GoneOn ถ้าหลายๆคนคิดได้แบบนี้ ความรักคงยั่งยืนและมีความสุขนะครับ
shell อิอิ เอาจายเชียร์บาสขนาดนั้น งั้นพอจำได้ไหมครับว่าตอนบาสเจอบีกับทีมกอดกัน บาสพูดว่าอะไรครับ
GobGab แต่ในบางเรื่องเท่านั้น...............ไม่ใช่ทุกเรื่อง
คนเราก็ผิดพลาดกันได้ บางเรื่องเท่านั้น ................ไม่ใช่ทุกเรื่อง
แม้คนฆ่าคนตาย เขาก็อาจไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นเลย
หมูพูห์ อย่างทีพูห์บอกมันเจ็บเกินเยียวยา ผมก็เคยครับ และไม่ได้ให้อภัยด้วยเช่นกัน
beaches ผมก็ว่าจะขอกว่าจะถึง...ซึ่งทางรักของพรีนีเปียร์มาลงด้วยเหมือนกันแต่ยังไม่มีเวลาเลย ถ้าว่างๆอยากให้เพื่อนช่วยขอมาลงด้วยเหมือนกัน(ขอเฉยๆก็ได้ แล้วผมจะลงให้) สองตอนสุดท้ายผมน้ำตาแตกเลยครับ
*******************************************************************************************************************
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 20 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------
เมื่อกลับมาถึงบ้าน คำพูดของบาสเมื่อตอนเย็นทำให้ผมได้แต่คิดหนัก สิ่งที่เขาพูดมันล้วนแล้วแต่แทงใจผมเหลือเกิน
จริงๆแล้วบาสพูดถูกแทบทุกอย่าง ผมกำลังเจ็บปวดในสิ่งที่ตัวเองทำ ผมกำลังทำร้ายตัวเอง และผมก็ยังรักทีมมาก
หรือผมควรจะให้อภัยทีมอย่างที่บาสบอกจริงๆ
แต่เมื่อนึกถึงตรงนี้ทีไร ภาพของทีมกับพี่กุ้งที่กำลังเริงรักอยู่ในจินตนาการของผมก็จะเข้ามาขัดจังหวะให้อารมณ์ของผมเปลี่ยนเป็นความโกรธทุกครั้ง ถ้าผมไม่ลงโทษเขาให้สาสมผมก็คงไม่มีวันลืมสิ่งที่ทีมทำกับผมได้
นอกจากนั้น หลังจากเหตุการณ์ที่เราไปเที่ยวทะเลในวันนั้น แทนที่ทีมจะสำนึกผิดหรือสงบเสงี่ยมเจียมตัวด้วยการมางอนง้อขอโทษผม เขากลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามด้วยการไปควงพี่กุ้งมาเย้ยผมต่อหน้าต่อตา
ถึงตรงนี้ผมจึงได้แต่คิดว่า....สิ่งที่เขาทำมันยังห่างไกลจากคำว่า “ควรค่าแก่การให้อภัย” นัก ผมจึงตัดสินใจจะเล่นเกมนี้ต่อไปโดยไม่สนใจคำเตือนของบาสอีก
ดังนั้นเหตุการณ์ที่โรงเรียนในวันต่อๆ มา ทั้งผมและทีมจึงผลัดกันควงพี่กุ้งและพี่ปอนด์มาเย้ยกันไปมา จนบรรดาเพื่อนๆ สนิทเริ่มบ่นว่า
“พวงแกกำลังเล่นอะไรกันเนี้ย”
ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมและทีมกำลังทำนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้เราทั้งคู่ต้องเจ็บปวด ต่างฝ่ายต่างต้องเสแสร้งแกล้งทำว่าไม่รู้สึกอะไร ในขณะที่ภายในใจนั้นมันเหนื่อยแสนเหนื่อย
ในที่สุดแล้ว....เราทั้งคู่ต่างก็รอเวลาที่คนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นฝ่ายทนไม่ได้แล้วก็ยอมแพ้ไปในที่สุดก่อนเท่านั้น เกมนี้จึงจะจบลง
ในเวลานั้น....ขณะที่ความสัมพันธ์ของผมกับทีมค่อยๆสั่นคลอนลงทุกวัน แต่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ปอนด์กลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“บี วันเสาร์นี้ว่างป่ะ”
“ว่างคับ ทำไมเหรอ”
“พี่จะชวนไปเที่ยว ตั้งแต่เป็นแฟนกันมาเรายังไม่เคยออกเดทด้วยกันเลยนะ”
“ที่ไหนเหรอ” ผมถามอย่างระแวงว่าผู้ชายคนนี้อาจกำลังคิดจะเผด็จศึกผมแล้ว
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็มากินข้าวดูหนัง ห้ามปฎิเสธพี่นะ”
“อืม...ก็ได้คับ”
ผมตอบกลับไปพลางคิดว่าบางทีการออกเดทในวันหยุดระหว่างผมกับพี่ปอนด์อาจจะเป็นไม้เด็ดที่ทำให้ทีมถึงกับลนลาน จนต้องยอมแพ้ก็ได้
ดังนั้นเมื่อวันเสาร์มาถึงผมก็มารอพี่ปอนด์ที่โรงเรียนตามที่เรานัดกันไว้
สักพักพี่ปอนด์ก็ขี่มอเตอร์ไซด์คันเก่งมารับผม แล้วก็พาผมออกไป แต่ยิ่งนั่งไปกับเขาเข้าไปในตัวเมืองนานเข้า ผมก็รู้สึกได้ว่า “มันไม่ใช่เส้นทางที่จะไปโรงหนังนี่” จนอีกสักพักเขาก็มาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง
“เอ่อ นี่มันไม่ใช่โรงหนังนี่”
“ก็ใครว่าใช่ล่ะ นี่มันบ้านพี่เอง”
ทันทีที่เขาพูดจบผมก็หันไปมองเขาอย่างตกใจ บางทีเขาคงจะเผด็จศึกผมวันนี้จริงๆ ก็ได้ถึงได้พาผมมาที่บ้านอย่างนี้
“ทำไม กลัวอะไรเหรอ”
“ปะ ป่าว”
ผมตอบไปอย่างอึกอักพลางคิดว่าผมต้องระมัดระวังตัวให้ดี ที่สำคัญคือต้องห้ามใจตัวเองให้ได้เพราะอย่างไรเสียพี่ปอนด์ก็เป็นผู้ชายในฝันของผม ดังนั้นผมจะต้องพยายามไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับผู้ชายคนนี้
ก่อนหน้านี้ผมรู้มาบ้างแล้วว่าพี่ปอนด์มีฐานะดี แต่เมื่อได้มาเห็นบ้านของเขาจริงๆ ผมถึงได้รู้ว่าเขารวยกว่าที่ผมคิดไว้มาก เพราะบ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่จนน่าจะเรียกว่า “คฤหาสน์” ถึงจะเหมาะสมกว่า ขณะที่สวนสวยหน้าบ้านก็มีอาณาบริเวณกว้างขวางและจัดแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม
ยิ่งเมื่อเข้ามาในบ้าน การตกแต่งอย่างโอ่อ่า สง่างาม และความหรูหราของข้าวของเครื่องใช้ก็ยิ่งทำให้ผู้มาเยือนรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ธรรมดา แต่ถึงแม้บ้านหลังนี้จะมีความน่าอยู่เพียงใด ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าภายในบ้านมันเงียบมาก เงียบจนน่าอึดอัด
“ทำไมบ้านมันเงียบจังล่ะ พี่ปอนด์” ผมตัดสินใจถามเขาเพื่อทำลายความเงียบที่มี
“ก็มีแค่เรา 2 คนนี่จะไม่เงียบได้ไง”
คำตอบของพี่ปอนด์เริ่มทำให้ผมระแวงเขาหนักขึ้น
“แล้วพ่อแม่พี่ล่ะ ...เอ่อ....แล้วคนใช้ คนสวนล่ะ ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ”
“พ่อแม่พี่ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก ท่านมีธุรกิจเยอะก็เลยต้องเดินทางบ่อย ส่วนคนใช้กับคนสวนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก เขาจะมาอาทิตย์ละครั้ง พ่อแม่พี่เขากลัวของจะโดนขโมย”
ผมสังเกตเห็นแววตาเศร้าๆ ขณะที่เขาพูดออกมา
“งั้นพี่อยู่คนเดียวเลยเหรอ ในบ้านหลังขนาดนี้เนี้ยนะ” ผมถามอย่างประหลาดใจ
“จริงๆก็มีอาผู้ชายอยู่อีกคน แต่พี่ก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาหรอก เขาก็ไม่ค่อยอยู่บ้านด้วย”
“แล้วพี่ไม่เหงาแย่เหรอ”
ผมแกล้งแหย่ แต่ดูเหมือนอาการของพี่ปอนด์จะไม่ได้สนุกกับผมไปด้วย เขาถึงกับสะดุ้งเมื่อผมพูดถึงคำว่า “เหงา”
“พี่ชินแล้วล่ะ อืม เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ตกลงทำอะไรเป็นบ้างน่ะเรา”
“ทำอะไร คืออะไร บีงง”
“ก็ทำกับข้าวน่ะสิ นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ พี่หิวจะแย่แล้ว จะทำอะไรก็ไปทำเถอะ ในตู้เย็นกับในครัวคงมีของทุกอย่างที่บีอยากได้”
“เฮะ เฮะ บีทำกับข้าวไม่เป็นหรอก”
ผมสารภาพไปตามตรงเพราะตั้งแต่เล็กจนโต หน้าที่อย่างเดียวของผมคือเรียนหนังสือ นอกนั้นคุณแม่ผมจะจัดการให้หมด
“อะไรนะ พี่นึกว่าเกย์จะเหมือนผู้หญิงเสียอีก ทำไม่เป็นเลยเหรอ”
“อืม ถ้าเกย์คนอื่นก็อาจจะทำได้ แต่บีคงเป็นกรณียกเว้น”
เป็นอีกครั้งที่ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนที่ว่า “สิ่งเดียวที่ยืนยันว่ามึงเป็นเกย์คือมึงบ้าผู้ชาย”
“แล้วอย่างนี้ใครจะเอาไปทำเมียเนี้ย กับข้าวก็ทำไม่เป็น”
“หัวโบราณจัง นี่มันยุคไหนแล้ว มันไม่เห็นสำคัญเลยนี่ อยากกินก็ไปซื้อแกงถุงสิ มีให้เลือกตั้งเยอะ ทำอร่อยๆก็หลายเจ้า”
“ทำไมมีความคิดแบบนี้เนี้ย ...เฮ้อ... แล้วไข่เจียวละทำได้มั้ย กินไข่เจียวก็ได้วะ”
“ก็คงได้มั้ง”
“นี่....ขนาดไข่เจียวยังใช้คำว่าก็คงได้เหรอ ....กูละกลุ้ม”
“น่าไว้ใจบีเถอะ แค่ไข่เจียวไม่ยากหรอก แม่ทำให้กินออกบ่อย”
ว่าแล้วผมก็เดินไปในครัวแล้วเอาไข่ในตู้เย็นมาตอกใส่ชาม แล้วก็เทน้ำปลาใส่ไปพอประมาณซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมเลย เพราะผมก็เตรียมให้แม่มาอย่างนี้หลายครั้ง
ในขณะเดียวกัน พี่บีก้ช่วยมาจุดเตาแก็สแล้วตั้งกระทะใส่น้ำมันเตรียมรอไว้ให้ จนน้ำมันในกระทะเริ่มร้อนจัด
ถึงตรงนี้ผมก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าผมเคยช่วยแม่เตรียมแค่ตอกไข่ใส่ชามและใช้ส้อมมาตีไว้เท่านั้น ผมยังไม่เคยเทไข่ลงไปในกระทะด้วยตัวเองเลย
ดังนั้นเมื่อเห็นไอน้ำมันที่เริ่มระเหยขึ้นมาด้วยความร้อนจัดผมจึงเดินเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ พลางพยายามยืนห่างจากกระทะให้มากที่สุดแล้วค่อยๆยื่นมือออกไปเพื่อที่จะเทไข่ใส่กระทะ
แต่ด้วยความกลัวว่าน้ำมันจะกระเด็นใส่ทำให้แม้ผมจะยืดมือออกไปเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไปไม่ถึงกระทะสักที
“ตกลงนี่จะเล่นกายกรรมหรือจะเจียวไข่ มาให้พี่ทำเองเถอะ เห็นแล้วมันอนาถลูกตา”
พี่ปอนด์มาดึงชามไข่ไปจากผมแล้วก็เอาไปเทใส่กระทะด้วยความคล่องแคล่ว ขณะที่ผมได้แต่ยืนนิ่งด้วยความเขินอายที่แม้แต่เจียวไข่ผมก็ยังทำไม่เป็น
“เอางี้ดีกว่า บีไปหยิบหมูสับ กะหล่ำปรี ต้นหอม แล้วก็พริกในตู้เย็นมาให้พี่ดีกว่า พี่จะทำแกงจืด กับกระเพราหมูสับให้กิน”
“พี่ทำเป็นด้วยเหรอ”
“ทำเป็นสิ พี่ทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว ต้องอยู่คนเดียวนี่ ขืนไม่ทำก็อดตาย”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าบางที “เงิน” ก็ไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขเสมอไป อย่างกรณีของบ้านผม แม้เราจะไม่รวยมากแต่พ่อแม่ก็ดูแลเอาใจใส่ผมอย่างดีจนถึงขนาดทำให้ผมทำอะไรไม่เป็นเลย
ผมเดินไปหยิบของที่พี่ปอนด์สั่งมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็มองเขาจัดการของพวกนี้อย่างคล่องแคล่วด้วยความทึ่ง
“มีแค่นี้เหรอ มีอะไรอีกมั้ย”
“อ๋อ ใช่สิ มีใบกะเพราด้วย ไปหยิบมาหน่อย เด็ดใบให้พี่ด้วย”
เมื่อสิ้นเสียงสั่งผมก็เดินไปที่ตู้เย็นแล้วก็หยิบใบกะเพราออกมา
“นี่ใช่มั้ย”
“นั่นมันกะเพราซะที่ไหน นั่นมันใบหรพา”
“อ้าวเหรอ แล้วมันอันไหนล่ะ”
“ก็ที่วางข้างๆกันนั่นแหละ เฮ้อ พี่ล่ะไม่อยากจะเชื่อ”
“ก็เค้าไม่รู้นี่”
ผมพูดอย่างงอนๆ แล้วก็เอาใบกะเพราะมาเด็ดให้ตามที่พี่ปอนด์สั่ง
“อ่ะ เสร็จแล้ว จะให้บีทำอะไรอีก”
“ช่วยพี่หั่นกะหล่ำปลีแล้วกัน”
“หั่นไงอ่ะ”
“อะไรนะ หั่นกะหล่ำปลีก็ไม่เป็น งั้นอยากหั่นแบบไหนก็หั่นไปเลย”
พี่ปอนด์พูดด้วยความหงุดหงิดก่อนจะหันกลับไปสนใจผัดกระเพราในกระทะต่อ จนสักพักเมื่อเขาทำผัดกระเพราะเสร็จ เขาก็มาดูกระหล่ำปรีที่ผมหั่นไว้แล้วก็อดโวยวายไม่ได้
“อะไรเนี้ย นี่มันกระหล่ำปรีนะ ไม่ใช่หัวหอม ทำไมหั่นซะละเอียดขนาดนี้”
“อ้าวก็พี่บอกว่าหั่นไงก็ได้อ่ะ” ผมทำไม่รู้ไม่ชี้
“โอ้ย กูจะบ้า” พี่ปอนด์ระบายออกมาอย่างเหลืออด
ในที่สุดหลังจากช่วงเวลาของการทำอาหารจบไปอย่างทุลักทุเล กับข้าวทุกอย่างก็ถูกนำมาเตรียมไว้บนโต๊ะด้วยหน้าตาที่พิลึกพิลั่นที่สุด
“หน้าตาอาจะดูไม่ได้ แต่ก็อร่อยดีนะ”
“ก็ฝีมือใครล่ะ” พี่ปอนด์พูดยิ้มๆ
“กินๆ ไปเถอะน่า อย่าคิดมาก”
“อย่าไปเล่าใครล่ะ อายเขาตายเลย”
“ไม่เห็นจะแปลกเลย บีมันก็ก๊ง ๆ อย่างนี้แหละ”
พูดจบผมก็เล่าวีรกรรมต่างๆ นานาทั้งเรื่องหน้าแตก เรื่องเปิ่นๆ ของผมให้พี่ปอนด์ฟังจนเขาหัวเราะท้องขดท้องแข็ง
ยิ่งเขาหัวเราะชอบใจในสิ่งที่ผมเล่าเท่าไหร่ผมก็ยิ่งสรรหาเรื่องเล่าให้เขาได้ยิ้มไม่หยุดปาก จนกระทั่งมาถึงช่วงหนึ่งที่เขาเอาแต่ยิ้มจ้องหน้าผม ทำให้ผมหยุดพูดทันที
“มองอะไรน่ะ หยุดมองเดี๋ยวนี้นะ”
ผมบอกพี่ปอนด์เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังเขินขึ้นทุกทีเมื่อเขาได้แต่นั่งจ้องผม
“มองคนน่ารักไง มองไม่ได้เหรอ”
“บ้า....เอ่อ....นี่บีพูดมากไปหรือเปล่า”
หลังผมพูดจบพี่ปอนด์ทำสีหน้าตกใจ แล้วบอกว่า
“ปล่าวนะ ปล่าว เล่าอีกสิ พี่ชอบ รู้มั้ยว่าพี่ไม่เคยได้ยิ้ม ได้หัวเราะมากขนาดนี้มาก่อน”
“อย่าเว่อร์น่ะ บีเชื่อว่าบีไม่ใช่คนแรกหรอกที่มากินข้าวกับพี่ปอนด์อย่างนี้”
“ใช่ บีไม่ใช่คนแรกหรอก แต่บีไม่เหมือนคนอื่น บีไม่มานั่งกระมิดกระเมี้ยนเก็บอาการ ทานข้าวอย่างผู้ดี สงบปากสงบคำ หรือจะพูดแต่ละทีทำยังกะว่าดอกพิกุลจะร่วง”
“นี่ หลอกด่าบีเหรอ” ผมพูดงอนๆ
“ฮึ ฮึ ปล่าว เห็นมั้ยบีทำพี่หัวเราะอีกแล้ว ถ้าพี่ได้อยู่กับบีอย่างนี้ทุกวันก็ดีสินะ พี่จะได้ไม่ต้องเหงาอีก”
“เอ่อ บีว่าบีไปเติมน้ำดีกว่านะ”
ผมรีบหยิบเหยือกน้ำที่ยังมีน้ำเกือบเต็มเหยือกจะลุกออกด้วยความเขิน แต่พี่ปอนด์กลับลุกขึ้นมาดักผมไว้จนผมถอยไปชนกำแพง จากนั้นพี่ปอนด์ก็ตามมาเอามือทั้ง 2 ข้างมายันกำแพงขนาบศีรษะผมไว้จนผมขยับหนีไปไหนไม่ได้
“พี่ว่า...พี่ชักจะเริ่มชอบบีจริงๆแล้วนะ”
พูดจบเขาก็จ้องตาผมเขม็งขณะที่ค่อยๆโน้มตัวลงมาเพื่อจะจูบผม ในตอนนั้นผมต้องสารภาพว่าขณะที่จ้องตาพี่ปอนด์ผมเกือบจะเผลอตัวเผลอใจให้ผู้ชายคนนี้ไปแล้ว
แต่ทันใดนั้นภาพของทีมก็ปรากฏขึ้นมาในหัวเสียก่อน ผมจึงได้สติและเตือนตัวเองว่า...ผู้ชายคนเดียวที่จะจูบผมได้คือ “ทีม” คนเดียวเท่านั้น ผมจึงรีบเบี่ยงหน้าหลบ
“พี่ปอนด์อย่านะ บีไม่...”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เราเพิ่งกินกระเพรากันไปไม่ใช่เหรอ ขืนจูบกันทั้งอย่างนี้ก็เหม็นแย่สิ”
“พูดทำไมเนี้ย เสียมู้ดหมด เอ้า จะไปเติมน้ำก็ไปเถอะ”
ผมรีบเดินออกมาด้วยความโล่งอก ในขณะที่ผมเองเริ่มไม่แน่ใจว่าจะรักษาตัวให้รอดไปตลอดรอดฝั่งได้หรือไม่เพราะผมเองก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่ปอนด์เองเริ่มทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว
หลังจากทานข้าว พี่ปอนด์ก็พาผมไปเดินชมบ้านซึ่งกว้างขวางมากจนผมเดินจนเมื่อย จากนั้นเขาก็พาผมไปดูสวนที่เขาบอกว่าเขาเป็นคนดูแล ลงมือปลูกและตกแต่งเอง จนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงเหงามากจริงๆถึงพยายามหาอะไรทำมากมายขนาดนี้
ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเดทของผู้ชายอย่างพี่ปอนด์จะเป็นแบบนี้ ผมนึกว่าเขาจะพาผมไปดูหนังรักโรแมนติก พาไปทานข้าวร้านหรูๆ ต่อด้วยการไปนั่งทานไอติมถ้วยเดียวกัน แล้วปิดท้ายด้วยการไปนั่งพลอดรักในสวนสาธารณะที่มีบรรยากาศโรแมนติก
แต่วันนี้เขากลับพาผมมาที่บ้าน มารู้จักที่อยู่ ที่นอนและตัวตนจริงๆ ของเขา จนผมอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
บางทีผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขามีมุมที่ดูเหงาหงอยเศร้าสร้อยอยู่ไม่น้อย
ผมทำอะไรต่อมิอะไรกับพี่ปอนด์ด้วยกันจนเพลิน มารู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาถึง 5 โมงเย็นแล้ว ผมจึงรีบขอตัวกลับ
“พี่ปอนด์ บีคงต้องกลับแล้วล่ะ มันเย็นมากแล้ว”
“จะรีบไปไหนล่ะ พี่ยังสนุกอยู่เลยนะ หรือบีเบื่อพี่แล้ว”
“ปล่าว แต่นี่มันเย็นมากแล้ว เดี๋ยวบีจะตกรถอ่ะ”
“งั้นก็ค้างเสียที่นี่สิ บ้านพี่มีห้องว่างตั้งหลายห้อง เอ่อ ไม่สิ จริงๆแล้วเราเป็นแฟนกันนี่ก็ต้องนอนห้องเดียวกันสิ”
“ไม่ได้หรอก บีไม่ได้ขออนุญาตคุณแม่ไว้ บีต้องกลับก่อนจริงๆนะ” ผมพยายามหาข้ออ้าง
“เอ้า งั้นก็ได้ ไว้วันหลังแล้วกัน รอแป๊บนะ พี่ไปเอากุญแจรถแป๊บนึง”
หลังจากไปเอากุญแจมาแล้ว พี่ปอนด์ก็ขับรถมาส่งผมที่ท่ารถ จนหลังจากล่ำลากันสักพัก ผมก็เดินจากมาเพื่อจะไปขึ้นรถแต่พี่ปอนด์กลับเรียกผมไว้
“เดี๋ยว......บี”
“คับ มีอะไรเหรอ”
“ป่าวหรอก พี่แค่อยากขอบใจ วันนี้พี่มีความสุขมากจริงๆ .......ขอบใจนะ....ที่มาเป็นแฟนพี่”
---------------------------------------------------------