[novel] ขอให้รักเรานั้น...นิรันดร ครับ by นัทนที
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [novel] ขอให้รักเรานั้น...นิรันดร ครับ by นัทนที  (อ่าน 274723 ครั้ง)

ออฟไลน์ GoneOn

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
อ้างถึง
“บาสก็ไม่รู้หรอกนะว่าความรักคืออะไร แต่ความรักที่ไม่รู้จักกับคำว่า “ให้อภัย” มันจะยังเรียกว่าความรักได้เหรอ”

  แหม ใช้ได้เหมือนกันนะนายบาสเนี่ยยย  :myeye:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“บาสก็ไม่รู้หรอกนะว่าความรักคืออะไร แต่ความรักที่ไม่รู้จักกับคำว่า “ให้อภัย” มันจะยังเรียกว่าความรักได้เหรอ”

บาสพูดได้โดนใจมาก ถึงแม้จะเป็นแค่พระรอง แต่ก็สู้เขานะ  :like2:

แต่ก็ไม่รู้ซี คราวนี้ทีมทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัยจริง ๆ แถมยังมาพาลบีอีก เริ่มไม่ชอบระ ลุ้นบาสดีกว่า

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ขออีกนิดนะ ไม่ได้ตั้งใจจะปั่นเม้นต์เลยจริง

ชอบประโยคนี้ง่ะ

"บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า....ในขณะที่เขากำลังมีความสุขอยู่กับผู้หญิงคนนั้น จะมีสักครั้งมั้ยที่เขาจะนึกถึงผม

จะมีสักครั้งมั้ยที่เขาจะนึกว่าสิ่งที่เขากำลังทำนั้นจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดของผมสักแค่ไหน

ถ้าหากเขารักหรือคิดถึงผมจริงๆ ทำไมเขาถึงยังทำอย่างนี้กับผมได้ "  :monkeysad:

นี่ละมั้งทำให้บี ยากจะอภัยให้ทีมจริง ๆ


gobgab

  • บุคคลทั่วไป
“บาสก็ไม่รู้หรอกนะว่าความรักคืออะไร แต่ความรักที่ไม่รู้จักกับคำว่า “ให้อภัย” มันจะยังเรียกว่าความรักได้เหรอ”

ใช่คับ...........บาสพูดถูก..................เราสามารถจะหั้ยอภัยเขาได้ :yeb:

แต่ในบางเรื่องเท่านั้น...............ไม่ใช่ทุกเรื่อง :monkeysad:

ปัญหามันอยู่ที่ว่า...........ความหมายของคำว่ารักที่ทีมหั้ยกับบีมันคืออะไร :impress3:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
   


หมูพูห์ พูดยังกับเคยโดน หรือ เคยทำหวา คิกคิก


----------------------------------------------



บลูคับ ก็เคยโดนนะ แต่หนักกว่าที่บีโดนเยอะ


ผมเลยเข้าใจความรู้สึกของบีงัย
 

พูห์

------------------------------------------------------------

"หากรักคือทุกข์           แล้วสุขคืออะไร

หากรักคือการเสียใจ       แล้วทำไมใจต้องการ"




ปล.



คุ้นๆ  เหมือนลายเซนต์ใครหวา



อ้าวลายเซนต์ตรูเอง


ฮากริ๊กกริ๊ก :kikkik:



พูห์ :teach:

beaches

  • บุคคลทั่วไป
ขอ comment ชะตากรรมของบี ทีม กุ้ง และ ปอนด์ ด้วยเพลงนี้แล้วกันครับ

หัวใจสลาย...โหดร้ายขนาดนี้
สิ่งที่ดีดี ไม่เหลือให้ฉันเลย
สิ่งเป็นที่รัก ที่ฉันได้คุ้นเคย
สลายไปหมด...ไม่มีเหลือ

ทิ้งไปกับเขา ทิ้งเงากับฉัน
อยู่กับคืนวันที่ฉันได้สร้างมา
กับการสูญเสีย ที่เสียทั้งน้ำตา และเสียทั้งหัวใจ

สักวันจะรู้   สักวันจะเจอ   อย่างที่ฉันเจอ...เธอก็จะรู้และจะเข้าใจ
เมื่อเธอถูกเขาทิ้ง เธอจะซึ้งใจ
ว่าใจสลายเป็นอย่างไร

เธอจะรู้ฉัน...เสียใจสักเท่าไร

---------------------------------------------------------------------------------
ป.ล. พอดีได้มีโอกาสไปอ่านเรื่อง "กว่าจะถึงซึ่งทางรัก" ของคุณพรีนีเปียร์
ยอมรับโดยสิ้นเชิงเลยว่ามีความละเมียดละไมในอารมณ์ของความรักมากๆ
romantic จริงๆ 
อ่านแล้วรู้สึกถึงอารมณ์เหงา พลัดพราก ความรักต้องห้าม เลยว่าเป็นยังไง
ความรักนี่ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ




ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
GoneOn ถ้าหลายๆคนคิดได้แบบนี้ ความรักคงยั่งยืนและมีความสุขนะครับ

shell  อิอิ เอาจายเชียร์บาสขนาดนั้น งั้นพอจำได้ไหมครับว่าตอนบาสเจอบีกับทีมกอดกัน บาสพูดว่าอะไรครับ

อ้างถึง
GobGab แต่ในบางเรื่องเท่านั้น...............ไม่ใช่ทุกเรื่อง
คนเราก็ผิดพลาดกันได้ บางเรื่องเท่านั้น ................ไม่ใช่ทุกเรื่อง
แม้คนฆ่าคนตาย เขาก็อาจไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นเลย

หมูพูห์  อย่างทีพูห์บอกมันเจ็บเกินเยียวยา ผมก็เคยครับ และไม่ได้ให้อภัยด้วยเช่นกัน

beaches ผมก็ว่าจะขอกว่าจะถึง...ซึ่งทางรักของพรีนีเปียร์มาลงด้วยเหมือนกันแต่ยังไม่มีเวลาเลย  ถ้าว่างๆอยากให้เพื่อนช่วยขอมาลงด้วยเหมือนกัน(ขอเฉยๆก็ได้ แล้วผมจะลงให้)  สองตอนสุดท้ายผมน้ำตาแตกเลยครับ
*******************************************************************************************************************
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 20 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------

เมื่อกลับมาถึงบ้าน คำพูดของบาสเมื่อตอนเย็นทำให้ผมได้แต่คิดหนัก สิ่งที่เขาพูดมันล้วนแล้วแต่แทงใจผมเหลือเกิน

จริงๆแล้วบาสพูดถูกแทบทุกอย่าง ผมกำลังเจ็บปวดในสิ่งที่ตัวเองทำ ผมกำลังทำร้ายตัวเอง และผมก็ยังรักทีมมาก

หรือผมควรจะให้อภัยทีมอย่างที่บาสบอกจริงๆ

แต่เมื่อนึกถึงตรงนี้ทีไร ภาพของทีมกับพี่กุ้งที่กำลังเริงรักอยู่ในจินตนาการของผมก็จะเข้ามาขัดจังหวะให้อารมณ์ของผมเปลี่ยนเป็นความโกรธทุกครั้ง ถ้าผมไม่ลงโทษเขาให้สาสมผมก็คงไม่มีวันลืมสิ่งที่ทีมทำกับผมได้

นอกจากนั้น หลังจากเหตุการณ์ที่เราไปเที่ยวทะเลในวันนั้น แทนที่ทีมจะสำนึกผิดหรือสงบเสงี่ยมเจียมตัวด้วยการมางอนง้อขอโทษผม เขากลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามด้วยการไปควงพี่กุ้งมาเย้ยผมต่อหน้าต่อตา

ถึงตรงนี้ผมจึงได้แต่คิดว่า....สิ่งที่เขาทำมันยังห่างไกลจากคำว่า “ควรค่าแก่การให้อภัย” นัก ผมจึงตัดสินใจจะเล่นเกมนี้ต่อไปโดยไม่สนใจคำเตือนของบาสอีก

ดังนั้นเหตุการณ์ที่โรงเรียนในวันต่อๆ มา ทั้งผมและทีมจึงผลัดกันควงพี่กุ้งและพี่ปอนด์มาเย้ยกันไปมา จนบรรดาเพื่อนๆ สนิทเริ่มบ่นว่า

“พวงแกกำลังเล่นอะไรกันเนี้ย”

ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมและทีมกำลังทำนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้เราทั้งคู่ต้องเจ็บปวด ต่างฝ่ายต่างต้องเสแสร้งแกล้งทำว่าไม่รู้สึกอะไร ในขณะที่ภายในใจนั้นมันเหนื่อยแสนเหนื่อย

ในที่สุดแล้ว....เราทั้งคู่ต่างก็รอเวลาที่คนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นฝ่ายทนไม่ได้แล้วก็ยอมแพ้ไปในที่สุดก่อนเท่านั้น เกมนี้จึงจะจบลง

ในเวลานั้น....ขณะที่ความสัมพันธ์ของผมกับทีมค่อยๆสั่นคลอนลงทุกวัน แต่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ปอนด์กลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

“บี วันเสาร์นี้ว่างป่ะ”

“ว่างคับ ทำไมเหรอ”

“พี่จะชวนไปเที่ยว ตั้งแต่เป็นแฟนกันมาเรายังไม่เคยออกเดทด้วยกันเลยนะ”

“ที่ไหนเหรอ” ผมถามอย่างระแวงว่าผู้ชายคนนี้อาจกำลังคิดจะเผด็จศึกผมแล้ว

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็มากินข้าวดูหนัง ห้ามปฎิเสธพี่นะ”

“อืม...ก็ได้คับ”

ผมตอบกลับไปพลางคิดว่าบางทีการออกเดทในวันหยุดระหว่างผมกับพี่ปอนด์อาจจะเป็นไม้เด็ดที่ทำให้ทีมถึงกับลนลาน จนต้องยอมแพ้ก็ได้

ดังนั้นเมื่อวันเสาร์มาถึงผมก็มารอพี่ปอนด์ที่โรงเรียนตามที่เรานัดกันไว้

สักพักพี่ปอนด์ก็ขี่มอเตอร์ไซด์คันเก่งมารับผม แล้วก็พาผมออกไป แต่ยิ่งนั่งไปกับเขาเข้าไปในตัวเมืองนานเข้า ผมก็รู้สึกได้ว่า “มันไม่ใช่เส้นทางที่จะไปโรงหนังนี่” จนอีกสักพักเขาก็มาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง

“เอ่อ นี่มันไม่ใช่โรงหนังนี่”

“ก็ใครว่าใช่ล่ะ นี่มันบ้านพี่เอง”

ทันทีที่เขาพูดจบผมก็หันไปมองเขาอย่างตกใจ บางทีเขาคงจะเผด็จศึกผมวันนี้จริงๆ ก็ได้ถึงได้พาผมมาที่บ้านอย่างนี้

“ทำไม กลัวอะไรเหรอ”

“ปะ ป่าว”

ผมตอบไปอย่างอึกอักพลางคิดว่าผมต้องระมัดระวังตัวให้ดี ที่สำคัญคือต้องห้ามใจตัวเองให้ได้เพราะอย่างไรเสียพี่ปอนด์ก็เป็นผู้ชายในฝันของผม ดังนั้นผมจะต้องพยายามไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับผู้ชายคนนี้

ก่อนหน้านี้ผมรู้มาบ้างแล้วว่าพี่ปอนด์มีฐานะดี แต่เมื่อได้มาเห็นบ้านของเขาจริงๆ ผมถึงได้รู้ว่าเขารวยกว่าที่ผมคิดไว้มาก เพราะบ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่จนน่าจะเรียกว่า “คฤหาสน์” ถึงจะเหมาะสมกว่า ขณะที่สวนสวยหน้าบ้านก็มีอาณาบริเวณกว้างขวางและจัดแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม

ยิ่งเมื่อเข้ามาในบ้าน การตกแต่งอย่างโอ่อ่า สง่างาม และความหรูหราของข้าวของเครื่องใช้ก็ยิ่งทำให้ผู้มาเยือนรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ธรรมดา แต่ถึงแม้บ้านหลังนี้จะมีความน่าอยู่เพียงใด ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าภายในบ้านมันเงียบมาก เงียบจนน่าอึดอัด

“ทำไมบ้านมันเงียบจังล่ะ พี่ปอนด์” ผมตัดสินใจถามเขาเพื่อทำลายความเงียบที่มี

“ก็มีแค่เรา 2 คนนี่จะไม่เงียบได้ไง”

คำตอบของพี่ปอนด์เริ่มทำให้ผมระแวงเขาหนักขึ้น

“แล้วพ่อแม่พี่ล่ะ ...เอ่อ....แล้วคนใช้ คนสวนล่ะ ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ”

“พ่อแม่พี่ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก ท่านมีธุรกิจเยอะก็เลยต้องเดินทางบ่อย ส่วนคนใช้กับคนสวนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก เขาจะมาอาทิตย์ละครั้ง พ่อแม่พี่เขากลัวของจะโดนขโมย”

ผมสังเกตเห็นแววตาเศร้าๆ ขณะที่เขาพูดออกมา

“งั้นพี่อยู่คนเดียวเลยเหรอ ในบ้านหลังขนาดนี้เนี้ยนะ” ผมถามอย่างประหลาดใจ

“จริงๆก็มีอาผู้ชายอยู่อีกคน แต่พี่ก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาหรอก เขาก็ไม่ค่อยอยู่บ้านด้วย”

“แล้วพี่ไม่เหงาแย่เหรอ”

ผมแกล้งแหย่ แต่ดูเหมือนอาการของพี่ปอนด์จะไม่ได้สนุกกับผมไปด้วย เขาถึงกับสะดุ้งเมื่อผมพูดถึงคำว่า “เหงา”

“พี่ชินแล้วล่ะ อืม เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ตกลงทำอะไรเป็นบ้างน่ะเรา”

“ทำอะไร คืออะไร บีงง”

“ก็ทำกับข้าวน่ะสิ นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ พี่หิวจะแย่แล้ว จะทำอะไรก็ไปทำเถอะ ในตู้เย็นกับในครัวคงมีของทุกอย่างที่บีอยากได้”

“เฮะ เฮะ บีทำกับข้าวไม่เป็นหรอก”

ผมสารภาพไปตามตรงเพราะตั้งแต่เล็กจนโต หน้าที่อย่างเดียวของผมคือเรียนหนังสือ นอกนั้นคุณแม่ผมจะจัดการให้หมด

“อะไรนะ พี่นึกว่าเกย์จะเหมือนผู้หญิงเสียอีก ทำไม่เป็นเลยเหรอ”

“อืม ถ้าเกย์คนอื่นก็อาจจะทำได้ แต่บีคงเป็นกรณียกเว้น”

เป็นอีกครั้งที่ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนที่ว่า “สิ่งเดียวที่ยืนยันว่ามึงเป็นเกย์คือมึงบ้าผู้ชาย”

“แล้วอย่างนี้ใครจะเอาไปทำเมียเนี้ย กับข้าวก็ทำไม่เป็น”

“หัวโบราณจัง นี่มันยุคไหนแล้ว มันไม่เห็นสำคัญเลยนี่ อยากกินก็ไปซื้อแกงถุงสิ มีให้เลือกตั้งเยอะ ทำอร่อยๆก็หลายเจ้า”

“ทำไมมีความคิดแบบนี้เนี้ย ...เฮ้อ... แล้วไข่เจียวละทำได้มั้ย กินไข่เจียวก็ได้วะ”

“ก็คงได้มั้ง”

“นี่....ขนาดไข่เจียวยังใช้คำว่าก็คงได้เหรอ ....กูละกลุ้ม”

“น่าไว้ใจบีเถอะ แค่ไข่เจียวไม่ยากหรอก แม่ทำให้กินออกบ่อย”

ว่าแล้วผมก็เดินไปในครัวแล้วเอาไข่ในตู้เย็นมาตอกใส่ชาม แล้วก็เทน้ำปลาใส่ไปพอประมาณซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมเลย เพราะผมก็เตรียมให้แม่มาอย่างนี้หลายครั้ง

ในขณะเดียวกัน พี่บีก้ช่วยมาจุดเตาแก็สแล้วตั้งกระทะใส่น้ำมันเตรียมรอไว้ให้ จนน้ำมันในกระทะเริ่มร้อนจัด

ถึงตรงนี้ผมก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าผมเคยช่วยแม่เตรียมแค่ตอกไข่ใส่ชามและใช้ส้อมมาตีไว้เท่านั้น ผมยังไม่เคยเทไข่ลงไปในกระทะด้วยตัวเองเลย

ดังนั้นเมื่อเห็นไอน้ำมันที่เริ่มระเหยขึ้นมาด้วยความร้อนจัดผมจึงเดินเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ พลางพยายามยืนห่างจากกระทะให้มากที่สุดแล้วค่อยๆยื่นมือออกไปเพื่อที่จะเทไข่ใส่กระทะ

แต่ด้วยความกลัวว่าน้ำมันจะกระเด็นใส่ทำให้แม้ผมจะยืดมือออกไปเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไปไม่ถึงกระทะสักที

“ตกลงนี่จะเล่นกายกรรมหรือจะเจียวไข่ มาให้พี่ทำเองเถอะ เห็นแล้วมันอนาถลูกตา”

พี่ปอนด์มาดึงชามไข่ไปจากผมแล้วก็เอาไปเทใส่กระทะด้วยความคล่องแคล่ว ขณะที่ผมได้แต่ยืนนิ่งด้วยความเขินอายที่แม้แต่เจียวไข่ผมก็ยังทำไม่เป็น

“เอางี้ดีกว่า บีไปหยิบหมูสับ กะหล่ำปรี ต้นหอม แล้วก็พริกในตู้เย็นมาให้พี่ดีกว่า พี่จะทำแกงจืด กับกระเพราหมูสับให้กิน”

“พี่ทำเป็นด้วยเหรอ”

“ทำเป็นสิ พี่ทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว ต้องอยู่คนเดียวนี่ ขืนไม่ทำก็อดตาย”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าบางที “เงิน” ก็ไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขเสมอไป อย่างกรณีของบ้านผม แม้เราจะไม่รวยมากแต่พ่อแม่ก็ดูแลเอาใจใส่ผมอย่างดีจนถึงขนาดทำให้ผมทำอะไรไม่เป็นเลย

ผมเดินไปหยิบของที่พี่ปอนด์สั่งมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็มองเขาจัดการของพวกนี้อย่างคล่องแคล่วด้วยความทึ่ง

“มีแค่นี้เหรอ มีอะไรอีกมั้ย”

“อ๋อ ใช่สิ มีใบกะเพราด้วย ไปหยิบมาหน่อย เด็ดใบให้พี่ด้วย”

เมื่อสิ้นเสียงสั่งผมก็เดินไปที่ตู้เย็นแล้วก็หยิบใบกะเพราออกมา

“นี่ใช่มั้ย”

“นั่นมันกะเพราซะที่ไหน นั่นมันใบหรพา”

“อ้าวเหรอ แล้วมันอันไหนล่ะ”

“ก็ที่วางข้างๆกันนั่นแหละ เฮ้อ พี่ล่ะไม่อยากจะเชื่อ”

“ก็เค้าไม่รู้นี่”

ผมพูดอย่างงอนๆ แล้วก็เอาใบกะเพราะมาเด็ดให้ตามที่พี่ปอนด์สั่ง

“อ่ะ เสร็จแล้ว จะให้บีทำอะไรอีก”

“ช่วยพี่หั่นกะหล่ำปลีแล้วกัน”

“หั่นไงอ่ะ”

“อะไรนะ หั่นกะหล่ำปลีก็ไม่เป็น งั้นอยากหั่นแบบไหนก็หั่นไปเลย”

พี่ปอนด์พูดด้วยความหงุดหงิดก่อนจะหันกลับไปสนใจผัดกระเพราในกระทะต่อ จนสักพักเมื่อเขาทำผัดกระเพราะเสร็จ เขาก็มาดูกระหล่ำปรีที่ผมหั่นไว้แล้วก็อดโวยวายไม่ได้

“อะไรเนี้ย นี่มันกระหล่ำปรีนะ ไม่ใช่หัวหอม ทำไมหั่นซะละเอียดขนาดนี้”

“อ้าวก็พี่บอกว่าหั่นไงก็ได้อ่ะ” ผมทำไม่รู้ไม่ชี้

“โอ้ย กูจะบ้า” พี่ปอนด์ระบายออกมาอย่างเหลืออด

ในที่สุดหลังจากช่วงเวลาของการทำอาหารจบไปอย่างทุลักทุเล กับข้าวทุกอย่างก็ถูกนำมาเตรียมไว้บนโต๊ะด้วยหน้าตาที่พิลึกพิลั่นที่สุด

“หน้าตาอาจะดูไม่ได้ แต่ก็อร่อยดีนะ”

“ก็ฝีมือใครล่ะ” พี่ปอนด์พูดยิ้มๆ

“กินๆ ไปเถอะน่า อย่าคิดมาก”

“อย่าไปเล่าใครล่ะ อายเขาตายเลย”

“ไม่เห็นจะแปลกเลย บีมันก็ก๊ง ๆ อย่างนี้แหละ”

พูดจบผมก็เล่าวีรกรรมต่างๆ นานาทั้งเรื่องหน้าแตก เรื่องเปิ่นๆ ของผมให้พี่ปอนด์ฟังจนเขาหัวเราะท้องขดท้องแข็ง

ยิ่งเขาหัวเราะชอบใจในสิ่งที่ผมเล่าเท่าไหร่ผมก็ยิ่งสรรหาเรื่องเล่าให้เขาได้ยิ้มไม่หยุดปาก จนกระทั่งมาถึงช่วงหนึ่งที่เขาเอาแต่ยิ้มจ้องหน้าผม ทำให้ผมหยุดพูดทันที

“มองอะไรน่ะ หยุดมองเดี๋ยวนี้นะ”

ผมบอกพี่ปอนด์เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังเขินขึ้นทุกทีเมื่อเขาได้แต่นั่งจ้องผม


“มองคนน่ารักไง มองไม่ได้เหรอ”

“บ้า....เอ่อ....นี่บีพูดมากไปหรือเปล่า”

หลังผมพูดจบพี่ปอนด์ทำสีหน้าตกใจ แล้วบอกว่า

“ปล่าวนะ ปล่าว เล่าอีกสิ พี่ชอบ รู้มั้ยว่าพี่ไม่เคยได้ยิ้ม ได้หัวเราะมากขนาดนี้มาก่อน”

“อย่าเว่อร์น่ะ บีเชื่อว่าบีไม่ใช่คนแรกหรอกที่มากินข้าวกับพี่ปอนด์อย่างนี้”

“ใช่ บีไม่ใช่คนแรกหรอก แต่บีไม่เหมือนคนอื่น บีไม่มานั่งกระมิดกระเมี้ยนเก็บอาการ ทานข้าวอย่างผู้ดี สงบปากสงบคำ หรือจะพูดแต่ละทีทำยังกะว่าดอกพิกุลจะร่วง”

“นี่ หลอกด่าบีเหรอ” ผมพูดงอนๆ

“ฮึ ฮึ ปล่าว เห็นมั้ยบีทำพี่หัวเราะอีกแล้ว ถ้าพี่ได้อยู่กับบีอย่างนี้ทุกวันก็ดีสินะ พี่จะได้ไม่ต้องเหงาอีก”

“เอ่อ บีว่าบีไปเติมน้ำดีกว่านะ”

ผมรีบหยิบเหยือกน้ำที่ยังมีน้ำเกือบเต็มเหยือกจะลุกออกด้วยความเขิน แต่พี่ปอนด์กลับลุกขึ้นมาดักผมไว้จนผมถอยไปชนกำแพง จากนั้นพี่ปอนด์ก็ตามมาเอามือทั้ง 2 ข้างมายันกำแพงขนาบศีรษะผมไว้จนผมขยับหนีไปไหนไม่ได้

“พี่ว่า...พี่ชักจะเริ่มชอบบีจริงๆแล้วนะ”

พูดจบเขาก็จ้องตาผมเขม็งขณะที่ค่อยๆโน้มตัวลงมาเพื่อจะจูบผม ในตอนนั้นผมต้องสารภาพว่าขณะที่จ้องตาพี่ปอนด์ผมเกือบจะเผลอตัวเผลอใจให้ผู้ชายคนนี้ไปแล้ว

แต่ทันใดนั้นภาพของทีมก็ปรากฏขึ้นมาในหัวเสียก่อน ผมจึงได้สติและเตือนตัวเองว่า...ผู้ชายคนเดียวที่จะจูบผมได้คือ “ทีม” คนเดียวเท่านั้น ผมจึงรีบเบี่ยงหน้าหลบ

“พี่ปอนด์อย่านะ บีไม่...”

“ทำไมล่ะ”

“ก็เราเพิ่งกินกระเพรากันไปไม่ใช่เหรอ ขืนจูบกันทั้งอย่างนี้ก็เหม็นแย่สิ”

“พูดทำไมเนี้ย เสียมู้ดหมด เอ้า จะไปเติมน้ำก็ไปเถอะ”

ผมรีบเดินออกมาด้วยความโล่งอก ในขณะที่ผมเองเริ่มไม่แน่ใจว่าจะรักษาตัวให้รอดไปตลอดรอดฝั่งได้หรือไม่เพราะผมเองก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่ปอนด์เองเริ่มทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว

หลังจากทานข้าว พี่ปอนด์ก็พาผมไปเดินชมบ้านซึ่งกว้างขวางมากจนผมเดินจนเมื่อย จากนั้นเขาก็พาผมไปดูสวนที่เขาบอกว่าเขาเป็นคนดูแล ลงมือปลูกและตกแต่งเอง จนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงเหงามากจริงๆถึงพยายามหาอะไรทำมากมายขนาดนี้

ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเดทของผู้ชายอย่างพี่ปอนด์จะเป็นแบบนี้ ผมนึกว่าเขาจะพาผมไปดูหนังรักโรแมนติก พาไปทานข้าวร้านหรูๆ ต่อด้วยการไปนั่งทานไอติมถ้วยเดียวกัน แล้วปิดท้ายด้วยการไปนั่งพลอดรักในสวนสาธารณะที่มีบรรยากาศโรแมนติก

แต่วันนี้เขากลับพาผมมาที่บ้าน มารู้จักที่อยู่ ที่นอนและตัวตนจริงๆ ของเขา จนผมอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

บางทีผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขามีมุมที่ดูเหงาหงอยเศร้าสร้อยอยู่ไม่น้อย

ผมทำอะไรต่อมิอะไรกับพี่ปอนด์ด้วยกันจนเพลิน มารู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาถึง 5 โมงเย็นแล้ว ผมจึงรีบขอตัวกลับ

“พี่ปอนด์ บีคงต้องกลับแล้วล่ะ มันเย็นมากแล้ว”

“จะรีบไปไหนล่ะ พี่ยังสนุกอยู่เลยนะ หรือบีเบื่อพี่แล้ว”

“ปล่าว แต่นี่มันเย็นมากแล้ว เดี๋ยวบีจะตกรถอ่ะ”

“งั้นก็ค้างเสียที่นี่สิ บ้านพี่มีห้องว่างตั้งหลายห้อง เอ่อ ไม่สิ จริงๆแล้วเราเป็นแฟนกันนี่ก็ต้องนอนห้องเดียวกันสิ”

“ไม่ได้หรอก บีไม่ได้ขออนุญาตคุณแม่ไว้ บีต้องกลับก่อนจริงๆนะ” ผมพยายามหาข้ออ้าง

“เอ้า งั้นก็ได้ ไว้วันหลังแล้วกัน รอแป๊บนะ พี่ไปเอากุญแจรถแป๊บนึง”

หลังจากไปเอากุญแจมาแล้ว พี่ปอนด์ก็ขับรถมาส่งผมที่ท่ารถ จนหลังจากล่ำลากันสักพัก ผมก็เดินจากมาเพื่อจะไปขึ้นรถแต่พี่ปอนด์กลับเรียกผมไว้

“เดี๋ยว......บี”

“คับ มีอะไรเหรอ”

“ป่าวหรอก พี่แค่อยากขอบใจ วันนี้พี่มีความสุขมากจริงๆ .......ขอบใจนะ....ที่มาเป็นแฟนพี่”

---------------------------------------------------------













ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
โฮ๊ะ ๆ  :like2: รอจนได้อ่านอีกตอนก่อนเลิกงาน  :like2:

คุณบลู ถามว่าจำได้หรือเปล่าใช่มั๊ย ตอบตามตรงจำคำพูดแบบเป๊ะ ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ แต่ประมาณว่านึกว่าจะมาได้กันในป่า ทำนองนี้แหละ

แต่จำได้ว่า บาสเคยแกล้งบี โดยเตะบอลไปโดนหลังบี แล้วแซวว่าน้องสาว เก็บบอลให้พี่หน่อย  :like2: บุคลิกบาสตอนแรกจะเป็นเถื่อน ๆ ตรง ๆ ง่ะ

แต่ตอนนี้เป็นตัวรองที่น่าลุ้นที่สุด กอล์ฟก็ไม่เชียร์ตั้งแต่ไปขอให้เลิกชอบบีแระ ส่วนทีมนี่แม่ไม่ปลื้มกับการกระทำเลย ปอนด์ก็ยังเฉย ๆ

ตอนนี้ยังไม่มีอะไรจะคอมเม้นต์เลย ขอดูทีท่าไปก่อนละกัน   :yeb:

beaches

  • บุคคลทั่วไป
และแล้วบ่วงที่บีสร้างไว้กับปอนด์ ก็กำลังจะรัดตัวเองให้ดิ้นไม่หลุด
บีจะรู้ไหมนะ...แม้จะหวลคืนสู่ทีมได้ก็จริง

แต่ความสุขสดชื่นของเขาและทีมก็คงอยู่แค่ชั่วครู่
สงสารบีจับใจจริงๆ ได้แต่เอาใจช่วยให้บีฟันฝ่า พายุแห่งกรรม ไปได้ด้วยดี


ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
ซะงั้น

อย่านี้เรียกว่าใจง่าย หรือ หวั่นไหวครับบลู




ปล.


ไม่เหมือนผม หลายใจ

แต่รักเดียว


ฟิ้ววววววววววววววววววววววววววววววววว


พูห์ :teach:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
shell น่าภูมิจายจริง ที่บอร์ดเรามีนักอ่านระดับคุณภาพอยู่หลายท่านทีเดียว คนเขียนผ่านมาเจอคงดีจายมากนะครับ  :3061:

beaches แต่ความสุขสดชื่นของเขาและทีมก็คงอยู่แค่ชั่วครู่  ทำไมถึงคิดแบบนั้นหล่ะครับ  :untrust:

หมูพูห์ ใจง่ายคงไม่ใช่แน่นะครับ เพราะคนที่มีจีบบีแต่ละคน ไม่ได้ผ่านมาเจอกันแล้วจะปิ๊งเลย แต่ต้องผ่านการกลั่นกรองมาพอสมควรนะครับ
ไม่เหมือนบางคน :3043:  รักเดียวที่ว่าหน่ะ จะรออีกนานเท่าไหร่กว่าจะมีคนได้ไป เอิ้กๆ

******************************************************************************
กุมภาพันธ์ ของปีเตอร์ คอป
[wma=300,50]http://f1.podcast.blog.webs-tv.net/upload2/new/e/e/a/eead8016b7c106b9153ec8acc1bbecfb.mp3[/wma]
**********************************************************************************

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 21 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------

คำพูดของพี่ปอนด์ในช่วงเย็นถึงกับทำให้ผมเก็บมาคิดตลอดทั้งคืน แม้ใจหนึ่งผมจะรู้สึกดีใจที่เขาดูเหมือนจะชื่นชอบผมจริงๆ แต่อีกใจผมก็ไม่แน่ใจว่านี่จะถือเป็นหนึ่งในลูกไม้ที่เขาใช้เพื่อให้เหยื่ออย่างผมตายใจหรือเปล่า

เมื่อไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์.....ผมก็นำเรื่องที่ได้ไปเที่ยวบ้านพี่ปอนด์มาเล่าให้เพื่อนๆฟังโดยเรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆได้ตลอดเวลาเมื่อรู้ว่าบ้านพี่ปอนด์ใหญ่โต หรูหราขนาดไหน

ในขณะที่ผมเล่าอยู่นั้นเอง ทีมก็ลุกเดินผ่านหน้าผมออกไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจมาก เพราะปกติ ทีมจะเป็นคนโมโหร้าย ถ้าเขาไม่พอใจหรือโกรธอะไร เขาก็จะระบายออกมาด้วยการเอะอะ ทำลายข้าวของ เหมือนที่เขาเคยทำที่ร้านไอติมเมื่อวันก่อน

แต่ตอนนี้ทีมกลับลุกเดินไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย และเขาก็หายไปนานมากจนกระทั่งใกล้เวลาเข้าเรียน เขาก็กลับมาในห้องอีกครั้งด้วยการเดินก้มหน้าก้มตาไปนั่งที่โต๊ะ

อาการแปลกๆ ของทีมทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมองเขาอย่างตั้งใจ จนเห็นได้ว่าทีมมีดวงตาแดงก่ำเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

และตั้งแต่วันนั้นทีมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยพูดคุยสุงสิงกับใคร ดูเหมือนวันๆหนึ่งเขาแค่มาเรียนแล้วพอถึงตอนเย็นก็กลับบ้าน ที่สำคัญคือผมก็ไม่เห็นเขากับพี่กุ้งจะไปไหนมาไหนด้วยกันอีก

แต่ในขณะที่พี่ปอนด์กลับยังคงมาหาผมที่ห้องอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ทีมมีพฤติกรรมแปลกออกไปอีก

เขาเริ่มหยุดเรียน และโดดเรียนบ่อยขึ้น โดยเฉพาะคาบสุดท้ายก่อนพักเที่ยงหรือก่อนเลิกเรียนซึ่งเป็นเวลาที่พี่ปอนด์จะแวะมารับผมไปทานข้าวเที่ยงหรือส่งผมกลับบ้าน

ยิ่งเห็นอาการของทีม ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาแพ้ในเกมนี้แล้ว แต่อารมณ์ของผู้ชนะอย่างผมกลับไม่ได้รู้สึกดีใจหรือปลาบปลื้มต่อชัยชนะในครั้งนี้เลย สีหน้าหมดอาลัยตายอยากของทีมมีแต่ทำให้ผมยิ่งเจ็บปวด และเฝ้าแต่คิดว่า

“ก็ถ้าทีมเจ็บปวด ทำไมทีมไม่มาขอโทษ ไม่มาขอคืนดีกับบีล่ะ ขอแค่ทีมเอ่ยปาก บีก็พร้อมจะกลับไปเป็นของทีมในทันที”

แต่ดูเหมือนที่ผมเคยคิดว่าเขาได้ยอมแพ้แล้วจะเป็นความคิดที่ผิด เพราะวันหนึ่งเขาได้เริ่มเอ่ยปากกับบาสว่า

“บาส วันหยุดนี้ว่างป่าววะ”

“ทำไม”

“กูจะชวนมึงไปทะเลด้วยกัน พอดีกูจะพาพี่กุ้งเขาไปเที่ยวหน่อย”

“มึงไปกัน 2 คนเถอะ กูไม่อยากเป็น กขค ออ ถ้าให้ดีทำไมมึงไม่ชวนบีไปล่ะ”

บาสพูดประชดพลางหันหน้ามาทางผม และแน่นอนผมย่อมไม่ปล่อยให้คำพูดประชดของบาสผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

“เราคงไปไม่ได้หรอกนะบาส เพราะเราก็ต้องไปทะเลกับพี่ปอนด์ 2 ต่อ 2 เหมือนกัน”

จริงๆแล้วผมกับพี่ปอนด์ยังไม่ได้นัดแนะกันหรอกว่าเราจะไปทะเลด้วยกัน แต่ในเวลาอย่างนี้ผมจำเป็นต้องสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และดูเหมือนคำตอบของผมจะส่งผลสะเทือนต่อทีมอย่างมาก

“อะไรนะ บีจะไป.....”

นี่คือคำพูดแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ทีมพูดกับผม แต่เมื่อเขารู้ตัวว่าเขากำลังพลาดที่แสดงอาการหึงผมออกมา เขาก็หยุดพูดแล้วหุนหันออกไปอย่างเศร้าๆ

ในตอนเย็นวันนั้นเพื่อรักษาคำพูดและเพื่อประชดทีมผมก็เลยไปพูดเรื่องที่จะไปทะเลกับพี่ปอนด์

ก็ในเมื่อเขายังไปเริงรักกับพี่กุ้งได้ ทำไมผมต้องมาเก็บเนื้อเก็บตัว คอยรักษาความบริสุทธิ์ให้เขาล่ะ

“พี่ปอนด์ วันเสาร์อาทิตย์นี้ พี่ไปไหนป่ะ”

“ป่าว ทำไมเหรอ”

“บีอยากชวนพี่ไปเที่ยวทะเล บีอยากไปทะเลอ่ะ”

“เหรอ ก็ดีนะ เรายังไม่เคยไปทะเลด้วยกันเลยนี่ เดี่ยวเราไปพักกันที่รีสอร์ตของเพื่อนพ่อพี่ก็ได้”

หลังจากวันนั้นผมก็มาพบพี่ปอนด์ที่โรงเรียนตามนัดโดยผมได้โกหกแม่ว่าการเดินทางครั้งนี้มีทีมไปด้วย เพราะไม่อย่างนั้นแม่ผมก็คงจะไม่อนุญาตแน่ๆ

ราวๆ ก่อนเที่ยงผมกับพี่ปอนด์ก็นั่งรถมาถึงรีสอร์ตหรูของเพื่อนพ่อพี่ปอนด์ โดยเราได้เข้าพักในบ้านหลังที่อยู่ติดชายหาดที่สุดซึ่งเป็นบ้านหลังที่มีบรรยากาศโรแมนติกมาก
ก่อนหน้าที่ผมกับพี่ปอนด์จะมาถึงรีสอร์ต เราได้แวะซื้อของมากมายเพื่อนำมาทำกับข้าวทานกันเองโดยพี่ปอนด์บอกว่าจะสอนให้ผมทำอาหาร เผื่อวันหลังผมจะได้ทำให้เขาทานบ้าง

หลังจากทำอาหารและทานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ปอนด์ก็ชวนผมไปเล่นน้ำทะเลโดยตลอดเวลานั้น ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย

ผมเฝ้าแต่คิดถึงทีมกับพี่กุ้งตลอดเวลา ตอนนี้เขาจะกำลังเล่นน้ำอยู่เหมือนผมกับพี่ปอนด์หรือเปล่า พี่กุ้งจะออดอ้อนออเซาะทีมขนาดไหน หรือจริงๆ แล้วพวกเขาอาจจะนอนขลุกอยู่บนเตียงโดยไม่สนใจเรื่องอื่นเลยก็ได้

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งฟุ้งซ่านจนแทบจะคลั่ง พลางอดคิดไม่ได้ว่าผมกำลังรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน

พอถึงตอนค่ำหลังจากที่เราทานอาหารค่ำเสร็จ พี่ปอนด์ก็ชวนผมมานั่งริมหาด แล้วเอากีตาร์ที่เตรียมมาบรรเลงเพลงรักให้ผมฟังเพลงแล้วเพลงเล่า

จริงๆแล้วบรรยากาศที่พวกเราอยู่ในตอนนี้มันช่างโรแมนติกอย่างเหลือล้น

ลมทะเลอ่อนๆ ยามค่ำคืน เสียงคลื่นที่ซาซัด และเพลงรักภายใต้แสงจันทร์บนหาดทรายขาวเนียนน่าจะทำให้ผมรู้สึกสุขใจอย่างที่สุด

แต่ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยเพราะแม้จะอยู่ต่อหน้าพี่ปอนด์แต่ผู้ชายที่ผมกำลังนึกถึงอยู่ตลอดเวลากลับเป็น.. “ทีม”

พี่ปอนด์เองก็คงสังเกตอาการผิดปกติของผมได้ เขาจึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใยออกมา

“บีเป็นอะไรหรือป่าว พี่เห็นเงียบๆ ซึม ๆ มาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว”

“ปะ ป่าว บีไม่ได้เป็นอะไรหรอก บีแค่รู้สึกง่วง”

“เหรอ แต่นี่มันยังไม่ดึกเลยนะ”

“ไม่รู้สิ บีอาจจะเหนื่อยมั้ง”

“อืม งั้นไปนอนกันเถอะ มานั่งตากลมแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายไปเสียปล่าวๆ”

พูดจบพี่ปอนด์ก็ค่อยๆ พยุงผมไปที่ห้องนอน จนเมื่อผมล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้ว พี่ปอนด์ก็ตามมานอนข้างๆ ผมแล้วก็ค่อยๆ เอาหลังมือมาลูบแก้มผมอย่างแผ่วเบา ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็จ้องมองผมด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

“บี...เป็นของพี่นะ”

พูดจบพี่ปอนด์ก็ค่อยๆโน้มตัวลงมาจูบ ในขณะที่ผมได้แต่นอนนิ่งเหมือนต้องมนต์สะกด แต่เมื่อริมฝีปากของพี่ปอนด์เริ่มมาแตะริมฝีปากผม ผมกลับรีบเบือนหน้าหนี

“อย่านะ พี่ปอนด์ บียังไม่พร้อม”

พูดจบผมก็ร้องไห้ออกมาอย่างเหลืออด เป็นน้ำตาที่มาจากความรู้สึกผสมปนเประหว่างความเสียใจ และความโกรธตัวเองว่าทำไมผมถึงได้ปล่อยตัวเผลอใจมากถึงขนาดนี้ ผมมาทำอะไรอยู่กับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่.. “ทีม”

“บี...พี่ขอโทษ อย่าร้องนะ พี่ไม่ทำแล้ว”

“ฮือ ฮือ ฮือ”

ผมยังร้องไห้ไม่หยุดอย่างเสียใจและโกรธเกลียดตัวเอง ไม่ใช่พี่ปอนด์

“บีหยุดร้องเถอะนะ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่แตะเนื้อต้องตัวบีอีก พี่สัญญา”

“บีขอโทษ พี่ปอนด์ บีขอโทษ แต่บีไม่....”

“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าบียังไม่พร้อม พี่ก็คงไม่ฝืน แต่พี่ขอนอนข้างๆ บีนะ”

พูดจบพี่ปอนด์ก็กระเถิบออกไปข้าง ๆ ในขณะที่ผมได้แต่หลับตาลงอย่างเจ็บปวด พลางคิดว่าผมไม่อาจจะยอมพี่ปอนด์ได้ เพราะมีเพียง “ทีม” เท่านั้นที่มีสิทธิ์จะได้ความบริสุทธิ์ของผมไป

หลังจากร้องไห้เงียบๆ ต่อไปอีกสักพัก ผมก็หลับไปด้วยความเพลียในที่สุด จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีตอนใกล้ๆ รุ่งสาง

ในตอนนั้นผมก็ต้องพบกับความแปลกใจที่เห็นตัวเองมานอนอยู่ในอ้อมกอดของพี่ปอนด์

ตกลงแล้วพี่ปอนด์ไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมเลย ผมจึงค่อยๆลุกขึ้นอย่างผิดหวังแล้วเดินออกไปที่ริมหาด

แม้อากาศเช้านี้จะดูสดใส แต่ในใจผมกลับหม่นหมองอย่างมาก ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าในขณะที่ผมพยายามรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างสุดชีวิตเพื่อทีม แต่เขาคงกำลังเริงรักอยู่กลับพี่กุ้งอย่างมีความสุข

นึกถึงตรงนี้น้ำตาของผมก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมยืนมองทะเลเบื้องหน้าด้วยความเจ็บปวดไปอีกสักพัก ผมจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน

ทันทีที่เข้ามาถึง....ผมก็พบว่าพี่ปอนด์ตื่นแล้ว เขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งมีแซนวิสและแก้วกาแฟวางอยู่บนโต๊ะอย่างพร้อมสรรพ

“มากินสิ พี่เตรียมไว้ให้แล้ว”

น้ำเสียงของพี่ปอนด์เย็นชาจนผมอดแปลกใจไม่ได้ หรือว่าเขาจะยังโกรธที่ผมไม่ยอมเขาเมื่อคืน แต่ยังไงเขาก็ผิดสัญญาที่บอกว่าจะไม่แตะต้องตัวผมนี่ ผมจึงเริ่มพูดกับเขาอย่างงอนๆ

“พี่ปอนด์ไม่เห็นรักษาสัญญาเลย”

“สัญญาอะไร” พี่ปอนด์ถามห้วนๆ

“ก็ที่พี่บอกว่าจะไม่แตะต้องตัวบีไง”

“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ ก็เมื่อคืนบีเป็นฝ่ายเข้ามากอด เข้ามาซบอกพี่เอง อย่างงี้พี่คงไม่ผิดใช่มั้ย”

อย่างงั้นเหรอ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมทำอย่างนั้น

“คราวหลังอย่าทำอีกนะ พี่ไม่ชอบ”

พี่ปอนด์พูดออกมาอย่างโกรธๆ ในขณะที่ผมฟังคำพูดนั้นอย่างงงๆ ตกลงว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่

“เอ่อ บีขอโทษ คราวหลังบีจะไม่......”

“พี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่บีเข้ามากอด เข้ามาซบอกพี่”

“อ้าว แล้วเรื่องอะไรล่ะ”

“พี่หมายถึงที่บีเข้ามากอด เข้ามาซบอกพี่ แต่กลับเรียกพี่ด้วยชื่อของผู้ชายคนอื่น”

พูดจบพี่ปอนด์ก็ลุกออกไปทันที ในตอนนั้นแม้พี่ปอนด์จะไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ชายที่ผมละเมอออกมาเมื่อคืน แต่ผมก็รู้ดีว่าเขาคือใคร

ผมจึงตัดสินใจว่าผมควรจะยุติเกมนี้เสียที เพราะนอกจากผมกำลังทำร้ายตัวเอง ทำร้ายทีมแล้ว ผมยังทำร้ายพี่ปอนด์ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย

ผมจึงรีบเดินตามเขาออกไปจนเห็นพี่ปอนด์ยืนอยู่ที่ริมหาด เมื่อไปถึงผมจึงเริ่มต้นจะสารภาพแต่พี่ปอนด์กลับหันหลังมากอดผมไว้

“พี่ขอโทษนะบี เมื่อกี้พี่โมโหไปหน่อย เมื่อคืนพอบีพูดชื่อมันออกมา พี่หึงบีมากจริงๆ”

ถึงตรงนี้ พี่ปอนด์มองผมอย่างอ่อนโยนแล้วพูดต่อว่า

“ลืมมันไปเถอะนะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ บีไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยเป็นหน้าที่ของพี่เอง.....พี่จะทำให้บีลืมไอ้ทีมมันเอง”

หลังจากคำพูดนั้น ในระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ในหัวของผมเต็มไปด้วยความสับสนและความกังวล

ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องของผมกับพี่ปอนด์ชักจะเลยเถิดไปกว่าที่ผมคิดไว้มาก

จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า....หรือบางทีผมควรจะเริ่มต้นใหม่กับพี่ปอนด์อย่างที่เขาพูดจริงๆ แต่เมื่อนึกถึงตรงนี้ทีไร......ผมก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้

ผมจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ผมจะมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อในใจของผมยังมีผู้ชายที่ชื่อ..ทีม..อยู่ตลอดเวลา

จนในที่สุดเมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ประโยคแรกที่แม่พูดกับผมก็ทำให้ผมอดประหลาดใจไม่ได้

“ทำไมเพิ่งกลับล่ะ ทีมเขามารอลูกอยู่ที่ห้องแน่ะ มีอะไรกันหรือเปล่า แม่เปิดประตูบ้านมาตอนตี 5 ก็เห็นทีมเขามานอนตัวสั่นอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้านแล้ว สงสัยจะนอนอยู่ข้างนอกนั่นมาทั้งคืน”

คำพูดของแม่ทำให้ผมถึงกับตั้งสติไม่อยู่ แล้วรีบเดินขึ้นไปห้องนอนชั้นบนอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น เขามานอนรอผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเขาไม่ได้ไปเที่ยวทะเลกับพี่กุ้งหรอกหรือ?

จนเมื่อผมเปิดประตูห้อง ผมก็เห็นทีมยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่โทรมจัดเหมือนคนไม่สบายมาก การนอนตากน้ำค้างมาทั้งคืนคงทำให้เขาไข้ขึ้น

นอกจากนั้นภายใต้ใบหน้าซีดเซียวของเขานั้นผมยังเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ชวนหดหู่

มันเป็นแววตาที่มีทั้งความรัก ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และความสำนึกผิด

ในแววตานั้นบ่งบอกว่าเขากำลังอ้อนวอนร้องขอการให้อภัยจากผม

แต่ผมกลับไม่รู้สึกรู้สาต่อแววตานั้นเลย ภายในใจยังรู้สึกโกรธต่อการนอกใจของเขา ภาพที่เขาเริงรักอยู่กับพี่กุ้งทำให้ผมมองเขาอย่างเคียดแค้น

โดยไม่ตั้งใจ...ผมได้ตรงเข้าไปตบตีเขาอย่างไม่ยั้ง ในขณะที่ทีมเองก็ได้แต่ยืนหลับตานิ่งให้ผมทุบตีเขาโดยที่ไม่คิดแม้แต่จะปัดป้อง

จนเมื่อผมค่อยๆ อ่อนแรงลง ผมจึงหยุดยืนนิ่งแล้วร้องไห้ออกมาเหมือนเขื่อนแตก ในขณะที่ทีมเองก็ดึงผมเข้าไปกอดไว้แล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักเช่นกัน

เราทั้งคู่ยืนกอดคอกันร้องไห้เหมือนจะระบายความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสที่เราต่างได้รับในช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

ยิ่งเราร้องไห้หนักขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งกอดกันแน่นมากขึ้นเท่านั้น พร้อมๆกับที่ยิ่งรู้ว่า...เรารักกันมากแค่ไหน

“อย่าทรมานทีมอีกเลยนะ ทีมสำนึกแล้ว ทีมจะไม่ทำอีกแล้วนะบี อย่าทิ้งทีมไปเลยนะ ทีมขอร้อง”

ทีมพูดออกมาทั้งน้ำตา มันเป็นเสียงที่ปนไปด้วยความเจ็บปวดและแหบพร่าเหมือนคนไม่สบาย

“ทำไมทีม ทำไมความรักของเราต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมเราถึงไม่มีความสุขอย่างคู่อื่นๆบ้าง ทำไมเราต้องมาเจ็บปวดกันอย่างนี้ ทำไมทีม ทำไม ฮือ ฮือ ฮือๆๆๆๆๆๆ”

-------------------------------------






cha-lor-rea

  • บุคคลทั่วไป

FlukeHub

  • บุคคลทั่วไป
555+..เห็นไหมว่าผมเลือกไม่ผิดที่เชียร์ทีม

ที่จริงทีมก็ออกจะรักบีขนาดนี้  แต่บีแหละทิฐิสูงเอง

ในที่สุดก็เข้าใจกัน  แต่สงสัยจะไม่ราบรื่น

บีจะเอายังไงกับปอนด์หนอ 

เห็นไหม??....บีอ่ะใจร้าย  ใจดำ  นิสัยไม่ดีที่สุดในเรื่องแล้ว

เชียร์ให้สุดท้ายบีโดนทิ้งไม่มีใครต้องการขาดใจเลย  << ...ผมอคติไปป่าว

ขอให้ทีมคู่ปอนด์  แล้วบาสคู่กอล์ฟละกันนะคับ 555+  <<..บ้าไปแล้วผม


ตอนนี้เศร้ามากมายสงสารทั้งปอนด์และทีม  (( ปนสมเพชบีหน่อยๆ ))

มาต่อตอนหน้าไวๆนะครับคุณบลู  ผมรออ่านอยู่



ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Yาย_โO  ตามอ่านได้ที่นี่ที่เดียวนะครับ ผมว่าใครที่อ่านเรื่องนี้แล้ว ไม่อยากติดตามจนจบ แปลกมากๆเลยครับ
ผมอ่านเรื่องนี้แล้วไม่สามารถลุกจากหน้าจอเลยครับ พยายามเข้านะครับ อย่ามัวแต่คุย m กับโทรศัพท์ เอิ้กๆ
ลงตอนต่อไปแกล้งโยดีกว่า

cha-lor-rea  อ่าวตามอ่านกับเขาทันแล้วหรือครับ

FlukeHub หุหุ ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าผมโดนอย่างที่บีโดน ผมก็จะไม่หันกลับมาแล แม้แต่หางตาครับ
แต่จับคู่ตลกดีนะครับ สงสัยจะต้องฟันดาบกันใหม่ คิกคิก

************************************************************************************************
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 22)

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------

หลังคำถามของผม ทั้งผมและทีมต่างก็ยังกอดคอกันร้องไห้อย่างเจ็บปวดเพราะต่างรับรู้ดีว่าความรักในช่วงที่ผ่านมาของเรามีเรื่องราวที่ทำให้เราทั้งคู่ต้องปวดใจกันมากจริงๆ

จนสักพักเมื่อเราเริ่มปรับความรู้สึกกันได้ ทีมก็เริ่มสารภาพผิดกับผมอีกครั้ง

“มันเป็นความผิดของทีมเอง เพราะทีมคนเดียว ถ้าทีมรู้จักยับยั้งชั่งใจสักนิด เราก็คงไม่ต้องเป็นอย่างนี้ ขอโทษนะบี ทีมขอโทษ ให้อภัยทีมเถอะนะ”

“เพิ่งคิดได้เหรอ แทนที่ทีมจะมาขอโทษบีตั้งแต่วันแรก ทีมกลับไปควงพี่กุ้งมาเย้ยบีอีก” ผมพูดอย่างอนๆ

“ก็ตอนนั้นทีมอยากประชดบีนี่ ที่ดูเหมือนบีไม่รักทีมเลย”

“แล้วเป็นไง ได้ประชดสมใจมั้ยล่ะ”

“ก็ใครจะคิดว่าบีจะกล้าไปคบกับไอ้พี่ปอนด์นั้นมาเย้ยทีมล่ะ ทำไมบีใจร้ายกับทีมอย่างนี้เนี้ย”

“ใจร้ายเหรอ ใครเป็นคนเริ่มก่อนล่ะ แล้วที่ทีมรู้สึก..มันเทียบกันไม่ได้หรอกนะกับที่ทีมทำไว้กับบีน่ะ”

“บีรู้ได้ไงล่ะว่ามันเทียบกันไม่ได้ บีไม่รู้หรอกว่าทีมเจ็บปวด ทรมานแค่ไหนที่เห็นบีไปเดินควงอยู่กับผู้ชายคนอื่น สำหรับทีม...... มันยิ่งกว่าตายทั้งเป็นอีกนะ”

ทีมพูดออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“แต่อย่างน้อย...บีก็ยังไม่ได้ไปมีอะไรเขาไม่ใช่เหรอ ”

คำพูดของผมทำให้ทีมมีสีหน้าสลดลง แล้วก็พูดเบาๆออกมาว่า

“แค่เห็นบีเดินจับมือกับพี่ปอนด์ ทีมก็เหมือนใจจะขาดแล้ว ถ้าบีไปมีอะไรกับไอ้หมอนั่นขึ้นมาจริงๆ ทีมคงขาดตายใจแน่ๆ”

พูดจบเขาก็มีสีหน้าลังเลใจนิดนึง ก่อนจะตัดสินใจถามผมว่า

“......เอ่อ...แต่สรุปว่าบีกับพี่ปอนด์......…”

“มีอะไรกันหรือยังน่ะเหรอ บีไม่ได้ใจง่ายแบบทีมหรอกนะ”

“จริงหรือเปล่า”

ทีมพูดออกมาด้วยสีหน้าลิงโลดเหมือนเด็กได้ของเล่น

“รู้มั้ยเมื่อคืนทีมทรมานมากเลย ทั้งหนาว ทั้งยุงกัด แต่มันเทียบกันไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดข้างในที่ทีมกำลังคิดว่าป่านนี้บีกำลังทำอะไรอยู่กับพี่ปอนด์บ้าง ทีมถึงได้รู้ว่าคืนนั้นที่ชายทะเลตอนที่บีต้องมานอนรอทีมอยู่นอกบังกะโลนั่น บีต้องทรมานแค่ไหน ทีมสำนึกแล้วนะบี อย่าแกล้งทีมอีกเลยนะ”

ผมมองสายตาอ้อนวอนคู่นั้นด้วยความสงสาร จริงๆแล้วสิ่งที่ผมทำกับทีมไม่เพียงให้บทเรียนกับเขา แต่มันกำลังให้บทเรียนความรักกับผมด้วย

“แล้วทำไมทีมถึงมานอนรอบีได้ล่ะ ทีมไม่ได้ไปทะเลกับพี่กุ้งเหรอ”

“ไปสิ แต่มันก็เหมือนไม่ได้ไปนั่นแหละ เพราะทีมไปแต่ตัว ขณะที่หัวใจของทีมมันไปอยู่กับบีตลอดเวลา ทีมมัวแต่คิดว่าบีกำลังทำอะไรอยู่กับพี่ปอนด์บ้าง บีกับพี่ปอนด์จะออดอ้อนออเซาะกันขนาดไหน ที่สำคัญทีมกลัว......ทีมกลัวว่าเกิดพี่ปอนด์ทำให้บีหลงรัก หรือบีต้องตกเป็นของเขาไปจริงๆ แล้วทีมจะทำยังไง ยิ่งคิด ทีมยิ่งแทบคลั่ง ทีมเลยตัดสินใจสารภาพความจริงกับพี่กุ้งไป แล้วก็โบกรถออกมาจนมาถึงบ้านบีนี่แหละ”

พูดจบทีมก็ค่อยๆ หลับตาลงแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนล้า

จริงสิ ผมลืมไปสนิทว่าทีมกำลังมีไข้สูง แถมยังโดนผมตบตีแบบไม่ยั้งมือไปเมื่อครู่

การที่เขาพยายามฝืนทนยืนสารภาพผิดกับผมคงทำให้ร่างกายของเขาเริ่มไม่ไหว

เมื่อนึกถึงตรงนี้ขึ้นได้ ผมจึงรีบเอามือไปทาบหน้าผากของเขาไว้ซึ่งนั่นทำให้ผมตกใจมาก

“ทีม ทำไมทีมตัวร้อนอย่างนี้เนี้ย”

“ทีมไม่เป็นไรหรอก แค่มีไข้นิดหน่อยเอง ทำไม กลัวเป็นหม้ายขึ้นมาหรือไง”

“นี่ยังมาพูดเล่นอีก เดี่ยวบีให้พ่อขับรถไปส่งที่บ้านมั้ย”

“ทั้งๆ ที่ทีมไม่สบายอย่างนี้ ใจคอบียังจะผลักไสทีมไปอีกเหรอ ให้ทีมค้างที่นี่นะ ให้ทีมได้นอนกอดบีให้หายคิดถึงเถอะนะ”

เสียงของทีมเบาและอ่อนแรงมากจนผมอดเป็นห่วงเขาไม่ได้

“แล้วพ่อแม่ทีมล่ะ ท่านจะเป็นห่วงทีมนะ”

“ทีมขออนุญาตท่านไว้แล้วล่ะ...นะ...ให้ทีมค้างที่นี่นะ ให้ทีมนอนตรงไหนก็ได้ ที่พื้นก็ได้ หรือจะให้ทีมนอนที่ปลายเท้าบีเหมือนที่ทีมเคยทำก็ได้ ขอแค่ให้ทีมได้อยู่ใกล้ๆบีแค่นั้น”

น้ำเสียงแหบพร่าที่เจอไปด้วยความรู้สึกชวนหดหู่ของทีม ทำให้ผมอดกลั้นน้ำตาในขณะที่มองเขาด้วยความสงสารอย่างจับใจไม่ได้

ความอ่อนล้าของร่างกายที่เกิดจากอาการซมเพราะพิษไข้ และความเจ็บปวดในหัวใจที่เขาถูกกระทำจากผมมาอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ชายที่เคยชอบโหวกเหวกโวยวายคนนี้กลายเป็นคนอ่อนแอที่แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ผมจึงค่อยประคองทีมให้นอนลงบนเตียง ในขณะที่ทีมได้แต่ยิ้มๆ อย่างอ่อนแรงเมื่อเห็นผมเป็นห่วงเป็นใยเขามากขนาดนี้

“ตกลงแล้วบียังไม่เคยพูดกับทีมเลยนะ ว่าบีรักทีมหรือเปล่า”

ผมมองทีมอย่างเขินๆที่อยู่ดี ๆ เขาก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ก็ถ้า.....ถ้าไม่รัก บีก็คงไม่มาทำอย่างนี้หรอก”

ผมตอบไปอย่างเลี่ยง ๆ พลางอดรู้สึกไม่ได้ว่า....คำบางคำแม้เราจะรู้สึกถึงมันอย่างเต็มอก แต่การจะพูดมันออกมาต่อหน้าคนที่เรารักนั้น มันช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียจริง

“ตกลงบีก็ไม่ยอมพูดใช่มั้ยว่า....บีรักทีม”

“ก็ตอบไปแล้วไง จะเอาไงอีก”

“นั่นคือประโยคที่บีใช้บอกรักเหรอ บีพูดได้แค่นั้นเหรอ ถ้าวันนี้ทีมต้องตาย ทีมก็คงไม่มีโอกาสได้ยินคำว่า “รัก” จากบีสินะ”

“ทีม.........” ผมทำน้ำเสียงตำหนิใส่เขา ที่อยู่ดีๆ เขาพูดถึงคำว่าตายขึ้นมา

“แล้วถ้าทีมตายขึ้นมาจริงๆ บีจะเสียใจ ...บีจะเสียน้ำตาให้ทีมมั้ย”

หลังคำพูดของทีม แม้อาการของเขาจะดูเหมือนคนเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่น้ำเสียงเหมือนคนจะสิ้นใจของทีมเมื่อครู่ทำให้ผมสติแตก

“แม่....แม่....แม่ขึ้นมานี่หน่อย....แม่..แม่”

ผมตะโกนเรียกแม่อย่างสุดเสียงเหมือนคนบ้า จนแม่วิ่งขึ้นมาข้างบนแล้วเข้ามาในห้องผมอย่างตื่นตกใจ

“ทำไม มีอะไรเหรอบี”

“ทีม...แม่ ทีมเขาเป็นอะไรไม่รู้ เขาตัวร้อนมากเลย แม่ช่วยเขาด้วยนะ ช่วยทีมด้วยนะ ฮือ ฮือ ฮือ”

ผมพูดพลางร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม้จะดูเป็นเรื่องตลก แต่ตอนนั้นผมกลัวว่าทีมเขาจะตายจากผมไปจริงๆ

หลังคำพูดของผม แม่จึงรีบเข้าไปจับหน้าผากทีม

“ตัวร้อนมากเลยนี่ ไปหาหมอนะลูก”

“ผมไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรจริงๆ แค่นอนพักหน่อยก็หายแล้ว”

หลังคำตอบของทีม แม้แม่ของผมจะพยายามคะยั้นคะยอที่จะพาเขาไปหาหมอ แต่ทีมก็ยังยืนกรานที่จะแค่ทานยาแล้วก็นอนพักสักคืน จนแม่ของผมต้องยอมแพ้

“เอ้า ก็ได้ ลองดูอาการสักคืนก็ได้ เดี่ยวแม่จะไปต้มข้าวต้มให้ทานแล้วกัน เสร็จแล้วก็อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ แล้วคราวหลังก็อย่าเล่นพิเรนท์อย่างนี้อีกรู้มั้ย ไปนอนตากน้ำค้างได้ยังไงทั้งคืน เฮ้อ เด็กสมัยนี้ ”

แม่ของผมเอ็ดทีมด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด ก่อนที่หันมาดุผมเช่นกัน

“เราเองก็หยุดร้องไห้ได้แล้ว อะไรกัน เรียนมาจนป่านนี้แล้ว ไม่รู้เหรอว่าแค่นี้น่ะไม่ถึงตายหรอก ทำเอาแม่เกือบหัวใจวาย นึกว่าเรื่องใหญ่เรื่องโตที่ไหน เฮ้อ”

เมื่อแม่ของผมออกจากห้องไปแล้ว ผมก็ได้แต่หันไปมองทีมอย่างงอนๆ ในขณะที่เขากำลังนอนยิ้มกริ่ม กระดิกเท้าเล่นอย่างอารมณ์ดี

ต่อมาเมื่อแม่ของผมทำข้าวต้มเสร็จ ผมก็ยกมันขึ้นมาที่ห้องพร้อมยา แล้วค่อยๆพยุงตัวทีมให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงค่อยๆป้อนเขาทีละคำ

“ตกลงบีเป็นคนยังไงกันแน่เนี้ย”

“อะไรยังไง”

ผมถามอย่างอนๆ ที่เขาแกล้งทำเป็นจะตายต่อหน้าผม

“ก็เวลาดี บีก็ดีใจหาย แต่เวลาร้ายก็เหมือนจะให้ตายกันไปข้างนึง เมื่อกี้ที่ทุบทีมน่ะกะจะให้ตายคามือเลยใช่มั้ย ยังจุกไม่หายเลยเนี้ย”

“ก็น่าจะโดนมั้ยล่ะ รู้งี้น่าจะตีให้แรงขึ้นอีกเสียก็ดี”

“จ้า....จ้า ...กลัวแล้วจ้า โห มีเมียดุขนาดนี้ สงสัยต้องไปหาชมรมคนกลัวเมียอยู่ซะแล้ว”

หลังพูดจบทั้งผมและทีมก็ยิ้มออกมาอย่างขำๆ

ทีมทานข้าวต้มที่ผมป้อนไปอีกไม่กี่คำ เขาก็บอกว่าเขาไม่อยากทานแล้ว เมื่อผมเห็นว่าคะยั้นคะยอเขาเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ผมจึงยอมแพ้แล้วให้เขาทานยา ก่อนที่จะลุกออกไป

“เดี่ยวบี อย่างเพิ่งไป”

“ทำไม มีอะไรอีกเหรอ”

“บียังไม่นอนเหรอ มานอนด้วยกันสิ”

“บียังไม่ทานข้าว อาบน้ำเลยนะ ทีมนอนไปก่อนเถอะ”

“งั้นให้ทีมหลับก่อนได้มั้ย บีถึงค่อยไป”

“ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้”

ผมแกล้งทำเป็นบ่นๆ แต่ก็กลับไปนั่งลงข้างเขา ในขณะที่ทีมก็คว้ามือของผมไปเกาะกุมไว้บนหัวใจของเขาจนแน่นแล้วค่อยๆหลับตาลง

“บีอย่าจากทีมไปไหนนะ อยู่กับทีมนะ อย่าทิ้งทีมไปไหนนะ อย่าทิ้งทีมนะ อย่าทิ้ง......”

ทีมพร่ำพูดแต่ประโยคเหล่านี้ออกมาจนเสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ และหลับไปในที่สุด

ในขณะที่ผมได้แต่มองผู้ชายที่นอนหลับสนิทอย่างอ่อนล้าอยู่ข้างหน้าด้วยความรักและความสงสารจับใจ

ในนาทีนั้นเองที่ผมมีโอกาสได้พูดในสิ่งที่ผมอยากจะบอกเขามาตลอดทุกลมหายใจว่า

…...“บีรักทีมนะ บีรักทีมมากเหลือเกิน”….


เช้าวันต่อมา คุณแม่บอกผมว่าจะให้ทีมลาเรียน 1 วันแล้วท่านจะพาไปหาหมอก่อนจะที่ให้คุณพ่อขับรถพาทีมกลับไปส่งที่บ้านตอนเย็น ดังนั้นในวันนี้ผมจึงต้องไปเรียนคนเดียว

เมื่อมาถึงโรงเรียนผมก็ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะสารภาพผิดกับพี่ปอนด์เพื่อไม่ให้เรื่องของเราเลยเถิดไปกว่านี้

ก่อนหน้านั้นผมเคยคิดว่าผู้ชายที่เป็นเพลย์บอยอย่างพี่ปอนด์คงจะไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับผม ขณะที่ผมเองก็คงจะเลิกราจากเขาได้ไม่ยาก

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาระหว่างผมและพี่ปอนด์นั้น มันกลับทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมคิดมาตลอดนั้น...มันผิดถนัด

ในวันนี้ผมกำลังลำบากใจและเจ็บปวดอย่างมากที่จะต้องบอกเลิกกับเขา มันเหมือนกับผมมาทำร้ายเขาทั้งๆ ที่พี่ปอนด์ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย

แต่หากผมจะยังปล่อยเรื่องนี้ให้ยืดเยื้อออกไปก็รังแต่จะทำให้ ทั้งผมและเขา รวมทั้งทีมยิ่งเจ็บปวดขึ้นไปอีก

ดังนั้นเมื่อเวลาเลิกเรียนมาถึง ผมจึงตัดสินใจเดินไปหาเขา

“อ้าวบี มีอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้มาหาพี่ถึงห้องเชียว”

“คือ..บีมีเรื่องจะพูดกับพี่อ่ะ”

“เหรอ สงสัยเราจะเป็นเนื้อคู่กันจริงๆนะ เพราะพี่ก็มีเรื่องจะพูดกับบีเหมือนกัน”

ผมฟังประโยคนี้ของพี่ปอนด์ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น พลางภาวนาว่าให้สิ่งที่เขาจะบอกผมคือ “เรามาเลิกกันเถอะ”

บางทีหลังจากที่ผมไม่ยอมเขาในคืนที่เราไปค้างที่ชายทะเลด้วยกันคืนนั้น อาจจะทำให้เขาเริ่มคิดได้ว่าผมไม่เหมาะกับเขาหรอก

“เรื่องอะไรเหรอพี่ปอนด์” น้ำเสียงของผมตื่นเต้นเหมือนคนเก็บอาการไม่อยู่

“ตามพี่มาสิ”

ว่าแล้วพี่ปอนด์ก็พาผมเดินไปลานจอดรถจักรยานและจักรยานยนตร์ของโรงเรียน ก่อนที่จะไปยืนหยุดอยู่ที่รถจักรยานยนตร์นูโวสีดำ รุ่นใหม่ล่าสุดที่ผมเพิ่งเห็นในโฆษณาทางทีวี

“เป็นไงล่ะ สวยมั้ย พี่เอามาอวดบีเป็นคนแรกเลย รู้หรือเปล่า”

“เอ่อ สะ สะ สวยคับ”

“งั้นวันนี้ พี่จะขับมันไปส่งบีถึงบ้านเลยนะ”

“อย่าเลยพี่ปอนด์ บ้านบีอยู่อีกอำเภอนึงเลยนะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ อย่าลืมสิเราเป็นแฟนกันนะ แล้วที่ผ่านมาพี่ก็รู้สึกว่าพี่เป็นแฟนที่แย่เอามากๆ ด้วย แต่ตั้งแต่วันนี้ พี่จะปรับปรุงตัวใหม่นะ พี่จะทำให้บีรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้มาเป็นแฟนพี่”

“เอ่อ พี่ปอนด์ อย่าเลยนะ บีว่าบียังไม่พร้อม”

“ทำไมกลัวพ่อเอาปืนลูกซองมายิงพี่เหรอ”

พูดจบพี่ปอนด์ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ในขณะที่ผมกลับต้องพยายามฝืนยิ้มไปด้วยทั้งๆที่ภายในใจเหมือนกับกำลังจะร้องไห้

“ปล่าวหรอก แต่ไว้วันอื่นเถอะนะ”

“อืม...ก็ได้ ตามใจบีสิ ต่อไปนี้พี่จะตามใจบีทุกอย่าง ไม่ว่าบีอยากได้หรืออยากทำอะไร”

พี่ปอนด์หยุดนิ่งมองผมอย่างอ่อนโยนนิดนึง ก่อนจะพูดต่อว่า

“รู้มั้ย...พี่ไม่เคยจริงจังกับใครอย่างนี้มาก่อน บางทีบีอาจจะเป็น “น้ำที่มาดับไฟ” อย่างที่บีเคยพูดก็ได้ ...เอ่อ ...แล้วเมื่อกี้ที่บีบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับพี่ เรื่องอะไรเหรอ”

“ เอ่อ...คือ..คือบีอยากให้พี่ไปส่งที่ท่ารถหน่อย”

หลังคำพูดที่ผ่านมาของพี่ปอนด์เมื่อครู่ ทำให้ผมไม่อาจพูดในสิ่งที่ใจคิดได้

“โถ แค่นี้เอง ไม่เห็นต้องลำบากเดินมาหาพี่ถึงห้องเลยนี่... ไป...เดี่ยวพี่ไปส่ง”

ว่าแล้วพี่ปอนด์ก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถแล้วก็สตาร์ทเครื่อง ในขณะที่ผมได้แต่เดินตามไปนั่งอย่างหดหู่

“กอดพี่แน่นๆสิ เดี๋ยวตกนะ”

ผมได้แต่เอามือไปกอดเอวพี่ปอนด์ไว้ตามสั่งอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรอื่นได้

ในขณะที่พี่ปอนด์ก็เอามือของเขาข้างหนึ่งมาเกาะกุมมือผมไว้แน่น แล้วใช้มืออีกข้างขับรถออกไป

ในเวลานั้นเองที่ผมรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ พลางคิดในใจว่า

“ผมไม่น่าเริ่มมันขึ้นมาเลย ไม่น่าเลยจริงๆ”

-----------------------------------------------











ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :like2: ได้อ่านอีกสองตอน  :like2:

อ่านแล้วก็อึ้ง กะอยู่แล้วว่าต้องกลายเป็นรักสามเส้า  :try2:

แต่แปลกตอนนี้ไม่รู้สึกสงสารใครเลย (ยกเว้นปอนด์)  :laugh:

อาจเป็นเพราะสิ่งที่ทีมกับบีได้รับนี่ เป็นผลจากการกระทำของทั้งสองคนเอง

ทีมเลือกที่จะนอกใจบีแล้วยังพาล  ส่วนบีเลือกที่จะประชดทีม  :try2:

ปล. ถามคุณบลูนิดหนึ่ง ภาคแรกนี่จบเศร้าหรือเปล่าคะ มีลางสังหรณ์ว่าจะมีคนตาย



FlukeHub

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ย!!~  สงสารปอนด์อ่ะ


“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ อย่าลืมสิเราเป็นแฟนกันนะ แล้วที่ผ่านมาพี่ก็รู้สึกว่าพี่เป็นแฟนที่แย่เอามากๆ ด้วย แต่ตั้งแต่วันนี้ พี่จะปรับปรุงตัวใหม่นะ พี่จะทำให้บีรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้มาเป็นแฟนพี่”


อ่านแล้วอยากจะร้องไห้  สงสารทั้งปอนด์และทีม  ไม่น่าเลย

เกลียดบีจริงๆ  ให้ดิ้นตาย.....<<  จริงๆนะ

ต่อด่วนครับบลู  ผมอยากจะบ้าแล้ว

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Yาย_โO  อ่าวติดเรียนแล้วหรือครับ ว้างี้ผมก็เหงาแย่เลย เศร้า

shell เรื่องนี้ไม่ช่ายรักสามเศร้าตามนิยามนะครับ ภาคแรกเศร้ายังไม่ค่อยมากเท่าไหร่ครับ รึปล่าว หุหุ

FlukeHub อิอิ เชียร์ปอนด์เพราะปอนด์หล่อละสิ รู้นะ ปอนด์นี่เป็นคนในฝันเลยครับผมว่า เพอร์เฟ็ค แต่ความรักมันเล่นเล่ห์กับคนทั่วไปเสมอ

******************************************************************************


.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 23)

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------

ในตอนเย็นวันนั้นเมื่อผมกลับมาถึงบ้าน คุณแม่ของผมได้บอกให้ผมฟังว่าหลังจากได้นอนพักมาตลอดทั้งคืนจนเลยมาถึงช่วงเช้า ทีมก็มีอาการดีขึ้นมาก

จนเมื่อช่วงบ่ายๆ คุณพ่อก็ได้ขับรถพาเขาไปหาหมอและไปส่งที่บ้านแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้ทีมก็คงกลับไปเรียนไปตามปกติ

ผมรับฟังข่าวดีนี้อย่างยินดีที่รู้ว่าทีมไม่เป็นอะไรมาก แต่อีกใจผมก็กลับรู้สึกหดหู่กับเรื่องของพี่ปอนด์อย่างมากเพราะผมไม่รู้ว่าผมจะหาทางออกให้ตัวเองยังไงดี

ยิ่งตอนนี้ผมค่อนข้างจะแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่พี่ปอนด์ทำให้ผม มันไม่ใช่เป็นลูกไม้เพื่อจะทำให้ผมตายใจ แต่มันกลับเป็นความรู้สึกที่เขาอยากจะเริ่มต้นกับผมอย่างจริงจัง

ความเป็นคนสนุกสนาน ช่างพูดช่างคุย และมองโลกในแง่ดีของผม มันอาจจะเป็นคุณสมบัติธรรมดาๆในสายตาผู้ชายคนอื่น แต่สำหรับคนที่อยู่ในโลกของ “ความเหงา” อย่างพี่ปอนด์ มันกลับเป็นสิ่งที่มีค่ามาก

ความรู้สึกผิดที่จะต้องทำร้ายผู้ชายคนนี้จึงทำให้ผมถึงกับเก็บเอามาคิดจนเครียด

ผมต้องพยายามปลุกปลอบใจตัวเองว่า....พี่ปอนด์เองก็เคยทำร้ายทั้งผู้หญิง ทั้งเกย์ในโรงเรียนให้เสียน้ำตามาหลายคนแล้ว จนเขาถึงขนาดได้สมญานามว่าเป็นเพลย์บอยของโรงเรียน

ดังนั้น...ถ้าหากเขาจะต้องมาเป็นฝ่ายเจ็บปวดบ้างก็ถือเสียว่าเป็นการชดใช้กรรมของเขาก็แล้วกัน

แต่ถึงกระนั้นผมก็อดคิดไม่ได้ว่า....แล้วทำไมโชคชะตาถึงต้องส่งภาระหน้าที่นี้มาให้ผมเป็นคนจัดการด้วย

ที่สำคัญ “กรรม” ที่ผมทำไว้กับเขา มันจะย้อนกลับมาทำให้ผมต้องเจ็บปวดในภายหลังหรือเปล่า

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสนและยิ่งเครียด ผมจึงพยายามลืมเรื่องของพี่ปอนด์แล้วตัดสินใจ โทร. ไปหาทีมเพราะผมคิดว่าเขาคงเป็นคนเดียวที่จะทำให้ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง แต่แค่คำพูดแรกของเขาก็แทบทำให้ผมอยากวางสาย

“อ๋อ รู้จักโทร. มาหาทีมเป็นเหมือนกันเหรอ นึกว่าเป็นแต่ให้ทีม โทร. หาอย่างเดียว”

“พูดอย่างนี้ได้แสดงว่าคงไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย งั้นแค่นี้นะ”

“เดี๋ยวสิบี อย่าใจน้อยนะ ทีมแค่แหย่บีเล่นน่า รู้มั้ยว่าทีมรอโทรศัพท์บีทั้งวันเลย อยากรู้ว่าบีเป็นห่วงทีมบ้างหรือเปล่า”

“แล้วเป็นไงล่ะ เริ่มดีขึ้นบ้างยัง”

ผมถามเขาอย่างอ่อนโยนเพราะอยากให้เขารู้ว่าผมเป็นห่วงเขาจริงๆ

“แค่ได้นอนกอดบีเมื่อคืน ทีมก็เหมือนได้ยาดีแล้วล่ะ แถมยังมาได้ยินเสียงบีอย่างนี้อีก ทีมเป็นโรคอะไรก็ต้องหาย”

“อย่าเว่อร์น่ะ” ผมพูดอย่างเขินๆ

“แล้วที่โรงเรียนวันนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก อาจารย์กับเพื่อนๆก็ถามถึงนิดหน่อย ส่วนเรื่องที่เรียน.....”

“ทีมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ทีมหมายถึงเรื่องพี่ปอนด์น่ะ บีบอกเขาไปหรือยัง”

คำถามจู่โจมของทีมทำให้ผมถึงกับอึกอัก

“เอ่อ......คือ..”

“นี่บียังไม่พูดไปอีกเหรอ” ทีมพูดออกมาอย่างฉุนเฉียว

“มันไม่ได้พูดกันง่ายๆนะทีม”

“ทำไมเหรอ มันจะพูดยากตรงไหน ก็บอกความจริงเขาไปสิ หรือว่า......บีคงไม่ได้มีใจให้มันใช่มั้ย”

“อย่ามาไร้สาระน่า อยากชวนทะเลาะอีกหรือไง”

“ป่าว แต่ทีมไม่สบายใจนี่ ถ้าบีไม่กล้า งั้นทีมไปพูดเอง”

“อย่านะทีม”

ผมรีบห้ามเขาอย่างตกอกตกใจ เพราะรู้ดีว่าการปล่อยให้ 2 คนนี้เผชิญหน้ากัน ย่อมเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

“ทำไมล่ะ บีจะรีรออะไรอีก”

“ทีม....บางทีคนเราก็ต้องนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นบ้างนะ ไม่ใช่ว่าเราจะพูดอะไรตามใจคิดไปได้เสียทุกอย่าง บีแค่สงสารพี่ปอนด์ บีไม่อยากให้เขาต้องเสียใจ”

“แล้วบีเคยถามตัวเองหรือเปล่าล่ะว่า..ความสงสารของบีกำลังช่วยเขา หรือกำลังทำร้ายเขากันแน่”

คำพูดของทีมทำให้ผมถึงกับอึ้ง ก่อนที่เขาจะพูดต่อมาอีกว่า

“ก็ในเมื่อสักวันเขาก็ต้องพบกับความเสียใจอยู่แล้ว ทำไมบีไม่ให้เขาเผชิญกับมันไปเสียตั้งแต่วันนี้ล่ะ บีจะยิ่งทำให้เขารู้สึกผูกพันกับบีไปมากกว่านี้ทำไม”

ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า....บางทีความตรงไปตรงมาของทีมก็ให้แง่คิดในมุมที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน

ที่ผ่านมาเพราะความสงสาร และความเห็นอกเห็นใจทำให้ผมพลาดโอกาสที่จะบอกความจริงไปกับเขาตั้งหลายครั้ง

ทั้งๆ ที่ถ้าหากผมตัดสินใจบอกเขาไปตั้งแต่วันที่เขายังไม่จริงจังอะไรกับผมมาก เขาก็อาจจะทำใจได้ไปนานแล้ว

แต่เมื่อผมกลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งป่านนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่ผมกำลังดึงเขาให้เดินเข้ามาในพงหนามโดยไม่รู้ตัว

ยิ่งเขาเข้ามาไกลและลึกเท่าไหร่ เวลาเดินกลับออกไปเขาก็จะยิ่งเจ็บปวดและใช้เวลากับความทรมานมากขึ้นเท่านั้น

ในตอนนั้นเองที่ผมได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า....ไม่ว่ายังไงพรุ่งนี้ผมก็ต้องบอกความจริงกับเขาให้ได้


ดังนั้นในเช้าวันต่อมา เมื่อผมมาถึงโรงเรียนผมจึงรีบไปนัดพบกับพี่ปอนด์โดยบอกว่าอยากให้เขามาเจอผมที่ห้องชมรมดนตรีหลังเลิกเรียน

จนกระทั่งเมื่อเวลาเลิกเรียนมาถึง พี่ปอนด์ก็มาหาผมที่ห้องตามนัด

“พี่ปอนด์ บีมีเรื่องอยากจะสารภาพ”

“พี่ก็มีเรื่องอยากจะพูดกับบีเหมือนกัน”

“ขอบีพูดก่อนนะ คือว่าบี.....”

แม้คราวนี้ผมพยายามจะเป็นฝ่ายพูดก่อน แต่ในทันใดนั้นพี่ปอนด์ก็หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง และทันทีที่ผมเห็นมันอย่างเต็มตา ผมก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

“พี่ให้บีนะ”

พี่ปอนด์เอามือหนึ่งมาจับมือผมไว้ แล้วค่อยๆ นำแหวนทองคำขาวเนื้อเกลี้ยงที่สลักอักษร B และ P ที่คล้องเกี่ยวกันอย่างสวยงามมาสวมใส่นิ้วนางของผม

“พี่ปอนด์ บีรับมันไว้ไม่ได้หรอกนะ อย่าให้บีรู้สึกเป็นคนเลวไปมากกว่านี้เลย”

ผมเริ่มร้องไห้ในขณะที่พยายามจะดึงมือตัวเองออกมา

“ทำไมบี ทำไมบีถึงรับมันไว้ไม่ได้” เขายังพยายามดึงมือผมไว้

“บีมันเลว บีมันไม่เหมาะกับพี่หรอก ปล่อยบีไปเถอะนะ”

ผมเริ่มร้องไห้แรงขึ้นอย่างรู้สึกผิด

“ทำไมบี เกิดอะไรขึ้น ทำไม”

พี่ปอนด์พูดออกมาอย่างหน้าตาตื่นในขณะที่พยายามจะฉุดรั้งมือของผมไว้

“ปล่อยมือบีนะพี่ ปล่อยมือ “แฟน” ผม”

เสียงของทีมทำให้ทั้งผมและพี่ปอนด์ถึงกับหยุดกึก ก่อนที่พี่ปอนด์จะพูดออกไปว่า

“ว่าไงนะ ใครเป็นแฟนแกนะ”

“ก็คนที่พี่กำลังจับมืออยู่นั่นไง บีเป็นแฟนของผม เรารักกัน รักกันมานานมาก แล้วก็ยังรักกันอยู่”

หลังจากได้ยินคำพูดของทีม พี่ปอนด์ก็หันมามองผมด้วยสายตาเจ็บปวดและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน

“จริงหรือเปล่าบี จริงมั้ยที่ไอ้ทีมมันพูดออกมา”

หลังคำถามนี้ของพี่ปอนด์ ผมได้แต่พนักหน้าลงอย่างช้า ๆ ในขณะที่น้ำตายังคงไหลลงมาอย่างไม่ขาดช่วง

ผมรู้ดีว่าคำตอบที่ผมเพิ่งให้เขาไปย่อมทำให้พี่ปอนด์เสียใจ แต่คำพูดของเขาที่ตอบกลับมา มันทำให้ผมประหลาดใจมาก

“บี.....พี่ไม่สนใจหรอกนะว่าที่ผ่านมา หรือวันนี้ บีกับไอ้ทีมจะเป็นอะไรกัน จะรักกันหรือเปล่า เพราะพี่เคยบอกบีแล้วไงว่าเราจะเริ่มต้นกันใหม่ เราจะไม่สนใจอดีตอีก บอกพี่สิว่านับจากวันนี้บีจะเลือกพี่ ไม่ใช่ไอ้ทีม”

ผมค่อยๆ เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เชื่อหูแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จนกระทั่งพี่ปอนด์เริ่มรู้สึกรุนแรงขึ้นแล้วเอามือมากระชากตัวผมเข้าไปติดกับตัวเขา

“พี่ถามได้ยินมั้ย ว่าระหว่างพี่กับไอ้ทีม บีจะเลือกใคร”

เมื่อเห็นอาการสติแตกของพี่ปอนด์ ผมก็ได้แต่ร้องไห้หนักมากขึ้น

ในขณะที่เขาเริ่มบีบมือผมแน่นจนผมเริ่มเจ็บ ในเวลานั้นเองที่ทีมพยายามเข้ามาช่วยผม

“ปล่อยมือบีนะพี่”

“ไม่เกี่ยวกับมึง”

พูดจบพี่ปอนด์ก็ต่อยทีมจนล้มคว่ำลงไปที่พื้น แต่เพียงไม่นานทีมก็ลุกขึ้นมาต่อยพี่ปอนด์คืนบ้างจนเขาถึงกับเซ นับตั้งแต่วินาทีนั้นทั้งคู่ก็เข้าตะลุมบอนกันจนโต๊ะ เก้าอี้ในห้องชมรมดนตรีเริ่มล้ม กระจัดกระจาย

ผมมองการต่อสู้ของคนทั้งคู่อย่างตื่นตกใจ ในขณะที่พยายามตะโกนร้องห้าม แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่ฟังผมเลย เพราะทั้งพี่ปอนด์และทีมยังคงตะลุมบอนใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร

จนกระทั่งช่วงนึงที่ผมรู้สึกว่าทีมหันมามองผมแว้บนึงก่อนที่เขาจะโดนพี่ปอนด์ต่อยจนล้มคว่ำไปที่พื้นอีกครั้ง

จากนั้นพี่ปอนด์ก็ตามมาคร่อมตัวทีมแล้วต่อยเขาอย่างไม่ยั้งจนผมต้องรีบวิ่งไปเข้าไปห้ามด้วยการไปบังตัวทีมไว้อย่างไม่หวาดกลัว

เพราะจริงๆ แล้วหากมีใครสักคนที่จะต้องโดนพี่ปอนด์ทำร้าย คนๆนั้นก็ควรจะเป็นผม....ไม่ใช่ทีม

ในจังหวะนั้นเองที่พี่ปอนด์หยุดหมัดของตัวเองแล้วมองผมอย่างเจ็บปวด

“นี่คือคำตอบของบีใช่มั้ย”

“บีขอโทษ ถ้าจะทำร้ายก็ทำร้ายบีเถอะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของบีเอง ”

ผมพูดออกมาทั้งน้ำตาในขณะที่รู้สึกผิดอย่างสุดๆ

ในตอนนั้นพี่ปอนด์ได้แต่หยุดนิ่งและมองตาผมอย่างเจ็บปวด จนกระทั่งเขาเริ่มยิ้มและเริ่มส่งเสียงหัวเราะออกมาจนทำให้ผมอดตกใจไม่ได้ว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วเหรอไง

“ไม่น่าเชื่อนะ ว่าผู้ชายอย่างพี่กลับมาถูกทำร้ายจากเด็กธรรมดาๆ อย่างบีได้”

พี่ปอนด์พูดออกมาในขณะที่ค่อย ๆ เอามือมาขยี้หัวผมอย่างเอ็นดู

“เก่งจริงนะเรา ”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดออกมา ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกเดินออกไปจากห้องอย่างช้า ๆ ในขณะที่ผมได้แต่นั่งเสียใจที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวด

เพราะแม้ในช่วงสุดท้ายที่เขาพยายามจะฝืนหัวเราะแต่ผมก็รู้ดีว่าในแววตาของเขานั้นมันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

ในตอนนั้น....ผมอดคิดไม่ได้ว่า "ตราบาป" นี้คงจะติดตัวผมไปชั่วชีวิต

“นี่จะไม่สนใจทีมบ้างเหรอ”

ทีมพูดขึ้นมาเมื่อเห็นผมเอาแต่มองตามพี่ปอนด์ออกไป

“สนทำไมล่ะ รู้ว่าสู้เขาไม่ได้แล้วยังกล้าไปหาเรื่องเขาอีก”

“ใครบอกว่าทีมสู้ไม่ได้”

“ก็เห็นๆกันอยู่แล้วนี่”

“แน่ใจเหรอ ? ยังไงทีมก็เล่นนักกีฬามาตั้งแต่เด็กนะ จะสู้มือกีตาร์แค่คนเดียวไม่ได้เหรอ”

คำพูดของทีมทำให้ผมถึงกับต้องหยุดคิด เพราะจริงๆแล้วผมก็ติดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่ก่อนหน้านั้นทั้งทีมและพี่ปอนด์ต่างต่อสู้กันมาอย่างสูสี

แต่หลังจากที่ทีมหันมามองผมแว๊บนึงเขาก็ดูเหมือนจะสู้พี่ปอนด์ไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆ

“อย่าบอกนะว่าทีมจงใจให้พี่ปอนด์ต่อย”

“ยังไงเรื่องนี้ทีมก็มีส่วนผิดอยู่ด้วยเหมือนกัน ก็ถือว่าทีมชดใช้ให้เขาไปแล้ว อีกอย่างถ้าเขาได้ต่อยทีมอย่างนี้เขาก็คงได้ระบายความโกรธออกมาบ้าง เชื่อทีมสิ ผู้ชายน่ะ ถ้าลองได้ระบายอย่างนี้ รับรอง ใช้เวลาทำใจไม่นานหรอก ....... ที่สำคัญ….”

ทีมหยุดพูดไปนิดนึงก่อนจะหันมาจ้องตาผม

“ทำไมเหรอ ที่สำคัญอะไร”

“ที่สำคัญ...ถ้าเขาได้ระบายไปกับทีมหมดแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องทำร้ายบีอีกไง”

คำตอบของทีมทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก จนอดรู้สึกไม่ได้ว่า จะมีสักครั้งหนึ่งมั้ยที่ผู้ชายคนนี้จะตัดสินใจทำอะไรโดยไม่นึกถึง.... “ผม”

“แล้วอย่างนี้จะกลับบ้านไหวมั้ยเนี้ย”

“หน้าเละ อย่างนี้กลับไปก็โดนด่ากันพอดีน่ะสิ”

“แล้วจะทำไงล่ะ เพราะถ้าพ่อแม่บีเห็นก็คงบ้านแตกเหมือนกัน”

“ก็คงต้องค้างที่ห้องนอนในชมรมของพวกพี่ ๆเค้ามั้ง”

“แต่วันนี้ไม่มีใครอยู่เลยนะ ทีมไม่กลัวผีเหรอ”

“แล้วใจคอบีจะให้ทีมนอนคนเดียวหรือไง”

“บีจะค้างได้ไงล่ะ แม่ไม่ยอมหรอก”

“น่า ไว้เป็นหน้าที่ของทีมเอง”

หลังจากนั้นทีมก็จัดการ โทร. ไปขออนุญาตคุณแม่ของผมโดยให้เหตุผลว่าพวกเราทั้งคู่ต้องอยู่ซ้อมดนตรีกับชมรมเพราะจะมีงานด่วนเข้ามา ซึ่งทันทีที่ทีมเป็นคนเอ่ยปาก แม่ของผมก็ตกลงอนุญาตตามฟอร์ม

หลังจากนั้นผมก็ออกไปซื้อยาและของใช้ส่วนตัวเพื่อจะมาทำแผลให้ทีม จากนั้นเราก็ผลัดกันอาบน้ำโดยผมเป็นฝ่ายอาบก่อน

เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก็กลับเข้ามาในห้องนอนของพี่ๆวงดนตรีโรงเรียนที่เขาจะใช้ห้องนี้เป็นทั้งห้องซ้อมและห้องนอนไปด้วยเวลาที่เขาต้องอยู่ซ้อมกันดึกๆ

ดังนั้นห้องนี้จึงมีอุปกรณ์ครบชุดทั้งฟูก ผ้าห่ม และ หมอน แม้มันจะดูสกปรกไปบ้างแต่ก็ถือว่าคงใช้แก้ขัดสำหรับคืนนี้ไปได้

ผมค่อยๆนั่งลงบนเตียงในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดสนิทอย่างหดหู่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น

“คิดอะไรอยู่น่ะ”

เสียงของทีมที่อาบน้ำเสร็จแล้วทำให้ผมตื่นจากภวังค์

“อย่าบอกนะว่าคิดถึงไอ้พี่ปอนด์อยู่”

“นี่...บีไม่มีอารมณ์มาทะเลาะนะ”

“จริงด้วย อยู่กัน 2 คนจะพูดถึงคนอื่นทำไมเนาะ”

ทีมพูดออกมาอย่างยิ้มๆ ในขณะที่ผมได้แต่รู้สึกเขิน

“มานี่สิทีม เดียวบีทำแผลให้”

ผมเรียกทีมให้ขยับเข้ามาใกล้ผม ขณะที่ผมค่อยๆ เอาสำลีชุบยาแดงแล้วก็ทาไปที่แผลบนหน้าเขาอย่างแผ่วเบา

“โอ๊ย ทีมเจ็บนะ เบาๆ หน่อยสิ”

“นี่ก็เบา แล้วนะ อย่ามาสำออยหน่อยเลย”

“ก็มันเป็นความผิดของใครล่ะ ที่ทีมต้องเจ็บขนาดนี้ บีจะชดใช้ยังไงเนี้ย”

“บีเลี้ยงไอติมให้ก็ได้”

“ไม่พอหรอก”

“งั้นเลี้ยงข้าวมื้อนึง”

“ยัง ยังไม่พอ”

“นี่จะมากไปแล้วนะ ยังอยากได้อะไรอีก”

“ตัวบีไง ทำผิดอย่างนี้น่ะ ต้องทำโทษ”

ก่อนที่ผมจะทันเอ่ยปากถามว่าเขาจะทำโทษผมยังไง ทีมก็ลุกขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้แล้วใช้มือทั้งสองข้างกดมือผมไว้แน่นกับพื้น

แววตาของเขาในตอนนี้เป็นแววตาที่ผมไม่คุ้นเคยเพราะถึงแม้แววตานั้นจะบ่งบอกถึงความรักอย่างเต็มเปี่ยม แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความหื่นกระหาย อยากได้ผมไปเป็นของเขาอย่างเต็มกำลัง

แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่ตื่นตกใจหรือโวยวายกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

ถึงแม้ผมจะถูกพันธนาการไว้อย่างนี้ รวมทั้งรู้ดีว่าทีมกำลังจะทำอะไร แต่ผมก็ได้เพียงแต่หลับตานิ่งโดยไม่ขัดขืน

เพราะอย่างไรเสียผมก็มอบ “หัวใจ” ให้กับเขาไปแล้ว หากคืนนี้เขาจะได้ “ร่างกาย” ของผมไปด้วย ผมก็ยินดีจะมอบให้เขาอย่างเต็มใจ

ในตอนนั้นเองที่ทีมค่อยๆ โน้มตัวลงมาจูบผมอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะฉกลิ้นเข้ามาคว้านในปากจนทำให้ผมถึงกับขนลุก

จูบของเขาเนิ่นนานและนุ่มนวลโดยไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของเขา แต่แล้วอีกสักพักเขาก็ค่อยๆ ดึงลิ้นออกมาแล้วก็มองผมด้วยสายตาหื่นกระหาย ก่อนที่จะกลับลงมาทั้งดูด ทั้งบดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างรุนแรง

ความนุ่มนวลที่เขาได้เริ่มต้นไว้เมื่อครู่ได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว ทีมค่อยๆปล่อยสัญชาติญาณดิบของตัวเองออกมาด้วยการระดมพรมจูบผมไปทั่วใบหน้าอย่างรุนแรง ขณะที่มือของเขาก็ไม่หยุดนิ่ง มันคอยลูบไล้บีบคลึงผมไปทุกซอกส่วนอย่างหนักหน่วง

ในตอนนั้นผมเป็นเหมือนเด็กที่ไม่อาจจะแข็งขืนต่อกำลังของทีมได้ ร่างกายมันอ่อนแรงไปอย่างไม่รู้สาเหตุ เพียงไม่นานทั้งผมและเขาก็เหลือแต่ตัวเปลือยเปล่า

เมื่อไร้อาภรณ์คลุมกาย ทีมก็หันมาหยุดมองร่างกายเปลือยเปล่าของผมอย่างพึงพอใจก่อนจะเริ่มต้นถาโถมลงมาไซ้ซอกคอและใบหูของผมอีกครั้งจนผมซ่านสยิว

จากนั้นเขาจึงค่อยๆลากปลายลิ้นลงมาสัมผัสหัวนมที่กำลังชูชันของผมแล้วก็ฟอนฟัดมันอย่างรุนแรง

“โอ๊ย”

คือเสียงที่ผมร้องออกมาเมื่อรู้สึกว่าทีมได้เริ่มกัดมันอย่างหื่นกระหายจนทำให้ผมเจ็บ แต่ทีมกลับแค่เงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างสะใจ แล้วก็กลับไปดูดดุนและทั้งขบ ทั้งกัดหัวนมของผมอีกข้างอย่างหนักหน่วง

ถ้าทีมคือผู้ชายที่ทั้งอารมณ์ร้อน โผงผาง และป่าเถื่อน ผมก็กำลังคิดว่า “เซ็กส์” ของเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากนิสัยของเขาเลย

ทีมยังคงวนเวียนใช้ลิ้นซุกไซ้ผมอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ผละจากหน้าอกของผมแล้วลากลิ้นไล่ลงมาที่ท้องน้อยจนไปจบที่การขบขาอ่อนของผมเบาๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมถึงกับต้องบิดตัวเกร็งด้วยความเสียวเหมือนจะถึงสวรรค์

เมื่อทีมเห็นอาการของผมดังนั้น เขาก็หยุดการกระทำของเขาลง ดูเหมือนทีมยังไม่อยากให้เกมของเขาจบลงง่ายๆ

ทีมเปลี่ยนมาจับผมให้นอนคว่ำ จากนั้นเขาก็กลับมาเริ่มต้นซุกไซ้ผมตั้งแต่ติ่งหูใหม่อีกครั้ง ก่อนที่จะรัวลิ้นลงมายังท้ายทอยแล้วลากมันลงมาเป็นทางยาวตามร่องไขสันหลังจนทำให้ผมถึงกับแอ่นตัวแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างสุดจะทน

เขาค่อย ๆ ใช้ลิ้นลากวนไปบนแผ่นหลังก่อนที่จะไล่ลงมายังกลีบแก้มก้นที่เบียดชิดสนิทแน่น แล้วก็ใช้มือทั้ง 2 ข้างมาทั้งบีบ ทั้งเค้นมันอย่างหนักหน่วงเหมือนจะให้มันแหลกคามือ

ผมได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดอย่างหนักหน่วงของทีมก่อนที่เขาจะตัดสินใจพลิกตัวผมให้กลับมานอนหายอีกครั้ง แล้วก็เริ่มถ่างขาทั้งสองของผมออกกว้างก่อนจะเอามันมาพาดบนบ่าเขาไว้

ในตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นอาวุธของทีมเป็นครั้งแรกซึ่งนั่นทำให้ผมถึงกับต้องตกใจกับขนาดของมันมาก เพราะถึงแม้มันจะดูสมส่วนกับคนรูปร่างสูงใหญ่อย่างทีม แต่ด้วยขนาดเช่นนี้มันจะเข้ามาในร่างกายผมได้ยังไง ผมจึงเริ่มที่จะดิ้น

แต่เหมือนทีมจะรู้ทัน เขาจึงรีบเอาน้ำลายมาทาปากทางเข้าแล้วก็เอามือทั้ง 2 ข้างมากดตัวผมไว้แน่นจากนั้นจึงโถมร่างขึ้นทาบทับแล้วค่อยๆ สอดมันเข้าไปในซอกเนื้อที่เบียดชิดของผมอย่างรุนแรงจนผมต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“โอ๊ย บีเจ็บ ทีมปล่อยบีนะ บีเจ็บ” ผมทั้งดิ้น ทั้งร้องออกมาทั้งน้ำตา

“ทนนิดนึงนะ เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว” ทีมพยายามปลอบในขณะที่ยังกดตัวผมไว้แน่น

“ไม่ เอามันออกไปนะทีม บีเจ็บ” ผมเจ็บมากจนไม่อยากจะฟังอะไรเขาอีกแล้ว

“โอเค โอเค ก็ได้ แต่บีต้องอ้าขาออกกว้างๆนะ ทีมจะได้ค่อยๆ เอาออก”

ด้วยความไร้เดียงสา หลังคำพูดของทีมผมจึงรีบทำตามที่เขาบอกทันทีด้วยการอ้าขาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ แต่แทนที่เขาจะดึงมันออกไป เขากลับสวนกดมันลงมาอย่างเต็มที่จนมันเข้ามาในตัวผมจนหมด

ในตอนนั้นผมถึงกับจุกแล้วก็ร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง ในขณะที่ทีมได้แต่แช่มันไว้นิ่งอย่างนั้นแล้วก็เริ่มต้นลงมาไซ้ที่ซอกคอ รักแร้ และหน้าอกของผมอีกครั้ง จนผมเริ่มคลายความเจ็บลง ทีมจึงเริ่มต้นซอยช้าๆ ก่อนที่จะเร่งเร็วขึ้น ๆ จนเม็ดน้ำจากหยดเหงื่อของเราทั้งคู่ต่างผุดพรายขึ้นมาเต็มตัว ทีมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จ

ความจัดเจนในเรื่องนี้ของทีมทำให้เขาคุมเกมนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกครั้งที่ผมใกล้จะถึงจุดเขาก็สามารถรับรู้อาการของผมอย่างรวดเร็วแล้วก็หยุดมันได้ทันท่วงที ที่เขาต้องทำอย่างนั้นก็เพื่อที่จะให้ผมได้รับประสบการณ์สารพัดท่าและลีลาที่เขานำมาใช้อย่างช่ำชองและเพื่อต้องการให้ผมมีความสุขไปพร้อมๆกับเขา

แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่สามารถทนต่อไปได้ ผมจึงถึงจุดไปก่อนเขาในที่สุด

เมื่อเห็นดังนั้นทีมจึงให้ผมกลับมานอนหายแล้วเอาขาพาดบ่าไว้อีกครั้ง จากนั้นเขาจึงค่อยๆขยับสะโพกที่แข็งแรงนั้นไปมา จากช้าไปเร็ว จนมันเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อท่วมตัว

ในขณะนั้นเอง ทีมได้เอาแต่จ้องมองผมอย่างพึงพอใจที่เห็นผมเกร็งตัวแน่นพลางหยิกจับมือเขาไว้อย่างเต็มแรงจนเขาเริ่มมีเสียงหอบ หายใจถี่และครางกระเส่าจนดังมากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้ว่าอารมณ์ของเขากำลังสุกงอมเต็มที่

จนกระทั่งครั้งสุดท้าย เขาก็กระแทกผมเข้ามาอย่างสุดแรง พร้อมๆกับที่ผมรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ฉีดเข้ามาในร่างกายของผมอย่างมากมาย

หลังจากนั้นทีมก็โน้มตัวลงมาทาบทับผมไว้อย่างอ่อนแรงแล้วก็ยิ้มให้ผมอย่างมีความสุขก่อนที่จะพรมจูบผมไปทั่วใบหน้าด้วยความรักและความหวงแหน

ผมจำได้ดีว่าในคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด มีแต่แสงจากดวงดาวที่พราวระยิบอยู่บนท้องฟ้า

ในคืนแห่งความทรงจำนี้ แม้ผมจะยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วร่างจากการถูกกระทำเมื่อครู่ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังนอนยิ้มอย่างมีความสุขภายใต้อ้อมแขนอุ่นของทีม

ในตอนนั้น ภายในใจของผมได้แต่คิดว่า…..

ในชีวิตนี้....ผมมีของสำคัญ 2 สิ่งที่แม้ผมจะต้องสูญเสียมันไป แต่หากผู้รับเป็นคนที่.. “ผมรัก” แล้ว มันก็ย่อมนำมาซึ่งความสุขอย่างที่สุดของผมด้วย

ของ 2 สิ่งที่ผมกำลังพูดถึงก็คือ “หัวใจ” และ “ความบริสุทธิ์”

--------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007 19:46:07 โดย b|ueBoYhUb »

beaches

  • บุคคลทั่วไป
ในชีวิตนี้....ผมมีของสำคัญ 2 สิ่งที่แม้ผมจะต้องสูญเสียมันไป แต่หากผู้รับเป็นคนที่.. “ผมรัก” แล้ว มันก็ย่อมนำมาซึ่งความสุขอย่างที่สุดของผมด้วย
ของ 2 สิ่งที่ผมกำลังพูดถึงก็คือ “หัวใจ” และ “ความบริสุทธิ์”

สงสารบีจัง ให้เขาทั้งตัวและหัวใจ  เพราะรักคำเดียวแท้ๆ



"กลีบจมแผ่นดินสิ้นสูญราคา กลินนั่นหนายังหอมเป็นข้าผูกพัน
จันทน์กะพ้อคือเหล่าสตรี มีราคีเพราะชายขยี้พรหมจรรย์
ความสาวแหลวสิ้นพลัน ไร้ค่าผูกพัน เหมือนจันทน์กะพ้อร่วงพรู"

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ความรักเวลามันเข้ามา มันไม่มีเหตุผล
เวลามันจากไป มันก็ไม่เคยเหลือใย
บางทีมันก็อยู่เหนือสิ่งที่ถูกต้องนะครับ
คนรักกันมากมาย ไม่ได้หมายความว่าเขาทั้งคู่จะรักกันจนตาย
คนที่ไม่ได้รักกัน ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลับมารักไม่ได้

ผมถึงบอกว่าถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้ตัวเอง เราก็ปิดรับคนที่จะเข้ามาเรียนรู้ตัวเรา

*********************************************************************************************************
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 24)

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------

หลังจากตกเป็นของทีมไปเมื่อคืนดูเหมือนเขาจะยิ่งรัก ยิ่งหวงผมมากกว่าเก่า เพราะในขณะที่นั่งรถกลับบ้านไปด้วยกันในเช้าวันต่อมา ทีมก็พยายามเกาะกุมมือผมไว้แน่นตลอดทาง แถมยังกำชับผมว่า

“บีเป็นของทีมแล้วน๊า คราวนี้ห้ามบีไปมีคนอื่นอีก”

ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นสีหน้าภาคภูมิใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของอย่างเต็มเปี่ยมอยู่เบื้องหลังคำพูดนั้นจนอดคิดไม่ได้ว่า...ผู้ชายก็คงเป็นเช่นนี้เอง

ผู้ชายไม่มีวันพอใจแม้จะรู้ว่าเขาได้ “หัวใจ” ของอีกฝ่ายมาแล้วอย่างสมบูรณ์

ความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเขาได้ครอบครองร่างกายนั้นด้วยแล้วเท่านั้น

ผู้ชายส่วนใหญ่จึงมักจะพูดอยู่เสมอเวลาที่ผู้หญิงไม่ยอมตกเป็นของตัวเองว่า... “ไม่รักผมเหรอ”

ดังนั้นสำหรับผู้ชาย ถ้าหากคุณจะบอกว่า “รักเขา”...... คุณก็คงต้องยอมตกเป็นของเขาด้วย

ความคิดนี้มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับความคิดของผู้หญิง หรือเกย์อย่างผม เพราะผมไม่เคยสนใจว่าเราจะต้องมีความเกี่ยวพันกันทางร่างกาย เพียงแค่ขอให้รู้ว่าเขารักผม ...เท่านั้นมันก็มีค่ามากเกินพอแล้ว

นอกจากนั้นผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า....ที่เขากำชับห้ามผมไปมีใครอื่น แล้วตัวเขาล่ะ ?........เขาจะทำอย่างที่ห้ามผมได้มั้ย

“แล้วทีมล่ะ ทีมจะไปมีคนอื่นหรือเปล่า”

“โอย ทีมไม่เอาแล้วล่ะ เข็ดไปจนตายเลย บีไม่รู้หรอกว่าบีน่ากลัวขนาดไหน ทีมถึงว่าไง ....บีน่ะ เวลาดีก็ดีใจหาย แต่เวลาร้ายก็น่ากลัวสุดๆเลย”

“แค่นั้นก็น่ากลัวแล้วเหรอ นี่ขนาดยั้งมือแล้วนะ”

“อย่ามาแหย่ทีมได้มั้ย ทีมกลัวแล้วจ้า กลัวจิงๆ”

ทีมพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเข็ดหลาบอย่างมาก

“แต่จริงๆแล้ว ถ้าต่อไปทีมจะไปมีอะไรกับใครอื่นอีก บีก็อาจจะไม่ว่าอะไรก็ได้นะ บีขออย่างเดียว ขอแค่ทีมอย่าโกหกบีก็พอ”

ผมพยายามฝืนพูดออกไป

“ทีมบอกว่าทีมเข็ดแล้วไง อย่ามาพูดประชดทีมอีกได้มั้ย”

เขาเริ่มทำหน้าไม่พอใจ

“บีไม่ได้ประชดนะ บีพูดจริงๆ”

สิ่งที่ผมเพิ่งบอกทีมไปเป็นสิ่งที่ผมเคยคิดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะผมรู้ดีว่าผู้ชายหน้าตาดีอย่างทีมก็คงเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับเรื่องทำนองนี้อีกมาก

และไม่ว่าเขาจะรักหรืออยากจะซื่อสัตย์กับผมขนาดไหน สัญชาติญาณของความเป็นผู้ชายอย่างเขาก็คงจะทำให้เขาพลาดไปสักวันเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับพี่กุ้งเมื่อวันก่อน

ดังนั้นผมจึงคิดว่าแทนที่ผมจะปิดกั้นหรือกักขังให้เขาอึดอัด ผมน่าจะปล่อยให้เขาได้ใช้วิจารณญาณของตัวเองในการตัดสินใจ

ถ้าหากเขาจะพลั้งเผลอไปมีอะไรกับใครอื่นบ้างจริงๆ ผมก็คงจะพยายามทำใจกว้างและให้อภัย โดยผมจะขอให้เขาตอบแทนผมด้วยสิ่ง ๆ เดียวเท่านั้น นั่นคือ

.......ขอแค่อย่าโกหกผมก็พอ

“ไม่เอาอะ ทีมไม่มีวันทำอย่างนั้นอีก บีคิดว่าทีมจะลืมได้ง่ายๆเหรอว่าที่ผ่านมาเราต้องเจออะไรกันมาบ้าง แล้วบีคิดว่าทีมจะกล้าเอาความรักของเราไปเสี่ยงอีกเหรอ”

“บีไม่ได้หมายความว่า....”

“พอเถอะ เลิกพูดเถอะ ต่อไปนี้บีต้องสัญญากับทีมนะว่าเราจะเลิกทำร้ายกันเสียที เราต้องช่วยกันประคับประคองความรักของเราให้ไปตลอดรอดฝั่งนะ เราจะได้มีความสุขเหมือนคู่อื่นๆเสียที”

ผมมองทีมด้วยสายตาตื้นตันอย่างที่สุด ผมรู้ดีว่าทีมอาจจะมีนิสัยเสียหรือทำอะไรพลาดมาบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่สามารถดูแคลนผู้ชายคนนี้ได้เลยก็คือมุมมองของเขาที่มีต่อ “ความรัก”

ทีมเป็นคนที่ทำให้ผมได้รู้ถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของ “ความรัก” รวมทั้งได้รู้ว่ามันมีความสำคัญแค่ไหนต่อชีวิตของผม

คนบางคนอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะไขว่คว้าหาคำว่า “รัก” นี้ให้เจอ แต่เมื่อผมได้มีโอกาสได้มันมาครอบครองแล้ว ผมก็ควรจะทะนุถนอมดูแลมันให้ดีที่สุด

ในตอนนั้นผมได้แต่มองหน้าทีมอย่างมีความสุข พลางอดคิดไม่ได้ว่าเขาคือผู้ชายคนเดียวที่ควรค่าแก่การที่ผมจะได้ฝากหัวใจและชีวิต ไว้ตลอดไป

ความสุขที่ผมได้กลับมาคืนดีกับทีมทำให้ผมเข้านอนในคืนนั้นอย่างเบิกบานใจ แต่ทันทีที่หัวถึงหมอนผมก็กลับคิดถึงสิ่งที่ทำไว้กับพี่ปอนด์ไม่ได้

ดูเหมือนความรักที่กลับมาผลิดอกออกผลอย่างแข็งแรงอีกครั้งของผมกับทีม มันได้งอกเงยขึ้นมาจากซากศพของผู้ชายที่ชื่อ... “ปอนด์” นี่เอง

สิ่งที่ผมทำกับเขา.....มันช่างเป็นความเลวร้ายอย่างที่สุดที่คนๆหนึ่งจะสามารถกระทำต่อคำว่า “รัก” ได้

ผมได้ใช้ความรักของผู้ชายคนหนึ่งเป็น “เครื่องมือ” เพียงเพื่อความสะใจที่จะได้เห็นผู้ชายอีกคนเจ็บปวด

บางทีผมคงเป็นคนที่น่ากลัวอย่างที่ทีมพูดจริงๆ

ในเช้าวันต่อมา ผมจึงตั้งใจที่จะไปขอโทษพี่ปอนด์ที่ผมได้ทำความผิดไว้กับเขาอย่างมหันต์ ต่อให้เขาโกรธจนถึงกับลงมือทำร้ายผม ผมก็จะยินดีรับโทษนั้นอย่างหน้าชื่นตาบาน

ดังนั้นหลังจากเลิกเรียนผมจึงรีบวิ่งไปหาพี่ปอนด์ที่ห้อง

“เฮ้ย ไอ้ปอนด์ เด็กมึงมาเน่ะ”

ดูเหมือนเรื่องที่ผมเลิกกับพี่ปอนด์ยังไม่เป็นที่รู้กันทั่วไป ในตอนนั้นนักเรียนคนอื่นๆ ก็ได้เริ่มทยอยเดินออกจากห้องไปจนเหลือแต่พี่ปอนด์เพียงคนเดียวที่กำลังยืนมองหน้าผมอย่างเย็นชา

“ทำไม มีอะไรจะมาหลอกพี่อีกเหรอ”

แค่คำพูดของพี่ปอนด์ประโยคแรกก็เสียดแทงใจจนทำให้ผมถึงกับน้ำตาคลอเบ้า

“บีแค่อยากจะมาขอโทษ พี่ปอนด์บีขอโทษ บีไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพี่เลย”

ผมพูดไปในขณะที่น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นไว้ได้ไหลลงมาอย่างที่ผมไม่สามารถจะห้ามได้

“ขอโทษแล้วร้องไห้เหรอ นี่ก็คงเป็นมารยาอีกอย่างหนึ่งของบีสินะ ที่ผ่านมาบีคงงัดมันออกมาใช้เพียบเลยสิถึงทำให้พี่หลงหัวปักหัวปำได้ รู้มั้ย บางทีพี่ยังถามตัวเองอยู่เลยว่าคำพูดและการกระทำของบีที่ผ่านมา มันมีช่วงไหนบ้างที่เป็นเรื่องจริง”

“พี่ปอนด์ บีไม่ได้.....”

“เลิกมาเล่นละครบีบน้ำตาได้แล้ว รีบไสหัวกลับไปก่อนที่พี่จะระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่จะดีกว่า แล้วก็อย่ากลับมาให้พี่เห็นหน้าอีก”

ถึงแม้พี่ปอนด์พูดออกมาด้วยสีหน้าโกรธจัด แต่ผมก็เห็นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในแววตาคู่นั้น

เมื่อสิ้นคำพูดของพี่ปอนด์ ผมก็ค่อยๆหันหลังเดินกลับไปอย่างทุกข์ทรมาน ปฏิกิริยาที่ผมได้รับไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมทำกับเขาแล้วการโดนแค่ “ตะเพิดไล่” มันยังถือว่าน้อยนัก

“เดี่ยว...บี”

เสียงเรียกของพี่ปอนด์ ทำให้ผมตื่นจากภวังค์แล้วหันกลับไปมองเขาในทันทีอย่างแปลกใจ

“คือ...พี่...พี่..”

พี่ปอนด์เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจแล้วกลับมาตีหน้าขึงขังใส่ผมอีกครั้ง

“จำไว้ล่ะ อย่ากลับมาให้พี่เห็นหน้าอีก”

แม้จะไม่มีคำพูดออกมาจากเขา แต่สายตาที่เขามองก่อนที่ผมจะเดินจากมานั้นทำให้ผมรู้ดีว่าเขายังอาลัยอาวรณ์ผมอยู่มาก

ผมจึงยิ่งเดินออกมาด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าวอย่างที่สุด จนกระทั่งผมมาเจอทีมยืนรอผมอยู่ที่มุมหนึ่งของตึกเรียน

“ไปไหนมาเหรอ เห็นพอเลิกเรียน บีก็รีบวิ่งออกมาเลย”

“บีไปหาพี่ปอนด์มา”

ผมสารภาพไปตามความจริงเพราะในตอนนี้ผมไม่อยากจะโกหกอะไรใครอีกแล้ว แต่ปฏิกิริยาของทีมกลับทำให้ผมแปลกใจมาก

แทนที่เขาจะโมโหที่รู้ว่าผมแอบไปหาพี่ปอนด์มาอีก เขากลับถามอย่างห่วงใยว่า

“แล้วพี่เขาว่าไงบ้างล่ะ”

“พี่ปอนด์เขา..เขาบอกว่าให้บีไปให้พ้น อย่าไปให้เขาเห็นหน้าอีก ฮือ ฮือ”

ผมร้องไห้ออกมาอย่างเหลืออดด้วยความรู้สึกผิดและไม่อยากให้อภัยตัวเอง จนทีมต้องดึงผมไปกอดไว้

“บีทำผิดมากใช่มั้ย บีมันเลวจริงๆ บีต้องตกนรกแน่ๆ เลยทีม ฮือ ฮือ ฮือ”

“บีลืมไปแล้วเหรอว่าบีก็ทำอย่างที่บีทำกับพี่กุ้งเหมือนกัน ถ้าบีผิด ทีมก็ผิด ถ้าบีเลว ทีมก็เลวเหมือนกัน หรือถ้าบีต้องตกนรก ทีมเองก็คงต้องตกนรกด้วย แต่ทีมไม่สนใจหรอกนะ ทีมอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ให้มีบีอยู่ด้วยก็พอ มันผ่านไปแล้วนะบี ลืมมันไปเถอะนะ”

ทีมกอดผมไว้แน่นพลางพยายามปลอบโยนผม แต่ในตอนนั้นผมได้แต่คิดว่า

“ลืมเหรอ ผมไม่มีวันลืมสิ่งเลวๆ ที่ผมได้ทำไว้กับพี่ปอนด์แน่ มันจะเป็นตราบาปที่จะติดตัวผมไปชั่วชีวิต รวมทั้งจะเตือนให้ผมจำไปจนตายว่าอย่าเอาความรู้สึกของใครมาเล่นตลกอีก เพราะในที่สุดแล้ว มันก็จะเป็นเหมือนกระจกเงาที่จะสะท้อนกลับมาให้เราเองนั่นแหละ....

..........ต้องเจ็บปวดที่สุด........."

----------------------------------------------



ออฟไลน์ GoneOn

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
อืมมม  :monkeysad:  :monkeysad:  :monkeysad:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2006 01:32:12 โดย GoneOn »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






moopai

  • บุคคลทั่วไป
อืม.........
อายุ15จริงๆเหรอเนี่ย........ลึกซึ้งมากเลยยยยยยยยย :untrust:

Tantalum

  • บุคคลทั่วไป
 :laugh:ไม่อยากคาดคิดเลยว่ามันจะเกิดไรต่อ ว่าแต่ว่าถ้าบีไปให้พี่ปอนด์เห็นหน้าอีก พี่ปอนด์จะทำไรบี
หุหุ สงสัย....

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :laugh: เดาอะไรไม่เคยถูกเลย

แต่ทีมนี่รู้จักจัดการกับปัญหาได้ดีระดับหนึ่งเลยนะ เรื่องยอมให้ปอนด์ทำร้าย เพื่อที่จะไม่ไปทำร้ายบี

แต่ยังไงก็ไม่เชียร์หรอกนะ (ยังโกรธอยู่  :laugh:)

ตอนนี้ลุ้นบาสอย่างเดียวเลย  :like2: แต่ว้าหายไปอีกแระ บทน้อย ๆ  :try2:

FlukeHub

  • บุคคลทั่วไป
....คนบางคนอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะไขว่คว้าหาคำว่า “รัก” นี้ให้เจอ แต่เมื่อผมได้มีโอกาสได้มันมาครอบครองแล้ว ผมก็ควรจะทะนุถนอมดูแลมันให้ดีที่สุด....

โห!  พูดอะไรซึ้งๆแบบนี้ก็เป็นเนอะ  บีน่ะ

ตอนนี้ชอบมากเลย  ทีมดูน่ารักๆไงไม่รุ

ปอนด์ก็...นะ  มีแฟนแบบนี้รักตายเลย <<...อ๊างงงง!!!!~   :myeye:


.....ลืมเหรอ ผมไม่มีวันลืมสิ่งเลวๆ ที่ผมได้ทำไว้กับพี่ปอนด์แน่ มันจะเป็นตราบาปที่จะติดตัวผมไปชั่วชีวิต รวมทั้งจะเตือนให้ผมจำไปจนตายว่าอย่าเอาความรู้สึกของใครมาเล่นตลกอีก เพราะในที่สุดแล้ว มันก็จะเป็นเหมือนกระจกเงาที่จะสะท้อนกลับมาให้เราเองนั่นแหละ....
..........ต้องเจ็บปวดที่สุด........."......

ผมชอบท่อนนี้จัง  ตอกย้ำความเลวของบีดีครับ <<..อคติอีกแล้วผม --*--

ต่อไวๆครับ  ใกล้จบแล้วนิ่


ปล.  คุณบลูผมไม่ได้ชอบปอนด์เพราะหน้าตาดีนะครับ  ชอบเพราะรวยต่างหาก  อ๊างงง!!~
        ใช่ที่ไหนล่ะ -*-  ชอบเพราะเค้าน่ารักดีครับ  เป็นตัวละครที่ชอบที่สุดในเรื่องเลยครับตั้งแต่อ่านมา





ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
เฮ้อ....


No comment!!!



Ps.



.....



Pooh :teach:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2:  บาสอยู่หน๋ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย   :serius2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
 มีคนเชียร์บาสเยอะจังเนอะ  ตามอ่านต่อคะ  :impress:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
GoneOn อย่าเศร้าไปเลยครับ นี่ยังไม่เศร้าได้ครึ่งของภาค2 เลย  :monkeysad:

moopai  เรื่องเกิดเมื่ออดีตกันนะครับ แต่คนเขียนพึ่งนำมาเล่า คงไม่ใช่ความจริงซะทั้งหมด ก็อาจมีแต่งเติมเสริมบทเข้าไปเพื่อให้เรื่องชัดเจนขึ้นนะครับ ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บข้อคิด ข้อเตือนใจดีๆจากเรื่องไปนะครับ   :yeb:

Tantalum  อยากให้ทำอะไรอ่ะครับ แก้แค้นหรือ คิกคิก  :kikkik:

FlukeHub อืม ปอนด์นี่ก็จริงจายมากๆ เสมอต้นเสมอปลาย ถึงขนาดเปลี่ยนตัวเองเพื่อบี ว้าถ้าบีมาอ่านเจอเข้าคงเสียจายแย่เลยแต่ก็ไม่เป็นไรครับ บีเขาคงอยากให้เตือนให้เพื่อนๆได้คิดอยู่แล้ว ถ้าบีมาโพสเองเพื่อนๆคงไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเป็นแน่   :yeb:

หมูพูห์  ยังจะมีปล.อีกอ่ะ คนเรา เอิ้กๆ  :untrust:

(ตะแน๋วกิ๋วกิ้ว)  หาบาสหรือครับ เอาผมไปแทนได้ปะ เอิ้กๆ  :myeye:

มูมู่น้อย  ถ้าลองกลับไปตั้งจายอ่าน จะพบว่าทั้งทีมและกอฟต่างเคยทำร้ายบี อย่างแสนสาหัสมาแล้ว ถ้าใครโดนเข้าอย่าพูดเลยว่าจะให้อภัยเพราะตัวเองทำไม่ได้อย่างบีแน่ แต่บาสไม่เคยทำร้ายบีขนาดนั้นม้างครับ และผมก็ชอบความเถื่อนของบาสเช่นเดียวกัน คิกคิก  :myeye:
******************************************************************************

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 25)

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------

หลายวันต่อมาความรู้สึกเจ็บปวดจากการทำร้ายพี่ปอนด์ของผมก็ค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อได้รับการเยียวยาด้วยความรักจากทีม

ทีมยังคงแสดงตัวอย่างเด่นชัดว่าเขาคือผู้ชายที่รักผมมากที่สุดในโลก ยิ่งเราผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาด้วยกันมากเท่าไหร่ ความรักของเราก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นเท่านั้น

บางทีผมก็อดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมกับทีมเผชิญเป็นประสบการณ์ความรักที่ดูเข้มข้นและจริงจังเกินเด็ก

เริ่มต้น...เราทั้งคู่ต่างได้เรียนรู้ประสบการณ์ของการ “แอบรักข้างเดียว” เพราะในขณะที่ผมแอบหลงรัก “กอล์ฟ” แต่ทีมกลับมาแอบหลงรัก “ผม”

จนกระทั่งต่อมา...เราต่างก็ต้องเริ่มทำร้ายกันและกัน เมื่อทั้งผมและทีมต่างไม่ยอมที่จะเปิดเผยความในใจที่แท้จริงของตนเอง

โดยผมได้ปฏิเสธความรักของทีมอย่างไร้เยื่อใย ในขณะที่ทีมก็แก้แค้นผมด้วยกันหันไปควงพี่ดาว

จนเมื่อเราทั้งคู่ต่างต้องเจ็บปวด ทั้งผมและทีมจึงยอมเปิดใจและทำให้เรามารักกันได้ในที่สุด

ในตอนนั้นเองที่ผมกับทีมได้เริ่มต้นเรียนรู้ที่จะการปรับตัวเข้าหากัน รวมทั้งมีความสุขด้วยกัน โดยผ่านการแง่งอนง่องแง่งกันมาตลอดทาง

แต่แล้วความรักของเราก็ต้องมาสะดุดเมื่อผมเลือกที่จะใช้ “การโกหก” กับคนที่ผมรักทำให้ผลที่ตามมาก็คือการลงมือทำร้ายผมอย่างขาดสติจากทีม

และแล้วเรื่องราวก็ยิ่งเลยเถิดไปใหญ่เมื่อคนที่ผมเคยแอบรักอย่างกอล์ฟได้มาเปิดเผยความในใจว่าเขาก็แอบชอบผมเช่นกันจนเกิดเป็นเรื่องราวรักสามเส้า

อย่างไรก็ดี เรื่องราวรักสามเส้าในครั้งนั้นก็เป็นบททดสอบสำคัญที่ทำให้ทั้งผมและทีมต่างรู้ดีว่าเรารักกันมากแค่ไหน

ในที่สุดหลังจากเหตุการณ์ร้าย ๆผ่านไป ผมก็ได้มีประสบการณ์กับการถูกบอกรักที่แสนโรแมนติกครั้งแรกท่ามกลางสวนสวยและกลิ่นหอมของดอกราตรีในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง

หลังจากการบอกรักของทีมในครั้งนั้น ผมเคยคิดว่าต่อไปนี้เราคงจะรักกันและมีความสุขมากเรื่อยๆ แต่แล้วผมก็กลับมาถูกนอกใจจากทีมที่แอบไปมีอะไรกับพี่กุ้ง

ในเวลานั้นแทนที่เราจะพยายามปรับความเข้าใจกัน แต่เรากลับหันดาบใส่กันจนต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส

นอกจากนั้นยังทำให้คนนอกอย่างพี่ปอนด์ต้องมาพลอยรับเคราะห์จากความไม่ยั้งคิดของพวกเราด้วย

ถ้าหากจะเปรียบความรักของเราเป็นสมรภูมิรบ ทั้งผมและทีมคงเป็นทหารที่ผ่านสมรภูมินี้มาอย่างโชกโชน

มีหลายครั้งที่เราชนะเยี่ยงวีรบุรุษ แต่หลายครั้งเราทั้งคู่ต่างก็ต้องบาดเจ็บจนแทบเอาตัวไม่รอด

เมื่อมาถึงวันนี้ ทั้งผมและทีมจึงได้แต่คิดว่าเราต้องช่วยกันทะนุถนอมรักนี้ของเราให้นานที่สุด อย่าให้มีใครมาทำลายได้ โดยเฉพาะตัวของเราเอง

“บี วันหลังทีมจะเอาตังค์ที่ทีมเก็บไว้มาให้บีนะ แล้วจะเอามาให้ทุกอาทิตย์”

“เอามาให้บีทำไม”

“ก็เผื่อมีเรื่องฉุกเฉินไง”

“เรื่องอะไรล่ะ อย่าทำให้บีกลัวได้มั้ย”

“ไม่มีอะไรหรอก ทีมแค่เคยคิดว่าถ้าพ่อแม่ของเราจับได้ว่าเราเป็นอะไรกัน ท่านก็คงไม่ยอมให้เราเจอกันอีก ทีมก็เลยแค่คิดต่อว่าเราจะทำยังไงกันดี”

“แล้วทีมจะทำยังไงล่ะ”

“ทีมก็จะพาบีหนีน่ะสิ หนีไปอยู่กัน 2 คน มันเลยต้องใช้เงินไง”

“ทีม.......” ผมส่งน้ำเสียงตำหนิอย่างรู้สึกว่าเขาดูจะซีเรียสกับเรื่องนี้เกินเหตุ

“แล้วบีล่ะ บีจะไปกับทีมหรือเปล่า”

ในตอนนั้นผมได้แต่อ้ำอึ้งลังเลในคำตอบ และรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไกลเกินเด็กอย่างผมจะจินตนาการถึงได้

“ไม่รู้สิ มันยังมาไม่ถึงนี่ เราคุยกันเรื่องอื่นได้มั้ย”

“ก็ได้ คุยไปก็เครียดกันปล่าวๆ เอ่อ ใช่ ทีมมีเรื่องจะบอกบีด้วย”

“อะไรเหรอ”

“ปิดเทรมนี้ถ้าทีมไม่อยู่บ้าน บีจะว่าอะไรมั้ย”

“ทำไมเหรอ ทีมจะไปไหน หรือว่าจะไปอยู่กับญาติอีก”

“ไม่ใช่ ทีมอยากจะขึ้นไปกวดวิชาที่กรุงเทพฯ หลังๆทีมเรียนแย่ลงมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป สิ่งที่เราวางแผนไว้มันก็คงเป็นไปไม่ได้”

ทีมกำลังพูดถึงแผนการที่เราเคยคิดกันเอาไว้ว่า เรายังเหลือเวลาอีกแค่เทอมเดียวเท่านั้นก่อนที่จะต้องสอบเข้า ม. 4 ซึ่งผมกับทีมเคยคุยกันไว้ว่าหนทางเดียวที่จะทำให้เรากลับมาอยู่ห้องเดียวกันได้อีกก็คือการที่พวกเราต้องสอบให้ได้ 1 ใน 44 คนแรกเท่านั้น ถึงจะได้อยู่ห้องคิงซึ่งเป็นห้องเดียวกัน

ดังนั้นเมื่อทีมจะตัดสินใจไปกวดวิชา ผมจึงค่อนข้างเห็นด้วย

“ไปสิ บีว่าก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าไปเรียนกับโรงเรียนกวดวิชาในกรุงเทพ ทีมต้องทำได้แน่ๆ ส่วนบีอยู่ทางนี้ก็จะขยันอ่านหนังสือเหมือนกัน”

ดังนั้นหลังจากที่เราสอบปลายภาคของเทอม 1 เสร็จ พวกเพื่อนๆกลุ่มที่ผมและทีมสนิทก็มาจัดปาร์ตี้เลี้ยงส่งเพื่อนๆ ที่จะขึ้นไปเรียนกวดวิชาที่กรุงเทพกันซึ่งนอกจากทีมแล้วก็มี บาส แป๊ก ม่อน และ โจ ไปด้วย โดยในวันนั้นผมได้ขออนุญาตคุณแม่มานอนกับคุณอาที่ในตัวเมือง เนื่องจากรู้ดีว่าปาร์ตี้จะต้องเลิกดึก

ส่วนทีมนั้นเนื่องจากจะต้องเดินทางใน 2 – 3 วันข้างหน้า ทำให้คุณพ่อของเขาตัดสินใจมารอรับ ดังนั้นเมื่องานปาร์ตี้เลิกทีมก็ขอตัวกลับไปกับคุณพ่อ ในขณะที่ได้ฝากฝังบาสให้ขี่มอเตอร์ไซด์ไปส่งผมที่บ้านของคุณอาด้วย

แต่ในคืนวันนั้นแทนที่บาสจะขับพาผมไปส่งที่บ้านคุณอา เขากลับขับรถเลี้ยวพาผมเข้าไปในสวนสาธารณะของจังหวัด

“บาส เข้ามาที่นี่ทำไมเนี้ย” ผมถามขึ้นเมื่อเขาจอดรถ

“บาสมีเรื่องจะคุยกับบีหน่อย มานั่งนี่สิ แค่แป๊บเดียวแหละ”

ในตอนนั้นผมเองเริ่มจะไว้เนื้อเชื่อใจผู้ชายคนนี้แล้ว เพราะที่ผ่านมาการที่เขาพยายามเป็นกาวใจให้ผมกับทีมหลายครั้งทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่หวังดีกับคู่ของเราจริงๆ

ดังนั้นผมจึงเดินตามไปนั่งกับเขาที่ม้านั่งอย่างไม่คิดอะไร แต่เมื่อผมนั่งลง ผมก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ เมื่อเห็นบาสมองผมด้วยสายตาที่ผมไม่คุ้นเคยมาก่อน

“บีรู้ตัวหรือเปล่าว่าบีเป็นคนน่ารักนะ บาสแอบมองบีมาตั้งนานแล้ว”

แม้คำพูดนั้นของบาสจะแผ่วเบา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นจนทำให้ผมเริ่มเคลิ้ม

“บาสชอบบีนะ”

พูดจบบาสก็ค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามาจูบผม ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่ปฏิเสธเขา จนเมื่อเขาจูบผมแล้ว ผมถึงได้สติแล้วรีบลุกขึ้นมา

“บาสจะบ้าไปแล้วเหรอ บีเป็นแฟนเพื่อนรักของบาสนะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ บาสก็ไม่ได้ขอให้บีเลิกกับมันนี่ เรามาแอบคบกันเงียบๆก็ได้”

“บาส”

ผมเรียกชื่อนี้ออกมาอย่างผิดหวัง

ผมมันเข้าใจผิดไปเองที่เคยคิดว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรดีๆ อย่างคนอื่นเขาบ้าง แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนกักฬขะ , ลามกและจ้องจะฟันแต่คนอื่นอย่างเดียวไม่เคยเปลี่ยน

“รีบพาบีกลับบ้านนะ ไม่งั้นบีจะเดินไปเอง”

“ทำไมล่ะบี มาต่อกันให้จบก่อนสิ รับรองนะ บาสน่ะเก่งกว่าไอ้ทีมมันตั้งเยอะ แล้วทั้งหมดก็จะเป็นความลับที่รู้กันระหว่างเรา 2 คนด้วย บาสไม่บอกใครหรอก”

ในความมืดนั้น ผมไม่รู้ว่าบาสจะเห็นแววตาของผมหรือไม่ว่าผมแสดงความชิงชังต่อเขามากเพียงไหน หลังจากคำพูดนั้นของบาส ผมก็ได้แต่เดินออกไปโดยไม่สนใจเขาอีก จนอีกสักพักผมก็ได้ยินเสียงบาสขี่มอเตอร์ไซด์ตามมา

“โอเค โอเค บาสไปส่งบ้านก็ได้”

เมื่อเห็นผมมองหน้าเขาอย่างไม่ไว้ใจ เขาก็ยืนยันมาว่า

“สาบานก็ได้เอา บาสจะพาบีไปส่งบ้าน”

เมื่อเขาถึงขนาดกล้าสาบานผมจึงยอมขึ้นรถไปกับเขาในที่สุด และเขาก็ทำตามคำพูดจริงๆ ด้วยการไปส่งผมถึงบ้านคุณอา แต่เมื่อไปถึงผมก็กระโดดลงจากรถทันที โดยไม่พูดคุยกับเขาอีก

เมื่อกลับมาถึงบ้านคุณอา ผมก็รีบขึ้นไปห้องนอนทันทีพลางรู้สึกโกรธเกลียดตัวเองไม่ได้ที่เกือบจะเผลอตัวเผลอใจให้ผู้ชายชั่ว ๆคนนี้

หลายวันต่อมาก็ถึงกำหนดที่ทีมต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ ซึ่งผมก็ไปส่งเขาด้วย

เมื่อไปถึงสถานีรถไฟแม้บาสจะพยายามทำสีหน้าสำนึกผิด แต่ผมก็ไม่พูดไม่คุยอะไรกับเขาเลย รวมทั้งตัดสินใจที่จะไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทีมฟังด้วย

ในเมื่อบาสก็เป็นเพื่อนสนิทของทีม ส่วนผมก็เป็นแฟนเขา การเล่าเรื่องนี้ออกไปรังแต่จะทำให้ทีมต้องลำบากใจเปล่าๆ

ที่สำคัญเมื่อเขาจะไปเรียนกวดวิชาเพื่ออนาคตของเรา ผมก็ไม่ควรทำให้เขาเสียสมาธิ

“บีมานี่หน่อยสิ” ทีมมาสะกิดชวนผมให้เดินตามเขาไป

“ไปไหนเหรอ”

“ตามมาเถอะน่า”

ว่าแล้วทีมก็จูงมือผมให้เดินตามเขาไป จนกระทั่งเขามาเลี้ยวเข้าช่องเล็ก ๆ ระหว่างอาคาร 2 หลังในสถานีรถไฟ ซึ่งทำให้สถานที่ที่เราอยู่ในตอนนี้ค่อนข้างลับตาคน

“พาบีมาที่นี่ทำไมเนี้ย”

“ก็ทีมจะไปตั้งเดือนนึง ใจคอบีจะไม่จูบลาหน่อยเหรอ”

“บ้าน่า เดี๋ยวใครมาเห็นหรอก”

“ไม่มีหรอกน่า เชื่อทีมสิ นะ นะ บี เป็นจูบมัดจำไง อยู่ที่โน้น ทีมจะได้ไม่วอกแวก”

ทีมมองผมด้วยสายตาอ้อนวอนที่จะให้ผมจูบเขาให้ได้

ในตอนนั้นผมค่อยๆกวาดสายตาไปรอบๆจนมั่นใจว่าไม่มีใครเดินผ่านไปมา ผมจึงค่อยยืดตัวขึ้นไปจูบเขา

จูบนั้นเป็นจูบที่เนิ่นนานและนุ่มนวลที่สุดครั้งหนึ่งของเรา

มันเป็นจูบแห่งรักที่จะพันธนาการผมและทีมไว้ด้วยกันและ เป็นเสมือนคำมั่นสัญญาว่า....ไม่ว่าเราจะอยู่ห่างกันแค่ไหน เราทั้งคู่ก็จะมั่นคงต่อกันไม่เปลี่ยน”

“ขอบใจนะบี ทีมคงคิดถึงบีน่าดูเลย”

“บีก็เหมือนกัน แล้วตั้งใจเรียนนะ อย่ามัวแต่ไปเหล่สาวล่ะ”

“ไว้ใจทีมเถอะน่า แต่บีให้ทีมไปจริงๆเหรอ ไม่รั้งทีมไว้แน่นะ” ทีมแกล้งแหย่ผม

“ออกไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ตกรถหรอก”

ผมพูดอย่างขำ ๆ แล้วก็เดินตามทีมออกไปด้วยความรู้สุขใจกับจูบมัดจำของเราทั้งคู่เมื่อช่วงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

ในตอนนั้นผมมั่นใจว่าหลังจากได้จูบกับทีมเมื่อครู่ ผมก็พร้อมให้เขาเดินทางไปกรุงเทพอย่างสบายใจโดยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรั้งเขาไว้อีก

.....แต่ถ้าหากวันนั้นผมจะรู้สักนิดว่า “จูบมัดจำนี้” จะเป็น “จูบครั้งสุดท้ายของผมกับทีม”

.....ต่อให้ต้องคุกเข่าลงตรงหน้า ผมก็คงจะรั้งเขาไว้

--------------------------------------------










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007 19:46:58 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ GoneOn

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ง่า คุณบลู รีบต่อเลยนะ นะ นะ น๊า  :impress:


ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
อิอิ  :yeb:
*******************************************************************************
ขอให้รักเรานั้น...นิรันดร ( 26 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป ส่วนรักครั้งสุดท้ายกลับสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

--------------------------------------

หลังจากวันที่ผมเห็นทีมค่อยๆหายลับไปกับขบวนรถไฟ ความรู้สึกของผมออกจะโหวงเหวงและเหงาหงอยพิกลเมื่อต้องนึกถึงว่าตลอดทั้งปิดเทอมนี้ ผมจะต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีทีมอยู่ใกล้ๆ ไม่มีคนมาชวนทะเลาะ ไม่มีคนมาพูดคำหวานให้ หรือไม่มีคนมาคอยโอบกอด จับมือผมเวลาไปไหนมาไหน

เวลาที่ไม่มีทีมใกล้ๆ โลกทั้งโลกมันเหมือนจะมืดมัว หม่นหมอง และไม่น่าอยู่เอาเสียเลย

โชคดีที่ตลอดเวลาที่ทีมอยู่กรุงเทพฯ เขาก็ยังโทรศัพท์มาคุยกับผมเป็นประจำทุกค่ำคืนเหมือนกับช่วงที่เขาเคยไปอยู่กับญาติ โดยไม่ลืมที่จะพร่ำรำพันว่าเขาคิดถึงผมมากขนาดไหน จนบางครั้งเขาถึงขนาดกับพูดว่า

“ทีมไม่รงไม่เรียนมันแล้ว ทีมคิดถึงบีจนจะคลั่งอยู่แล้ว เรียนไม่รู้เรื่องเลย”

ในตอนนั้นผมได้แต่ฟังประโยคเหล่านี้อย่างขำๆ และก็ต้องคอยปลอบใจเขาว่าที่เรากำลังทำกันอยู่นี้ก็เพื่ออนาคตของเราทั้งคู่ที่จะได้กลับมาอยู่ห้องเดียวกันอีก

ดังนั้นในช่วงหลังๆ ผมจึงเป็นฝ่ายโทร. ไปหาเขาบ่อยขึ้นเพื่อให้กำลังใจ รวมทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระที่เขาต้องเป็นฝ่ายโทร. มาหาผมแต่เพียงฝ่ายเดียว

แต่ไม่ว่าผมจะให้เหตุผลในการโทร. ไปหาทีมว่ายังไง ในที่สุดแล้วผมก็รู้ดีว่าที่ผมต้องโทร. ไปหาเขาบ้างนั้น ก็เพราะผมเองก็คิดถึงเขาจนทนไม่ไหวเหมือนกัน

ผมกับทีมยังคงผลัดการ โทร. หากันเป็นประจำทุกคืนจนกลายเป็นกิจวัตรที่เราทั้งคู่ต้องได้ยินเสียงของกันและกันก่อนจะเข้านอน แต่แล้วในวันก่อนที่ทีมจะเดินทางกลับบ้าน 1 วัน อยู่ดีๆ เขาก็เลิกโทร. หาผมไปเฉยๆ ส่วนตัวผมเอง เนื่องจากวันนั้นผมต้องไปต่างจังหวัดกับแม่มาทั้งวันทำให้เมื่อกลับถึงบ้านในตอนดึก ผมก็เข้านอนทันทีด้วยความอ่อนเพลีย

หลายวันต่อมาผมเองก็ยังคงไม่ได้รับโทรศัพท์จากทีมทั้งๆที่เขาน่าจะกลับมาถึงบ้านแล้ว ด้วยความเป็นห่วงผมจึงรีบโทรศัพท์ไปหาเขาที่บ้าน

“ฮัลโหล ”

เสียงของทีมจากปลายสายเป็นการยืนยันว่าเขาได้กลับมาถึงบ้านแล้ว

“กลับมาแล้วเหรอ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกบีเลย”

ผมพูดอย่างงอนๆที่เขากลับมาถึงบ้านหลายวันแล้วแต่กลับไม่ยอมโทร. หาผม

“ทำไมต้องโทร.บอกด้วยล่ะ เดี๋ยวเปิดเทอมก็เห็นกันเองแหละ จะโทร. ทำไมให้เปลือง”

คำตอบและน้ำเสียงห้วน ๆ ของทีมทำให้ผมถึงกับตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมเขาถึงพูดคุยด้วยความเย็นชาขนาดนี้ ผมจึงแกล้งทำเป็นงอนแล้วตอบไปว่า

“งั้นแค่นี้แล้วกันนะ”

หลังวางหูผมคาดว่าทีมเขาต้องรู้แน่ๆ ว่าผมงอน และเขาก็คงจะโทร. มาง้อผมในทันทีเหมือนกับที่เขาเคยทำ แต่ในคืนนั้นแม้ผมจะนั่งรอโทรศัพท์ของเขาจนหลังเที่ยงคืน ทีมก็ไม่มีวี่แววว่าจะโทร. มาหาผมแต่อย่างใด

หลังจากวันนั้นผมกับทีมก็ไม่ได้พูดคุยกันอีก จนกระทั่งเปิดเทอมปฏิกิริยาของทีมยิ่งทำให้ผมแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีก

ทีมเริ่มทำตัวเย็นชาและทำเหมือนผมเป็นคนที่เขาไม่รู้จักตลอดเวลาที่เราเจอกัน แถมยังชอบหาเรื่องมากัด มาแดกดันผมตลอดเวลา

ที่สำคัญคำพูดที่เขานำมาใช้เหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงการล้อเลียนหรือแดกดันเพื่อความสนุก แต่ดูเหมือนมันจะมีเป้าหมายเพื่อให้ผมเจ็บและอายอย่างที่สุด จนผมต้องเริ่มกลับมาร้องไห้อย่างไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นระหว่างผมกับทีม

ตลอดสัปดาห์แรกของการเปิดเทอมใหม่ ทีมก็ยังคงมีปฏิกิริยาเหล่านี้กับผมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และนับวันมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นๆ จนผมทนไม่ไหวและต้องขอเคลียกับเขาในที่สุด

“ทำไมเหรอทีม เกิดอะไรขึ้นระหว่างเราเหรอ”

“อะไรที่ว่ามันคืออะไรล่ะ” เขาตอบมาแบบกวนๆ

“ก็ที่ทีมมาทำเย็นชา และคอยกัดบีอยู่ทุกวันนี้ไง”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ ทำไมเหรอ”

“ทำไมเหรอ ? ทีมถามมาได้ไง ทำไมทีมถึงต้องมาทำเย็นชากับบีอย่างนี้ แถมยังมาคอยกัดบีให้เจ็บแสบอีก บีทำอะไรผิดเหรอ”

“จริงๆ แล้วบีก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ ไม่เห็นจะต้องมาทำไขสือ ถึงเป็นกะเทยก็น่าจะมีความเป็นลูกผู้ชายหลงเหลืออยู่บ้างนะ ทำอะไรไว้คิดเหรอว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้”

คำพูดของทีมทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาเรียกผมว่า “กะเทย”

“บีทำอะไรล่ะ ถ้าทีมเป็นลูกผู้ชายก็พูดมาเลยสิ”

“ได้ งั้นทีมจะเตือนความจำให้ ก่อนที่ทีมจะไปเรียนกวดวิชา บีไม่ใช่เหรอที่ไปพูดว่า สมองหมาปัญญาควายอย่างทีม ไปเรียนก็เท่านั้น โง่แล้วยังอยากจะฉลาด สงสารก็แต่พ่อแม่ของทีมที่ต้องเสียตังค์ให้ทีมไปเรียน แถมยังบอกว่าอย่างงี้มันโง่กันทั้งบ้าน”

หลังคำตอบของทีม มันทำให้ผมตกใจมากเพราะคำพูดนี้เป็นคำพูดที่ผมคิดว่าแรงมากๆ ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องโกรธเพราะนอกว่าจะต่อว่าทีมแล้วยังเลยเถิดไปถึงบุพการีด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าก็คือ...ผมไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้ แล้วทำไมทีมถึงคิดว่าผมเป็นคนพูด

คำพูดดูถูก ดูแคลนผู้อื่นๆแบบนี้ผมไม่เคยคิดจะเอ่ยออกมา ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ยิ่งเป็นทีมด้วยแล้ว ผมย่อมไม่มีวันมองเขาอย่างนั้นเด็ดขาด

“บี ไม่เคยพูดนะ” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

“ไม่ต้องมาทำไขสือหรอก หยุดตอแหลได้แล้ว”

“บีไม่เคยพูดจริงๆนะทีม ใครล่ะที่บอกทีมว่าบีพูด ไปพาเขามาสิ บีอยากจะถามเขาให้รู้กันไปเลยว่าบีไปพูดกับเขาตอนไหน”

“ไม่จำเป็นหรอก เพราะยังไงเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาโกหกทีม เลิกพยายามเอาตัวรอดได้แล้ว”

“ไม่จริงนะ บีไม่ได้จะเอาตัวรอด แต่บีไม่เคยพูดจริงๆ สาบานได้”

“กล้าสาบานเหรอ งั้นเย็นนี้บีกล้าไปสาบานหน้าพระประธานของโรงเรียนมั้ยล่ะ”

“กล้าสิ ทำไมจะไม่กล้า”

ผมตอบกลับไปอย่างหนักแน่น

“งั้นเย็นนี้เจอกันแล้วกัน ถ้าไม่กลัวถูกฟ้าผ่าตายละก็”

พูดจบทีมก็เดินออกไป ทิ้งผมให้อยู่กับความเจ็บปวดและสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ใครเป็นคนใส่ร้ายผมให้ทีมต้องมาเกลียดชังผมถึงขนาดนี้ ผมทั้งอดสงสัยไม่ได้ว่าต่อให้ผมพูดประโยคเหล่านั้นออกมาจริงๆ มันจะทำให้ทีมถึงกับเลิกรากับผมเลยเชียวเหรอ

ผมอดคิดไม่ได้ว่า...หรือว่าเขาต้องการจะเลิกกับผมอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเพื่อหาข้ออ้างในการทิ้งผมเท่านั้น

อย่างไรก็ดีในเย็นวันนั้นผมก็มายืนรอทีมที่พระประธานของโรงเรียนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ แต่จนแล้วจนรอดทีมก็ไม่ยอมมาจนผมต้องเลิกรอและกลับบ้านไปก่อนในที่สุด

หลังจากวันนั้นแม้ว่าเราจะไม่เอ่ยปากบอกเลิกกัน แต่โดยพฤติกรรรมแล้ว ทั้งผมและทีมต่างก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก

เราทั้งคู่ต่างทำเป็นหมางเมินเหมือนคนไม่รู้จักกันจนผมต้องกลับมาร้องไห้ที่บ้านทุกวันเพราะไม่สามารถทำใจว่า..ทีมได้เลิกรักผมแล้ว ในขณะที่ผมยังรักเขาสุดหัวใจ

หลายวันต่อมาแม้ทีมเลิกที่จะนำผมไปกัด ไปล้อเลียนให้ได้อายอีก แต่ผมก็ยังเจ็บปวดอยู่ดีเพราะจริงๆ แล้วถ้าจะว่าไป....เขาก็ไม่เคยพูดถึงผมอีกเลย ในขณะที่ผมเองก็พยายามหลบหน้าเขาตลอดเวลา จนเป็นที่รู้กันว่า...ถ้ามีทีมก็จะไม่มีผม แต่ถ้ามีผมก็จะไม่มีทีม

ความหมางเมินนี้เริ่มทำให้เพื่อนๆ ทุกคนรู้สึกอึดอัด จนกระทั่งบาสต้องกลับมาเป็นกาวใจให้ผมกับทีมอีกรอบ

“บี ลองยอมๆไอ้ทีมมันไปบ้างเถอะ เรื่องมันจะได้จบๆ พวกเราจะได้กลับมาเหมือนเดิมสักที”

“ยอมเรื่องอะไรล่ะ”

“ก็เรื่องที่บีไปพูดว่ามันไว้ยังไงล่ะ”

“บาสก็รู้เรื่องนี้เหรอ เราไม่เคยพูดนะบาส มีคนพยายามใส่ร้ายเรา บาสรู้หรือเปล่าว่าคนๆนั้นคือใคร”

“ไม่รู้หรอก ไอ้ทีมมันแค่เล่าให้ฟังแต่มันก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร แต่บาสว่าคงเป็นคนที่มันเชื่อมาก”

“แล้วยังไงล่ะ บาสก็เลยจะให้บียอมรับผิดในสิ่งที่บีไม่ได้ก่อ ในขณะที่ทีมเขากลับเชื่อคนอื่นมากกว่าบีงั้นเหรอ”

“แล้วบีมีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้มั้ยล่ะ”

“มีสิ ก็บีกำลังทำอยู่นี่ไง ขอบใจนะบาส ที่มาแนะนำ แต่ถ้าบาสหวังดีจริงๆก็ควรจะไปเตือนเพื่อนของเธอดีกว่าว่าควรจะหนักแน่นกับคนที่ตัวเองรักมากกว่านี้ ยกเว้นว่าถ้าเธออยากให้เรากับทีมจบกันจริงๆ เธอจะได้สมหวังในสิ่งที่เธอเคยพูดไว้กับเรา เธอก็จะตามมาซ้ำเติมเราอีกคนก็ได้”

พูดจบผมก็เดินกลับออกไปอย่างโมโหคำแนะนำของบาสที่จะให้ผมยอมรับผิดในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำ เพราะดูเหมือนกับว่าผมเป็นคนที่ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย

แต่หลังจากวันนั้นเมื่อผมต้องมาเผชิญความทุกข์ทรมานในเวลาที่บอกว่าตัวเองว่า..ทีมกับผมได้จบลงแล้ว ทำให้หลายๆครั้ง ข้อเสนอแนะของบาสก็ผุดขึ้นมาในหัว จนผมอดคิดไม่ได้ว่า...บางทีถ้าอยากให้ผมกับทีมกลับมาคืนดีกัน ผมก็อาจจะต้องยอมรับความผิดที่ผมไม่ได้ก่อในครั้งนี้

จนกระทั่งหลายวันต่อมาโอกาสของผมก็มาถึงเมื่อทีมขอนัดคุยกับผมเพื่อที่จะขอเคลียอะไรบางอย่าง โดยเขานัดผมไปคุยที่สวนดอกราตรีที่เขาเคยใช้เป็นสถานที่บอกรักผมซึ่งผมไม่รู้ว่านี่เป็นความจงใจ หรือ บังเอิญ

ในเย็นวันนั้น เมื่อไปถึง ผมก็พบว่าทีมได้ยืนรออยู่แล้วโดยมีเถาของดอกราตรีอยู่ด้านหลังซึ่งสภาพของมันในตอนนี้ช่างแตกต่างกับความสวยงามที่มันเคยเปร่งประกายในคืนพระจันทร์เต็มดวงนั้นอย่างสิ้นเชิง

จะว่าไปดอกราตรีเบื้องหน้าผมก็ไม่ต่างอะไรกับความรักของผมกับทีมในตอนนี้ที่ทั้งห่อเหี่ยว แห้งเฉา และรอวันตาย

“เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวอย่างนี้สักที” ทีมเป็นฝ่ายเริ่มต้น

“ยังไงล่ะ”

ผมถามกลับไปห้วนๆเมื่อเห็นปฏิกิริยาแข็งกระด้างของทีม

“ก็ที่คอยหลบหน้าทีมอยู่อย่างนี้ไง พวกเพื่อนๆ มันไม่สบายใจไม่เห็นเหรอ หรืออยากให้ทีมดูเป็นเลว เป็นคนผิด เป็นคนที่ทิ้งบีหรือไง”

ประโยคเมื่อครู่ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมพูดออกมาอย่างชัดเจนว่าเขาทิ้งผมแล้ว ซึ่งนั่นแทบจะทำให้ผมถึงกับยืนไม่อยู่แต่ในภาวะอย่างนี้ผมก็ได้แต่ทำเป็นเข้มแข็งแล้วก็ฝืนพูดออกไป

“แล้วทีมจะให้บีทำยังไงล่ะ”

“ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไง มาพูดคุย มาสนุกเหมือนก่อนที่เราจะเป็น.....”

พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดพูดไปเฉยๆ

“ทีมจะบอกว่าให้บีทำเหมือนว่าอยู่ดีๆ ทีมก็เข้ามาทำให้บีรัก แล้วพอวันที่ทีมจากไป ก็จะให้บีทำใจเหมือนมันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ บีทำอย่างทีมไม่ได้หรอกนะ”

“แล้วจะเอาไงล่ะ ทำยังไงเราถึงจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้”

คำพูดห้วนๆที่ไร้ความปราณีของเขาทำให้ผมรู้ดีว่าป่วยการที่ผมจะงอนง้อขอคืนดีกับผู้ชายคนนี้

“บีขอเวลา 4 เดือน หลัง 4 เดือนนี้แล้วบีจะกลับมาทำอย่างที่ทีมต้องการ แล้วบีจะไม่ร้องไห้ให้ทีมเห็นอีก”

พูดถึงตรงนี้น้ำตาของผมก็เหมือนจะไหลออกมา

“ก็ตามใจ”

ทีมพูดสั้นๆ ห้วน ๆ แค่นี้ก็ทำท่าจะหันหลังเดินกลับออกไป

“เดี๋ยว....ทีม”

เสียงเรียกของผมทำให้เขาหันกลับมา

“บีขอถามอะไรทีมสัก 3 ข้อได้มั้ย”

“เอาสิ ถ้าทีมตอบได้ก็จะตอบ”

“ใครเหรอทีม ใครที่เป็นคนที่บอกทีมว่าบีเป็นคนไปพูดเสีย ๆหายๆ ถึงทีมอย่างนั้น ใครกันที่ทีมเชื่อเขามากกว่าบี?”

หลังคำถามแรก ทีมก็ได้แต่ยืนนิ่งโดยไม่พูดอะไร จนผมมั่นใจว่าคงไม่ได้คำตอบจากเขา ผมจึงเริ่มถามคำถามข้อที่ 2

“แล้วเหตุผลจริงๆที่เราต้องเลิกกันล่ะ มันคืออะไร บีไม่เชื่อหรอกน่ะว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวจะทำลายความรักของเราได้ เกิดอะไรขึ้นเหรอทีม เกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพฯนั่น”

หลังคำถามนี้ ผมเห็นทีมก้มหน้ากำมือแน่น ถ้าผมไม่คิดไปเอง ผมก็กำลังคิดว่าเขาเองก็กำลังเจ็บปวดที่เราต้องเลิกกัน แต่มันเป็นเพราะอะไรล่ะ

แม้ผมจะยืนนิ่งรอคำตอบจากเขาไปอีกสักพัก ทีมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามนี้ของผม ผมจึงกัดฟันถามคำถามสุดท้ายซึ่งเป็นคำถามที่ผมกลัวคำตอบที่สุด

“ที่ผ่านมา ทีมเคยรักบีบ้างหรือเปล่า ที่ทีมบอกว่ารักบี มันเป็นความจริงหรือเป็นแค่คำโกหกเพื่อจะได้ฟันบีเท่านั้น”

เป็นครั้งแรกที่ทีมเอ่ยปากพูดออกมาหลังคำถาม แต่คำตอบของเขาก็ได้ทำให้ผมเจ็บปวดอย่างที่สุด

“บีกลับไปหาไอ้กอล์ฟมันเถอะ ทีมรู้ว่ามันยังรักบีอยู่”

หลังคำตอบนี้ผมถึงกับตั้งสติไม่อยู่จนเกือบจะร้องไห้ออกมา ถ้าเขาจะตอบว่าเขาไม่เคยรักผม มันอาจจะเป็นคำตอบที่ผมยอมรับได้มากกว่านี้

ถ้าเขาคิดว่าประโยคเมื่อครู่จะเป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายที่ผู้ชายอย่างเขาจะมีให้ผมได้ เขาก็กำลังคิดผิดถนัด

เพราะถ้าหากการที่เขาเลิกกับผมจะเป็นเหมือนการฆ่าผมให้ตาย ประโยคที่เขาเพิ่งขับไสไล่ส่งผมไปให้ผู้ชายคนอื่นเมื่อครู่ก็คือคำสาปแช่งที่ไม่ให้ผมได้ผุดได้เกิดดีๆ นี่เอง

ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่า..ไม่ว่าเขาจะตอบว่ารักหรือไม่รักผม ผมก็อาจจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองแล้วยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ พร้อมกับจะคุกเข่าอ้อนวอนขอให้เขากลับมารักผมอีกครั้ง

แต่คำพูดของทีมเมื่อครู่กลับทำให้ผมตัดสินใจเชิดหน้าขึ้นแล้วก็หันหลังเดินกลับไปอย่างทระนง โดยพยายามจะบังคับน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลลงมาด้วยการบอกกับตัวเองในระหว่างที่เดินออกไปว่า

“อย่าร้องนะบี แกห้ามร้องไห้ออกมานะ อย่ามาเสียน้ำตาต่อหน้าผู้ชายคนนี้”

เพราะในตอนนั้นแม้ผมจะเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้ทีมไปหมดแล้ว ผมก็ยังอยากจะเหลือศักดิ์ศรีแม้เพียงน้อยนิดให้ตัวเองได้ภาคภูมิใจบ้าง

ต่อมาในตอนเย็นวันนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมพาตัวเองกลับมาถึงบ้านได้ยังไง แต่เมื่อมาถึงผมก็บอกแม่ว่าผมไม่สบายและอยากพักผ่อน

เมื่อได้เข้ามาในห้องนอนผมก็ค่อยๆเดินไปที่เตียงนอนเหมือนคนที่ไร้วิญญาณ จากนั้นจึงเดินไปนั่งคุกเขาลงบนที่เตียงต่อหน้าหมอนหนุนแล้วค่อยๆ กดใบหน้าตัวเองลงบนหมอนใบนั้นจนมั่นใจว่ามันแน่นสนิท ..... แล้วผมก็เริ่มต้นกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง

เสียงกรีดร้องนี้เป็นเสียงที่ทั้งโหยหวน และบาดลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ จนใครก็ตามที่ได้ยินย่อมจะรู้ถึงความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสของเจ้าของเสียงได้เป็นอย่างดี

แต่น่าเสียดายที่เสียงกรีดร้องที่ทั้งเจ็บปวดและทุกข์ทรมานนี้

มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้น...........ที่ได้ยิน............

------------------------------------------------





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2006 11:54:32 โดย b|ue B[o]Y hUb »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด