้วยเหรอ” ผมร้องทักบาสเมื่อมาเจอเขาตอนที่พี่ๆเรียกพวกสมาชิกใหม่มารวมตัว
“ใช่สิ ทำไมเหรอ”
“ไม่คิดว่าคนอย่างนายจะมีอารมณ์สุนทรีย์ทางศิลปะอย่างเรื่องดนตรีด้วย”
“จริงๆ ก็ไม่ได้สนศิลปง ศิลปะ หรือดนตรีบ้าบอนี่เท่าไหร่หรอก แต่เผอิญถ้าอยากเป็นนักกีต้าร์ในวงดนตรีของโรงเรียน มันก็ต้องเข้าชมรมนี่ก่อน”
“อ๋อ เอาไว้เล่นโชว์หญิงล่ะสิ”
“นี่จะมองเราในแง่ดีบ้างไม่ได้หรือไง อืม...แต่จะว่าไปก็ทำนองนั้นแหละ”
แม้บาสจะให้เหตุผลแบบนั้นกับผม แต่แวบนึงผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทีมอาจจะส่งบาสมาเป็นสปายคอยคุมผมอีกที ขณะที่อีกใจนึงก็ไม่อยากจะเชื่อความคิดนี้เท่าไหร่เหมือนกันเมื่อคิดว่าบาสก็ไม่ใช่ลูกไล่ของทีมนี่ ทำไมเขาต้องมาทำตามที่ทีมสั่งด้วย
“นี่ 2 คนนี้จะคุยกันอีกนานมั้ย พี่เค้าเรียกรวมแถวแล้ว ไม่ได้ยินหรือไง”
เสียงดุจากรุ่นพี่คนหนึ่งเอ็ดมาทางผมกับบาส ซึ่งเมื่อผมหันไปมองเจ้าของเสียงก็ทำให้ผมถึงกับจ้องมองเขาอย่างลืมตัวไม่ได้
“ว่าแล้วยังมาจ้องหน้าพี่อีกแน่ะ ชื่ออะไรน่ะเรา”
พี่คนนั้นถามผมหลังจากที่เห็นผมจ้องหน้าเขาไม่วางตา
“บีครับ เอ่อ ปีติรัตน์.....” ผมรีบตอบเมื่อได้สติ แต่ไม่ทันที่ผมจะบอกนามสกุล พี่คนนั้นก็ตัดบทเสียก่อน
“นี่ เอาแค่ชื่อเล่นก็พอไม่ต้องบอกมาเต็มยศหรอก ฮึ เราเองน่ะเหรอน้องบี ที่เขาพูดถึงกัน”
“ครับ...เอ่อ.....ใครพูดถึง....”
“ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก รีบไปรวมตัวกับเพื่อนเถอะ ออ แล้วพี่ชื่อปอนด์นะ อยู่ในชมรมมีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้....ทุกเรื่อง”
พี่ปอนด์พูดจบ เขาก็เดินออกไปโดยเหมือนก่อนหน้านั้นเขาพยายามจะย้ำคำว่า “ทุกเรื่อง” ให้ผมได้ยินชัดเจนเป็นพิเศษเหมือนจะมีความหมายไปทางใดทางหนึ่ง
ผมเดาว่าถ้าทีมมาอยู่ ณ ที่นี่.....ตอนนี้ และมาเห็นอาการของผม กับพี่ปอนด์เมื่อครู่ ผมก็คงต้องเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านทันที แต่เมื่อที่ชมรมนี้มีแต่ผม นาทีนี้จึงถือเป็นชั่วโมงที่ผมจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระบ้าง โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสใกล้ชิดกับผู้ชายที่ชื่อ “พี่ปอนด์” คนนี้
จริงๆ แล้วผมรู้จักกับพี่ปอนด์มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็เป็นการรู้จักแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะพี่ปอนด์เป็นมือเบสและนักร้องนำในวงดนตรีของโรงเรียน ดังนั้นทุกครั้งที่มีงานโรงเรียนเมื่อใดเขาก็จะได้ออกมาแสดงและเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆอยู่เสมอ
แต่สำหรับผม ผมไม่ได้รู้สึกทึ่งอะไรกับความเท่ห์ในฐานะมือเบสและนักร้องนำของเขาเท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจในตัวเขาคือหน้าตาและ ผิวพรรณของเขาต่างหาก
สำหรับผมจุดเด่นของผู้ชายคนนี้คือผิวดำแดงที่ดูแปลกกว่าทุกคนที่ผมเคยเจอ ผมไม่ทราบจะอธิบายถึงผิวของเขายังไง จะว่าแทนก็ไม่ใช่ จะว่าดำไม่เชิง มันอาจจะดูออกแดงๆเหมือนเหล็กขึ้นสนิม ซึ่งมันเป็นสีผิวที่ผมชอบและผมคิดว่ามีผู้ชายน้อยคนนักที่จะมีสีผิวแบบนี้
นอกจากนั้นพี่ปอนด์ยังมีหน้าตาคมคายแบบไทยๆ และรอยยิ้มที่ด็เหมือนจะกว้างกว่าคนปกติซึ่งนั่นถือเป็นเสน่ห์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของเขาในสายตาผม
ทุกครั้งที่เห็นเขายิ้มทีไร หัวใจมันเหมือนจะละลายไปทุกที
ใครก็ตามที่เคยนึกถึงผู้ชายในฝัน มีสักครั้งมั้ยที่คุณเคยคิดว่าจะได้เจอเขาในโลกของความเป็นจริง สำหรับผมคงต้องบอกว่า พี่ปอนด์ คนนี่ล่ะใช่เลย
ดังนั้นตั้งแต่ได้เห็นเขาจากงานแสดงดนตรีของโรงเรียนแล้ว ผมก็แอบปลื้มเขามานานแล้ว
แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่เคยคิดกับเขาไปไกลเกินกว่าคนที่เราแอบชื่นชม แอบชื่นชมอยู่ไกลๆ และไม่เคยคิดอยากจะจริงจังอะไรกับผู้ชายคนนี้
โดยเฉพาะในเมื่อผมมีทีมอยู่แล้วทั้งคน ผมจึงได้แต่คิดเสมอมาว่าให้เขาอยู่แค่ในฝันไปน่ะดีแล้ว
แต่คิดอีกทีเมื่อต้องเข้ามาอยู่ในชมรมเดียวกับเขาแบบนี้ จะให้พี่ปอนด์เข้ามาใกล้กว่าความฝันอีกหน่อย ทีมก็คงไม่ว่าอะไรมั้ง
บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่า "ผมนี่แอบเจ้าชู้เล็กๆ" เหมือนกัน
ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น เสียงตะโกนของพี่คนนึงก็ดึงผมให้หันไปสนใจเขาในทันที
“เอ๊ะ นี่ยังขาดไปอีกคนนี่ เพื่อนใครเปลี่ยนใจไม่เข้าชมรมหรือเปล่า”
พี่คนนั้นตะโกนถามแต่พวกเราก็ได้แต่นิ่งเงียบ
“อะไรวะไอ้นี่ ตกลงมันจะเอาไงเนี้ย เดี๋ยวพี่จะลองประกาศชื่อแล้วกันนะ เผื่อใครจะรู้จัก” ล
พูดจบพี่คนนั้นก็กวาดสายตาลงไปที่แผ่นกระดาษในมือ
“เอ่อ นาย ทีมชาติ โอฬารสกุล ม. 2 / 1 มีใครรู้จักมั้ย”
“ฮ้า.....ทีมเหรอ” ผมอุทานออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างไม่ตั้งใจ จนทำให้ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียวในขณะที่ผมได้แต่ทำหน้าเซ็งพลางอดคิดไม่ได้ว่า
“นี่ทีมจะไม่ปล่อยบีให้เป็นอิสระเลยใช่มั้ย”
---------------------------------------------------