{{เรื่องสั้น}} อย่าลืมกรุงชิง , ตอนอวสาน (31-1-57)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {{เรื่องสั้น}} อย่าลืมกรุงชิง , ตอนอวสาน (31-1-57)  (อ่าน 15963 ครั้ง)

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





ทักทายทุกคนก่อน
ยังจำหนิงหน่องกันได้ไหมเอ่ย  :hao3:

ห่างหายไปจากการเขียนนิยายไปพักใหญ่ๆ (เหมือนจะใหญ่มากด้วย)

ไม่ว่าจะด้วยงานการใหม่ หรือจะอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้หายหน้าไป

แต่สุดท้าย ความคันมือ ก็ทำให้นึกถึงที่นี่ เลยตัดสินใจลองลงเรื่องสั้นเรื่องนี้พอให้หายคันมือเสียหน่อย

ยังไงก็ฝากติดตามผลงานเรื่องใหม่นี้กันด้วยนะครับ

 :L2:

____________

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
แม้จะมีการอ้างอิงถึงสถานที่จริง หรือบุคคลจริง
แต่ก็มีการดัดแปลงเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน
ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นสถานที่หรือบุคคลที่กล่าวถึงแต่อย่างใด

ด้วยความนับถือ
ลำนำบุหลันครวญ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2014 14:59:48 โดย ลำนำบุหลันครวญ »

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
กรุงชิงนี่คือน้ำตกใช่มั้ย

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
นครศรีธรรมราช พุทธศักราช 2519   

        รองเท้าทอปบูทคู่โตของวันชัยก้าวย่ำอย่างมั่นคงและระมัดระวังบนผืนดินชื้นน้ำค้างท่ามกลางฝืนป่าดิบชื้น ที่หลังของชายหนุ่มหอบหิ้วสัมภาระสำหรับเดินป่าใบใหญ่ วันชัยหายใจเข้าปอดลึกๆสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อเรียกพลังให้กับตัวเองในการเดินทางต่อไป

        สายหมอกจางๆทิ้งตัวไปทั่วบริเวณ อีกพักใหญ่ๆกว่าไอหมอกจะสลายตัวด้วยไอแดดอุ่นยามสาย ที่นี่อากาศไม่ได้ร้อนนักแม้จะล่วงเลยช่วงตะวันเหนือหัว หากแต่ความรกชัฏของผืนป่าทำให้น้อยคนนักที่จะเหยียบย่างเข้ามา แต่นั่นก็ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ที่เคยมีอยู่อย่างเดิมนั้นไม่ได้เสื่อมสลายไปตามการเป็นไปของการเวลา

          ชายหนุ่มหยิบเข็มทิศขึ้นมาดู เขาพยักหน้าให้ตัวเองช้าๆก่อนจะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ เขาก็มาถึงยอดเนินเขา เบื้องล่างยังมีไอหมอกจางๆเหลือให้เห็นทอดทับทิวทัศน์แนวแม่น้ำที่ไหลคดเคี้ยวไปตามแนวเขาเหมือนภาพเก่าๆที่ถูกฉาบทับด้วยหยากไย่เป็นแพ แต่ถึงอย่างนั้น ภาพตรงหน้าของวันชัยก็ยังดูงดงามในสายตาของเขา พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ฉาบทับบนใบหน้า

          กระเป๋าสัมภาระถูกปลดวางไว้ วันชัยเริ่มกางเต็นท์พักแรม เขาทำมันอย่างชำนิชำนาญโดยใช้เวลาไม่นานจนแล้วเสร็จ ชายหนุ่มนั่งลงบนผืนดินที่เริ่มแห้งขึ้นมาบ้างหลังจากที่ผืนดินนั้นเคยชุ่มแฉะด้วยน้ำค้างที่ชื้นเย็น ความสดชื่นนั้นส่งผ่านเข้ามาในร่างกายกอปรกับกับสีเขียวชอุ่มรอบตัวชายหนุ่มทำให้ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางนั้นอันตรธานหายไป 

          “คุณมาจากไหน”

          เสียงเอ่ยสำเนียงทองแดงดังขึ้นจากข้างหลัง เมื่อวันชัยหันไปมองก็พบกับผู้มาเยือนผิวคล้ำ เสื้อผ้าที่เขาสวมดูมอๆแต่ก็ดูสวมใส่สบาย หากหันมามองที่การแต่งกายของตัวเอง เขาจึงดูเป็นผู้มาเยือนต่างถิ่น เพราะมาดของเขาในตอนนี้เหมือนเป็นนักเดินป่าเสียมากกว่า ในขณะที่อีกคนนั้นเหมือนกับชาวบ้านนักหาของป่า
       
          “ผมมาจากกรุงเทพครับ”
          “เก่งนะ ที่ดั้นด้นมาได้ถึงที่นี่”
          รอยยิ้มมุมปากของอีกคนคล้ายจะยิ้มเยาะ ทำให้ผู้มาเยือนนึกสนุกที่จะต่อปากต่อคำด้วย
          “งั้นคุณก็คงเก่งกาจไม่น้อยกว่าผม ถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้”
          “ที่นี่เป็นบ้านของผม”
          คำเฉลยของชายชาวป่าทำให้วันชัยนึกคิดถึงความน่าจะเป็นของคำกล่าวนั้น บนเทือกเขาเหล็กแห่งนี้มีผู้อาศัยอยู่กลุ่มเล็กๆท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา
          “คุณเป็นชาวบ้านเขาเหล็กสินะ?”
          เขาไม่ตอบ ยักไหล่เป็นเชิงไม่ใส่ใจ แล้วก้าวเข้าไปหาช้าๆ ชายหนุ่มกอดอกอย่างภาคภูมิพลางกล่าวขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
          “ถ้ากลุ่มคนที่มาอยู่ก่อนและตั้งรกรากมาแต่โบราณหมายถึงเจ้าของดินแดนนั้นล่ะก็ คุณจะเรียกผมว่าเป็นผู้ครอบครองดินแดนแห่งนี้ก็ได้ ... แต่ความจริง ที่นี่ ธรรมชาติต่างหากที่เป็นเจ้าของ”
          “นั่นสิ คุณพูดถูก”
          ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันมามองหน้าของวันชัย
          “ชอบเดินป่าหรอ?”
          “ทำนองนั้นแหละครับ”
           “คงจะเดินป่าบ่อย ดูคุณชำนาญดี”
             “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นล่ะ”
             “ผมแอบดูอยู่สักพัก เห็นตอนคุณกางเต็นท์ ท่าทางทะมัดทะแมง”
             “อ้อ มีแอบดูกันด้วย” วันชัยเลิกคิ้วกวน
             “ก็บอกว่าที่นี่เป็นบ้านของผม คุณก็เหมือนแอบเข้ามาในสนามบ้านผมนั่นแหละ”
             “อ้อ ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขออนุญาตคุณเสียก่อนหรือเปล่าล่ะ”
             “ก็ไม่ถึงกับต้องขนาดนั้น” เขาว่า พลางพูดต่อ “นี่เข้ามาเที่ยวอย่างเดียว หรือมาล่าสัตว์ล่ะ”

             วันชัยแอบอมยิ้มกับท่าทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผืนป่าและความตรงไปตรงมาของชายหนุ่มแปลกหน้า ท่าทีของเขาทำให้ความไม่เป็นมิตรที่เกิดขึ้นในแรกเริ่มนั้นค่อยๆหายไป เหลือเพียงความรู้สึกนึกสนุกที่อยากจะต่อปากต่อคำด้วย

             “ไม่ต้องขออนุญาต แต่ผมก็ต้องถูกซักประวัติเหมือนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเลยนะเนี่ย”
             “คุณจะว่าผมซักไซ้คุณเกินไปงั้นสิ”
             “ก็ทำนองนั้น แต่ไม่ได้โกรธหรอก ... ผมมาเที่ยวอย่างเดียว อย่างที่เห็น ปืน ปลย. สักกระบอกผมก็ไม่ได้เอามา มีแต่ลูกซองเอาไว้ป้องกันตัวกับสปาต้า ถ้าแค่นี้คุณคงไม่กล่าวหาว่าผมมาล่าสัตว์ในถิ่นของคุณหรอกนะ”
          
             ฝ่ายตรงข้ามมองหัวจรดเท้าของผู้มาเยือน พลางถอนหายใจเหมือนโล่งอก
             “ผมเชื่อคุณ ... ว่าแต่คุณชื่ออะไร”
             “ผมชื่อวันชัย แล้วคุณล่ะ”
             “หนาน”
             “หนานงั้นหรอ?” วันชัยขมวดคิ้ว พลางนึกถึงภาษาเหนือจากที่เขาเคยไปเที่ยวแล้วได้ยินมา “คุณมาจากทางเหนือรึ?”
             “ผมเป็นคนที่นี่ คำว่าหนานในภาษาใต้แปลว่าแก่ง” เจ้าของชื่อเฉลย ส่วนวันชัยพยักหน้ารับรู้
          
             มิตรภาพของทั้งคู่ค่อยๆก่อตัวอย่างง่ายๆท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาและผืนป่า ความใสซื่อของธรรมชาติทำให้การสร้างความสัมพันธ์นั้นเป็นไปอย่างจริงใจ ว่ากันว่า มิตรภาพนั้นเกิดขึ้นง่ายดายกับคนที่ถูกชะตา แม้จะเป็นที่แปลกถิ่น ท้องที่อาศัยที่ห่างไกลและแตกต่าง แต่ในเวลานี้ ข้อจำกัดต่างๆก็ราวกับพันธนาการหลวมๆที่ค่อยๆคลายออก
       
             หนานหยุดคำถามและการสนทนาของเขาไว้เพียงเท่านั้น ครู่หนึ่งวันชัยจึงเดินไปหยิบสมุดออกจากกระเป๋าพลางคว้าเอากล้องถ่ายรูปมาจากเต๊นท์ที่พักมาวางข้างตัว เขาใช้ดินสอที่เหน็บที่กระเป๋าเสื้อออกมาหาจุดที่เหมาะสมที่เขาจะพอใจ โดยมีหนานนั่งห้อยขาอยู่ที่หน้าผาจ้องมองอยู่เงียบๆ

             เขาเลือกมุมที่มองเห็นลำน้ำคดเคี้ยวเบื้องล่าง ก่อนจะค่อยๆบรรจงจรดปลายดินสอลงบนสมุดเพื่อบันทึกทัศนวิสัยเบื้องล่าง สมาธิที่เขาตั้งใจจดจ่ออยู่กับการวาดภาพลงบนสมุดนั้นทำให้ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่เหมือนจะหายไปจากรอบตัวเขาชั่วเวลาหนึ่ง ก่อนที่ในการจรดบรรจงครั้งสุดท้ายของเขาคือการใช้ดินสอแรเงาจางๆแสดงถึงไอหมอกจางๆที่ทาบทับเมื่อยามสาย

             “คุณวาดรูปเก่งนะ”

             วันชัยรู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากที่เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หนานเลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อให้วันชัยได้ใช้สมาธิในการวาดรูปอย่างเต็มที่ เขาหันมาพบกับรอยยิ้มกว้างของชายชาวป่าที่ยิ้มให้กับเขาเป็นการชื่นชมในฝีมือ
             “ครับ ผมชอบเข้าป่ามาวาดรูปทิวทัศน์ รูปนก รูปดอกไม้ ตามประสา”
             “ดูคุณเป็นคนมีเวลาว่างเหลือเฟือนะ คุณวันชัย”
             “ไม่เลยครับ ผมออกจะเป็นคนไม่ค่อยมีเวลาเสียด้วยซ้ำ แต่เวลาได้หยุดพักผ่อนทีหนึ่งก็ได้หยุดยาวเป็นเดือน พอมีเวลาว่างๆแบบนี้ ผมก็เลยชอบที่จะเข้าป่า มาทำในสิ่งที่ผมรัก”
             “รักที่จะเที่ยวป่ามากกว่าเมียอีกรึ?” หนานเอ่ยแซวพลางหัวเราะคิกคัก
             “ถ้ามีเมียก็คงรักเมียมากกว่า แต่ตอนนี้ไม่มี เลยรักการเที่ยวป่ามากกว่า” วันชัยตอบพลางยักคิ้วคืน
             “แล้วครั้งนี้ คุณกะจะมาเที่ยวสักกี่วันกัน”
             “ถ้าตามที่วางแผนเอาไว้ก็ราวๆเจ็ดวัน สนใจอยากเป็นพรานไพรนำทางให้ผมไหมล่ะ?”
             “เดี๋ยวก่อนนะ นี่เราเพิ่งจะรู้จักชื่อกันเมื่อสักครู่นะ?” หนานกล่าวท้วง หากแต่วันชัยก็ไม่ได้ใส่ใจ
             “การที่ผมจะขอร้องใครสักคน จำเป็นที่ผมจะต้องรู้จักเขามานานหรอครับ”
             “ก็ใช่น่ะสิ คนกรุงเทพเขาไหว้วานใครกันง่ายๆแบบนี้รึไง”
          
           ท่าทางเหรอหราของหนานทำให้ชายหนุ่มนึกอมยิ้มในใจอีกครั้ง ถึงเขาจะพูดถูกว่าการชักชวนให้หนานมาเป็นคนนำเที่ยวให้เขามันจะดูง่ายดาย และก็ไม่แปลกหากเขาจะรู้สึกไม่ไว้ใจคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน หากแต่วันชัยเองก็บริสุทธิ์ใจพอกับที่เขามั่นใจว่าตัวหนานเองก็เป็นคนที่ไม่มีพิษมีภัย และเขาเองก็เพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก แม้จะพอมีแผนที่อยู่ในมือแต่มีคนพื้นที่อยู่ด้วยก็ดูอุ่นใจกว่า เขาไพล่คิดไปเสียด้วยซ้ำว่า เขาควรจะไหว้วานเป็นค่าจ้างนำทางหรือเปล่า แต่เขาก็เลือกจะเก็บเอาไว้ในใจเพราะอาจเป็นการดูถูกหนานก็เป็นได้

             “ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก แต่กับคุณ ผมว่าผมเชื่อใจคุณได้ และได้เที่ยวกับคุณน่าจะทำให้การเดินทางครั้งนี้สนุกขึ้นกว่าที่ผมจะคลำทางไปตามแผนที่เอง”
             หนานจ้องมองตาของชายต่างถิ่น เขาเลิกคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อ
             “คืนนี้คุณจะพักแรมที่นี่หรือเปล่า?”
             “ใช่”
             “งั้น ก็รออยู่ที่นี่แหละ ถ้าตกลง พรุ่งนี้จะมาหาเอง”
             เขาบอก พลางหันหลังเดินกลับ
             “เดี๋ยวก่อนสิ จะกลับแล้วรึหนาน”
             “แล้วทำไมผมต้องอยู่ต่อล่ะ?”
             “ก็..” เขาจนคำพูด เขาไม่รู้ว่าเขาจะเหนี่ยวรั้งหนานไว้ทำไม หากหาถึงสาเหตุ อาจเป็นเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเดินป่า แล้วมาเจอกับเพื่อนร่วมทางถูกใจที่กลางป่าแบบนี้ ลึกๆแล้วแม้เขาจะมาหาความสงบด้วยการเดินทางเพียงลำพัง แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธความเดียวดายของชีวิตตัวคนเดียวดังที่ผ่านมา

             หนานยืนนิ่งรอคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ว่าอะไรต่อ เขาจึงโบกมือลาอีกครั้ง
             “พรุ่งนี้จะมาหา ไปไม่ไปอีกเรื่องหนึ่ง”
             “งั้นผมจะรอนะ”

.....

             ความหนาวเย็นของอากาศปลุกวันชัยให้ตื่นแต่เช้า เขาออกมาจากเต็นท์พบเจอกับมวลหมอกที่ปกคลุมทั่วบริเวณ ชายหนุ่มคว้าไฟฉายออกมาส่องหากองฟืนที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อจุดไฟให้ความอบอุ่นและเอาไว้สำหรับหุงหาอาหารมื้อเช้า ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้การใช้ชีวิตในป่าเช่นนี้ไม่ได้ยากเย็นเกินไป ไม่นานนัก น้ำก็เดือดและข้าวสวยจากหม้อสนามก็เริ่มเดือดปุด

             เขารินน้ำร้อนใส่ฝากระติกน้ำสเตนเลสพลางชงกาแฟดื่มเรียกความสดชื่นให้ตัวเอง ระหว่างที่รอให้ข้าวสุกได้ที่นั้น เขาครุ่นคิดถึงคำตอบและการมาถึงของหนานที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ แม้เมื่อคืนที่เขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเขาก็เผลอนึกถึง แม้จะเพียงชั่วความคิดหนึ่งในขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับความงดงามบนท้องฟ้า หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขาคิด

             ข้าวสวยที่วันชัยหุงไว้เริ่มสุกได้ที่ ชายหนุ่มนำหม้อข้าวสนามออกจากคานไม้เส้าก่อนจะเปิดฝาอย่างระมัดระวังแล้วทิ้งไว้สักครู่เพื่อคลายความร้อนสักหน่อย กลิ่นข้าวหุงสุกใหม่ๆโชยคลุ้ง ทำให้เขาลืมเรื่องวุ่นวนในหัวไปครู่หนึ่ง หากแต่สิ่งที่หยุดได้ชะงัดนักกลับเป็นเสียงคุ้นหูที่ดังขึ้น

             “นี่ผมคงเป็นห่วงเก้อสินะ”

             วันชัยหันไปตามเสียง เขาจึงยิ้มกว้าง เมื่อเห็นชายชาวป่าผิวคล้ำยืนกอดอกพิงต้นไม้อยู่ ในมือของเขามีกระบอกไม้ไผ่กับห่อสีเขียวๆสองห่อที่น่าจะทำจากใบไม้ของพืชท้องถิ่น ส่วนที่ไหล่อีกข้างสะพายย่ามขนาดกำลังดีอยู่หนึ่งใบ

             “เป็นห่วง?”
             “ก็รู้แหละว่าเข้าป่าบ่อย แต่ก็นะ ... กลัวจะไม่มีปัญญาหุงหาอาหาร ก็เลย...”
             เมื่อหนานเฉลย วันชัยจึงรู้ว่าห่อดังกล่าวน่าจะเป็นห่ออาหารที่นำมาให้ตน   
             “ผมดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว แต่คุณไม่ได้เป็นห่วงเก้อหรอก ความปรารถนาดีไม่ใช่สิ่งที่จะมอบให้แล้วสูญเปล่า” เขาบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง “เราเก็บไว้เป็นเสบียงกลางทางก็ได้ คุณกินข้าวมาหรือยัง ถ้ายังก็กินกับผมดีกว่า นี่ผมเพิ่งหุงข้าวเสร็จใหม่ๆเลย”
             “เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะไปกับคุณ”
             “แต่ผมหวังให้คุณไปด้วยกันนี่”
             “การมัดมือชกไม่ได้จะทำให้ผมเปลี่ยนใจหรอกนะ”
             “งั้นแสดงว่า คุณไม่ตกลงสินะครับ”
             สีหน้าของวันชัยสลดลงเล็กน้อยเมื่อสิ่งที่เขาครุ่นคิดมาตลอดคืนไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มขึ้นมาได้ใหม่
             “ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” หนานยักไหล่ “ไปคิดมาแล้วคืนหนึ่ง นึกสงสาร...แล้วก็เป็นห่วงอยู่นิดหนึ่ง ก็เลยคิดว่า จะเข้าไปหาของป่าไปขายในเมืองสักหน่อยก็ดี”
             “งั้นแสดงว่าตกลง?”
             “ก็ทำนองนั้น”

             วันชัยไม่กล้าบอกตรงๆว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ได้หนานมาร่วมทางกับเขาครั้งนี้ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีเพื่อร่วมเดินทางครั้งนี้ แต่เขาก็ยอมรับว่าเขาดีใจและอุ่นใจ

             หนานเดินเข้าไปใกล้หม้อหุงข้าวสนามที่เปิดวางไว้ พลางสอดส่ายสายตามองหากับข้าวที่ไม่ได้วางอยู่ด้วย จึงเอ่ยถามขึ้น
             “แล้วนี่ชวนกินข้าวกับอะไร เห็นมีแต่ข้าวเปล่าๆ”
             “ก็จำพวกอาหารกระป่อง เอามาเท่าที่พอจะหอบไหว ผมกะเอาไว้ให้พออยู่ได้สักสี่ห้าวัน เพราะปกติถ้าผมมาเดินป่าแบบนี้บางทีผมก็หาของป่ากินเอา สะดวกกว่าที่จะหิ้วอาหารกระป๋องมาหนักๆ หวังว่าคุณจะกินได้นะ”
             “ผมมันชาวป่า ไม่ใช่คนกินยากหรอก”
             “งั้นรอผมเดี๋ยว เดี๋ยวจัดการให้ เป็นการตอบแทนที่ช่วยเป็นคนนำทางให้”

             หนานพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินไปนั่งห้อยขาที่ริมผาที่เดิมที่เขาเคยมานั่งเมื่อตอนพบเจอกับวันชัยครั้งแรก ฝ่ายวันชัยนั้นก็รีบกุลีกุจอแบ่งข้าวเป็นสองส่วนเท่าๆกัน พลางเปิดอาหารกระป๋องสองสามกระป๋อง ยกไปวางที่ริมผาข้างๆหนาน

             “อะ นี่ช้อน ส่วนผมกินมือเอง”

             วันชัยยื่นช้อนซึ่งมีเพียงคันเดียวให้กับหนาน เนื่องจากเขาไม่ได้คาดว่าจะมีเพื่อนร่วมทางในครั้งนี้จึงไม่ได้เอามาเผื่อใคร ฝ่ายหนานนั้นเผลออมยิ้มพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะรับช้อนมาแล้วเอาวางไว้ที่กระป๋องอาหาร

             “ผมกินมือได้เหมือนกัน เอางี้ ใช้เป็นช้อนกลางแล้วกันจะได้ไม่ต้องใช้มือหยิบกับข้าว”
             “เอ่อ .. นั่นสินะ” เขาเกาหัวแก้เก้อเมื่อรู้ตัวว่าเผลอทำเปิ่นใส่ชาวป่าเสียแล้ว

             มื้อเช้าริมหน้าผาเริ่มขึ้นเงียบๆ ทิวทัศน์เบื้องล่างเองก็ยังงดงามไม่เปลี่ยนเหมือนอย่างที่วันชัยได้พบเห็นเมื่อวาน หากแต่วันนี้เขากลับเลือกที่จะแอบมองหนานจากด้านข้าง ผิวหน้าสีเข้มคล้ำของหนานนั้นแสดงถึงความเป็นคนพื้นที่อย่างชัดเจน ดวงตาของหนานเองก็คมโต ยิ่งมองด้านข้างยิ่งสังเกตเห็นขนตาที่เป็นแพยาวอยู่บนใบหน้าที่เรียวได้รูป หากใช้คำเรียกแบบภาษากลาง ก็คงต้องบอกว่า หนานนั้นเป็นชายหนุ่มที่หล่อคมเข้มคนหนึ่ง

             “เอ่อ ... หนาน คุณดื่มกาแฟเป็นไหม?”
             เจ้าของชื่อหันมามอง เลิกคิ้วเล็กน้อย
             “ก็ ... เป็นนะ”
             “เอ่อ จะดื่มกาแฟด้วยไหม ... แต่ แย่จัง ปกติผมกินแต่กาแฟดำ ไม่รู้จะกินเป็นหรือเปล่า”

             หนานฉีกยิ้มเล็กน้อยทำให้ดวงตาคมเข็มนั้นหรี่เล็กลงเล็กน้อย
             “ผมกินได้นะกาแฟดำน่ะ แต่ไม่เอาดีกว่า”
             เมื่อหนานปฏิเสธ ทั้งคู่จึงต่างกินข้าวกันเงียบๆอีกครั้ง และเป็นผ่านวันชัยที่ชวนคุยใหม่
             “อาหารกระป๋องพวกนี้ หากไปกินที่พื้นล่าง ก็คงรสชาติดาษๆ แต่พอได้มากินบนยอดเขา กินไปมองวิวไปแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามันอร่อยสุดไปเลย คุณว่าไหม?”
             “สำหรับคนกรุงเทพอย่างคุณก็อาจจะใช่” เขาตอบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย “แต่สำหรับผม ... ที่นี่คือบ้านของผม ไม่ว่าอาหารหรูเลิศพร้อมบรรยากาศอย่างไร ก็ไม่อร่อยเท่ากับมื้อที่เราได้กินกันพร้อมหน้ากับพวกพ้อง”

             วันชัยพยักหน้ารับฟังก่อนจะตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เขาวางฝาใส่ข้าวลงบนพื้นพลางเอามือเท้าไปด้านหลัง ชายหนุ่มลูบพุงช้าๆเป็นการบอกว่าอิ่มแล้วแบบเด็กๆ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งยกแก้วกาแฟที่วางอยู่ข้างๆขึ้นจิบ

             “เอาเป็นว่า ผมอยากบอกคุณแล้วกันว่ามื้อนี้เป็นมื้อเช้าที่พิเศษสุดๆมื้อหนึ่งของผม”
             “ในเมื่อคุณอยากบอก ... ผมก็จะรับฟังไว้ก็แล้วกัน” หนานตอบพลางวางฝาใส่ข้าวที่ว่างเปล่าลง
             “ก็ยังดีนะที่ยินดีรับฟังผม”
             “อย่ามัวต่อปากต่อคำกันเลย รีบไปเก็บข้าวของซะเถอะ จะได้รีบไปกัน”
             “แล้วปลายทางของวันนี้ เราจะไปที่ไหนกันล่ะ?”
             “อืม...” หนานทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวขึ้น “เอาเป็น น้ำตกเขานันแล้วกัน”   
             “เอาไงเอากัน ตามที่คุณเห็นว่าดีเลยหนาน”
   

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2545
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
โถ คุณพี่มาอัพตอนน้องยุ่ง ๆ งั้นแปะต้อนรับเรื่องใหม่ก่อน เดี๊ยวเครียร์งานแล้วจะรีบมาอ่านนะครับ

ต้อนรับเรื่องใหม่  :mc4:

...

เอ๋ พบรักกลางป่าหรือเปล่านะ :hao3:

คงต้องรอรุ่นกันต่อไปและเหมือนได้เที่ยวป่าด้วยเลย  :laugh:

รอตอนต่อไปครับ  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2013 01:27:37 โดย NewYearzz »

ออฟไลน์ dragonassist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
น่าสนใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


 :L2:

ติดตามๆ



ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ 2
       
          เส้นทางการเดินป่าของทั้งคู่นั้นเขียวครึ้มไปด้วยพันธ์ไม้ท้องถิ่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไม้ยืนต้นไปจนกระทั่งไม้เลื้อย แสงแดดมีส่องกระทบลอดร่มไม้ลงมาพอให้รู้สึกอบอุ่นอยู่บ้าง ทั้งหนานและวันชัยเดินทางไปอย่างไม่เร่งรีบนักพอให้วันชัยได้เวลาในการเก็บภาพพันธ์ไม้รายทางมา

          “เหนื่อยหรือยัง?” หนานเอ่ยถามขึ้นเมื่อทั้งคู่ต่างเดินทางจนเวลาล่วงเลยตะวันเลยหัว
          “ยังหรอก” วันชัยตอบ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา “เอ... แต่นี่มันก็เที่ยงกว่าแล้วนี่ หรือคุณหิวแล้วล่ะ จะพักกินข้าวกันก่อน อีกไกลไหมล่ะกว่าจะถึงน้ำตกเขานันที่ว่า”
          “ก็ไม่ไกลมากสำหรับผม ประมาณเกือบสิบกิโลได้”  หนานตอบ สำหรับเขาระยะทางเท่านี้ไม่ถือว่าไกลมาก แต่สำหรับคนเมืองที่ไม่คุ้นชินเส้นทางในป่าอาจจะไกลโขก็ได้ ถึงแม้ว่าวันชัยจะดูไม่ใช่คนที่อ่อนแอขนาดนั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่
          “งั้นก็ถือว่าไม่ไกลสำหรับผมเหมือนกัน เราแวะพักกินข้าวก่อนก็ได้แล้วค่อยเดินทางต่อรวดเดียว”
       
          หนานและวันชัยพากันมานั่งที่โคนไม้ใหญ่ รากของมันใหญ่ขนาดเท่าต้นขา อีกทั้งร่มเงานั้นก็แผ่กิ่งก้านสาขาตระหง่าน ทั้งคู่เลือกที่นี่เป็นจุดพักกลางทาง หนานหยิบเอาห่อข้าวที่นำมาตั้งแต่เช้าหยิบให้กับวันชัยห่อหนึ่ง แล้วแกะอีกห่อของตน
          “ท่าทางน่ากินเหมือนกันนะ”
          ข้างในห่อนั้นมีข้าวสวยผัดกับเนื้อสัตว์ที่หันซอยเล็กๆกับเม็ดรีๆสีเขียว ปริมาณกำลังพอดีอิ่ม นาทีแรกที่เขาเห็นเขานึกไปถึงเม็ดสะตอผัดกับเนื้อไก่ 
          “อาหารแบบชาวป่าน่ะ คุณวันชัย”
          “นี่เรียกว่าอะไรรึ?”
          “คุณอย่ารู้เลยดีกว่าว่ามันคืออะไร เอาเป็นว่า รสชาติมันไม่ได้แย่นักหรอก” หนานบอกพลางอมยิ้ม
          “ผมไม่ใช่คนกินยากนะ” เขาตอบพลางหยิบข้าวในมือเข้าปาก “บอกหน่อยน่า ผมอยากรู้ว่านี้มันคืออะไร”
          “บอกแล้วห้ามอ้วกทิ้งนะ เสียดายของ ไอ้เนี่ย...” เขาเฉลยพลางชี้ไปยังอาหารในห่อที่อยู่ในมือ “แลนผัดลูกเหรียง”
          “แลน?” วันชัยค่อยนึกภาพตามถึงตอนที่เขายังเรียนอยู่ “ไอ้ตัวที่คล้ายตัว... เอ่อ ตัวเงินตัวทองน่ะนะ?”
          “ก็ทำนองนั้น เป็นไง ... รู้แล้วรู้สึกอร่อยขึ้นมาไหม”
          “ตกใจนิดหน่อย เคยได้ยินมาว่าไอ้ตัวนี้มันกินได้ แต่ไม่เคยได้มากินจริงๆ ... ต้องนับว่าเป็นบุญลิ้นนะเนี่ย”

          ท่าทีของวันชัยทำให้หนานแปลกใจ เขาดูไม่เหมือนคนกรุงเทพในความคิดของเขาเลยสักนิด สำหรับเขา คนกรุงเทพคือคนที่หยิบหย่ง ไม่เป็นโล้เป็นพาย และรักความสะดวกสบาย หากแต่คนตรงหน้านั้น กลับตรงข้ามไปเสียทุกสิ่ง และเพราะทั้งหมดที่เขาเป็น จึงเป็นสิ่งที่เขาเลือกที่จะเดินทางมาด้วย
          “คุณดูไม่เหมือนคนกรุงเทพที่ผมเคยได้ยิน”
          “คนกรุงเทพควรจะเป็นยังไงล่ะ?”
          “ก็ ... ติดหรู รักสบาย”
          “งั้นผมก็ไม่ใช่แบบนั้น” เขาบอก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณล่ะหนาน เกิดและโตที่นี่เลยหรือเปล่า”
          “ใช่ ผมเกิดและโตที่นี่”
          “ถ้างั้น คุณก็เป็นเหมือนชาวป่าในหัวผม หวงแหน และรักถิ่นเกิดมาก”
          “เราถูกสอนมาให้คิดเช่นนั้น ... เอาล่ะ ผมว่าเราน่าจะพักกันมาพอแล้ว เดินทางกันต่อเถอะ”
          หนานตัดบท ก่อนจะคว้าเอาย่ามคู่ใจเดินทางต่อ โดยมีวันชัยเดินตามไป
.....

          เส้นทางการเดินทางไปยังน้ำตกเขานันนั้นคดเคี้ยวอยู่พอสมควร อีกทั้งยังมีหมอกจางๆอยู่ทั่วบริเวณแม้เวลาจะล่วงเลยบ่ายคล้อยแล้วก็ตาม
          “คิดถูกจริงๆที่มาที่นี่ เป็นจริงอย่างที่เขาว่า ป่าหมอกแห่งเทือกเขาเหล็ก” วันชัยกล่าวขึ้นระหว่างที่ถ่ายรูปธรรมชาติรอบตัว
          “ที่นี่มีหมอกแทบจะตลอดทั้งวัน” หนานตอบโดยไม่หันมามองหรือหยุดเดินต่อ
          “ครับ คำร่ำลือนี้ล่ะที่ทำให้ผมมาที่นี่ ทางวิทยาศาสตร์ หมอกพวกนี้เกิดจากการคายน้ำของพันธ์ไม้จำพวกมอสหรือปาล์ม ทำให้เกิดการกลั่นตัวและควบแน่นวนเวียนเป็นวัฏจักร เลยเกิดเป็นป่าหมอกอย่างที่เห็นนี่ล่ะ ไม่ได้หาดูกันง่ายๆนะ”
          “สำหรับพวกเรา มันเป็นสิ่งที่เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ”

          เมื่อเดินทางกันได้สักพัก ทั้งคู่ก็เริ่มได้ยินเสียงเซ็นซ่านของสายน้ำที่ตกกระทบโขดหินเป็นสายมาจากที่ไกลๆ นั่นจึงทำให้ทั้งหนานและวันชัยเร่งเดินทางต่อเพราะเป็นสัญญาณว่า ปลายทางข้างหน้าอีกไม่ไกลนั้นกำลังจะมาถึง
          “ผมได้ยินเสียงน้ำตกแล้ว ข้างหน้านี้ใช่ไหม น้ำตกเขานัน”
          “อื้ม ใช่”

          น้ำตกตรงหน้าเป็นน้ำตกขนาดเล็ก ความสูงพอสมควรแต่มีแค่ชั้นเดียว มีชะง่อนหินลดหลั่นลงมาเป็นทางให้น้ำไหลผ่านลงสู่แก่งเบื้องล่างซึ่งเป็นต้นน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำสายสำคัญของท่าศาลา
ทั้งสองคนวางสัมภาระแล้ววักน้ำขึ้นมาลูกน้ำตนเองเพื่อชำระล้างความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง วันชัยกางแขนกว้างพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ในขณะที่ผู้นำทางมองเขาเงียบๆ
       “สดชื่นจัง”
       “น้ำตกนี่เป็นน้ำตกเล็กๆ ไม่ได้สวยงามเท่าไหร่ แต่ที่พามาที่นี่ก่อนเพราะมันไม่ไกลจากเนินเขาเหล็กที่เราเดินทางมาตอนแรก แล้วก็ระหว่างทางนั้นมีพันธ์ไม้แล้วก็นกป่าแปลกที่คุณน่าจะไม่เคยเห็น”
       “แต่สำหรับผม ผมว่ามันก็สวยดีนะครับ ให้อารมณ์เหมือนน้ำตกที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบ มีเราสองคนเป็นผู้มาพบเป็นครั้งแรก”
       “คนกรุงเทพนี่ชอบพูดจาเสียใหญ่โต” หนานแค่นหัวเราะ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “คุณจะใช้เวลาเที่ยวที่นี่กี่วัน”
       “ประมาณเจ็ดวัน คุณจะอยู่กับผมทั้งหกวันที่เหลือเลยไหม?”
       “ก็ได้แหละ” หนานตอบง่ายๆ
       “ขอบคุณมากๆ”
       “ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณอะไรหรอก ก็อย่างที่บอกว่าผมถือโอกาสมาหาของป่าด้วย ... เอาล่ะ ผมขอตัวไปทำงานของผมบ้าง คุณก็รอผมอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวจะหาอะไรมาให้กินด้วย”
       “งาน?” วันชัยขมวดคิ้ว
       “ก็หาของป่าน่ะสิ วันนี้คงหาอะไรไม่ได้มากหรอก อาจจะได้แค่หาอะไรกินกันแค่นั้น”
       “ให้ผมไปช่วยไหม”
       “ไม่ต้อง คุณแค่กางเต็นท์กับเตรียมฟืนสำหรับคืนนี้ก็พอ”

       วันชัยหยุดการรบเร้าไว้แต่เพียงเท่านั้น และตกลงทำตามที่หนานบอก เสียงซ่านเซ็นของสายน้ำที่กระทบแก่งหินทำให้เขาเอนตัวลงนอนพร้อมกับสูดกลิ่นไอดินอย่างสงบ เสียงสายลมที่พัดประสานก็ทำให้เขาสงบเช่นเดียวกัน เขาหลับตาลงช้าๆหลังจากที่ทำภารกิจที่จำเป็นทั้งหมดเสร็จเพื่อฟังเสียงรอบๆตัว

       ท่ามกลางสงบของอ้อมกอดแห่งธรรมชาติ ชายหนุ่มถอนหายใจช้าๆ ด้วยหน้าที่การงานทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต แม้เขาจะเลือกทางเดินสายนี้ด้วยอุดมการณ์ แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงจุดๆหนึ่ง เขารู้สึกว่าเขาเหน็ดเหนื่อยเกินไปที่จะเยียวยาตัวเอง

       เขาถูกสอนมาให้เชี่ยวชาญการสู้รบ การช่วยเหลือตัวเอง และการเทิดทูนองค์ราชาด้วยชีพ ชีวิตของเขาจะมีค่านักหากต้องสละมันเพื่อชาติ ทุกวันนี้ เขาก็ยังคิดเช่นนั้น หากแต่เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อย และไม่เข้าใจ ... ทำไมมนุษย์ต้องเกลียดชังกัน ทำไมมนุษย์ไม่อยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่ เป็นเพียงคำถามที่เขาเคยถามตัวเองและเลือกที่จะไม่หาคำตอบ หากโลกในอุดมคติเช่นนั้นมีจริง ก็คงไม่จำเป็นต้องมีเขา

.....

       วันชัยสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นหอมๆของปลาเผา ที่กองไฟนั้นมีหนานมองหน้าเขาเงียบๆอยู่พร้อมกับที่มีปลาเสียบไม้อยู่บนกองไฟ
       “ให้ตายสิ ผมไม่เคยหลับไม่รู้ตัวขนาดนี้ เสียชื่อจริงๆ”
       “เสียชื่องั้นหรือ?” หนานทำหน้าแปลกใจ
       “ก็ทำนองนั้น ปกติแค่เสียงฝีเท้าคนในระยะร้อยเมตร ผมก็รู้สึกตัวแล้ว”
       “โอ้ ... ชีวิตของคุณดูต้องอยู่บนความระมัดระวังนะ”
       “ก็ทำนองนั้นแหละครับ”
       “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า คุณคงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมากๆ ไม่ก็ที่นี่ทำให้คุณรู้สึกสงบอย่างแท้จริง”

       วันชัยรู้สึกเห็นด้วยกับความเห็นของหนานส่วนหนึ่งในสาเหตุหลัง หากแต่เขายังรู้สึกว่า เขายังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขนาดนี้ เขาไม่กล้าบอกแก่หนานหรือแม้กระทั่งยอมรับกับตัวเองได้เต็มปาก ว่าการที่เขามากับชายคนนี้คืออีกส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ
       “แถวนี้ผมพอจะมองเห็นดวงดาวหรือเปล่า” วันชัยเอ่ยถามขึ้น
       “ก็น่าจะนะ คืนนี้ข้างแรมเสียด้วย ถ้าโชคดีฟ้าไม่ค่อยมีเมฆก็คงมีดาวให้เห็น”
       “ผมภาวนาให้คืนนี้ฟ้าไม่มีเมฆแล้วกัน คืนนี้จะได้มองเห็นดาว”
       “เอาเถอะ ผมจะเอาใจช่วย” หนานเบ้ปากพร้อมทั้งยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่
       “ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้น ผมเองอันที่จริงก็ได้เห็นดาวสวยๆกับเขาบ่อยอยู่ แต่ไม่บ่อยนักที่ผมจะได้นั่งมองดาวอย่างไม่ต้องระแวดระวังอันตราย”
       “อยู่ที่นี่คุณก็ต้องระวัง เพราะที่นี่คือในป่า ไม่ใช่ในเมืองที่คุณจากมา”
       วันชัยทำได้แค่ยิ้ม ...
       “พรุ่งนี้เราจะไปที่ไหนกันต่อ”
       “ผมว่าจะพาคุณไปที่ยอดเขานัน ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ คุณเคยเห็นทะเลหมอกไหม?”
       “เคยครับ ผมเคยไปทางเหนือมา ทะเลหมอกที่นั่นสวยมาก ที่มาที่นี่เพราะผมเองก็ตั้งใจจะมาพิสูจน์คำร่ำลือ ว่าทางใต้เองก็มีทะเลหมอก”
          “คุณคงเคยไปไหนต่อไหนมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ”
          “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่แทบจะทุกครั้ง ผมไปคนเดียว เพราะอย่างนั้นครั้งนี้จึงพิเศษกว่าเพราะผมมีเพื่อนร่วมเดินทาง” วันชัยกล่าวขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มกว้าง ก่อนจะชวนหนานคุยเรื่องอื่น “แล้วคุณเคยออกไปนอกเขตป่าบ้างไหม?”
          “เคยเข้าไปที่ท่าศาลาบ้าง เวลาเอาของป่าไปขาย แต่ไม่บ่อยหรอก”
          “แสดงว่าขายครั้งหนึ่งก็ได้เงินเยอะอยู่” วันชัยถามพร้อมกับเอนหลังกอดอกพิงโขดหิน
          “เปล่าเลย ไม่ได้มากมายอะไร ส่วนใหญ่ได้มาก็ฝากเก็บไว้ที่ธนาคารในเมืองนั่นแหละ อยู่ในป่าไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ส่วนใหญ่ก็ไปพอได้แก้เบื่อ พอเอาไว้หาหมอในเมืองซื้อยาฝรั่งมากินบ้าง พวกควินินน่ะ เวลาใครโดนไข้ป่ากินแต่ละทีพวกยาสมุนไพรก็เอาไม่อยู่”

          วันชัยอ้าปากจะชวนคุยต่อแต่ก็ถูกหนานห้ามไว้
          “ถ้ายังจ้อไม่จบ ปลาที่ปิ้งไว้ให้คงไหม้หมดแน่ กินซะก่อนค่อยมาคุยกันต่อ”
          ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะแหะๆแก้เขินเมื่อรู้สึกตัวว่าทำตัวช่างสงสัยเกินเหตุ เขาทำตามที่หนานบอกแล้วนั่งแทะปลาย่างเงียบๆท่ามกลางดวงตะวันที่ค่อยเลื่อนลับขอบเขา

....

          เสียงปะทุของกองฟืนทำให้ค่ำคืนกลางป่าใหญ่นั้นไม่เงียบจนเกินไปนัก วันชัยนั่งพิงต้นไม้พลางแหงนหน้ามองดาวด้วยความรู้สึกสงบ นกกลางคืนจำพวกนกฮูกร้องหวีดแว่วมาไกลๆพอให้เขาได้เงี่ยหูฟัง ในขณะที่ฝ่ายหนานเองก็นั่งครุ่นคิดอะไรอยู่เงียบๆเช่นกัน
          “หนาน คุณดูดาวเป็นหรือเปล่า” วันชัยชวนคุย
          “ผมไม่ค่อยรู้เรื่องดวงดาวเท่าไหร่ แต่พวกพ้องของผมบางคนก็ดูเป็น เพราะบางคนก็มาจากครอบครัวชาวเล”
          วันชัยไม่ได้สนใจเรื่องราวความเป็นมาของพวกพ้องที่หนานว่า เขารู้สึกว่าเขาพอจะมีความรู้เรื่องการเอาตัวรอดในป่าเหนือกว่าหนานก็เรื่องนี้
          “ถ้าหัดดูดาวใหม่ๆ ให้ง่ายก็ต้องนี่ ดาวคันไถ คุณเห็นดาวที่เรียงกันสามดวงตรงนั้นไหม นั่นล่ะกลุ่มดาวคันไถ ส่วนดาวห้าดวงที่ล้อมรอบกลุ่มดาวคันไถ นั่นคือกลุ่มดาวเต่า”
          “คนที่คิดชื่อดาวนั่นดาวนี่คงจะต้องเป็นพวกว่างนั่งจินตนาการเรื่อยเปื่อยดีนะ” หนานกล่าวด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม
          “ก็ไม่ได้เรื่อยเปื่อยเสียทีเดียว คุณลองดูกลุ่มดาวตรงนั้น” วันชัยว่าพลางชี้ให้หนานดู “นั่นเรียกว่ากลุ่มดาวจระเข้ บางทีก็เรียกว่าดาวเหนือ เอาไว้บอกทิศตอนกลางคืนเพราะกลุ่มดาวจระเข้จะอยู่ทางทิศเหนือเสมอ”
          “งั้นรึ? ... แล้วสำหรับคุณ คุณดูดาวเพื่ออะไรล่ะ เพื่อจินตนาการเรื่อยเปื่อยหรือไว้เพื่อเป็นเข็มทิศนำทาง”

          วันชัยละสายตาจากท้องฟ้าพลางเลิกคิ้วครุ่นคิด
          “ถ้าปกติ ผมคงดูดาวเพื่อนำทาง แต่สำหรับวันนี้ ผมนั่งมองดาวเหมือนเสพงานศิลปะชิ้นหนึ่ง”
          หนานมองหน้าผู้มาเยือนแล้วยิ้มมุมปาก เขามองว่าวันชัยเห็นที่นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ น่าตื่นตาตื่นใจแค่ชั่วครั้งชั่วคราวที่ได้พบเห็น เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็อาจจะเพียงแค่จดจำได้ว่าเขาเคยมานั่งชมดาวอยู่ที่นี่
          “อีกหน่อยคุณก็ลืมที่นี่แล้ว ขนาดคนที่นี่บางคน พอนั่งรถเลยท่าศาลาไป ก็ทำท่าจะจำไม่ได้ว่าเคยเป็นคนที่นี่”
          “แล้วผมจะยืนยันกับคุณได้อย่างไรว่าผมประทับใจที่นี่มากแค่ไหน”
          วันชัยเลิกคิ้วและส่งยิ้มเปิดเผยให้แก่หนาน เขาหวังให้ชายชาวป่าได้รับรู้ถึงความประทับใจทั้งหมดภายในใจที่เขารู้สึก    
          “เอ่อ... ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก ผมเองก็ไม่ใส่ใจว่าคุณจะรู้สึกยังไงกับที่นี่หรอก”
          “แต่ผมอยากให้คุณใส่ใจนะ...”
       
          คำพูดของวันชัยทำให้หนานต้องเลิกคิ้วแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม หากแต่วันชัยนั้นเลือกที่จะให้หนานเก็บความสงสัยเอาไว้แต่เพียงสีหน้าและคำพูดของเขาเท่านั้น
          “พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้าใช่ไหม?” วันชัยตัดบท
          “เอ่อ... ก็ใช่”
          “งั้นนอนกันดีกว่า ผมขอนั่งดูดาวอีกสักพักก็จะนอนแล้วเหมือนกัน ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

          หนานพยักหน้ารับคำ ก่อนจะปลีกตัวไปโดยไม่พูดอะไร เขาเอนหลังหลับใต้โคนต้นไม้โดยมีสายตาของวันชัยที่มองตามไป ก่อนที่วันชัยจะเหลือบตาไปมองเต็นท์สนามที่กางไว้ของเขาแว่บหนึ่ง แล้วเบนสายตาขึ้นมองดาว ค้นหาคำตอบของความรู้สึกวูบไหวในหัวใจ ที่ทำให้เขารู้สึกเนื้อตัวอุ่นๆท่ามกลางน้ำค้างยามค่ำคืน

....
          เต็นท์สนามที่กางไว้เมื่อคืนไม่ได้ถูกใช้เป็นที่พักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่เจ้าของที่พักชั่วคราวนั้นเลือกที่จะไปเอนตัวหลับข้างๆเพื่อนร่วมทางของเขาอย่างไม่นึกกลัวความหนาวเย็นของน้ำค้าง เขาหลับลงทั้งรอยยิ้มอย่างเป็นสุขและรู้สึกอบอุ่นกว่าการซุกตัวในที่แคบๆในเต็นท์นั้น และกว่าที่คนข้างๆจะรู้ตัวว่ามีคนมานอนข้างๆ ฟ้าก็สว่างแม้จะมองไม่เห็นดวงตะวันเพราะรอบๆตัวมีแต่ม่านหมอก
       
          “ทำไมไม่เข้าไปนอนในเต็นท์เนี่ย” หนานเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งสะกิดเบาๆให้คนข้างกายตื่น
     
        วันชัยค่อยๆปรือตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อยที่ถูกปลุกขึ้นมาจากฝันดี สติของเขาค่อยๆตื่นตัว
          “ก็ผมอยากอยู่ข้างๆคุณ” เป็นคำพูดแว่บแรกเมื่อสมองสั่งการว่าเขาต้องตอบคำถามของเพื่อนร่วมทาง หากแต่กระบวนการกลั่นกรองทางความคิดนั้นก็ทำให้เขาเฉไฉไปเป็นอย่างอื่น
          “ถ้าผมนอนในเต็นท์ เราก็เหมือนเป็นนายจ้างกับคนนำทางน่ะสิ เราเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกันนะ”

          หนานหัวเราะเบาๆกับความคิดอ่านในเรื่องไม่เป็นเรื่องของวันชัยพลางส่ายหน้าช้าๆ เขาคิดไม่ถึงว่าวันชัยจะนึกถึงในเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกว่า คนกรุงเทพคนนี้เป็นคนน่าคบคนหนึ่งไม่เหมือนกับคนกรุงเทพที่เขาเคยได้ยินได้ฟังมา
          “คิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าท่า ... แต่ก็เอาเถอะ คุณอยากดื่มกาแฟสักหน่อยไหม เดี๋ยวผมก่อไฟต้มน้ำร้อนให้”
          “ก็ดี ... แต่มันจะสายจนเลยเวลาดูทะเลหมอกบนยอดเขานันไหม?”
          “ไม่หรอก เดี๋ยวเดียวก็ได้กิน อีกอย่างไปตอนนี้ก็เห็นแต่หมอก รอสายสักหน่อยให้หมอกบนพื้นจางสักนิดจะสวยกว่า เพราะคุณจะได้เห็นพระอาทิตย์ค่อยๆดั้นทำเลหมอกขึ้นมา”
          “วิเศษที่สุด!” วันชัยอุทานอย่างลิงโลด “แค่นึกภาพก็สวยตามอย่างที่คุณว่าแล้ว ยิ่งถ้าได้จิบกาแฟไปด้วยล่ะก็ สวรรค์บนดินดีๆนี่เอง”

          หนานเผลออมยิ้มไปกับท่าทีของวันชัย เขาจึงเอ่ยหยอกเอินไปกับเขาด้วย
          “ให้ถูกต้องบอกว่าสวรรค์บนเขานัน”
          “ก็นั่นล่ะ ได้เห็นสวรรค์ทั้งที่ยังไม่ตาย คือๆกันนั่นล่ะ” วันชัยไม่ลดละ
          “เอาล่ะๆ จะสวรรค์บนที่ไหนก็ช่างเถอะ ไปล้างหน้าล้างตาก่อนค่อยว่ากัน”

          วันชัยยิ้มกว้างเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตาที่น้ำตก โดยมีหนานที่มองตามเขาเงียบๆก่อนที่เขาจะคลี่ยิ้มออกมาช้าๆอย่างตั้งใจไม่ให้อีกฝ่ายเห็น นานมาแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงชีวิตที่คิดอะไรอย่างง่ายๆ แม้เขาจะอยู่ในชุมชนในผืนป่า หากแต่พักหลังมานี้ เหมือนบางอย่างจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดูจริงจังและเข้มงวดขึ้นจนเขารู้สึกว่าเนิ่นนานเหลือเกินที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแบบนี้

          ฝั่งวันชัยนั้น เมื่อเขาล้างหน้าล้างตาเสร็จ เขาไม่ได้เดินกลับไปหาวันชัยในทันที แต่กลับเดินอ้อยอิ่งไปที่โขดหินกลางแอ่งน้ำตกไม่ไกลนัก ชายหนุ่มแช่เท้าพลางแกว่งไปมาแล้วปล่อยความคิดไปกับความรู้สึกเป็นสุขอย่างที่เขาวาดฝัน เขาอยากมีใครสักคนที่ตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าให้เขากินในวันที่ว่างเว้นจากหน้าที่การงาน ในวันที่เวลาเร่งด่วน ขอแค่มีกาแฟร้อนๆอยู่ในกาให้เขาได้ดื่มก่อนเริ่มต้นวันใหม่ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว หากแต่ด้วยหน้าที่การงาน ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ฝันนั้นดูเลือนราง แต่ฝันนั้นกลับเป็นจริงขึ้นท่ามกลางป่าใหญ่อย่างไม่คิดฝัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เขาก็เป็นสุข        
   
 

 
   
โปรดติดตามตอนต่อไป    
หนิงหน่อง
ลำนำบุหลันครวญ




ออฟไลน์ fon270640

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
โห เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ

ติดตามนะคะ

หนานรุกอ่ะเปล่าหว่า อิอิ

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
บรรยายจนเห็ยภาพป่าเลยค่ะ  อยากไปเที่ยวป่าแล้วเจอหนุ่มๆแบบนี้เบ้างจัง   ว่าแต่สงสารวันชัย  เหมือนเป็นคนที่ขาดอะไรบางอย่างที่เรียกความรัก  แต่คราวนี้คงมาพบรักกลางป่าแล้วล่ะ :hao3:

เหนือฟ้ายังมีจักรวาล

  • บุคคลทั่วไป
 ตอนนี้อบอุ่นจังเลยคะ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
แบบว่าอ่านแล้ว คิดถึงบ้าน โว้ยยยย
อยากกลับบ้านอย่างแรงนิ
ไปกินแกงทิหมูลูกเหรียง อิอิ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5
บ้านเราก็อยู่ติดเขา
เรารู้จักตัวแลน
ไม่นึกว่าที่อื่นก็เรียกแลนเหมือนกัน :hao4:
คนเขียนบรรยายซะเห็นภาพ :o8:
อยากไปเที่ยวด้วยจัง

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2545
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
วันนี้เหมือนได้เที่ยวป่าชมน้ำตก

แต่ว่า...เนื้อสัตว์นั่น...  :a5:

แต่สองคนนี้ ความรู้สึกที่ค่อย ๆ ก่อตัว  :o8:

จะเป็น"พบรักกลางพงไพร"หรือไม่นั้น คงต้องรอต่อไปสินะครับ  :hao3:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
คนเขียนออกตัวว่าห่างหายไปนาน แต่สำนวนการเขียนร้อยเรียงเรื่องราวยังเป๊ะเช่นเคย  :katai2-1:
จนคนอ่านที่ต้องบอกว่าร้างลาไปนานกว่า(มาก)อย่างเรา อาจจะ comment ได้ไม่เป็นภาษานัก  :undecided:

ท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์กับความประทับใจที่เกิดในเวลาอันสั้นระหว่างสองหนุ่มต่างที่มา
แค่พล็อตเรื่องก็เลิศแล้วค่ะ สองต่อสองกลางป่าแบบนี้ซะด้วย :-[
เราชอบคุณหนานนะ เหมือนจะกวนเล็ก ๆ แบบว่า พูดจายอกย้อนใช่เล่น แต่ก็สุภาพมาก(จริง ๆ)
จนรู้สึกว่าพี่แกเป็นมากกว่าชาวบ้านชาวป่าธรรมดาอย่างที่ตัวเองว่าไว้
หวังว่าคุณวันชัยคงได้ค้นพบอะไรดี ๆ ณ ที่แห่งนี้นะคะ :L1: 

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
 ตอนที่ 3

          ใช้เวลาชั่วโมงเศษทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของยอดเขานัน ไอหมอกบนพื้นดินนั้นเริ่มจางหายไปบ้างเหลือแต่เพียงหมอกในหุบเหวที่ลาดยาวเหมือนพรมนุ่นอย่างที่หนานว่า วันชัยรินกาแฟจากกระติกเก็บความร้อนมารินใส่แก้วก่อนจะหยิบกล้องออกมาเตรียมพร้อมสำหรับเก็บทุกภาพความประทับใจที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน

          พระอาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆดั้นหมู่เมฆลอยขึ้นมาตรงมุมเชิงเขา ทำให้มวลเมฆที่เคยเป็นสีขาวขุ่นนั้นกลายเป็นเมฆสีทองอร่าม เนิ่นนานกว่าที่พระอาทิตย์จะลอยโผล่พ้นมวลหมอก วันชัยรู้สึกได้ว่ามันกินเวลาไม่น้อยจากความอุ่นร้อนของกาแฟที่จางหายไปมาก

          “เป็นอย่างที่คุณอยากมาเห็นไหม?” หนานเอ่ยถามขึ้น เขาพอรู้คำตอบจากรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้ว
          “สวยงามกว่าที่คิดมากเลยครับ ... ขอบคุณจริงๆที่พามา”

          หนานพยักหน้ารับคำ เขาเสตามองไปที่ถ้วยกาแฟสแตนเลสที่วางไว้ ก่อนจะยักไหล่เป็นเชิงว่าอย่าลืมมัน
          “กาแฟของคุณ กินเสียหน่อยสิ รินทิ้งไว้นานจนเย็นชืดหมดแล้วมั้ง”
          “จริงสิ เกือบลืมไปเลย” วันชัยยิ้มเก้อๆ ก่อนจะหยิบกาแฟขึ้นจิบ

          ชายหนุ่มเก็บภาพความงามเบื้องล่างของยอดเขานันอยู่ครู่หนึ่ง โดยมีหนานยืนมองดูเขาเงียบๆ เขายืนกอดอกมองชายหนุ่มผู้มาเยือนด้วยแววตาที่ว่างเปล่า และเหมือนเจ้าตัวจะเหม่อลอยจนวันชัยรู้สึกได้ เขาจึงถูกบันทึกภาพเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด
          “เราจะไปที่ไหนกันต่อ” วันชัยเดินไปถามเขาใกล้ๆ หนานจึงได้สะดุ้งตื่นจากห้วงความคิด
          “คุณเสพงานศิลปะของคุณอิ่มแล้วหรือ?”
          “ไม่มีวันอิ่มหรอกครับ แต่สำหรับที่นี่ ผมคิดว่าผมบันทึกภาพเอาไว้มากเพียงพอ” วันชัยตอบพลางยิ้มกว้าง
          “ผมว่า ผมจะไปที่ป่าประ”
          “ป่าประ?” วันชัยถามย้ำ
          “ใช่ ป่าประ พันธ์ไม้ท้องถิ่นของที่นี่ ลูกของมันเอามาทำอะไรกินได้หลายอย่าง เอาไปขายในเมืองก็ได้ราคาเพราะต้นประมีเฉพาะที่นี่เท่านั้น”
          “น่าสนใจนะครับ งั้นเราเดินทางกันต่อเถอะ”
          หนานพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เขาบอกให้วันชัยเก็บข้าวของให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อไป ...
...

          เส้นทางลงเขานันนั้นค่อนข้างลาดชัน ทั้งคู่ค่อยๆเดินเท้าไปตามทางที่ถากถางเอาไว้พอให้เดินไปได้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะมาถึงเนินเขาที่เป็นพื้นราบและหยุดแวะพักกันที่นั่น
          “นี่น่ะเหรอ ... ต้นประที่คุณว่า” วันชัยถามด้วยความแปลกใจ เพราะต้นไม้ทีว่านั้นดูคุ้นตา
          “นี่แหละ... ต้นประ” หนานกล่าวพลางอมยิ้ม
          “จริงเหรอ?” วันชัยขมวดคิ้ว พลางใช้นิ้วดีดลำต้นของมันเบาๆ ก่อนจะใช้มีดที่นำติดตัวมาด้วยลองกรีดลำต้นของมัน ก็เกิดเป็นน้ำสีข้าวข้นๆไหลออกมาจากรอยกรีดนั้น
          “นี่มันเหมือนน้ำยางเลย”

          หนานหัวเราะเบาๆ ก่อนที่สายลมจะโชยมาช้าๆ หากแต่ก็เพียงพอให้บางสิ่งบางอย่างหล่นลงมาจากบนต้นของไม้ปริศนานั้น
          “นี่มัน... ลูกยาง ลูกยางแน่ๆ หนาน คุณอำผมใช่ไหมเนี่ย”
          หนานหัวเราะร่า
          “ให้ตายสิ คุณรู้เยอะกว่าที่ผมคิดไว้มาก”
          “แสดงว่านี่คือต้นยางสินะ”
          “ใช่ นี่คือต้นยาง ป่าประต้องเข้าไปอีก”
          “หลอกกันได้นะ เดี๋ยวเถอะ” วันชัยนึกอยากจะแกล้งคืนบ้างให้สาสมกับที่หนานโกหกเขา แต่เขาก็หักใจไว้แต่เพียงเท่านั้น

          สายลมที่พัดมานั้นทำให้ต้นยางที่ขึ้นไปทั่วบริเวณพากันปลิดปลิวเอาใบและลูกยางให้ร่วงหล่นมาช้าๆราวกับเป็นการต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างวันชัย เขารีบหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพจากมุมต่ำช้อนขึ้นไปเก็บภาพลุกยางที่ปลิดขั้วร่วงหล่นลงมา
          “อะไรๆก็ดูสวยงามไปหมดสินะในสายตาของคุณ”
          “ครับ ... ผมชอบที่นี่มากนะ คิดไม่ผิดจริงๆที่ใช้โอกาสวันหยุดมาที่นี่”

          วันชัยยังคงเก็บภาพต่อไป รอยยิ้มถูกระบายบนใบหน้าของทั้งคู่ สำหรับวันชัย เขากำลังตื่นตาตื่นใจกับความงามของธรรมชาติรอบตัวเขา แต่สำหรับหนาน ... เขารู้สึกเหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง ค้นพบ... ว่ามีคน ที่คิดอ่านเช่นเดียวกันกับตน
          “ผ่านไปอีกสิบปี ยี่สิบปี คุณจะลืมที่นี่ไหม?”
          คำถามของหนานทำให้วันชัยต้องหยุดการกดชัตเตอร์แล้วหันมามองต้นเสียง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆหุบลงเหลือเพียงที่มุมปาก สีหน้าของคนตรงหน้าบอกเขาว่าคำถามนั้นต้องการคำตอบที่ออกมาจากใจ
          “ผมจะไม่ลืม ไม่ว่าจะที่แห่งนี้ หรือแม้แต่คุณ”
          หนานพยักหน้าและยิ้มให้กับคำตอบของวันชัย เขาไม่พูดอะไรอีก และถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีคำพูดอะไรอีก แต่ก็เลือกที่จะเก็บงำมันไว้

.....
          ใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ หนานกับวันชัยก็มาถึงป่าประ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณตีนเขานัน อาณาบริเวณของป่าประนั้นกินเนื้อที่กว้างขวางและดูลึกลับเพราะเต็มไปด้วยไอหมอกทึบตามสภาพภูมิอากาศของป่าแห่งนี้ แต่ทัศนะวิสัยก็ดีขึ้นมากเนื่องจากทั้งคู่มาถึงในช่วงบ่ายคล้อย เหลือเพียงไอหมอกจางๆที่ทิ้งไว้เท่านั้น
          “คราวนี้ของจริงแล้วใช่ไหม”
          “ครับ นี่ล่ะต้นประ” หนานกล่าวพลางใช้ฝ่ามือจับลำต้นประเอาไว้ เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดที่สูงเสียด
          “แล้วเราต้องปีนเข้าไปเก็บลูกของมันหรือ?”
          “ไม่ไหวหรอก เก็บเอาจากลูกที่หล่นตามพื้นนี่ล่ะ ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หล่นลงมาอีก” หนานบอก พลางเอามีดของเขาถากถางพื้นหญ้าด้านล่างให้เตียน แล้วใช้ผ้าขาวม้าที่นำมาด้วยสองสามผืนปูเอาไว้ใต้โคนต้นประ
          “งั้น ไอ้ที่หล่นตามต้นนี่ ก็เก็บไปขายได้เหมือนกันใช่ไหม?”
          “ได้สิ เลือกเอาอันที่แมลงยังไม่เจาะก็แล้วกัน”
          “งั้นผมช่วยคุณนะ”
          “ผมว่าคุณไปกางเต็นท์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นแล้วจะลำบาก”
          “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ผมนอนกลางดินกินกลางทรายกับคุณได้สบายมาก”
          “ไม่ได้ ... คืนนี้คุณต้องนอนในเต็นท์ ...และผมก็จะนอนกับคุณด้วย คุณจะได้ไม่มีข้ออ้างที่จะรั้นทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก”

          วันชัยตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของหนาน นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ใจหนึ่งเขานึกกลัวความวูบไหวในหัวใจ เขาจำได้ถึงชั่วความคิดที่ทำให้เขาตัดสินใจไปนอนอยู่ข้างๆหนาน แต่อีกใจนั้น เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดีใจ และเมื่อเผลอไผลปล่อยใจไปตามความรู้สึกที่อิ่มเอมนั้น เขานึกอยากไล่ให้ดวงอาทิตย์รีบหลบเข้าเหลี่ยมเขาไปเสียไวๆด้วยซ้ำ
          “เต็นท์คุณน่าจะไม่แคบเกินไปสำหรับคนสองคน ใช่ไหมครับ?”
          “มะ... ไม่เลยครับ ผมว่ากำลังพอดี”
          “งั้นก็ตามนั้นแล้วกัน” หนานตัดบท ก่อนจะเดินหลบไปเก็บลูกประตามพื้นดิน ทิ้งวันชัยไว้ข้างหลังกับความรู้สึกมากมายในหัวใจ

....
        กองไฟถูกก่อขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นและเพื่อการหุงหาอาหารคืนนี้ ลมหายใจที่พ่นออกมานั้นกลายเป็นไอจางๆแข่งกับควันกรุ่นๆจากแก้วกาแฟในมือของวันชัย ... จะว่าเขาติดกาแฟก็ได้ ซึ่งนั่นก็เป็นความจริง ด้วยหน้าที่การงานของเขาทำให้เขาเป็นคนที่ไม่สามารถหลับลึกได้นัก และอยู่ได้ด้วยกาแฟ...
          “กาแฟนี่เขากินให้ตาสว่างไม่ใช่หรือ แล้วคุณยังต้องการฤทธิ์ของกาแฟตอนกลางคืนไปทำไม” หนานถามขึ้นอย่างนึกสงสัย
          “จริงสิ ... ผมติดมาจากเวลาทำงานน่ะ” เขาบอกก่อนจะวางแก้วกาแฟลง “แต่ก็น่าคิดเหมือนกันนะ”
          “คิดว่า?”
          “ก็คิดว่า หากเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ เราควรที่จะหลับลงอย่างสบายใจ หรือเลือกที่จะนอนเอาเพียงแค่ให้เพียงพอ แล้วเลือกที่จะตื่นนานๆเพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านั้นเอาไว้”

          หนานมองตาของวันชัยเล็กน้อยก่อนจะหลบสายตาคู่นั้น เขายิ้มให้กับยอดของต้นประที่สูงขึ้นไปในความมืด ก่อนจะพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าวันชัย
          “คนกรุงเทพเป็นคนช่างคิดเหมือนคุณไปเสียทุกคนไหมนะ”
          “ไม่หรอก คุณอย่าจำแนกประเภทของคนจากถิ่นที่เขาจากมาสิ ... เอะอะๆก็ว่าผมเป็นคนกรุงเทพ ทำไมกันล่ะ คนกรุงเทพที่คุณรู้จักพบเจอนี่แย่ไปหมดเลยหรือไง” วันชัยแกล้งขึ้นเสียงด้วยรอยยิ้มเป็นเชิงหยอก
          “เปล่าเลย ... ผมไม่เคยรู้จักคนกรุงเทพเลยสักคน วันชัย คุณเป็นคนแรกนะ แต่ก็นั่นแหละ ที่นี่ ใครๆก็บอกว่าคนนอกชายป่าล้วนคบไม่ได้ทั้งนั้น ประสาอะไรกับคนเมืองหลวง เราทั้งอยู่ไกลกัน ... และแตกต่าง”

          วันชัยจ้องลึกลงไปในดวงตาของหนานที่เหมือนจะแอบแฝงความรู้สึกบางอย่างเอาไว้...
          “หนาน คุณรู้ไหม ผมสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวในจิตใจของคุณ หลายๆครั้ง มันสะท้อนออกมาจากแววตาให้ผมเห็น”
          หนานไม่ได้หลบสายตาเมื่อถูกถามอย่างนั้น เขาหันหน้ามามองวันชัยตรงๆ
          “มันชัดเจนมากหรือคุณมักจะเป็นคนชอบเดาส่งเดชล่ะ?”

          เป็นฝ่ายวันชัยที่หลบตาเสียเอง แต่เขาก็มีความกล้ามากพอที่จะสบตาอีกฝ่ายอีกครั้ง ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร หนานก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น
          “เหมือนกับสายตาที่คุณพยายามบอกอะไรผมตลอดมาหรือเปล่าล่ะ?”
          วันชัยไม่กล้าปฏิเสธหนาน เพียงแต่เขายังไม่กล้าบอกออกมาตรงๆ เขาจึงเลือกที่จะพูดถึงสายตาของหนานเสียแทนที่จะบอกเล่าความหมายถึงสิ่งสื่อสารในดวงตาของตน
          “ผมรู้สึกถึงความกลัวในดวงตาของคุณ และผมไม่กล้าเดาด้วยว่าสิ่งที่คุณกลัวจะเกี่ยวกับผมหรือเปล่า”
          “ความไม่กล้ากับหวาดกลัวห่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น การที่คุณบอกว่าไม่กล้าแสดงว่าคุณเองก็อาจจะซุกซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้เหมือนกันนั่นแหละ วันชัย”
          “ผมไม่เคยหวาดกลัว ผมไม่ได้รับการสั่งสอนให้หวาดกลัว กลับกัน ผมถูกปลูกฝังให้สุขุมและเลือดเย็นเสียด้วยซ้ำ”
          “นั่นสินะ ... ผมเองก็คิดอย่างนั้น บางที ถ้าถึงวันหนึ่ง คุณอาจจะพิสูจน์ให้ผมได้เห็นก็ได้ ว่าคุณจะเลือดเย็นมากแค่ไหน”
          “กลับกันนะ ผมกลับรู้สึกว่า บางทีอาจเป็นคุณมากกว่าที่เลือดเย็นกับผม”

          ต่างคนต่างเงียบ... สายลมพัดเอาริ้วหมอกให้เคลื่อนที่เร็วขึ้นเล็กน้อยเหมือนพยายามให้ทั้งคู่สงบลง วันชัยเชิดหน้าขึ้นพลางสูดอากาศที่เต็มไปด้วยไอน้ำค้างชื้นเย็นเข้าปอดจนเขารู้สึกแสบจมูก เขาส่ายหน้าเรียกสติคืน หากแต่บรรยากาศรอบข้างที่ไร้ซึ่งกรอบที่เขาเคยคุ้นชินมานั้นก็ทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระมากพอที่จะทำบางสิ่งบางอย่างขึ้น
          “ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะเลือดเย็นกับคุณล่ะ” หนานถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
       
          วันชัยไม่ตอบหนานว่าทำไม เขาขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่มตรงหน้าจนชิด ชิดเสียจนลมหายใจของวันชัยนั้นรินรดกับพวงแก้มกร้านคล้ำของหนาน และยิ่งชิดยิ่งขึ้นเมื่อเขาประทับริมฝีปากไว้ที่มุมปากของหนาน
          “คุณอาจจะไม่รู้ ว่าผมอยากจะทำแบบนี้กับคุณตั้งแต่เมื่อคืนด้วยซ้ำ” วันชัยบอกหนานที่ข้างหู
          “แล้วการที่คุณเลือกที่จะทำมันในคืนนี้ คุณไม่กลัวผมจะต่อยคุณเอาบ้างหรือไง?”
          “ผมถึงบอกคุณว่า ผมไม่ได้หวาดกลัว กลับกัน หลังจากที่ผมได้ทำแบบนี้กับคุณไปแล้ว ถ้าคุณรังเกียจผม นั่นล่ะ ... คุณก็ช่างเลือดเย็นกับผมเหลือเกิน”
          “แล้วคุณทำแบบนี้กับคนอื่นมากี่คนแล้วล่ะ” หนานถามเสียงเรียบ
          “ไม่เลย ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย คุณเป็นคนแรก” 

          หนานพ่นลมจากปากพลางยิ้มแห้งหลบตาของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้วันชัยคาดเดาความรู้สึกของเขาไม่ถูก หากแต่สำหรับวันชัยแล้ว เขาไม่รู้สึกค้างคาเหมือนตอนที่เขาหวามไหวในหัวใจเมื่อผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาในชีวิต อย่างร้ายที่สุด เขาก็เพียงแค่ทิ้งรักแรกของเขาไว้ในป่าใหญ่ หรืออย่างน้อยๆ เขาก็ได้บอกความในใจให้แก่หนานได้รับรู้แล้ว
          “ผมยังเคยได้ยินมาอีกด้วยนะ ว่าคนกรุงเทพเชื่อคำพูดไม่ได้สักคน”
          “แต่ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”
          “ผมเห็นแค่คนๆหนึ่งที่ใจเร็วเท่านั้น” หนานตอบแทบจะในทันที
          “ข้อนั้นผมยอมรับ” วันชัยรับคำเสียงอ่อย “แต่สิ่งเดียวที่ผมจะกลัว นั่นคือการถูกคุณรังเกียจ ... ผมรู้ มันอาจจะไม่ใช่สำหรับคุณ และผมเองก็ไม่รู้ว่าที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ผมแค่รู้สึกว่า หากเราสองคน ... ให้ใครสักคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ความรู้สึกของผมหลังจากที่ได้รู้จักคุณทำให้ผมรู้สึกว่า ผมอยากจะจูบคุณ อยากจะกอดคุณแบบที่ผมทำ”

           “ถึงผมจะเป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อน ... แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะจูบหรือกอดใคร โดยไม่ทันได้รู้จักคนๆนั้นอย่างลึกซึ้งหรอกนะ”
          “ผมรู้ครับ ... ผมลืมคิดไปด้วยซ้ำว่าถ้าผมทำแบบนั้นไปคุณอาจจะรังเกียจมากกว่าที่จะยอมรับในความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณเสียอีก”
          วันชัยกล่าวเสียงสั่น เขาหลับตาและเม้มปากเพื่อข่มความรู้สึกเหมือนอย่างที่เขาได้รับการสั่งสอนมา
          “ช่วยทำแบบนั้นอีกสักครั้งได้ไหม?”

          คำขอร้องของหนานทำให้วันชัยต้องลืมตาขึ้นมาอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินจากปากของเขา
          “ผมรู้ว่าเรามีเวลาที่จะทำความรู้จักกันไม่มาก และบางที ผมอาจจะรู้สึกถึงสิ่งนั้นได้จาก... การสัมผัส”

          หนานกล่าวโดยไม่มองหน้าของวันชัย เขานั่งกอดเข่าอยู่หน้ากองไฟ แววตาของเขายังคงสับสนแม้จะพูดออกไปแล้วก็ตาม และวันชัยเองนั้นเขาเองก็สับสนเช่นกัน แต่เขาเลือกที่จะหุนหันเข้าไปหาหนานโดยไม่ใส่ใจใดๆทั้งสิ้น ชายหนุ่มผวาเข้าไปกอดชายหนุ่มอีกคนพลางประทับริมฝีปากกันในทันที และแม้จะละริมฝีปากไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมกอดให้หลุดมือไป
          “คุณรู้จักผมมากขึ้นไหม”
          หนานส่ายหน้าโดยที่ยังหลับตาอยู่
          “ผมไม่อยากรู้จักคุณเลยด้วยซ้ำ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้”
          “ทำไมล่ะ ถ้าคุณไม่รู้สึกอะไรกับผมสักนิด แล้วทำไมคุณถึงได้ยอม..?”
          “เพราะผมกลัว ... ความจริงก็คือ เมื่อไหร่ที่คุณกลับไป ที่นี่ก็จะเป็นแค่เพียงที่แห่งหนึ่งที่คุณเคยผ่านมาเท่านั้น และหากถึงเวลานั้น ต่อให้ผมเฝ้าร้องขออย่าให้คุณลืมที่นี่ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร”

          คำพูดของหนานทำให้วันชัยรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองเพิ่งตื่นจากฝันมาพบกับความจริงที่โหดร้าย เขาเผลอลืมถึงความเป็นจริงข้อนี้ไป เผลอลืมถึงสาเหตุที่ทำให้เขาครองตัวเป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดจะปักใจกับใครด้วยเพราะหน้าที่การงานของเขา ความรัก ชีวิตคู่ สำหรับเขาคือการแบ่งปันความสุขซึ่งกันและกันสำหรับคนสองคน และเขารู้ดีว่าเขาไม่อาจทำมันได้อย่างที่ครอบครัวหนึ่งพึงจะทำได้ หากแต่ครั้งนี้ จะเป็นเพราะชะตาเล่นตลกหรืออะไรก็ตามแต่ เขาเผลอลืมความจริงข้อนี้ไป ชายหนุ่มฉุกคิดไปถึงบันไดขั้นแรกแห่งความฝันสูงสุดของเขาที่เคยวาดหวังไว้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาเคยคิด หากแต่เมื่อก่อนนั้น เขาคิดโดยใช้แต่เพียงสมองพิจารณา แต่ครั้งนี้ เขาใช้ความรักในการตัดสินด้วย

          “ผมจะไม่มีวันลืมคุณ ไม่มีวันลืมที่นี่ด้วย ถึงตัวผมจะอยู่ไกล แต่ผมจะจดหมายมาหาบ่อยๆ หากคุณยินดีที่จะรักกับผม ผมสัญญาว่าวันหนึ่ง เราจะต้องได้อยู่ด้วยกัน... ไม่ที่นี่ก็ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้”
          “แล้วคุณจะบอกได้ไหมล่ะ ว่าผมต้องรออีกนานแค่ไหน เราถึงจะได้อยู่ด้วยกัน”
          คำถามของหนานทำให้วันชัยรู้สึกว่าน้ำลายของเขาดูฝืดฝืนกว่าที่เคย เพราะคำถามนั้นเป็นคำถามที่เขาไม่สามารถตอบได้
          “ผมตอบไม่ได้ แต่ผมสัญญาด้วยเกียรติของผม ว่าวันหนึ่งวันนั้น จะต้องมีแน่ๆ ”
          “เกียรติของคุณงั้นหรือ คุณวันชัย?”
          “ครับ ด้วยเกียรติของผม นาวาตรีวันชัย ภมรพันธ์ สังกัดหน่วยนาวิกโยธินแห่งกองทัพเรือไทย”
          หนานดูตกใจเล็กน้อยเมื่อได้รับรู้ถึงยศตำแหน่งที่แท้จริงของวันชัย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มกว้างให้กับคำมั่นสัญญาจากปากชายชาติทหารของวันชัย
          “นี่เป็นความลับที่คุณปิดบังผมไว้หรือเปล่า?”
          “เปล่าเลย ... คุณก็แค่ไม่เคยถามผม ผมก็เลยไม่จำเป็นต้องบอก แต่ที่ผมบอกคุณ เพราะผมอยากให้คุณเชื่อมันโดยเอาเกียรติของผมเป็นเครื่องยืนยันว่าผมจะไม่มีวันตระบัดสัตย์ต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณ”
       
          หนานเลิกคิ้วขึ้นอย่างมีอารมณ์ขัน ก่อนจะพูดต่อ
          “งั้นคุณจำได้ไหม ตอนที่คุณถามผมว่า ผมเป็นคนเขาเหล็กหรือเปล่าน่ะ ผมก็ไม่ได้บอกนะ ว่าผมเป็นคนเขาเหล็กน่ะ”
          “อ้าว ... คุณไม่ใช่คนเขาเหล็กงั้นหรอ?”
          “เขาเหล็กเป็นชื่อที่คนข้างนอกเรียกที่นี่ เพราะที่นี่มีแร่เหล็กมาก อันที่จริงแล้ว บรรพบุรุษของพวกเราเรียกที่นี่ว่า กรุงชิง ตามชื่อของต้นชิงที่เป็นต้นไม้ท้องถิ่นของที่นี่”
          “งั้นรึ ... ถ้างั้น ผมต้องสัญญากับคุณใหม่ ว่าผมจะไม่ลืมกรุงชิง และผมก็จะไม่ลืมนายหนานแห่งกรุงชิงแน่นอน”
          “ทำพูดดีไป เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปดูป่าชิง ที่มาของชื่อกรุงชิงดีไหม?”
          “ถ้าคุณว่าดีผมจะปฏิเสธทำไมล่ะ?”

          ทั้งคู่หัวเราะอย่างมีความสุขในอ้อมกอดแห่งกันและกัน ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งป่ากระที่ถูกห้อมล้อมด้วยป่าชิงอีกทอดหนึ่ง .... อ้อมกอดของทั้งคนและป่า ที่เกี่ยวกระหวัดกันไว้อย่างไม่รู้คลาย ... อย่างน้อยที่สุดก็ในคืนนี้ที่อ้อมกอดเหล่านั้นจะไม่มีวันคลายออก

   
 

 
   
    


แอบตกใจที่พี่อัญ Cherry Red กลับมาทักทายกันอีก เป็นพี่สาวอีกหนึ่งคนที่คิดถึงมาก นับจากตอนที่เขียนเพทุบายในสายหมอกตอนแรกๆ พี่สาวใจดีคนนี้ก็หนีหน้าไป  :mew6:

เอาเป็นว่า กลับมาก็ยังคิดถึงกันอยู่เหมือนเดิมนะครับ

ขอบคุณทุกๆคนที่ชมว่าเขียนบรรยาฉากธรรมชาติได้ดีด้วยครับ เป็นคนขี้เกียจเขียนบรรยายฉากมากๆคนหนึ่งครับ หลายๆตอนบางทีก็รู้สึกว่าการบรรยายฉากของตัวเองดูเป็นแพทเทิร์นไปสักนิด หวังงว่าจะติดตามและติชมกันในตอนต่อๆไปนะครับ

เรื่องนี้คงไม่ยาวมากนัก น่าจะไม่เกินสิบตอน (และน่าจะหย่อนจากสิบตอนมาพอสมควร)

ขอบคุณทุกกำลังใจครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป
หนิงหน่อง
ลำนำบุหลันครวญ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2013 00:01:32 โดย ลำนำบุหลันครวญ »

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5

เหนือฟ้ายังมีจักรวาล

  • บุคคลทั่วไป
ไม่อยากให้แยกจากกันเลย

ออฟไลน์ paojijank

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ภาษาสวยมากค่ะ  เขียนบรรยายฉากในป่าได้เห็นภาพเลย

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
อ๊าย...นักเขียนจำได้ด้วยว่านักอ่านหายหัวไปตอนไหน? ตัวพี่เองยังไม่รู้เลย ( นานจนจำไม่ได้  :o11: )
คือ พี่กลับมาเพื่อประมูลของค่ะ แต่ต่อจากนี้จะพยายามกลับมาอ่านนิยายแล้วล่ะ

คุณวันชัยเป็นทหารเรือนี่เอง บุพเพสันนิวาสชักพามาจากพื้นน้ำสู่ขุนเขา  :-[
ว่าแต่สองหนุ่มเค้าทำความรู้จักกันแบบลึกซึ้งประเภทหลักสูตรเร่งรัดสินะ  :กอด1:
รู้ตัว รู้ใจ จะปล่อยให้ช้าไปใย??? เวลาแสนสั้นเก็บเกี่ยวความสุขไว้จดจำดีกว่า
เพราะ ปัญหามีเห็น ๆ คือ รักทางไกล สายใยจะผูกพันได้ดั่งคำสัญญาหรือไม่? ต้องรอติดตาม  :oni1:

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2545
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
โอ๊ะโอ ตอนนี้ก็..."พลอดรักกลางแมกไม้" ซะแว้ว  :hao3:

แล้วนาวาตรีท่านนี้จะลืมกรุงชิงที่ฝากรอบรักไว้กับหนานหรือเปล่านะ

นึกถึงนวนิยายอมตะรุ่นเก่า ๆ เนื้อเรื่องที่เป็นเทพบุตรมาจากในเมือง

มาฝากรอยรักไว้กับสาวชาวป่า น้อยเรื่องที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะกลับมา

แม้ว่า...จะไม่ลืมสัญญาก็ตามที

รอตอนต่อไปครับ  :L2:

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
โฮๆๆๆๆ  ชอบเรื่องนี้อ่ะ  บรรยากาศอ่านแล้วได้ฟิลมากๆ  ไม่อยากให้ทั้งสองคนแยกจากกันเลยอ่ะ  ไม่รู้ว่านาวาตรีออกจากป่าไปจะคิดถึงหนานขนาดไหน  แล้วหนานล่ะ  โฮๆๆๆๆ  อยากอ่านต่อ  แต่ขอให้จบแบบ happy นะ  ไม่งั้น ฮือๆๆๆๆ  คงขดใจตาย :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ 4
       
          ท่ามกลางลมหนาวและสายหมอกแห่งกรุงชิงนั้น วันชัยกำลังนอนหนุนตักของหนานอย่างอบอุ่นในหัวใจ หากการมีชีวิตของคนเปรียบเสมือนการเดินทางรอนแรมมานานแสนนาน เวลานี้ ปลายทางของทั้งคู่ก็มาถึงจุดหมาย ณ ที่แห่งนี้
          “ผมไม่เคยรู้สึกสุขใจมากเท่านี้มาก่อนเลยหนาน” วันชัยพูดขึ้นพร้อมกับเอามือของหนานมาอังไว้ที่ข้างแก้มของตน “แล้วคุณล่ะหนาน รู้สึกเหมือนผมไหม”
          “ณ เวลานี้ ก็อาจจะคล้ายๆกันล่ะมั้ง”
          “ไม่เอาแค่คล้ายได้ไหม ไหนๆหัวใจเราก็ตรงกันแล้ว”
          “นี่วันชัย คุณอย่าลืมสิว่าวันข้างหน้าเราจะต้องเจอกับอะไร หากถึงวันที่คุณทำได้อย่างที่สัญญา วันนั้นนั่นแหละที่ผมคงจะมีความสุขจากที่สุดของหัวใจ”
          “ผมก็แค่อยากให้ในช่วงเวลาที่เราเก็บเกี่ยวความสุขได้อย่างเต็มที่นั้น ปราศจากซึ่งข้อกังวลใดๆ คุณไม่เชื่อมั่นในตัวผมหรือไงว่าผมจะสร้างวันที่รอคอยวันนั้นให้เกิดขึ้นมาได้”

          วันชัยส่งสายตาอ้อนวอนแก่หนาน สายตาอ้อนวอนนั้นเด็ดเดี่ยวและมั่นคง
          “ผมเชื่อนะ แต่ผมก็กลัว”
          “อย่ากลัวไปเลย คนดีของผม หากเราเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้ เราก็ต้องผ่านมันไปได้ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญนะ ผมเองก็จะเก็บคุณไว้ในหัวใจ เพื่อเป็นแรงใจสำหรับสร้างวันนั้นที่ทั้งคุณและผมจะได้อยู่ด้วยกัน”

          หนานยิ้มอย่างซาบซึ้งใจในคำมั่นของคนรัก เขากุมมือของวันชัยไว้แน่นแทนความรู้สึกทั้งหมดในหัวใจ
          “แล้วคุณล่ะหนาน มีผมเป็นกำลังใจเหมือนที่ผมมีคุณหรือเปล่า”
          “ผมมันคนบ้านป่า คงจะพูดจาหวานๆอย่างที่คุณอยากฟังไม่ได้หรอก” หนานตอบพลางเบือนหน้าหนีอย่างขวยเขิน
          “นั่นสินะ ถ้าผมชอบคนปากหวาน ที่กรุงเทพมีอยู่ถมไป เลยต้องมาพบรักกลางป่าแบบนี้ไงล่ะ”
          “พอก่อนเถอะคุณวันชัย ประเดี๋ยวมดในป่าจะได้กลิ่นน้ำคำของคุณจนเฮละโลมารุมหามเราจนนอนไม่ได้” หนานเอ่ยปากห้าม
          “คุณเบื่อที่จะฟังแล้วหรือครับ?”
          “ผมมีเวลาทั้งชีวิตที่จะฟังคุณพูด แต่คืนนี้ผมว่าเราควรพักผ่อนได้แล้ว”

          วันชัยยิ้มกว้าง เขาผุดลุกขึ้นมาจ้องหน้าหนาน ก่อนจะถามขึ้น
          “จำที่ผมถามได้ไหม ว่าหากคุณอยู่ในช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ คุณอยากหลับลงนานๆในช่วงเวลานั้น หรืออยากลืมตาตื่นอย่างมีความสุขให้นานๆ”
          “ผมรู้แค่ว่า คืนนี้มันดึกมากแล้ว” หนานบอก เพราะเขารู้ว่าวันชัยจะบอกอะไร
          “สำหรับผม ผมไม่อยากจะนอนหลับเลยแม้แต่นาที ผมทำได้นะ ผมเคยฝึกมาให้อดนอนเป็นวันๆมาแล้ว”
          “แต่ผมไม่คิดจะทำแบบนั้นหรอก”
          “ครับ” วันชัยรับคำก่อนจะยื่นหน้าไปจุมพิตเบาๆที่หน้าผากของหนาน “ไม่ว่าจะแบบไหน ผมก็มีความสุขที่สุดแล้วในตอนนี้ พักผ่อนกันเถอะครับ แล้วค่อยไปพบกันในฝันดีของเรา”
          หนานพยักหน้าช้าๆ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจูงมือกันเข้าไปพักผ่อนในเต็นท์สนามที่กางไว้...

...
        หนานและวันชัยตื่นสายกว่าที่ควรอย่างไม่เกรงกลัวความหนาวเย็นของอากาศท่ามกลางป่าประ สายหมอกโอบกอดทั้งคู่ที่สวมกอดกันแน่น ก่อนที่วันชัยจะเป็นฝ่ายจูบที่หน้าผากของหนานเป็นการบอกว่าเขาเพิ่งจะตื่นได้ไม่นาน
        “วันนี้คุณตื่นทีหลังผมนะครับ”
          หนานพยักหน้าทั้งที่ยังหลับตา
          “ผมอยากจะหลับลงทั้งที่ยังมีความสุข”
        “แต่ผมอยากตื่นเสียแล้วสิ ตอนผมหลับผมไม่รู้ตัวเลยว่าตอนกอดคุณมันอุ่นขนาดไหน” วันชัยบอกพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
          “งั้นปล่อยให้ผมหลับต่ออีกหน่อยสิ”
          “ก็ได้ ผมตื่นแล้ว และผมก็อยากกอดคุณอย่างนี้นานๆเลย”
       
          หนานตกลงด้วยการไม่ปฏิเสธอย่างเงียบๆ จนหมอกเริ่มจาง ทั้งคู่จึงเริ่มหาอาหารมากินกัน วันชัยเริ่มเก็บสัมภาระโดยมีหนานที่ไปเก็บเอาลูกประเพิ่มอีกนิดหน่อย ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มต้นวางแผนการเดินทางกันต่อไป
          “เดี๋ยวจะพาไปดูป่าชิง” หนานว่าสั้นๆ
          “ไม่มีปัญหา”

          ทั้งคู่เดินทางเข้าไปในป่าที่ลึกเข้าไปอีกตามไหล่เขาที่ลาดชัน วันชัยยังคงถ่ายภาพความประทับใจไปตามรายทาง ก่อนจะมาเข้ามาถึงชายป่าดิบชื้นที่มีไม้ใหญ่ขึ้นสูง หนานเดินมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนที่จะชี้ให้อีกคนหนึ่งดู
          “นี่ล่ะต้นชิง”
          วันชัยมองไปยังต้นไม้ที่ว่า ลำต้นของมันมีขนาดเล็กสูงประมาณเท่าความสูงของวันชัย ส่วนใบนั้นเป็นแพเล็กๆกระจายไปตามก้านใบ เขามองไปรอบๆก็พบว่า ต้นชิงที่ว่านั้นขึ้นกระจายไปทั่วบริเวณแซมอยู่กับไม้ยืนต้นอื่นๆ
          “เหมือนจะเป็นตระกูลเดียวกับไม้จำพวกปาล์มนะ”
          “คุณนี่รู้เยอะจริงๆ” หนานกล่าวชม
          “ผมต้องเรียนรู้เรื่องการเอาชีวิตรอดในป่าครับ”
          “นั่นสินะ คุณคือนายทหารผู้สูงศักดิ์นี่”
          “ผมเป็นเพียงคนๆหนึ่งที่รักคุณเท่านั้นแหละหนาน”

          หนานหลบสายตาเจ้าชู้ของคนรักพลางแอบอมยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
          “เดินไปอีกสักพักใหญ่ จะถึงถ้ำหงส์”
          “ถ้ำหงส์งั้นหรือ ข้างในนั้นมีหงส์อยู่หรือไง”
          “ก็ว่ากันว่าน่ะนะ ว่าเมื่อก่อนเคยมีหงส์หลงเข้าไป” หนานตอบ “คุณมีไฟฉายมาด้วยใช่ไหม ผมไม่ได้เอามาเผื่อ”
          “เอามาครับ”
          “ดี งั้นเราเดินทางกันต่อเถอะ”

...

          ทั้งคู่เดินลัดเลาะมาจนถึงปากทางเข้าถ้ำที่หนานบอกไว้ ท่ามกลางป่ารกชัฏนั้น มีรอยแยกของหินขนาดเล็กๆพอให้คนหย่อนตัวลงไปได้ วันชัยย่นคิ้วเป็นเชิงสงสัย แต่เค้าก็อมยิ้มออกมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
          “ผมเชื่อแล้ว ว่าทำไมถึงเคยมีหงส์หลงเข้าไป ก็ทางเข้าถ้ำของคุณมันเล็กแค่นี้นี่นา”
          “ดูลำบากไปงั้นหรอ จะไม่เข้าไปดูก็ได้นะ”
          “ดูถูกกันหรือไงคุณ คุณก็เห็นว่าผมเคยกลัวอะไรบ้าง ... เข้าไปกันเถอะ ผมอยากเห็นแล้วว่าในถ้ำหงส์ที่คุณแนะนำข้างในจะสวยขนาดไหน”
          “งั้นก็ ... เชิญทัศนาครับ” หนานบอกพร้อมกับหย่อนตัวลงไปในทางเข้าเล็กๆนั้น โดยมีวันชัยตามเข้าไปติดๆ ข้างในถ้ำนั้นมืดสนิท มีเสียงน้ำไหลเอื่อยๆเบาๆพร้อมกับความรู้สึกเย็นชุ่มฉ่ำทั่วบริเวณถ้ำ และที่พื้นถ้ำนั้นก็มีน้ำไหลผ่านไปตลอดแนวทางเดิน   
          “เอ้า ทีนี้คุณลองฉายไฟดูสิ” หนานบอกในความมืด ไม่ต้องบอกวันชัยก็กำลังจะทำอย่างนั้น
          “โอ้โห ... สวยมากๆเลย เหมือนกับว่าอยู่บนท้องฟ้าที่มีแต่ดวงดาวเลยหนาน”

          เมื่อแสงจากไฟฉายทาบทับกับผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตา ก็เกิดเป็นประกายระยิบระยับนับไม่ถ้วนรอบตัวของทั้งคู่ วันชัยหันมามองหนานพร้อมกับยิ้มให้เพื่อแสดงออกว่า เขาชอบที่นี่แค่ไหนเหมือนกับที่ชอบคนที่นำพาเขามาพบกับที่นี่
          “ปลายทางข้างหน้าจะมีน้ำตกด้วยนะ”
          “แค่ที่นี่ก็สวยเสียจนผมอยากยืนกุมมือคุณแล้วนั่งมองไปทั้งชีวิตแล้วล่ะ” วันชัยบอกพลางจับมือของหนานไว้แน่น
          “งั้นผมให้เวลาคุณอีกสักหน่อยก็ได้ คุณจะได้ เอ่อ ... อยู่ดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวของคุณอีกสักหน่อย”

          ครู่ต่อมา หนานก็พาวันชัยเดินไปตามทางที่มีน้ำไหลผ่าน จนมาสุดทาง ข้างหน้าของทั้งคู่มีหินปูนขนาดใหญ่กั้นเอาไว้ วันชัยจึงถามขึ้นเนื่องจากภาพตรงหน้าไม่ตรงกับที่หนานบอกเข้าไว้เมื่อครู่
          “ไหนคุณว่า ปลายทางเราจะเจอกับน้ำตกไง?”
          “ก็นี่มันใช้ปลายทางที่ว่าซะที่ไหนเล่า” หนานว่า พลางฉายไฟลงต่ำ “นี่คือทางไปยังถ้ำชั้นต่อไป”
          “หา? เนี่ยน่ะเหรอ” วันชัยอุทาน เนื่องจากเส้นทางที่หนานว่านั้น สูงเลยหน้าขาของเขามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
          “ก็นี่แหละ เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ”

          หนานพาวันชัยคลานต่ำๆลอดใต้ผนังถ้ำอย่างช้าๆ จนเปียกปอนกันทั้งคู่ และเมื่อลอดผ่านผนังถ้ำนั้นมาได้ ทั้งคู่ก็ได้รับการต้อนรับจากฝูงค้างคาวนับหมื่น บางตัวก็บินโฉบเข้ามาหาเขาเนื่องจากตกใจแสงไฟที่สาดกระทบพวกมัน
          “เชี่ย!!!” วันชัยอุทานเสียงหลงเมื่อโดนค้างคาวบินโฉบใส่หน้า
          “ใจเย็นๆ มันแค่ตกใจที่มีผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้นเอง
          “ครับๆ” วันชัยรับคำพร้อมกับนั่งก้นจ้ำเบ้าบนพื้นถ้ำที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำเย็นๆ เขาฉายไฟขึ้นไปข้างบนก็พบกับค้างคาวมากมายบินกันขวักไขว่ บ้างก็เกาะบนผนังถ้ำ
          “แล้วในโถงนี้ คุณยังรู้สึกเหมือนอยู่บนท้องฟ้าของคุณอยู่หรือเปล่าล่ะ” หนานถามด้วยรอยยิ้มขบขัน
          “ไม่แล้วล่ะ แต่ก็ยังดีที่มีคุณอยู่ข้างๆนะ” วันชัยบอกพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้
          “ข้างหน้าจะมีโถงหินงอกหินย้อย” หนานเปลี่ยนเรื่อง เขายังไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่กับคำหวานๆแบบนี้
          “แล้วน้ำตกล่ะ” วันชัยถามขึ้น เนื่องจากเขาได้ยินเสียงสายน้ำดังขึ้นกว่าอยู่ข้างนอก และรู้สึกได้ว่าเสียงนั้นไม่ไกลจากที่นี่นัก “ผมได้ยินเสียงเหมือนอยู่ไม่ไกล”
          “ก็ไม่ไกลนะ แต่เป็นแค่น้ำตกชั้นแรก ในนี้มีน้ำตกอยู่สองชั้น”
          “ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าโพรงเล็กๆที่เราสองคนมุดเข้ามา จะมีน้ำตกอยู่ถึงสองที่”
          “เลิกตะลึงแล้วไปกันต่อเถอะ หรือถ้าคุณอยากจะชื่นชมฝูงค้างคาวในห้องนี้เหมือนห้องที่แล้ว ผมก็จะให้เวลาคุณต่ออีกหน่อย”
          “ไม่เอาล่ะ เราไปกันต่อเลยดีกว่า”

....
          ทั้งคู่เดินทางกันต่อจนมาถึงน้ำตกชั้นที่หนึ่ง ที่เป็นเพียงน้ำตกเล็กๆไหลผ่านโขดหินในถ้ำ หนานพาวันชัยปีนป่ายขึ้นไปยังโขดหินที่ว่าไปยังชั้นต่อไปของถ้ำ ซึ่งชั้นนี้เป็นโถงที่มีหินงอกหินย้อยอยู่มากมายท่ามกลางเสียงสายน้ำที่ดังอื้ออึง วันชัยถ่ายรูปหินรูปร่างแปลกๆพลางชี้ชวนให้หนานช่วยเขาจินตนาการว่าหินนั้นเหมือนอะไรบ้าง หนานเล่นกับเขาอยู่ไม่นาน เพราะไม่ใช่คนช่างคิดช่างจินตนาการขนาดนั้น เขาพาวันชัยเดินทางต่อ จนมาถึงกับปลายทาง ที่เป็นน้ำตกขนาดใหญ่อย่างที่บอกเอาไว้
          “นี่ใช่ไหม ปลายทางน้ำตกที่คุณว่า”
          วันชัยพูดขึ้นพลางวางสัมภาระทั้งหมดบนโขดหินขนาดใหญ่ริมแอ่งกระทะขนาดเล็กภายในถ้ำ หากแต่โขดหินและสายน้ำที่ไหลซู่ลงมาจากปากปล่องข้างบนผนังถ้ำซึ่งน่าจะไหลมาจากที่ไหนสักแห่งบนเทือกเขานัน
          “ใช่ ... คุณชอบไหม?”

          วันชัยไหมไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขานั่งลงบนโขดหินพลางหันหน้ามามองหนานด้วยรอยยิ้ม
          “คุณกับผมยังไม่ได้อาบน้ำกันเลยนี่นา”
          “ก็ไม่แปลกนี่ ก็เรามาเดินป่ากันนี่ อีกอย่าง อากาศที่นี่ก็เย็นออกจะตายไป”
          “คุณรู้ไหม คนกรุงเทพเขาไม่ปล่อยให้ตัวเองไม่ได้อาบน้ำกันข้ามวันข้ามคืนหรอก”
          “แต่ที่นี่คือกรุงชิง ไม่ใช่กรุงเทพ”
          “แต่ผมอยากอาบน้ำแล้วล่ะ” วันชัยบอกพร้อมกับถอดเสื้อของตัวเองออก เขาเดินไปจับมือของหนานพร้อมกับกระซิบที่ข้างหู “และผมอยากให้คุณมาอาบด้วยกัน”
          “ผมว่า ... ไม่ดีกว่า”
          “ไปอาบด้วยกันเถอะน่า ผมไม่อยากอุ้มคุณไปนะ และผมก็ไม่อยากให้เสื้อผ้าคุณเปียกด้วย”

          หนานเบือนหน้าหนีโดยไม่พูดอะไร วันชัยจึงเป็นฝ่ายถอดเสื้อของหนาน เขาละมาจัดการกับตัวเองจนเปลือยเปล่าก่อนจะเลื่อนมือลงมาปลดกางเกงของหนานบ้าง เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่กลางลำตัวของหนานซึ่งมันทำให้เขาพอใจ เมื่อทั้งคู่ต่างอยู่ในสภาพเดียวกันแล้ว วันชัยก็อุ้มหนานไปยังใจกลางของน้ำตกที่มีสายน้ำไหลลงมา เขาให้หนานพิงกับผนังถ้ำนั้นแล้วจูบที่ปากของชายหนุ่มอย่างดูดดื่ม
          “ให้ตายสิ ผมรู้สึกว่าคุณกำลังจะทำอะไรที่มากกว่าการอาบน้ำ” หนานพูดเสียงกระเส่า ประสานกับเสียงน้ำตกที่ดังอื้ออึง
          “ไม่เชื่อผมหรือไง ผมเคยแสดงออกให้คุณรู้สึกว่าผมเป็นคนไม่จริงใจอย่างนั้นหรือไง”  วันชัยตอบหนานโดยที่ริมฝีปากของเขายังคงโลมไล้ไปตามลำคอของหนาน
          “อย่างน้อยก็ครั้งนี้แหละ”
          “ผมสัญญาว่านี่จะเป็นครั้งเดียวที่ผมปากไม่ตรงกับใจ ... แต่ถึงอย่างนั้น” เขาบอกพลางคว้าไปที่กลางกายของหนานที่กำลังตื่นตัวเช่นเดียวกันกับของเขา “ผมก็คิดว่าคุณเองก็อยากที่จะให้มันเป็นมากกว่าการอาบน้ำเหมือนกันนั่นแหละ”
          “คุณคิดไปเองทั้งน...”
          วันชัยไม่ปล่อยให้หนานพูดจบ เขาประกบปากหนานอีกครั้ง ไม่มีคำพูดใดๆอีกต่อไปท่ามกลางเสียงสายน้ำของน้ำตกที่อยู่ลึกสุดของถ้ำหงส์แห่งนี้

....
       
          ทั้งคู่นั่งพิงผนังถ้ำตรงน้ำตกทั้งที่ร่างกายยังเปลือยเปล่า หนานเอนศีรษะไว้ตรงไหล่ของวันชัย ทั้งคู่กำลังคิดในเรื่องเดียวกันนั่นคือเวลาที่เหลืออยู่ ในขณะที่เวลาที่ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันกำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ หากแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับแน่นแฟ้นมากขึ้น ดังนั้น หากเวลาหมดลง ช่วงเวลาแห่งการพลัดพรากย่อมโหดร้าย
          “ผมคิดผิดหรือเปล่า ... ที่....”
          “อย่าคิดอย่างนั้นสิหนาน จำไว้อย่างเดียวว่าผมรักคุณ และจะต้องกลับมาอยู่กับคุณแน่ๆ อย่างน้อยๆ ผมยังมีเวลาเหลืออีกตั้งสี่วันเลยนะ”
          “ไม่หรอก เราใกล้จะหมดเวลาแล้วต่างหาก”
          “สี่วันสำหรับผมนี่นานมากเลยนะ เราไปที่ไหนได้อีกตั้งหลายที่”  วันชัยปลอบ
          “คุณไม่เผื่อเวลาสำหรับการเดินทางเลยหรือไง ที่นี่คือกรุงชิงนะ ที่นี่มีแต่ป่า ไม่ใช่ในเมืองที่คุณจะต่อรถสองแถวไปที่ บขส. ได้ง่ายๆ”
          “ไม่เอาน่า หนาน ผมรู้ว่าคุณหวั่นไหวและหวาดกลัว และผมก็รู้ว่ามันดูเลื่อนลอยเพราะผมมีแต่คำสัญญาด้วยเกียรติของผมเท่านั้น คุณอยากให้ผมทำอะไรอีกไหม คุณจะได้มั่นใจว่าผมไม่มีวันลืมคุณ”
          “ผมก็ไม่รู้...” หนานตอบห้วนๆ พลางเงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อขับไล่ความอ่อนแอในตัวเอง “เอาล่ะ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ คุณอยากไปดูน้ำตกที่สวยที่สุดในกรุงชิงหรือเปล่า”
          “มีที่สวยกว่าที่นี่อีกหรอ?”
          “แน่นอน ... ที่บ้านของผมเอง น้ำตกกรุงชิง ที่หมู่บ้านกรุงชิง”

          วันชัยลูบหัวของหนานช้าๆ เขารู้ว่าคนรักของเขารู้สึกปวดร้าวในอกสักเพียงใด และความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากเขาสักนิด เขาจูบที่หน้าผากของหนานอย่างแผ่วเบาแล้วคว้ามากอดแน่น
          “วันหนึ่งที่ภาระหน้าที่ของผมจบลง ผมจะมาอยู่กับคุณที่นี่หากกรุงชิงยังต้อนรับผม แต่ถ้าไม่ ขอเพียงแค่หัวใจของคุณยังมีนายวันชัยคนนี้อยู่ ผมจะเสาะหาที่ไหนสักแห่งบนโลก แล้วอยู่กับคุณสองคนที่นั้น เหมือนในเวลานี้ที่มีแต่เราเพียงสองคน”
 
   

   

   
   


ใกล้จะเป็นสารคดีท่องเที่ยวไปเสียแล้วนะเนี่ย  :laugh:

โปรดติดตามตอนต่อไป
หนิงหน่อง
ลำนำบุหลันครวญ

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2545
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
นิวขอตั้งชื่อตอนนี้ว่า "วารีอภิรมย์"  อ่านไปแล้วเขินสุดๆ ม้วนไปม้วนมาจนเมทหันมาถาม  :-[

พี่หนิง เขียนได้หวานกระแทกใจสุด ๆ แต่ว่า...เค้าลางแห่งเรื่องเศร้าเหมือนกำลังจะมาเลย  o22

มันก็คงต้องมีบ้างตามสไตล์พี่หนึงหล่ะเนอะ  :hao3:


รอตอนต่อไปนะครับ  :L2:

เหนือฟ้ายังมีจักรวาล

  • บุคคลทั่วไป
อบอวลไปด้วยความสุขอันหอมหวาน ชอบบบบบบบ...

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ 5
     
      “นั่นไง หมู่บ้านกรุงชิง”

         หนานชี้ไปข้างหน้า หมู่บ้านขนาดเล็กซึ่งอยู่กันอย่างกระจายตัวกินอาณาเขตกว้างขวางบนพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาท่ามกลางอ้อมกอดแห่งป่าชิง วันชัยยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพจากจุดที่เขายืนอยู่ซึ่งมองเห็นบ้านเรือนในหมู่บ้านกรุงชิงแต่ละหลังเล็กเท่าเมล็ดถั่วเท่านั้น ไม่ไกลจากหมู่บ้านนักมีสามารถมองเห็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ตรงภูเขาพร้อมกับเสียงน้ำซัดแว่วๆมาตามสายลม
     
         “รู้สึกเหมือนได้เข้าบ้านแฟนครั้งแรกเลย”
         “ก็ไม่ผิดจากที่รู้สึกไม่ใช่หรือ”
         “ต่างกันสักหน่อยตรงที่ ... บ้านแฟนของผมไม่ใช่ที่ที่นึกอยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้” วันชัยเผลอหลุดความข่นขืนที่เขาสะกดกลั้นเอาไว้ แต่เขาก็เก็บมันเอาไว้อีกครั้ง “ผมอยากไปเห็นบ้านของคุณแล้วล่ะ”
         “งั้นก็ไปกันเถอะ

         ทั้งสองคนมาถึงหมู่บ้านกรุงชิงในช่วงสาย สายตาทุกคู่จับจ้องมายังผู้มาเยือนแปลกหน้าทำให้วันชัยรู้สึกแปลกแยก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำตัวเป็นปกติและพยายามเป็นมิตรกับทุกคน

         “ที่นี่มีสนามบาสเก็ตบอลด้วยหรอ”

         วันชัยถามด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นแป้นบาสเก็ตบอลบนเนินดินลูกรัง การเดินทางที่แสนทุรกันดารที่เขาผ่านมาทำให้สนามบาสเก็ตบอลกลางป่าใหญ่แห่งนี้ดูเป็นสิ่งที่ไม่เข้าพวกอย่างสิ้นเชิง

         “นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าความเจริญมักพยายามขยายตัวไปทุกที่ตามคุณลักษณะของมัน”
         “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ดูทันสมัยกว่าที่ผมคิดเยอะเลย”

         หนานไม่ได้ต่อความอะไรอีก เขาพาวันชัยเดินมาเรื่อยๆมาหยุดยังบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งที่ทำจากปีกไม้ทั้งหลังขนาดกลาง หน้าบ้านมีชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งชายหนุ่มเดาว่าน่าจะเป็นบุพการีของหนาน

         “นี่พ่อกับแม่ของผม” หนานแนะนำ
         “สวัสดีครับ” วันชัยยกมือไหว้ด้วยความเคารพ สองสามีภรรยารับไหว้ด้วยท่าทางแปลกใจ
         “นี่ใครรึหนาน”
         “เพื่อนครับ เจอกันในป่า เขามาเที่ยวพอดี มาจากกรุงเทพ”
         “กรุงเทพเลยงั้นรึ?” เสียงของผู้เป็นพ่อแสดงอาการตกใจยิ่งขึ้น หากแต่ก็พยายามทำทีสงบเข้าไว้ “เก่งนะ มาถึงที่นี่ได้”
         “ตอนแรกหนานก็ชมผมแบบนี้แหละครับ” วันชัยเกาหัวแก้เก้อ
         “พาเพื่อนไปพักผ่อนก่อนเถอะ หนาน” ผู้เป็นแม่บอก หนานจึงได้พาวันชัยมาเก็บสัมภาระในห้องที่แบ่งอย่างง่ายๆ ภายในแทบไม่มีเครื่องเรือนอะไรนอกจากฟูกที่ปูไว้บนเสื่อเก่าๆ
         “พอจะนอนได้ไหม?”
         “นี่สบายกว่าที่เรานอนกันในป่าเยอะเลยหนาน”

         หนานพยักหน้าพลางเดินไปเปิดหน้าต่างออก เขายืนเหม่อมองออกไปไกลโดยไม่พูดอะไร วันชัยเดินไปโอบเอวของหนานจากด้านหลังแล้วกระซิบถามเบาๆที่ข้างหู

         “คิดอะไรอยู่ฮึ”
         “วันมะรืน คุณต้องกลับได้แล้วนะ” หนานตอบโดยไม่หันมามองหน้าวันชัย
         “คุณอยากให้ผมกลับแล้วหรอ”

         หนานส่ายหน้า วันชัยจึงหอมแก้มของเขาเบาๆ
         “แล้วทำไมคุณถึงไล่ผมกลับล่ะ”
         “คุณต้องรู้หน้าที่สิ ในเมื่อคุณมีเวลาเท่านี้คุณก็ต้องรักษาเวลา”
         “ข้อนั้นผมรู้ดี” วันชัยรับคำด้วยสีหน้าเศร้าลง “ผมแค่ยังไม่อยากนึกถึงเวลานั้น ผมแค่อยากลืมหัวโขนที่ผมใส่อยู่เวลาได้อยู่กับคุณสองคน”
         “ผมควรคิดเหมือนคุณหรือเปล่า”
         “ไม่จำเป็นเลยหนาน คุณแค่เป็นคุณในแบบที่เป็น เพราะผมรักคุณในแบบนี้”

         หนานคลายอ้อมกอดของวันชัย เขาหันมายิ้มให้กับคนที่เขารัก ก่อนจะบีบมือคู่นั้นแน่น
         “ผมจะไปช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว”
         “มื้อนี้เป็นตัวแลนอีกหรือเปล่า” วันชัยยิ้มกวน
         “ถ้ามีเหลือจะทำให้กิน”
....

         พ่อกับแม่ของหนานไม่ใช่คนคุยเก่งนัก มื้ออาหารจึงเป็นการนั่งกินกันเงียบๆสร้างความกระอักกระอ่วนอยู่สักหน่อยแก่วันชัย แม้เขาจะชวนคุยบ้างแต่ก็เป็นการถามคำตอบคำอย่างสงวนคำพูด มื้ออาหารจึงจบลงอย่างเงียบๆ

         ตกค่ำ ไฟตะเกียงจากบ้านแต่ละหลังค่อยๆดับทีละดวง สายลมเย็นโชยมาเอื่อยๆชวนให้หลับลงแม้จะมาจากบ้านเมืองที่ไม่รู้จักหลับใหลก็ตาม วันชัยนอนกอดหนานอยู่ในมุ้งที่กางไว้ในห้อง ปราศจากคำพูดใดเพราะหัวใจของทั้งคู่ต่างตอบคำถามแก่กันและกันจนหมดสิ้น หากนับเวลาได้ประหนึ่งก้อนกรวด หนานและวันชัยคงตั้งใจกอบเก็บเอาทุกเม็ดเพื่อรักษามันไว้ให้นานเท่านาน

         ฟ้าเปิดแล้ว อ้อมกอดของวันชัยถูกแกะออก แม้หนานจะโหยหาอ้อมกอดนั้นต่อเวลาให้นานอีกสักหน่อย หากแต่ที่นี่คือบ้านของเขา ความผิดแผกที่เขาริเริ่มดูไม่ใช่เรื่องดี เขาลุกขึ้นมาช่วยพ่อแม่หุงหาอาหารในตอนเช้าโดยปล่อยให้วันชัยหลับต่อ

         “จริงหรือ ที่ว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นทหาร?” ผู้เป็นพ่อถามขึ้นสีหน้าเรียบๆระหว่างที่หนานกำลังผ่าฟืน
         “ใช่ครับ”

         หนานพอจะอ่านสีหน้าแววตาของพ่อออก เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น
         “วันชัยเป็นคนดีครับพ่อ ไม่เหมือนพวกเสื้อกากีพวกนั้นหรอก”
         “ยังไง พ่อก็ไม่ชอบพวกขี้ข้ารัฐ พวกมันทำเหมือนเราไม่ใช่คน แล้วก็อวดตัวว่าวิเศษ”
         “ถ้าพ่อรู้จักเขามากกว่านี้ ผมว่าพ่อต้องชอบนิสัยเขา”
         “เอ็งพูดเหมือนรู้จักมันดีนัก”

         หนานไม่กล้าตอบว่ารู้จักเขาดีแค่ไหน ถ้าวัดกันที่เวลาก็นับว่าผิวเผิน หากแต่เขารู้สึกว่าลึกซึ้งในความรู้สึก หนานเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแทน

         “ผมว่าจะพาเขาไปเที่ยวน้ำตกกรุงชิง เดี๋ยววันพรุ่งนี้เขาก็จะกลับแล้ว”
         “กลับไปเสียได้ก็ดี” ผู้เป็นพ่อสบถ  ไม่นึกอยากพูดถึงผู้มาเยือนอีก หนานจึงไม่อยากจะว่าอะไรเพิ่ม เพราะแม้แต่เขา การรู้จักกับวันชัยยังเป็นแค่การเริ่มต้น นับประสาอะไรกับพ่อและแม่ที่เพิ่งจะมาเจอกับวันชัยแค่เพียงวันเดียว
....

         หลังจบมื้อเช้า พ่อกับแม่ของวันชัยไม่ได้ร่วมวงกินข้าวด้วยโดยอ้างว่าต้องเข้าป่าแต่เช้า และหนานก็เลือกที่จะกลบเกลื่อนความไม่ชอบหน้าของคนในครอบครัวไม่ให้เขารู้

         “ผมจะพาไปน้ำตกกรุงชิงตามที่สัญญา เอาเสื้อผ้าไปเผื่อสักชุดแล้วกัน”
         “เราจะไปเล่นน้ำกันหรือ ถ้างั้นเอาไปชุดเดียวก็ได้ ถ้าเล่นน้ำกับหนานผมไม่ต้องใส่เสื้อผ้าหรอก” วันชัยพูดอย่างมีเลศนัย
         “งั้นเอาไปเผื่ออีกชุดหนึ่ง เพราะเราจะไปค้างกันสักคืน”
         “โอ้โห ค้างแรมอีกแล้ว”

       วันชัยมีสีหน้าดีใจ ในขณะที่หนานแสร้งยิ้มไปกับเขา เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นก็เพื่อหลบสายตาไม่เป็นมิตรของครอบครัว และคนในหมู่บ้าน คนที่นี่ไม่ค่อยมีใครชอบคนต่างถิ่น ยิ่งเป็นข้าราชการยิ่งแล้วใหญ่ เพราะคนพวกนั้นมักอวดตัวว่าเป็นคนมียศศักดิ์ เวลาชาวบ้านป่าเมืองเถื่อนเข้าไปทำธุระราชการในเมืองแต่ละครั้งแทบจะต้องก้มกราบ และสำหรับคนกรุงชิง นั่นหมายถึงการหยามเกียรติ เขารู้ดีว่าวันชัยจะต้องพบกับเรื่องนี้ หากแต่เวลาที่หดหายลงไปทุกทีก็ทำให้เขาอยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่เหลือเอาไว้

       “ก็น้ำตกกรุงชิงมีตั้งเจ็ดชั้นนี่นา กว่าจะเดินไปถึงต้องใช้เวลานานน่าดู ก็ถือโอกาสไปค้างซะหนึ่งคืนเลย”
      “ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรหรอก ผมอยู่ได้ทุกที่ที่มีคุณ”
      “อีกหน่อยก็ต้องกลับแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะอยู่ได้ยังไง”
      “คุณไม่ได้อยู่ห่างผมไปไหนเสียหน่อย คุณอยู่ตรงนี้เสมอเลยนะ” วันชัยบอกแก่หนานพลางชี้นิ้วไปที่อกข้างซ้ายของตน
      “รีบไปกันดีกว่า” หนานตัดบททันที
....

      เบื้องหน้าของทั้งคู่เป็นวังน้ำขนาดใหญ่ ผืนน้ำสีเขียวมรกตเป็นริ้วระลอกประสานกับเสียงสาดกระเซ็นของน้ำที่ตกลงมาจากชะง่อนผา อีกทั้งยังมีฝูงปลาประจำถิ่นที่แหวกว่ายอยู่ ริมวังน้ำนั้นมีแอ่งทรายขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ หนานและวันชัยหยุดเดินอยู่ที่แอ่งทรายนั้น ชายหนุ่มต่างถิ่นหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาบันทึกภาพรอบๆบริเวณเอาไว้ก่อนจะหันมายิ้มอย่างพอใจให้แก่คนที่พาเขามา
      “ชั้นนี้เรียกว่าหนานวังเรือบิน”
      “น้ำตกนี้มีกี่ชั้นนะ”
      “เจ็ดชั้น ... ชั้นต่อไปคือหนานต้นตอ หนานจน หนานโจน หนานปลิว หนานฝนแสนห่า แล้วก็หนานมัดแพ”
      “ผู้ค้นพบช่างเข้าใจคิดชื่อได้ถูกใจผมจัง มีแต่หนานเต็มไปหมดเลย”
      “พ่อกับแม่ผมบอกรักกันที่นี่ เลยตั้งชื่อว่าหนาน”
      “อ้อ หนานทั้งหลายนี่คงเป็นพยานรักของท่านทั้งสอง”
      “นักรักอย่างคุณจะเข้าใจแบบนั้นก็ได้ ... ไปต่อกันเถอะ ข้างบนสวนกว่านี้เยอะเลย โดยเฉพาะที่หนานฝนแสนห่า เป็นชั้นที่สวยที่สุด”
      “ขอแค่มีคุณอยู่ด้วย ต่อให้เป็นเล้าหมูผมก็ว่างดงาม”
      “ไปได้แล้ว” หนานตัดบท

      เส้นทางการขึ้นไปชมน้ำตกแต่ละชั้นนั้นค่อนข้างลาดชันเพราะต้องไต่ไปตามภูเขา แต่ถึงอย่างนั้นวันชัยก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแก่การเดินทาง เพราะความงามของกระแสน้ำที่ตกกระทบโขดหินของน้ำตกแต่ละชั้นนั้นงดงามดังคำที่เรียกชื่อน้ำตกหนานต่างๆที่ขนานนามไว้
     
      หนานจนเป็นหนานที่เป็นแอ่งน้ำตกที่รับน้ำมาจากด้านบน สายน้ำจะไหลไปตามแอ่งน้ำนั้นไปถึงปลายสุดของขอบเขาและไหลลงสู่เบื้องล่างที่เป็นหนานต้นตอ หนานโจนนั้น สายน้ำจะไหลพัดแรงประหนึ่งกระโจนเข้าใส่โขดหิน ส่วนหนานปลิวเป็นน้ำตกขนาดกลาง สายน้ำจะไหลหล่นกระทบแง่งหินกลายเป็นไอน้ำพัดปลิวไปตามแรงลมจนเกิดเป็นไอคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
     
      “นี่ต้นปาล์มในไหมหนาน ทำไมมันสูงขนาดนี้”
     
      วันชัยชี้ให้หนานดูต้นปาล์มขนาดใหญ่สูงเลยหัวคนไปหลายศอก ใบของมันใหญ่โตและดูแหลมคม หนานเดินเข้ามาและอธิบายอย่างเรียบๆด้วยรอยยิ้ม
      “ก็เป็นตระกูลเดียวกับปาล์ม เรียกกันว่าช้างร้องไห้”
      “หืม ... ชื่อพิลึก”
      “ว่ากันว่า เคยมีช้างมาปลิดกินลูกของมันแล้วโดนใบบาดงวงจนช้างตัวนั้นร้องไห้เพราะความเจ็บปวด”
      “อื้อหือ แสดงว่าใบมันคงคมเอาเรื่อง”
      “ก็ทำนองนั้นแหละมั้ง...” หนานบอก พลางแหงนคอตั้งมองยอดต้นช้างร้องไห้ที่สูงเสียด “ก็คงเหมือนความรัก ถ้าหน้ามืดตามัวไขว่คว้ามาโดยไม่ได้ใส่ใจถึงความเหมาะสม ก็คงเหมือนช้างที่ไม่ระวังจนต้องร้องไห้”

      วันชัยแตะไหล่ของหนานให้เขาเลิกคิดถึงอุปสรรคข้างหน้า ทั้งสองคนรู้ดีว่าวันข้างหน้าจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งเขายังอยากให้ทั้งสองดวงใจได้เกาะกุมฝ่าฟันไปด้วยกัน
      “แต่เราไม่ใช่ช้าง เรามีความคิดและหนักแน่นพอ... และผมก็คือผม ที่รักคุณ”
      “ผมหวังให้ผมเชื่อมั่นในตัวคุณได้ตลอดไป” หนานบอกโดยไม่หันมามอง
      “เราไปพิสูจน์ความรักกันที่ข้างหน้าเถอะ ... ที่หนานฝนแสนห่า” วันชัยบอกพร้อมกับประทับริมฝีปากไว้ที่ข้างแก้มของหนาน
      “คุณหมายความว่ายังไง?”
      “ไปพิสูจน์กันด้วยตาตัวเองเถอะ”
....

         เสียงสายน้ำกระเซ็นสอดรับกับเสียงขับขานของนกป่าสายพันธ์ต่างๆ เบื้องหน้าของทั้งคู่เป็นน้ำตกสูงขนาดหนึ่งร้อยเมตร ตรงกลางน้ำตกมีชะง่อนหินขนาดใหญ่ทำให้สายน้ำนั้นแยกออกเป็นสองสาย ก่อนจะไหลกระเซ็นลงมาประหนึ่งฝนแสนห่าดังชื่อเรียกขานน้ำตกแห่งนี้
         “คุณจะพิสูจน์อะไรที่นี่” หนานกล่าวถามเมื่อมาถึง
         “ที่นี่คือหนานฝนแสนห่าที่คุณว่าสินะ ... สวยงามสมชื่อจริงๆ”
         “คุณตอบไม่ตรงคำถาม”หนานคาดคั้น วันชัยจึงขยี้หัวเขาเบาๆ ก่อนจะพิงหลังที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
         “ผมจะบอกว่า ความรักของผมถ้าจะนับ ก็คงเหมือนหยดน้ำที่ไหลลงมาจากหนานฝนแสนห่าแห่งนี้นั่นแหละ ... คุณลองนับดูสิ”
         “จะบ้าหรือไง ใครจะนั่งนับหยดน้ำในน้ำตกได้”
         “ใช่ไหมล่ะ มันนับไม่ได้หรอก ... ในเมื่อมันไม่มีวันหมด แสดงว่า ผมจะไม่มีวันหมดรักคุณ” วันชัยพูดพร้อมกับลูบพวงแก้มของหนานเบาๆ
      “คุณกำลังทำให้ผมหลงใหลไปกับคำหวานของคุณ ผมไม่น่าหลงน้ำคำคนกรุงเทพเลยจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะลืม... ลืมว่าเราเคยรู้จักกัน” หนานกว่าน้ำตาคลอ

      ยิ่งใกล้จะถึงวันลาจาก หนานยิ่งหวั่นไหวและปวดร้าว เขาตระหนักแล้วว่าเขาต้องการวันชัยขนาดไหน ... และเขากำลังลิ้มรสความรู้สึกโหยหาเมื่อการพลัดพรากใกล้จะดำเนินมาถึงในอีกไม่นาน
      “แต่ผมจะไม่มีวันลืมคุณ ไม่มีวันลืมหนานฝนแสนห่าที่เป็นเสมือนความรักที่กลั่นออกมาจากใจของผม และจะไม่มีวันลืมกรุงชิง เพราะผมไม่ใช่แค่เพียงมาเที่ยวที่นี่เท่านั้น หากแต่... ผมได้ฝากหัวใจไว้ที่นี่ ให้แก่คุณ ที่กรุงชิงแห่งนี้”
หนานกอดวันชัยแน่น เขาหวาดกลัวและสับสน
      “สัญญานะ ว่าจะไม่ทิ้งกัน”
      “ด้วยเกียรติและหัวใจของผมเลยครับ หากผมไม่ทำตามสัญญา ขอให้หนานทั้งเจ็ดแห่งกรุงชิงจงลงโทษฐานที่ทำให้นายหนานแห่งกรุงชิงต้องเจ็บช้ำ”
      หนานผละตัวเองจากอ้อมกอดของวันชัย เขาปาดน้ำตาที่ยังไม่ไหลอาบแก้ม พลางเชิดหน้ามองคนตรงหน้าอย่างผ่าเผย
      “ผมจะเชื่อในตัวคุณ”
 


 


หายไปนานสักนิด ต้องขอโทษด้วยครับ
เนื่องจากหวัดรับประทานตามกระแส แล้วเป็นคนป่วยยาก เวลาป่วยทีนี่แทบจะไปเฝ้ายมบาล

สำหรับตอนนี้ก็จบพาร์ทท่องป่าแล้ว ซึ่งก็มาถึงครึ่งทางตามพลอตที่วางไว้
ฝากเป็นกำลังใจและติดตามกันต่อด้วยนะครับ

หนิงหน่อง
ลำนำบุหลันครวญ


ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2545
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีตุ๊ด! เอ๊ย ทุกข์  :m23:

มีพบย่อมมีพราก หวังใจอย่างยิ่งว่านายทหารจะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้

ไม่ใช่ว่ามาแล้วจะทิ้งรอยแผลที่ไม่มีวันหายตลอดกาลนะ


แล้วพี่ท่านป่วยเป็นอะไรมากมั๊ยครับ? แล้วหายดีหรือยัง?

รอตอนต่อไปนะครับพี่หนิง  :L2:

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5
ตัวแลน
เราว่ามันน่าจะเป็นลูกหลานตระกูลไดโนเสาร์นะ
จะได้รักกันไหมล่ะนั่น ดูๆครอบครัวหนานรังเกียจวันชัยขนาดนั้น
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ  :L2:
หายป่วยเร็วๆนะคะ :mc4:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เป็นกำลังใจให้หนานและวันชัย

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1

พระจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือเทือกเขาที่โอบล้อมหมู่บ้านกรุงชิง หนานนั่งเหม่อมองไปไกลแสนไกลยังชายป่าสุดลูกหูลุกตาท่ามกลางความมืดนั้น เสียงจักจั่นเรไรขับขานทำนองเพลงป่าและสายลมหนาวที่พัดหวิว เขานั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ นึกถึงเส้นทางที่เขาเดินทางผ่านมาและมือข้างหนึ่งของคนต่างถิ่นที่เคยเกาะกุม เวลานี้ ในมือของเขาถือกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ เขาไม่แม้แต่จะส่งเสียงลมหายใจออกมา หากแต่ในหัวใจของเขา มีคำพูดและห้วงคำนึงมากมายที่อัดอั้นอยู่บนความสับสนที่ต้องก้าวข้ามความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น...
“หนานยอดรัก
จดหมายฉบับนี้ผมเขียนถึงคุณในทันทีที่ผมเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่พอจะช่วยปลดปล่อยความโหยหาและคิดถึงคุณที่มากมายเหลือเกิน ตู้ไปรษณีย์เช่าที่ไปรษณีย์นบพิตำที่ผมเช่าเอาไว้ให้คุณล่วงหน้าเป็นเวลาสิบปีคงจะเต็มไปด้วยจดหมายของผมแน่ๆเชียว หากผมจะขอร้องคุณอย่างแรกก็คงจะเป็นการขอร้องว่าอย่าเพิ่งรำคาญหรือตัดพ้อต่อความคิดถึงที่ผมฝากผ่านจดหมายที่ผมจะเขียนถึงคุณเลย คนดีของผม
เมื่ออยู่กรุงชิง ผมอยากให้เวลานั้นเดินเชื่องช้าลงมากๆเพราะผมอยากอยู่กับคุณนานๆ เหมือนที่หัวใจที่ควรอยู่คู่กันกับร่างกาย หากแต่เมื่อมันจำเป็นต้องฝืนความจริง ผมทำได้แค่อดทนฟันฝ่าให้ถึงเวลานั้น มาอยู่คนเดียวแบบนี้ ผมอยากให้เวลาผ่านไปเร็วๆชนิดที่ว่าแค่กะพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งวัน ผมจะกะพริบตาปริบๆทั้งวันโดยไม่ใส่ใจว่าใครจะหาว่าบ้า แต่ก็อีกนั่นแหละ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่า วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ผมมีแค่ความมั่นใจจะต้องมาถึงแน่ๆ ภาพวันที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันแจ่มชัดเสมอในหัวของผมไม่ว่าจะเวลาตื่นหรือแม้แต่ตอนที่ผมจับรถไฟกลับกรุงเทพแล้วหลับฝันไปผมก็ยังเห็นภาพวันนั้น รอผมก่อนเถิดนะคนดี อย่างน้อยๆ วันที่หน่วยปล่อยให้ผมได้หยุดยาวประจำปี ผมจะต้องไปพักผ่อนร่างกายและจิตใจที่กรุงชิงแน่ๆ
ครั้งนี้ ผมต้องออกเรือไปกับเรือหลวงที่ฐานทัพสัตหีบ ผมไม่รู้ว่าคุณรู้จักสัตหีบหรือเปล่า เอาเป็นว่า สัตหีบเป็นเมืองหนึ่งในประเทศไทย ที่นี่เป็นฐานทัพใหญ่ของหน่วยนาวิกโยธินที่ผมสังกัด ออกทะเลครั้งนี้อย่างต่ำๆก็คงสามสี่เดือน ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเขียนจดหมายมาถึงคุณก่อน เพื่อยืนยันว่าผมรัก คิดถึง และโหยหาคุณแค่ไหน
ผมไม่รู้ว่า ระบบขนส่งสมัยนี้ใช้เวลานานแค่ไหนในการที่จะพาเอาความรู้สึกของผมไปถึงคุณ แต่กว่าจดหมายฉบับนี้จะไปถึงคุณ ป่านนี้ผมคงลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเลแล้ว หากเวลาไหนที่คุณพอจะมีเวลาว่าง ปล่อยห้วงความคิดของคุณให้สงบ ช่วยหลับตาลง ฟังเสียงสายลมที่พัดแผ่ว ฟังด้วยหัวใจ ผมกระซิบบอกว่ารักคุณ ผ่านสายลมทะเล ลอยละล่องข้ามเกลียวคลื่น ผ่านชายป่าไปถึงคุณที่กรุงชิงนะหนาน ยอดรักของผม
รักและคิดถึง
วันชัย”
หนานแนบกระดาษในมือไว้กับอก น้ำตาไหลออกมาช้าๆหากแต่ไร้ซึ่งการสะอื้น เขาล้วงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบมวนหนึ่ง หวังว่าควันบุหรี่สีเทาที่ลอยม้วนขึ้นไปเหนือผืนป่าจะช่วยบรรเทา หากแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เขาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้ไฟแช็กในมือจุดไฟเผากระดาษแผ่นนั้นทิ้งไป...
...
วันชัยนั่งอมยิ้มอยู่ในเรือรบหลวงปิ่นเกล้า เขาจรดปากกาอยู่เหนือน่านน้ำในอ่าวไทย อีกเจ็ดวันเรือรบลำนี้จะเข้าเทียบชายฝั่งหลังจากที่ทำการลาดตระเวนมาเป็นเวลาหลายเดือน กิจวัตรประจำวันของเขานอกเวลางานนั่นคือการจดบันทึกความรู้สึกของเขาทั้งหมดเป็นตัวหนังสือ เขาเฝ้ารอวันที่จะได้เหยียบผืนดิน เพื่อข้อความเหล่านั้น จะไปถึงคนรักที่อยู่ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งผืนป่ากรุงชิง...
ที่ใต้หมอน มีกระดาษแผ่นเล็กๆสอดเอาไว้ นั่นเป็นจดหมายจากหนานเมื่อครั้งที่เขาขึ้นฝั่งครั้งล่าสุด เขาเก็บมันไว้อย่างดีและหยิบมันขึ้นมาอ่านบ่อยๆอย่างไม่รู้จักเบื่อ เพราะนี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขาอิ่มเอมใจและไม่รู้สึกเดียวดายบนโลกกว้าง ลายมือหวัดๆในจดหมายฉบับนี้ทำให้เขารู้สึกว่า วันที่เขารอคอยจะต้องมาถึงในสักวัน
“ผมไม่รู้ว่าควรจะขึ้นต้นจดหมายว่าอย่างไรดี ครั้นจะใช้คำว่าที่รักเหมือนที่คุณเขียนมาผมก็นึกกระดากอยู่ไม่น้อย คุณก็คงรู้ธรรมชาติของผม ผมคงจะตอบกลับได้ซาบซึ้งอย่างคุณไม่ได้ หวังว่าคงเข้าใจกัน
ผมเพิ่งได้อ่านจดหมายของคุณหลังจากที่ผ่านมาแล้วสักสามเดือนได้ดูจากวันที่ประทับที่หน้าซอง หวังว่าคุณคงจะไม่โกรธผมนะเพราะผมคงไม่สามารถตอบสนองความคิดถึงของคุณได้เร่งด่วนอย่างที่คุณต้องการนักเพราะไปรษณีย์นบพิตำกับกรุงชิงนั้นห่างไกลกันเหลือเกิน นึกหวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าเวลาผมมาไขตู้เก็บจดหมายแต่ละทีจดหมายมันจะทะลักออกมาหรือเปล่า แต่ดูจากที่คุณบอกว่าเวลาคุณออกไปทำงานแต่ละทีกินเวลาเป็นเดือนๆก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะคุณคงจะไม่มีเวลาเขียนจดหมายมาบ่อยนัก ซึ่งผมเองก็คงจะเช่นเดียวกัน
ในป่ากรุงชิงคงไม่มีอะไรจะเขียนเล่าให้ฟังนัก แต่เอาเป็นว่าผมได้รับรู้แล้วว่าคุณยังไม่ลืมที่นี่ ขอบคุณที่รักษาสัญญาว่าจะไม่ลืมกรุงชิง และไม่ลืมคนที่อยู่ที่นี่
คิดถึงและรอเสมอ
หนาน”
...
“หนานที่รักของผม
ผมควรจะน้อยใจดีไหมนะที่คุณไม่เรียกผมว่าที่รักเหมือนอย่างที่ผมเรียกคุณ แต่ผมก็คงเอาโทษอะไรกับคุณไม่ได้ เพราะเวลานี้ หัวใจของคุณเป็นของคุณเสียแล้ว ผมจะเอาผิดอะไรกับเจ้านายหัวใจได้เล่า นึกแล้วก็น่าละอายนะหนาน ผมไปรบชนะข้าศึกศัตรูมาทั่วหล้า แต่กลับต้องมาสยบให้แก่คุณคนเดียว
เอาเถอะ อีกไม่กี่วันผมก็จะได้ขึ้นฝั่งแล้ว ผมอยากบอกคุณว่าผมดีใจมากเหลือเกินที่ผมจะได้หย่อนจดหมายฉบับนี้ลงตู้ส่งถึงคุณ ความคิดถึงของผมจะได้โบยบินไปหาในแบบที่เป็นรูปธรรม ไม่เพียงแค่การฝากเสียงกระซิบผ่านสายลมเท่านั้น คุณล่ะหนาน คิดถึงผมเท่ากับที่ผมคิดถึงคุณไหมนะ
   หลังขึ้นฝั่งคราวนี้ผมอาจจะไม่สะดวกที่จะเขียนจดหมายถึงคุณบ่อยนัก (ความจริงก่อนหน้านี้ถึงผมพอจะมีเวลาว่างเขียนถึงคุณ แต่ก็หาโอกาสส่งจดหมายถึงคุณยากเหลือเกิน) ผมไม่รู้ว่าคุณทราบหรือเปล่าว่าระยะหลังมานี้ ลัทธิเผยแพร่แนวความคิดแบบคอมมิวนิสต์เริ่มแผ่ขยายไปตามพื้นที่ห่างไกล ล่าสุดนี้ ที่ภูหินร่องกล้าและเขาค้อก็มีการปะทะกัน ทางกองทัพบกก็มีการขอกำลังไปช่วย เพื่อนผมหลายคนก็ไปร่วมรบในยุทธการนั้น กลับมาบ้างก็มี ผมต้องเสียเพื่อนที่นั่นก็มี ที่ผมเล่าให้คุณฟังนี่ไม่ได้หวังจะให้คุณสงสาร หรือหวาดกลัว ผมไม่เคยกลัวความตาย หากแต่ผมก็เชื่อมั่น ว่าผมจะต้องกลับมาหาคุณได้แน่ แต่หากจะให้ผมร้องขอจากคุณ ก็คงเป็นเพียงกำลังใจ ซึ่งผมคิดว่าคุณคงส่งมาให้ผมเสมอ ผมสัมผัสได้
   ความจริง ผมอยากจะเล่าอะไรให้คุณฟังอีกหลายอย่างเลยทีเดียว หากแต่จดหมายรักของผมคงกลายเป็นนิยายอิงสงครามไปเสีย ดังนั้น ผมแค่อยากจะให้คุณระลึกเพียงว่า ผมทำทุกอย่างเพื่อคุณ และเพื่อวันนั้นของเรา
   “รักเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
   วันชัย”
วันชัยพับจดหมายของเขาใส่ซองด้วยรอยยิ้มกว้างอยู่คนเดียว เขาเก็บจดหมายใส่ลิ้นชักพลางทิ้งตัวลงนอนแล้วก็ยิ้มให้กับเพดาน เสียงคลื่นลมประหนึ่งเสียงนาฬิกาที่นับถอยหลังที่เขานั่งนับให้วันเวลาผ่านไป ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆเพราะเขาจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ต่อแทบจะทันทีที่เหยียบพื้นดิน...



 


เอาตอนพิเศษมาลงไว้ให้อ่านกันก่อนนะครับ

นายหนิงหน่อง
ลำนำบุหลันครวญ

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
เมื่อไหร่จะได้อยู่ด้วยกันนะะ  :hao5: :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด