ตอนพิเศษ : หลักกิโลเมตรที่ 3 (เรื่องที่ยังไม่ได้บอก)
รถเก๋งสีดำของตฤณกรค่อย ๆ ขับลัดเลาะไปตามไหล่เขาที่แสนจะคดโค้งของเทือกเขาถนนธงชัยโดยใช้เส้นทางเชียงใหม่ ปาย แม่ฮ่องสอน ระหว่างทางทั้งคู่แวะพักถ่ายรูปตามสถานที่ท่องเที่ยวรายทางทั้งที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังและอำเภอปายจนกระทั่งถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนในตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันเสาร์ก่อนจะเข้าพักที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งใกล้กับวัดจองคำที่ได้จองเอาไว้ล่วงหน้า
“ยินดีด้วย คุณคือผู้พิชิต 1,864 โค้ง” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นเมื่อรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถภายในเกสต์เฮ้าส์
“ไม่มีรางวัลเหรอ” คนตัวสูงที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับทำแก้มป่อง ในขณะที่เจ้าของประโยคแสดงความยินดีเมื่อครู่มองเขาอย่างหมั่นไส้ก่อนจะยกนิ้วเรียวขึ้นจิ้มที่แก้มของคนข้าง ๆ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปขอเกียรติบัตรให้” พูดจบอาทิตย์ทัศน์ก็เปิดประตูลงจากรถก่อนจะมองสำรวจรอบ ๆ พื้นที่ภายในบริเวณของเกสต์เฮ้าส์ถูกแบ่งเป็นส่วน ๆ อย่างลงตัว มีทั้งพื้นที่ของสวน ที่จอดรถและที่พัก โดยมีทั้งส่วนที่เป็นตึกสองชั้นซอยย่อยเป็นห้องพักและมีบ้านเป็นหลัง ๆ ให้ผู้มาติดต่อได้เลือกเข้าพัก อาทิตย์ทัศน์เดินตรงไปยังบ้านหลังแรกที่อยู่ใกล้ประตูทางเข้าซึ่งรถขับผ่านเข้ามาเมื่อสักครู่ ที่หน้าบ้านมีเคาน์เตอร์ต้อนรับที่ทำแบบง่าย ๆ โดยมีหญิงวัยกลางคนซึ่งคาดว่าจะเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์กำลังนั่งส่งยิ้มมาให้
“วันนี้มีถนนคนเดินนะจ๊ะ” คุณป้าเจ้าของเกสต์เฮ้าส์กล่าวอย่างมีไมตรีก่อนจะส่งกุญแจห้องให้
“ขอบคุณครับ” อาทิตย์ทัศน์ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะรับกุญแจห้องมา
ชายหนุ่มเจ้าของลักยิ้มเล็ก ๆ เดินกลับไปหาตฤณกรซึ่งกำลังขนสัมภาระลงจากรถอีกครั้ง “ผมคิดว่าคุณจะจองสองห้องเสียอีก” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับดึงเป้สะพายหลังของตัวเองจากมือของร่างสูง
“กลัวผมทำมิดีมิร้ายหรือไง” ตฤณกรหัวเราะขณะสะพายเป้ของตัวเองขึ้นหลัง
“ผมกลัวคุณอึดอัดต่างหาก เห็นคุณป้าเจ้าของเกสต์เฮ้าส์เขาบอกว่ามันเป็นห้องเตียงเดี่ยว” อาทิตย์ทันศน์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะเดินหนี
ริมฝีปากหยักยกยิ้มก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปขนาบข้าง “ผมไม่อึดอัดหรอก น่าจะอุ่นดีเสียด้วยซ้ำ”
คนตัวเตี้ยกว่าเหลือบมองร่างสูงที่เดินอยู่ข้าง ๆ เล็กน้อย คำพูดที่จบลงไปเมื่อสักครู่กับรอยยิ้มน่ารักของเขาทำเอารู้สึกเห่อร้อนไปทั้งใบหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเวลาที่อยู่ใกล้ ๆ กันทีไรมันมักจะเกิดอาการแปลก ๆ ถ้าไม่วูบไหว หัวใจก็เต้นแรงอย่างนี้ทุกทีไป...
“เดี๋ยวเย็น ๆ เราไปเดินเล่นแถวนี้กันนะคุณ” ร่างสูงที่เปลือยท่อนบนเอ่ยขึ้นก่อนจะถือผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ
อาทิตย์ทัศน์หยิบกล้องดิจิตัลตัวเก่งออกมาจากกระเป๋าก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงบนเก้าที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นิ้วเรียวค่อย ๆ กดปุ่มเพื่อเช็คความเรียบร้อยของเมมโมรีและแบ็ตเตอรี่ พักใหญ่ ๆ ตฤณกรที่สวมเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียวก็เดินออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำเล็ก ๆ เกาะพราวที่ผิวขาวเนียนตามแบบฉบับหนุ่มชาวเหนือ อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงเจ้าของมัดกล้ามเล็ก ๆ ที่แสดงว่าเป็นคนออกกำลังกายอยู่บ้างก่อนจะกลับมาสนใจที่กล้องดิจิตัลในมือเหมือนเดิม
“มองแบบนี้ผมเขินนะคุณ” เจ้าของใบหน้าระบายยิ้มกล่าวขณะก้มหน้าก้มตาหยิบเสื้อผ้าออกจากเป้สะพายหลังที่วางอยู่บนเตียง
อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้ตอบอะไร เขาวางกล้องลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะลุกขึ้นถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาออกเผยให้เห็นผิวเนียนละเอียดภายใต้เสื้อยืดสีเข้มพอดีตัว จากนั้นมือเรียวก็ค่อย ๆ เอื้อมปลดเข็มขัดก่อนจะเปลี่ยนมานุ่งผ้าขนหนู จากนั้นจึงถอดเสื้อเสื้อยืดออกเหลือเพียงแต่อกเปลือยเปล่า
“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะคุณ” ตฤณกรร้องเสียงหลง
“ก็อาบน้ำไง”
“แล้วทำไมไม่ไปถอดในห้องน้ำ”
“อ้าว ทีคุณยังไม่เห็นไปถอดในห้องน้ำเลย แล้วจะโวยวายทำไมผมก็เป็นผู้ชายเหมือนคุณแท้ ๆ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเดินมาหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้บนเตียง
จริงอย่างที่คนตัวเล็กกว่าว่า เขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกัน ตฤณกรมองคนตรงหน้าแว้บหนึ่ง รู้สึกว่าทำไมเวลานี้หัวใจมันถึงได้เต้นดังโครมครามผิดปกติ เอวคอดเล็กน้อยรับกับไหล่กว้างและผิวเนียนละเอียดนั่นทำเอาไม่อยากจะละสายตาไปไหน แต่ในที่สุดร่างสูงก็ตัดสินใจหันหลังให้
อาทิตย์ทัศน์มองแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงก่อนจะยิ้มที่มุมปาก นึกอยากแกล้งเขาขึ้นมาบ้างหลังจากเป็นฝ่ายโดนแกล้งมาหลายครั้ง
“ทำไม เขินเหรอ” ปากบางขยับหัวเราะเบา ๆ
“เขินที่ไหนกับครับ คนอย่างผมไม่เคยเขินอยู่แล้ว” คนตัวสูงกล่าวตะกุกตะกักทั้งที่ยังหันหลัง
“ถ้าไม่เขินแล้วทำไมต้องหันหลังคุยกับผมด้วยล่ะ” อาทิตย์ทัศนกล่าวอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินผ่านร่างสูงไปยังห้องน้ำ
ตาคมจ้องมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าที่กำลังเดินห่างออกไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวก่อนสิครับ” สิ้นเสียงนั้นมืออุ่น ๆ ก็คว้าข้อมือของคนตรงหน้าเอาไว้ ตฤณกรยิ้มก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ๆ “นี่ตั้งใจจะแกล้งให้ผมเขินใช่ไหม เดี๋ยวคุณจะโดนเอาคืนไม่ใช่น้อย”
“แล้วเขินจริงหรือเปล่า” อาทิตย์ทัศน์กล่าวสั้น ๆ เพียงไม่ถึงอึดใจเขาก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากอกแกร่งที่แนบลงกับแผ่นหลัง มือหนาค่อย ๆ สอดผ่านเอวคอดและกอดเขาเอาไว้จากด้านหลัง
ริมฝีปากหยักขยับอีกครั้ง “เขินจะแย่”
“จะเขินทำไม ผมก็เป็นผู้ชาย คุณเองก็เป็นผู้ชาย” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะพยายามดึงมือที่เกาะเกี่ยวกันไว้ออกจากเอวของตัวเอง
“มันก็ใช่เรื่องที่คุณก็เป็นผู้ชายและผมก็เป็นผู้ชาย” ร่างสูงกล่าวพร้อมกับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น “แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมน่ะ เป็นผู้ชายที่คิดไปไกลกับคุณ”
พูดจบปลายจมูกโด่งก็สัมผัสลงกับบ่าเปลือยเปล่าของคนตรงหน้า จากนั้นจึงค่อย ๆ ลากไล้ไปตามลำคอระหงและไปหยุดที่ข้างหูก่อนจะกระซิบเบา ๆ “นอกจากผมแล้วห้ามไปทำแบบนี้ต่อหน้าใครนะ รู้ไหม”
เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบา แต่ทำเอาหัวใจคนฟังสั่นสะเทือนจนแทบจะหลุดออกมานอกอก พวงแก้มใสค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อพร้อมกับความรู้สึกวูบไหวอย่างบอกไม่ถูก อาทิตย์ทัศน์แทบอยากจะเขกศีรษะตัวเอง เพราะกลายเป็นเขาเองที่เขินไม่เป็นท่า
“ปล่อยได้แล้ว ผมจะไปอาบน้ำ” คนตัวเล็กกว่ากล่าวห้วน ๆ ก่อนจะขยับตัวออกจากพันธนาการที่ทำให้เขาแทบไปไหนไม่รอดนั้น....
....
ร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงค่อย ๆ ปรือตาขึ้นเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคย ตฤณกรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ความเหนื่อยล้าจากการขับรถทำให้เขาเผลอหลับไปเกือบสองชั่วโมง อาทิตย์ทัศน์ในชุดเตรียมพร้อมสำหรับออกไปเดินเล่นในค่ำคืนที่อากาศหนาวยังคงนั่งขัดสมาธิอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“ทำไมคุณไม่ปลุกผมล่ะครับ” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับลุกขึ้น ในขณะที่คนตัวเล็กกว่าค่อย ๆ วางหนังสือลงบโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะหันมาตอบคำถามของเขา
“ก็เห็นว่าคุณไม่ได้นอนทั้งคืน”
“คุณก็เลยต้องมานั่งรอผม” เจ้าของร่างสูงกล่าวพร้อมกับขยับตัวยืดเส้นยืดสาย
“ทีคุณยังรอผมได้เลย” อาทิตย์ทัศน์ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกล้องขึ้นมาคล้องคอ
“เถียงคำไม่ตกฟากจริง ๆ” ตฤณกรส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตามกันออกจากห้องไป
จากเกสต์เฮ้าส์เดินมาตามถนนสายเล็ก ๆ ไม่นานก็ถึงวัดจองคำที่อยู่บริเวณริมหนองจองคำซึ่งเป็นที่ตั้งของถนนคนเดิน ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า จากหนองจองคำนี้สามารถมองเห็นยอดของพระธาตุดอยกองมูอยู่ไกล ๆ อาทิตย์ทัศน์และตฤณกรเดินไปตามถนนสายเล็ก ๆ รอบหนองน้ำที่ขณะนี้เต็มไปด้วยร้านรวงมากมายในขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะ หากมองกลับไปยังผืนน้ำนิ่งราวกระจกใสจะเห็นเงาสะท้อนแสงไฟของเจดีย์วัดจองคำและเจดีย์วัดจองกลางซึ่งตั้งอยู่ภายในรั้วเดียวกันเป็นภาพที่สวยงามจนอาทิตย์ทัศน์อดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพ....
สองหนุ่มเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่ร้านขายโปสการ์ดแบกะดินร้านหนึ่ง
“ซื้อโปสการ์ดส่งถึงเพื่อน พี่ น้อง หรือจะส่งถึงแฟนได้นะคะ” สาวน้อยเจ้าของร้านเอ่ยขึ้น
“ใบละเท่าไรครับ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงเลือกโปสการ์ดซึ่งเป็นภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
“ใบละสิบบาทค่ะ”
“ส่งให้ใครน่ะ” ตฤณกรที่นั่งลงข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“ซื้อส่งให้ขวัญ แล้วก็พี่จิต พี่วิช แล้วก็อาจารย์ชนะชัย” คนตัวเล็กกว่าตอบก่อนจะส่งเงินให้สาวน้อยเจ้าของร้านสำหรับโปสการ์ดสี่ใบ
“นั่งเขียนที่หลังร้านได้นะคะพี่”
เมื่อได้ฟังดังนั้นอาทิตย์ทัศน์จึงเดินอ้อมไปนั่งลงที่โต๊ะญี่ปุ่นหลังร้านโดยมีตฤณกรเดินตามไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
“แล้วไม่เขียนส่งให้แฟนบ้างเหรอครับ” คนที่กำลังนั่งท้าวคางมองเอ่ยขึ้น
“มาด้วยกันจะต้องเขียนทำไม” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเริ่มลงมือเขียนโปสการ์ดทีละใบโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังทำหน้ามุ่ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
หลังจากเขียนโปสการ์ดเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการไปรษณีย์แม่ฮ่องสอน อาทิตย์ทัศน์จัดการหย่อนโปสการ์ดทั้งหมดลงในตู้ก่อนจะหันมาหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งกำลังเงยหน้ามองตึกที่อยู่ตรงหน้า
“บุรุษไปรษณีย์ที่นี่คงมีความสุขเนอะคุณ” ตฤณกรเอ่ยขึ้น
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็เพราะว่าเขาเป็นคนนำพาความคิดถึงไปส่งให้ถึงคนที่ปลายทางของโปสการ์ดแต่ละใบน่ะสิครับ ความคิดถึงของใครหลายคนคงกำลังหยุดพักอยู่ที่นี่เพื่อรอเดินทางต่อ”
“อืม ก็จริงของคุณ” อาทิตย์ทัศน์ยิ้มให้ก่อนที่เสียงเพลงลูกทุ่งจังหวะสนุก ๆ ที่กำลังได้รับความนิยมจะดังขึ้น
สองหนุ่มเดินย้อนกลับไปตามเสียงเพลงนั้นก่อนจะพบบรรดาหมู่ไทยมุงตรงหัวมุมถนน เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ตฤณกรก็ประหลาดใจไม่น้อยเมื่อภาพที่เห็นคือเหล่าหนูน้อยในชุดชาวเขาอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบพร้อมเครื่องดนตรีในมือกำลังร้องเพลงและเล่นดนตรีกันอย่างสนุกสนาน อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็เป็นแบบเดียวกับวงดนตรีของผู้ใหญ่ทั้งสิ้น ที่พื้นถนนมีกล่องใบเล็ก ๆ ให้ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ใส่เงินเพื่อเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับความเก่งของเด็ก ๆ เหล่านี้
“เก่งเนอะ” คนตัวสูงเอ่ยขึ้นก่อนจะยกโทรศัพท์มอถือขึ้นมาอัดวิดีโอเอาไว้
อาทิตย์ทัศน์มองไปรอบ ๆ สิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้คือรอยยิ้มของผู้ใหญ่และวัยรุ่นหญิงชายที่พากันหยุดดูอย่างชื่นชม
ครู่หนึ่งหลังจากเสียงดนตรีเงียบลง เด็กผู้ชายรูปร่างปุ๊กลุกที่ยืนกอดกีตาร์เบสอยู่ก็เอ่ยขึ้นเมื่อครอบครัวของชาวต่างชาติครอบครัวหนึ่งกำลังเดินจูงมือกันผ่านมา
“Hey you!!!” เจ้าของแก้มยุ้ยเอ่ยขึ้นแบบไม่ได้หวังว่าจะมีการตอบสนองใด ๆ จากคนที่เพิ่งได้พบกัน แต่เด็กหญิงผมทองตัวน้อยที่กำลังเดินตามผู้เป็นพ่ออยู่กลับหันมายิ้มให้พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“สวัสดีค่ะ”
เพียงประโยคสั้น ๆ ของเธอก็ทำเอาบรรดาเด็ก ๆ ในวงดนตรีตื่นเต้นยกใหญ
“เฮ้ย พูดภาษาไทยได้ด้วย” เจ้าหนูคนเดิมเอ่ยขึ้นกับเพื่อน ๆ
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มก่อนจะกระตุกมือคนข้าง ๆ ให้เดินต่อ สองหนุ่มเดินตามครอบครัวชาวต่างชาตินั้นไปในขณะที่มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขี่สวนทางมาทำให้หลายคนที่กำลังเดินซื้อของกันอยู่ต้องแอบเข้าข้างทาง
“ขอโทษนะครับ” เจ้าของรถจักรยานยนต์เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มผมทองร่างสูงใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้มท่ามกลางความแปลกใจของหลาย ๆ คนที่เดินอยู่ใกล้ ๆ
“ยิ้มอะไรของคุณ” อาทิตย์ทัศน์หันไปถามคนข้าง ๆ
“น่ารักดีเนอะคุณ” คนตัวสูงกล่าวในขณะที่สายตายังคงจ้องมองที่ครอบครัวแสนน่ารักครอบครัวนั้น ที่พ่อ แม่ และลูก ๆ กำลังเดินจูงมือกันไปตามถนนสายแคบ ๆ ท่ามกลางผู้คนมากมาย โดยมีพ่อคอยเดินนำและมีแม่เดินตามหลังเพื่อระวังความปลอดภัยให้ลูกสาวและลูกชายตัวน้อย ๆ “ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยได้จับมือพ่อกับแม่แบบนี้เลย”
อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ถ้ากลัวหลงก็จับมือพี่ได้นะน้อง”
คำพูดติดตลกของคนตัวเล็กกว่าเรียกร้อยยิ้มของตฤณกรได้ไม่น้อย คนตัวสูงแกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วก้อยของคนข้าง ๆ เอาไว้แล้วเดินไปด้วยกัน...
วันต่อมาอาทิตย์ทัศน์และตฤณกรขับรถตระเวนเที่ยวตามสถานที่สำคัญ ๆ ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนจนทั่วก่อนจะมุ่งหน้าสู่อ่างเก็บน้ำเล็ก ๆ ซึ่งจะเป็นที่พักแรมของพวกเขาในคืนนี้
“นี่ใจอคอจะฟังเพลง ๆ เดียวแบบนี้ไปจนถึงวันกลับเลยหรือไง” อาทิตย์ทัศนเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มที่กำลังใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยอย่างอารมณ์ดีตามทำนองเพลงที่ดังมาจากเครื่องเสียงติดรถจน
“ก็ดีเหมือนกันนะคุณ” ตฤณกรยิ้ม “เวลาไปได้ยินเพลงนี้ที่ไหน คุณจะได้นึกถึงผม นึกถึงตอนที่เรามาเที่ยวแม่ฮ่องสอนด้วยกันไง”
“คุณนี่มันแปลกคนจริง ๆ” อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าก่อนจะทอดสายตามองแนวทิวเขาสลับซับซ้อนที่อยู่ข้างทาง....
ตฤณกรขับรถไปตามถนนสายแคบ ๆ ที่ตัดผ่านป่าเขา พื้นที่ทำการเกษตรและบ้านเรือนของชาวบ้านโดยค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงโครงการพระราชดำริปางตอง 2 หรือที่รู้จักกันชื่อ ‘ปางอุ๋ง’ ในตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันอาทิตย์ วันนี้มีคนมาจับจองพื้นที่สำหรับกางเต็นท์มีไม่มากอย่างที่คิด นั่นคงเป็นเพราะไม่ใช่ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสำคัญ ๆ ชายหนุ่มเจ้าของรถขับวนหาที่เหมาะ ๆ เพื่อกางเต็นท์ ในที่สุดทั้งคู่ก็ตกลงกันว่าจะกางเต็นท์บริเวณเนินเตี้ย ๆ ใต้ต้นสนริมอ่างเก็บน้ำ
“คุณไปเดินถ่ายรูปเล่นก่อนก็ได้นะเดี๋ยวผมกางเต็นท์เอง” คนตัวสูงกล่าวขณะเปิดท้ายรถเพื่อหยิบกระเป๋าใส่เต็นท์พับออกมา
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมช่วย” พูดจบอาทิตย์ทัศย์ก็เดินไปยกกล่องพลาสติกที่ใส่เครื่องนอนออกมาจากท้ายรถก่อนจะเดินตามคนตัวสูงกลับไปยังจุดกางเต็นท์
เวลาผ่านไปไม่นานนักเต็นท์ที่ทั้งคู่ช่วยกันกางก็เสร็จเรียบร้อย อาทิตย์ทัศน์วางกระเป๋ากล้องก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนผืนหญ้าข้าง ๆ ตฤณกรเพื่อมองดูดวงอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยต่ำลงอยู่ในแนวเดียวกับยอดสนในขณะที่อากาศรอบตัวเริ่มเย็นลงทุกขณะ ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบกล้องออกมาเปลี่ยนเป็นเลนส์ซูมเพื่อบันทึกภาพหงส์สีดำสองตัวที่กำลังไซ้ขนอยู่ใกล้ ๆ กันบนผืนน้ำราบเรียบเบื้องหน้า ห่างไปไม่ไกลมีแพไม้ไผ่หลายลำที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 2-3 คน กำลังลอยเอื่อย ๆ อยู่กลางอ่างเก็บน้ำท่ามกลางสายหมอกยามเย็น เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์จากรถจิ๊ปที่แล่นมาตามทางบนไหล่เขาดังขึ้น
อาทิตย์ทัศน์วางกล้องลงบนตักก่อนจะมองตามสายตาของคนตัวสูงกว่าที่กำลังมองไปยังบริเวณที่พวกเขาจอดรถ ซึ่งตอนนี้ข้าง ๆ กันมีจิ๊ปคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบ เพียงครู่เดียวชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เปิดประตูลงมาก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดท้ายรถ จากนั้นจึงหอบอุปกรณ์สำหรับกางเต็นท์ลงมาวางกองไว้ อาทิตย์ทัศน์ประมาณด้วยสายตาชายผู้นี้น่าจะอายุมากกว่าแม่ของเขาอยู่หลายปี แม้ผมจะแซมด้วยสีขาวกว่าครึ่งของศีรษะแล้วแต่เขาก็ยังดูกระฉับกระเฉงกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายคนนัก
“มาคนเดียวเหรอครับคุณลุง” ตฤรกรกล่าวกับชายวัยกลางคนที่กำลังเดินหาทำเลดี ๆ สำหรับกางเต็นท์
ชายวัยกลางคนยิ้มให้ก่อนจะตอบ “มากับภรรยาแล้วก็ลูกสาวครับ แต่เขามาอีกคัน ผมมาถึงก่อนก็เลยว่าจะหาที่กางเต็นท์ไว้รอ นี่ก็ก็ว่าจะกางตรงที่ว่างระหว่างต้นสนสองต้นนั้นน่ะครับ” นิ้วมือที่เริ่มปรากฏริ้วรอยแห่งกาลเวลาชี้ไปที่พื้นที่ว่างที่อยู่ห่างจากเต็นท์ของสองหนุ่มไปไม่ไกลนัก
อาทิตย์ทัศน์เก็บกล้องใส่กระเป๋าก่อนจะลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมไปช่วยขนของนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะเดินตามคุณลุงที่เพิ่งได้พบกันไปที่รถของเขา
“จ้า เดี๋ยวผมยกเอง” ตฤณกรที่เดินตามมาสมทบกล่าวกับชายหนุ่มที่กำลังก้มลงยกกล่องใส่อุปกรณ์สำหรับหุงต้ม ก่อนจะแย่งหน้าที่ของเขามาทำเสียเอง
“สองคนมาจากไหนกันล่ะ” คุณลุงถามขึ้นขณะกำลังลงมือกางเต็นท์
“มาจากกรุงเทพฯ ครับ” อาทิตย์ทัศน์กล่าว “แล้วคุณลุงล่ะครับมาจากไหน”
“ผมมาจากอุทัยธานี ส่วนภรรยากับลูกสาวเขาขับมาจากกรุงเทพฯ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะถึงแล้วละ”
สองหนุ่มนั่งคุยเป็นเพื่อนคุณลุงที่เพิ่งได้พบกันสักพักก่อนจะแยกตัวออกมา
“เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนนะ” ตฤณกรเอ่ยขึ้นก่อนจะคว้าอุปกรณ์อาบน้ำที่วางเตรียมไว้ในเต็นท์ก่อนจะเดินตรงไปยังโรงเรือนชั้นเดียวที่ถูกแบ่งเป็นทั้งห้องอาบน้ำและสุขา
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ คนตัวสูงก็เดินกลับมาด้วยหน้าตาที่ดูจะสดชื่นเป็นพิเศษ
“น้ำเย็นไหม” อาทิตย์ทัศน์ถามขึ้น
“อืม ก็ไม่เย็นเท่าไรนะ คุณอาบได้อยู่แล้ว มันจะหนาวแค่ขันแรก ขันต่อไปก็ไม่หนาวแล้ว” ตฤณกรตอบยิ้ม ๆ ที่บอกว่าขันต่อไปไม่หนาวแล้วนั่นอาจเป็นเพราะร่างกายรู้สึกชาไปหมดแล้วก็ได้
เมื่อได้ฟังดังนั้นคนตัวเล็กกว่าจึงหันกลับไปคว้าอุปกรณ์อาบน้ำของตัวเองบ้าง....
....
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังใกล้เข้านั้นทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่กำลังนั่งซ่อนตัวจากความหนาวเย็นอยู่ภายใต้ผ้าห่มในเต็นท์รูปโดม ไม่นานนักเสียงฝีเท้านั้นก็มาหยุดที่หน้าเต็นท์ก่อนที่ซิปจะถูกรูดเปิดอย่างรวดเร็วจากนั้นชายหนุ่มร่างเล็กกระโจนแผล็วเข้านั่งลงกอดเข่าด้วยความหนาวสั่น
“หนะ ไหนบอกว่า....หนะ น้ำ ไม่เย็นเท่าไรไง” อาทิตย์ทัศน์กล่าวปากคอสั่น
“ก็ไม่เย็นเท่าไรไงคุณ ผมไม่รู้ว่าว่ามันเย็นเท่าไร อาจจะเก้าหรือแปดองศา ผมไม่แน่ใจเลยไม่อยากฟันธง” คนที่นั่งห่มผ้าตัวกลมอยู่พูดกลั้วหัวเราะ
“นี่ กะ แกล้งผมเหรอ” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวต่อ “คะ...คุณบอกว่า มันจะหนาวแค่ขันแรก ผะ..ผมก็อุตส่าห์ตักขันแรกทิ้งแล้วเริ่มอาบขันที่สอง ทะ...ทำไม ทำไมมันยังหนาวอยู่...”
ตฤณกรขมวดคิ้วยิ้ม ๆ “หนาวจนปากคอสั่นขนาดนี้ยังจะตลกอีก” คนตัวสูงกล่าวก่อนจะรั้งร่างที่กำลังนั่งกอดเข่าหนาวสั่นให้เข้ามาอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
“ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์เก๊กไม่หนาวแทบแย่” ตฤณกรหัวเราะก่อนจะกอดคนข้าง ๆ เอาไว้แน่น
“คุณมันขี้แกล้ง” อาทิตย์ทัศน์ที่ตอนนี้จำต้องยอมให้กอดแต่โดยดีเอ่ยขึ้น
“อยากอยู่ที่นี่สักเดือนหนึ่งจริง ๆ จะได้กอดคุณแบบนี้ทุกวัน” พูดจบเจ้าของร่างสูงก็กระชับวงแขนแน่นขึ้น
“อยู่ไปคนเดียวเถอะ แค่นี้วันพักร้อนผมก็จะหมดแล้ว”
....
เสียงโลหะกระทบกันที่ดังมาจากเต็นท์ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทำให้สองหนุ่มที่กำลังจะออกไปเดินเล่นในตลาดซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้ามาอดไม่ได้ที่จะแวะไปทักทาย แสงไฟจะตะเกียงช่วยให้เห็นว่าคุณลุงเจ้าของเต็นท์กำลังนั่งผัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับไข่อยู่ในกระทะใบเล็ก ทั้งที่ใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่างแต่บะหมี่ของคุณลุงกลับส่งกลิ่นหอมชวนให้น้ำลายสอไม่น้อย
“ทำอาหารทานเองเลยเหรอครับคุณลุง” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้น
“ครับ ทานด้วยกันสิ”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับคุณลุง เดี๋ยวผมสองคนกำลังจะไปเดินเล่นในตลาดที่ขามาเราขับผ่าน คุณลุงอยากได้อะไรไหมครับ” ตฤณกรกล่าว
“ไม่ล่ะครับ นี่ภรรยากับลูกสาวเขาก็ไปเดินแล้วเหมือนกัน” คุณลุงกล่าวก่อนจะชะเง้อมองแสงจากไฟฉายเล็ก ๆ ที่กำลังใกล้เข้ามา “โน่นไง กลับมากันพอดีเลย”
“ที่ตลาดของกินเยอะมากเลยค่ะพ่อ” เสียงเจื้อยแจ้วของสาวน้อยนางหนึ่งดังขึ้นเมื่อเดินมาถึง
“แล้วแม่ล่ะ” ผู้เป็นพ่อถาม
“แม่ยังเดินอยู่เลยค่ะ พลอยเห็นไข่ปิ้งน่าทานก็เลยซื้อกลับมาให้พ่อก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยไปรับแม่ค่ะ” สาวน้อยกล่าวก่อนจะเหลือบมองชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสองคน
“เอ้อ..นี่ลูกสาวลุงเอง” คุณลุงหันมากล่าวกับสองหนุ่ม
“อ๋อ พี่สองคนที่ช่วยพ่อกางเต็นท์ใช่ไหมคะ” หญิงสาวยิ้ม “ชื่อพลอยค่ะ แล้วพี่สองคนชื่ออะไรคะ”
“พี่ชื่อตังครับ ส่วนพี่คนนี้ชื่อพี่จ้า” เจ้าของร่างสูงแนะนำ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่ตังพี่จ้า” หญิงสาวยิ้มหวาน
อาทิตย์ทัศน์และตฤณกรคุยกับพลอยชนกต่อสักพักจึงรู้ว่าเธอมีอาชีพเป็นมัณฑนากรในบริษัทแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ในขณะที่แม่เป็นเจ้าของโรงเรียนอนุบาลส่วนพ่อของเธอเป็นข้าราชการเกษียณอายุที่กลับไปใช้ชีวิตปั้นปลายอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานีซึ่งเป็นบ้านเกิด....
....
ตฤณกรมองดูคนตัวเล็กกว่าที่กำลังเดินพ่นลมออกจากปากเป็นระยะ ๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ ให้กับท่าทางเหมือนเด็กที่เพิ่งมีโอกาสได้สัมผัสอุณภูมิเลขตัวเดียวเป็นครั้งแรก
“จะเป็นมังกรพ่นไฟหรือไง”
“เป็นก็ดีสิ ผมจะพ่นไฟใส่คุณให้คุณเกรียมเลย”
“อะไรกัน ผมก็ขอโทษแล้วไงแถมอุตส่าห์กอดให้คุณหายหนาวอีก นี่คุณยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอ”
“แค้นเลยละ” อาทิตย์ทัศน์ตอบห้วน ๆ
....
ตฤณกรและอาทิตย์ทัศน์เดินไปตามถนนสายเล็ก ๆ ที่ขนาบข้างด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร เกสต์เฮ้าส์ และร้านขายชา การมาเดินเล่นในตลาดยามค่ำคืนเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้ว่าแม้จะไม่ใช่ช่วงเทศกาลหยุดยาว แต่ก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาเที่ยวที่ปางอุ๋งแห่งนี้...
“พี่จ้า พี่ตัง” เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้สองหนุ่มต้องหยุดเดินแล้วเหลียวกลับไปมองหาต้นเสียง
“น้องพลอย มาได้ยังไงครับ” ตฤณกรกล่าว
“พลอยมารับแม่ค่ะ แต่ว่ายังหากันไม่เจอเลย”
“พวกพี่ก็ยังไม่เคยเห็นคุณแม่น้องพลอยด้วยสิ ไม่อย่างนั้นจะได้ช่วยหา”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ตัง สงสัยแม่จะเดินกลับไปแล้ว” หญิงสาวยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นพลอยขอเดินไปกับพี่ตังพี่จ้าด้วยคนได้ไหมคะ”
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มก่อนจะกล่าว “ได้สิครับ”
....
“ทานไหมคุณ” ตฤณกรที่ถือไม้เสียบลูกชิ้นในมือเอ่ยขึ้นกับคนที่กำลังเพลินกับการถ่ายรูป
อาทิตย์ทัศน์พยักหน้าก่อนที่ริมฝีปากบางจะอ้าออกเพื่อรอลูกชิ้นที่คนตัวสูงจะจิ้มให้ แต่แล้วตาคู่สวยของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นตาแป๋ว ๆ ของสาวน้อยที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอกำลังมองมาที่เขาสองคนด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวับ
“เอ้อ ผมทานเอง” อาทิตย์ทัศน์ตัดบทก่อนจะคล้องสายกล้องถ่ายรูปที่คอของคนตัวสูงกว่าจากนั้นจึงดึงถุงใส่ลูกชิ้นมาจากมือของเขาก่อนจะจิ้มลูกชิ้นกินเงียบ ๆ