#6 ปราสาทของเจ้าชาย"เฮ้ย!? จะไปไหน"
ไอ้แว่นที่ก้มหน้าก้มตาเอาหัวเหม่งแนบไหล่อีกคนเพราะความกลัว เงยขึ้นมาตะโกนแข่งกับลมเมื่อระยะทางถึงป้ายรถไฟฟ้าไกลกว่าที่คิดไว้
"พี่ต้องรีบกลับเดี๋ยวผมไปส่ง บอกทางมาสิ"
ซินส่งเสียงอู้อี้ออกมาจากหมวกกันน็อคหนาสีดำเมี่ยม
"ไม่ต้องหรอก...มันไกล"
ไอ้เพี้ยนที่นั่งหน้าซีดบอก นายซินเหลือบมองท่าทีคนข้างหลังจากกระจกคงไม่ใช่เพราะไกลอย่างที่ว่าคงเป็นเพราะกลัวเสียมากกว่า
"ขับช้าๆหน่อยได้ไหม"
ยังไม่ทันจะขาดคำคนข้างหลังก็ขอร้องด้วยหน้าตาน่าสงสารแถมมือที่รวบกอดมันไว้ยังสั่นอีก ซินมันจึงผ่อนความเร็วให้หน่อย แต่ก็แค่หน่อยเดียวไอ้เพี้ยนข้างหลังก็ละอ้อมแขนที่เผลอกอดออกเหลือเพียงการเกาะที่เสื้ออีกคนหลวมๆ ทั้งที่เมื่อครู่รัดซะจนพุงคนขับจะปลิ้น
"ช้าอีกได้ไหม"
ไอ้หมอนี่ได้คืบจะเอาศอก
"ขับช้าตำรวจก็ตามทันสิ พี่ไม่ได้ใส่หมวกกันน็อค"
ไอ้ซินได้ยินมาว่าขับเร็วๆแบบนี้ตำรวจไม่ตามแน่นอน เพราะพวกลุงแกขี้เกียจกว่าจะตามทันก็เมื่อมันถึงบ้านนู่น สู้เอาเวลาไปจับแวนซ์ดีกว่าแต่ถ้าเจอกล้องก็อีกเรื่อง อันนี้สารวัตรธงพ่อมันบอกมาเอง
"งั้นมึงก็เอามาให้กูใส่ มึงไม่ต้องใส่ตำรวจจับก็เรื่องของมึง"
อ้าว...ทำไมพูดจาแมวๆแบบนี้ล่ะไอ้แว่น ซินขมวดคิ้วกับคำขอร้องสุดพิสดารของมันแต่ก็ไม่ถือสาเอาความเพราะมันไม่ถือคนบ้าไม่ว่าคนเพี้ยน แต่ยอมรับว่าเคืองอยู่หน่อยเลยบิดแฮนด์เร่งความเร็วขึ้นสูงกว่าเดิม ฝั่งไอ้แว่นนึกอยากจะตบปากตัวเองร้อยทีทำไมเวลาคุยกับไอ้ซินมันไม่เคยพูดดีๆบ้างเลยวะ คิดอย่างหนึ่งแต่พูดอีกอย่างตลอด เมื่ออีกคนเร่งความเร็วขึ้นมันถึงกับลืมกลัวความเร็ว มัวแต่กลัวคนที่มันเกาะอยู่จะเกลียดมันยิ่งกว่าเดิมมากกว่าเรียกได้ว่าสลดตลอดการเดินทางทีเดียว ในที่สุดไอ้แว่นก็มาถึงบ้านด้วยสภาพหน้าชาขาแข็งเพราะลมที่ตีมาตลอดทาง
"อย่าพึ่งลงนะ เดี๋ยวล้ม"
พี่แกฟังที่ไหนกันเล่า! นายซินพึ่งเอี้ยวหน้ามาบอกได้ไม่ทันไรไอ้แว่นก็ลงไปกองพับอยู่บนพื้นถนนหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว
"เฮ้ย!?"
ไอ้ซินที่นั่งยืดขาได้ไม่เท่าไหร่จำต้องรีบลงจากรถพร้อมถอดหมวกกันน็อคออกเพื่อมาช่วยไอ้คนที่นั่งหน้าเบ้ น้ำตาไหลอยู่บนพื้น ผลเพราะความบ้าดีเดือดที่นั่งรถสองล้อความเร็วสูงมาแบบไม่พักตลอดทางเกือบร้อยกิโลในวันที่ลมหลังฝนเย็นจัด เลยทำให้ขาที่ชาตอนต้นปวดไปทั้งกระดูก...กรรมตามสนองเอ็งแล้วไอ้หมอ…
"ลุกได้ไหม"
ไอ้เพี้ยนที่สิ้นฤทธิ์แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ เป็นเวลาเดียวกับคุณนายแม่เปิดประตูรั้วมารับลูกชายด้วยนึกว่าลูกแวนซ์มากับพี่วินหน้าหมู่บ้าน แต่คุณนายแม่ว่าวินคนนี้ชักจะหล่อเกินไปแถมรถก็หรูเกินไปเสียด้วย
"ไอ้บีมลูกแม่! ไปนั่งตรงนั้นทำไม"
คุณนายแม่ที่ไอ้บีมเรียกไม่ได้เป็นคุณนายอย่างที่ว่าหรอก ป้าแกเป็นอาซิ้มเจ้าของหอพักสามที่พร้อมกับรับจ็อบเก็บค่าแชร์แถวนี้ต่างหาก ลักษณะนิสัยเรียกได้ว่าโหดจนลูกชายสุดเกรียนยอมซูฮก
"คุณนาย..."
มันเพรียกเสียงเรียกแม่อย่างน่าสงสารปนน่าสมเพช
"ไปนั่งวัดพื้นทำไม? เอ็งเป็นถึงคุณหมอเลยนะ!"
คงไม่มีข้อห้ามว่าหมอห้ามโง่และมันก็เป็นหมอที่ไม่เจียมสังขารเสียด้วย
"ตายแล้ว...พาใครมาด้วย สวัสดีจ้าพ่อรูปหล่อ"
คุณนายแม่ยกมือรับไหว้อีกคนก่อนจะเอ่ยชมด้วยความตาถึง
"ลุกไหวไหม"
ไอ้ซินถามอีกคน หมอแว่นค่อยๆยันตัวลุกขึ้นแต่ไม่ทันไรก็ลื่นพรืดลงไปอีก ดีที่คุณนายแม่อยู่ใกล้จึงจับแขนไว้ได้ทัน ไอ้ซินรีบเดินมาหิ้วปีกคนที่เดินไม่ไหวคุณนายที่พอจะทราบถึงสถานการณ์ได้แต่บ่นไปตลอดทางเดินเข้าบ้าน
"เอ็งนี่มันทะเล่อทะล่า ประสบการณ์ชีวิตน้อยไปเหรอหมอ คงจะกระโดดพรวดลงมาเลยสินะดีนะขาแข้งไม่หักเอา"
บีมได้แต่กลืนก้อนน้ำตาแล้วบ่นในใจ รีบก็เพราะคุณนายนั่นแหละโทรจิกยิกๆเชียว
“ดูสิเสื้อก็ชุ่มไปหมด ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งคู่เลยนะแล้วค่อยลงมากินข้าว”
คุณนายยังบ่นต่อไปด้วยความเป็นห่วง เธอยังไม่ได้ถามที่มาที่ไปของเด็กหนุ่มหล่อข้างลูกชายแต่เอาไว้ก่อนเถอะ ฝ่าลมฝ่าปรอยฝนมาขนาดนี้เอาไว้ถามตอนกินข้าวก็ได้ ตามจริงคือแว่นไม่อยากให้ไอ้หล่อข้างๆเข้ามาเห็นห้องนอนอันเป็นฐานลับของตนเพราะเขากับมันก็ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้นแม้แต่คนรู้จักก็ยังเรียกได้ไม่เต็มปาก ความสัมพันธ์ของพวกมันคือ เป็นคู่อริที่ซับซ้อน วุ้ย! ยิ่งพูดยิ่งงงแต่จะให้ทำไงได้มันอุตส่าห์ขับรถมาส่งแค่นั้นก็น่าจะมากพอสำหรับกุญแจเข้าห้องเน่าๆของมันแล้ว
"ใส่ได้ไหม"
แว่นยื่นเสื้อยืดที่ตัวใหญ่สุดของตนให้ ไอ้ซินไม่รอช้ารีบถอดเสื้อที่ชุ่มออกด้วยกลัวตัวเองจะเป็นหวัดรับช่วงทัวร์คอนเสิร์ตสิ้นปี ช่วงแผ่นหลังกว้างของมันมีรอยสักรูปปีกขนาดใหญ่ติดอยู่ชั่วพริบตาที่เจ้าของขยับตัวปีกนั่นก็ขยับไปด้วย บีมที่จ้องอยู่ตั้งแต่ต้นให้คำนิยามว่าปีกของเทวดาเอวสอบของพ่อคนดังมีกล้ามเนื้อแต่พอประมาณ เมื่อมันหันหน้ากลับมา เผยให้เห็นลอนซิคแพคแน่นงามๆอย่างคนที่ดูแลตัวเอง ไอ้เพี้ยนที่ยืนตีหน้ายุ่งอยู่ก่อนหน้าเปลี่ยนมาเป็นบ่นหงุงหงิง เมื่อเกิดหมั่นไส้หุ่นสูงใหญ่ของอีกคน...บอกให้ก็ได้ว่าหมอมันแอบใจเต้น...โดยมันให้เหตุผลว่าตัวเองแค่อิจฉาเท่านั้นเอง
"มึงจะอายกูบ้างก็ได้นะ"
มันว่าในท่าทางก้มหน้าชิดอก
"......"
ไอ้ซินกะจะบอกว่า ‘กลัวทำไมก็ผู้ชายเหมือนกัน’ พอนึกได้ว่าตัวเองเคยโพล่งบอกอีกฝ่ายว่าตัวเองเป็นอะไรจึงเลือกที่จะเงียบแล้วรีบสวมเสื้อตัวใหม่เข้าไป หารู้ไม่ว่าอีกคนไม่ได้เชื่อมันเรื่องนั้นตั้งแต่อยู่แล้ว
"หันไป กูจะถอดเสื้อ"
ไอ้แว่นบอกให้อีกคนหันไป ซินก็หันไปตามที่สั่งคือหันไปเจอกระจกพอดี ไอ้ซินกลั้นขำพลางทอดสายมองอีกคนผ่านกระจกบานใหญ่ด้วย มันไม่เคยคิดว่าคนบ้าจะขาวได้ขนาดนี้ขาวจนซีด ไหล่ลาดแคบกว่ามันแต่ก็พอดีตัวขนาดผู้ชายไทยทั่วไป แว่นถอดกางเกงแสล็คด้วยเพราะรู้สึกมันจะชื้นเหมือนกันในตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนมีคนจ้องอยู่
"เฮ้ย!?"
หมอแว่นหันมาเจอกับสายตาอีกคนขณะที่ถอดกางเกงได้ครึ่งขา ผลก็คือล้มคะมำท่าเดิมเหมือนตอนตกรถสองล้อเป๊ะ!
"กะ...กูบอกให้หันไป"
"ผมก็หันมาแล้วไง ยังไม่ได้หันกลับไปเลย"
ซินมันก็ทำตามที่แว่นสั่งนะ ว่าแต่...ซินมึงมันก็ซื่อไปนะ...
แว่นอ้าปากพะงาบๆอย่างกับกำลังด่าพ่อคนดังอยู่ ซินหัวเราะแต่หันกลับมายื่นมือไปหวังจะช่วยอีกคนให้ลุกขึ้นแต่ไอ้เพี้ยนนั่นปัดมือทิ้งอย่างจงใจ
"พี่จะอายอะไรขนาดนั้น"
แว่นเงียบแล้วนึกอยู่สักพัก แล้วก้มมองหน้าอกแบนๆของตัวเอง
"เออว่ะ...กูจะอายทำไมวะ"
แว่นก็บอกมันไปเลยสิว่าอายหุ่นอันอ่อนด๋อยของตัวเองหรืออีกนัยหนึ่งคือเอ็งกำลังเขิน ไอ้ซินยืนมองอีกคนที่ใช้สายตาสำรวจร่างกายตัวเองไปด้วย มองหน้ามันไปด้วยมีใครเคยบอกไหมว่าจริงๆแล้วหมอบ้าเป็นคนที่ดูออกง่ายมาก เรียกได้ว่าทุกอย่างสะท้อนออกมาผ่านสีหน้าและการกระทำทั้งหมด แว่นนั่งมองมือและแขนสองข้างของตัวเองที่เคยโอบอีกคนพร้อมกับปีกกลางหลังไว้ชิดตัว แถมวันนี้ยังเผลอกอดเอวหนาเสียแน่นจะว่าไปมันก็น่าอิจฉานะถ้าวัยรุ่นสาวๆ ทั่วไทยรู้ละก็หมอได้กินยำตีนแหงๆ มันคิดไปพลางก็หน้าแดงไปพลางแต่พอจะเหลือบมองหน้าอีกคนก็พบว่านายซินจ้องอยู่แต่ก่อนแล้ว ตาเรียวและใบหน้าหล่อยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างหน้าหมั่นไส้
"มึงยิ้มทำไม"
"ผมเปล่า"
"ก็เมื่อกี้กูเห็นมึงยิ้ม"
ซินมันไม่ได้โกหกจริงๆนะ แต่มันจำไม่เห็นได้ว่าเมื่อกี้มีเหตุผลอะไรให้ยิ้มบางทีอาจจะเป็นท่าทางประหลาดและใบหน้าแดงแจ๋ของอีกคนก็ได้
"บีมเสร็จหรือยังลูก"
หมอที่ตั้งท่าจะคาดคั้นมือเบสเป็นอันต้องทิ้งความคิดนั้นเสียเมื่อเสียงแม่ดังมาจากหน้าห้อง
"คุณพ่อเขามาหา"
แว่นยิ้มเยาะที่มุมปาก มันเป็นกิริยาที่ไม่น่ารักเอาเสียเลยแต่มันก็ทำแบบนั้นจริงๆเพราะพ่อผู้นั้นมักจะทำให้บรรยากาศของมันขมุกขมัวอยู่เสมอ
"ได้ยินว่าปีนี้เรียนจบเหรอ"
ชายสูงอายุที่นั่งอยู่ตรงข้ามในโต๊ะอาหารเอ่ยถาม พ่อของมันดูแก่ลงไปมากแต่บรรยากาศรอบข้างก็ยังดู ’เป็นผู้ดี’ อยู่เสมอ
"ครับ"
มันตอบอย่างเรียบร้อยจนเกินปกติ
“เกียรตินิยมที่เธออยากได้ หวังว่าเธอคงจะได้มานะ”
คนเป็นพ่อเหยียดยิ้ม
“ผมกำลังพยายามอยู่ครับ”
คำตอบนั่นทำให้ชายผู้สูงอายุที่สุดหัวเราะเบาๆ
"ไม่น่าเชื่อนะว่าเด็กที่เคยเกเรขนาดนั้นจะได้เป็นหมอ"
ชายผู้นี้พูดโดยไม่ได้สนใจบรรยากาศอันคุกกรุ่น เพียงแต่เขาเห็นเช่นนั้นจริงๆว่าแว่นเป็นเด็กห้องบ๊วยไม่เคยได้เกรดดีๆ แต่ที่มันหัวดีรักแม่มันมากหรือเอาจริงเอาจังเขาไม่เคยมองเห็นแม้สักนิด
"แล้วนี่ใคร"
เขาชายตามายังแขกของบ้านที่นั่งอยู่ข้างลูกชาย
"รุ่นน้องครับ เขาขับรถมาส่ง"
บีมมองมายังนายซินที่นั่งอยู่เงียบๆ ดีที่เสื้อที่มันให้เปลี่ยนเป็นเสื้อแขนยาวปกปิดรอยสักมิเช่นนั้นคนข้างๆมันคงโดนดูถูกอยู่ไม่น้อย มันไม่อยากให้คนอื่นมารับรู้เรื่องมารยาทผู้ดีเยี่ยงละครหลังข่าวนักหรอก
"เรียนหมอ เจาะคิ้วได้ด้วยหรือยังไง?"
"เปล่าครับ เรียนไอที"
นายซินตอบด้วยท่าทางนอบน้อมเป็นปกติ ชายผู้นั้นแค่มองอย่างไม่วางใจแต่แล้วก็ละสายตาไปยังลูกชายของตนแทน
"จบแล้วจะไปทำงานที่ไหน"
"ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ"
เป็นใครก็คิดว่าแปลกกับประโยคอันสุภาพที่เอาไว้ตอบพ่อตัวเอง ซินสังเกตอยู่หลายครั้งว่าเวลาเพี้ยนมันอารมณ์ไม่ปกติมันมักจะก้มหน้าลง แต่คราวนี้กลับไม่ใช่เพียงแต่มันเหลือบไปเห็นมือสองข้างของแว่นที่บีบกันแน่นตรงหน้าตัก ...ก้มหน้าไม่ได้เลยเป็นแบบนี้สินะ...
"จะไม่รู้ได้ยังไง หรือจะให้ฉันฝากให้"
"ไม่เป็นไรครับ"
"ยังอวดดีเหมือนเดิมเลยนะเธอ"
ผู้เป็นพ่อปรามาศออกมา เมื่อเห็นว่าเรื่องราวน่าจะไปกันใหญ่คนเป็นแม่จึงเอ่ยตัดบท
"แม่อยากให้กินข้าวกันก่อน แล้วค่อยคุยกันนะคะ"
"ฉันยังคุยกับมันไม่เสร็จ แต่เอาเถอะเอาไว้จบแล้วค่อยคุยก็ได้ตอนนี้หิวแล้วด้วย"
คนเป็นแม่ยิ้มเจื่อนมายังผู้เป็นแขก ซินยิ้มเบาๆตอบกลับเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรครับก่อนจะลุกไปช่วยจัดโต๊ะ กับข้าววันนี้เป็นไข่เจียวหอมใหญ่ ผัดพริกแกงหมูสับใส่ข้าวโพดอ่อนและต้มจืดเต้าหู้ไข่ ทั้งหมดเป็นของโปรดของลูกชายคุณนายแม่ เธอเพียงแค่ใช้วันเกิดตัวเองเป็นข้ออ้างการกินข้าวกับลูกชายในรอบหลายเดือนเท่านั้นเอง
"ทานข้าวกันเถอะค่ะ"
แม้แต่คุณนายแม่ก็ดูสุภาพเหลือเกิน ซินแอบคิดว่ามันชอบแบบเหมือนเดิมมากกว่า แต่คุณนายผู้เถื่อนดิบก็ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกลูกชายอยู่เสมอ
“พรุ่งนี้หนูทำงานเช้า รีบกลับไปกับเพื่อนเถอะลูกแต่ค่อยๆกลับกันนะถึงแล้วค่อยโทรมาบอกแม่”
แม่ของแว่นบอกหลังจากมื้อเย็นผ่านพ้นไป เพียงแต่เธอพูดโกหก พรุ่งนี้แว่นไม่ได้มีงานมันยอมทำงานหนักหลายเดือนเพื่อใช้วันพรุ่งนี้มาอยู่กับแม่ของต
“เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะไปทำบุญกับพ่อ หนูไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
เธอกำลังบอกว่า พ่อจะอยู่ค้างที่บ้านและพรุ่งนี้เขาจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน ให้มันกลับไปในที่ๆมันสบายใจเสียก่อน หมอเดินเข้ามากอดแม่ของตนพร้อมกับไหว้แนบอกแล้วหันไปไหว้ผู้เป็นพ่อโดยไม่ได้มองตาอย่างที่ควรทำ แต่มันก็รู้อยู่แล้วว่าใครคนนั้นไม่รับไหว้มันแน่นอนก่อนจะเดินไปแตะไหล่ชายหนุ่มที่มาด้วยกัน ไอ้ซินเก็บข้อสงสัยไว้เต็มอกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหันไปไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง แล้วเดินตามรุ่นพี่สมอ้างออกมา
ผู้เป็นพ่อมองตามลูกชายของตนจนลับตา พวกเขาทั้งคู่มีความทรงจำที่ไม่น่าจดจำนักแต่ที่ผู้เป็นพ่อจำได้แม่น คือพวกเขาดื้อเหมือนกันไม่มีผิด พ่อของแว่นรักกับแม่ของแว่นมาตั้งแต่สมัยเรียนพวกเขารักกันจนเรียบจบแล้วก็แต่งงานอาศัยอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ด้วยความไม่เห็นด้วยของผู้ใหญ่ฝ่ายพ่อเพราะเห็นว่าผู้หญิงเป็นเพียงลูกคนจีนคนข้าขาย แม้จะรวยก็ตามทีแต่ไม่ได้มีต้นตระกูลที่สวยหรู การแต่งงานของผู้เป็นพ่อครั้งที่สองก็เกิดขึ้นกับลูกสาวของครอบครัวผู้ดีสักคนโดยที่เขาไม่ได้ปฏิเสธเพราะถ้าเขาทำเช่นนั้น คำนำหน้าชื่ออันสวยหรูจากตระกูลจะถูกตัดออกไปแต่พวกเขาไม่ได้หย่ากันทางนิตินัย เขาขอแค่ทะเบียนสมรสที่จะผูกมัดคนที่รักไว้ได้ ลูกชายคนแรกและภรรยาคนแรกจำต้องย้ายออกมาอยู่ที่บ้านเดิมของภรรยาย่านชานเมือง หัวใจที่เจ็บของแม่และลูกวัยสองขวบก็เกินเยียวยา ในตอนนั้นเขาผู้ซึ่งยึดเกียรติและศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลมาก ขอโอกาสมาเยี่ยมภรรยาและลูกที่เขารักน้อยกว่าศักดิ์ศรีในทุกอาทิตย์ เด็กคนนั้นโตขึ้นทุกครั้งที่เขามาหา และดูจะนิสัยเกรี้ยวกราดมากขึ้นทุกครั้งเขาโทษสิ่งแวดล้อมการเลี้ยงดูและทุกอย่างที่เขาคิดว่าทำให้ลูกชายดื้อกับพ่อได้มากขนาดนี้...แต่เขาไม่เคยโทษตัวเอง ในตอนนั้นเขาได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมของนิสัยห่ามๆด้วยคำพูดอันแสนเจ็บปวดเกินกว่าเด็กจะเข้าใจ จนทำให้เขากับลูกชายคนแรกตีตัวออกห่างกันเหมือนอยู่คนละโลก ทุกๆครั้งที่พวกเขาเจอกันมักจะเกิดสงครามย่อมๆอยู่เสมอเหตุเพราะเขาไม่อยากให้ลูกชายคนโตเกเรกับเขา หรือทำอะไรที่มันเสื่อมเสียนามสกุลเขานัก ในตอนแรกพวกเขาจุดสงครามกันด้วยคำพูดแต่เมื่อเด็กชายเริ่มที่จะโตขึ้นกลับเป็นเขาที่พูดอยู่เพียงฝ่ายเดียวเพราะเด็กคนนั้นเลือกที่จะเงียบ บ่งบอกว่าลูกชายไม่ได้อยากที่จะพูดคุยกับเขาอีกแล้ว มันยิ่งทำให้เขาวุ่นวายและรำคาญใจมากขึ้นและคำพูดเสียดสีก็ยิ่งมากขึ้นด้วยเช่นกัน
*******************************
“คุณนายแม่บีมสอบติดหมอแล้ว ไว้บีมทำงานมีเงินเยอะๆเราย้ายบ้านกันนะ”
เขาได้ยินผู้เป็นลูกในวัยมัธยมปลายพูดในเย็นวันหนึ่ง วันที่เขานึกอยากจะแวะมาเจอหน้าคนทั้งสองเขาประหลาดใจไม่น้อยกับความสำเร็จของลูกชายคนโต
“ว่าแล้วว่าเอ็งต้องติด ลูกคุณนายแม่ยังไงก็เก่ง”
เขารู้มาสักพักแล้วว่าแม่ลูกคู่นี้มักใช้สรรพนามแบบที่เขาไม่ชอบ แต่เขาก็ปล่อยไปเพราะทั้งคู่ไม่เคยพูดให้เขาได้ยิน
“นะแม่นะ”
“นะ....เรื่องอะไรกัน”
“ย้ายบ้านกัน”
“ย้ายทำไมกัน ที่อยู่นี่ก็ดีออกนี่มันบ้านบรรพบุรุษชาวแผ่นดินใหญ่เลยนะไอ้หมอ”
เธอพูดกลั้วหัวเราะ ทั้งที่รู้อยู่เต็มกลืนว่าทำไม
“เอ็งต้องมีเหตุผลสิ”
“บีมอยากอยู่กับแม่แค่สองคน”
ผู้ยืนอยู่หน้าประตูชะงักนิ่งกับคำพูดของลูกชาย
“พอแล้ว...เขาเป็นพ่อนะ”
เธอเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของลูกดีแต่เธอไม่อยากให้เขาทำอะไรหุนหันพลันแล่น หรือแม้แต่การหนีผู้ให้กำเนิดไปเพราะเพียงว่าเธอเชื่อในกรรม เธอไม่อยากให้สองพ่อลูกต้องทำร้ายใจกันอีกแต่ที่เธอทำได้ก็แค่ประวิงเวลา
“ไม่ต้องมานั่งดราม่าไปอาบน้ำมากินข้าว เอาไว้ได้เกียรตินิยมก่อนค่อยมาคุยกัน”
ชายวัยเกือบห้าสิบรีบหันหลังกลับแล้วจ้ำไปที่รถ ลูกชายคนแรกที่เขาไม่เคยภูมิใจสอบติดหมอและกำลังใช้ความสำเร็จนั่นหนีจากเขา เขาควรจะดีใจหรือไม่นะ
เช่นเดียวกับวันนี้ชายสูงอายุให้คนไปสืบเรื่องลูกชายแล้วพบว่าลูกชายจะกลับมาหาแม่ แล้วมาอยู่กับแม่อีกหนึ่งวันเขาจึงลงทุนรีบกลับจากการไปเยี่ยมลูกชายคนเล็กที่ต่างประเทศเพื่อกลับมาหาลูกชายคนโตเพราะจะพาไปทำบุญในวันพรุ่งนี้ ตั้งแต่ลูกเข้ามหาวิทยาลัยและไปอยู่หอเขาพวกเขาได้เจอกันแทบจะนับครั้งได้ ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นสองปีที่แล้ว วันนี้เขาตั้งใจจะมาคุยดีๆกับลูกชายคนโตแต่เขาคงลืมไปว่าระยะห่างของพวกเขายังเยอะเหลือเกิน ลูกชายคนนี้ดูผอมลงอย่างคนทำงานหนักแต่หน้าตาที่คล้ายเขาเมื่อตอนหนุ่มก็ยังดูดีอยู่เสมอ ลูกชายคนนี้ดูสุภาพกว่าทุกๆครั้งที่เขาเคยเจอไม่พูดจาห้วนๆเช่นเดิม แต่ใช้คำสุภาพจนเหมือนไม่เคยรู้จักกันไม่จ้องเขม็งเช่นเดิม แต่กลับไม่ยอมสบตา ถ้าสบตาเขาเพียงนิดคงเห็นแล้วว่าผู้เป็นพ่อต้องการแค่มาเริ่มต้นใหม่...เท่านั้นเอง
"ขอโทษน้องสิ ฉันบอกให้ขอโทษ"
เสียงชายวัยกลางคนผู้สืบเชื้อสายผู้ดี ตวาดเด็กชายผู้เป็นลูกของเขาเองเด็กคนนั้นวัยประมาณอนุบาลและเด็กคนนั้นคือไอ้หมอเพี้ยนในปัจจุบัน
"ไม่!!!"
มันตวาดกลับคืน คนเป็นพ่อใช้ฝ่ามือใหญ่ฟาดเข้าที่กลางหลังของเด็กน้อยจนเด็กสะอึกเพราะความจุกแน่น เขาไม่ได้ตีเต็มแรง...เพียงแต่มันเป็นแรงผู้ชายเท่านั้นเอง...
"บีม...ลูก"
คนเป็นแม่ปรี่จะเข้ามาห้ามแต่โดนสายตาของสามีหยุดตรึงไว้
"ฉันบอกให้ขอโทษ"
"ผมไม่ขอโทษ!"
"เธอมันไร้มารยาท ผ่าเหล่าผ่ากอ"
เขาชี้หน้าว่าเด็กที่ยืนสะอื้นฮักอยู่ตรงหน้า
"คุณพ่อ...เบสท์อยากกลับบ้าน"
เด็กชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงชายเสื้อผู้เป็นพ่อเมื่อเขาเริ่มทนต่อบรรยากาศอันอึดอัดไม่ไหวคนเป็นพ่อหันมาลูบหัวคนที่เรียกว่าน้องชายน้อยๆ ก่อนจะอุ้มขึ้นแนบอกแล้วเดินออกไปโดยไม่เหลียวมามองลูกชายอีกคนเพียงนิด และไม่เคยถามแม้แต่น้อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะเบสท์คือผู้ที่ถูกที่สุดเสมอ เรื่องราวมันเกิดขึ้นเพราะในตอนนั้นไอ้เด็กบีมกำลังใช้พรวนพลาสติกพรวนดินต้นไม้ของแม่อยู่ที่ข้างบ้าน เพราะแม่บอกว่าถ้าต้นไม้โตเมื่อไหร่มันจะได้ลองกินเงาะลูกมีขนสีแดงสดๆจากต้นสักพักรถวอลโว่คันยาวก็มาจอดหน้าบ้าน มันรีบวิ่งออกไปหาผู้ที่มาใหม่ผู้ที่มันเรียกว่า ‘พ่อ’ แต่แล้วเท้าเล็กๆก็ต้องชะงักเมื่อนึกได้ว่าตัวเองเลอะมากกว่าที่จะเข้าไปหา ’พ่อ’ พ่อผู้หล่อเหลา พ่อผู้ร่ำรวยและที่สำคัญพ่อเป็นผู้ดี มันไม่เคยเข้าใจถึงคำว่าผู้ดีสักทีแต่พ่อผู้นั้นมักจะพูดเสมอว่ามันเป็นลูกผู้ดี
มันเดินกลับมาพรวนดินเช่นเดิมด้วยใบหน้าหม่นหมอง ไม่นานนักก็มีเด็กชายอายุไล่เลี่ยกับมันมายืนยิ้มน้อยๆอยู่ข้างหน้ากระถางต้นไม้ คนๆนั้นชื่อน้องเบสท์เป็นลูกชายของพ่อเหมือนกันแต่ที่ไม่เหมือนคือน้องเบสท์ได้อยู่บ้านหลังใหญ่ ได้นั่งรถคันยาวและที่สำคัญคือได้นอนกับพ่อทุกคืน พ่ออุ้มน้องเบสท์เกือบจะทุกครั้งที่มันเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน
"ทำอะไรเหรอ"
"พรวนดิน"
"นี่ต้นอะไร"
เด็กชายตรงหน้าเอื้อมมือมาจับยอดต้นไม้ของแม่ มันโกรธอย่างไร้เหตุผลแต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะสามารถดูออกได้ง่ายว่าเด็กมีตะกอนของความอิจฉาอยู่เป็นทุนเดิม ฉะนั้นแล้วของเพียงไม่กี่สิ่งบนโลกที่เป็นของมันก็อย่าได้ไปยุ่ง แต่พ่อบอกเสมอว่าพ่อเกลียดเด็กที่ไร้เหตุผลและงอแง มันจึงทำๆได้แค่เงียบและก้มหน้าพรวนดินต่อไป
"ถามไม่เห็นตอบเลย"
เด็กคนนั้นติดจะพลาดไปหน่อยเมื่อดึงยอดตนไม้ที่มันรักติดมือไป มือเล็กๆที่ถือพรวนพลาสติกอยู่จึงฟาดเข้าเต็มแรงเด็กบนหัวของอีกคน เพียงแค่ชั่วเสียงแผดจ้าของน้องชาย คนเป็นพ่อก็รีบเดินออกมาจากบ้านและเหตุการณ์ก็เป็นอย่างที่เด็กอย่างมันจะคิดได้ มันเป็นเด็กที่ดื้อเสมอในสายตาพ่อไม่เป็นผู้ดีในสายตาพ่อแต่เป็นพ่อผู้ที่ไม่เคยอุ้มมันแม้เพียงครั้ง...เหตุการณ์นั้นทำให้มันเกลียดคำว่าขอโทษเป็นที่สุด...
หมอยืนเหม่อจนอีกคนต้องแตะไหล่แล้วตบเบาะหลังของรถสองล้อคันใหญ่
“ความจริงแม่กูจะลาด้วยคำว่า เอ็งกลับดีๆนะอย่าไปทำเรื่องประหลาดให้ชาวบ้านชาวช่องเขาเบื่อล่ะ”
มันโพล่งล้อเลียนแม่ของตัวเองด้วยความรัก ซินยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ
“ผมก็ชอบแบบนั้นมากกว่า”
ไอ้แว่นกระโดดคร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่บัดนี้มันเลิกกลัวแล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปกอดอีกคนเมื่อขีดความเร็วมันทะลุเกินร้อยและสมองคิดแต่เรื่องเมื่อครู่ที่จากมา...เรื่องของผู้เป็นพ่อ แต่นายซินมันก็ขับรถเร็วจนหน้าหมอตึงเหมือนฉีดโบทอกซ์มา ตอนขาไปแว่นว่ามันหนาวนะแต่ขากลับมันกลับอุ่นแปลกๆ จะไม่อุ่นได้ยังไงเล่าก็ขาไปมันมีแจ็คเก็ตกันระหว่างทั้งคู่อยู่แต่ขากลับมีแค่เสื้อตัวบางๆกั้น แล้วพี่เล่นกอดซะเนื้อแนบเนื้อแถมเอาหน้าไปซุกคอเปลือยๆของมือเบสอีก
“เฮ้ย!?”
แว่นที่ได้สติจำไม่เห็นได้ว่ากอดคนตรงหน้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มันผละมือออกอย่างเร็วนั่นทำให้ตัวมันโงนเงนเหมือนจะลงไปวัดพื้นอีกรอบแต่คราวนี้คงเลี้ยงไม่โตนะหมอ ไอ้ซินรีบลดความเร็วแล้วใช้มือซ้ายปล่อยแฮนด์เพื่อดึงแขนไอ้บ้าที่นั่งโงนเงนไว้พลางตะโกนอย่างเหลืออด
“ทำอะไรของพี่วะ! จู่ๆก็ปล่อยมืออยากตายหรือไง!”
“.....”
การได้เห็นไอ้เพี้ยนโรคจิตทำหน้าสลด ถือเป็นความสำเร็จในชีวิตไอ้ซินได้เลย ก่อนที่จะถึงหอพักแว่นในไม่กี่กิโลเมตรในเวลาตี 1 ฝนก็สาดลงมาเหมือนฟ้ารั่วเสื้อผ้าที่พึ่งเปลี่ยนมาเปียกไปหมดกระทั่งกางเกงชั้นใน
“พ่องเอ้ย...หนาวสัส”
คงไม่ต้องบอกว่าใครจะสบถได้ไพเราะถึงเพียงนี้ หมอแว่นค่อยๆวาดขาลงจากบิ๊กไบค์ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดหอพัก ฝนยังตกอยู่และคนที่รับส่งมันก็ยังนั่งอยู่บนพาหนะเช่นเดิม
“ซิน...”
มันเรียกชื่อไอ้คนที่นั่งเปียกลู่เหมือนหมาป่าตัวบักเอ๊กตกน้ำ ไอ้ซินหันมองแบบไม่เชื่อสายตานักปากบางๆของพ่อมือเบสซีดจนเกือบม่วง ทำให้ไอ้ตัวต้นเรื่องของวันนี้กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“เอารถเข้ามาจอดข้างในแล้วขึ้นไปข้างบนเถอะ”
ไอ้แว่นชวนผู้ชายขึ้นห้อง! และผู้ชายคนนั้นเป็นถึงชายในฝันของสาวหลายร้อยคน...น่าอิจฉาไอ้หมอเพี้ยนสุดๆ...
แว่นเดินขึ้นมาชั้นห้าด้วยความยากลำบาก พร้อมกับอีกคนที่เดินมาด้วยสภาพหน้าซีดไม่ต่างกัน มันไขกุญแจห้องด้านหน้าและห้องของตัวเองอย่างเบามือเพื่อไม่ให้รบกวนรูมเมทที่นอนอยู่ในห้องส่วนตัวเล็กๆอีกห้องที่กั้นไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว
“ไปอาบน้ำไป”
หมอยื่นผ้าเช็ดตัวให้อีกหนุ่มที่ยืนงงงวยอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามันไม่มีผิด...คิดไปนั่น นายซินทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากจัดการตัวเองเสร็จมันจึงหยิบของๆตนพร้อมกุญแจรถก่อนตั้งใจจะเอ่ยบางอย่างกับไอ้หมอบ้าที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ ไอ้แว่นคนนั้นไม่ได้สวมแว่นอย่างเคยตารูปเม็ดแอลมอนด์กลมๆสีน้ำตาลเข้มและใบหน้าปราศจากเครื่องปิดบังที่มันไม่เคยเห็นดึงดูดสายตาอยู่ไม่น้อย แต่มันก็คิดแค่ว่าหมอบ้าดูดีและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิด...ใส่แว่นแล้วดูเด็กลงว่างั้น เอ๊ะ!?แล้วเมื่อกี้ซินมันจะพูดอะไรวะ
“ฝนยังตกอยู่เลย มึงกลับไม่ได้หรอกค้างแม่งที่นี่แหละ”
ไอ้เพี้ยนเห็นอีกคนหยิบกุญแจรถจึงปรามไว้ก่อน อย่างน้อยวันนี้ไอ้ซินก็เป็นผู้มีพระคุณของมัน มันไม่ใจร้ายขนาดที่จะปล่อยให้กลับไปทั้งๆอย่างนี้หรอก แค่นั้นจริงจริ๊งงงงงงง
“แต่ว่าผม...”
ซินมันเกรงใจตามประสาคนดี หมอโบกมือไปมาอย่างไม่ให้ถือสา แว่นที่ดูเงียบและซึมมากว่าเดิมตั้งแต่ที่บ้านทำให้กริยาอาการแม้กระทั่งการพูดเหมือนคนทั่วไปเป๊ะ คงเพราะปกติมันคงล้นเกินไป
“ไม่ต้องเกรงใจ มึงนอนในห้องน้ำก็ได้”
พึ่งจะชมไปแหมบๆ ความล้นก็กลับมาอีกครั้ง...เพลียจิต
ไอ้ซินถอนหายใจอย่างปลงตกมันเหนื่อยเกินกว่าที่จะต่อล้อต่อเถียง แต่ปกติซินก็ไม่เคยทำอยู่แล้วยกเว้นว่ามันจะเหลืออดจ
“กูล้อเล่น นอนบนเตียงนั่นแหละ”
ไอ้แว่นชวนผู้ชายขึ้นเตียง! อยากปลุกไอ้โจ้มาดูจริงๆ
“แล้วพี่ล่ะ”
ซินมันถามประสาซื่อ
“ก็นอนบนเตียงไง ในห้องแค่เตียงก็เต็มพื้นที่แล้วหรือมึงจะให้กูไปนอนห้องข้างนอกที่เอาไว้ถอดรองเท้ากับวางโต๊ะทำงาน เอ๊ะ!หรือในตู้เย็นไม่งั้นก็นอนตรงระเบียงตรงบ้านไอ้ปลา!”
หมอหยุดพูดเพราะหายใจไม่ทัน ไอ้ซินยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นท่าทางอธิบายอย่างเอาเป็นเอาตาย...แล้วทำไมหมอต้องหน้าแดงด้วยวะ
“ยิ้มเหี้ยอะไร จะนอนไม่นอน”
หมอตบปุลงพื้นที่ข้างๆตัวของเตียงขนาดหกฟุต...เชิญชวนนะนั่น...
“นอนครับนอน”
มันตอบทั้งๆที่อดยิ้มขำไม่ได้
“เดี๋ยว!”
พอคนหล่อจะล้มตัวนอนพี่แกก็ดันห้ามอีก...จะเอายังไงกันแน่วะ หมอมันทำอะไรกุกกักอยู่สักครู่ก่อนจะยื่นเม็ดยาและขวดน้ำมาให้ทั้งๆที่ก้มหน้าหูแดงคอแดง
“กินซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่สบาย”
มันแค่ห่วงในฐานะหมอ แค่นั้นจริงๆนะ
______________________________________________________________________________
TBC.