(ตะแน๋วกิ๋วกิ้ว) ป่าวหนา ก็ตะแน๋วกิ๋วกิ้ว กับพูห์บอกอ่านไม่ทันหง่ะ หุหุก็เลยรอเพื่อนๆอ่านให้ทันกันอ่ะ
YO_OY ผมหลงรักตัวละครสองตัวในเรื่องนี้มากมาย ถ้าหากมีโอกาสได้รู้จักพวกเขาผมถือว่าเกิดมาชาตินี้คุ้มแล้วเลยหล่ะครับ แหมจะแก้ไขอดีตอะไรไม่ได้ ผมก็อยากลองดู หัวใจที่เปี่ยมด้วยรัก แม้มันจะบอบช้ำก็ไม่อาจทำลายมัน ดังเพชรในโคลนตม เมื่อเอามาล้างมันก็ยังเป็นเพชรอยู่ดี
เอ่อพูดไรไม่ได้แล้วน้ำตาจะร่วงเหมือน Aki_Kaze
shell เอิ้กๆ ก็คงต้องมีบ้างหง่ะ แฟนนะไม่ใช่แมว คิกคิก ต้องเลือกกันหน่อย
มูมู่น้อย เล่นตัวเหมือนใครบ้างคนหรือปล่าวน้า เอิ้กๆ
หมูพูห์ คนช่วยถือหนีไปไหนหล่ะ ได้ข่าวว่ามีแล้วนี่น่า คิกคิก นู้นนู้น ตามมาแล้ว YO_OY อย่าตืบกันหล่ะ เอิ้กๆ
FlukeHub เอ่อ ทำไมอ่านเก่งจัง อ่านวันหนึ่งหลายเรื่องเลยหรือ
*******************************************************************************
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 10 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
-------------------------------------------------------
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน แม้ผมจะปฏิเสธทีมว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่ “แฟน” แต่โดยพฤติกรรมในเวลาต่อมาของเราทั้งคู่ก็ไม่อาจมองเป็นอย่างอื่นได้
หลังจากวันนั้นทีมจะโทร. มาคุยกับผมเป็นกิจวัตรจนทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของผมสามารถจำชื่อและจำเสียงของเขาได้อย่างแม่นยำ
และเมื่อช่วงเวลาปิดเทรมใหญ่มาถึงเขาก็หมั่นมาหาผมที่บ้านบ่อยครั้ง ทั้งมานั่งพูดคุย มาทานข้าว หรือแม้กระทั่งมานั่งมานอนดูทีวีเฉยๆ จนหลังๆเขาสามารถเดินเข้าออกบ้านผมเสมือนหนึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวของผมไปแล้ว
โชคดีที่ทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ของผมไม่ได้ระแคะระคายความสัมพันธ์ของผมกับทีมเลย ท่านทั้งคู่ต่างรับรู้ว่าทีมคือ “เพื่อนสนิทที่สุด” ของลูกชาย
ในช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้นนั้นเองที่ทำให้ผมได้รู้จักเขาเพิ่มขึ้นว่า แม้พฤติกรรมภายนอกของทีมจะดูเป็นคนปากตรงกับใจ ตรงไปตรงมา โผงผางและใจร้อน แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นคนโรแมนติกอย่างมากรวมทั้งมีมุมมองความรักที่ค่อนข้างอุดมคติ และจริงจังกับความรักสุดๆ
ทีมพยายามแสดงความรักกับผมอย่างไม่ปิดบังแทบจะในทุกที่ทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหวานหูที่ผมฟังไม่เคยเบื่อ
เวลาที่เรานั่งอยู่ด้วยกันหรือไปไหนมาไหนด้วยกัน เขาก็ชอบที่จะจับมือของผมไว้ จนหลังๆเมื่อความสัมพันธ์ของเราเริ่มไปไกลมากขึ้นเขาก็เริ่มเอามือมาโอบไหล่ โอบเอว หรือแม้กระทั่งแอบหอมแก้มผมอยู่เสมอซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ค่อนข้างทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ถ้าความรักของเขาเป็นความรักที่เต็มไปด้วย “อารมณ์และความรู้สึก” จนน่าอึดอัด
ความรักของผมก็เป็นความรักที่เต็มไปด้วย “เหตุผล” จนน่ารำคาญ
นับวันผมค่อนข้างจะต้องระมัดระวังพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น เพราะตั้งแต่ที่เราได้เลื่อนชั้นมาอยู่ชั้น ม. 2 นั้นผมก็ได้รับเลือกจากเพื่อนๆ ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นให้เป็นหัวหน้าห้อง ขณะที่ก่อนหน้านั้นผมก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนักเรียนดีเด่นของชั้น ม. 1
ดังนั้นชื่อของผมจึงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่อาจารย์ รวมทั้งนักเรียนบางส่วนด้วย
ผมจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าพฤติกรรมต่างๆของผมคงต้องถูกจับตามองจากคนรอบข้าง ผมจึงพยายามระมัดระวังเรื่องของผมกับทีมไม่ให้กระโตกกระตากมากนัก อย่างน้อยๆ ผมก็คิดว่าเรื่องของเราน่าจะเป็นที่รับรู้กันเฉพาะในหมู่เพื่อนสนิทก็พอ
แต่นั่นเป็นความคิดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ทีมคิด
“ทำไมต้องคอยขัดใจทีมอยู่เรื่อยเนี้ย จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวงตัวไปได้ หลายครั้งแล้วนะ” ทีมพูดออกมาอย่างเหลืออด
“ไม่ได้หวงตัว แต่อย่าทำให้คนอื่นเห็นได้มั้ย”
ผมพยายามแก้ตัวที่ไม่ยอมให้เขาเอามือมาโอบเอวผมไว้ระหว่างที่เรากำลังเดินลงจากอาคารเรียนมาด้วยกัน
“ทำไม ถ้าคนอื่นเห็น แล้วจะทำไม ใคร ๆ ก็รู้ว่าเราเป็นแฟนกัน”
“ไม่ใช่หรอก จริงๆแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าเราเป็นอะไรกัน” ผมแย้ง
“ก็นั้นไง ถึงต้องยิ่งทำให้คนอื่นรู้ไง” เขาไม่ยอมแพ้
“ทีมก็รู้ว่าทั้งอาจารย์ ทั้งนักเรียนเขารู้จักเราจนจะทั่วทั้งโรงเรียนอยู่แล้ว แล้วเขาจะคิดยังไงที่อยู่ดีๆเกิดมีคนมาเห็นว่าเรามาเดินโอบเอว โอบไหล่กับเพื่อนผู้ชายโชว์กันอยู่ในโรงเรียนน่ะ”
ผมพยายามใช้เหตุผลซึ่งดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับผู้ชายคนนี้
“อ๋อ บีมันคนเด่น คนดัง ทีมมันคนโนเนมละสิ”
“เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ผมตอบกลับไปอย่างเหนื่อยใจ
เป็นอีกครั้งที่การถกเถียงของเราต้องจบลงอย่างไม่มีข้อสรุปและต่างฝ่ายต่างต้องเลิกรากันไปเองอย่างงอนๆ
จริงๆ แล้วผมเองก็อดรู้สึกชื่นชมเขาไม่ได้ที่เขากล้าแสดงความรักหรือความสัมพันธ์ของเราอย่างเปิดเผย เพราะ ทีมเองก็ไม่ใช่คนโนเนมเลย
เอาเข้าจริงในหมู่นักเรียนด้วยกัน เขาอาจจะโด่งดังกว่าผมเสียด้วยซ้ำ
ทีมได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่ติดทำเนียบหนุ่มหล่อของโรงเรียนนับตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวย่างเข้ามาเรียนที่นี่แล้ว
จึงไม่แปลกที่ชื่อของเขาจะได้รับการแพร่กระจายไปในหมู่สาวแท้ สาวเทียมอย่างรวดเร็วจนหลายครั้งผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีนักเรียนรุ่นพี่หลายคนตั้งใจเดินผ่านมาที่ห้องของผมก็เพียงเพื่อจะมาให้เห็นกับตาว่านักเรียนคนไหนกันที่ชื่อ “ทีม”
แต่โชคดีที่ไม่ว่าเราจะขัดแย้งกันอย่างไร การทะเลาะกันแต่ละครั้งก็ไม่ได้ส่งผลกับความสัมพันธ์ของเรามากนัก เพราะการ “ทะเลาะ” และ “งอน” กันนั้นได้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ไปแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จริงๆ แล้ว ผมกับทีมยังมีนิสัยและความคิดที่แตกต่างกันอยู่หลายเรื่อง จึงเป็นธรรมดาที่เรามักจะขัดแย้งกันในเรื่องต่างๆอยู่เสมอ และคงเป็นความโชคดีที่ทีมมักจะเป็นฝ่ายยอมให้ผมทุกครั้ง ความสัมพันธ์ของเราจึงยังคงเดินหน้าต่อไปได้
ในขณะที่ผมเองกลับไม่เคยยอมให้เขาเลยแม้แต่สักครั้งเดียว อย่างกรณีเรื่องของการแสดงความรักให้คนอื่นเห็นที่แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับผม แต่ผมก็สังเกตว่าเมื่อผมแสดงอาการงอนและโกรธอย่างจริงๆ จังๆ เขาก็ลดและเลิกพฤติกรรมนั้นลงไปในที่สุด แต่ก็ไม่วายไปชดเชยด้วยการไปทำพฤติกรรมนี้ในเวลาที่เราอยู่ด้วยกันแค่ 2 ต่อ 2 มากขึ้น
บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่เราทะเลาะกันนั้นแสนจะเป็นเรื่องจุกจิกสำหรับผม แต่สำหรับทีมแล้วดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องใหญ่มาก อย่างเช่นเรื่อง “คำสรรพนามแทนตัว” เป็นต้น
“เมื่อไหร่จะเลิกใช้คำว่า...เรา..กับ...นาย..สักทีเนี้ย ทนฟังมานานแล้วนะ”
ทีมเปิดฉากชวนผมทะเลาะในบ่ายวันหนึ่ง
“ทำไมล่ะ ใช้เรา กับ นาย มันไม่ดีตรงไหน”
“ฟังดูไม่สมกับคนเป็นแฟนกันเลย มันดูห่างเหิน ไม่รู้สึกเหรอ”
“ไม่เห็นรู้สึกเลย เราก็พูดกับนายแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”
“บอกว่าไม่ให้ใช้ไงเล่า”
“แล้วจะให้ใช้อะไรล่ะ”
“แกล้งโง่ หรือโง่จริงๆ เนี้ย”
“ทีม....”ผมขึ้นเสียงใส่เขาเพราะอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาหาโอกาสด่าผมว่าโง่อีกแล้ว
“นั่นไง ก็เรียกชื่อเล่นสิ บีทีม บีทีม อย่างเงี้ย พูดได้มั้ย”
“ไม่เอาอะ มันไม่ชินปาก”
“แล้วทำไมทีกับไอ้กอล์ฟ ทำไมบีถึงทำได้ล่ะ”
เป็นอีกครั้งที่ดูเหมือนการปฏิบัติตัวระหว่างผมกับกอล์ฟจะถูกนำมาเป็นบรรทัดฐานระหว่างความสัมพันธ์ของผมกับทีมมาโดยตลอด อะไรที่กอล์ฟได้ ทีมก็ต้องได้ด้วย
“วกไปหา กอล์ฟอีกแล้วนะ” ผมพูดอย่างอ่อนใจ
“แล้วบีก็จะเริ่มปกป้องมันอีกล่ะสิ เป็นอย่างนี้ทุกที”
ถึงตรงนี้ผมจึงต้องยอมตัดบทด้วยการรับปากว่าจะทำตามใจเขา เพราะผมรู้ดีว่าคำว่า “กอล์ฟ” ถือเป็นคำแสลงสำหรับความสัมพันธ์ของเราเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ว่าเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาเมื่อใด เราจะต้องทะเลาะกันอย่างใหญ่โตทุกครั้งซึ่งผมคิดว่ามันไร้สาระมาก
วันนี้ผมจึงเป็นฝ่ายยอมเขาเป็นครั้งแรกเพราะไม่อยากจะให้คู่ของเราต้องมามีปัญหาเพียงเพราะเรื่องที่ว่าจะใช้คำแทนตัวว่าอะไร พลางอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้พยายามทำให้ความรักของตัวเองสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ว่าจะแง่มุมไหนก็ตาม
นอกจากเรื่องความโผงผางใจร้อนแล้ว สำหรับทีม เขาก็เป็นคนที่ “ขี้หึง” อย่างร้ายกาจและแน่นอนว่าคนที่ถูกขึ้นบัญชีดำหมายเลข 1 สำหรับเขา ย่อมหนีไม่พ้น “กอล์ฟ”
“บี วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ”
“อืม...” ผมตอบไปสั้นๆ
ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้วที่เราจะกลับบ้านด้วยกัน เพราะตั้งแต่เริ่มคบกัน บีก็ไม่ค่อยไปติดรถพ่อกลับบ้านอีก แต่เขาจะมานั่งรถกลับบ้านพร้อมกับผมเสมอ
“แต่ว่าวันนี้กลับเย็นหน่อยนะ”
“ทำไมละ”
“ก็วันนี้ทีมมีคิวซ้อมบอลไง แล้วตั้งแต่เริ่มซ้อมมา บีก็ไม่เคยไปดูเลยนะ”
“ก็ ไม่ได้ลงแข่งจริงซะหน่อยนี่”
“ก็นั่นแหละ หัดไปดูแฟนตัวเองซ้อมบ้าง มันเป็นหน้าที่ที่แฟนที่ดีควรจะทำนะ ทีคนอื่นเขายังไปให้กำลังใจกันเลย อย่างแก้วไง ทีมก็เห็นไปเชียร์ไอ้กอล์ฟมันบ่อยๆ”
ผมรู้สึกว่าทีมตั้งใจยกกรณีแก้วกับกอล์ฟมาเป็นตัวอย่างเพื่อให้ผมรู้ว่า...คนคู่นี้เขายังรักกันดีอยู่
“ก็เอาสิ”
ในเย็นวันนั้นผมก็เลยตามทีมไปที่สนามฟุตบอลแล้วก็ไปนั่งดูเขาซ้อมกับคนอื่นๆ ซึ่งออกจะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับผม
และในขณะที่ทีมอยู่ในสนามนั้น ผมก็ต้องคอยทำหน้าที่ส่งยิ้มให้กับทีมที่ดูเหมือนจะหันมาโบกไม้โบกมือให้ผมเป็นระยะๆ พลางอดบ่นอย่างเบื่อๆ กับตัวเองไม่ได้ว่า “นี่น่ะเหรอ พฤติกรรมที่แฟนที่ดีต้องทำ”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ผมก็อดมองหาแก้วไม่ได้ว่าวันนี้เธอจะมาเชียร์กอล์ฟหรือเปล่า แต่มองหาเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ด้วย
“ลมอะไรหอบบีมาถึงสนามบอลเนี้ย”
เสียงพูดอย่างกระหืดกระหอบของกอล์ฟทำให้ผมต้องหันกลับมามองเขาอย่างตกใจ
“อ๋อ ปล่าว พอดีทีมเขาชวนมาดูเขาซ้อมน่ะ”
“ว้า ผิดหวังจัง นึกว่ามาเชียร์กอล์ฟเสียอีก ”
“ใครจะกล้า เดี๋ยวแก้วก็มาแหกอกบีหรอก อืม แล้วแก้วไม่มาเหรอ”
“ปล่าว...”
คำตอบนั้นทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ากอล์ฟมีสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อย ก่อนที่จะพยายามพูดเปลี่ยนเรื่อง
“งั้นก็จริงอย่างที่เขาลือกันสินะ เรื่องบีกับทีม”
“ลือว่าอะไรเหรอ”
ผมถามกลับไปด้วยสีหน้าไม่ดีนัก การเป็นเป้าหมายของข่าวลือทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจโดยเฉพาะเป็นเรื่องของผมกับทีมด้วยแล้ว เป็นไปได้มั้ยที่เขาจะรู้กันแล้วว่าผมกับทีมเป็นอะไรกัน ถ้าเป็นจริง สิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นจนได้
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เขาลือกันว่าตอนนี้บี เป็นเพื่อนสนิทของ ทีมน่ะ ”
“อืม ใช่”
ผมค่อยๆถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางรู้สึกสบายใจที่ข่าวมันมีแค่นั้นเพราะในความเป็นจริงผมก็มีนิสัยและพฤติกรรมเหมือนผู้ชายธรรมดาทั่วไป ดังนั้นนอกจากเพื่อนสนิทแล้วจึงไม่มีใครรู้เลยว่าผมเป็นเกย์ ผมเลยเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงเชื่ออย่างสนิทใจว่าผมกับทีมเป็นแค่เพื่อนสนิทกันจริงๆ
แต่ผมรู้ดีว่ากอล์ฟคงไม่คิดอย่างนั้น ผมจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วกอล์ฟไม่ต้องซ้อมเหรอ”
“อ๋อ ออกมาพักน่ะ จะให้วิ่งอยู่ในสนามตลอดเวลาได้ไง กอล์ฟ ไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะ”
กอล์ฟพูดออกมาพลางส่งยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ และดูเหมือนรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ได้ทำให้ผมอดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้
“เฮ้อ ทีมฟุตบอลเราเนี้ยไม่ไหวเลยนะ ไม่มีสาวๆมาคอยเสิร์ฟน้ำเลย ” กอล์ฟแกล้งพูดออกมาลอยๆ
“ไม่ต้องถึงมือสาว ๆ หรอก เรื่องแค่นี้เดี๋ยวบีทำให้ก็ได้” ผมพูดพลางหัวเราะอย่างรู้ทัน
ว่าแล้วผมก็หันหลังกลับไปคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่ใกล้ๆแล้วเอาไปตักน้ำในกระติกมาเสียเต็มแก้ว แต่พอหันหลังกลับมาเพื่อจะยื่นส่งให้กอล์ฟกลับมีอีกมือหนึ่งมาคว้าไปดื่ม
“ขอบใจนะ บีเนี้ยรู้ใจทีมจริงๆ เลย กำลังหิวน้ำพอดี”
ทีมพูดประโยคนี้ออกมาพลางส่งสายตาอาฆาตแค้นอย่างที่สุดมาให้ผม แล้วก็ดื่มน้ำแก้วนั้นไปจนหมดแก้ว
“เอ่อ กอล์ฟว่ากอล์ฟกลับไปซ้อมต่อดีกว่านะ” กอล์ฟหันมาบอกผมเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี
“อ้าว แล้วไม่กินน้ำก่อนเหรอ” ผมพยายามถามกอล์ฟแต่เขาก็วิ่งกลับเข้าไปในสนามเสียแล้ว
“ถึงไม่กิน มันก็ไม่ตายหรอกน่า....” ทีมพูดอย่างฉุนเฉียวแล้วก็วิ่งตามกอล์ฟกลับเข้าไปในสนาม
ทั้งคู่ใช้เวลาซ้อมร่วมกันอีก 20 นาทีซึ่งในเวลานั้น ผมสังเกตว่ากอล์ฟกับทีมค่อนข้างปะทะกันบ่อยครั้ง โดยมีครั้งหนึ่งที่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า....ทีมตั้งใจวิ่งไปกระแทกกอล์ฟอย่างจงใจ
จนในที่สุด.....ผมก็ได้ยินเสียงโค้ชเป่านกหวีดเลิกซ้อมแล้วก็เรียกนักฟุตบอลทั้งหมดมาประชุม โดยใช้เวลาเล็กน้อยบอกจุดบกพร่องของการซ้อมในวันนี้แล้วก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านได้
ก่อนกลับบ้านกอล์ฟก็ไม่ลืมที่จะเดินมาบอกลาผม ในขณะที่ทีมกลับเดินมาหยิบกระเป๋าและก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรเลย
ผมจึงต้องเดินตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ เพราะในเวลานั้นยังมีนักฟุตบอลคนอื่นๆอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
ผมเดินตามทีมไปได้สักพัก ทีมก็นั่งลงที่ม้านั่งใกล้ห้องสมุดโดยเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น
ผมรู้ดีว่าวันนี้ผมเองก็มีส่วนผิดที่ยังมีท่าทีทอดไมตรีให้กับกอล์ฟ ซึ่งนั่นคงจะทำให้เขาหึงมาก ผมจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายง้อด้วยการเดินไปหาเขาที่บัดนี้กำลังนั่งหันหลังให้แล้วเอามือบีบนวดที่ต้นคอเขาเบาๆ
“เมื่อยเหรอ หรือว่าเหนื่อย” ผมถามออกมาเบาๆ
“เผลอเป็นไม่ได้เลยนะ ตกลงวันนี้มาเชียร์ทีมหรือไอ้กอล์ฟกันแน่”
ทีมพูดออกมาโดยไม่หันมามองหน้าผม
“มันไม่ใช่อย่างที่ทีมคิดนะ บีไม่ได้คิดอะไรกับกอล์ฟแล้ว เขาแค่ขอน้ำดื่ม บีก็ไปตักให้ มันก็แค่นี้”
ผมพยายามอธิบาย แต่เมื่อเห็นทีมยังคงทำนิ่งอยู่ ผมจึงพูดประชดออกมา
“ไม่เชื่อก็ตามใจ งั้นบีกลับล่ะ”
ในเวลานั้นเองที่ทีมหันหลังกลับมาแล้วก็คว้ามือของผมไปจับเอาไว้ก่อนที่จะค่อยๆ เอามือทั้ง 2 ข้างของเขามาประกบไว้ด้วยความรักก่อนจะพูดออกมาว่า
“ทีมเชื่อใจบีนะ บีจะไม่มีวันทำให้ทีมต้องเสียใจใช่มั้ย”
ผมค่อยๆ พยักหน้าเป็นการยืนยันกับทีม แต่ภายในใจนั้นกลับไม่รู้สึกมั่นใจเอาเสียเลยว่าผมจะสามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับทีมได้หรือไม่
-----------------------------------------------