[Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)  (อ่าน 34156 ครั้ง)

song2315

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สถานที่ในเรื่องเป็นเพียงสิ่งสมมติ ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่ประการใด#
_____________________________________________________________________________________________________________________________________

001 :  reappears(อีกคราที่ปรากฏ)

       สายตาของผมยังคงจดจ้องไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกๆคืนที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้และจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ยังคงมีเพียงแค่ผมกับดวงดาวบนท้องฟ้า ในคอนโดที่ใหญ่จนสิบคนอยู่ในห้องได้สบายๆ หากแต่ก็ยังมีเพียงผม...ผมคนเดียว...ผมคนเดียวมาตลอด
  ~ดาวตก
       ครั้งที่เท่าไหร่กันแล้วที่ดาวตกผ่านสายตาผมไป แต่จะกี่ครั้งๆผมก็ไม่เคยคิดจะอฐิษฐานขออะไรอย่างที่คนอื่นๆเขาขอกัน การขอให้มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็คือการคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงเพื่อเราในขณะที่เรานั่งกระดิกเท้าอยู่เฉยๆ ผมจะไม่ทำแบบนั้นหรอก ถึงแม้ในใจผมจะเรียกร้องหาการเปลี่ยนแปลงหากแต่ว่าผมรู้...ตัวผมมันขลาดเขลาเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง...กลัวการเปลี่ยนแปลง...ทั้งๆที่ต้องการแต่ก็กลัว


-เช้า-   ณ ศาลจังหวัดเชียงใหม่
'อรุณสวัสครับ ท่านรับปาท่องโก๋มั๊ยครับ'
"ไม่ล่ะครับ"
       เช้านี้ก็ยังเหมือนเดิม ต้องเข้ม ต้องขรึม ต้องมาดนิ่ง ของแบบนี้ง่ายสำหรับผมมาก ผมทำเป็นตั้งแต่จำความได้แล้ว ใครจะพูดร่ายยาวมาขนาดไหนก็ตอบไปแค่สั้นๆ อีกอย่างผมจะทำตัวสนิทสนมกับใครมากไม่ได้หรอก ก็ผมเป็นถึง 'ท่านผู้พิพากษา' ต้องทำตัวให้น่าเกรงขามเข้าไว้
   ~ตี๊ ตี๊ ตี๊.. โทรศัพท์เข้า
"มีไร...ป้า"
'กรี๊ดดดดด ไอ้เหว่ย! ฉันอายุเท่าแกย่ะ'
"เออ มีอะไร"
'เชอะ! ฉันแค่จะโทรมาถามว่า ช่วงนี้แกอยู่เชียงใหม่ตลอด ไม่ได้ไปไหนใช่มั๊ยยะ'
"ก็อยู่นี่แหละ ไม่ได้ไปไหน"
'เยส! งั้นก็ดี เดี๋ยวพวกชั้นจะขึ้นไปเล่นด้วยซักสองสามคืน'
"ฮ่าๆๆ ขึ้นมาดิเหงาๆอยู่พอดี"
'ย่ะ!! พวกฉันจะขึ้นไปดูว่าแอบซุกใครไว้ในคอนโดรึเปล่า ก๊ากกกกๆๆ'
"เพ้อเจ้อ จะไปมีได้ยังไง แล้วจะขึ้นมากันวันไหน"
'ม๊ายยโบกก พวกฉันจะขึ้นไป เซ่อไพร้สสส์แก'
"เออ เอาเข้าไป อย่าหอบประทัดขึ้นมาจุดหน้าห้องเหมือนคราวก่อนละกัน"
'ย่ะ พวกฉันไม่เล่นซ้ำซากจำเจหรอก ไปละๆ ผัวเรียกค่ะ'
"ตามสบาย โชคดี"
~ ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

       ผมกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์พลางครุ่นคิด เพื่อนรักทั้งสามคนจะขึ้นมาเยี่ยมงั้นหรอ ตั้งแต่ผมสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาได้แล้วขึ้นมาอยู่เชียงใหม่พวกนั้นก็ขึ้นมาเยี่ยมบ้างบางครั้งบางคราว แต่หลังจากเจอกันครั้งล่าสุดก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ถึงผมจะอยู่คนเดียวจนชินก็เถอะแต่มันก็อดที่จะยิ้มไม่ได้หรอกนะ ก็เพื่อนจะขึ้นมาหาทั้งทีหัวใจมันกระชุ่มกระชวยยังไงบอกไม่ถูก แค่คิดว่าจะไม่ต้องนั่งกินข้าวเย็นคนเดียวก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องสงสัยกันหรอกว่าผมมาอยู่ที่นี่เป็นปีแล้วทำไมไม่มีเพื่อนหรือใครไปไหนมาไหนด้วย ก็ผมมันเป็นซะแบบนี้...มนุษย์สัมพันธ์แย่...แย่มากๆ  จะว่าไปในชีวิติผมก็มีเพื่อนแค่สามคนเท่านั้นแหละ แค่นี้จริงๆ



   ~เย็นแล้ว 16.52 น.
       ผมขับรถเข้ามาจอดรถที่หน้าคอนโดก่อนจะเดินย้อนออกไปร้านกาแฟใกล้ๆคอนโด คืนนี้ต้องอยู่ดึกอีกแล้ว งาน งาน และงาน. คิดแล้วก็ต้องส่ายหัว

'คุณลูกค้ารับอะไรดีคะ'
"เหมือนเดิมครับ"
'ซักครู่นะคะ'
.......
'ได้แล้วค่ะ เอสเพรสโซ่ร้อนสองชอต'
"ครับ"
'หนึ่งร้อยสิบบาทค่ะ'
"นี่ครับ" ผมจ่ายเงินและหันหลังกลับทันที
'คะ..คุณลูกค้าระวังค่ะ อ๊ายยยยย'
   ~ปึกก พรวด
"อ๊ากกกกก ร้อนนน ร้อนๆๆๆ ร้อนๆ"
       ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังดิ้นพลาดๆอยู่หน้าผม เสื้อยืดสีขาวของเขาถูกเอสเพรสโซ่ร้อนของผมราดเข้าไปเต็มๆ มันเปื้อนสีดำเป็นทางเหมือนสายสะพาย ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากทำเหมือนที่เคยทำ ยืนนิ่งๆด้วยสีหน้านิ่งๆมองดูเขาดิ้นพลาดๆ ปลายผมรองทรงสั้นๆแบบภูมิฐานของเขาสะบัดไปๆมาๆตามแรงกระโดด ...ตลกจัง
"อ๊ากกก ร้อนๆ  นะ..นี่คุณจะไม่รับผิดชอบซักหน่อยหรอ ผมเจ็บนะ ทั้งเจ็บทั้งแสบ ยืนทำหน้าแบบนั้นจะหาเรื่องกันรึไง"
"ขอโทษครับ"
       ผมพูดขณะยื่นกระดาษทิชชู่ในมือให้เขา เขารับไปพร้อมทำหน้าไม่พอใจนิดๆ ผมเห็นดังนั้นจึงเอ่ยประโยคๆหนึ่งออกไปเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
"คอนโดผมอยู่ข้างๆนี่ ไปเปลี่ยนเสื้อห้องผมละกัน"
"เห๊อะ! ยังมีสำนึกอยู่"
"ครับ"
"ครับอะไรของคุณ นำผมไปสิ ก่อนที่หนังผมจะถูกต้มสุก"
"ครับ ตามมา" ผมพูดพลางเดินนำเขาออกจากร้าน
     
    @ ในลิฟต์
       ผู้ชายคนนี้บ่น...บ่นไม่หยุด! เขาบ่นนู่นบ่นนี่ตั้งแต่ในร้านกาแฟจนตอนนี้อยู่ในลิฟต์กับผมสองคนก็ยังบ่นอยู่ ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้นะ แค่ทำหน้านิ่งแล้วคนที่พูดก็จะหยุดไปเอง ก็ผมทำเป็นแต่หน้านิ่งเท่านั้นแหละ แต่ทำไมทำหน้านิ่งกับหมอนี่แล้วเขาถึงไม่ยอมหยุดพูด

"นี่คุณเป็นผีซอมบี้รึยังไง"
"...."
"มีอารมณ์ฉาบอยู่บนหน้าบ้างมะ"
"...."
"ให้ตายเถอะ ผมคงต้องเป็นแผลน้ำร้อนลวกไปเป็นอาทิตย์แน่ เพราะความไม่เอาไหนของคุณ"
   ~ตึ๊งตึ่ง
"ถึงแล้วครับ เดินตามผมมา"
"เฮ๊อะ รู้แล้วน่า"
       ผมเดินนำเขาไปพลางครุ่นคิด 'ผู้ชายคนนี้รับมือยากชะมัด' ทั้งๆที่ผมไม่พูดด้วยเลยแท้ๆแต่เขากลับพูดคนเดียวไม่หยุด ผมไม่เคยเจอคนแบบนี้มันต้องรับมือยังไงกัน ดูเขาจะไม่ค่อยสะทกสะท้านกับท่าทางน่าเกรงขามที่ผมสร้างขึ้นมาเลย

   ~ตี๊ดด แกรก
       ผมสแกนลายนิ้วมือที่ประตูก่อนที่มันจะปลดสลักอัตโนมัติ ผมเดินนำเขาเข้าไปที่ห้องก่อนจะชี้มือไปยังห้องน้ำ
"ห้องน้ำอยู่ทางนั้นครับ มีผ้าเช็ดตัวพับอยู่ตรงนั้น"
"อาๆ"
       เขาเดินไปตามที่ผมบอกก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงน้ำของฝักบัวไหล ผมจึงเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วลงมือค้นตู้เสื้อผ้าของตัวเองและพบว่า 'ไม่มีเสื้อยืดเลย' ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะหยิบเสื้อคอโปโลขึ้นมาสำรวจ 'มีแต่ตัวแพงๆทั้งนั้น เสียดายจัง' ผมส่ายหัวเบาๆก่อนจะวางมันลง 'แต่ก็ช่างมันเถอะ' ผมเป็นคนซุ่มซ่ามเองนี่นะ

"ไหนล่ะ เสื้อผม"
       ผมหันไปทางต้นเสียง ชายร่างสูงใหญ่กำลังยืนเท้าสะเองมองมายังผม ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า มีหยดน้ำเกาะพราวเต็มตัว บนผิวหนังของเขามีรอยแดงหย่อมเล็กหย่อมใหญ่ที่เกิดจากน้ำร้อนลวก ผ้าเช็ดตัวสีขาวของผมปกปิดท่อนล่างของเขาไว้ 'เขาหุ่นดีชะมัด' ผมคิดว่าผมหุ่นดีมากแล้วเชียว อุดส่าห์ไปฟิตเนสตั้งหลายเดือน แต่ถ้าไปยืนเทียบข้างๆยังไงผมก็เล็กกว่า และน่าจะเตี้ยกว่าด้วยนิดนึง
"จะจ้องอีกนานมะ ขอเสื้อ"
"ครับ"
       ผมก้มลงไปหยิบเสื้อโปโลสองสามตัวขึ้นมาให้เขา เขารับไปและทาบๆกับตัว

"ไม่มีเสื้อยืดที่ตัวใหญ่กว่านี้หรอ"
"ผมไม่มีเสื้อยืด"
"เฮ้อออออ นายนี่มันเหลือเชื่อชะมัด"
   ~ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง (กริ่งหน้าประตูดัง!)
"มีคนมาหาผม งั้นคุณเลือกเองเลย ตามสบาย"
"อาๆ...อ๊ะๆเดี๋ยวๆ นั่นรูปนายสมัยเรียนหรอ" เขาพูดพลางชี้มือไปยังกรอบรูปที่แขวนอยู่บนผนัง มันเป็นรูปผมกับเพื่อนผู้หญิงอีกสามคน เป็นหนึ่งในไม่กี่รูปที่ผมยิ้มให้กล้อง
       ผมพยักหน้าเล็กๆและเดินจากมา ปล่อยให้เขาเลือกเสื้อเองต่อไป
       
       ผมออกจากห้องนอนเดินผ่านห้องนั่งเล่นตรงไปยังประตู มองนอกห้องผ่านหน้าจอมอนิเตอร์หากแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า 'ทำไมถึงไม่มีใครเลย เมื่อกี้มีคนกดกริ่งแท้ๆ' และด้วยความแปลกใจ ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู ทันใดนั้น
 
 ~โพละ  !
      มีบางสิ่งตกลงข้างหน้าผม

"O_O .............. อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!" ผมตะโกนสุดเสียง
"เฮ่ยยๆ คุณ มีอะไรคุณ เป็นอะไร!"
       ผู้ชายคนนั้นวิ่งออกจากห้องนอนทันทีที่ได้ยินเสียง เขาวิ่งตรงมายังผมอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ใส่เพียงแค่ผ้าเช็ดตัว ผมกระโดดกอดเขาทันทีด้วยความกลัวสุดขีด
"งูๆๆๆ เอาออกไป งูๆๆๆ"
"ไหนงู ไหน อยู่ไหน!"
~~~~~~~~~~~~~~

'แท่น แทน แท๊นนนนนนนนนน เซ่อไพร้สสสสสสสส์!!! เป็นไงบ้างเพื่อน งูปะ.........'



       ผมได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของเพื่อนสนิทจึงหันกลับไปมองต้นเสียงแต่ก็ไม่ยอมปล่อยแขนออกจากคอของเขา ดาริกาหรือปล์ามหนึ่งในเพื่อนสนิทของผมกำลังยืนอ้าปากค้าง กระเป๋าแฮเมสแสนรักในมือของมันหล่นตุ๊บลงกับพื้นไปนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆงูปลอมสีดำ ก่อนที่มันจะเต้นร่าๆและหวีดร้องออกมาเหมือนคนบ้า
'กรี๊ดดดดดดดด พวกแกเลิกซ่อน เลิกซ่อน ออกมาดู ออกมาดู๊ กรี๊ดดดด ฟ้า เมย์ ออกมาดูเร็วๆๆๆ'
'อะไรแกอะไร' ฟ้าวิ่งออกมาพร้อมมือถือเตรียมถ่ายรูป
'อะไรแกแผนล่มหรอ' เมย์วิ่งออกมาจากฝั่งตรงข้ามโดยหอบพวงงูยางหลากสีออกมาด้วย
       และแล้วเพื่อนสนิทของผมก็ปรากฏตัวครบทั้งสามคนที่หน้าประตู ท่าทีของทุกคนดูตกใจมากเมื่อเห็นผมกอดคอผู้ชายเปลือยท่อนบนอยู่ ผมเห็นดังนั้นจึงรีบพละออกจากเขาทันที
"ขอโทษครับ"
"อืม" เขาตอบผมสั้นๆและทำท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรซักอย่าง ผมไม่ได้สนใจและหันไปคุยกับเพื่อนที่ยังคงยืนแข็งเป็นหินที่หน้าห้อง

"มันไม่ใช่อย่างที่พวกแกคิด"
'หยุดพูดไปเลยไอ้เหว่ย ขนาดนี้แล้วคิดว่าพวกฉันจะเชื่อแกหรอ'
'ใช่ ปากก็บอกไม่มีๆ อยู่คนเดียว เหงา นี่แกทิ้งฉันไปมีผะ..เอ้ย สามีอีกคนแล้วใช่มะ ทั้งหล่อทั้งล่ำแบบนี้มันหยามหน้าฉันชัดๆ'
'กรี๊ดดด ไอ้เหว่ย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ในที่สุดก็มีคนชนะใจแกได้หรอ สุดยอดมากค่ะคุณขา'
"เฮ่ย พอๆหยุดเลย ไม่ใช่เว่ย ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่เชื่อถามเค้าดูก็ได้...จริงมั๊ยคุณ"
       ผมหันไปขอความช่วยเหลือจากชายข้างหลัง ขณะที่เพื่อนของผมก็จดจ้องไปที่เขาเป็นตาเดียว ทุกๆคนต่างกลืนน้ำลายรอคำตอบจากเขา ในขณะที่ผมไม่ต้องกังวลเลยซักนิด ยังไงซะเขาก็ต้องตอบว่าไม่ได้เป็นอะไรกับผมอยู่แล้ว
"เอ่อออ....คือว่า" เขาทำท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ
'อะไรล่ะคะตอบมาสิ' ปล์ามเร่งเร้าจะเอาคำตอบ


"คือว่า...จริงๆแล้ว เราพึ่งคบกันได้ไม่นานน่ะครับ ก็เลยยังไม่อยากบอกพวกคุณ"
"เฮ่ยย! คุณพูดอย่างงี้ได้ไงครับ ระ...."
"อย่าปิดบังเพื่อนอีกเลยนะเหว่ย เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว"
"มะ...ไม่..."
"โอ๋ๆ อย่าโกรธกรเลยนะคนดี มานี่ มามะๆ"
       เขาไม่พูดเปล่า กลับดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหัวเหมือนกำลังปลอบใจ ผมได้แต่นิ่งแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ผู้ชายคนนี้เป็นบ้าอะไรของเขา
"อย่าโกรธกรนะคนดี"
"......"

'โถๆ น่าสงสารจังเลยค่ะโดนเหว่ยบังคับให้ปิดบังหรอคะ แก! ไอ้เหว่ย แกมันเลว!!'
'ใช่ ไม่ต้องไปโกรธเค้าเลย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องปิดบัง แกนั่นแหละที่ผิด'
'นี่ถ้าพวกฉันไม่มาเซอร์ไพรซ์แกก็จะไม่รู้ตลอดไปสินะ แกคิดจะบอกพวกฉันตอนไหนไอ้เพื่อนไม่รักดี'
"อะ..อย่าว่าเหว่ยเลยนะครับ ผมผิดเองที่ตามใจเค้ามากเกิน"
"....."
       ผมได้แต่นิ่งอึ้ง ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ ผมควรจะรับมือยังไงกัน ยังไงก็รับสถานการณ์ด้วยสีหน้านิ่งแบบเดิมไปก่อนดีกว่า ปล่อยๆให้เขาพูดไปก่อนแล้วผมค่อยอธิบายความจริงให้เพื่อนฟังทีหลังก็แล้วกัน ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลก ให้ตาย
       ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เขาก็ลากผมเข้ามาในห้องนอนและทิ้งให้เพื่อนๆของผมพักรออยู่ด้านนอก เขาปล่อยมือผมให้ยืนงงๆอยู่คนเดียวก่อนจะไปเลือกเสื้อที่ตู้ต่อด้วยท่าทีสบายใจเฉิบ นี่มันอะไรกัน! เขาไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเหตุวุ่นๆที่ตัวเองพึ่งก่อไปเมื่อครู่ซักนิด

"คุณ"
"......"
"คุณ คุณ!"
"ผมไม่ได้ชื่อคุณ ผมชื่อกร"
"นะ...นั่นแหละคุณ ทำแบบนี้ทำไม"
"ผม ชื่อ กร...เรียกผมว่ากรสิ"
"คุณกร คุณทำแบบนี้ทำไม"
"ตลกดี"
"ตลก? อะไรตลก"
"คุณไง ตลกดี"
"ผมไม่เข้าใจ คุณกำลังทำผมงง"
"ช่างมันเถอะ คุณน่ะหยุดพูดแล้วมาช่วยผมเลือกเสื้อที"
       ผมเดินเข้าไปช่วยเขาเลือกเสื้ออย่างเสียไม่ได้ 'ผมโกรธ' ไม่เคยมีใครทำให้ผมควบคุมตัวเองแบบนี้ไม่ได้มาก่อน

"คุณกร...คุณจะต้องไปอธิบายความจริงกับเพื่อนผม"
"ไม่ล่ะ แบบนี้ก็ดีละไง มีผมเป็นแฟนไม่ดีใจหรอ"
"ไม่ดีใจครับ"
"....งั้นหรอ"
       เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหยิบกางเกงขึ้นมาใส่ พร้อมคว้าเสื้อเชิตจากมือของผมไปสวม 'ผมกำลังจะบ้า' เขาไม่คิดจะพูดอะไรต่อเลยรึไง ผมไม่สนใจแล้ว ผมแก้ปัญหาเองคนเดียวก็ได้ คิดได้ดังนั้นผมจึงหันหลังขวับไปที่ประตูทันที
   ~หมับ
"อ๊ะ"  แขนผมถูกกระชาก
"อะไรกัน จะหนีหรอ"
"....ผมจะออกไปหาเพื่อน"
"ผมไม่ให้ไป"
"คุณ!"
       ผมเกือบจะขึ้นเสียงใส่เขา แต่ก็ระงับอารมณ์โกรธไว้ได้ทัน ผมไม่ใช่คนที่จะแหย่ให้เสียสติได้ง่ายๆหรอกนะ 'เขามันบ้า' เขากล้าทำอย่างนี้กับผมได้ยังไงทั้งๆที่เราพึ่งรู้จักกันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
"ทำหน้าแบบนั้น คิดว่าผมจะกลัวหรอ...คุณ เหว่ย"
"....." ผมไม่ตอบและเสหน้าไปทางอื่น
"น่าหมั่นไส้ชะมัด" เขาบ่นพึมพำ
   ~พลักก
"อั๊กก!" ผมโดนดึงเข้ามากอด เขาแรงควายชะมัด
"คุณมันน่าหมั่นไส้ ผมจะแกล้งคุณให้หนำใจ ดูซิว่าจะยังทำหน้านิ่งๆแบบนั้นได้อีกมั๊ย"
       ผมไม่ตอบได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาจับผมทุ่มลงกับเตียงก่อนจะเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้หน้าของผมมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่รู้แล้วว่าตอนนี้สีหน้าของผมเป็นยังไง แต่ผมก็พยายามต่อต้านเขาสุดใจ 'เขาพยายามจะแกล้งผม' ผมจะไม่ดิ้นไปตามเกมของเขา ผมชักสีหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากแต่แก้มทั้งสองข้างมันอุ่นๆร้อนๆเหมือนมีเลือดกำลังไหลมารวมกัน
"นายมัน...ซอมบี้ชัดๆ"
   ~ปังง

       ประตูห้องนอนของผมถูกเปิดออกอย่างแรง ขณะที่เพื่อนของผมยืนทำหน้าลับๆล่อๆอยู่ทั้งสามคน
'ขะ...ขะโทษค่ะ ไม่คิดว่าจะตั้งแต่หัวค่ำกันแบบนี้'
"มะ...ไม่ชะ...."
'โอเคเหว่ย เดี๋ยวพวกฉันออกไปหาโรงแรม คงนอนนี่ไม่ได้แล้ว ละสามทุ่มเดี๋ยวโทรมา ยังไงแกก็ต้องพาพวกฉันไปหาอะไรกิน เชิญคุณกรด้วยนะคะ ขอโทษค่ะที่รบกวน ต่อเลยนะคะ ไปละค่ะ บ๊ายยยบายยยยย'
   ~ปัง
"......"
"......"

       ความเงียบเข้าปกคลุม ผมไม่มีคำพูดจะพูดอีกต่อไป พยายามดิ้นออกจากการถูกกดกับเตียงแต่ก็พบว่าผมสู้แรงเขาไม่ได้ ทำไมกัน! ทั้งๆที่ขนาดตัวผมและเขาก็ไม่ต่างกันมากนัก เขาใส่เสื้อผมได้ด้วยซ้ำ ผมพยายามดิ้นอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง แต่มันก็ให้ผลเช่นเดิม
"ฮ่าๆๆๆ! ตลก ตลกชะมัด"
"....."
       ผมไม่ตอบโต้ใดๆ ได้แต่คิดในใจ อะไรตลกกันไอ้หมีควาย! นี่ผมจะทำยังไงดี ถึงจะตะโกนไปก็ไม่มีใครช่วยผมได้ ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้อีกแล้วนอกจากผมกับเขา มีแต่ต้องช่วยตัวเองเท่านั้น และผมก็ตัดสินใจ....

   ~ตุ๊บบ พลักก
"อ๊ากกกกกก" เสียงเขาร้องครางด้วยความเจ็บปวดแล้วกลิ้งลงไปนอนกับเตียงพร้อมเอามือกุมเป้า หน้าตาเหยเกของเขาทำให้ผมรู้ว่า ผมได้กระทำละเมิดทางกฏหมายลงไปเสียแล้ว แต่ไม่เป็นไร การกระทำของผมถือว่าเป็นการกระทำโดยป้องกัน เพื่อปัดป้องอันตรายอันใกล้จะถึงและสมควรแก่เหตุ ทางกฏหมายถือว่าไม่มีความผิด
       ประมวลกฏหมายไหลเข้ามาในหัวผมเป็นระลอกๆ ก่อนที่ผมจะคิดได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องกฏหมายเลย ผมดีดตัวลุกจากเตียงและวิ่งทันที ผมต้องออกไปให้ไกลจากที่นี่...แล้วไปยังไงล่ะ?...รถ!...'กุญแจรถ กุญแจรถผมอยู่ที่ไหน' ผมออกมาจากห้องนอนและไปยังชั้นที่เคยวางกุญแจรถ 'ไม่มี' หาแล้วหาอีกด้วยความร้อนรนยังไงๆก็ไม่มี สมองผมประมวลย้อนความอย่างรวดเร็ว 'ร้านกาแฟ' ผมลืมไว้ที่นั่นแน่ๆ ผมดีดตัวหันหลังกลับและวิ่ง หากแต่ก้าวได้เพียงสองก้าวก็ชนกับวัตถุสูงใหญ่ ก่อนที่ผมจะหงายหลังลงไปกองกับพื้น ผมพบว่าเขาค่อยๆหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง
"หานี่อยู่หรอ" เขายืนจังก้าอยู่หน้าผมมือข้างซ้ายแกว่งกุญแจสบายใจเฉิบ
"...."
"ผมคืนให้คุณก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน"
"อะไร"
"ยังไม่บอกอ่ะ เดี๋ยวค่อยบอกถ้าเจอกันครั้งหน้า"
"ครั้งหน้า?"
"ใช่ ผมว่าเราต้องได้เจอกันอีกแน่"
"....โอเค โอเค ผมตกลง" จะเจอได้ยังไงไม่มีทรงหรอก ไปแล้วไปลับซะเถอะไอ้ประสาท ผมคิดพลางตอบตกลงไปส่งๆ
"ว่าง่ายอย่างงี้ก็ดี อะ...เอาไป"
       เขาโยนกุญแจรถให้ผมก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง
"ไม่คิดจะไปส่งผมหน่อยหรอ" เขาหันหลังกลับมาและพูดสั้นๆ
"....."

       ผมส่ายหัวและเดินไปนั่งที่โซฟา 'ใครจะไปส่งแกกัน' ผมคิดในใจ ซักพักผมก็ได้ยินเสียงประตูคอนโดผมเปิดและปิดลง 'เขาไปแล้ว' ผมถอนหายใจยาวก่อนจะควักโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนๆพลางคิดในใจว่า ไม่ว่าที่ไหนๆก็ขออย่าให้พบให้เจอคนจิตไม่ปกติแบบนี้อีกเลย เฮ้ออออออ.....

   ~แกร๊ก.....เสียงประตูห้องถูกปิดลง
       ชายหนุ่มนาม 'กร' ค่อยๆสาวเท้าเดินอย่างอ้อยอิ่งออกมาจากหน้าประตู เขาครุ่นคิดย้อนไปถึงการกระทำของตนเมื่อครู่ เขาพึ่งแอบสแกนลายนิ้วมือตัวเองเพิ่มเข้าไปในโมนิเตอร์ที่บานประตูด้านในเพื่อจะได้กลับมายังห้องนี้ได้อีกถึงแม้ตัวเจ้าของจะไม่เต็มใจก็ตาม นี่เขาทำตัวเหมือนคนโรคจิตจริงๆสินะ แต่จะทำไงได้
       เหว่ย...ชายหน้านิ่งเหมือนซอมบี้คนนั้น เขาก็พึ่งจำได้เมื่อครู่ แรกๆก็คับคล้ายคับคลา พอยิ่งได้มาเห็นรูปสมัยเรียนมหาลัยในห้องนอนของเหว่ยตอนที่เขากำลังเลือกเสื้อก็ยิ่งแน่ใจ เขาหล่อและดูดีขึ้นมาก ยิ่งได้มาเห็นเพื่อนสาวตัวแสบสามคนนั่นอีกก็ยิ่งไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ 'เป็นเขาจริงๆ' ผู้ชายที่แปลกที่สุดที่เขาเคยได้พานพบเมื่อสมัยก่อน ผู้ชายที่ทำให้เขาเหมือนคนบ้าทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันซักคำ ได้เจออีกจนได้ .....และครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม.....เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นเหมือนเดิม.....ไม่ยอมอีกแล้ว






_______________________________________________
แบบว่า ตอนที่สองจะตามมาเร็วๆนี้
ช่วยแนะนำข้อบกพร่องด้วยครับ พร้อมรับฟัง







Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2014 12:46:57 โดย song2315 »

ออฟไลน์ ★KVH™★

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
จิ้มมม
เหว่ยและกร..น่ารักเนอะ
คนนึงก็เงี๊ยบ เงียบ อีกคนก็บ่นไม่หยุด  :hao7:
สามสาวนั้นก็แสบ
ส่วนตัวเนื้อเรื่องก็อ่านแล้วเข้าใจดีฮะ ยาวด้วย
ปล.ชอบยาวๆนี่ล่ะ  ติดตามฮะ   :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2013 20:23:35 โดย ★KVH™★ »

shishikima

  • บุคคลทั่วไป
ว้าว~ ๆ
จะเป็นยังไงต่อไป
มารอค่าาาาา~

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
นายซอมบี้ที่รักของกร คริคริ
ชอบเหว่นจัง

รอตอนต่อไปน๊าาาา

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
แอร๊ยยยยรักแรกสมัยเรียนกลับมาพบกันอีกทีสินะ จับให้มั่น ๆ นะนายกร อิอิ

song2315

  • บุคคลทั่วไป
002 :  Recall(หวน)

       'ผมไม่ชอบหน้าหมอนั่นเลย' ทำหน้าแบบนั้นไร้ชีวิตชีวาชะมัด ใครหน้าไหนจะกล้าเข้าไปคุยด้วยกัน ทั้งๆที่หล่อขนาดนั้นแท้ๆทำไมต้องทำตัวมืดมนแบบนั้น....


       ผมชื่อ 'กร'...ตั้งแต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ได้และตารางชีวิตในที่ใหม่เริ่มลงตัวผมก็มาอ่านหนังสือที่นี่ตลอด ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของสวนยักษ์หลังตึกคณะนิติศาสตร์ที่กว่าจะถึงต้องแหวกแมกไม้เข้ามาลึกพอตัว มีไฟเปิดตลอดคืน แต่เพราะยุงเยอะมากจึงไม่มีใครโง่พอจะมาอ่านหนังสือตอนกลางคืนที่นี่ แต่จริงๆก็มีผมนี่แหละนะคนนึง ก็บรรยากาศมันเงียบสงบล้อมด้วยต้นไมัทั้งใหญ่ทั้งเล็ก แถมมีไฟเปิดสว่างโร่....อาๆ เดี๋ยวๆ แต่จะว่าไปก็มีอีกคนนึงสินะ ไอ้ซอมบี้หน้าหล่อนั่นก็มาอ่านหนังสือที่นี่ ประมาณสองทุ่มหมอนั่นก็จะเดินมาพร้อมยาจุดกันยุง มืออีกข้างถือประมวลกฏหมายแพ่งเล่มหนาปึ๊ก ผมได้ข่าวมาว่าพวกเรียนกฏหมายต้องจำประมวลแบบนั้นให้ได้ทั้งเล่ม ให้ตายเถอะ! ใครจะไปจำได้กัน มีแต่พวกต้มหนังสือกินเท่านั้นแหละที่กล้าเรียนคณะฮาร์ดคอร์แบบนี้ ต่างจากคณะผมที่มีแต่พวกหลุดโลกแต่งตัวไม่เต็มเต็ง สีผมแต่ละคนในคณะมองไปทางไหนไม่เคยซ้ำกัน อาจจะมีผมคนเดียวในคณะก็ได้ที่ยังผมสีดำและทรงผมปกติเป็นผู้เป็นคนอยู่ แต่ถึงงั้นก็เถอะ! ก่อนหน้านี้ผมเคยลองพยายามไว้หนวดตามนายจันทร์หนวดเขี้ยว แต่ประสบความล้มเหลวเพราะมันไม่ยอมยาวซักที ก็เลยตัดปัญหาไม่ทำอะไรมันซะเลย แต่งตัวก็สบายๆนี่ล่ะ และผมยังค้นพบด้วยว่าวันไหนที่ผมใส่เสื้อยืดขาดๆมีรอยบุหรี่จี้ผมจะดูหล่อขึ้นสามเท่า ถึงเพื่อนหลายคนจะบอกว่าผมคิดไปเองก็เถอะ
       พูดถึงเสื้อ ผมไม่เคยเห็นหมอนั่นใส่เสื้อแบบอื่นเลยนอกจากเสื้อคอโปโล เหอะ! จะทำตัวเป็นผู้ดีไปไหน ผมไม่เคยเห็นเขาใส่เสื้อยืดเลยครั้ง ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าหมอนั่นมีเสื้อโคโปโลลายทางขวางแบบเดียวกันแต่คนละสีตั้งเจ็ดตัว ....ว่าแต่ ผมไปนั่งสังเกตหมอนั่นตั้งแต่ตอนไหนกันเนี่ย!!
       แต่ก็ช่างมันเถอะ จะว่าไปนะ...จนถึงตอนนี้ ผมมาอ่านหนังสือที่นี่จะครบปีแล้ว ไม่ว่าจะวันไหนๆก็มีแค่ผมกับหมอนั่น ผมกับหมอนั่น ผมกับหมอนั่น แต่เชื่อมะ พวกเราไม่เคยคุยกันเลยซักคำ! ปฏิสัมพันธ์เดียวที่ผมกับหมอนั่นทำคือ 'บังเอิญมองหน้ากันแค่ชั่วแวบหนึ่ง' ทั้งๆที่ผมกำลังจะฉีกยิ้มให้แท้ๆ แต่หมอนั่นก็หันกลับไปทันที ผมว่าเค้าคงไม่เคยคิดว่าผมมีตัวตนด้วยซ้ำ ก็ดูเป็นคนไม่สนใจโลกแบบนั้นคงไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ไม่แปลกเลยซักนิดที่จะไม่มีเพื่อน เหอะ!!อยู่คนเดียวไปตลอดซะเถอะ!....



-days288-

        วันนี้ผมขับรถเล่นมาเรื่อยๆ หาแรงบันดาลใจไปเขียนหนังสือ ถึงจะเห็นเซอร์ๆแบบนี้ก็เถอะ ผมเขียนหนังสือเรื่องสั้นเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ เล่มแรกออกไปแล้วตอนผมอยู่ม.6 ป๊าบอกว่ามันขายดีเลยให้ผมเขียนเล่มสอง ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ บ้านผมเป็นเจ้าของกิจการสำนักพิมพ์ อีกไม่นานผมต้องได้เป็นเจ้าของมันต่อจากป๊า ถึงผมจะเลือกเรียนถาปัตย์ถาปัตย์ก็เถอะ ไว้ค่อยไปต่อโทบริหารเอาก็แล้วกัน
        ในขณะที่ผมจอดรถข้างทางเพื่อรับโทรศัพท์จากเพื่อนที่โทรมานัดไปกินเหล้าตอนเย็น สายตาผมก็เหลือบไปเห็น 'หมอนั่น' เดินออกมาจากร้านขายของเล่นเด็ก หิ้วของออกมาสองสามถุงใหญ่ ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไป กว่าที่ผมจะรู้ตัวผมก็ขับรถตามหมอนั่นมาซะแล้ว หมอนั่นจอดรถที่ร้านคอฟฟี่ร้านหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป ยังไม่ทันที่ผมจะลงรถเดินตามเข้าไปหมอนั่นก็กลับออกมาพร้อมหญิงสาวท่าทางเฮฮาสามคน พวกเธอล้วนถือของพะรุงพะรังกันทั้งสิ้น แต่ที่ผมแปลกใจที่สุดคือ ท่าทางของหมอนั่น มันคนละคนกับที่ผมสังเกตมาตลอดเกือบปี ทั้งพูดคุยหยอกล้อ 'หัวเราะ'และ'ยิ้ม'กับเพื่อนๆอย่างมีความสุข ผมยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพนั้นโดยไม่รู้ตัว ทำไมกันนะ เหมือนว่าผมดีใจกับหมอนั่น ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนเหมือนกัน ...ดีใจ
       หญิงสาวเหล่านั้นขึ้นรถหมอนั่นไปทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมขับตาม วันนี้ไม่ต้องทำอะไรแม่งแล้ว สต๊อกเกอร์นี่แหละงานถนัดไอ้กร ผมขับรถตามพวกนั้นไปโดยให้คำตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะไปสนใจพวกเขาทำไม
        รถเลี้ยวเข้าไปจอดในที่ๆหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ 'สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า' คนไม่เคยสนใจคนอื่นอย่างหมอนั่นเนี่ยนะจะมาที่นี่ ผมเดาว่าต้องโดนเพื่อนบังคับมาแหงๆ

.........
"แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูวว"
        ทุกๆคนโดยเฉพาะเด็กๆร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้หมอนั่น ก่อนที่เด็กหลายๆคนจะวิ่งเข้ามากอดขาเขาอย่างคุ้นเคย แสดงให้เห็นว่าหมอนั่นมาที่นี่หลายรอบแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ทำไมกันนะ รอยยิ้มที่หมอนั่นมีให้เด็กๆพวกนั้นมันถึงแตกต่างจากตัวตนที่แสดงออกมา...แทบจะแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือว่าผมจะมองหมอนั่นผิดไป
.........
       




-days290-

       ตอนนี้ผมไม่มีสมาธิคิดโปรเจกต์เลย หนังสือก็ยังเขียนไปไม่ถึงไหน ตั้งแต่วันที่ผมสะกดรอยตามหมอนั่นไปก็ยังไม่เห็นหมอนั่นมาอ่านหนังสือสองวันแล้ว ถ้ารวมวันนี้ด้วยก็เป็นวันที่สาม.  อ๊ากกกกกก! ผมเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย ทำไมในสมองถึงมีแต่หมอนั่นลอยไปลอยมาเต็มไปหมด มันอดไม่ได้ที่จะเดาไปต่างๆนาๆว่าจริงๆแล้วหมอนั่นเป็นคนยังไง

       ผมเก็บของลุกจากโต๊ะแล้วออกมาขับรถเล่น ดึกๆแบบนี้จะไปไหนดีล่ะ ผมขับมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็ลงเอยที่สวนสาธาณะแห่งหนึ่งที่อยู่ติดแม่น้ำ ถึงจะเกือบสี่ทุ่มแล้วแต่สวนสาธารณะนี้ก็ยังมีคนเดินๆวิ่งๆกันอยู่บ้าง หรือไม่ก็นั่งกินของจุกจิกกันเพราะบริเวณรอบๆสวนนี้มีของกินขายเต็มไปหมด กว่าที่นี่จะร้างคนก็หลังเที่ยงคืนไปนู่นล่ะ

       ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงสะพานแขวนข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง มีชายคนหนึ่งยืนคุยโทรศัพท์อยู่กลางสะพาน 'หมอนั่นหนิ'
       เห็นดังนั้นผมจึงกว้านซื้ออาหารปลาที่ตีนสะพานและกุลีกุจอไปยืนฟังหมอนั่นคุยโทรศัพท์ทันที ผมก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าผมจะมีทักษะการเป็นสต๊อกเกอร์ขั้นสูงขนาดนี้

'ครับป๊า หยงก็สบายดี'
'ไม่ๆ หยงมันเรียนได้เกรดดีขึ้นจริงๆไม่ได้โกหก ผมรับประกันๆ'
'ผมก็สบายดี ต้องอ่านเยอะหน่อย'
'ไม่เหนื่อย สบายมาก'
'ไม่เพิ่มหรอกครับป๊า ให้ไอ้หยงไปเถอะมันกำลังโต วัยกำลังอยากกินนู่นกินนี่'

'ครับม๊า อะไรนะ รังนก ไม่ๆๆๆไม่เอา'
'ไม่ต้องส่งมานะม๊า ผมไม่กิน'
'เดินเล่นครับ พักอ่านหนังสือมาสองสามวันแล้ว เดี๋ยวกลับไปอ่านต่อวันพรุ่งนี้'
'ไม่เป็นไรครับม๊า วันเกิดผมไปเลี้ยงเด็กที่ศูนย์ก็มีความสุขแล้วครับ ม๊ากับป๊าเที่ยวไปเถอะไม่ต้องห่วง'
'พะ..เพื่อน  อ๋มีครับ มีเยอะแยะเลย'
'ครับ จริงๆครับ คุยครับคุยกับทุกคน'
'ครับ มีครับ เพื่อนเยอะมาก ไม่เหมือนตอน ม.ปลายแล้ว'
'ไม่มีครับ ผมโตแล้วไม่มีใครแกล้งหรอก'
'ครับๆ เที่ยวให้สนุกนะครับ'
'ครับๆ หวัดดีครับ'

       เสียงหมอนั่นเงียบไปแล้ว หลังจากการดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ทำให้ผมสรุปได้ว่า หมอนั่นพึ่งจะโกหกพ่อกับแม่ตัวเองไปแหงๆ เพื่อนหรอ? คุยกับคนอื่นหรอ? ไม่มีทางซะล่ะ แสดงว่าที่บ้านก็คงรู้ว่าหมอนี่มันรีซิสโลกเข้าขั้นรุนแรง เฮ้อออ.....น่าเป็นห่วง น่าเป็นห่วง   
        และในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเรื่องต่างๆนาๆของหมอนั่นอยู่ ก็มีเสียงแผ่วๆเสียงหนึ่งลอยมาตามลม
 

"ปีนึงแล้ว....ผมยังไม่มีเพื่อนใหม่ซักคนเลยครับป๊า ม๊า"
       หมอนั่นเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเอ่ยกับตัวเองแผ่วเบา หากแต่ผมได้ยินชัดเจน ความเศร้าและเจ็บปวดเหมือนถูกปล่อยลอยมาตามสายลมและกระทบเข้ากับร่างกายของผม หัวใจมันเจ็บจึ๊ก ...เจ็บแทน.......หมอนั่นกำลังร้องไห้.......กำลังร้องไห้เงียบๆคนเดียว...ถึงจะหันหลังอยู่แต่ผมก็รู้ มันรู้สึกได้ ผมไม่อยากจะเดาเลยว่าเขาทำแบบนี้มานานกี่ปีแล้ว ขนมปังสามก้อนในมือผมร่วงลงไปในน้ำ ผมควรทำยังไงดี หมอนั่นกำลังร้องไห้ อะไรกันวะเนี่ย ทำไงดีๆ...คิด. คิด......เอาวะ! ถึงจะดูแปลกๆหน่อยเพราะไม่รู้จักกัน แต่เข้าไปเสนอหน้าซักหน่อยดีกว่าอยู่เฉยๆ
       ในขณะที่ผมกำลังจะก้าวเท้าออกไปโทรศัพท์มือถือของหมอนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบขึ้นมาดูและสูดหายใจลึกๆก่อนจะรับ
'ว่าไงหยง'
'อ้ออ ไม่มีไร เฮียเป็นหวัดน่ะ'
'พรุ่งนี้หรอ ได้ๆ เดี๋ยวเฮียไปรับ'
'โอเค'
'ไม่เป็นไรจริงๆ ตั้งใจอ่านหนังสือนะ'
'บายๆ'

       ผมรีบหันขวับมาเกาะขอบสะพานตามเดิมและทำท่าให้อาหารปลาทั้งๆที่ไม่เหลือขนมปังอยู่ในมือซักก้อน หมอนั่นปาดน้ำตาและค่อยๆเดินจากไปเพียงคนเดียว ....ที่แท้ เป็นคนแบบนี้เองหรอ...ความเศร้ามากมายขนาดไหนกันที่จะทำให้ผูัชายคนหนึ่งร้องไห้ออกมาได้ ผมจินตนาการมันไม่ออก ...แต่ที่รู้คือหมอนั่นเศร้า...เศร้าและโดดเดี่ยว...เศร้าและโดดเดี่ยวจนร้องไห้







-days295-

       ตั้งแต่วันที่สะพานก็ผ่านมาจะอาทิตย์นึงแล้ว หลังจากวันนั้นผมก็เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับตัวหมอนั่นใหม่หมดและเริ่มความเป็นสต๊อกเกอร์อย่างจริงจัง ตามสืบเรื่องหมอนั่นลับๆเงียบๆ จนในที่สุดผมก็รู้จักชื่อหมอนั่น 'เหว่ย' สังเกตรวมกับผิวขาวๆสะท้อนแสงแดดนั่นไม่ต้องเดาก็รู้ หมอนั่นมีเชื้อจีนอยู่ในตัวเกินครึ่ง แต่ก็นะ ผมก็ยังไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ เพราะข้อมูลของหมอนั่นหายากบรรลัยเหมือนไม่เคยมีตัวตน นอกจากได้รับรางวัลตอบปัญหากฏหมายก็ไม่มีอะไรในอินเตอร์เน็ตอีกเลย
       ผมเดินเรื่อยๆไปแถวตึกคณะนิติศาสตร์  'ปวดฉี่ เข้าห้องน้ำดีกว่า'  ว่าแล้วผมก็เดินไปห้องน้ำที่อยู่แยกจากตัวตึก กลุ่มผู้ชายสามสี่คนเดินสวนผมมา ท่าทางกำลังหัวเราะชอบใจ

'ได้แกล้งมันแม่งสะใจว่ะ'
'เออ ไอ้เชี่ยนี่แม่งก็ยืนนิ่งๆให้ละเลง'
'ไม่ตอบโต้ๆ ฮ่า ป๊อดตายห่า แม่งชื่อไรนะ'
'ชื่อเหว่ย แม่งหล่อจนน่าหมั่นไส้ ไอ้สัส'
'กุแม่งอยากถีบหน้าพวกผู้หญิงที่ไปคลั่งมันจริง แม่งโง่'
'กูก็....'

       ผมไม่อยู่ฟังพวกมันพูดกันต่อ ที่พยายามทำคือตั้งสติไม่ให้โกรธไปมากกว่านี้้และจำหน้าพวกมันเข้าไปฝังไว้ในส่วนลึกที่สุดของแกนกระดูกดำ 'พวกมึงเจอกูเล่นแน่' ผมคิดในใจก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ แต่แล้วเท้าผมก็ต้องหยุดกึก ผมพบชายหนุ่มที่ตัวเองแอบมองมาตลอด 'เหว่ย' เขาค่อยๆเดินออกมาจากห้องน้ำ หน้าเขายังคงนิ่งเหมือนเดิม ทำเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง หากแต่ว่าเสื้อนักศึกษาของเขาเปื้อนน้ำผสมสีจนแทบจะเป็นสีรุ้ง ผมมองใบหน้านิ่งๆนั้นออก อาจจะมีผมคนเดียวก็ได้ที่มองออก ...มันอ่อนล้า และหมดแรง แล้วตัวผมที่รู้ทั้งรู้ควรจะทำยังไง ควรจะทำยังไงดี อะไรที่พอจะช่วยบรรเทาความอ่อนล้านั้นได้บ้าง







-days297-

'พะ พวกพี่จะทำอะไรพวกผม'
"มึงไม่ต้องมาแสดงความโง่ พวกมึงแกล้งคุณชายใหญ่ของพวกกู อย่าหวังว่าจะได้ตายดี"
'คะ..ใคร คุณชายใหญ่ครับพี่ พะ..พวกผมไม่รู้จักค๊าบ'
"ฮึ! ก็คุณชายเหว่ยไง ที่พวกมึงละเลงสีเล่นกันน่ะ มึงรู้มั๊ยพ่อเค้าเป็นใคร"
'อะ...เอ่อ คะ...คือ'
"อ้ำๆอึ้งๆอะไร แดกนี่หน่อยเป็นไง"
   ~ตึก โพล๊ะ อักก ปึก ~
       ผมซึ่งซุ่มมองผลงานอันชาญฉลาดของตัวเองอยู่หลังมุมตึกกำลังยิ้มกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า คิดไม่ผิดจริงๆที่เมื่อวานโทรไปขอความช่วยเหลือจากพี่คนสวนและคนขับรถที่บ้านรวมแล้วสี่คนใหัมาแจกตีนพวกระยำนี่ ยังไม่พอยังให้สวมบทบาทลูกน้องคุณพ่อมาเฟีย ซึ่งก็ได้ผลตามคาด เล่นกันสมบทบาทเกินค่าตัวจริงๆ

"ถ้าพวกมึงแกล้งคุณชายอีก คราวนี้กูจะให้แดกนี่".

       พี่พลคนขับรถของพ่อผมคำรามลั่น ก่อนจะชักปืนของเล่นอันละเก้าสิบบาทออกมาจ่อหัวหนึ่งในพวกมัน พวกมันทั้งพยักหน้าทั้งไหว้ทั้งร้องไห้ เห็นแผนสำเร็จด้วยดีดังนั้นทุกคนก็รีบแยกย้ายโดยเร็วก่อนจะมีใครมาเห็น ทิ้งพวกมันให้นอนร้องโอดโอยอยู่หลังตึก

       ผมเดินจากมาอย่างสบายใจ หัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งเรื่องที่ตนไม่เคยทำมาก่อนอย่างจ้างคนมาชกต่อย บวกกับดีใจที่ต่อจากนี้อย่างน้อยหมอนั่นก็จะไม่มีใครมาแกล้งอีกเพราะอีกไม่นานข่าวลูกเจ้าพ่อนี้คงแพร่กระจายไปทั่วคณะ คิดแล้วผมก็ยิ้มไม่หุบ ตั้งหน้าตั้งตาสาวเท้าอย่างเร็วไปที่จุดนัดพบของผมกับพวกพี่ๆ วันนี้ต้องยกเครดิตให้จริงๆ เดี๋ยวให้ค่าตัวคูณสองแล้วพาไปเลี้ยงเหล้าจนพุงแตกตายเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า






-days 318-

       เหลืออีกสองวันสอบไฟนอลก็จะจบลงและเข้าสู่ซัมเมอร์ พอคิดว่าจะไม่ได้เจอหมอนั่นมาอ่านหนังสือที่นี่อีกสองเดือนกว่ามันก็ขัดใจๆยังไงไม่รู้ แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงซะเค้าก็ไม่เคยสนใจผมอยู่แล้ว ขนาดนั่งอ่านหนังสือที่เดียวกันมาเป็นปียังไม่มีกระจิตกระใจจะหันมาคุยกับผมซักคำ
       ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ผมแอบตามเขาตลอดแหละ จนรู้กิจวัตรที่ค่อนข้างเป็บแบบแผนคร่าวๆของเขาแล้ว เช้าถ้าไม่วิ่งออกกำลังกายก็จะปั่นจักรยานแถวๆสวนหลังคอนโด คอนโดที่หมอนั่นอยู่มันอยู่ข้างๆคอนโดผม ไม่น่าถึงชอบมาอ่านหนังสือหลังตึกคณะ เพราะเดินจากคอนโดข้ามถนนเข้ามหาลัยมาแล้วเดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึง แต่ถ้าจะถามว่าทำไมหมอนั่นไม่อ่านหนังสือในห้องที่คอนโด แต่กลับมานั่งตากยุงที่หลังตึกคณะทุกวันอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
       วันไหนที่ไม่มีเรียนถ้าหมอนั่นไม่ไปหาเพื่อนสนิทผู้หญิงสามคนนั้นที่อีกมหาลัยก็จะมานั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้ที่เดิมแล้วก็กลับซักบ่ายสาม กลับมาอ่านอีกทีก็สองทุ่ม
       หมอนั่นชอบกินชาบูมาก หรือไม่ก็เป็นปิ้งๆแบบยากินิกุ คิดดูสิว่าเขาเดินเข้าไปนั่งปิ้งบุฟเฟต์กินคนเดียว ถ้าเป็นผมล่ะก็ไม่มีทางเด็ดขาดล่ะ
       เบอร์มือถือหมอนั่นจริงๆผมก็มีนะ แต่ใครมันจะไปกล้าโทร ผมมีกระทั่งเบอร์น้องชายหมอนั่นที่ชื่อหยง แต่ก็นั่นแหละ มีไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
       ทุกวันนี้ผมมีคำถามกับตัวเองตลอด ว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะรักหมอนั่นรึเปล่า แต่ว่าผมตอบไม่ได้ ว่าผมรักหรือชื่นชมตัวตนของหมอนั่นกันแน่ ผมมันบ้าสิ้นดีทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันเลยซักคำแท้ๆ ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันเลยแต่เขากลับทำให้ผมเป็นเหมือนคนบ้า ตัวตนของเขาที่ผมอยากเอามาเป็นแบบอย่าง ตัวตนที่ได้เปลี่ยนมุมมองของผมในหลายๆเรื่อง  แต่ที่แน่ๆผมรู้สึกพิเศษกับคนคนนี้ คนที่ใช้แค่สายตาตัดสินไม่ได้ ต้องใช้หัวใจมองถึงจะเห็น เห็นว่าเป็นคนมีจิตใจสวยงามกว่าใคร













-days422-  ระยะเวลาระหว่างหยุดซัมเมอร์

       ตอนนี้ผมอยู่อังกฤษ ซัมเมอร์ที่ผ่านมาพ่อผมพาไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่หลายที่ และมาลงท้ายที่อังกฤษ ท่าทางพ่อผมจะไม่ค่อยอยากกลับเท่าไหร่ นี่ก็แทบจะไปติดต่อซื้อคอนโดอยู่เลยทีเดียว แถมยังมีพูดเปรยๆด้วยว่าจะให้ผมดรอปสถาปัตย์แล้วย้ายมาเรียนบริหารที่นี่ พ่อจะได้มีเหตุผลมาเที่ยวบ่อยๆ ผมก็ได้แต่หวังว่าพ่อผมจะไม่คิดทำจริงๆ ยิ่งเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ แล้วที่สำคัญถึงแม้ผมจะติสม์แตกขนาดนี้แต่รู้อะไรมะ ผมไม่เคยขัดพ่อผมได้ซักที

       ส่วน...ถ้าจะพูดถึงหมอนั่น ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ไม่ได้เห็นหน้าเลย บางทีมันก็ปวดใจ บางทีก็ทรมาน ความรู้สึกแบบนี้สินะที่เรียกว่าคิดถึง อีกอย่างทั้งๆที่ผมทำมาขนาดนี้แล้วแต่มันก็ยังกลัว กลัวที่จะเริ่มเข้าหา เวลาเป็นเดือนๆที่ผ่านมาผมได้นั่งทบทวนดูแล้ว ผมตัดสินใจดีแล้วว่ายังไงซะหลังจากจบซัมเมอร์นี้ผมจะค่อยๆเข้าหาเขา ค่อยๆเริ่มความสัมพันธ์ รอก่อนนะรอก่อนๆ อีกไม่กี่วันก็จะเปิดภาค ตอนนี้ผมยอมรับแล้ว ณ จุดๆนี้ว่าผมตกหลุมรักหมอนั่น...ต้องบอกว่า คงโงหัวไม่ขึ้นแล้ว








-days 429-   : 20.12

"ห๊ะ!!!! ไม่เด็ดขาดป๊า ทำอย่างนี้ไม่มีเหตุผลเลย"   
       ผมกำลังปฏิเสธพ่อหัวชนฝา อีกอาทิตย์นึงก็จะเปิดเทอมแล้วแท้ๆ แต่พอกลับมาเมืองไทยได้แค่สองวันอยู่ดีๆก็ส่งเรื่องไปดรอปผม แถมต่อวีซ่าเพื่อไปศึกษาที่อังกฤษให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงลงเอ็มบีเอของคอเลจน์ไหนซักคอเลจน์ให้ผมไว้แล้ว

"ฉันไม่มีเหตุผลที่ไหน ฉันลงสถาปัตย์ให้แกนะ ธุรกิจก็ค่อยไปเรียนเสาร์อาทิตย์ เห็นมั๊ยว่าฉันมีเหตุผล"
"แล้วทำไมเรียนที่นี่ไม่ได้ เพื่อนผมก็มีอยู่ที่นี่"


"เพื่อนหรอ! ไอ้เพื่อนผู้ชายที่แกแอบชอบนั่นใช่มั๊ย!!"


"อะ...อะไรป๊าพูดเรื่องอะไร"
"ไอ้พลเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว ว่าแกจ้างมันไปซ้อมพวกที่มาแกล้งคนที่แกแอบชอบ ชื่อเหว่ย และที่สำคัญมันเป็นผู้ชาย"
"...."


"แกต้องไปอังกฤษ ทิ้งที่นี่ไปทบทวนดู ที่แกกำลังเป็นอยู่ มันผิด ออกห่างจากไอ้นั่นซะ!"
"...." ผมไม่ตอบอะไร หากแต่กำลังโกรธกับคำพูดนั้นของป๊าที่ว่าผมผิด...ผมผิดที่กำลังชอบผู้ชายงั้นหรอ...ไม่ล่ะ! ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผิด อาจจะไม่เหมือนคนอื่นก็แค่นั้น


"...เขา เป็นคนดี" ผมเอ่ยแผ่วเบาหากแต่ผมรู้ ป๊าได้ยิน

"ไอ้กร!! ฉันไม่ยอมใหัแกเดินทางผิดแบบนี้หรอกนะ"
"....."


"แกชอบผู้ชายด้วยกัน วิปริต ถ้าแม่แกยังอยู่คิดดูว่าแกจะทำให้แม่เสียใจขนาดไหน"


"แม่จะไม่ว่าผม! เพราะแม่รู้ ผมไม่ได้ผิด!!!!"  ผมตะโกนออกไป


       ผมจะไม่ตอบโต้ใดๆอีก ทั้งๆที่ความโกรธมันอัดแน่นอยู่ในตัว ทำได้แค่เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในดวงตาอันเกรี้ยวโกรธของป๊า และส่งความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ไป ที่ผ่านมาตลอดชีวิต ผมใช้เวลาไปไม่น้อยเลยไปกับคำถามที่ว่าผมผิดรึเปล่า...ผิดรึเปล่าที่เกิดมาเป็นแบบนี้ ไม่มีใครตอบผม ไม่มีใครตอบผมได้ ไม่มีสิ่งไหนที่พอจะยืนยันความถูกต้องให้แก่ผมเลย จนผมได้พบหมอนั่น คนใช้ชีวิตพึ่งพาแค่ตัวเองโดยไม่เคยร้องขอความสงสารจากใคร ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดหรือถูก เพียงแต่ใช้ชีวิตให้ไม่เป็นภาระของคนอื่นก็เท่านั้น มันทำให้ผมเห็นสาระสำคัญของการเป็นมนุษย์ ได้รู้ในที่สุดว่าสิ่งที่ผมกังวลมาตลอดชีวิตมันไม่เคยมีความสำคัญเลย ผมไม่เคยผิด ผมจะผิดก็ต่อเมื่อสร้างความลำบากให้คนอื่นก็แค่นั้น

"ผมไม่เคยวิปริต ผมไม่เคยผิด"
"ไอ้กร!! อย่ามาย้อนฉันนะ"
"ผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เหว่ยทำให้ผมภูมิใจ"
"ฉันจะเลื่อนไฟต์แกมาเป็นพรุ่งนี้ เตรียมตัวซะ"
"...ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ยังเหลือเวลาให้ผมไปลาเขา"
"ไอ้กร!!! ไอ้กร จะไปไหน กลับมา!!!"



                : 20.46

       ผมกำลังขับรถออกจากกรุงเทพไปเขาใหญ่ เป็นที่อยู่ของหมอนั่นที่ผมแอบสืบมา ในใจเฝ้าแต่คิดว่าขอให้ได้เจอ ได้พูดด้วยซักคำก็ยังดี อย่างน้อยก็อยากให้เขารู้ว่าเขาสำคัญกับผมมากขนาดไหน

       น้ำตาหยดเล็กไหลออกมาจากขอบตาของผม มันไม่ใช่ความผิดหวังที่โดนบุพการีว่ามาอย่างเสียๆหายๆ ผมรู้ว่ามันจะต้องเกิดแบบนี้ขึ้นซักวัน และผมก็รู้ว่าซักวันป๊าจะต้องยอมรับในตัวผมได้ ผมรู้จักป๊าดี แต่ที่ผมเสียน้ำตาอยู่ตอนนี้ เพราะโกรธตัวเอง โกรธเหลือเกินที่มัวแต่ลังเล โกรธเหลือเกินที่ไม่เคยกล้า โกรธที่ตัวเองมันปอดแหกสิ้นดี

~ตะดึ้ง ตะดึ้ง ตะดึ้ง
       มือถือของผมส่งเสียงเรียกเข้า แค่ชั่วเสี้ยววินาทีที่ผมก้มลงไปมองมัน หน้าจอปรากฏคำว่า "ปาป๊า" พร้อมกับเสียงแตรรถดังลั่นมาจากทางด้านหน้า แสงไฟสว่างวาบชั่วความรู้สึกฉาบไปทั่วใบหน้าของผม ไม่มีโอกาสที่ผมจะได้เปล่งเสียงใดๆ

       ...ทุกๆคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองต่อผมอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นป๊าหรือเหว่ย ป๊าได้พยายามหาทางที่คิดว่าดีที่สุดให้ผม ส่วนเหว่ยก็ได้เปลี่ยนแปลงผม เปลี่ยนแปลงมุมมองของผมไปในทางที่ดีขึ้น มีแต่ผมคนเดียวที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่อะไรให้ใครซักอย่าง...มันปวดใจ...ปวดใจที่เป็นแบบนี้......................เหว่ย...คง......ไปไม่ถึงแล้ว............รัก.......................รักนะ..................
  ~รัก...ทั้งๆที่ไม่เคยคุยด้วย....บ้า
         .........ผมมัน..............บ้าสิ้นดี












-days466-

       ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงที่มีสายระโยงระยาง ในหัวขาวโพลนไปหมด
"กร ตื่นแล้วหรอ แกไม่เป็นไรแล้วใช่มั๊ย"
       ชายอายุประมาณห้าสิบคนหนึ่งปล่อยหนังสือพิมพ์ลงพื้นและวิ่งมาหาผม 'เขาเป็นใคร'
"ป๊าขอโทษ ป๊าขอโทษ ต่อจากนี้เรามาเริ่มกันใหม่ แกอยากเป็นอะไรป๊าก็จะไม่ห้าม ป๊าขอโทษ"
       ชายคนนั้นกำลังร้องไห้และจับมือผม มันอะไรกัน เขาร้องไห้ทำไม

"คุณ...เป็นใครครับ" ผมตัดสินใจถามเขา

       ชายคนนั้นมองหน้าผมอึ้งๆก่อนจะหลับตาและสูดหายใจ น้ำตาของเขาเอ่อขึ้นมามากกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะกดออดที่หัวเตียงผม มีหมอและพยาบาลชาวต่างชาติเข้ามาเต็มไปหมด บนเสื้อกราวน์เขาเขียนว่า (HOPE  I.S. Hospital ,manchester)
       ชายคนนั้นยังคงเอ่ยเบาๆไม่หยุด พร่ำบ่นแต่คำว่า...ขอโทษ....ขอโทษ












-days1622-

       ผมเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียนในเมืองใหญ่ ที่นี่เรียกตามภาษาบ้านเกิดผมว่า เมืองผู้ดี พ่อบอกผมว่าผมกำลังความจำเสื่อมอยู่ ความจำหายไปปีนึงเลยล่ะ ถึงผมจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองความจำเสื่อมก็เถอะ ก็ไม่เห็นมีใครที่ผมจำไม่ได้ที่นี่เลย พ่อบอกว่าตกใจมากตอนผมฟื้นขึ้นมาตอนแรกแล้วจำพ่อไม่ได้ ก็มันเบลอ... ผมจำได้ว่ากำลังรอลุ้นผลเอ็นทรานส์อยู่หน้าคอม แล้วอยู่ดีๆก็มาตื่นที่อังกฤษ เป็นใครก็งงเต๊กกันทั้งนั้นแหละ. ตอนนี้ผมเรียนบริหารธุรกิจอยู่ที่แมนเชสเตอร์คอเลจน์ตามใจพ่อ พ่อบอกว่าจริงๆแล้วผมเอ็นท์ติดสถาปัตย์ที่เมืองไทยด้วย แล้วก็เรียนไปแล้วด้วยปีนึง ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าช่วงปีนึงนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่สำคัญสุด พ่อบอกผมว่ารู้แล้วเรื่องผมเป็นเกย์ ถึงผมจะไม่รู้ว่าพ่อไปรู้มาได้ยังไงก็เถอะ และพ่อยังบอกกับผมด้วยว่า 'จะเป็นยังไงก็ช่างยังไงก็เป็นลูกป๊าทั้งนั้นแหละ ขอแค่เป็นคนดีก็พอ' ผมได้ยินครั้งแรกก็แทบจะกระโดดกอดคอพ่อเลย อย่างน้อยก็พ่อคนนึงที่ยอมรับในตัวผมแล้ว ผมจะตั้งใจเรียนตอบแทนอย่างสุดความสามารถ

       วันนี้ป๊าจะบินมาหาผมที่นี่ ทั้งๆที่หลังๆมานี่ป๊าสุขภาพไม่ค่อยดีก็ยังบินมาหาผมบ่อยๆ แต่มันก็ดีเหมือนกันเพราะช่วงนี้มันเหงาๆ ฟงแฟนก็ไม่เคยมีกับเขา มีแต่ผู้หญิงเข้ามาหา ทำไมไม่มีผู้ชายเลยวะ จะให้เข้าไปหาก่อนก็ไม่กล้า ผมไม่กล้าเข้าหาใครก่อนหรอก  เง้อออ...

       วันนี้ที่คลาสจะมีครูคนใหม่มาสอน ตื่นเต้นเหมือนกัน ได้ข่าวว่าเป็นคนจีน นานๆจะมีคนเอเชียเหมือนกันเพิ่มขึ้นในคลาส ตอนนี้เขาเดินเข้ามาแล้ว กำลังแนะนำตัว. โห่...คนจีนอะไรวะชื่อจีนชะมัด เหลี่ยง เหว่ย หง !!!!.....อ๊ะ! เหว่ยหรอ ทำไมคำนี้มันถึงคุ้นๆ

    ~โครมมม
       ผมล้มลงจากเก้าอี้ ไม่มีความเจ็บไหนเจ็บไปกว่าในหัวอีกแล้วตอนนี้ มันเจ็บสุดจะบรรยาย เหมือนมีม้วนเทปอย่างเร็ววิ่งผ่ากลางสมองเข้ามา ....เจ็บ เจ็บเหลือเกิน ผมเอามือกุมหัวทั้งสองข้างก่อนจะร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ทุกอย่างในคลาสหยุดนิ่ง ผมกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน ความทรงจำทั้งหมดถาโถมเข้ามาในหัวผมภายในเวลาไม่กี่วินาที เพื่อนๆต่างกรูกันเข้ามารุมล้อมตัวผม

    ~ปึกกก
       ดีเหมือนกัน ขอหมดสติไปจะดีกว่า ไม่ไหว ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว....ว่าแต่ ผู้ชายหน้าหล่อคนนั้นใคร ...ทำตัว เหมือนซอมบี้ชะมัด.....แต่เขาก็หล่อชะมัดเลย...นี่มันสเปคผม..ขาว......อยากรู้จัก...อยากรู้จักจังเลย






___________________________________________________________________________________________________________________________________________

เล่นเอาเหนื่อยเบยสำหรับตอนที่สองนี้ หวังว่าจะได้เห็นความเป็นตัวละครกันมากขึ้นนะครับ
จริงๆว่าจะลงตั้งแต่เมื่อวานแต่มันเกิดภารกิจด่วนต้องไปต่างจังหวัดคืนนึง เลยชวดครับ
เพื่อเป็นการชดเชยคิดว่าพรุ่งนี้จะรีบนำตอนที่สามมาลงให้แต่เช้าครับ

แล้วก็ขอใข้พื้นที่ในส่วนนี้ขอบคุณมากๆสำหรับท่านที่ได้มารีพลายติชมแสดงความคิดเห็นครับ
บอกตรงๆว่าเป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆให้ผมมีแรงต่อไป ขอขอบคุณจากใจจริงเลยครับผม

เกเร

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้ยๆๆ น่าสนุกอ่านมาสองตอนชอบอะ มาต่ออีกบ่อยๆนะ
ชอบแนวนี้พระเอกไม่มั่วเซ็กดี ชอบรักเดียวใจเดียวอะ แล้วนายเอกไม่บ้าชมตัวเองว่าหล่อกว่าน่ารัก 555+ชอบนายเอกแนวนี้
 :3123: :3123: :3123: :3123:

song2315

  • บุคคลทั่วไป
003 : reboot(การเริ่มต้นหนที่สอง)


"ฉันไม่เชื่อแกหรอกไอ้เหว่ย ถ้าคนพึ่งรู้จักกันแค่สามสิบนาที ใครมันจะไปกล้าทำแบบนั้น"
"ใช่! แกนี่นะ มาถึงขนาดนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้วล่ะ พวกชั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่น้อยใจ"
"เฮอะ!! ฉันเนี่ยน้อยใจมากที่ผัว  เอ๊ย..ฟะ...แฟนแกหล่อกว่าฮันนี่ของฉัน...มันเหมือนโดนหักหน้า"
       ผมอยากจะบ้าตายกับเพื่อนผมทุกคนตอนนี้ ไม่มีใครคิดจะฟังผมด้วยซ้ำ ผมอธิบายจนไม่รู้จะหาคำภาษาไทยคำ

ไหนมาอธิบายแล้ว มันบ้าชัดๆ

"แกไม่ต้องมาทำหน้าผีดิบแบบนั้นเลยไอ้เหว่ย มันใช้กับพวกฉันไม่ได้ผลย่ะ"
       ก็ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้ว ไม่มีใครเชื่อผมเลย เพราะไอ้บ้านั่นเล่นพิเรนอะไรของมันก็ไม่รู้
"แหนะ! ไอ้เหว่ย แกยังไม่หยุด ยังไม่หยุดอีก"
"ถ้าแกไม่หยุดทำหน้าไม่มีเลือดไปเลี้ยงเซลล์ผิวแบบนั้น ฉันจะเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการสาดข้าวซอยนี่ให้แกเอง"
"ไอ้เหว่ย...ก็ฉันบอกแล้วไง เหตุผลแกมันฟังไม่ขึ้น คนพึ่งรู้จักกันมันไม่เนื้อแนบเนื้อแบบนั้นหรอก ใช่มั๊ยพวกแก"
"ใช่!!! อ๊ายยยยยย" เพื่อนผมสามคนประสานเสียงน่าเวียนหัวนั่นพรัอมกัน ก่อนจะส่งสายตากรุ้มกริ่มๆมาทางผม

"พะ..พวกแก หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดพูด....เหตุผลก็คือ ไอ้ นั่น มัน บ้า ไง"

       ผมเน้นเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สุดให้กับเพื่อนๆฟัง ถึงจะรู้อยู่ว่า ณ จุดนี้ พูดอะไรไปพวกมันก็คงไม่ฟัง รอให้เรื่อง

มันผ่านไปนานๆเดี๋ยวพวกมันก็รู้เองว่าผมกับหมอนั่นไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ว่าแล้วผมก็ตีหน้านิ่งใส่เพื่อนต่อ และยกแก้วน้ำ

ขึ้นมาดื่ม

"ว่าใครบ้ากันหรอครับ!!"

     ~พรวดดด แค่กๆ แค่กๆๆ
       ผมสำลักน้ำทันทีที่ได้ยินเสียงจากทางด้านหลัง เสียงกวนบาทาแบบนี้ผมจำได้ขึ้นใจ 'หมอนั่น' นี่โลกมันกลมหรือ

เขาแอบตามผมมาถึงร้านข้าวซอยนี่กัน ผมค่อยๆวางแก้วน้ำลงและสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่คิดแม้แต่จะหันไปมองต้นเสียง

"ทำไมเหว่ยหนีมาไม่บอกกรเลยครับ กรเสียใจนะ"

       เขาพูดเปรยก่อนจะเดินมาถึงโต๊ะและดึงเก้าอี้ข้างผมออกมานั่งอย่างถือวิสาสะ นี่ยังไม่หยุดพูดเล่นบ้าๆอีกใช่มั๊ย แค่นี้

เพื่อนผมมันก็เข้าใจผิดไปสามร้อยโยชน์แล้ว ถ้าไอ้บ้านั่นมันไม่ยอมหยุดเล่นผมจะกระทำการป่าเถื่อนครั้งแรกในชีวิต

โดยการเอาน่องไก่ในชามข้าวซอยของผมยัดเข้าไปในรูจมูกมันซะ

"...."
"คุณกรหวัดดีค่ะ นี่สรุปเหว่ยมันหนีคุณกรมาจริงๆใช่มั๊ยคะเนี่ย"
"ครับ เค้ายังโกรธผมอยู่เลย"
       หมอนั่นพูดก่อนจะหันหน้ามาหาผมและพยายามทำหน้าตาน่าสงสาร อุบาทว์ชะมัด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เพื่อน

ผมก็ยังหลงเชื่อมุขห่วยๆนั้น ผมทนไม่ไหวแล้วนะ หมอนี่มันเป็นบ้ารึไง ผมไม่เคยรู้สึกทนใครไม่ได้ขนาดนี้มาก่อน

'ไอ้เหว่ย เรื่องนี้แกผิดนะ ไปโกรธเค้าได้ไงวะ'
'ใช่ แกนี่มัน...'
"หยุด!! ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่รู้จัก ถ้าไม่เชื่อลองถามเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันดู ยังไงก็ไม่มีทางตอบได้!"
       ผมปล่อยโทนเสียงที่น่าเกรงขามที่สุด ทุกๆคนต่างเงียบและมองหน้ากันเลิกลั่ก เว้นแต่หมอนั่นที่ยังนั่งยิ้มอย่าง

ไม่สะทกสะท้าน
"...."

       บรรยากาศในโต๊ะเข้าสู่ความเงียบและมาคุ เพื่อนผมรู้ดีว่าผมกำลังโกรธ ดีเหมือนกันจะได้จบๆซักที ลาขาดของ

จริงล่ะคราวนี้

"เอ่ออ...ถามได้นะครับ ผมน่าจะตอบได้"

       ผมหันขวับไปมองหน้าเขาทันที หมอนั่นทำลายความเงียบบนโต๊ะโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับรังสีอมหิตของผม

ซักนิด แล้วบอกว่าจะตอบเรื่องของผมมันอะไรกัน. เพื่อนสาวสามคนของผมหันหน้าเข้าหากันก่อนจะพยักหน้าให้หมอ

นั่นและเริ่มผลัดกันถามคำถามเกี่ยวกับผม

'อืมมม เหว่ยชอบกินอะไรคะ'
"ถ้าบ่อยที่สุดก็ต้อง...ชาบูครับ" เขาตอบทันทีก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผม
'เหว่ยเรียนจบอะไรเอ่ยย'
"นิติศาสตร์ครับ"
'เหว่ยมีพี่น้องกี่คนคะ'
"มีน้องชายคนนึง ชื่อน้องหยงครับ"
'นี่ๆ ต้องอันนี้...บ้านเหว่ยอยู่ที่ไหนคะ'
"อยู่เขาใหญ่ครับ แล้วก็บ้านพักตากอากาศที่พัทยา"
'อันนี้ยากสุดๆ..บ้านเหว่ยทำกิจการอะไรคะ'
"ป๊านำเข้ารถยุโรปมาขายครับ ส่วนม๊าทำร้านทองครับ"

       ผมอ้าปากค้างกับตำตอบแต่ละคำตอบของหมอนั่น เขารู้จักผมได้ยังไงกัน รู้ถึงขนาดว่าผมชอบอะไร เขาต้องเป็น

พวกสิบแปดมงกุฎแน่ๆเลย

'ชัดเลยย ไอ้เหว่ย'
'เขารู้ด้วยแกชอบกินอะไร'
'เพราะฉะนั้นแกหยุดเถียงและเงียบไปซะไอ้เหว่ย กินเข้าไปซะไอ้ข้าวซอยตรงหน้านั่นน่ะ"
       เพื่อนผมได้ทีสวนกลับผมให้เป็นฝ่ายรอง ผมหมดปัญญากับหมอนี่หมดปัญญาจริงๆ คนอะไรมันถึงหน้าด้านหน้า

ทนไร้สามัญสำนึกของคนปกติสิ้นดี ผมเงียบและก้มหน้าตักข้าวซอยเข้าปากอย่างไม่สบอารมณ์นัก
'คุณกรจะทานอะไรมั๊ยคะ เดี๋ยววันนี้ปล์ามเลี้ยงค่ะ' ผมได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที
"เฮ่ยย แกไปชวนมันทำไมวะปล์าม" ผมรีบประท้วงเพื่อนตัวเอง
'เอ้าาาา อะไรของแกวะเหว่ย แฟนแกนะนั่น'
"ไม่ใช่ ไม่ใช่โว๊ยย"

       ผมกำลังพูดความจริงอยู่นะ ไอ้นั่นมันสิบแปดมงกุฎโรคจิตชัดๆ ยังไปชวนมันนั่งกินข้าวอีก เพื่อนทุกคนส่ายหัว

ก่อนจะส่งสายตาเอือมระอามาทางผม ผมสมควรได้รับสายตาแบบนี้รึไงเล่า ผมพูดความจริงอยู่นะ

"เอ่ออ...ถ้าเหว่ยไม่อยากให้ผมนั่ง ผมไปก็ได้ครับ"

       หมอนั่นพูดเสียงอ่อยพร้อมทำท่ากำลังจะลุกขึ้น ผมปล่อยยิ้มอันปลื้มปิติออกมาอย่างออกนอกหน้า หากแต่เหล่าเพื่อนตัวดี

ของผมกลับทำให้ผมต้องหุบยิ้มลง
'ไม่ต้องไปไหนเลยค่ะคุณกร นั่งอยู่ข้างๆมันตรงนั้นแหละค่ะ'
'ใช่เลยค่ะ อย่าไปสปอยมันค่ะ เสียนิสัย'
'ต้องกำราบมันสิคะ อย่ายอมค่ะ อย่ายอม'

       ผมยู่หน้าเข้าหากันเหมือนหมาบลูด็อก นี่ถ้าเบะปากเป็นรูปทางช้างเผือกได้ผมคงทำไปแล้ว หมอนั่นขยับเก้าอี้มา

นั่งตามเดิมก่อนจะหันมาส่งยิ้มน่าขนลุกให้ผม. 'ไปตายซะไอ้เห็ดฟางกลับชาติมาเกิด' ผมด่าเขาในใจ
"งั้นน วันนี้ผมเลี้ยงทุกคนเองนะครับ"
'อุ๊ยย ไม่เอาค่ะไม่เอา อยู่ๆมาเลี้ยงพวกเราแบบนี้เกรงใจค่ะ ใช่มั๊ยพวกแก'
'ช่ายยค่ะ' ทุกๆคนพูดพร้อมกัน
"ไม่เป็นไรครับ เพื่อนเหว่ยก็เหมือนเพื่อนผม"
       หมอนั่นพูดก่อนจะส่งยิ้มน่าขนลุกมาให้ผมอีกครั้ง ผมหมดหนทางจะทำแล้ว หมอนั่นฝังตัวเข้ามาในกลุ่มเพื่อนผม

ซะแล้ว ทุกอย่างยิ่งดูยุ่งยากเข้าไปใหญ่ ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ทำกันไปเลยแต่อย่างหวังว่าผมจะเล่นด้วยก็แล้วกัน




...
'ขอบคุณที่เลี้ยงนะคะคุณกร'
"ไม่เป็นไรครับ"
       เพื่อนผมขอบคงขอบคุณหมอนั่นเป็นการใหญ่ แต่ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ เมื่อไหร่พวกเพื่อนผมจะตรัสรู้ซักทีว่า

หมอนี่มันไม่เต็มเต็ง
'คุณกรเอารถมาใช่มั๊ยคะ'
"อ้อ เอามาครับ นั่น"
       ไอ้เห็ดฟางชี้ไปที่รถเมอร์ซิเดสสปอร์ตสีดำเงาคันหนึ่งที่จอดอยู่ นี่คงไปหลอกต้มตุ๋นคนอื่นมาแน่ๆถึงได้มีเงินซื้อ

รถแพงๆแบบนี้

'โอเคค่ะ งั้นน..ไอ้เหว่ย เอากุญแจรถแกมาให้ชั้นซิ'  เมย์พูดก่อนจะแบมือมาตรงหน้าผม ผมก็ยื่นกุญแจให้แต่โดยดีโดย

ไม่ได้คิดอะไร
"แกอยากขับหรอเมย์"
'ช่ายย ฉันจะขับเอง ปะ! พวกแก'
       เมย์พูดก่อนจะหันไปเรียกเอาปล์ามกับฟ้าที่กำลังคุยอยู่กับหมอนั่น เพื่อนผมสามคนเดินไปกันทันทีโดยไม่รอผม

ผมรีบสาวเท้าเดินตาม

'เอ้าา แกตามมาทำไมไอ้เหว่ย พวกฉันยืมรถแกไง ส่วนแกไปกับคุณกรนู่น'
"เฮ่ยยย ไม่มีทางเด็ดขาด"
'ไม่สนย่ะ พวกฉันขอยืมรถ...อ้อ ไม่สิ จริงๆแบบนี้ต้องเรียกว่าโขมยสินะ ...ปะ!!พวกแก วิ่งงงง'
       เพื่อนตัวดีของผมออกวิ่งทันทีและกระโจนเข้าไปในรถอย่างรวดเร็วประดุจนัดกันมาเป็นอย่างดี รถพร์อชสีขาว

ของผมถอยหลังและทะยานออกสู่ท้องถนนภายในชั่วไม่กี่วินาที ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้งกับการกระทำของบรรดาผองเพื่อน

และมองดูรถของตัวเองแล่นจากไปไกลลิบจนลับขอบถนน... นี่ผมโดนทิ้งสินะ ถึงตอนนี้มันตัดสินใจยากชะมัดว่าถ้าให้

เลือกบีบคอได้ ผมจะเลือกบีบคอเพื่อนรักก่อน หรือบีบคอไอ้เห็ดฟางนั่นก่อนดี

       ผมหันซ้ายหันขวาดูรอบๆ ไม่มีใครทั้งนั้นนอกจากหมอนั่นที่ยืนส่งยิ้มอย่างมีชัยมาให้ผม ไอ้เห็ดสับปะรังเคเอ้ย!
"หน้าคุณตอนเอ๋อนี่ ...ตลกชิบเลย"
"...."

       ผมไม่สนใจคำพูดหมอนั่น และเริ่มหันหลังออกเดินทันที ยังมีสองเท้าของตัวเองอยู่ผมไม่ตายง่ายๆหรอก ถึงจะ

ไกลหน่อยแต่เดินแค่นี้..สบายมาก....
"เฮ้ๆ! คุณจะไปไหนน่ะ จะเดินจากที่นี่กลับคอนโดรึไง บ้ารึเปล่า"
"...." ผมไม่แม้แต่จะหันไปมอง ตั้งใจสาวเท้าต่อ
"คุณกลับไปถึงตอนตีสองแน่"
"...."
"เฮ่ นี่คุณ คุณ คุณณ!"
"...."
"คุณฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!"
"...."
     





~ ภายในรถคันงามสีขาว

       หญิงสาวท่าทางร่าเริงที่กำลังควบพวงมาลัยอยู่เอ่ยถามเพื่อนสาวอีกสองคนที่อยู่ในรถคันเดียวกัน
เมย์ : "พวกแก ว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันจริงมั๊ยวะ ดูท่าทางไอ้เหว่ยมันแปลกๆนะ"
ฟ้า : "ไม่รู้สิแก ฉันก็เคยลองจินตนาการนะว่าแฟนไอ้เหว่ยจะเป็นคนยังไง มันก็จินตนาการไม่เคยออก แต่แบบ พอได้มา

เห็นคุณกรนั่นน่ะมันรู้สึกว่าใช่เลย แบบนี้เลยแฟนไอ้เหว่ย"
ปล์าม : "ฉันก็เหมือนกันแก ยิ่งพอเห็นคุณกรนั่งยิ้มตอนไอ้เหว่ยแผ่รังสีอาฆาตแบบไม่สะทกสะท้านนะ ฉันรู้สึกว่านี่

แหละคนที่จะเอาไอ้เหว่ยอยู่ พวกแกคิดมะ"

เมย์ : "งั้นถ้าเค้าไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆแล้วเรื่องเป็นอย่างที่ไอ้เหว่ยเล่า จะทำไงอ่ะแก"
ปล์าม : "ฉันว่าถ้าเอาเรื่องที่ไอ้เหว่ยเล่ามาประกอบกับเรื่องที่เราเห็นทั้งหมดจนถึงเมื่อกี้ แปลว่าคุณกรน่ะชอบไอ้เหว่

ยนะ"
ฟ้า : "ถ้างั้นฉันว่าเราก็แค่ทำให้พวกนั้นเป็นแฟนกันจริงๆ"
ปล์าม : "ทำไงอ่ะแก"

ฟ้า : "ไม่เห็นจะยากเลยแกก็............."

เมย์ : "เฮ่ยๆ เดี๋ยวๆ ก่อนที่จะทำตามที่แกว่านะฟ้า ฉันว่าเราควรตามสืบเรื่องคุณกรนี่ให้แน่ใจก่อนดีมะ ว่าไม่ใช่สิบ

แปดมงกุฎแล้วที่สำคัญเค้ารักเพื่อนเราจริงๆ"
ปล์าม : "ใช่ ถ้าไม่สืบก่อนฉันจะไม่ยอมทำตามแผนแกเด็ดขาด"
ฟ้า : "ชิ เรื่องมากจริงพวกแก ฉันสืบให้ก็ได้ย่ะ เรื่องกล้วยๆ ผัวเป็นนักสืบค่ะ ผัวเป็นนักสืบ"

       ฟ้ากดโทรศัพท์มือถือของตนและรอให้ปลายสายรับอย่างรีบร้อน
"ที่รักคะ! ที่รักรับโทรศัพท์ฟ้าช้าไปวินึงนะคะ"
"โอเค โอเค ฟ้าจะยกโทษให้ก็ได้ แต่ที่รักต้องช่วยฟ้าอย่างนึง"
"ไม่ยากหรอกค่ะ ก็อยากให้สืบเรื่องคนคนหนึ่งให้หน่อย เอาแบบด่วนที่สุด"
"ข้อมูลอะไรคะ ไม่มีหรอกค่ะ มีแต่รูปที่แอบถ่ายมากับรู้ชื่อเล่น"
"ค่ะ พยายามเข้านะคะ จุ๊ฟค่ะ ฮิฮิ ฮิฮิ"


เมย์ : "ต๊ายยย นังงูพิษ แกไปแอบถ่ายรูปเค้ามาตอนไหนยะ"
ปล์าม : "สมกับมีผัวเป็นนักสืบจริงๆแก สอดรู้สอดเห็นสุดๆ"
ฟ้า : "ฉันจะถือว่าเป็นคำชมนะยะ พอดีมือมันกดชัตเตอร์รัวตั้งแต่ตอนอยู่หน้าห้องไอ้เหว่ย คุณกรเค้าเลยติดมาด้วย ตั้งแต่ตอนยังไม่ใส่เสื้อเลยนะแก"
เมย์+ปล์าม : "อ๊ายยยยยยยยย"





...
"จอดตรงนี้แหละเดี๋ยวผมเดินต่อเอง" ผมตัดสินใจเปิดปากพูดเมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในย่านที่คอนโดผมตั้งอยู่
"...."
"คุณ คุณกร"
"...."

       ผมอยากจะเอารองเท้าหนังยัดเข้าไปในปากหมอนี่ พอผมพูดด้วยก็ดันเงียบ เมื่อกี้หมอนั่นจับผมเหวี่ยงขึ้นรถตัว

เองแล้วปิดประตูอัดก๊อปปี้ผม นี่ถ้าผมตัวเล็กกว่านี้มันคงจับผมยัดใส่กระโปรงรถสปอร์ตเล็กๆนั่นแล้ว ผมไม่เคยทำร้าย

ใครนะสาบานได้ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ

    ~เพี๊ยะ!!!
"โอ้ย"

       ผมใช้ฝ่ามือตะบันแขนเขาไปสุดแรงเกิด อย่างแกมันสมควรโดนเท้าด้วยซ้ำไอ้เห็ดฟาง หมอนั่นซี๊ดปากก่อนจะหัน

หน้ามามองผมอย่างเอาเรื่อง ผมไม่กลัวซะล่ะ ว่าแล้วผมก็ตีหน้านิ่งใส่กลับไป
"จอด"
"ไม่!!!" เขาตวาดกลับมา

       ผมได้ยินดังนั้นก็ฉุนขาด กดปลดล็อคประตูรถและดึงประตูเปิดออกในขณะที่รถวิ่งอยู่ หมอนั่นเบรครถแทบจะทันที

ก่อนที่จะหันมาหาผมและง้างฝ่ามือขึ้นจากนั้นก็ตบหัวผมอย่างแรง
     ~ปึกก!!
"โอ๊ย"
"เรียนมาสูงซะเปล่า อยากหน้าครูดถนนนักรึไง"
       ความเจ็บแล่นเข้ามาในหัวก่อนที่จะแล่นไปทั่วร่างกาย เหมือนเส้นด้ายที่ขาดผึง ผมง้างมือขึ้นและตบไปที่หัวเขา

อย่างรวดเร็วและพอดิบพอดี สาบานได้ว่าผมไม่เคยตอบโต้ใคร แต่สำหรับหมอนี่ขอซักทีเถอะ

     ~ปึกก!!
"โอ้ยย มันเจ็บนะคุณบ้ารึไง"
"แล้วเมื่อกี้ผมไม่เจ็บรึไง คุณก็ตบหัวผมเหมือนกัน"
"ก็คุณ....มันทั้งโง่ทั้งเซ่อไง ผมก็แค่ตีหัวไล่ความโง่ให้คุณ"
"นี่คุณ....."
       ผมกำลังจะระเบิดเป็นจุนๆด้วยความโกรธหมอนี่ แต่ก็พยายามระงับไว้สุดๆ ผมไม่เคยโกรธแบบนี้มากี่ปีแล้วนะ

มันไม่เหมือนความโกรธจากการโดนกลั่นแกล้ง หรือความโกรธจากการโดนมองข้าม หากแต่มันเป็นความโกรธที่แปลก

ประหลาดและผมไม่ได้พบความโกรธแบบนี้มานานแสนนาน ...นานจนจำไม่ได้ว่าครั้งล่าสุดมันตอนไหน

"ทำไม คุณจะทำมะ"

       หมอนั่นพูดก่อนจะส่งสายตายียวนมาให้ผม ผมสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง หมอนั่นพยายามกวนประสาทผมอีก

หลายครั้งแต่ผมก็ไม่เอ่ยคำพูดอะไรเลยตลอดทางจนถึงคอนโด



       ~ปึก
       ผมกระแทกประตูรถปิดอย่างแรงก่อนจะหันหน้าเดินเข้าคอนโดโดยไม่สนใจ ไม่ได้บอกลา และไม่ได้ขอบคุณหมอ

นั่น


"ท่านวิยะ ท่านวิยะคะ คือเมื่อกี้ท่านดิเรกเอาเอกสารมาฝากไว้ในเซฟให้น่ะค่ะ เชิญท่านไปเซ็นรับด้วยค่ะ"
"อ้ออ ขอบคุณครับ"
       ผมยังไม่ทันเดินไปถึงลิฟต์พนักงานฝ่ายต้อนรับก็เดินมาหา ผมเดินตามเขาไปเอาเอกสารที่ห้องพัสดุและใช้เวลา

ซักพักจึงเรียบร้อย จากนั้นผมก็ขึ้นลิฟต์กลับเข้าห้องตามปกติ
    ~ตี๊ดดด
       ผมสแกนลายนิ้วมือที่บานประตูก่อนที่สลักอัตโนมัตจะปลด ผมเข้ามาในห้องและปิดประตูก่อนจะถอนหายใจอย่าง

โล่งอก ยังไงซะที่นี่ก็เป็นที่ปลอดภัยที่สุดและผมไม่ต้องกังวลว่าจะมีหมอนั่นตามมากวน


"ไง!!"
"เฮ่ยยยยย!! คะ..คุณเข้ามาได้ยังไง"

       หัวเข่าผมแทบทรุดเมื่อเจอเห็ดฟางสับรังเคงอกอยู่บนโซฟา หมอนั่นยกนิ้วโป้งขึ้นมาโชว์ผมเพื่อเป็นสัญลักษณ์

บ่งบอกว่า เขาใช้นิ้วโป้งตัวเองผ่านเซ็นเซอร์ประตูห้องผมเข้ามา
"ไม่ว่าคุณจะเข้ามาได้ยังไง ออกไปซะ" ผมยื่นคำขาด
"ไม่ล่ะ ผมขึ้นมาทวงคำขอบคุณจากคุณในฐานะที่ผมขับรถมาส่ง"
"เมินซะเถอะ งั้นก็เชิญอยู่ตรงนั้นไปจนตายเลยละกัน"

      ผมพูดประชดหมอนั่นก่อนจะรีบปรี่เข้าห้องนอนตัวเอง เดี๋ยวมันก็คงเบื่อแล้วกลับไปเองแหละ ให้ตายยังไงผมก็ไม่

ขอบคุณมันหรอก ผมเอาเอกสารประกอบการพิพากษาคดีที่ได้รับมาเมื่อครู่ออกมานั่งอ่านเกือบชั่วโมงอยู่บนเตียง จาก

นั้นก็ลงมือเขียนคำร่างคร่าวๆแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เอาไปดิวกับดิเรกอีกนิดหน่อย


...
       ผมลุกจากเตียงหลังจากนั่งเขียนงานมานานเกือบสองชั่วโมง ถอดเสื้อผ้าและเตรียมจะออกไปอาบน้ำ แต่ก่อนจะเปิดประตู

ห้องนอนออกไปก็ต้องหยุดชะงักเท้าพลางคิด หมอนั่นจะยังอยู่รึเปล่า? และผมก็ให้คำตอบกับตัวเองว่าไม่มีทาง ไม่มีใคร

เค้านั่งรอคำขอบคุณนานสองชั่วโมงหรอก
       ผมเดินเปลือยท่อนบนออกมาจากห้องนอนอย่างสบายใจก่อนจะมุ่งหน้าสู่ห้องน้ำ หากแต่ได้ยินเสียงทีวีดังมาจาก

ฝั่งห้องนั่งเล่นทำให้ผมต้องเดินย้อนไปอีกทางเพื่อสำรวจ ทีวียังเปิดอยู่แต่ไม่มีคนดู หมอนั่นมันไร้มารยาท นอกจากจะ

เปิดทีวีห้องคนอื่นดูแล้วยังกลับไปโดยไม่ปิด
       ผมเดินไปปิดทีวีและปิดไฟฝั่งห้องนั่งเล่นและกำลังจะเดินกลับไปที่ห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องชะงัก สาบานได้ว่าผมไม่

ได้ตาฝาด หมอนั่นถืออาหารกล่องสำเร็จรูปในตู้เย็นที่ผมพึ่งซื้อมาเมื่อวาน ที่รักแร้หนีบขวดน้ำแร่ที่ผมดั้นด้นสั่งมาจาก

ญี่ปุ่น และสุดท้ายมืออีกข้างถือถ้วยป๊อปคอร์นคั่ว

"คุณทำบ้าอะไร นั่นของในตู้เย็นผมนะ"
"อ้าวว อยากกินหรอ งั้นก็มากินด้วยกันสิ"

       หมอนั่นพูดเรียบๆก่อนจะเดินผ่านหน้าผมไปนั่งยังโซฟาที่เดิม แล้วเอ่ยประโยคกวนบาทา
"แล้วนี่ปิดทีวีทำไม ผมดูอยู่นะ แล้วก็ไฟเนี่ยคุณจะปิดเพื่อ...หรือจะบิวต์อารมณ์ผม ถึงกับถอดเสื้อออกมายั่วกันเลยที

เดียว"
       ผมกำหมัดแน่นก่อนจะหายใจฮึดฮัด หมอนี่มันหน้าด้านไร้ยางอายไม่มีใครในโลกอาจเทียบเทียม ผมจะไม่ทำ

อะไรทั้งนั้นแหละ
"ผมจะไม่ยุ่งกับคุณแล้ว จะทำอะไรก็ทำไปเลย แต่อย่ามายุ่งกับผมก็พอ"
"โอเค ไม่ยุ่งๆ"
       หมอนั่นตอบส่งๆทั้งๆที่สายตาจ้องไปทีรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ผมหันหลังให้และเดินไปอาบน้ำ ไม่สนใจ ไม่

สนใจ ไม่สนใจ ทนอีกนิดเดี๋ยวมันก็กลับไปเอง อีกนิดเดียว



       ในขณะที่ผมอาบน้ำไปซักพักก็ต้องตกใจจากเสียงเคาะประตูห้องน้ำ
"นี่คุณ!! ห้องคุณใหญ่ขนาดนี้มีห้องน้ำห้องเดียวหรอ"
"ใช่ จริงๆมีสามน่ะ แต่ตอนซื้อผมสั่งเค้าทุบออก" ผมตะโกนฝ่าเสียงฝักบัวออกไป
"งั้นคุณก็เปิดประตูใหัผมเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย ผมจะไม่ไหวแล้ว จะไม่ไหวแล้ว"
       หมอนั่นตะโกนกลับเข้ามาด้วยน้ำเสียงปนทรมาน ผมยิ้มอย่างมีชัยก่อนจะเอ่ยตัดบทออกไป
"ผมไม่เปิดซะอย่างคุณจะทำไม ถ้าอยากเข้าก็กลับไปเข้าบ้านคุณสิ"
   
       ตลอดระยะเวลาที่ผมอาบน้ำอย่างอ้อยอิ่งและมีความสุข มีเสียงเคาะประตูห้องน้ำตลอดเป็นพักๆและหายไปในที่สุด

ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาและพบว่าหมอนั่นยืนกระโดดร่าๆรออยู่ก่อนที่จะรีบวิ่งสวนผมกลับเข้าไป ผมยิ้มให้หมอนั่น

อย่างผู้มีชัยก่อนจะไปแต่งตัวตามปกติ



...       
       ขณะที่ผมกำลังจะล้มตัวลงนอน เสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น ผมไม่สนใจและทิ้งตัวลงนอนหากแต่เสียงเคาะ

ประตูก็ยังดังไม่หยุด ผมลุกขึ้นไปเปิดอย่างหงุดหงิด
       หมอนั่นยืนจังก้าอยู่หน้าห้องในสภาพมีแค่ผ้าเช็ดตัวอยู่บนร่างเพียงผืนเดียว บนร่างมีหยดน้ำเม็ดเล็กๆเกาะพราว

กลิ่นสบู่ชาเขียวของผมลอยมาจากตัวหมอนั่นเป็นตัวยืนยันได้ว่าหมอนั่นอาบน้ำและใช้อุปกรณ์ในห้องน้ำทั้งหมดของผม

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารวมถึงแปรงสีฟันด้วย
"มีอะไร นี่คุณอาบน้ำหรอ"
"ใช่ครับ ผมขอยืมชุดนอนคุณหน่อยสิ"
"ไม่ล่ะ นี่คุณจะค้างที่นี่รึไง บ้ารึเปล่า"
"ก็ใช่น่ะสิครับ คุณบอกเองว่าผมจะทำอะไรก็ทำ" หมอนี่มันน่าเหลือเชื่อเกินคนจริงๆ
"ผมไม่ได้หมายความว่าใหัคุณค้างได้ซักหน่อย เราพึ่งรู้จักกันเมื่อตอนเย็นนี่เองนะ คุณไม่มีความเกรงใจบ้างเลยรึไง"

"ผมรู้จักคุณมานานแล้วตะหาก" หมอนั่นพูดอะไรก็ไม่รู้เสียงแผ่วๆ
"ห๊ะ! อะไรนะพูดดังๆซิผมไม่ได้ยิน"
"ช่างเถอะ นี่สรุปคุณไม่ให้ผมยืมใช่มะ"
"ใช่!!!"
"โอเค งั้นผมไม่ใส่ก็ได้"

       หมอนั่นพูดพลางผลักผมเข้ามาในห้องและปิดประตู หมอนั้นจะทำอะไรกัน!!? ด้วยสันชาตญาณทำให้ผมต้องรีบ

หนีหากแต่ก็โดนรั้งไว้ แขนล่ำๆของเขาเหวี่ยงผมลงไปนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง
"ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า คุณจะนอนก็นอนไป" เขาพูดพลางปลดผ้าเช็ดตัวทิ้ง ผมจำต้องรีบเสหน้าไปทางอื่น

"...."
"ฮ่าฮ่า ผมใส่บ๊อกเซอร์อยู่ไม่ต้องกังวลไปหรอก"

       เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของผมก่อนจะดึงลิ้นชักกางเกงในของผมออกมา ผมมองด้วยสายตาสิ้นหวังเพราะรู้ดีว่าเขา

กำลังจะเอากางเกงในผมมาใส่

"คุณนี่ใส่กางเกงในยี่ห้อเดียวกับผมเลยนะ...calvin klein ไซต์เดียวกันซะด้วย"

       ผมไม่ตอบอะไรและเคลื่อนตัวขึ้นไปบนเตียงก่อนจะซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม ผมปรบมือสองครั้งเพื่อให้ไฟทั้งห้องปิดลง

ทิ้งให้หมอนั่นยืนถือกางเกงในอยู่ในความมืด น่าแปลกที่เขาไม่ปรบมือให้ไฟกลับมาติดอีกครั้งอย่างที่ผมคาด ...แต่ก็ดี

แล้วล่ะ ใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่ามายุ่งกับผมก็พอ ผมคิดในใจ


"ชุดนอนผมอยู่ในลิ้นชักบนสุด แล้วก็กางเกงในนั่นไม่ต้องเอามาคืนผมนะ ...ยกให้" ผมพูดฝ่าความมืดไปหาเขา


"ครับ ขอบคุณนะ"

"ไม่เป็นไร แล้วก็นะ จะเป็นการดีมากเลยถ้าพรุ่งนี้ผมตื่นมาและพบว่าคุณจากไปแล้ว"

"ฮ่าๆ จะพยายามละกันครับ"


       ผมพลิกตัวหันไปอีกฝั่งและพยายามข่มตาหลับ ซักพักหมอนั่นก็ค่อยๆเปิดประตูห้องออกไป ผมถอนหายใจอย่าง

โล่งอกก่อนจะกระชับผ้าห่ม ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าผมจะเข้าสู่ภวังค์แห่งนิทรา





    ~หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
       ชายหนุ่มร่างสูงกดรีโมทปิดทีวีและลุกขึ้นจากโซฟานุ่ม ร่างเปลือยเปล่าของเขาที่ใส่เพียงกางเกงชั้นในขาสั้นสีดำ

เดินเอื่อยๆไปปิดไฟพลางคิดถึงการกระทำแปลกๆมากมายของตนทั้งหมดภายในเวลายังไม่ถึงสิบสองชั่วโมงหลังจาก

ได้พบ 'หัวใจ' อีกครั้ง
       เขาไม่รีรอที่จะเข้าหาแม้จะถูกมองว่าเป็นคนหน้าด้าน ไร้มารยาท หากแต่เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปอีกแม้แต่

วินาทีเดียว ไม่อยากเสียเวลาไปถึงหกปีเหมือนที่ผ่านมา
       หลังจากล้างถ้วยจานและเก็บของที่ตนเอาออกมากินเสร็จ ชายหนุ่มเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องนอน มือหนา

ค่อยๆบิดลูกบิดประตูห้องนอนแผ่วเบาก่อนจะเปิดออก 'หลับแล้ว' เขาเดินเข้าไปเปิดม่านออกปล่อยให้แสงจันทร์ยาม

สองสาดเข้ามากระทบกับความมืด ภาพที่เขาเห็นคือใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังคลี่ยิ้มเล็กๆภายใต้ห้วงแห่งนิทรา ชายคน

นี้คือทุกอย่างของเขา คือทุกอย่างมาตลอด เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองคนๆนี้ ชายหนุ่มหล่อเหลาหันออกไป

ยิ้มให้กับดวงจันทร์ที่ตนเคยพร่ำอธิษฐานอยู่บ่อยๆ 'ขอบคุณนะ' เขาคิดในใจ


"ขอโทษนะเหว่ยที่รักษาสัญญาไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ถ้าคุณตื่นมา คุณจะพบว่าผม...ไม่ได้จากไปไหน"



       ชายหนุ่มเดินไปยังเตียงอีกฝั่ง และทิ้งร่างกึ่งเปลือยของตัวเองลงบนพื้นที่ว่างบนเตียง พร้อมซุกกายลงไปใต้ผ้า

ห่มผืนเดียวกับอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจมอบความอบอุ่นที่มีทั้งหมดให้ผ่านอ้อมกอด ระยะเวลาที่ห่างหายไปไม่ได้พบเจอหลายปีกับชั่วเวลาที่เขาจะได้กอดคนๆนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงเช้า จะยังไงมันก็ไม่เพียงพอสาสมกับใจเขา กรกระชับอ้อมกอดพลางครุ่นคิด ทั้งๆที่เขากำลังฉวยโอกาสแทัๆ แต่ทำไมเขาถึงมีความสุขเหลือเกิน มันอบอุ่นทั้งกาย...และใจ


song2315

  • บุคคลทั่วไป
...
   
       เมื่อยามเช้าอันสดใสผลัดเวรมาเยือนโลกอีกครั้ง พลังชีวิตในเมืองใหญ่ก็กลับมาเคลื่อนไหวบนผืนโลก ไม่

เว้นแม้แต่สามสาวในโรงแรมห้าดาวใจกลางเมือง
       แทบเลตยี่ห้อดังถูกรุมล้อมจากเหล่าสาวสวยด้วยความสนอกสนใจ ข้อมูลของชายที่พวกเธอต้องการสืบได้ส่งมา

ถึงแล้ว

"โหหห รวยว่ะแก เจ้าของสำนักพิมพ์กับนำเข้าเครื่องเขียน"
"จบแมนเชสเตอร์ด้วย ปริญญาสองใบ"
"ตอนนี้ตัวคนเดียว ครอบครัวเค้าเสียหมดแล้ว พ่อเค้าพึ่งเสียไปไม่ถึงปี"

"เดี๋ยวๆ ทำไมตรงนี้มันเขียนว่าเรียนมหาลัยXXXแค่ปีเดียวอ่ะ"
"เออว่ะ แปปๆอ่านต่อก่อน"
"เออ...ว่าแต่มหาลัยXXXนี่มันมหาลัยเดียวกันกับไอ้เหว่ยเลยนี่หว่า"
"คณะไรวะ"
"สถาปัตยกรรมศาสตร์"
"ต๊ายยยย คณะนี้ตึกคณะติดกันกับไอ้เหว่ยด้วย"

"พวกแกคิดว่าไง"
"ไม่รู้สิ แต่อย่างน้อยไอ้สิ่งนี่ก็พอจะเชื่อมโยงสองคนนั้นเข้าหากันได้นะ แกก็รู้ว่าสมัยเรียนมหาลัยไอ้เหว่ยมันเคยเล่า

อะไรให้ฟังที่ไหน อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้"

"เอาเป็นว่าคนนี้ผ่าน ทั้งหล่อ รวย และที่สำคัญไม่เคยมีแฟน"
"ไม่เคยมีแฟนหรอ ไหนๆขออ่านดิ๊"

"ไม่เคยมีแฟนทั้งที่ไทยและอังกฤษ"

"ต๊ายยย ฟ้า ผัวแกไปสืบมาได้ยังไงคะเรื่องนี้"
"ฉันจะไปรู้กับมันหรอยะ มันบอกข้อมูลมาไงก็เป็นงั้นแหละ ผัวชั้นนักสืบอันดับหนึ่งของเมืองไทยนะยะ"


"พวกแกคิดว่าไง กล้าเดิมพันกับผู้ชายคนนี้มะ" ปล์ามเอ่ยขอความคิดเห็นจากเพื่อน
"ฉันกล้า! อยากให้ไอ้เหว่ยมันได้เจอคนดีๆ" ฟ้าพูดอย่างมั่นใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเพื่อนๆ
"ฉันดูจากอาการคุณกรแล้ว รักไอ้เหว่ยชัวร์" เมย์ก็พูดเสริมอีกเช่นกัน
"เอาวะ เซนต์ฉันมันก็บอก ว่าถึงเวลาที่ผีดิบอย่างไอ้เหว่ยควรจะเปลี่ยนแปลงแล้ว" ปล์ามพูดเสริมส่วนสุดท้ายก่อนจะ

ยื่นมือออกมารวมพลัง

       หญิงสาวทั้งสามยื่นมือออกมารวมกัน สายตาของพวกเธอเต็มไปด้วยความหวังและสนุกสนานที่จะได้ทำเรื่องสนุกๆ



"เริ่มปฏิบัตการหาผัวให้เพื่อน....เฮ่ๆๆ!!!!"


       ฟ้าหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความไปหาเพื่อนรัก
     'เหว่ยเพื่อนรัก ..พวกฉันขอยืมรถแกไปทำธุระแถวๆนี้กันซักวันนะ เย็นๆจะกลับ แกก็โทรบอกให้คุณกรไปส่งที่ศาลเอาละกัน

ขอโทษนะที่พวกฉันต้องปิดเครื่อง มันเป็นธุระที่เป็นความลับมากเลยอ่ะ'










_____________________________________________________________________________

จบไปแล้วครับสำหรับตอนที่สาม ถือว่าจบแล้วสำหรับพาทเริ่มต้น
เรื่องนี้ผมอยากโบกว่าไม่เครียดหรอกครับ และเนื่องจากตัวละครทั้งพระเอก
นายเอก เพื่อนของนายเอก เป็นคนที่มีความคิดค่อนข้างไม่ปกติทั่วไป
ดังนั้นในตอนต่อไปที่เริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องอย่างจริงจัง อาจะจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้นก็ได้
ฮ่าๆๆๆ

อัพให้ตอนเช้าตามสัญญานะครับ และผมอาจจะหายไปสองสามวันต้องขอโทษด้วย


สุดท้ายขอใช้พื้นที่ส่วนนี้ขอบคุณรีพลายบนที่ชอบแนวเนื้อเรื่องของผมครับ
เป็นกำลังใจอย่างมาก ขอบคุณนะครับ




ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ฮามากสามสาวรวมพลังหาผัวให้เพื่อน

รอตอนต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kururu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-3
ชอบๆ มาอีกนะ อ่านลื่นดีจังเรื่องนี้

ออฟไลน์ ★KVH™★

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
ตอนสองนะฮะ
ชอบที่ กรบอกว่า "เสื้อโคโปโลลายทางขวางแบบเดียวกันแต่คนละสีตั้งเจ็ดตัว"
อ่านถึงแล้วฮาเลยอ่ะ เหว่ยแบบเหมือนเป็นนักสะสมอะไรสักอย่าง
แล้วก็แต่ละวัน ที่ผ่านไปเรื่อยๆ ประทับใจอ่ะ ยาวด้วย
พอถึงจุดพีคนี่ พ่อพระเอกก็เปลี่ยนไปเลยอ่ะ เรายังอึ้งด้วย ความจำเสื่อม
ตอนที่สามก็ โหลุ้นนน
ตามาถึงร้านข้าวซอยเลย
"ผมจะกระทำการป่าเถื่อนครั้งแรกในชีวิต โดยการเอาน่องไก่ในชามข้าวซอยของผมยัดเข้าไปในรูจมูกมันซะ"
โคตรฮาเลยอ่ะ ขำกร๊ากก
สามสาวนี่ก็สุดแสบเลย แท็กพลังกันทีนี่ฮาแตก
พอคู่พระ-นาย ขึ้นไปอยู่บนรถก็..
มันเป็นฉากที่น่ารักมากกก ทำร้ายกันได้มุ้งมิ้งสุดพลัง
ปล.พ่อตายแล้ว แถม เหว่ยจำกรไม่ได้ ก็เนอะ..เจอกันครั้งเดียวนี่หว่า
ปล2.เม้นท์งงๆหน่อยฮะ รู้สึกมึนๆถ้าอ่านแล้วงง ยังไงก็ขออภัยฮะ
ปล3.เริ่มปฏิบัติการหาผัวให้เพื่อนได้  :laugh:
มาเม้นท์ที่ยาวเลยเนอะ(รวบสองตอน) ก็อาจจะไม่ได้เม้นท์แต่ก็จะตามอ่านตลอดฮะ  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2013 14:46:49 โดย ★KVH™★ »

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
มาต่อเลยนะ

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

song2315

  • บุคคลทั่วไป
พอดีว่างๆครับผมเลยหยิบไอแพดขึ้นมาวาดเล่น
มีคนบอกชอบน่องไก่ ผลเลยวาดให้เหว่ยถือน่องไก่ 555
ถือว่าเป็นเอสดีพอหอมปากหอมคอ (จริงๆวาดแบบมังงะมันลายละเอียดเยอะ ขี้เกียจ ก๊ากกก)

ขอบคุณสำหรับทุกรีพลายนะครับ ทำให้ผมมีกำลังใจมากๆเลย

ปล.มีใครอยากเห็นสามสาวตัวแสบมั่ง ก๊ากกกกกกก  ยกมือๆ





[attachment deleted by admin]

koikoy

  • บุคคลทั่วไป
+เป็ดให้ค่ะ
คุณกรน่ารักนะเนี่ย  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ifangza!

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ต่อนะๆๆๆ กรน่ารักมาก  :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ sukaz

  • I Will Love You Unconditionally
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ชอบสามสาวมาก การดูหนุ่มๆรักกันเป็นเรื่องชื่นมื่นจริงๆ โฮะๆ

song2315

  • บุคคลทั่วไป
004 : Reform (ปฏิรูป)  (1/2)



       ผมรู้สึกว่าวันนี้มันแปลกไป เตียงมันให้ความรู้สึกไม่เหมือนที่ผมเคยนอน รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา อะไรที่อุ่นๆนุ่มๆ จริงๆแล้วผมคิดว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนผิวหนังของคนเลยนะ ...อ๊ะ! ผิวหนังของคนงั้นหรอ

       O_O ปริบๆ

       ผมตัดสินใจลืมตาขึ้น และก็พบว่าตัวเองกำลัง

"เฮ่ยยย!" ผมตะโกนออกมาด้วยความตกใจและรีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของหมอนั่น

"หืมมม มมมมม อารายย" หมอนั่นดันตัวลุกขึ้นมานั่งและขยี้ตางัวเงีย ก่อนจะกระพริบตาปรับโฟกัสสามสี่ทีและจ้องมาที่ผม

"อะ...คะ.คะ..คุณ. ขึ้นมาบนนี้...ได้ยะ.."
"อ้ออ!!    ผมหนาวน่ะ คิดว่าตัวคุณน่าจะอุ่นผมเลยใช้คุณเป็นแท่งกันหนาว"

"แท่งกันหนาว?"

"ใช่! แท่งกันหนาว แบบนี้ไง"

       เขาไม่พูดเปล่ากลับดึงผมล้มตัวกลับลงไปนอนอีกรอบ แขนยาวๆเขาล็อกร่างกายของผมไว้อย่างรวดเร็วและพอดิบพอดี ร่างของผมถูกดึงเข้าไปหาตัวเขา ใบหน้าของผมถูกแขนเขากดให้ไปซบอยู่บนหน้าอกเปลือยเปล่านั้น เขาใช้ขายาวๆพาดล็อกขาผมไว้อีก เสียงก่นด่าของผมกลายเป็นเพียงแค่เสียงอู้อี้อู้อี้

"นี่คุณ ปล่อยผมพอแล้วๆ" ผมประท้วง

"เดี๋ยว ยังไม่พออีกนิดนึง"

       เขาพูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก เป็นเหตุให้ผมเลือกที่จะหยุดดิ้นเพราะรู้ว่าต่อให้ดิ้นไปก็สู้แรงเขาไม่ได้ ต้องรอจนกว่าเขาจะปล่อยเองเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมกำลังนอนกอดกับผู้ชายเปลือยอยู่

       หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นๆ แม้การหยุดดิ้นของผมจำทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดสงบลง หากแต่ภายในของผมไม่ได้หยุดนิ่งไปด้วยเลย เวลาค่อยๆผ่านไป ผ่านไป ความเงียบค่อยๆทำหน้าของมัน ในตัวของผมค่อยๆสงบ สงบลงเรื่อยๆ และหยุดนิ่งในที่สุด     

       ภายในห้องตอนนี้ ไม่มีเสียงรอบข้างๆใดๆนอกจากเสียงลมหายใจของเขาและผม ทุกๆสิ่งเหมือนหยุดนิ่งไม่เว้นแม้แต่ความคิดที่สับสนว้าวุ่นของผมก็หยุดเช่นกัน ผมรู้สึกได้ว่ากำลังมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาแทนที่ความรู้สึกเดิม บางสิ่งที่ผมไม่เคยได้พบเจอ สิ่งนั้นกำลังค่อยๆโอบล้อมหัวใจของผม ค่อยๆโอบล้อมเข้ามาเรื่อยๆ




"เหว่ย........คุณอุ่นมั๊ย"




       อยู่ๆเขาก็พูดขึ้น เสียงเดียวกับที่เคยกวนประสาทผมเมื่อวาน แต่ครั้งนี้มันกลับให้ความรู้สึกต่างออกไป มันกลายเป็นเสียงอุ่นๆของคนที่มีร่างกายอุ่นๆและอ้อมกอดอุ่นๆ ที่สำคัญที่สุด เขาปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่อุ่นๆเข้ามาโอบล้อมหัวใจของผมได้

       ผมไม่ตอบคำถามเขาแต่เลือกที่จะหลับตาลง ในเวลานี้สมองผมไม่อาจเอาชนะใจดวงเล็กๆของผมเองได้ การประมวลการกระทำจากเหตุผลของสมองของผมจำต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง แขนของผมที่เคยแข็งทื่อแนบชิดกับลำตัวค่อยๆเคลื่อนขึ้นมาและโอบเอาร่างอุ่นๆนั้นเข้าหาตน ไม่มีเสียงหรือการต่อต้านใดๆจากเขา มีเพียงระลอกความอบอุ่นที่ไหลผ่านร่างกายของผมเข้ามา ชัดเจน และชัดเจนขึ้น




       ที่ผ่านมาผมคิดว่าไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่ผมจะต้องการจากคนอื่น ทุกๆอย่างผมสามารถหามาให้ตัวเองได้ แต่เมื่อมาถึงวินาทีนี้ผมจึงได้รู้ ยังมีสิ่งที่ผมต้องได้รับจากคนอื่น สิ่งที่ตัวผมไม่สามารถให้แก่ตัวเองได้...

     'สิ่งนั้นคือ............ความอบอุ่น'





       ผมกลัว กลัวเหลือเกินที่เขาทำให้ผมได้เห็นความอ่อนแอของตัวเองชัดเจนถึงเพียงนี้  เพียงแค่สิ่งธรรมดาๆอย่างการกอด ทั้งๆที่ผมคิดว่าจิตใจของตัวเองเข้มแข็งมากมาตลอด มันสามารถต่อสู้กับสิ่งต่างๆได้ไม่ว่าจะเจ็บปวด เหงา หรือโดดเดี่ยว แต่แท้ที่จริงที่ผ่านมา ผมได้ทำร้ายหัวใจของตัวเอง ทำร้ายมาเรื่อยๆจนตอนนี้มันอ่อนแอและหมดแรง......หมดแล้ว หมดจริงๆ




เพราะฉะนั้นขอ...ขออีกซักสิบวินาทีก็ยังดี

'ขอแค่สิบวินาทีก็ยังดี ช่วงเวลาที่หัวใจของผมจะไม่เจ็บ ไม่หนาว ไม่โดดเดี่ยว'





       ----สิบวินาที






       มันสั้นเหลือเกิน แต่ก็คงได้แค่นี้แหละ ผมปล่อยแขนของตนที่โอบร่างหมอนั่นอยู่ก่อนจะพยายามผละออก แต่หมอนั่นไม่ยอมปล่อยผม เขาดึงผมกลับเข้ามาและกอดไว้แน่นกว่าเดิม



"ไม่เป็นไรหรอก ผมให้คุณกอดได้อีก...กอดไปนานๆ"



       เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบเหมือนล่วงรู้ในสิ่งที่ผมคิดเมื่อครู่ ประโยคเรียบๆนี้มันช่างส่งผลต่อหัวใจและความรู้สึกของผมมากเหลือเกิน ... มากมาย....มากจนขอบตาของผมเริ่มปริ่มน้ำ
       ผมโอบกอดร่างของเขาไว้อีกครั้งและซบลงไปที่หน้าอกแกร่งที่มีหัวใจอีกดวงกำลังเต้นอยู่เช่นกัน ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดๆจากเขา มีเพียงอ้อมกอดและฝ่ามือหนาที่ลูบหัวผมเบาๆ ผมเองก็เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้แก่เขา มีแต่อ้อมกอดและน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด น้ำตาที่มีต้นทางมาจากหัวใจ...หัวใจที่เหนื่อยล้า


       ทำไมกัน ทำไมผู้ชายคนนี้เหมือนจะล่วงรู้ รู้ว่าผมรู้สึกอะไร รู้ว่าผมคิดอะไร ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกัน ทั้งๆที่แม้แต่คนที่รู้จักผมก็ไม่เคยมีใครเลยซักคนที่จะเข้าถึงผมได้ลึกขนาดนี้



       ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าตัวผมเองหยุดร้องไห้ตอนไหน ไม่รู้ว่าตัวหมอนั่นกำลังคิดอะไร รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบลง

     ~ตื้อดึ่ง ตื้อดึ่ง
       ผมสะดุ้งและค่อยๆผละออกจากอ้อมแขนของเขา เขาเองก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงและคว้าโทรศัพท์ของตนที่พึ่งส่งเสียงเตือนเมื่อครู่มา เขาลุกตามขึ้นมาและเอาคางเกยไหล่ผมมาจากทางด้านหลัง

"จากคุณฟ้า....อ๋ออ จะให้ผมไปส่งคุณที่ทำงานหรอ ได้ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆ" เขาอ่านข้อความในโทรศัพท์ผมพลางหัวเราะชอบใจ

"เอ่ออคือว่า ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไป คุณกลับบ้านไปเถอะครับ" ผมตอบออกไปทั้งๆที่ใจอยากอยู่ใกล้ๆเขานานกว่านี้ ผมจะไม่แพ้ใจตัวเองอีก ต่อจากนี้ผมจะใช้สมองควบคุมความรู้สึกเหมือนที่ผ่านมาให้ได้



"เสียใจด้วย ผมไม่มีบ้านที่เชียงใหม่หรอก"
"ไม่มี?"
"ครับ ...บ้านผมอยู่กรุงเทพนู่น ผมขึ้นมานี่เพราะว่ากำลังเขียนหนังสือเล่มใหม่ อารมณ์ออกเดินทางหาแรงบันดาลใจน่ะ"
"งั้นหรอครับ แล้วคุณพักที่ไหน"
"ผมยังไม่มีที่พักหรอก พอดีคุณทำกาแฟหกใส่ผมก่อน นี่กระเป๋าเดินทางผมยังนอนแอ้งแม้งอยู่ในรถอยู่เลย"

"ขอโทษครับ" ผมก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

"ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะตอนนี้ผมคิดว่าน่าจะมีที่อยู่แล้ว"

"งั้นก็ดีแล้วครับ"

       ผมตอบสั้นๆโดยทำท่าทีไม่ใส่ใจและลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเตรียมตัวจะไปอาบน้ำ เขาค่อยๆลุกตามขึ้นมายืนอยู่ข้างหลังผมและเอ่ยเบาๆ




"ผมขอ อยู่ที่นี่ซักสองอาทิตย์ได้มั๊ย"





       ผมได้ยินดังนั้นก็หันไปหาเขา สมองผมครุ่นคิดอย่างหนักกับคำขอร้องดังกล่าว ถ้าเป็นผมเมื่อวานคงตอบไปได้ทันทีแน่ๆว่า 'ไม่' แต่ตัวผมในตอนนี้มันเป็นอะไรกัน มันตอบคำถามนี้ไดัยากเย็นเหลือเกิน

"...."

       ร่างเปลือยของเขาขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง สายตาของผมไม่สามารถจะทนสู้มองไปยังใบหน้าของเขา จำต้องหุบมองต่ำลง

"ผมดีใจที่คุณไม่ตอบว่าไม่ คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว .....เอาเป็นว่าคุณตกลง ทั้งเรื่องให้ผมอยู่ที่นี่ แล้วก็ไปส่งคุณที่ทำงาน..ทุกวัน"

"...."

       ผมพยักหน้าน้อยๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใด ได้แต่โกรธตัวเองที่เป็นแบบนี้ โกรธที่ทำตัวเหมือนที่เคยทำมาตลอดไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ ถ้าผมไม่บังเอิญอ่อนแอเกินไปก็คงไม่เป็นเช่นนี้ คงไม่ปล่อยให้เขาข้ามกำแพงที่ก่อไว้มาได้ในเวลาแค่วันเดียว คงไม่ร้องไห้เพราะเพียงแค่ได้รับอ้อมกอดอุ่นๆ

"แล้วก็ ผมจะตอบแทนค่าอาศัยโดยการเป็นพ่อบ้านให้คุณเอง"
"พ่อบ้าน?"
"ใช่ เดี๋ยวผมทำงานบ้านแล้วก็อาหารให้คุณไง"
"...."
       ผมพยักหน้าอีกตามเคย จากนั้นจึงหันหลังให้เขาเตรียมจะไปอาบน้ำ เขารั้งข้อมือผมไว้ทำให้ผมต้องหยุดและหันกลับมามองอีกครั้ง เขาคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันให้กับผม ดวงตาคู่นั้นของเขาก็กำลังยิ้มให้ผมด้วยเช่นกัน ทำไมรอยยิ้มนี้มันถึงสดใสได้ขนาดนี้นะ ผมคิดในใจ ขณะที่เขาก็เอ่ยประโยคๆหนึ่งออกมา
     

       
"คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ทั้งเรื่องที่คุณและผมกำลังทำอยู่....มันก็เหมือนกับที่มนุษย์คนอื่นเขาทำกันนั่นแหละ"


       ผมคลี่ยิ้มเล็กๆให้เขาเป็นการขอบคุณ ผมเองก็เหมือนมนุษย์คนอื่นๆงั้นหรอ ....นั่นสินะ มนุษย์คนอื่นก็คงมีความคิด ความรู้สึก หรืออารมณ์แบบนี้เหมือนกัน คิดได้ดังนั้นก็เหมือนมีใครมายกภูเขาออกจากอกของผม อย่างน้อยก็ดีใจ...ดีใจที่ผมยังเหมือนคนอื่นๆอยู่บ้าง

"ขอบคุณครับ"

       เขาพยักหน้างึกงักพร้อมคลี่ยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะปล่อยมือจากมือผม

       ผมเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและค่อยๆปลดกระดุมเสื้อชุดนอนของตนออกถอดลงตะกร้า จากนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดตัวที่เหลือในตู้ออกมาสองผืนและเดินไปหาเขา

"อะ"
"ขะ..ขะ..ขอบ ขอบคุณ..ครับ"

       ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้เขาก่อนจะเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้าพลางคิดในใจ 'อยู่ๆก็ยืนแข็งเป็นหิน หมอนั่นเป็นคนจิตปกติแน่รึเปล่านะ' คิดแล้วผมก็หันกลับไปมองเขาอีกรอบ แน่ะ! ยังยืนแข็งทื่ออยู่ท่าเดิม เอาเถอะๆจะทำอะไรก็ทำไป ผมหันกลับมาสนใจตัวเองและถอดกางเกงชุดนอนออกใส่ตะกร้าด้วยความเคยชิน ลืมคิดไปว่าไม่ควรทำเพราะมีอีกคนอยู่ในห้องด้วย แต่ก็ช่างมันเถอะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ว่าแล้วผมจึงโพกผ้าเช็ดตัวกับเอวเหมือนทุกๆครั้งที่เคยทำ

      ผมหันกลับไป เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและจ้องมาทางผม ใบหูเขามันเปลี่ยนจากสีปกติเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด สีแดงระเรื่อนั่นกำลังค่อยๆลามมาบนใบหน้าของเขา
"เฮ่ยคุณ เป็นอะไรอ่ะ"

       ผมรีบวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ใบหูของเขามันแดงเถือกจริงๆนะผมสาบานได้
"มะ..ไม่ ผมไม่เป็นไร คุณรีบไปอาบน้ำเถอะ"
"ไม่เป็นไรได้ไง ก็ผมเห็นหูคุณแดงเถือกขนาดนี้ แพ้อากาศรึเปล่า"
       ผมพูดพลางเอานิ้วชี้ไปลูบใบหูเขาเบาๆ

"อ๊าาาา!"

       เขาส่งเสียงแปลกๆออกมาก่อนจะขยับหน้าไปให้พ้นจากนิ้วมือของผม ผมเห็นดังนั้นก็รีบชักข้อมือกลับทันที
"ขอโทษๆ คุณเจ็บหรอ"
"มะ...ไม่ๆ ผมไม่เป็นไร"
"แต่คุณ..."
"ไม่เป็นไร ผมอยู่คนเดียวซักพักเดี๋ยวก็หาย คุณรีบไปอาบน้ำสิ รีบไปๆ"
"อะ..คะ...ครับ"  ผมตอบรับและเดินออกจากห้องนอนไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก

       เมื่อประตูห้องนอนปิดลง ชายหนุ่มที่ยังอยู่ในห้องก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอามือของตนที่กุมเป้ากางเกงในอยู่ออก 'นี่เห็นแค่ท่อนบนก็จะตายอยู่แล้ว ยังให้เขาต้องมาเห็นทั้งตัวเลยรึนี่' เขาคิดในใจพลางเอามือลูบใบหูข้างซ้ายของตน สัมผัสอันไร้การปรุงแต่งเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา

"ขาวว....อะไรมันจะขาวขนาดนั้นวะ หุ่นก็...อ๊ากกกกกกกกกกกก!"

       ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดทั้งหมดและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดใส่ เขายิ้มเล็กๆเมื่อเห็นว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังมีเสื้อคอโปโลลายเดียวกันแต่คนละสีอยู่มากมาย

"หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด.....ฮ่าฮ่าฮ่า  คราวนี้ซ้ำมากสุดแปดตัวเลยวุ้ย"














        บนถนนแปดเลนอันโอ่อ่ารอบนอกเมืองเชียงใหม่ รถพอร์ชสีขาวคันงามแล่นฉิวผ่าอากาศมุ่งหน้าออกไปจุดมุ่งหมายที่ชานเมือง

"เอาจริงหรอวะแก" เมย์ที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับเอ่ยถามเพื่อนเพื่อตอกย้ำความแน่ใจหนที่สี่
"โอ้ยย นังเมย์ถ้าแกไม่หยุดถามคำถามนี้ฉันจะหักพวกมาลัยนี่ให้รถมันทิ่มลงคูน้ำข้างหน้าซะ" ฟ้าตอบคำถามครั้งนี้อย่างไม่สบอารมณ์นัก
"จะทำอะไรเราก็ต้องรีบทำ เราไม่รู้ว่าคุณกรจะอยู่เชียงใหม่อีกกี่วัน เกิดเขากลับกรุงเทพพรุ่งนี้ขึ้นมาไอ้เหว่ยก็อดมีผัวดีๆสิแก" ปล์ามพูดกับเพื่อนพลางเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากเพื่อนรัก
"เออ เอาก็เอาวะ" เมย์พูดพลางหันกลับไปมองถนนด้านหน้าเช่นเดิม
"เออ แกน่าจะคิดได้นานละนะ เพราะฉันอุดสาห์ลางานมาเพื่อการนี้ตั้งสิบสี่วัน ฉันไม่ได้นอนกระดิกตีนให้ผัวเลี้ยงอยู่บ้านเหมือนพวกแกสองคนนะยะ" ฟ้าพูดเสริม
"หราาา อย่างแกเค้าเรียกว่าลางานหรอ ฉันไม่เคยเห็นแกเข้าไปบริษัทซักที เอะอะก็ใช้ผัวเข้าไปทำแทน มันเป็นนักสืบนะไม่ใช่ผู้บริหาร" ปล์ามล้อเลียนเพื่อนสาวตัวดี
       ฟ้าเบ้ปากใส่เพื่อนสาวก่อนจะสะบัดหน้าเชิดใส่และหันไปสนใจขับรถต่อ หากแต่เสียงหัวเราะคิกคักๆของเมย์ทำให้เธอต้องคิ้วกระตุก

"ไม่ต้องมาหัวเราะฉันเลยนังเมย์ อย่างน้อยฉันก็ทำงานไม่เหมือนแกวันๆเอาแต่นั่งรอผัวอยู่บ้านเฉยๆ"

"ฉันไม่ได้นั่งเฉยๆนะยะ บางวันฉันก็เล่นไพ่กับคนใช้ย่ะ"
"ต๊ายยย ผัวเป็นท่านชาย เมียนั่งเล่นไพ่กับคนใช้อยู่บ้าน รู้ถึงไหนอายถึงนั่นนะคะท่านหญิงเมธาวี"
"เรื่องของฉันย่ะ แกไม่ลองเล่นแกไม่รู้หรอกว่ามันสนุกขนาดไหนน่ะ"

"โอ้ยย ๆๆ หยุดๆพวกแกหยุดเถียงกันเลยนะ ฉันอายแทน" ปล์ามตัดสินใจสงบศึกดังกล่าวหารู้ไม่ว่าเป็นการนำตัวเองเข้าสู่สนามรบเสียมากกว่า

"แกไม่ต้องมาพูดเลยปล์าม แกก็เอาเงินผัวไปซื้อกระเป๋าจนมันจะกองทับหัวตายอยู่แล้วน่ะ" เมย์หันมาพูดใส่และเชิดหน้าหันกลับไป

"จะทำไมยะ ทีแกสะสมตุ๊กตาเสียกบาลตัวละเกือบแสนฉันยังไม่เคยว่าแกเลยนะ" ปล์ามพูดสวนกลับและกำลังทำท่าอ้าปากจะพูดต่อหากแต่...


"หยุด!! ถึงแล้วแก ที่นี่ล่ะ" ฟ้าที่กำลังขับรถอยู่เอ่ยตัดบท เหล่าสามสาวกลับมาแท็กทีมกันอีกครั้งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น



"ที่นี่หรอวะแก" ปล์ามเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
"ใช่ ที่นี่แหละ" ฟ้าพูดก่อนจะหันไปสนใจกับการจอดรถให้เข้าซอง


       เมย์มองดูบรรยากาศรอบๆก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหยงๆ

"โหห เถื่อนอ่ะแก"












       ช่วงเวลาก่อนทำงานอันว้าวุ้น พนักงาน อัยการ หรือแม้แต่ผู้พิพากษาเดินวุ่นวายกันทั่วพื้นที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ร้านขายของกินรถเข็นยามเช้าหลายสิบร้านต่างคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส รถสปอร์ทสีดำคันหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาหยุดที่บันใดทางขึ้นตึกศาลอันโอ่อ่า พนักงานที่ผ่านไปมาต่างให้ความสนใจกับรถคันงามที่พึ่งมาจอดเทียบเนื่องจากรถคันนี้ไม่ใช่ของท่านผู้พิพากษาท่านใดที่พวกเขาเคยเห็น

       ประตูรถฝั่งคนโดยสารเปิดออก ช่วงขายาวๆของใครบางคนค่อยๆก้าวลงมาเหยียบบนพื้น ผู้พิพากษาหล่อเหลาคนเดิมที่พวกเขาคุ้นตาปรากฏตัวในชุดสูทสีเทา ชายหนุ่มยังคงมีใบหน้านิ่งเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา
'ท่านวิยะอรุณสวัสดิ์ค่า น้ำเต้าหู้มั๊ยคะ'
'ท่านวิยะอรุณสวัสดิ์ค่ะ'
"สวัสดีครับ ไม่เป็นไรครับ"

       พนักงานที่ยืนจับกลุ่มคุยที่บริเวณหน้าบันไดต่างทักทายท่านผู้พิพากษาตามปกติเหมือนทุกๆวันที่เคยทำ หน้าหล่อเหลาที่ไร้อารมณ์ของเขาทำให้ทุกๆคนต่างคิดว่าชายคนนี้ยิ้มไม่เป็นไปเสียแล้ว


"เดี๋ยวครับ!"



       ในขณะที่เหว่ยกำลังจะเปิดประตูเข้าไปด้านในก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น มันดังจนเรียกความสนใจได้แม้กระทั่งกลุ่มพนักงานที่ยืนอยู่รอบๆ

"ครับ"

       เหว่ยหันกลับมาและตอบสั้นๆ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆเดินขึ้นบันไดและตรงเข้ามาหาเขา

"คุณลืมข้าวเที่ยงที่ผมทำให้"

       ชายหนุ่มพูดพลางวางหูหิ้วปิ่นโตลงบนมือของอีกฝ่าย รอยยิ้มเล็กๆปรากฏบนใบหน้าของชายหน้านิ่ง สร้างความประหลาดใจอย่างมากให้แก่ผู้เฝ้าสังเกตการณ์รอบข้าง

"ขอบคุณครับ" เหว่ยพูดก่อนทำท่ากำลังจะหันกลับไป
"อ๊ะ! เดี๋ยวๆ เอานี่ไว้เช็ดปาก"

       กรพูดพลางล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงและควักผ้าเช็ดหน้าสีชมพูแป๊ดออกมา เขาพับสองสามที่ก่อนจะใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อสูทของอีกฝ่าย

"โอเค ตั้งใจทำงาน ผมไปละ"
"ครับ"

       ทั้งสองลากันและแยกย้ายไปคนละทาง ทิ้งเครื่องหมายคำถามตัวโตไว้บนหน้าผากของขาเม้าท์ทั้งหลายที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอด

'แกกกก ฉันเสียดายท่านเหว่ยอ่ะ ขอสตั้นสิบวิได้มะ'
'โอ๊ยยแก มันใช่เวลามาสตั๊นรึไง ตอนนี้ต้องกระจายข่าวย่ะ'
'เชอะ ฉันจะไปเม้าท์ให้ทั่วเลย ไปเม้าท์ตึกศาลเด็ก ไปเมาท์ตึกศาลากลางด้วยดีมะ'
'จัดไปแก'
'กรี๊ดดดดด'
       หญิงสาวหลายคนวิ่งกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง เชื่อว่าอีกไม่นานความคิดเห็นต่างๆนาๆของพวกเธออาจจะกระจายไปทั่วโลกก็เป็นได้













       ภายใต้แสงแดดของยามบ่ายอันร้อนระอุ หญิงสาวสามคนที่ดูจากการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมแล้วคงไม่ใช่คนไม่มีอันจะกิน หากแต่พวกเธอกำลังถือจอบ เสียม ขุดดินที่ลานหญ้าข้างถนน รอบๆพวกเธอมีแต่อุปกรณ์ต่างๆที่ไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงกันได้วางระเกะระกะ

เมย์ : พวกแกนะพวกแก ฉันเป็นท่านหญิงอยู่ในวังดีๆ ให้ฉันมาถือเสียมขุดดินเหมือนจับกัง
ฟ้า : โอ๊ยย หยุดบ่นได้แล้ว ก็มีกันอยู่แค่สามคน ฉันก็ทำงกๆอยู่แกไม่เห็นรึไง
       ฟ้าพูดพลางทาสีน้ำตาลเข้มลงไปบนแท่งโฟม รอบๆตัวเธอมีแท่งโฟมแปลกๆอยู่หลายสิบอัน

ปล์าม : นี่พวกแก มันต้องเอาสายสีเหลืองหรือสีแดงเสียบอ่ะ
       ปล์ามเงยหน้าขึ้นมาถามเพื่อนพลางชูสายไฟสองสีในมือให้ดู ทั้งหมดมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจเหนื่อยๆและพูดออกมาพร้อมกัน

"เฮ้อออ จะรอดมั๊ยวะเนี่ย"













       เมื่อช่วงเวลาหลังเลิกงานมาถึง เหว่ยเดินลงบันได้มาตามเคยพลางคิดในใจว่า ทำไมเย็นวันนี้บรรยากาศในศาลมันถึงเงียบผิดปกติ ยังไม่พอวันนี้เขายังรู้สึกว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหมือนทุกๆคนจับจ้องเขาตลอดเวลา ทั้งๆที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยจะถูกจับจ้องเท่าใดนัก 'เขามีอะไรแปลกไปรึไงนะ'

       ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปด้านนอกตรงทางขึ้นบันไดด้านหน้าศาลจุดเดียวกับตอนเช้าเพื่อรอกรมารับ หากแต่มีเหตุที่ทำให้เขาต้องแปลกใจ พนักงานที่ศาลเกินครึ่งยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าศาลเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ท่านผู้พิพากษาหัวหน้าศาลก็ยืนคุยอยู่กับผู้พิพากษาจากศาลเด็กอีกสองสามท่าน 'นี่มันมหกรรมอะไรกันเนี่ย' เหว่ยคิดในใจ และยังไม่ทันที่ความคิดจะได้ตกผลึกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


"เหว่ย!"

 กรปรากฏตัวขึ้น เขาโบกไม้โบกมือและเดินขึ้นบันไดมา

"อ้าวคุณกร มารอนานรึยังครับ"
"พึ่งมาครับ มาผมถือให้"
       กรพูดพลางคว้าปิ่นโตจากมือเขาและจูงมือลงบันไดไปไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้างนัก หากแต่ว่าระหว่างที่เดินผ่านคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเหว่ยก็ไก้ยินบทสนทนาต่างๆของแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน

'เห็นมั๊ยแกฉันบอกแล้วว่าหล่อ ขับรถสปอร์ทด้วย'
'โอยย ฉันจะเป็นลม ท่านวิยะของฉันนน'

'ดูน่ารักกันดีนะแก เหมาะกันจัง'
'หุบปากไปเลยนังตุ๋ม ครั้งที่แล้วฉันก็สตั๊นเรื่องท่านอานนท์มาทีนึงแล้ว ครั้งนี้เป็นท่านวิยะ ชีวิตวัยสาวของฉัน น่ารันทดนัก'
'สาวบ้านแกสิ อีกนิดเดียวก็หงำเหงือกละ'

'โอยยย ขอตายแปป หล่อทั้งสองคน'

'กรี๊ดดด จริงๆหรอแก ท่านวิยะ ม๊ายย'

'นี่ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณเหว่ยก็จะมีแฟนตามกระแสสังคมกับเขาด้วย'
'นั่นสิครับท่าน ผมเห็นน้องวิยะเค้านิ่งๆ ไม่คิดว่าที่พนักงานเอามาลือจะจริงนะครับ'



       เหว่ยส่ายหัวเบาๆให้กับความคิดเห็นต่างๆนาๆที่เขาได้ยินมาทั้งหมด ตอนนี้ใครจะคิดยังไงก็ช่างมันเถอะ เขาไม่สนใจหรอก เพราะสิ่งที่เขาต้องสนใจตอนนี้มันคือความคิดของเขาเอง ความคิดที่ค่อยๆเปลี่ยนไป ตัวตนของเขาที่ค่อยๆเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเพราะชายตรงหน้า ชายที่กำลังจูงมือของเขาอยู่



                                                                                            >มีต่อ<



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






song2315

  • บุคคลทั่วไป
 


 - 19.44 น.

"ร้านนี้หรอครับที่นัดกับเพื่อนคุณไว้น่ะ"
       หมอนั่นเอ่ยถามผมพร้อมมองดูบรรยากาศรอบๆ ร้านบะหมี่เป็ดรถเข็นชื่อดังที่อยู่เกือบชานเมือง ตั้งอยู่ริมฟุตบาตข้างโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่วันนี้ไม่มีคนมานั่งเลยซักคน

"ครับ ร้านนี้แหละ ปกติจะมีคะ..."
       ~ตี๊ดิด ตี๊ดิด ตี๊ดิด
       มือถือของผมก็ส่งเสียงเรียกเข้าตัดบทสนทนา

"ว่าไงฟ้า"
'แก ฉันไปไม่ได้แล้วอ่ะพอดีมีเรื่องนิดหน่อย'
"ห่ะ! เป็นอะไร"
'อ่อ นังปล์ามมันตบพนักงานขายกระเป๋าน่ะ'
"ฮ้ะ! ตบพนักงานขายกระเป๋า"
'ใช่ คือแบบ พนักงานมันหาว่ากระเป๋าแฮเมสนังปล์ามเป็นของปลอม นังปล์ามเลยตบให้ซะ'
"แล้วตอนนี้อยู่ไหน เดี๋ยวรีบไปหา"
"อ๊ะ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ต้องมา พวกฉันอยู่โรงพัก จะเสร็จแล้ว"
"อาๆ โอเค งั้นเดี๋ยวจะซื้อไปฝากนะ"
"ย่ะ! ของฉันเอาหมี่หยกนะ ฮิฮิ"
"โอเค ได้ๆ แล้วเจอกัน"

       ผมวางสายและส่ายหัวเบาๆใหักับเหล่าเพื่อนของตน ตั้งแต่คบกันมาจากประถมจนถึงตอนนี้ แต่ละคนก็มักก่อเรื่องประหลาดๆให้เขาได้แปลกใจเสมอ แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดเขาก็ทำใจยอมรับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้เสียที


"มีอะไรหรอคุณ" กรเอ่ยถาม
"อ้อ เพื่อนผมตบพนักงานขายกระเป๋าน่ะ"
"จริงหรอ.....ฮ่าฮ่าฮ่า สมแล้วที่เป็นเพื่อนคุณ นี่ผม..."


       ~ปังง
       เสียงคล้ายปืนดังมาจากอีกฟากของถนนแปดเลน ที่ฟุตบาทของฝั่งตรงข้ามมีชายหลายคนถือไม้บ้าง ปืนบ้าง หรืออาวุธโดยสภาพบ้าง พวกเขาสวมชุดช็อปสีเทาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามาจากโรงเรียนเพาะช่างไม่ผิดแน่

"คุณ! ผมว่าท่าจะลางไม่ดีแล้วล่ะ" กรเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงแขนผมเดินเข้าไปที่รถเข็นร้านบะหมี่เป็ด ผมมองไปรอบๆและพบว่าละแวกนี้เงียบสงัดปราศจากผู้คน ทั้งๆที่ทุกๆครั้งที่ผมมาที่นี่จะเป็นย่านที่พลุกพล่านพอสมควร

"...." ผมได้แต่นิ่งเงียบและครุ่นคิด

"ผมว่าเฮียปิดร้านเถอะครับ"  กรหันไปคุยกับเฮียที่กำลังเก็บของเตรียมเผ่น ตอนนี้ถ้าไม่นับพวกเด็กช่างที่อีกฟากของถนน ทั้งและแวกก็มีแค่ผม กร เฮียเจ้าของร้านและลูกสาววัยเจ็ดขวบของเฮียเท่านั้น

       เฮียบ่นพึมพำ
'อั๊วะน่าจะเชื่อพวกชาวบ้าน เขาลือกันว่าวันนี้เด็กช่างจะมาตีกัน'

       ผมกับกรมองหน้ากัน ดูท่าว่าผมจะพบเรื่องแปลกมากกว่าเพื่อนตัวเองตบกับพนักงานขายกระเป๋าในห้างเสียแล้ว และชั่วแวบเดียวยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัว

       ~ปังง ๆๆ ๆ เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้เหมือนมันดังอยู่ข้างๆหูของผม

'แน่จริงพวกมึงก็ข้ามมาสิวะ ไอ้ควายย'


       อยู่ๆก็มีกลุ่มเด็กช่างใส่ชุดช็อปสีน้ำเงินปรากฏขึ้นที่ฟุตบาทฝั่งนี้ พวกเขาคำรามเสียงก้องเพื่อท้าคู่แค้นที่อยู่อีกฝั่ง ในมือพวกเขาถือาวุธหนักไม่แพ้กัน

'ป๊าขา หนูกลัวว' เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาซบอยู่ในอ้อมกอดเฮีย แต่ที่น่าประหลาดมากกว่าคือผมก็อยู่ในอ้อมแขนของหมอนั่นเหมือนกัน

"อ๊ะ ผมขอโทษครับ พอดี..."

        ~ ตูมมม   เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
       แสงวาบและไปก้อนใหญ่ลอยขึ้นในอากาศห่างจากร้านบะหมี่เป็ดไปไม่ถึงร้อยเมตร เด็กช่างในชุดช็อปสีน้ำเงินกว่าครึ่งนอนระเนระนาดไปกับพื้นฟุตบาทและถนน ในขณะที่อีกฝั่งร้องไชโย ปรบมือและกำลังเดินข้ามถนนมา


"ให้ตายดิ ทำไมพวกนี้ไม่รู้จักพกระเบิดบ้างวะ ลุกขึ้นไปสู้มันเดัๆๆ"


       กรพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันมาดึงแขนผมให้ขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ตอนนี้พวกเราใช้รถเข็นบะหมี่เป็ดเป็นกำบัง

       ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเหตุการณ์และพบว่าเด็กช่างในชุดช็อปสีน้ำเงินที่ยังรอดจากระเบิดกำลังวิ่งมาที่ร้านบะหมี่เป็ด เด็กหญิงตัวเล็กในอ้อมแขนเจ้าของร้านบะหมี่เริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว เด็กช่างอีกฝั่งกรูเข้ามาและล้อมร้านบะหมี่ไว้
       ผมกับกรหันมามองหน้ากัน ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปล่ะก็ ผมคงได้มีชีวิตรอดออกไปอ่านคำพิพากษาในศาลพรุ่งนี้ ผมคิด


"ผมยังเขียนหนังสือยังไม่จบเลยคุณ จะมาตายที่นี่เพราะระเบิดขวดน้ำอัดลมของเด็กช่างใช่มะ"
       ผมส่ายหัวให้กับคำถามปลายเปิดของหมอนั่นก่อนจะเอ่ยเบาๆ
"ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมก็ยังมีสิ่งที่ไม่เคยทำเหมือนกัน"


       ผมพูดพลางหันไปมองรอบๆตัว เด็กช่างทั้งสองฝ่ายเริ่มยิงต่อสู้กัน บ้างก็ใช้ไม้ท่อนยาวตีอีกฝ่ายเสียงดังตุ๊บๆ

"คุณอยากทำอะไรหรอ"

       ผมหันกลับมามองเขา เสียงปืน เสียงร้องโอดโอย เสียงขู่ว่าจะปาระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว ผมส่ายหัวอย่างปลงๆและขยับไปนั่งเอาหลังพิงถังแก๊ส

"...."
"คุณจะส่ายหัวทำไม ตอบผมมาสิ จะตายกันอยู่แล้วนะ พวกนั้นกำลังจะระเบิดที่นี่ พวกเราอาจจะวอดวายไปพร้อมกับเด็กเพาะช่างชุดสีน้ำเงินพวกนี้"

       ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขา เขานั่งยองๆอยู่ข้างหน้าผม จ้องหน้าผมอย่างจริงจัง ผมถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจพูด ไหนๆก็จะตายแล้ว ไม่เป็นไรหรอก

"ความฝันของผม ..."
"อะไรคุณ รีบๆพูดสิ"  เขาเร่งเสียงสั่นและขยับเข้ามาใกล้ผม ตอนนี้บรรยากาศรอบๆมีแต่เสียงปืน เสียงก่นด่า เสียงร้องโอดโอย เสียงร้องไห้ของเด็ก ผมหัวเราะปลงๆก่อนจะหันไปจ้องหน้าเขาและตอบ




"จูบ ผมยังไม่เคยจูบเลย"




       ดูเหมือนเขากำลังสตั๊นกับความฝันของผม ไม่รู้สินะ ผมคิดว่าการกอดเป็นสิ่งที่อบอุ่นมาก แต่ก็คิดเลยไปอีกว่าการจุมพิตกับใครซักคนคงอบอุ่นกว่าแน่ๆ ถึงแม้ผมจะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้กับคนไม่เคยมีคนรักอย่างผมก็ตาม แต่อย่างว่าล่ะ มันเป็นความฝัน ใครๆก็ฝันกันได้ทั้งนั้น


'ไอ้พวกเฮี้ย มึงเตรียมแดกระเบิดขวดกู'
'แน่จิงมึงปามาดิ อยู่นี่มีเด็กนะเว่ย'
'มึงคิดว่ากูไม่กล้าหรอ ถ้าทำให้มึงตายได้ กูทำหมด'


       ตู้มมมม. เสียงระเบิดลูกที่สองดังสนั่นกว่าลูกแรก ลูกไฟขนาดใหญ่ลอยขึ้นสู่อากาศห่างจากผมไปไม่กี่ช่วงตัว ไม่รู้ว่ารถเข็นบะหมี่ที่กำบังระเบิดให้พวกเราและเด็กช่างอีกสองสามคนจะมีสภาพเป็นเช่นไร รู้เพียงแต่ตอนนี้ผมยังมีชีวิตอยู่และรอดชีวิตอย่างหวุดหวิดจากระเบิดเมื่อครู่ ในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุนมุลก็มีมือหนึ่งจับที่ไหล่ของผม


"คุณเหว่ย! ถ้ารอดออกไปได้..."
       หมอนั่นพูดฝ่าเสียงต่างๆนาๆที่ดังอึกทึกจากรอบข้าง เขาพลิกตัวหันมาประจันหน้ากับผม

"...."

"ถ้ารอดไปได้ ผมจะจูบคุณสามเวลาหลังอาหารเลย"


       เขาพูดพลางยื่นหน้าเข้ามา ไม่มีที่ให้ผมขยับตัวไปไหน หลังชิดกับถังแก๊ส อีกข้างเป็นหม้อน้ำซุปร้อนๆ ใบหน้าเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมหัวเราะเบาๆกับความฝันของตัวเองที่ทำท่าจะเป็นจริง ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องตลกร้าย

"นี่คุณกร...ขอบคุณ...นะครับ"

      เสียงปืนนัดแล้วนัดเล่ายังคงดังต่อเนื่อง วัยรุ่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นและฮอร์โมนที่พุ่งพล่านกำลังตะโกนด่าทอกันด้วยคำที่มีระดับความรุนแรงสูง เด็กหญิงตัวน้อยๆกำลังส่งเสียงร้องไห้โหวกเหวกและตัวสั้นเทาด้วยความกลัว เฮียกำลังส่งมีดสับเป็ดให้เด็กช่างชุดน้ำเงินเอาไปต่อสู้ เสียงร้องโอดโอยจากผู้ได้รับบาดเจ็บเหมือนดังก้องอยู่ข้างๆหูผม


       ในขณะเดียวกันริมฝีปากของเขาก็ยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้จนกำลังจะสัมผัสกับริมฝีปากของผม


       เขาเอ่ยเบาๆ
"ผมก็มีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว"


       และแล้วริมฝีปากของเขาก็มาถึงในที่สุด สัมผัสที่แปลกที่สุดในชีวิตได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของผม ในขณะที่เสียงจากเหตุการณ์รอบๆก็น่าหวาดผวาตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอมาในชีวิต มีบางสิ่งกำลังคุกคามเข้ามาในกายเป็นระลอกๆ ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจ ความอ่อนนุ่มของริมฝีปากของเขา ไรหนวดสากๆที่บางทีก็ถูไถไปบนผิวหหน้าของผม ลิ้นของเขาที่ค่อยๆผ่านเข้ามาแนบชิดไปทั่วทุกอนูกับลิ้นของผม มันเริ่มจากอุ่นและค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนผมกำลังล่องลอยขึ้นไปจากที่ตรงนี้ ฝ่ามือหนาๆของเขาคอยบีบมือของผมเอาไว้ และในที่สุดผมก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่รอคอยจะสำผัส   'ความอบอุ่น'  อบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ อบอุ่นจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ อบอุ่น...เหลือเกิน  .............ไม่เสียใจ ไม่เสียใจแล้วที่จะต้องตายตรงนี้...




"แฮ่กๆ ๆๆๆๆ"

       จูบของเขาถูกถอนออกไป ความรู้สึกที่ได้รับมายังวนเวียนอยู่ในตัวผม หากแต่ตอนนี้...ขาดออกซิเจน...หายใจไม่ทัน
       มือของเขายังไม่ยอมปล่อยจากมือผม เขาขยับมานั่งพิงถังแก๊สข้างๆผม เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นเดิมซักพัก



       ~ปัง เสียงปืนดังขึ้นเหนือหัวของผม ก่อนที่ชายวัยรุ่นในชุดช็อปสีน้ำเงินคนหนึ่งจะอุ้มเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้อยู่ไปเป็นเกราะกำบังให้กับตัวเอง

'แน่จริงมึงปามา ระเบิดเวรของมึงน่ะ'

       ชายหนุ่มอีกคนที่ถือระเบิดอยู่อีกฝั่งทำท่าทีลังเล หากแต่ผมไม่ลังเลเลยที่จะลุกขึ้นและแย่งเด็กผู้หญิงคนนั้นมาส่งคืนให้กับเฮียเหมือนเดิม

"เอาผม เอาผมไปบังแทน"
"เฮ่ย!!! คุณเหว่ย อย่าๆๆๆ อย่านะ"

       หมอนั่นพูดก่อนที่เด็กช่างคนนั้นจะจับผมไปล็อคคอเป็นเครื่องประกันความปลอดภัยจากการปาระเบิดทันที เขารีบลุกพรวดตามผมขึ้นมา

"ไม่ๆๆ เอาผม เอาผมไปแทน ปล่อยเขาออกมา" หมอนั่นพูดด้วยท่าทีตื่นตระหนก
"คุณกร คุณนั่งลงไป ยืนขึ้นมาเดี๋ยวก็โดนลูกหลงหรอก"
"เหว่ย นี่มันอันตรายมากนะ"
"จะตายก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยผมก็ได้ทำสิ่งที่อยากทำแล้ว"
"แต่คุณยังไม่ได้ทำความฝันผมให้เป็นจริงเลย คุณออกมาเดี๋ยวนี่"

       หมอนั่นไม่พูดเปล่ากลับกระโจนเข้ามาและพยายามดีงแขนของเด็กช่างที่ล็อคคอปมอยู่ออก ในขณะที่เด็กช่างก็ถีบเขาเซถลาออกไป

'พวกมึงอย่าวุ่นวาย ไม่งั้นกูยิงไส้แตก'

       เด็กช่างคนที่ล็อคคอผมอยู่คำรามลั่น หากแต่คนที่โดนขู่อย่างหมอนั่นดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำขู่เลยซักนิดเดียว เขากระโจนกลับเข้ามาอีกหนแต่คราวนี้กลับกอดผมไว้ คางของเขาเกยอยู่บนบ่าด้านซ้ายของผม และแน่น มันเป็นกอดที่แน่นจริงๆ

'มึงออกไป ออกไปไอ้เฮี้ย!!'

       เด็กช่างใช้มือข้างที่ถือปืนพยายามดันหัวหมอนั่นที่เกยอยู่บนไหล่ผมออก แต่มันก็ดันได้เพียงแค่หัวเท่านั้น เพราะทั้งแขนทั้งขาของเขาล็อคกอดอยู่กับตัวผมอย่างแน่นหนา

"ไม่ออก ครั้งนี้จะไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมแล้ว เป็นไงเป็นกัน"

       หมอนั้นต่อปากต่อคำกับเด็กช่างอย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมกระชับอ้อมกอดที่ผมคิดว่าไม่มีทางแน่นไปได้มากกว่านี้ให้แน่นขึ้นอีก ผมตัดสินใจเอ่ยเบาๆที่ข้างหูเขา

"คุณกร ผมขอโทษ ผมทำให้คุณต้องมาอันตรายไปด้วย"
"คุณไม่ผิดเลยซักนิด ผิดที่ผม ผมมันช้า ช้ากว่าคุณมาตลอด ต่อจากนี้ผมจะไปทุกๆที่พร้อมกับคุณ"

       เขาเอ่ยประโยคที่ผมไม่ค่อยเข้าใจด้วยน้ำเสียงอบอุ่นปนเศร้า หากแต่มันก็ทำให้ผมอบอุ่นเหลือเกิน ผมยกแขนทั้งสองข้างของตนโอบกอดแผนหลังกว้างๆของเขาไว้

        ในชั่วเวลานี้ไม่ได้มีอีกแล้วเด็กช่างที่วิวาทกัน ไม่มีอีกแล้วเสียงปืนหรือเสียงระเบิด ไม่มีอีกแล้วเสียงร้องไห้ ไม่มีอีกแล้วความกลัว...ไม่มีอีกแล้วความหนาวเหน็บในใจของผมที่อยู่มายาวนานเหลือเกิน


       จะมีก็เพียงแค่ผม ...กับเขา



"ผมไม่เสียใจเลยคุณกร ถ้าจะต้องตายตรงนี้"
"อาา ผมเองก็เหมือนกัน"



       ผมค่อยๆหลับตาลง



       ในยามที่มนุษย์ได้ตัดสินใจปลดปล่อยชีวิตของตนให้ล่องลอยเหมือนดั่งนก การปลดปล่อยดังว่าแม้จะได้มาซึ่งอิสระเสรี หากแต่ต้องแลกมาด้วยการที่ขาทั้งสองข้างจะมิอาจกลับมาเหยียบย่ำบนพื้นโลกได้อีก แต่มันก็คุ้มเกินคุ้ม หากว่าเราจะได้ล่องไปพร้อมกับใครซักคน ไม่ได้โบยบินอย่างโดดเดี่ยว

       ไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดจะเป็นไม่กี่วินาทีก่อนตาย ช่วงเวลาที่ผมได้รู้ ว่ามีใครคนหนึ่งพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับผม ช่วงเวลาแรกที่มีคนให้ความสำคัญกับผมมากมายถึงเพียงนี้

       'ในที่สุด ผมก็ได้เป็นคนสำคัญ'



_____________________________________________________________________________________
To be continued in 004 (2/2)


จบไปแล้วครับสำหรับตอนที่4 พาร์ทแรก 
ก็จะทิ้งช่วงให้ทรมานกันเล่นซักพักก่อนที่ผมจะเอาพาร์ทจบของตอนนี้มาลง

แล้วก็ขอโทษด้วยที่หายไปนานนะครับ สัญญาว่าจะรีบปั่น 55555

สุดท้ายอยากจะขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ครับผม เรื่องแรกของผมก็มีคนบอกว่าชอบด้วย
น้ำตาจะไหล ซิกๆๆๆ 5555



ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เรียกได้ว่าฉากหวานในดงตีนระเบิด
แอบสงสัยเป็นแผนของสาวสาวสาวรึเปล่า

รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ ★KVH™★

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
พลังหนุ่มช่าง ช่างแรงกล้า
เก่งมากครับ จะปาระเบิดใส่เด็กน้อยด้วย
ขอให้ได้กันเองเลยได้ม๊ะ? กร๊ากกก  :hao7:
กร เหว่ย หวานกันมดขึ้น..
ช่างน่ารัก รอพาร์ทสองน้า   :กอด1:
ปล.มีเสื้อเหมือนกันแปดตัวล่ะ เหว่ย (ติดใจอันนี้  :z2:)

ออฟไลน์ sukaz

  • I Will Love You Unconditionally
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เอ๊ะ ตอนจบ พาท ??  จะจบแล้วเล๊อะ!! ไม่เอาอะไม่อยากให้จบ :ling1: :ling1: อุตส่าห์หานิยายแนวนี้จนเจอเป็นเรื่องสั้นซะงั้น (เค้าก็เขียวไว้ว่า short นิ :mew5:) อยากให้เป็นเรื่องยาวๆหน่อย ยังไงก็มาไวๆนะครับ พระเอกนายเอกจะตายซะงั้น :katai1: ยังไม่ได้บอกว่ากรเป็นใครให้เหว่ยฟังเลย  :hao5:

song2315

  • บุคคลทั่วไป
004 : reform (ปฏิรูป)  (2/2)





วี๊หว่อ  วี๊หว่อ  วี๊หว่อ!!!

'เฮ่ยย! ตำรวจ เผ่นเว่ยพวกมึง'

       เสียงไซเรนรถตำรวจดังมาแต่ไกล อยู่ๆเด็กช่างคนที่ล็อคคอผมก็ปล่อยและวิ่งหนีไป เสียงฝีเท้าหลายสิบวิ่งเตาะแตะๆห่างออกไปเรื่อยๆในขณะที่ไซเรนตำรวจดังกล่าวเริ่มใกล้เข้ามา
       เมื่อแน่ใจว่าเราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ อ้อมกอดก็ค่อยๆถูกคลาย ตำรวจหลายสิบนายพรั่งพรูลงมาจากรถตำรวจสามคัน ผมมองไปรอบๆตัว 'ไม่มีเหลือเลยซักคน' พวกเด็กช่างหายไปหมดแล้ว หายไปแม้กระทั่งพวกที่โดนระเบิดนอนแอ้งแม้ง พวกนี้คงรักเพื่อนขนาดแบกร่างกันกลับไปด้วยสินะ


'ไม่ทราบว่าได้รับบาดเจ็บรึเปล่าครับ'
"ไม่ครับ" ผมและเขาตอบออกมาพร้อมกัน

       ตำรวจดังกล่าวพยักหน้าก่อนจะหันไปสั่งงานลูกน้องอีกหลายสิบนายต่อ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อตำรวจเดินไปพ้นสายตากรก็เอาแขนหนักๆของเขามาเกี่ยวคอผมเข้าไปหาตัว ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร ไม่สิ ต้องพูดว่าผมไม่สามารถขัดขืนชายคนนี้ได้เสียมากกว่า ทั้งๆที่เขาก็มีเพียงแค่รอยยิ้มกว้างๆ กับตัวอุ่นๆเท่านั้นเอง














     --ร้านไอติม

       หญิงสาวสามคนหัวเราะคิกคักชอบใจในร้านไอติมใกล้ๆกับโรงเรียนเพาะช่าง
เมย์ :เป็นงะๆ ฝีมือการกดเอฟเฟคระเบิดของฉัน ก๊ากกๆๆ
ปล์าม : แกก็แค่กด ฉันเป็นคนประกอบแล้วก็ต่อสายไฟนะยะ
ฟ้า : อาวุธปลอมของฉันสมจริงกว่าย่ะ ทั้งปืน มีด และไม้โฟม ฮ่าๆๆๆๆ

       ~ตี๊ดิ่ง เสียงกริ่งหน้าประตูร้านดังขึ้น
       ชายหนุ่มท่าทางดิบๆสองคนเดินกอดคอกันเข้ามาในร้าน คนนึงใส่ชุดช็อปสีเทา อีกคนใส่ชุดช๊อปสีน้ำเงิน เขาไหว้หญิงสาวทั้งสามแบบห่ามๆก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม

       'หวัดดีพี่ เป็นไงผลงานพวกผม'

ฟ้า : เริศมาก ไหนรายงานมาซิ สองคนนั้นเป็นไงบ้าง

       'โอ๊ยพี่ เขารักกันปานจะกลืนกิน ใช่มั๊ยตัว'
       'ช่ายย ตอนผมล็อคคออยู่นะ ได้ยินที่เค้าคุยกันหมดทุกคำ'

เมย์ : กรี๊ดดด! เค้าคุยกันว่าไงมั่ง

       'ก็ DSLGKEDFIVSDVPRESGKOEDKRFVG'DEGFLBREPHK'
       'ใช่พี่ แล้วตอนท้ายๆนะ ยัง ASDFSGGHJMKOIHDSTYGDREGC ด้วยพี่'

เมย์ : อ๊ายยยยยยยยยย! ผัวฉันยังไม่เคยทำแบบนี้เลย

ปล์าม : เห็นมั๊ยแก ฉันบอกแล้วว่าคุณกรรักไอ้เหว่ย แบบนี้เค้าเรียกว่าหัวปักหัวปำ

ฟ้า : จะว่าไป งั้นเราก็เริ่มแผนต่อไปได้แล้วสิ

เมย์ : จัดไปแก อ๊ายๆๆๆๆๆ
       เมย์พูดพลางบิดตัวไปมาเหมือนเขินอายเมื่อคิดถึงแผนการขั้นต่อไป เพื่อนสาวทั้งสองได้แต่กลั้นหัวเราะในความไม่ปกติของเพื่อน ไม่เว้นแม้แต่เด็กช่างสองคนก็ยังอดที่จะขำเธอไม่ได้

ฟ้า : เออๆ แล้วหนีตำรวจกันทันรึเปล่า

       'ทันครับ ฝั่งผมทันทุกคนนะ ฝั่งตัวหนีกันทันหมดรึเปล่า'
       'ทันหมดครับ ....อะไรๆ ตัวเป็นห่วงเราด้วยหรอ'
       'ก็นิดนึง'
       'ดีใจนะๆๆๆ'
       เด็กช่างในชุดช็อปสีเทาพูดพลางเอามือไปจิ้มแก้มอีกฝ่ายรัวๆ ท่าทีของพวกเขาทำให้สามสาวต้องส่ายหัว ก็เพราะที่กำลังทำๆกันอยู่มันไม่ได้เข้ากับท่าทางเถื่อนๆของพวกแกเลยซักนิด

ปล์าม : พวกแก! พอๆๆๆ ฉันเพลีย เอานี่ๆค่าเหนื่อย แล้วก็นี่ฝากไปให้เฮียเปียวกับน้องมิ้นท์ด้วย

       ปล์ามพูดพลางยื่นซองสามซองให้หนุ่มทั้งสอง

       'เออพวกพี่ พูดถึงยัยเด็กมิ้นท์อะไรนั่น มันร้องไห้เหมือนสั่งน้ำตาได้เลย ผมล่ะทึ่งมันจริงๆ'
       'ใช่มะ ผมว่าร้องไห้ได้โหยหวนมาก ตอนซ้อมกันยังหัวเราะพวกผมคิกคักๆอยู่เลย พอเอาจริงนี่องค์นักแสดงตุ๊กตาทองลง'

เมย์ : ก็ดีแล้วหนิ โตขึ้นมาจะได้สวยเหมือนฉันงะ แล้วก็นะฝากไปบอกเฮียด้วยว่าเดี๋ยวว่างๆจะกลับมาอุดหนุนบะหมี่แบบลูกค้าปกติ
ปล์าม : พรุ่งนี้อย่าลืมเกณฑ์คนไปช่วยเฮียเค้าซ่อมร้านด้วยเข้าใจมะ

       'ครับ'
       'รับทราบ'

ฟ้า : ปะๆ พวกแกรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดซะ เดี๋ยวก็โดนซิวติดคุกหัวโตกันทั้งก๊วน พวกฉันก็ต้องไปแล้วเดี๋ยวไอ้เหว่ยมันสงสัย

       'บาย'
       'ครั้งหน้ามีไรหนุกๆเรียกพวกผมได้นะ'

       ชายหนุ่มร่างสูงสองคนลุกและเดินกอดคอกันออกไป สาบานได้เลยว่ามองเผินๆไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกมันสองคนเป็นแฟนกัน โชคดีมากที่หัวโจกอันธพาลของโรงเรียนเพาะช่างสองโรงเรียนในละแวกนี้จับมือเป็นพันธมิตรกันพวกเธอจึงเรียกใช้ได้ทั้งสองฝั่งในคราวเดียว พอบวกกับฝีมือการเซ็ตฉากแอ็คชั่นขนาดย่อมๆที่ศึกษามาจากทางอินเตอร์เน็ตในระยะเวลาสองชั่วโมงแล้ว นับว่าแผนแรกของพวกเธอประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย

        สามสาวหันมามองหน้ากันยิ้มๆก่อนจะลุกเดินออกไปจากร้าน รถพร์อชสีขาวพุ่งทะยานออกสู่ถนน ในใจของพวกเธอมั่นใจแล้วว่าชายที่จะมาดูแลเพื่อนรักของพวกเธอคนนี้นั้นช่างเหมาะสมอย่างยิ่ง และที่สำคัญเขารักเพื่อนของพวกเธอจริงๆ ณ ตอนนี้ไม่มีความลังเลอีกแล้วที่จะเริ่มแผนต่อไป สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของปล์ามกำลังทำการโทรออกไปยังปลายสาย สปี๊กเกอร์ลำโพงถูกเปิดขึ้นเพื่อให้ได้ยินกันทั่วทั้งคันรถ สัญญาณรอสายจบลงและมีเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น

       'หวัดดีปล์าม...มีอะไรครับพ้ม'
       'ไอ้หยง ฉันมีเรื่องให้ช่วย เรื่องเกี่ยวกับพี่ชายแก...'
















---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แว๊กกกกกกกกกกกก    ขอฝ่าดงตีนหลบกระสุนแปป
วันนี้ผมว่าจะเอาตอนที่5 มาลง ปรากฏว่าเปิดเข้ามา
ตัวเองยังไม่ได้เอาตอนที่ 4 (2/2) ลง ตึ่งงงงงงงงงงงง
สตั๊นไปสามแสนวิ  ผมนึกว่าตัวเองเอามาลงแล้ว 5555

ขอโทษจากใจเลยครับ ขอโทษจริงๆ


 :katai5:

song2315

  • บุคคลทั่วไป



005 : reunion (คืนสู่เหย้า)





"อะไรนะ!!! นี่พวกพี่บ้ากันไปแล้วหรอ"

       เสียงที่เคยทุ้มของชายหนุ่มปลายสายตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เมย์คิดในใจว่าพลาดเสียแล้วที่ดันบอกเรื่องแผนของพวกตนให้น้องชายของเธอรู้ แต่ก็อย่างว่า ก็เห็นเป็นน้องชายหรอกถึงตัดสินใจบอก ก็เพราะความเป็นพี่สาวมันค้ำคอ อย่างน้อยถ้าจะต้องทำให้น้องชายเจ็บก็ขอให้เจ็บก่อนเรื่องจบ ไม่อยากให้เจ็บหลังจากเรื่องทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว

"ไอ้มรรค ฉันถึงโทรมาบอกแกก่อนไง"

       เมย์พูดเสียงอ่อน เป็นน้ำเสียงปลอบประโลมผู้เป็นน้องมากกว่าจะเป็นน้ำเสียงยอมรับความผิด เมย์รู้ดีมาแต่ไหนแต่ไรว่าสิ่งที่น้องชายของตนหวังไม่มีทางเกิดขึ้นจริง

"พี่ก็รู้...พี่ก็รู้ว่าผมรักพี่เหว่ย"

       เมย์หลับตาลงช้าๆ รับรู้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสในน้ำเสียงน้องชาย น้องชายของเธอผู้เป็นชายหยิ่งทะนง

"มรรค แกทำใจเถอะ แกก็รู้เหว่ยมันเห็นแกเป็นน้อง"

"แต่ผมไม่เคยบอกพี่เหว่ย อะไรๆมันก็พัฒนาได้!!"

"มรรค"

"คอยดู ผมจะบินไปเดี๋ยวนี้"

"มรรค ไอ้มรรค!! เดี๋ยว!!!"

".......ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด"


       เมย์เดินกลับมานั่งที่โซฟาและวางมือถือลงเหนื่อยๆ ปล์ามและฟ้าส่ายหัวเบาๆ พวกเธอเตือนแล้วว่าเรื่องจบค่อยโทรไปบอก แต่ก็อย่างว่า มันเป็นความรู้สึกของพี่สาว เป็นความรู้สึกที่ลูกคนเดียวอย่างพวกเธอคงไม่อาจเข้าใจ

"ไอ้มรรค.....มันกำลังจะบินมา"

"ฮะ!!!!!!!!'"

       ปล์ามและฟ้ากระโดดลุกจากโซฟาและเริ่มเดินวนไปรอบๆ ก็ดันงานเข้าแบบสายฟ้าแลบขนาดนี้ จะทำยังไง จะทำยังไง ทำยางง๊ายยย


เมย์ : พวกแก ฉันคิดออกละ

ปล์าม+ฟ้า : อะไรแก!!!

เมย์ : โทรบอกไอ้หยงให้บินมาตอนนี้เลย

ฟ้า : โอเคๆ เดี๋ยวฉันโทรเอง

ปล์าม : เร็วๆแก เร็วๆๆๆๆๆ



       ฟ้ารีบยกโทรศัพท์มากดหาเบอร์ผู้ร่วมขบวนการสมรู้ร่วมคิดคนใหม่ที่พวกเธอพึ่งดึงตัวเข้ามาช่วยเพราะเรียนจบเภสัชศาสตร์จากต่างประเทศมาโดยตรง ถึงตอนนี้เจ้าตัวจะทำงานบริหารธุรกิจของครอบครัวอยู่ก็เถอะ คนๆนี้ที่พวกเธอกล่าวถึงก็คือ 'หยง' น้องชายสุดรักของเหว่ยนั่นเอง


"ฮาโหลล ครับพี่ฟ้า ผมเห็นรูปคุณกรแล้วนะ หล่อดีๆท่าทางอบอุ่น นี่พี่ชายผม..."

'หยุด! อย่าพึ่งพูดอะไรตอนนี้ไอ้หยง'

"อ่าวว ทำไมครับ"

'ก็งานเข้าแล้วไงตอนนี้ ไอ้มรรคน้องชายนังเมย์มันกำลังจะบินขึ้นมาขวางเส้นทางความรักพี่ชายแก'

"ฮะ!!! คุณชายมรรคเนี่ยนะ"

'ใช่ เพราะฉะนั้นแกต้องบินขึ้นมาให้เร็วที่สุด ไอ้มรรคมันไม่ปกติ ไม่รู้มันจะทำอะไรบ้าง'

"โอเคได้ๆๆ ผมจะหาไฟลท์ที่เร็วที่สุด"

'เยี่ยม ...เออๆแล้วยาที่ให้หาได้รึยัง'

"อ้อ เรียบร้อยตามสเปคที่พวกพี่ให้หาทุกอย่าง กระตุ้นรุนแรงแต่สติสัมปชัญญะยังอยู่ครบ"

'โอเค เยี่ยมมาก แต่เร็วๆนะทั้งหมดอยู่ที่แกแล้วตอนนี้'

"ครับผม จะไปเดี๋ยวนี้ๆ"




















       ยามสายของศาลจังหวัดเชียงใหม่ หลังการอ่านคำพิพากษาคดีล่าสุดพึ่งจบลงไม่นาน ผู้พิพากษาหนุ่มหล่อเหลาถือกระเป๋าเอกสารเดินลงบันไดจากศาลมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ในหัวเขาคิดเพียงแต่ว่าระหว่างช่วงวันพักผ่อนสามวันต่อจากนี้จะทำอะไรดี ไม่ได้สนใจมองรอบข้างด้วยซ้ำว่าคนที่เดินผ่านเขาไปแต่ละคนทำสีหน้าฉงนเพียงใด รอยยิ้มเล็กๆใสๆของผู้พิพากษามาดนิ่งท่านนี่ จะกับใครก็ถือเป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ทำให้อยากหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปกันทั้งสิ้น



"ไง เสร็จแล้วหรอ"
       ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนพิงรถรออยู่ตะโกนถาม ในมือเขาถือเครปญี่ปุ่นที่พึ่งซื้อมาจากร้านรถเข็นเมื่อครู่ บนเครปมีรอยกัดไปสองสามคำ

"วันนี้ไม่มีใครมีปัญหาครับ เลยเสร็จเร็ว"
       เหว่ยเดินพ้นจากบันไดขั้นสุดท้ายตรงไปหากร กระเป๋าเอกสารในมือเขาถูกกรแย่งไปถือและในขณะเดียวกันกรก็ยื่นเครปญี่ปุ่นกลับมาให้เขา

"อร่อยดี กินสิ"

       เหว่ยรับเครปมาถือและทำท่าทีลังเลว่าจะกัดดีไหม เขาอยู่ที่นี่มาตั้งนานหากแต่ไม่เคยซื้อกินเลย ถึงจะเคยเห็นพวกพนักงานซื้อมากินบ้างแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะกิน

"ให้ผม...กัดได้หรอ"

       เหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงลังเลก่อนที่จะได้รับสายตาเหวี่ยงๆกลับมาจากกร

"พูดยังกะคุณไม่เคยจูบกะ..."
"โอเคๆ คุณไม่ต้องพูดต่อแล้ว ผมกัดก็ได้"
       
       ง่ำๆ ๆ
       เหว่ยกัดกินเครปเข้าไปเต็มๆคำ มันทำให้เขาฉงนใจไม่เบาว่าขนมอันละเพียงยี่สิบบาทจะอร่อยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ









~ระหว่างทางกลับ


"คุณกร ผมลืมบอกคุณ"

"อะไรหรอ"

"น้องชายผมบอกว่าจะบินขึ้นมา ถึงบ่ายสองนี่แหละ"

"อ้าว ทำไมจู่ๆถึงมาล่ะ"

"ผมก็ไม่รู้ สงสัยคงมีธุระด้วยล่ะมั้งเลยถือโอกาสมาเยี่ยมผมด้วย"

"ออ ครับๆ งั้นเดี๋ยวเราไปซุปเปอร์ซื้อของเพิ่มกัน เพื่อนๆคุณก็จะมากินข้าวเย็นด้วยใช่มั๊ย"

"ใช่ครับ นี่ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อวานให้พวกนั้นฟังเลย"

"อ้อ ถ้าคุณจะเล่าก็อย่าลืมเล่าด้วยนะว่าเราทำอะไรกันตรงข้างๆถังแก๊ส"

"ไม่มีทาง"

"ฮ่าๆๆๆ"






















ณ สนามบินเชียงใหม่

       ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวสะท้อนแสงไฟลากกระเป๋าเดินทางขนาดกลางออกมาจากพอร์ทผู้โดยสารขาเข้า แว่นเลนส์ปรอทที่เขาสวมอยู่ถูกถอดออกเมื่อมองเห็นกลุ่มคนที่รอเขาอยู่

หยง : หวัดดีครับพี่เมย์ พี่ฟ้า พี่ปล์าม

เมย์ : กรี๊ดดด ไอ้หยงแกรู้มั๊ยพวกชั้นกำลังจะใจขาดตาย

ฟ้า : ไอ้มรรคมันจะบินมาถึงหลังแกอีกครึ่งชั่วโมงนี้

ปล์าม : พวกเราต้องรีบไปคุมเกม

       ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเริ่มออกเดิน หญิงสาวทั้งสามก็เดินตามมาติดๆ หนุ่มตี๋เริ่มเอ่ยถามคำถามด้วยความสงสัย

หยง : พวกพี่พูดเหมือนว่าคุณชายมรรคจะบินมาเพื่อทำลายล้างโลกอย่างงั้นแหละ

เมย์ : โอ๊ยยย แกไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่ทำลายหรอก ฉันเป็นพี่สาวมันฉันยังไม่รู้เลยว่าจะปรามมันอยู่มั๊ย

ปล์าม : เงี๊ยแหละ พวกถูกเลี้ยงมาในวัง เป็นท่านหญิง เป็นท่านชาย นิสัยเสีย

เมย์ : น้อยๆหน่อยนังปล์าม ฉันโดนไปด้วยย่ะ ถ้าจะด่าก็ด่าไอ้มรรคคนเดียว เพราะท่านพ่อท่านแม่ตามใจมันนั่นแหละมันถึงเป็นคนแบบเนี๊ยะ

ฟ้า : โอ๊ยยย พอๆ ถ้าพวกแกไม่หยุดทะเลาะกันฉันจะให้น้องหยงเอาแขนฟาดลำคอพวกแกให้ขาดสะบั้นซะ

หยง : หูยพี่ฟ้า เห็นแขนผมมีกล้ามแบบนี้แต่ผมไม่มีแรงขนาดนั้นหรอก มีแรงแค่ยกเวทอย่างเดียว

ฟ้า : โอ๊ยย ฉันจะบ้าตายไอ้หยง แกก็ช่วยเออๆออไปกับฉันไม่ได้หรอยะ

หยง : อ๋อออ โทดทีครับ แหะๆๆ

       ฟ้าส่ายหัวอย่างเอือมระอากับชายร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเขกหัวเพื่อนทั้งสองของเธอที่ยังไม่หยุดเล่นสงครามประสาทกัน เหตการณ์ยังคงวุ่นวายต่อไปซักพักกว่าทั้งสี่จะเดินมาถึงรถ

หยง : อ้าวว นี่มันรถเฮียเหว่ยหนิ

เมย์ : เออ พวกฉันขโมยมาจากพี่ชายแกเอง

ปล์าม : ป่านนี้พี่ชายแกคงอยู่ซุปเปอร์ไหนซักซุปเปอร์ ซื้อของเตรียมทำอาหารเย็น

ฟ้า : รีบขึ้นรถพวกแก มีแผนต้องคุยต่อ...ไอ้หยงแกไปขับ

หยง : ครับๆ

       และแล้วรถสปร์อทคันงามก็แล่นออกจากแอร์พร์อทฝ่าการจราจรยามบ่ายสองครึ่งเข้าสู่ใจกลางเมือง แผนการอันซับซ้อนของเหล่าหญิงสาวได้อีกหนึ่งหนุ่มไม่ใกล้ไม่ไกลมาช่วย หากแต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป เหตุเพราะเครื่องบินจากกรุงเทพลำล่าสุดกำลังจะแลนดิ้งที่รันเวย์ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า



















-Tops market บ่ายสามโมงยี่สิบสอง
       
       ชายร่างใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆเข็นรถเข็นที่มีแต่อาหารสดเต็มไปหมด  ข้างๆตัวเขามีชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงแสล็คสีเทารีดเรียบกริบ เขากำลังให้ความสนใจกับเยลลี่ลายการ์ตูนหลากสีและหลากยี่ห้อ มือขาวๆยื่นขึ้นไปหยิบเยลลี่ห่อใหญ่มาถุงหนึ่ง ชายหนุ่มมองถุงเยลลี่ด้วยสายตาเป็นประกายก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง 'ยิ้มที่มีความสุข'

"คุณชอบหรอ" กรตัดสินใจเอ่ยถาม

"ไม่หรอกครับ...แต่เด็กๆที่ผมเคยเอาไปแจกชอบมาก" เหว่ยเงยหน้าขึ้นมาตอบ รอยยิ้มกว้างยังเปื้อนไปทั่วใบหน้าของชายหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีโอกาสจะได้เห็นบ่อยนัก

~หมับ

O_O

       มือหนาของกรเอื้อมมาวางทาบบนแก้มของเหว่ย


"ทำไมคุณถึง....น่ารักขนาดนี้นะ"

"..."





~ เพล้งง!! ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ ก็อกแก็กๆ

       เสียงของมากมายหล่นลงพื้นทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต้องหันไปมอง หญิงสาววัยรุ่นในชุดนักเรียนสามคนยืนนิ่งและจ้องมาทางพวกเขา สองคนหอบขนมมากมายในอ้อมแขน ส่วนอีกคนทำมันหล่นกระจายลงพื้นเสียแล้ว
       เหว่ยเดินไปหยิบตะกร้าที่หัวมุมสามใบ ส่วนกรเดินเข้าไปช่วยเด็กหญิงเก็บของที่หล่นอยู่บนพื้น

"ทำไมไม่ใส่ตะกร้ากันล่ะ" เหว่ยเอ่ยถามเบาๆขณะที่กำลังโกยของจากอ้อมแขนเด็กคนหนึ่งลงตะกร้า

'พวกหนูไปแย่งจากกองลดราคามาค่ะ'

"ฮ่าฮ่า ของถูกทำให้ทุกคนเป็นบ้าได้ แต่คงยกเว้นคุณคนนึงใช่มะ" กรพูดล้อๆก่อนจะจบประโยคด้วยการปัดกลับมาที่เหว่ย เหว่ยไม่ได้พูดอะไรและโกยเริ่มโกยของในอ้อมแขนของเด็กหญิงอีกคนลงตะกร้าอีกใบ

'ขอบคุณค่ะพี่' เด็กหญิงกล่าวขอบคุณเหว่ย

"จ้าๆ" เหว่ยเอ่ยตอบรับด้วยความเป็นมิตร เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางกรก็จูงมือเขาเดินมุ่งหน้ากลับไปที่รถเข็นดังเดิม



'เดี๋ยวค่ะ!!!'  หนึ่งในเด็กสาวตะโกน



       ชายหนุ่มทั้งสองชะงักก่อนจะหันกลับไปมอง เด็กหญิงคนที่ทำของหล่นยืนตัวบิดไปบิดมาและทำสีหน้ากระอักกระอ่วน

"ครับ"  กรพูดเบาๆเป็นเชิงถามว่ามีอะไรรึเปล่า


'คือ...คือแบบว่า พวกหนูเป็นสาววายค่ะ'



   ?  (=_=)  (=_=)  ? เหว่ยและกร

  (>_<)(>O<)(>..<)  เด็กนักเรียนหญิง



"สาววาย คืออะไรครับ"  เหว่ยถามออกไปด้วยความสงสัย

'เอ่ออ คือๆ  อ้ออ  มันเป็นแบบนี้ค่ะ'

       เด็กสาวคนตรงกลางเอ่ยก่อนจะเริ่มแกะกระดุมเสื้อนักเรียนมัธยมปลายของตัวเองอย่างรวดเร็ว เหว่ยได้แต่อ้าปากค้างส่วนกรยืนมองด้วยความตกตะลึง
       เด็กสาวกระชากชายเสื้อเปิดออกอย่างแรง ชายหนุ่มทั้งสองแทบจะหงายหลังล้มหากแต่ก็ตั้งสติได้ทันเมื่อเห็นว่าเธอสวมเสื้อยืดมีลายสกรีนสีขาวไว้ด้านใน



บนเสื้อตัวนั้นมีข้อความเขียนว่า
'Yaoi FC - I love [Boy X Boy] in public'


       เหว่ยยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ เขายืนแข็งทื่อหลังจากได้อ่านข้อความบนเสื้อของเด็กหญิงประหลาด หน้าของเขาเริ่มตีสีแดงระเรื่อ ทว่าชายอีกคนที่ยืนข้างๆเขาไม่ได้สะทกสะท้านเลยซักนิด กรกำลังหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย

"ฮ่าาาๆๆๆๆๆ ฮ่าๆๆ ฮ่า ฮ่าๆๆ!"

       เด็กสาวสามคนเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้วิ่งหนีก็โล่งอก พวกเธอวางตะกร้าของที่พึ่งฝ่าสนามรบเข้าไปแย่งมาลงพื้นก่อนจะวิ่งเข้ามาเขย่าแขนกรและเหว่ย

'หนูอยากเห็นของจริงๆๆๆ เคยเห็นแต่เค้าโชว์ในโซเชียลแคม'

'พวกพี่น่ารักมากกกกเลยค่ะ'

'หอมแก้มให้ดูหน่อยนะคะๆๆๆ'


"ไม่ครับ/ได้ครับ"  O_O/^..^


"คะ...คุณบ้าไปแล้วรึไงคุณกร ผมไม่เล่นด้วยนะ"

"นี่คุณ มนุษย์สัมพันธ์ดีๆหน่อยสิ เขาขอเราก็ต้องให้ อีกอย่างก็ไม่ได้เสียหายอะไร"

"ไม่เสียหายบ้าอะไรล่ะ...เฮ่ยๆ นี่คุณหยุดนะ...อ๊ากก บอกว่าให้หยุดไง"

"โถ่ นี่คุณเหว่ย ..นี่ ฮึบ อยู่นิ่งๆสิ"

       เด็กสาวทั้งสามมองการกระทำของชายสองคนตรงหน้าด้วยสายตาทอประกาย วันพรุ่งนี้เธอจะมีเรื่องเล่าอันน่าตื่นเต้นไปเล่าให้เพื่อนสาวอีกกลุ่มที่โรงเรียนฟัง

"คุณกร ปล่อยผมนะนี่คุณจะบ้ารึไง"

"จับได้แล้ว คอยดูนะๆๆ"

'ค่ะ' (O.O) (O_O) (O\\O)

"คุณกร หยุด หยุดนะ อ๊ากกกกกก"















~คอนโด

"นี่ถ้าคุณทำแบบนั้นอีก ผมจะเอาเยลลี่ทั้งถุงยัดเข้าไปในปากคุณซะ" เหว่ยพูดเรียบๆ

"โถ่คุณ งั้นปากผมก็พังหมดสิ"


   --ติ๊ง ติ่ง
       ประตูลิฟท์เปิดออกก่อนที่กรและเหว่ยจะหอบของพะรุงพะรังเดินออกมา และเดินมุ่งสู่ห้องริมสุดของเหว่ย

"พังไปเลยน่ะดีแล้ว" เหว่ยหันมาพูดใส่หน้ากรลั่นโถงทางเดิน

"ถ้า ปาก โผม พาง แล้ว คราย จา จูบ คูณ สาม เว ลา หลัง อาา หานน"  กรตอบกลับด้วยการลากยาวและเสียงที่ดังยิ่งกว่า

"นี่คุณ! พูดเบาๆก็ไม่มีใครว่าหรอก"

"อ๊าวว ก็คุณใช้ความรุนแรงกับผมก่อน"

"ผมไม่เคยใช้ความรุนแรง"

"ไม่จริง เมื่อคืนคุณบังคับให้ผมถอดเสื้อนอนกอดคุณ แถมคุณยังกอดผมแน่นจนแทบหายใจไม่ออก"

"คุณต่างหากที่เป็นคนถอดเสื้อ แล้วอีกอย่างคุณเป็นคนกอดผม ผมไม่ได้กอดคุณซักหน่อย"

"แต่ว่า...."


       ชายทั้งสองจำต้องหยุดบทสนทนาเมื่อเลี้ยวหักมุมเข้ามาถึงหน้าประตู ชายร่างใหญ่คนหนึ่งในชุดสูทสีดำยืนรออยู่หน้าประตูห้องของเหว่ย เขามองมาที่ชายทั้งสองด้วยสายตาที่ยากจะเดาความรู้สึก แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาได้ยินทั้งหมดของบทสนทนา ก็ทั้งกรและเหว่ยเล่นตะโกนแข่งกันมาตั้งแต่หน้าลิฟต์ขนาดนั้น


เหว่ย : อ่าวว มรรค!! มาได้ยังไงเนี่ย
       เหว่ยเอ่ยถามชายคนดังกล่าว

มรรค : ผมก็บินขึ้นมา...หาพี่นั่นแหละ
       ชายคนนั้นตอบกลับด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

เหว่ย : มาหาพี่?

มรรค : ใช่ คือว่าผม...

กร : ผมว่า!!...เราไปคุยในห้องดีกว่า

       กรพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงกระชากนิดๆ มองแวบเดียวเขาก็รับรู้ได้ ชายที่เขาไม่รู้จักคนนี้ต้องคิดไม่ซื่อกับเหว่ยแน่ๆ แล้วดูเหว่ยก็สนิทสนมกับชายคนนี้ เขาต้องทำอะไรซักอย่าง ต้องแสดงความเป็นเจ้าของ ต้องทำให้หมอนั่นรู้ซะว่าเหว่ยเป็นของใคร

เหว่ย : โอเคๆ เดี๋ยวพี่เปิดประตูแปปนะมรรค เข้ามากินน้ำกินท่าก่อน

กร : ไม่เป็นไรคุณ ผมเปิดให้

       มรรคมองการกระทำของกรอึ้งๆ เขาไปมาหาสู่กับเหว่ยที่นี่มาเป็นปีและรู้ดีว่าประตูนี้มีเพียงรอยนิ้วมือของเหว่ยคนเดียวเท่านั้นที่เปิดได้ แล้วผู้ชายคนนี้สนิทสนมกับพี่เหว่ยของเขาถึงขั้นไหนกันจึงเปิดเข้าออกห้องนี้ได้เหมือนเป็นห้องตัวเอง เมื่อคิดรวมกับบทสนทนาที่เขาได้ยินสองคนนี้คุยกันเหมือนคำตอบที่ได้จะชัดเจน แต่เขาไม่มีทางยอมรับ ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าชายคนนี้ได้เดินก้าวผ่านแซงหน้าเขาไปแล้ว ได้แย่งคนที่เขาหลงรักมาหลายปีไปเสียแล้ว















"มา! พี่เหว่ยผมช่วย"
       ร่างล่ำสันของมรรคเขยิบเข้ามาแนบชิดเหว่ยที่กำลังยืนหั่นมะเขือเทศอยู่ เขาไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะมรรคมักจะอ้อนเขาแบบนี้ตั้งแต่สมัยก่อน

"ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมช่วยเอง คุณชายไปล้างผักเถอะ"
       กรเดินเข้ามาแย่งมีดไปจากมือเหว่ยตัดหน้ามรรค เขาตั้งใจเน้นเสียงคำว่าคุณชายเพื่อเหน็บแนมมรรค และดูเหมือนมันจะได้ผล

       แขนยาวของมรรคยกขึ้นมาโอบไหล่เหว่ย ก่อนที่เขาจะทำไม่รู้ไม่เห็นและพูดประโยคหนึ่ง
"ก็พี่เหว่ยอยากให้ผมช่วยอยู่ตรงนี้ ใช่มั๊ยครับพี่เหว่ย"

       เหว่ยหันซ้ายหันขวามองหน้าทั้งสองคนและตัดสินใจพยักหน้า เขาขอเลือกที่จะไม่ขัดใจเด็กเอาแต่ใจคนนี้ดีกว่า มรรคเป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบอาละวาด เขาทำลายไมโครเวฟได้โดยไม่ต้องคิดขอเพียงแค่มีคนขัดใจเขาเท่านั้นแหละ และแม้เหว่ยจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นมรรคในโหมดดังกล่าวก็ตาม แต่จากที่เมย์เล่าให้ฟังหลายครั้งเขาก็อดหวั่นใจไม่ได้

       มรรคเอื้อมมือไปกระชากมีดคืนจากมือกรและส่งสีหน้าอย่างผู้มีชัยให้เขา กรขบริมฝีปากแน่นก่อนจะหันขวับมาจ้องหน้าเหว่ยด้วยสายตานิ่ง เหว่ยผู้ไม่ได้รู้สึกซักนิดว่ามีสนามรบเกิดขึ้นรอบๆตัวส่งยิ้มกลับไป แม้จะแปลกใจที่ไม่ได้รับยิ้มสว่างๆตอบจากกรเหมือนเคยแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก






"พี่เหว่ยลองชิมดู อ้ามมม"
       แตงโมชิ้นพอคำที่เตรียมไว้ทำเครื่องดื่มถูกมรรคยกขึ้นมาป้อนใส่ปากเหว่ย เขาอ้าปากเอาแตงโมเข้ามาทั้งชิ้นก่อนจะหัวเราะทั้งๆที่ในปากยังมีแตงโมอยู่

"ป้อนผมมั่งดิ"
       เหว่ยหยิบแตงโมขึ้นมาป้อนใส่ปากคืนให้มรรคก่อนที่พวกเขาจะหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอีกครั้ง กรที่เฝ้ามองอยู่ปล่อยตะหลิวให้ตกลงพื้นเสียงดัง กระนั้นเหว่ยก็ไม่ได้หันมาสนใจ เขายังคงหัวเราะคิกคักๆกับมรรคต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

















ฟ้า :นี่นังปล์าม ถ้าแกไม่มัวเลือกต่างหูนานขนาดนั้นมันก็ไม่ช้าแบบนี้หรอก

ปล์าม : นี่! นังฟ้า แกหุบปากไปเลยนะ แกนั่นแหละมากินข้าวกับไอ้เหว่ยแค่นี้แต่งตัวยังกะจะไปเล่นงิ้ว

เมย์ : กรี๊ดดดด หยุดเลยพวกแกทั้งสองคน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน

       ทั้งปล์ามและฟ้าเงียบก่อนจะหันมาทำหน้าเคร่งเครียดต่อ

เมย์ : ป่านนี้ไม่รู้ไอ้มรรคมันไปถึงรึยัง

ฟ้า : ฉันว่าถึงและแทรกตัวอยู่ระหว่างคุณกรกับไอ้เหว่ยเรียบร้อยละ

ปล์าม : เฮ้อออ! ฉันล่ะจะบ้าตาย

หยง : ผมว่าไม่หรอกมั้งครับ เดี๋ยวไปเห็นพี่เหว่ยกับคุณกรสวีทกันเค้าก็คงตัดใจไปเอง

เมย์ : โอยยย ไอ้หยงแกไม่รู้อะไร นิสัยนักเลงอย่างไอ้มรรคมันไม่หยุดแค่นั้นหรอก

หยง : นักเลงเลยหรอพี่

เมย์ : ใช่ มีกับไอ้เหว่ยคนเดียวเท่านั้นแหละที่มันไม่นักเลงด้วยน่ะ

ฟ้า : แล้วไอ้เหว่ยก็ดันบอกว่ามันน่ารักดี

หยง : น่ารัก!!?

ฟ้า : เฮ่ย ไม่ๆ ไม่ใช่ในความหมายแบบนั้น ที่หมายถึงคือแบบน้องชายอ่ะ

ปล์าม : ไอ้เหว่ยมันไม่คิดอะไรกับไอ้มรรคหรอก ก็แค่เอ็นดูแบบน้องชายน่ะ

เมย์ : แต่ไอ้มรรคนั่นแหละที่คิดไปถึงดาวยูเรนัสแล้วน่ะ

       หยงพยักหน้าแสดงความเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่ที่ยังไม่เข้าใจก็คือไอ้คำว่านักเลงเนี่ย มันนักเลงแบบไหนกัน หมายถึงอันธพาลทางกาย หรืออันธพาลทางใจกันล่ะ



(มีต่อ)

song2315

  • บุคคลทั่วไป
"คุณชายมรรค นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะครับ"

       กรพูดอย่างมีน้ำโหหลังมรรคโยนมะเขือเทศหั่นที่เอาไว้สำหรับทำสลัดลงมาในหม้อต้มจืด ก่อนหน้านี้เขาก็ทำให้อาหารหลายอย่างต้องเริ่มทำใหม่

"ก็ผมไม่รู๊ว ผมไม่เคยทำ"

       มรรคยักไหล่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากห้องครัวอย่างไร้ความรับผิดชอบ เขาแกล้งตะโกนเรียกชื่อเหว่ยที่กำลังจัดโต๊ะอาหารดังๆเพื่อทับถมกร
       กรกำหมัดแน่น พยายามควบคุมสติอารมณ์และยกหม้อต้มจืดลงมาเททิ้ง ถ้าต้องอยู่กับไอ้คุณชายมรรคเวรนี่นานไปกว่านี้ เขาเดาว่าจะต้องมีเรื่องชกต่อยระหว่างพวกเขาสองคนเกิดขึ้นแน่ แต่นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญในตอนนี้คือทำอย่างไรเขาจึงจะได้เหว่ยคืนมา




"พี่เหว่ย ขอกอดดิ๊"
       มรรคพูดเสียงออดอ้อนก่อนจะโอบเหว่ยจากด้านหลัง เหว่ยหัวเราะเบาๆก่อนจะส่ายหัว

"นี่มันสมัยไหนแล้วมรรค ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

"จะสมัยไหนก็เหมือนเดิมแหละพี่เหว่ย"

"ไม่เหมือนเว่ย ปล่อยๆพี่จะจัดโต๊ะ"

       ถึงกระนั้นก็ตามมรรคก็ไม่ได้ปล่อย เขากระชับอ้อมกอดเข้ามาอีกก่อนจะเริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงในการพูดคุย

"ดูผมตอนนี้ดิ สูงกว่าพี่แล้ว"

"ก็จริง เมื่อก่อนยังสูงแค่ไหล่พี่เอง"

"....ถ้าผมอยู่กับพี่ตลอด.......มันคงไม่ยุ่งยากแบบนี้"

       เหว่ยขมวดคิ้วกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่อาจเข้าใจของมรรค มรรคไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่มัธยมปลาย พึ่งกลับมาเมืองไทยได้ไม่ถึงปี ตอนนี้กำลังทดลองงานผู้บริหารที่บริษัทของครอบครัว มรรคเคยพูดว่าถ้าทุกอย่างลงตัวจะย้ายขึ้นมาอยู่เชียงใหม่เป็นเพื่อน แต่เขาคิดว่ามันเป็นคำพูดเล่นๆจึงไม่ได้ใส่ใจ หากแต่ครั้งนี้เหมือนมรรคจะไม่ได้พูดเล่นอย่างที่เขาคิด น้องชายเขาคนนี้กำลังมีบางอย่างแปลกๆไป

"มีอะไรไม่สบายใจเปล่ามรรค"

"มีครับ เต็มเลย โดยเฉพาะเรื่อง..."


       ~เคร้งง !!

       จานสองใบในมือกรหล่นลงพื้น เขาพึ่งเดินออกมาจากห้องครัวและไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะได้เห็นภาพตรงหน้า ภาพคนที่เขารักถูกชายอีกคนกอดอยู่ ไม่ได้มีแต่เพียงเขาเท่านั้นหรือที่สามารถกอดเหว่ยได้
       มรรคปล่อยมือจากเหว่ยอัตโนมัติ เหว่ยรีบวิ่งเข้าไปหากรด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเอ่ยปากถาม

"คุณกร! อย่าพึ่งขยับนะ เจ็บมั๊ย!"

"เจ็บ...เจ็บมากเลยล่ะ"

       เหว่ยก้มลงเก็บเศษจานกระเบื้อง กรยืนแข็งทื่อเป็นหินไม่ขยับเขยื้อน เหว่ยเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ากรที่ยืนนิ่งอยู่จากนั้นจึงเอ่ยถาม

"คุณกร เป็นอะไรรึเปล่า"

       ประโยคที่เหว่ยถามออกไปนั้นไม่ได้หมายถึงแผลหรอก หากแต่หมายถึงตัวเขานั่นแหละ

"เหอะ!"

       กรพูดสั้นๆก่อนจะก้าวเท้าข้ามเศษจานออกไป เขาเหลือบไปมองหน้ามรรคซึ่งยืนแสยะยิ้มอยู่ที่โต๊ะอาหาร ความโกรธเดือดปะทุตามเส้นเลือดของชายหนุ่ม เขากำหมัดแน่นแต่ก็ตัดสินใจเดินเบี่ยงไปทางห้องนั่งเล่น

"อ้าวว จะไปไหนครับคุณกร ไม่ไปทำต้มจืดใส่มะเขือเทศต่อหรอครับ"

       ร่างสูงหยุดกึกและพยายามระงับความโกรธไว้เต็มที่ เขากำลังจะทนต่อไปไม่ไหว เขากำลังจะหายใจไม่ออกเพราะความโกรธมันอัดอั้น เขาจะเอาความโกรธไปลงที่ไหนดี
       กรหันขวับไปทางด้านหลัง เหว่ยยืนหน้าเอ๋อมองเหตุการณ์ที่ดูไม่ค่อยปกติอยู่ ในมือเหว่ยถือเศษจานกระเบื้องที่แตกเป็นชิ้นใหญ่สองสามชิ้น
       ร่างสูงใหญ่ของกรเดินเข้าไปคว้าแขนเหว่ยอย่างแรง เศษกระเบื้องในมือของเหว่ยหล่นลงพื้นอีกครั้งและแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

"มานี่!!!!"  กรตวาดเสียงดัง
"คะ...คุณกร"

       ร่างสูงของเหว่ยถูกลากจนตัวปลิว มรรครีบปรีเข้ามาเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่เป็นตามที่เขาคาด กรไม่ได้วิ่งเข้ามาชกหน้าเขา แต่กลับเข้าไปกระชากแขนของเหว่ยแทน

"เฮ่ยๆๆ คุณจะทำอะไรคุณกร"
       ร่างสูงใหญ่ของมรรควิ่งตามมาติดๆแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว กรเหวี่ยงเหว่ยเข้าไปในห้องนอนก่อนที่จะตามเข้าไป ประตูบานใหญ่ถูกปิดเสียงดังปังต่อหน้าต่อตาของมรรค เขาพยายามบิดลูกบิดแต่ก็พบว่ามันล็อค ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด
       ในขณะที่เขากำลังจะง้างมือทุบบานประตูห้องนอนเสียงกริ่งเตือนว่ามีแขกมาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มชะงักก่อนจะตัดสินใจรีบวิ่งไปที่ประตู มรรคเปิดประตูอย่างไม่ลังเล




เมย์ : O_O ไอ้มรรค แกมา...
มรรค : ช่วย ช่วยพี่เหว่ย! เปิดประตู ไปเปิดประตูที

       มรรควิ่งเข้าไปเขย่าร่างพี่สาวรัวๆก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้ทุกคนถึงกับต้องแตกตื่น

หยง : อะไร!! พี่ผมทำไม
       หยงที่ดูจะตกใจที่สุดโพล่งถามชายที่เขาก็พึ่งเคยเจอหน้า

มรรค : ไอ้กร ไอ้เวรกรบ้านั่นมันกระชากพี่เหว่ยเหวี่ยงเข้าไปในห้องนอนแล้วล็อกประตู!

"......."
"......."
"......."
"......."


ปล์าม : เฮ้อออออออ โล่งอกไปที

       ปล์ามถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่ทุกคนจะเริ่มกลับมามีสีหน้ายิ้มแย้มไม่เว้นแม้แต่หยงซึ่งเป็นน้องชายของเหว่ยแท้ๆก็ยังยิ้มระรื่น

มรรค : โล่งอกบ้าอะไร พี่เมย์ พวกพี่มันบ้า!! บ้าไปแล้วใช่มั๊ย!!!

       มรรคกำลังจะออกตัววิ่งกลับไปที่ประตูห้องนอน หยงที่ยืนอยู่ใกล้สุดรีบปรี่เข้ามาขวาง เขาล็อคคอร่างสูงใหญ่จากด้านหลัง แม้ร่างกายของมรรคและเขาจะมีขนาดพอๆกันแต่แรงมหาศาลของมรรคก็ทำให้เขาถึงกับตัวลอย ยังดีที่กล้ามเนื้อจากการเล่นเวทของหยงพอจะมีประโยชน์บ้าง อย่างน้อยมันก็ล็อคคอชายผู้มีแรงมหาศาลนี้อย่างเหนียวหนึบ

หยง : พะ...พี่เมย์ ช่วยผมด้วย หมอนี่มันแรงเยอะชะมัด

มรรค : ปล่อย!! ปล่อยโว้ยยย

       มรรคร้องโวยลั่นก่อนที่ปล์ามและฟ้าจะรีบเข้ามาช่วยล็อคมรรคที่กำลังจะสติหลุด เมย์หันมาสั่งอย่างเร่งรีบ

เมย์ : พวกแก เอามันไปล็อคไว้กับเก้าอี้ ฉันจะไปหาเชือก

มรรค : เฮ่ยยย! หยุดนะ พี่จะทำบ้าอะไร! โถ่เว่ย!! ปล่อยสิวะไอ้ตี๋!

       เมย์รีบปรี่เข้าไปค้นหาเชือกที่ห้องเก็บของ หยง ฟ้า และปล์ามรีบลากตัวมรรคไปสตาฟไว้กับเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร

มรรค : ปล่อยสิวะ! ไอ้ตี๋นั่นมันพี่ชายแกนะเว่ย!!!

หยง : ก็เพราะนั่นเป็นพี่ชายผมไง ผมถึงต้องจับคุณไว้แบบนี้

มรรค : ทำไม!!!! ฉันมันไม่ดีตรงไหนฮะ!!!!!! ฉันมีอะไรสู้ไอ้ล่ำนั่นไม่ได้

หยง : ทุกอย่างเลยล่ะมั๊ง 
       หยงตอบเรียบๆ

       มรรคพ่นลมหายใจอย่างแรงเพื่อระบายความโกรธ คนอย่างเขานี่หรือไม่มีอะไรสู้ไอ้เวรกรนั่นได้ เขาเหนือกว่าไอ้นั่นทุกอย่าง

ปล์าม : แกตัดใจเถอะไอ้มรรค เค้ารักกัน

มรรค : ถ้าไอ้นั่นรักพี่เหว่ย มันจะทำรุนแรงแบบนั้นกับพี่เหว่ยทำไม!!

ฟ้า : โอ๊ยย ไอ้มรรค แกอย่าโง่ไปหน่อยเลย เวลาผัวฉันหึงมากๆมันก็ทำแบบนั้นแหละ

มรรค : แต่นั่นมันผัวพี่!!

ฟ้า : จะผัวใครก็เหมือนกันนั่นแหละ หรือถ้าแกไม่เชื่อจะให้ฉันถามตอนพวกนั้นออกมาจากห้องให้มั๊ย ถามว่าคุณกรคะ คุณกรเป็นผัวไอ้เหว่ยมั๊ยคะ
     ฟ้าลงท้ายประโยคด้วยเสียงกระแนะกระแหน

มรรค : โว้ยยยยยยบย!!!

       มรรคคำรามอย่างสุดจะทน และก่อนที่เขาจะตะโกนด้วยความโกรธเมย์ก็วิ่งมาพร้อมเชือกและกาวเทป เธอซีนกาวเทปรอบๆปากน้องชายเพื่อจะได้ไม่ต้องฟังเสียงบ่นหนวกหู
       พี่สาวแสนดีร้อยเชือกทบแล้วทบเล่าตรึงร่างบึกบึนของน้องชายกับเก้าอี้ เมื่อบ่วงรัดแน่นมากพอทุกคนก็ปล่อยการพันธนาการจากร่างมรรคและมาช่วยกันมัดทบตามที่ต่างๆเพื่อความหนาแน่นยิ่งขึ้น
       มรรคขยับไปมาได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น เขาถูกพัธนาการเต็มรูปแบบกับเก้าอี้ของโต๊ะทานอาหาร สามสาวกับอีกหนึ่งหนุ่มนั่งกับพื้นแล้วหายใจแฮ่กๆอย่างหมดแรง

เมย์ : เฮ้อออ ฉันจะบ้าตาย นี่ถ้าแกไม่ใช่น้องในไส้ฉัน ฉันฆ่าหั่นศพแกไปแล้วไอ้มรรค

       เมย์หันไปพูดกับน้องชายที่ตอนนี้สภาพดูไม่จืด ความหล่อเหลาของเขาถูกบดบังด้วยกาวเทปอย่างหนาสีเทา หุ่นหนาล่ำของเขาถูกเชือกเส้นเล็กบางใหญ่บ้างพันหลายตลบจนไม่ต่างจากแหนมหมูเท่าใดนัก

มรรค : อื้ออ อื้อ อื้อออออออ!

       เมย์ส่ายหัวให้กับน้องชายที่ยังไม่ยอมหมดแรง

หยง : แล้วปล่อยเฮียกับคุณกรไว้อย่างนั้นจะดีหรอครับ

ปล์าม : ดีมากๆเลยจ่ะ เผลอๆถ้าโชคดีอาจจะไม่ต้องใช้ยาที่แกเอามาก็ได้นะจ๊ะ

       ปล์ามพูดด้วยน้ำเสียงดัดจริตก่อนจะควักขวดยาสีใสที่มีเม็ดยาสีขาวหลายเม็ดอยู่ด้านในออกมายื่นคืนให้หยง
       หยงรับมาและใส่มันลงไปในกระเป๋าเสื้อเชิต

ฟ้า : ตอนนี้ระหว่างรอพวกนั้นออกมาจากห้องพวกเราจะทำไรดี

เมย์ : ทำกับข้าวไง ฉันเดาว่ามีกับข้าวหลายอย่างพินาศไปเพราะแก ใช่มะไอ้มรรค

       เมย์พูดเหวี่ยงๆก่อนจะกลับไปจบลงที่น้องชายตัวเองอีกครั้ง เธอลุกขึ้นยืนจากนั้นก็ดึงเพื่อนสาวอีกสองคนให้ลุกตาม

เมย์ : หยง แกเฝ้าไอ้เปรตนี่ไว้ ละก็เก็บเศษจานแตกตรงนั้นด้วย เดี๋ยวพวกฉันจะเข้าครัว

       หยงพยักหน้ารับเบาๆ สิ่งที่เขาได้รับมอบหมายคือเฝ้าก้อนแหนมมนุษย์ที่ไม่มีปากมีเสียงและเก็บเศษจานที่แตกเต็มพื้น มันดีกว่าต้องเข้าครัวเป็นไหนๆ ครัวเป็นที่ที่เขาเกลียดที่สุด หรือจะพูดว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความพินาศสันตะโรเลยก็ว่าได้

       หยงมองไปยังแหนมมนุษย์ที่ส่งสายตาอาฆาตมาหาเขาไม่มีกั๊ก เขาส่ายหัวเหนื่อยๆก่อนจะเดินไปเก็บเศษจานแตก

       หวังว่าวันนี้คงผ่านไป...ได้ด้วยดี









---------
ปัง!!!

       ร่างสูงของเหว่ยถูกเหวี่ยงอย่างแรงเข้ามาในห้อง เสียงประตูปิดดังสนั่นเกิดขึ้นตามมาแทบจะในทันที

  ตุบบ!

"อั๊ก"

       ร่างของเหว่ยเซถลาและล้มลงไปกับพื้น ความเย็นเฉียบจากกระเบื้องและความรู้สึกปวดหนึบๆแล่นเข้ามาพร้อมกัน เหว่ยไม่คิดจะจ้องกลับไปที่ผู้กระทำเขาซักนิด เขาเพียงแค่พลิกแขนขึ้นมาดู เห็นรอยแดงๆจากการกระแทกกับพื้นเมื่อครู่ เขาลูบมันได้เพียงสองสามครั้งก็...

"โอ๊ย"
       เขาหลุดร้องออกไปเมื่อแขนโดนกระชากขึ้นเหนือหัว

"ลุกขึ้น!"
"..."

       สายตานิ่งๆของเหว่ยจ้องสะท้อนกลับมายังกร ความเย็นเฉียบจากสายตาที่เคยยิ้มแย้มของกรทำให้เหว่ยเบือนหน้าหนี

"ผมบอกให้ลุกไง!"

       ร่างของเหว่ยค่อยๆพยุงตัวลุกช้าๆ แขนข้างหนึ่งของเขาถูกข้อมือหนาบีบไว้แน่น ถ้ามากกว่านี้อีกนิดกระดูกเขาอาจจะแหลกไปเลยก็ได้

"คุณกร ผมเจ็บ"

       เหว่ยตัดสินใจบอกออกไป อย่างน้อยกรคงจะเบามือลงบ้าง แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด มันไม่ได้ต่างจากเดิมเลยซักนิด

"ผมก็เจ็บ"

       แววตาเศร้าปรากฏเพียงแวบเดียวในดวงตาของกร ก่อนที่มันจะถูกกลบด้วยสายตาอันเกรี้ยวกราด เหว่ยไม่รู้หรอกว่าเขาจะโดนอะไรต่อไป ไม่รู้หรอกว่าเขาจะมีส่วนไหนต้องบาดเจ็บอีกหรือไม่ แต่เขาเคยชินกับสถานการณ์หมิ่นเหม่แบบนี้ดี เขาโดนแกล้ง หรือโดนรุมทำร้ายมาทั้งชีวิต แค่นี้มันธรรมดา

"อ๊ะ"
       เสียงสั้นๆหลุดออกมาจากปากเหว่ยหลังจากตัวเขาถูกกระชากเข้าไปหาร่างใหญ่ ไม่มีเสียงอะไรหลุดออกมาอีก ไม่มีความกลัว ไม่มีความรู้สึก

"คุณจะไม่พูดอะไรเลยใช่มั๊ย!" กรตวาด

       เหว่ยส่ายหัวเบาๆก่อนจะเอ่ยในลำคอ
"คุณจะทำอะไรก็ทำ"

       กรฉุนขาด เขาเกลียดที่เหว่ยนิ่งไม่สนใจเขา เกลียดที่เหว่ยไม่ถามอะไรเลยซักคำ ไม่ถามแม้กระทั่งเขาเป็นบ้าอะไร ทั้งๆที่เขากำลังจะบ้าตาย ทั้งๆที่ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เขาจะสามารถให้ความสนใจได้เท่าเหว่ยอีกแล้ว

"งั้นผมจะง้างปากคุณให้พูดเอง"

       หลังคำพูดนั้นจบ กรก็จับคอเสื้อคอโปโลของเหว่ยและฉีกกระชากออกเป็นสองซีก เสื้อคอโปโลสีเขียวอ่อนขาดเป็นทางยาวลงมาถึงสะดือ กระดุมเม็ดหนึ่งกระเด็นหลุดกลิ้งไปบนพื้น
       แม้เหว่ยจะตกใจไม่น้อยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ดีกว่าใครว่าการเงียบและยอมโดนแกล้งจะทำให้ทุกอย่างจบเร็วที่สุด เหว่ยคิดเช่นนั้นกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย แต่เขาได้ลืมคิดไปว่ากรนั้นอยู่นอกเหนือทฤษฎีของเขาทั้งหมด

"ถ้าคุณคิดว่าผมจะหยุดแค่เพราะคุณเงียบล่ะก็...ฝันเอา!"

       มือหนาของกรออกแรงกระชากฉีกเสื้ออีกครั้ง ครั้งนี้มันขาดออกจากกันอย่างแท้จริง

       ร่างของเหว่ยถูกผลักเข้าไปชิดมุมผนังห้อง เขาขยับไปด้านไหนก็ไม่ได้ มือหนานั้นเริ่มคุกคามเขา มันเริ่มต้นที่ยอดอกของเขา นิ้วหนาๆนั้นตวัดไปมาถี่รัว ความรู้สึกที่เขาไม่เคยพบเจอนี้ทำให้เขาต้องกัดฟันกรอดและพยายามขยับหนี
       การคุกคามเริ่มจากเพียงข้างเดียวมาเป็นสองข้าง นิ้วสากจากมือทั้งสองข้างของกรวนเวียนอยู่ที่ยอดอกของเขา

"อะ...ยะ...หยุด คุณกร หยุดผมขอร้อง"

       สายตาเกรี้ยวกราดตวัดขึ้นมามองเขาก่อนจะยิ้มอย่างมีชัย

"ไม่!!...จนกว่าผมจะได้..."

       ริมฝีปากหนาจรดลงที่คอของเหว่ย ลมหายใจร้อนๆกับไรสากๆของหนวดทำให้เหว่ยแทบยืนไม่อยู่ ความเจ็บแปลบเล็กๆเกิดขึ้นและทิ้งร่องรอยเอาไว้ ไม่รู้กี่ครั้งและไม่รู้กี่ที่บนตัวของเหว่ย ในที่สุดกรก็ยอมหยุด เขามองสำรวจผลงานตัวเองบนผิวท่อนบนขาวๆของเหว่ยและยิ้มอย่างพอใจ เหว่ยทำได้เพียงแค่หอบหายใจและเอาแขนขึ้นมากอดตัวเองไว้ เขามองไปบนร่างของตนและพบว่ามีรอยแดงๆเล็กๆมากมาย

"ผมเกลียดคุณ"
       คำพูดแผ่วเบาแต่ชัดเจนของเหว่ยทำให้กรถึงกับต้องหันขวับมามอง

"คุณไม่มีเวลาเกลียดผมหรอก"

       กรพูดกระแทกกระทั้นเสียงก่อนจะเบียดตัวเขามาหาร่างขาวๆที่มุมผนังและประกบจูบหนักหน่วงลงไป ลิ้นร้อนๆของกรดันผ่านเข้าไปในปากของเหว่ย มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งเหว่ยไม่เหลืออากาศจะหายใจ

"แฮ่กๆ ๆๆ แฮ่กก"

"เพราะเวลาจะหายใจคุณยังไม่มีเลย" กรพูดเย้ย

       เหว่ยเบือนหน้าหนีอย่างผู้ปราชัย เขาโกรธ เขาเดาการกระทำของผู้ชายคนนี้ไม่เคยออก เดาไม่ออกแม้กระทั่งตอนนี้ชายตรงหน้าจะทำอะไรต่อไป

"..."

"ถ้าคุณเข้าใกล้ไอ้คุณชายมรรคนั่นอีก ผมจะปล้ำคุณซะ"

"O_O"

"แล้วผมก็จะปล้ำคุณแล้วปล้ำคุณอีก"

"คะ..คุณบ้าไปแล้วรึไง มรรคน่ะเป็นน้องชะ..."

"เป็นอะไรก็ช่างผมไม่สน...แต่คุณ เป็น ของ ผม คน เดียว"

       เหว่ยมองตอบกลับด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะตอบเสียงเรียบ



"ผมจะไม่เป็นอะไรกับคุณทั้งนั้น"



"เป็น"
       กรสวนกลับเสียงเข้ม ก่อนจะเบียดร่างเข้ามาแนบเหว่ยอีกครั้ง



"อีกไม่กี่วันคุณก็จะไปแล้วกร มันจะจบลง" เหว่ยพูดเสียงแผ่ว

"ผมไม่ไป ผมมีบริษัทสาขาที่นี่ ผมเปลี่ยนมันเป็นสำนักงานใหญ่ได้"

       เหว่ยเบือนหน้าหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้มือใหญ่ๆของกรจับให้หันกลับมาจ้องหน้าเขา ดวงตาที่ฉายแววโกรธของกรหายไปแล้ว มันกลับมาเป็นแววตาปกติอีกครั้ง

"แต่ผมไม่ชิน...กับการรับอะไรจากคนอื่น คุณอย่า..."

"ผมจะทำ คุณห้ามผมไม่ได้หรอก" กรสวนทันควัน

"คุณกร" เหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลงๆ

"คุณก็แค่ให้ผมคืนบ้าง" กรพูดเสียงนุ่มพลางเอานิ้วลูบแก้มขาวๆของเหว่ย

"อย่างผมจะให้อะไรคุณได้" เหว่ยหลุบตาลงต่ำและพูดเสียงแผ่ว

"ได้สิ....ไม่ยากหรอก คุณก็แค่......สนใจและให้ความสำคัญกับผม   .....นี่ มองผมสิ"

"O_O"

"^...^"

"ผม...เอ่อ ผมจะพยายาม"


       ร่างหนาของกรดึงเอาร่างเปลือยท่อนบนของเหว่ยเข้ามาสวมกอด ความอบอุ่นที่มีถูกส่งมอบให้แก่กันเหมือนที่เคย




"เหว่ย...เจ็บมั๊ย ...ผมขอโทษ"   กรเอ่ยเบาๆที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

"ไม่หรอกครับ แต่คงเป็นรอยชัดเลยล่ะ"

"ผม..."

"ผมไม่โกรธคุณหรอก รู้สึกดีด้วยซ้ำที่อย่างน้อยคุณก็ไม่เหมือนพวกที่ชอบแกล้งผมสมัยก่อน"

"ไม่เหมือน ยังไง?"

"ก็คุณ ขอโทษผมไง"

       




       หลังจากนั้นทั้งสองก็ง่วนอยู่กับการทายาพักใหญ่ แขนขาวๆของเหว่ยเป็นรอยนิ้วบีบแดงเถือกตามที่คาด ขาข้างขวาเคล็ดนิดๆจากการหกล้ม มันไม่ได้เป็นอะไรมากและยังเดินได้ปกติ กระนั้นกรก็ยังบอกให้เหว่ยขี่หลังเขาตลอดเวลาและถ้าใครถามว่าเพราะอะไรก็ไม่ต้องตอบให้คอยพยักหน้าตามอย่างเดียว แม้เหว่ยจะไม่เข้าใจนักแต่ก็ยอมอย่างว่าง่าย
        กรนำเสื้อยืดคอกว้างสีขาวของเขามาสวมให้เหว่ย เขากะจะแสดงความเป็นเจ้าของให้เต็มที่ หากแต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรง เขาให้เหว่ยใส่เสื้อคอกว้างเพราะอยากใหัมรรคเห็นรอยที่เขาตีตราไว้นั่นเอง
















       ประตูห้องนอนของเหว่ยค่อยๆถูกแง้มออก เหว่ยขี่อยู่บนหลังกรเรียบร้อยแล้ว กรส่องมองซ้ายขวาและพบว่าว่างเปล่า น่าแปลกใจไม่น้อยที่คุณชายมรรคไม่พังประตูเข้ามา ไม่แม้แต่จะเคาะประตูเลยด้วยซ้ำ
       
"คุณว่าคุณชายมรรคหายไปไหน"  กรเอ่ยถามเหว่ยที่อยู่บนหลังเขา

"ไม่รู้สิ แปลกมากๆเลย"  เหว่ยตอบเรียบๆ


      พวกเขาอยู่ในห้องนอนกันเกือบสองชั่วโมงทั้งๆที่คิดว่าเวลาผ่านไปไม่น่าจะถึงสี่สิบนาที เดาว่าพวกเพื่อนๆของเหว่ยอาจจะมาถึงแล้ว และมรรคอาจจะไปช่วยพี่สาวตัวเองทำอาหารก็เป็นได้
       กรหอบเหว่ยบนหลังเดินมาเรื่อยๆๆจนถึงโต๊ะอาหาร พวกเขาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นหลุดจากที่ช่วยกันคาดเดาไปไกลนัก หยง น้องชายของเหว่ยกำลัง....








---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ตอนที่ห้าจบไปแล้ว กระซิกๆ  ดูจากการที่ผมเพิ่มเข้ามาอีกคู่คงจะยังจบไม่ลงง่ายๆ

ขอถามความเห็นเรื่อง ฉาก NC หน่อยได้หรือไม่ครับ ถ้าตอนหน้าผมจะขอใส่ฉากNC ลงไป
จะรับกันได้ถึงระดับไหนครับจากระดับ 1-10   คือไม่ได้ใส่เพื่อสนองนี๊ดตัวเองนะ(ถึงจะลึกๆก็เถอะ555)
มันจำเป็นต่อการดำเนินเรื่องอย่างมากครับผม

โอเค สุดท้ายนี้ขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆคนเลยนะครับ

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
จัดไปครับ ขอ NC สักตอนงามๆ ตามมานานละรอแล้วรออีกเมื่อไหร่จะมาต่อ ในที่สุดก็มา หุหุดีใจจัง
หยงกับมรรคเอามันคู่กันเลยได้มะครับ จะได้หมดปัญหาสักที  :hao6:
(ปล.เรื่องนี้มีแต่กล้ามชนกล้าม หุหุ จะบอกว่า ชอบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :hao7:)

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
พาท่านเหว่ยมาส่งได้แล้วก๊าบบบ คิดถึง -*- :ling3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด