▓▒░ อุบัติรักเร็วเกินเหตุ ░▒▓ ตอนที่ 15
“เมต ไม่สบายรึเปล่าลูก”
คุณนายกาญจนาเดินวนรอบลูกชายตัวเองงงๆ ปกติเมตตาก็เป็นเด็กเข้าใจยากอยู่แล้ว นั่นเธอก็เข้าใจว่าเป็นเพราะการเลี้ยงดูของตัวเอง แต่ตั้งแต่ยอมให้ลูกชายได้เรียนรู้ชีวิตด้วยการมีใครอีกคนเพิ่มขึ้นมา
เมตตาดูจะแปลกตาคนเป็นแม่ไปมาก มากจนเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือผิด ตอนนี้เมตตากำลังนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างแล้วก็ยิ้ม บางครั้งก็เขี่ยข้าวในจานไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วเขี่ยกลับมาเหมือนเดิม
“เมตไม่เป็นไรหรอกแม่ เมตแค่มีความสุขเฉยๆ”
“เอ่อ ไอ้ความสุขเฉยๆของแกเนี่ยแสดงออกได้เยอะเว่อมากเลยนะเว้ย คล้ายคนบ้าเข้าไปทุกทีละ”
“แม่ไม่เคยมีความสุขแบบที่เมตมีเหรอ”
“เคยสิ”
คราวนี้คุณนายกาญจนาเลื่อนเก้าอี้นั่งฝั่งตรงข้ามลูกชายตัวเอง เอาแขนข้างเท้าคางอย่างหญิงแรกรุ่นเขาทำกันน่ารัก ติดที่ว่าแม่ผมเลยวัยกลางคนมาแล้วเท่านั้นเอง
“แม่คิดว่าแม่กำลังถูกจีบแหละเมต”
แม่พูดเปื้อนยิ้มแต่่กลับเบือนหน้าหนีผมอายๆ
นี่ผมกำลังจะมีพ่ออีกคนเหรอ?
ปากผมเปิดยิ้มกว้างอย่างยินดี
ผมรู้ว่าที่ผ่านมาการเป็นซิงเกิ้ลมัมของแม่ทำให้แม่เหงาและเคว้งคว้าง ความผิดพลาดในชีวิตครอบครัวของแม่ทำให้แม่เด็ดเดี่ยว แม้ว่าพ่อผมแท้ๆจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ในความสนิทสนมระหว่างผมกับพ่อนั้นแทบจะไม่มี แม่พยายามสนุกกับชีวิตในทุกๆวันเพราะไม่อยากให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ผมเองก็พอรู้ พี่ชายกับพี่สาวร่วมท้องกับผมได้เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ของอาม่าเพราะสองคนนั้นเป็นคนที่พ่อเลือกเอาไว้แล้วว่าจะเอาไปอยู่ด้วย ในขณะที่ผมถูกทิ้งให้อยู่เป็นเพื่อนแม่ เราเลยอยู่กันแบบเพื่อนคุยกันทุกเรื่องและสนิทกันเกินกว่าแม่ลูกคนอื่นๆเขา แต่ผมก็ชอบที่เราสองคนเป็นแบบนี้
“แล้วท่าทางของแม่อะ เยอะน้อยกว่าเมตซะที่ไหนล่ะ ถ่ายคลิปให้ดูปะคุณนาย ว่าตอนนี้แก้มคุณนายแดงยิ่งกว่าตูดลิงแสมอีกนะขอรับ”
“บ้า แม่แสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอลูก”
“หูย ตัวบิดเกลียวจนจะเป็นเส้นพาสต้าอยู่แล้วดูไม่ออกหรอกว่าแม่กำลังเขิน” ผมแซวแม่เล่น
“เหรอ เมตว่าแม่จะลองเปิดใจดูดีมะ”
“ลองดูสิแม่ พูดอย่างนี้แม่เองก็ถูกใจเค้าใช่มั้ยล่ะ”
“ก็นิดนึงอะ นิดเดียวเอง จริงๆนะลูก”
นิดเดียวของแม่แต่สายตานี่วิ๊งๆเลย
“ผู้ที่หลงผิดยามชราคนนั้นคือใครเหรอครับแม่”
ผมก็กัดแม่ไปตามฟอร์มนั่นแหละ จริงๆแล้วดีใจจะตายที่แม่จะมีใครสักที บางครั้งผมคิดว่าการแสดงออกแบบนี้ของแม่ แบบล้นๆที่ไม่เหมือนใครทั้งนิสัยและการใช้ชีวิตน่าจะเป็นปราการหนึ่งที่ใช้กรองคนที่จะเข้าหาแม่เพื่อหวังผลประโยชน์ที่แม่มี
ไม่มีใครรู้หรอกว่าในครอบครัวของพ่ออยู่กันเหมือนครอบครัวของคนจีนในละครน้ำเน่ามากแค่ไหน ผมเองก็เพิ่งได้มารับรู้ตอนที่ผมโตแล้วนี่เองว่าจริงๆแล้วแม่เป็นสะใภ้ที่เก่งที่สุดในบรรดาสะใภ้ทุกคนของอาม่า แม่เก่งกว่าพ่อที่เป็นคนไม่เด็ดขาดในเรื่องไหนเลย ไม่กล้าคิดกล้าเสี่ยงอย่างที่แม่ทำ สิ่งที่แม่พยายามแสดงความสามารถออกมาจนตระกูลของพ่อเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นนั้นดูจะไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่ออาม่าเชื่อฟังคำพูดลูกๆมากกว่าสิ่งที่ตาเห็น ทุกคนพูดกรอกหูอาม่าว่าที่แม่ทำไปทั้งหมดนั้นเพราะหวังฮุบกิจการของตระกูลล้วนๆ แล้วอาม่าก็เชื่อ
ผมถึงเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงได้หมดศรัทธาในตัวพ่อเพราะพ่อไม่ได้ช่วยปกป้องแม่เลย แถมยังคิดว่าแม่เองก็หวังจะเป็นที่เหล่าพี่น้องพูดกรอกหูอาม่า
ข้อเสนอที่อาม่ามีให้ คือทำงานในกิจการของตระกูลต่อไปแต่ไม่ได้อะไรจากสิ่งที่ตัวเองทำเลยนอกจากชื่อเสียงและหน้าตาของวงศ์ตระกูลที่จะเชิดหน้าชูตาให้แม่ว่าเป็นสะใภ้ใหญ่และความสุขสบายของลูกๆทั้งสาม กับเลือกที่จะจากตระกูลนั้นมาด้วยเงินก้อนหนึ่งที่อาม่าคิดว่ามากโขแล้วสำหรับแม่ แต่มันน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับเงินที่แม่ทำให้กับกิจการของที่นั่น
แม่เลือกที่จะจากมาเป็นคนไร้หน้าตาและชื่อเสียงด้วยเงินเพียงสิบล้านและลูกชายคนเล็กที่โหวเฮ้งไม่เหมาะที่จะนำพาความก้าวหน้าในตระกูลนั้นได้เท่ากับพี่ชายคนโตและพี่สาวคนรองนั่นก็คือผม
สิ่งที่ทำให้ผมศรัทธาในตัวของแม่และไม่มีข้อกังขาใดๆเมื่อแม่มีความคิดแปลกประหลาดและนำมันมาใช้กับผมก็คือแม่สามารถตั้งต้นใหม่ได้กับเงินเพียงแค่นั้น และทำให้มันงอกเงยขึ้นมาได้ด้วยความสามารถที่มีติดตัวแม่ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แม่ผมเล่นหุ้นและเก็งกำไรได้เก่งมากจนไม่น่าเชื่อ มันเป็นอาชีพที่ไม่ลำบากอะไรเลย และนั่นทำให้อาม่าไม่กล้าเข้ามาก้าวก่ายกับการใช้ชีวิตของแม่ เพราะต่อให้แม่ไม่ได้ใช้บารมีของอาม่าคุ้ม แม่ก็ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
แม่ค้อนใส่ผมไม่จริงจังนัก
“หลงผ่งหลงผิดที่ไหนกัน ชายคนนั้นโชคดีที่สุดต่างหากล่ะ”
“ใครเหรอครับแม่” ผมอดจะตื่นเต้นไม่ได้
“คนที่ลูกจะต้องร้องว๊าวแน่ๆ”
“บอกมาสิแม่ผมอยากร้องว๊าวววววแล้ว”
“พ่อของหรรษาไงล่ะ”
“อะไรนะแม่ เฮ้ยยยยยยยยยยยย!!”
แทบช็อคหมดสติ ใกล้ตัวจนเซอร์ไพร้ส์
“ไหนว่าจะร้องว๊าวไงยะ ร้องเฮ้ยทำไม”
ผมไม่ได้ร้องเฮ้ยธรรมดานะครับ ผมร้องเฮ้ยประหนึ่งว่ารถสิบล้อเสียหลักแล้วต้องหักหลบอะ นี่เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ไวไฟยิ่งกว่าผมกับหรรษาอีกนะ ผมกับมันนอนกันตั้งสามครั้งก็จริงแต่เรายังไม่เคยมีโมเม็ นต์จีบกันเลย
“หรรษารู้ยังอะแม่”
มันเป็นคนนิ่งๆ ดูไม่ค่อยออกว่ามันคิดอะไรของมันอยู่แล้วดูมันจริงจังกับชีวิตของมันมาก มากซะจนยากที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมันได้ แล้วมันจะคิดยังไงกับเรื่องนี้
ไม่สิ!! ถ้ามันรู้แล้วเวลาเราเจอกัน เราสองคนจะต้องทำหน้ายังไงใส่กัน
“จะไปรู้ได้ไงเล่า มันเป็นผัวแกนะมาถามแม่ได้ไง”
“โธ่แม่ เมตดีใจได้แค่ครึ่งเดียวเองนะแม่”
“หรรษาเค้าไม่มายุ่งเรื่องผู้ใหญ่หรอก”
“แม่รู้ได้ไง”
“แม่เดาเอา”
“เดาเอาเนี่ยนะ แม่อะ”
“อย่าตีตนไปก่อนไข้สิ ถ้าหรรษาไม่เห็นด้วยพ่อลูกเขาก็จะต้องคุยกัน แล้วตอนนั้นแม่ก็จะรู้เอง”
“ไม่ใช่ว่าหรรษามันจะโกรธแล้วคิดว่าแม่วางแผนให้เมตจับมันเพื่อไต่สะพานไปหาพ่อมันหรอกนะแม่”
ผมกลัวประเด็นนี้มากจริงๆนะ ผมว่ามันเป็นปัญหาของคนที่รวยในที่แจ้งอย่างหรรษาเลยล่ะ ใครๆก็รู้ว่ามันมีฐานะดีแค่ไหน ไม่เหมือนแม่ผมที่น้อยคนจะรู้ว่าเราสองคนไม่ต้องปากกัดตีนถีบก็น่าจะมีกินไปตลอดชีวิตเหมือนกัน
“เมตเคยทำให้หรรษาคิดว่าเราจ้องแต่เงินเค้ารึเปล่าล่ะ”
“ไม่รู้สิแม่ ไม่รู้เผลอเอาแต่ใจอะไรใส่มันไปบ้างรึเปล่า”
“ถ้าเมตไม่ได้แสดงออกว่าเราคบเค้าเพราะอยากได้เงินของเค้า แม่ว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่ปัญหาของเราหรอกลูก มันไม่ใช่เรื่องยากถ้าพ่อลุกคู่นั้นจะสืบประวัติเราสองคน”
ผมคิดว่าปัญหาที่ผมแบกเอามาจากที่บ้านจะหนักหนาสาหัสสำหรับตัวเองมากพอแล้ว แต่พอหย่อนก้นลงนั่งยังไม่ถึงพื้นก็ต้องลุกขึ้นยืนเหมือนไฟลนก้นเมื่อโมเมบอกว่าติดต่อกุ้งนางไม่ได้เลยตั้งแต่เอากุ้งนางไปส่งและอยู่เป็นเพื่อนหลังจากงานที่เมืองทองวันนั้น
“มึงแน่ใจนะเมว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องวันนั้น กูว่ากุ้งนางมันออกจะมีสตินะ มันยังบอกว่าไม่เป็นไรอยู่เลย ภูมิคุ้มกันเรื่องความรักมันดีจะตายไม่ใช่เหรอวะ”
คราวนี้ผมมองตาเพื่อนๆรอบวง ไม่มีใครพยักหน้าเห็นด้วยสักคนมีแต่คนที่ส่ายหน้ากันทั้งนั้น โดยเฉพาะนิว มันถอนหายใจหนักมาก
“ยังไงวะ ทำไมพวกมึงเห็นต่างจากกู”
“เมต ไอ้กุ้งมันเจอความผิดหวังมาแล้วอย่างที่มึงบอกแหละ มันดูกล้าแกร่งมากที่สุดในกลุ่มเรา แต่มึงต้องเข้าใจนะว่าเรื่องพวกนี้บางทีพอมันเกิดขึ้นแล้วก็อดจะเสียหน้าไม่ได้ กุ้งนางคงจะเสียใจที่รู้ไม่เท่าทันไอ้เพทายจนเกิดเรื่องอะ ทั้งๆที่มันน่าจะอ่านสันดานคนอย่างเพทายได้ดีที่สุดแต่มันก็พลาด”
“แสดงว่าเพทายเก่งมากอะดิ กุ้งนางเลยเชื่อสนิทใจ แลวนี่เราจะเอาไงดีอะ ไม่มีใครติดต่อมันได้เลยเหรอ”
“ไม่มีเลย ที่หอก็ไม่อยู่ พวกกูกำลังภาวนาให้กุ้งนางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดจะได้ไม่เป็นห่วงมาก”
“งั้นเราไปหากุ้งนางที่ต่างจังหวัดกันมั้ยวะ”
“มึงรู้จักบ้านกุ้งนางเหรอเมต”
“ไม่รู้”
“นั่นแหละคือปัญหาที่พวกเราเครียดกันอยู่ เราไม่รู้ว่าบ้านมันอยู่ที่ไหนนี่แหละ”
ผมจำไม่ได้เลยว่าตอนออกมาจากบ้านปัญหาตัวเองใหญ่มากแค่ไหนเพราะปัญหาที่เจออยู่ตอนนี้มันใหญ่กว่ากันมาก
“ถ้าจะเอาลูกเสือเราต้องเข้าถ้ำเสือเพราะฉะนั้นกูจะไปหาเพทาย”
ภูผาพ่นเป๊บซี่ออกจากปากมาโดนผมเปียกไปครึ่งแขน มันตาเหลือกแล้วส่งขวดเป๊บซี่ให้โมเมถือเอาไว้ ตัวมันเองไอจนตัวโยน ผมรู้ว่าที่ภูผาเป็นแบบนี้เพราะผมแน่ แต่ผมก็คิดดีแล้วนะว่าเพทายน่าจะเป็นหมากสำคัญของเรื่องนี้
“มันไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะบุกไปหาใครแล้วสำเร็จได้ดังใจเหมือนที่มึงบุกไปหาแฟนมึงนะเมต ไม่มีใครโชคดีทุกครั้งหรอกมึง”
เป๋งมันพูดน้อยแต่คราวนี้มันออกปากเตือนสติผม
“แล้วถ้าหรรษารู้ว่ามึงไปหาเพทายนะ กูว่าสงครามเกิดแน่”
โมเมออกความเห็นจริงจัง
“มันไม่ขนาดนั้นหรอกน่า กูก็ไม่ได้จะอะไรจนกลายเป็นเรื่องสำคัญของหรรษาขนาดนั้นหรอก อย่างดีมันก็คงจะด่ากูว่าโง่ หัวถั่วอย่างที่เคยด่าแหละ กูชินแล้ว”
“มันก็ใช่ถ้ามึงเป็นใครก็ไม่รู้อะนะเมต แต่มึงเป็นแฟนหรรษาไม่ใช่เหรอ แล้วมึงก็รู้ว่าหรรษาเกลียดไอ้เพทายอะไรนั่นยังกะขี้ มึงว่าหรรษามันจะแฮปปี้เหรอวะ ที่แฟนตัวเองไปพัวพันกับไอ้เพทายถึงสองคน ไม่ว่าจะเป็นแฟนเก่าหรือแฟนใหม่ แหม เรื่องแบบนี้ในวงเด็กช่างเค้าถือเป็นการหยามเกียรติกันนะเว้ยเมต”
นิวขู่ซะผมลังเลเลย แต่ผมก็ยังคิดนะว่าต่อให้เพทายไม่ดีสักแค่ไหนแต่คำว่าลูกผู้ชายคงไม่โกหกผมหรอกมั้งถ้าผมจะถามเกี่ยวกับเรื่องของเขากับกุ้งนางในเมื่อผมไม่ใช่เป้าหมายที่เพทายต้องการและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรนอกจากถามเรื่องราวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนตัวเองก็เท่านั้น
“มึงคิดว่าถ้าได้คุยกับเพทายแล้วเราจะช่วยกุ้งนางได้ยังไงวะ”
“ก็....เราอาจจะได้รู้ว่าอะไรที่ทำให้กุ้งนางเฟลแล้วเราจะไปหากุ้งนางได้ที่ไหนไง บางทีกุ้งมันอาจจะพาคนที่คบไปหาพ่อแม่ที่บ้านมาแล้วไรงี้”
“มึงคิดว่าทุกคู่จะเป็นแบบที่หรรษาทำกับมึงเหรอวะไอ้หัวถั่ว”
ขนาดภูผาเองยังเห็นด้วยกับหรรษาที่ให้สมญานามผมแบบนี้เลยนะ
“แล้วมันไม่ใช่เรื่องปกติเหรอวะว่าถ้าเราคบกับใครก็จะต้องพาไปให้ผู้ใหญ่รู้จักอะ”
“ถ้าคนที่คบกันคิดจะจริงจังต่อกันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ แต่สำหรับเพทายับกุ้งนางก็ไม่แน่ ไอ้เพทายมันคงแค่สนุกๆ เพทายมันไม่เลิกกับแอนหรอก ไม่ใช่เพราะรักแอนมากนะ แต่เพราะกลัวพ่อแอนจะเด็ดหัวทิ้งมากกว่า แต่กูว่าอิทธิพลของเพทายเองก็คงมีพอตัวอะ อาจจะหนุนกันอยู่เลยเลิกกันไม่ได้ก็ได้นะ เพราะถ้ากูเป็นพ่อแอนกูคงไม่ยอมให้แอนคบกับเพทายหรอก ถ้ามันไม่มีเหตุผลนอกเหนือจากนั้น”
นิววิเคราะห์ได้ลึกซึ้งมาก มากจนผมนั่งนิ่งงัน
“แต่ถ้ามึงบุกไปหาเพทายจริงๆมันอาจจะดีกว่าเรานั่งเครียดกันอย่างนี้ก็ได้นะ คงมีคนอย่างมึงไม่มาก ไอ้เพทายมันเลยนึกไม่ถึงว่าจะมีคนแบบมึงอะเมต เหมือนที่หรรษายังต้องยอมให้กับมึงไง”
โมเมออกความเห็น
“แล้วถ้าเพทายติดใจไอ้เมตเหมือนที่หรรษาติดใจล่ะ” เป๋งถาม
“งานนี้กูว่ามีฆ่ากันตายเพราะแย่งผู้ชายหัวถั่วอย่างไอ้เมตนี่แหละว่ะ” ภูผาสรุป
ผมอยากจะเถียงแต่คิดว่าไม่ดีกว่า ในสายตาของเพื่อนๆดูเหมือนผมจะเป็นที่รักของหรรษามาก ประมาณว่ามันรักและหวงผมสุดๆ ทั้งๆที่ความจริงหรรษามันก็ปล่อยให้ผมเป็นตัวของตัวเอง ไม่หวงไม่ห้ามไม่มีเงื่อนไขให้ผมต้องทำตามที่มันต้องการแต่อย่างใด ผมเลยคิดภาพที่่พวกมันวิเคราะห์ไม่ออก นี่คือข้อเสียที่เราต้องมาคบกันเพราะความบังเอิญไม่ใช่เริ่มคบกันเพราะรักใคร่ชอบพอกัน
“แต่กูก็ยังอยากเสี่ยงนะ” ผมยืนยัน
“ถ้ามึงปักใจอย่างนั้นใครจะไปห้ามมึงได้วะเมต พวกกูก็ต้องสุมหัวกันหาวิธีป้องกันมึงให้ปลอดภัย”
“ยังไงวะ”
“บอกหรรษาไง”
“เฮ้ยอย่า พวกมึงไม่ต้องให้หรรษารู้เลยดีกว่า กูคิดว่ากูน่าจะเอาตัวรอดได้ กูไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเขม่นกันส่วนตัวแล้วลามไปข้องเกี่ยวกับสถาบันอะ แค่ที่เคยเจอมากูว่ากูสยองพอแล้ว”
ผมยังจำวันที่เค้าปะทะกันจนตัวเองช็อคตาตั้งแล้วสลบไปได้ มันเป็นอะไรที่เหมือนอยู่ในหนังไซไฟทั้งตื่นตาตื่นใจและตื่นกลัวดี
ไม่มีใครออกเสียงทักท้วงแนวความคิดของผมอีกต่อไป แต่ละคนทำหน้าสยองเมื่อผมยกกำปั้นทำท่าเยสอย่างมั่นใจ โมเมกลืนน้ำลายดังเฮือก แต่ภูผากลับไม่ปล่อยผ่าน มันเสนออีกแนวทางที่ทำให้ทุกฝ่ายยิ้มขึ้นมาได้ แม้แต่ผมเอง
“กูว่าก่อนที่มึงจะห่ามบุกไปหามันที่วิทยาลัยเหมือนที่บุกไปหาหรรษา มึงโทรไปหามันลองเชิงก่อนมั้ย ว่ามันจะคุยกับมึงแบบไหน เราจะได้รับมือถูก”
เป็นความคิดที่ดีนะ แต่ว่าผมไม่มีเบอร์เพทาย
“เบอร์ไอ้เพทายอะไรนั่น เดี๋ยวกูหาให้เอง ไม่ยากเท่าเอาตัวมึงให้รอดหรอกเมต ฟรวยเอ้ย”
“ด่ากูว่าKเลยก็ได้ภูผา ด่ากูว่าไอ้หน้าเลียงผากูยังไม่โกรธมึงเล้ยยย ก็มึงอะเล่นน่ารักกะกูซะขนาดนี้”
ผมขยิบตาใส่มันปิ๊งๆ ส่งปากจุ๊บรดมันไปหนึ่งที มันทำท่าสยองแล้วหนีผมไปคุยโทรศัพท์ซะไกลเลย เราจับกลุ่มคุยกันเรื่องกุ้งนางจนเลยเวลามาสักพักใหญ่ๆ ภูผาก็กลับมาพร้อมกระดาษแผ่นเล็กๆตรงหน้า ในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์มือถืออยู่ แน่นอนว่ามันคือเบอร์ของเพทาย
มีต่อค่ะ >>>>>