[Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)  (อ่าน 30200 ครั้ง)

song2315

  • บุคคลทั่วไป

ตอนที่ 8 ชื่อตอนว่า.  Resume. ครับผม.

       ขออภัยมาเป็นอย่างสูงนะครับบบ. เง้อออ ชีวิตเด็กมหาลัยต้องสู้ ปี 1 ของผมได้ผ่านไปแล้วครับ ที่ผมหายไปเพราะสอบกฎหมายค่อนข้างต้องทุ่มเทเวลาในการอ่านหนังสือหนักมากทีเดียวครับ งานเขียนฝั่งนี้เลยพลอยต้องดองไว้  (จิงๆแล้วเหตุผลที่ร่ายมาก็แค่เพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นเท่านั้นแหละครับ 555555).
       ตั้งแต่หลังสอบเสร็จมาอาทิตย์นึงผมก็เขียนบทที่แปดจบแล้วนะครับ แต่ยังไม่ได้เกลา ขอเวลาเกลาแปปนึงนะครับ กิๆ แวะเข้ามาดูแล้วมันอดจะส่งข่าวไม่ได้ครับ พรุ่งนี้ค่ำๆผมจะเอาลงให้ได้อ่านกันนะครับ ขอโทษจริงๆคร้าบบบที่หายไปแบบหายหัว

       เจอกัน 25 มี.ค.  นะครับพ้มมม



ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
เพิ่งได้อ่าน 

สนุกดี  +1 รอ

song2315

  • บุคคลทั่วไป

    >>ระวัง NC ด้วย แต่ไม่รู้อยู่ตรงไหนนะ หาเอา 555555<<



008 : Resume (ก้าวต่อไป)



By กร

       ผมนั่งมองดูเหว่ยก่อปราสาททรายโดยใช้กระป๋องอาหารเปล่าที่กินไปเมื่อวาน ผมไม่รู้หรอกว่าในโลกนี้จะมีใครที่เซ็กซี่กว่านี้ได้อีกรึเปล่า แต่สำหรับผมตอนนี้ คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นนั่นแหละเซ็กซี่ที่สุด ท่านั่งแบบนั่น แขนขาวๆแบบนั้น พับแขนเสื้อขึ้นไปแบบนั้น เหงื่อพรมไปตามตัวแบบนั้น นั่นมันยั่วกันชัดๆ ผมอยากจะวิ่งเข้าไปกัดแขนที่มีกล้ามลีนๆนั่นให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ผมกำลังโกรธเขาอยู่ล่ะก็
       ใช่!! ไม่ต้องสงสัยไปหรอก หลังจากคุยกันดีๆได้ไม่ถึงสามชั่วโมงตอนเย็นเมื่อวานผมก็ดันหงุดหงิดที่อยู่ๆเหว่ยก็พูดว่า
     'คิดถึงมรรคจังเลย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง'
       จะพูดอะไรออกมาทั้งทีแทนที่จะเกี่ยวกับผมดันกลายเป็นไอ้คุณชายเวรนั่น แน่นอนว่าผมอาละวาดไปฉาดใหญ่ และจบลงด้วยการพูดประโยคฆ่าตัวตายว่า
       'ผมจะไม่คุยกับคุณอีกแล้ว'
       ไอ้ตอนพูดก็ลืมคิดไปว่าถ้าจะแข่งกันเรื่องความเงียบล่ะก็ ให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางชนะเหว่ยได้

       ตอนนี้ผมกำลังจะบ้าตายเพราะความเงียบน่าอึดอัดแบบนี้ พวกเราไม่พูดอะไรกันเลยตั้งแต่สองทุ่มเมื่อวานจนถึงวันนี้ที่อีกยี่สิบนาทีจะเที่ยง และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมอยากจะตะโกนดังๆออกมาแค่ไหนที่ไม่มีเหว่ยอยู่ในอ้อมแขนก่อนนอนเมื่อคืน ผมพยายามทำทุกอย่างเสียงดังๆเพื่อเรียกร้องความสนใจแล้วด้วย   ใช่!  แล้วผมก็ไม่ได้รับความสนใจอะไรทั้งนั้นแหละ
       ในตอนนี้ผมเหมือนปรอทที่ค่อยๆปะทุขึ้นจนเกือบจะถึงจุดแตกหัก ผมมองใบหน้าขาวสะท้อนแสงที่มีแก้มชมพูระเรื่อยิ้มนิดๆเมื่อก่อปราสราททรายสูงขึ้นอีกชั้นได้สำเร็จ ผมมองมือกับแขนขาวๆที่โกยทรายเข้าไปในพิมพ์ ยิ่งมองเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้ตัวเองมากเท่านั้น เหว่ยยิ้มมีความสุขในความเงียบและอึดอัดนี้ได้ ในขณะที่ผมกำลังจะระเบิดเพราะมัน ...ผมทนไม่ไหวแล้วโว้ยยย



"โว้ยยยย!!!!"



       ผมลุกขึ้นแล้วตะโกนสุดเสียงก่อนจะเตะทรายที่ปลายเท้าลอยฟุ้งกระจายขึ้นไปบนอากาศ ถึงวิธีเงียบจะแพ้แต่ถ้าวิธีโหวกเหวกโวยวายล่ะก็ผมมั่นใจร้อยละหมื่นว่าชนะแน่
       เหว่ยสะดุ้งเพราะเสียงตะโกนของผมจนทำกระป๋องทูน่าเปล่าหลุดมือ เขาหันมาทางผม สายตานิ่งๆนั้นจ้องผมด้วยความสงสัยมากกว่าตื่นกลัว เขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองซักพักแล้วก็ก้มกลับลงไปหยิบกระป๋องบนพื้นทราย ก่อนจะหันกลับไปเล่นต่อเหมือนผมไม่ได้ยืนอยู่ที่ตรงนี้
       มันเหมือนเส้นด้ายที่ขาดผึง ความอดทนผมหมดลงในที่สุด ผมย่ำรัวๆเข้าไปหาเหว่ยอย่างรวดเร็วแล้วกระชากข้อมือเขาขึ้นมา


"อ๊ะ!!"  เขาส่งเสียงสั้นๆ


      ยอดปราสาททรายที่กำลังถูกก่ออีกชั้นพังลง กระป๋องทูน่าปลิวหลุดจากมือเหว่ยไปตามแรงเหวี่ยงจากมือผม เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมด้วยใบหน้านิ่งๆเช่นเคย ทว่าผมมองออก มีผมคนเดียวนี่แหละที่มองออกว่ามีแววความตื่นตกใจปนอยู่ในสีหน้านั้น
       ผมใช้เท้าซ้ายเสยปราสาททรายแตกกระจายพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ เหว่ยมองการกระทำของผมอึ้งๆก่อนจะหันหน้าขวับขึ้นมามองผมอีกครั้ง ผมรู้ ใบหน้านั้นมันเริ่มแฝงไปด้วยแววความโกรธ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าเหว่ยอย่างรวดเร็วแล้วดึงร่างนั้นเข้ามาประกบบดริมฝีปาก อาจเพราะด้วยความตกใจและความกระทันหันผมจึงผ่านเข้าไปรุกรานได้อย่างง่ายดาย การตอบสนองที่แข็งทื่อไร้เดียงสาแบบนั้นทำให้ผมกระหยิ่มใจที่จะแกล้งร่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาทำให้ผมหงุดหงิดได้ด้วยการเงียบล่ะก็ ผมก็จะรุกรานเขาด้วยการกระทำป่าเถื่อนเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็...หายกัน

'อะ อะ ..'

       ผมยอมถอนจูบออกปล่อยให้เขาหายใจไม่ถึงห้าวินาทีก่อนจะประกบริมฝีปากทับกลับเข้าไปอีก อีก และอีก ร่างแข็งทื่อนั้นค่อยๆอ่อนยวบลงและลงมาอยู่ในอ้อมแขนผมอย่างสมบูรณ์ เมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายชนะผมจึงยอมละริมฝีปากออกจริงๆในที่สุด

"แฮ่กก แฮ่ก ...ปะ...ปล่อย    ผม"

       เสียงทุ้มสั่นแทรกช่วงลมหายใจที่เหนื่อยหอบออกมาประท้วงผม

"ไม่!! ผมยังเอาคืนคุณไม่สาสมเลย!" ผมตอบพร้อมกระชับวงแขน

"อะ...เอาคืน...ผมไปทำอะไรให้คุณ" เหว่ยพูดเสียงแผ่วก่อนจะพยายามปรับการหายใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ

"คุณ ทำให้ผมโกรธ...มาก!"

       เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าสงสัยงุนงงก่อนจะพูด

"ผมไม่ได้ทำอะไร ผมอยู่ของผมเฉยๆ"

"..."

       ผมกระชับอ้อมแขนรัดแน่นเข้ามาอีกโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ยิ่งเขาไม่รู้เลยว่าผมหงุดหงิดเพราะอะไรแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมโกรธ เมื่อไหร่เขาจะรู้ซักทีว่าผมต้องการให้เขาสนใจ แค่สนใจผมให้มากกว่าคนอื่นแค่นี้มันยากนักรึไง ผมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกเรื่อยๆ มือขาวๆนั่นพยายามดันผมออกสุดแรงแต่ก็ไม่เป็นผลเท่าใดนัก

"ฮึบบ ..." เหว่ยส่งเสียงสั้นๆพร้อมพยายามผลักผมอีกครั้ง

"คุณนี่กล้ามใหญ่ซะเปล่า มีแรงแค่นี้หรอ" ผมเค่นเสียงล้อเลียน

"คุณกร!" 
       เหว่ยจ้องผมตาขวางและเอ่ยด้วยเสียงทุ้มกว่าปกติ มันเป็นสัญญานว่าเขาโกรธผมจริงๆเสียแล้ว แล้วก็คงโกรธมากซะด้วย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกผิดหรือว่ากลัวอะไรหรอก

"อะไร...ฮะ! คุณคิดว่าทำหน้าแบบนั้นแล้วผมจะกลัวเหมือนคนอื่นๆสินะ"  ผมพูดเค้นเสียงเย้ยหยันอีกครั้ง

       เหว่ยหายใจฮึดฮัดแล้วพยายามใช้แรงทั้งหมดแกะแขนผมออก ซึ่งมันก็จะไม่เป็นไรหรอกถ้าเขาไม่...


"อ๊ากกกกกกกกก!!" ผมร้องออกมาสุดเสียง



       ...ถ้าเขาไม่กัดผม ไม่รู้มีฟันกี่ซี่ฝังลงไปบนแขนของผม ผมรู้แต่ว่ามันเจ็บ ถึงกระนั้นผมก็ยังใจสู้ไม่ยอมปล่อยแขนข้างนั้นจากเหว่ย ผมเอามืออีกข้างยกขึ้นมาบีบจมูกของเขาให้เขาไม่มีทางหายใจ จนในที่สุดเขาก็จำต้องถอนเขี้ยวออกจากแขนผมแล้วหายใจทางปากพะงาบๆ

"อ่อย อะ อูก อ๋ม อ้ะ" (ปล่อยจมูกผมนะ)

"ไม่!!"

"อ๋ม เอียด อุน" (ผมเกลียดคุณ)

"เกลียดหรอ! ฮะ!! เกลียดใช่มั๊ยย!!" ผมตะคอก

"อะ!..."

       ผมปล่อยมือออกจากจมูกเหว่ยและผลักเขาลงไปนอนบนพื้นทรายโดยใช้ร่างทับตัวเขาเพื่อพันธนาการเขาไว้ไม่ให้ขยับหนีไปได้

"คุณ! จะโดนผมปล้ำในอีกสามสิบวินาที" ผมเอ่ยเสียงดัง

"คุณหยุดบ้า!ได้แล้วคุณกร" เหว่ยเองก็โตักลับเสียงแข็ง

"ถ้างั้นคุณก็สนใจผมสิ คุยกับผมสิ! คุณชอบมากรึไงเงียบเหมือนเป็นไบ้แบบนี้น่ะ ฮะ!!" ผมตะคอกอีกครั้ง

"ผะ ผม...ก็ผมไม่รู้จะพูดอะไร...ผมพูด...ไม่เก่ง"  เขาพูดเสียงอ่อนลงและตะกุกตะกัก

"ก็พยายาสิ! คุณอยากอยู่บนโลกคนเดียวรึไง ฮะ!!!!!"  ผมยังคงไม่ลดเสียงตะคอก

"..."

"พูดสิ!! เงียบทำไมล่ะ พูด!!!!"  ผมตะคอกอีกครั้ง

"...อะ"

"อะไร!!!...ผมบอกให้พูดไง!! พูด!!"

"...."

       แม้สิ้นเสียงตะคอกของผมก็หาได้มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้น ดวงตาดำขลับยังจ้องมองผมนิ่งด้วยแววตาที่ผมไม่สามารถถอดความได้ จนที่สุดเปลือกตานั้นก็ค่อยๆพับลงเหมือนไม่อยากเห็นหน้าผมอีกต่อไป แม้กระทั่งตอนที่เปลือกตาพับลงไปแล้วเขาก็ยังเบือนหน้าหนีผมเหมือนไม่อยากให้ผมจ้องลงไปตรงๆ ริมฝีปากบางหนีบเม้มเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าผมเป็นตัวน่ารังเกียจสำหรับเขา มือผมที่จับแขนเขาอยู่บีบแน่นจนผมเองก็รู้สึกปวดหนึบๆไปด้วย แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีเสียงใดๆหลุดเร้นออกมาจากเหว่ย ผมโกรธ โกรธจนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเงียบ


"ถ้าคุณไม่พูดอะไร ผมจะปล้ำคุณ" ผมเอ่ยตัดเสียงรอบข้างที่ตอนนี้เงียบจนน่าใจหาย


       ผ่านไปซักพัก ในที่สุดใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ค่อยๆหันมาพร้อมเปลือกตาที่ค่อยๆเปิดขึ้นอีกครั้ง ทว่าผมก็ไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงคลื่นของทะเลเช่นเดิม   เขายังคงนิ่งเงียบ

       ผมได้แต่กลั้นใจและมอง รอว่าเขาจะพูดอะไร   สิ่งที่ผมเห็นก็คือเขาพยายามจ้องตาผม เขาอ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆออกมา ดวงตาดำขลับแฝงเร้นไปด้วยอารมณ์ที่ผมเดาไม่ถูก และในที่สุดน้ำตาของเขาก็ล้นขอบตาออกมา ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงแค่น้ำตาที่ไหลอาบ มีแค่นั้นจริงๆ

        ผมตกใจ


"เหว่ย...เอ่อ ผม..." 
       ผมคลายแรงบีบที่แขนเขาออก อยู่ๆความโกรธที่ทั้นร่างผมจากทุกทิศทุกทางก็ปลิวหายไป มีความรู้สึกเบาโหวงบางอย่างไหลเข้ามาแทน

"...."

"ผม...ผม" 

       ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นน้ำตาของเหว่ย เขาส่ายหัวให้ผมเบาๆเป็นเชิงว่าช่างมันเถอะ ผมผละตัวออกจากตัวเขาและดึงร่างเขาให้ลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นผมก็นั่งลงข้างๆเขา ข้างหน้าพวกเรามีซากปราสาททรายที่ถล่มลงด้วยฝีมือผมเอง ถัดไปไม่ไกลก็มีกระป๋องทูน่าเปล่านอนแอ้งแม้ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ความผิดของผมทั้งนั้น ผมจึงไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวเหว่ย ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำขอโทษหรือกระทั่งหายใจแรงๆ ผมได้แต่นั่งรอนิ่งๆและหวังว่าเหว่ยจะพูดอะไรซักอย่าง อะไรก็ได้




       10 นาที




       20 นาที




       30 นาที






       ยังไม่มีการเอ่ยใดๆ

       ผมมองไปรอบๆตัว แดดวันนี้ไม่ร้อน เป็นแดดอุ่นๆเหมือนกับเมื่อวานนี้ ทะเลสีน้ำเงินเข้ากันดีกับท้องฟ้าสีฟ้าเข้มที่มีเมฆขาวๆลอยไปทั่ว ทุกอย่างดูกำลังสดใสไม่เว้นแม้แต่พื้นทรายละเอียดสีเนื้อบนเกาะนี้ มันช่างขัดกับผมที่กำลังจะหดเหลือเท่ากระป๋องทูน่าที่นอนแอ้งแม้งอยู่ด้านหน้าตัวเอง ผมก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมเอานิ้ววาดวงกลมเล่นที่พื้นทรายซ้ำๆเหมือนเด็กหงอยที่ถูกพ่อแม่กักบริเวณ และไม่ว่าใครจะพูดยังไง ผมคิดว่าผมนั่งจิ้มทรายอยู่อย่างนั้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงแน่ๆ

       ในขณะที่ผมกำลังรวบรวมความกล้าที่จะหันไปหาเหว่ย (ใช่! ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้าไป) เหว่ยก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นเบาๆ


"ผมเคยพูดได้....ปกติ..."


       ผมหันขวับไปหาเขาทันทีที่ได้ยินเสียง เขาไม่ได้ร้องไห้แล้ว ใบหน้าเขาดูปกติดี (ก็ปกติแบบเหว่ยน่ะนะ) ผมอ้าปากเตรียมจะพูด แต่ก็พึ่งนึกออกตอนอ้าปากไปแล้วว่ายังไม่ได้คิดว่าจะพูดอะไรดี เหว่ยจ้องผมนิ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆอีกครั้ง

"คุณอยากฟังรึเปล่า...เรื่องของผม"

       ผมงับปากลงตามเดิมก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก ผมขยับเข้าไปนั่งชิดเขามากขึ้นจากนั้นก็ชันเข่าขึ้นมากอด ผมเลือกที่จะไม่มองหน้าเหว่ยและหันหน้าออกสู่ทะเลแทน มันคงดีกว่าถ้าเขาจะเล่าเรื่องโดยที่ไม่ต้องมาพะวงกับเรื่องมองหน้า ผมคิดแบบนั้นน่ะนะ



       แล้วเหว่ยก็เริ่มเล่าเรื่อง


"ตอนผมเจ็ดขวบ ม๊ากับป๊าทะเลาะกัน.....ทะเลาะหนักมากเลย"

"..."

"ม๊าหอบผมกลับไปเมืองจีนด้วย...ตอนนั้นผมสิ้นหวัง...ไม่รู้สิ ผมผิดหวังที่คอบครัวเป็นแบบนี้ ผมคิดถึงป๊า คิดถึงน้อง คิดถึงทุกๆคนที่บ้าน แต่ผมก็ทิ้งม๊าไม่ได้...ม๊ามีแค่ผม..."

"..."

"คุณรู้นึเปล่าผมน่ะ...อยู่เมืองจีนกับม๊าสองปี กว่าป๊าจะตามหาพวกเราเจอ..."
       
"..."

"ระหว่างอยู่ที่นั่นสองปี ผมเข้าโรงเรียนประถม...โดยที่พูดภาษาจีนไม่ได้ซักคำเลย"

"..."

"เพื่อนๆหาว่าผมเป็นไบ้ แต่จริงๆผมก็แค่ไม่รู้จะพูดอะไร ฟังใครก็ไม่รู้เรื่องเท่านั้น"

"..."

"ทุกๆวัน ผมได้พูดแค่กับม๊าตอนกลับจากโรงเรียน...แค่นั่นจริงๆ...ทุกๆครั้งผมจะยิ้ม...อย่างน้อยวันนึงผมก็มีโอกาสได้ยิ้มกับเค้าบ้าง"
       เหว่ยพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นมันเศร้าจนจับขั้วหัวใจ หากแต่เมื่อผมลอบใช้หางตามองเขาก็พบว่า มีรอยยิ้มบางๆปรากฏอยู่ ผมเดาว่าบางทีการได้คุยกับม๊าตอนกลับจากโรงเรียนอาจจะเป็นความสุขเดียวของเขาในวันหนึ่งๆ เป็นความสุขเดียวที่หาได้ในสถานการณ์แบบนั้น

"..."

"ผมฝึกพูดอยู่หลายเดือนทั้งภาษาอังกฤษแล้วก็จีน ผมดีใจมากตอนที่ตัวเองเริ่มฟังออกแล้วก็เริ่มพูดได้...แต่ว่าา..."

"..."

"แต่ถึงตอนนั้นเพื่อนที่โรงเรียนก็ไม่มีใครอยากพูดกับผมแล้ว ไม่มีใครอยากเล่นกับผม...พวกเค้าคิดว่าผมเป็น....เด็กโรคจิต..."
       พอเขาพูดจบประโยคนี้ก็เว้นช่วงนานจนน่าใจหาย ผมรออย่างใจจดใจจ่อว่าเขาจะเล่าอะไรต่อ แม้ในใจผมจะคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรสะเทือนใจไปมากกว่านี้แล้วแต่ท่าทีของเหว่ยกลับดูเหมือนอยากพูดอะไร ผมจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร จริงๆก็เพราะผมพูดอะไรไม่ออกด้วย

"..."

       ในที่สุดเหว่ยก็เริ่มพูดต่อ

"วันนึง...พวกเค้ามัดผมกับม้าหมุนในสนามเด็กเล่น เอาสีเทียนเขียนเสื้อผมเป็นภาษาจีนว่า'ไอัคนไบ้' แล้วก็บังคับให้ผมพูด....ผมรู้ว่าควรจะต้องพูดอะไรออกไปซักอย่าง...แต่ผมก็กลัว...กลัวว่าถ้าพูดผิดก็จะถูกหัวเราะเยาะเหมือนเดิม...ผมได้แต่อ้าปาก...ค้างอยู่อย่างนั้น...แล้วน้ำตาผมก็ไหลอาบ...ไหลไม่หยุดเลย..."

       ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเล่าถึงตรงนี้ รู้สึกเหมือนตัวเองพึ่งโดนตบหน้าเข้าไปฉาดใหญ่ ความรู้สึกผิดมากมายวิ่งวนไปมาในหัวผมจนยุ่งเหยิงไปหมด เมื่อกี้ผมทำอะไรลงไป ทำไปโดยไม่รู้เลยซักนิดว่ามันทำร้ายเหว่ยมากขนาดไหน



"เหว่ย...ผม...ขอโทษ...เมื่อกี้...ผม..."
       ผมหันมาหาเหว่ยก่อนจะพบว่าตัวเองไม่มีสมาธิพอจะพูดให้เป็นประโยคด้วยซ้ำ เขาส่ายหัวเบาๆและยิ้มเจื่อนๆให้ผมบอกเป็นเชิงว่า ไม่เป็นไร


"ไม่เป็นไรหรอกครับ" เขาพูดเบาๆ รอยยิ้มเจื่อนๆนั้นยิ่งทำให้ผมอยากกอดเขา

"..."  แต่ผมก็เลือกที่จะนิ่งและฟังเขาพูดต่อ


"...เย็นวันนั้น ผมกลับมาจากโรงเรียน ม๊าตกใจมากที่สภาพผมเหมือนเด็กข้างถนน มีสีเทียนเขียนคำหยาบที่เสื้อ ที่หน้ามีสีเมจิกวาดเหมือนตัวตลก...ผมตอบคำถามที่ม๊าถามไม่ได้ซักคำ...ได้แต่ส่ายหัว ร้องไห้ แล้วก็พูดว่าไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรครับ"

"..."

"ม๊ากอดผม...ลูบหัว...แล้วจากนั้นก็ไม่ให้ผมไปโรงเรียนอีก"

"..."

"ผมกลายเป็นเด็กโฮมสคูล์ เรียนกับครูที่ม๊าจ้างมาสอน ไม่เคยมีเพื่อนอีกเลย"

"..."

"กว่าป๊าจะตามหาพวกเราเจอ ผมก็กลายเป็นคนละคนแล้ว...พูดน้อย ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ชอบอยู่คนเดียว"

"..."

"ผมมีเพื่อนอยู่สามคนที่สนิทกันก่อนที่ผมจะไปเมืองจีนกับม๊า โชคดีที่ทุกวันนี้พวกนั้นก็ยังเป็นเพื่อนผมอยู่...ก็สามคนที่เอาเรามาปล่อยเกาะนั่นแหละครับ"

"..."

"นะ...นี่แหละครับ เรื่องของผม"  เขาพูดพร้อมมองออกไปยังผืนทะเล แววตาเหมือนจดจ้องบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ไกลเกินจะมองเห็น



"เหว่ย ผม...เอ่อ"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ"  เขาหันมายิ้มจางๆแล้วตอบสั้นๆ

"ผม...ให้ผมกอดคุณได้มั๊ย"

       ไม่มีคำพูดใดๆจากเขา มีเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ ดูเหมือนผมก็คงไม่มีคำพูดใดๆจะเอ่ยเช่นกัน ผมลุกขึ้นยืนแล้วดึงเขาให้ลุกตาม ผมเดินเข้าไปสวมกอดเขา หวังว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกของผมที่ตอนนี้อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ หวังว่าเขาจะเข้าใจมันได้ผ่านทางอ้อมกอดนี้
       เขาค่อยๆกอดตอบผมแล้วเอาคางมาเกยที่ไหล่ ผมลูบหัวเขาเบาๆ


"ผมขอโทษนะเหว่ย...แล้วก็ขอบคุณที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง"

       ผมตัดสินใจพูดคำขอโทษพร้อมคำขอบคุณออกไป


"ครับ"


       เขาตอบกลับมา

       ดูเหมือนเขาจะพูดแค่นั้น...

       ...ไม่สิ!!... ต้องบอกว่า แค่นั้นผมก็เข้าใจ





                       มีต่อ




song2315

  • บุคคลทั่วไป

สามชั่วโมงผ่านไป
-----------------------------------------

"คุณกร ผมว่าคุณกินน้ำมากไปแล้วนะ"

       เหว่ยพูดปรามเมื่อผมพึ่งละจากน้ำขวดที่สาม แล้วลงไปนอนแผ่กับพื้นทราย ผมยิ้มแหยๆให้เหว่ยก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าผาก

"ผมร้อนมากเลย ไม่รู้ทำไม"

       ผมตอบเหว่ยไปตามจริงก่อนจะสปริงตัวกลับลุกขึ้นนั่ง เขามองหน้าผมงงๆ

"ผมว่ามันก็ไม่ได้ร้อนขนาดนั้นนะ"

       เขาพูดพร้อมชี้นิ้วมาที่เสื้อกล้ามสีเทาของผม ตอนนี้มันเปียกเหงื่อจนเหมือนเอาไปชุบน้ำมาก็ไม่ปาน

"แหะๆ" ผมหัวเราะเบาๆแก้เก้อ

"คุณไม่สบายรึเปล่า..."

       เหว่ยพูดพร้อมทำตาโตเหมือนตกใจก่อนจะรีบปรี่เข้ามาพร้อมกับเอามือทาบหน้าผากผม เขานิ่งไปพักนึงก่อนจะเอ่ย

"อ่าวว ไม่เห็นร้อนเลย" เขาพูดเสียงเรียบ

"แต่ผมร้อนนะ! ร้อนจะตายอยู่แล้วเนี่ย" ผมพูดประท้วง

       เขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะทำท่าครุ่นคิด หน้าของเขาอยู่ห่างจากผมไปไม่ถึงสองฟุต ลมหายใจอุ่นๆของเขาแผ่มาถึงผมทำให้รู้สึกจั๊กจี้ไปตามผิวหนัง ทำไมยิ่งมองใกล้ๆเหว่ยถึงยิ่งน่า...จูบขนาดนี้

"ผมว่า คุณลองไปแช่น้ำดูดีมั๊ย" เหว่ยเสนอ

       ผมยิ้มกว้างให้กับคำแนะนำนั้นก่อนที่จะประมวลอะไรต่างๆนาๆในหัวอย่างรวดเร็ว ผมมองไปที่เสื้อคอโปโลตัวที่อยู่บนร่างของเหว่ยพลางแสยะยิ้มในใจ

       'แกจะต้องหายไปจากโลกนี้ไอัเสื้อคอโปโลงี่เง่า แล้วจากนั้นก็แกไอ้กางเกงเส็งเคร็ง แล้วจากนั้นก็...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า'

       ผมยิ้มตาหยีให้เหว่ยอีกครั้งหลังลั่นความคิดแบบชั่วร้ายอยู่ในหัว ดูเหมือนอยู่ดีๆผมก็จะมีแรงทำนู่นทำนี่ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ


"คุณก็ไปแช่ด้วยกันสิ...ถอดเสื้อเลยๆๆๆ"

       ผมพูดอย่างกระตือรือร้นแล้วลุกขึ้นยืนกระโดดโหยงเหยง เหว่ยมองผมงงๆเช่นเคยก่อนจะลุกขึ้นมา เขาปัดฝุ่นที่กางเกงพลางพูดเรียบๆ

"ไม่ต้องถอดก็ได้ครับ แช่ทั้งชุดนี่แหละ"

"ไม่ได้!!" ผมหลุดปากค้านเสียงดัง


       เหว่ยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะมองผมหวั่นๆ ผมเอามือเกาหัวแกรกๆก่อนจะพูดตะกุกตะกัก

"เอ่ออ...ผมม หมายความว่าถ้าคุณไม่ถอดผมก็จะอดดู...เอ้ย"

"อะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ชัดเลย" เหว่ยถามย้ำพลางเอียงหูและเดินเข้ามาใกล้ผม

"อะ...อ้ออ ผมพูดว่า ถ้าคุณไม่ถอดเสื้อมันก็เปียกแล้วคุณก็ไม่มีเสื้อใส่สิ...เอ้ย"

"ออออ ใช่! จริงด้วย...ผมมีเสื้อตัวเดียว"

       ผมพยักหน้าหงึกหงักพลางยิ้มแก้มปริเพื่อกลบเกลื่อนเจตนาแอบแฝงของตัวเอง เหว่ยมองออกไปที่ชายหาดสลับกับมองผมที่ยืนเหงื่อซกลิ้นห้อยอยู่พลางถอนหายใจ

"เฮ้อออ...โอเค แปปนึงนะครับ"

       เหว่ยพูดพลางเดินกลับเข้าไปใต้ต้นไม้ที่พวกเราใช้เป็นที่นอน ก่อนจะถอดเสื้อออกแล้วผึ่งไว้กับกิ่งต้นไม้ ผมไม่อาจละสายตาจากร่างขาวๆนั้นได้เลย ท่อนบนที่มีกล้ามเนื้อลีนได้รูปแสดงให้เห็นว่าเหว่ยเข้าฟิตเนสและผ่านการเทรนด์จากเทรนเนอร์ที่มีฝีมือ ผมเริ่มเดินเข้าไปใกล้ๆอย่างอดใจไม่ได้ เหงื่อเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ผุดออกมาจากรูขุมขนของผมเป็นตัวบอกได้อย่างดีว่าข้างในของผมตอนนี้แทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เหว่ยถอดเข็มขัดสีน้ำตาลออกจากกางเกงไปรเวทขาสามส่วน เขาพาดเข็มขัดไว้กับกิ่งไม้แล้วหันมาหาผม

"คุณกร แปปนึงนะครับ"

"คะ...คร้าบบ บ" ผมตอบไปด้วยเสียงที่เหมือนคนเสียสติเข้าเต็มที

       และเหว่ยก็หันไปแล้วทำในสิ่งที่ผมไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะได้เห็น เขาปลดกางเกงลงเผยให้เห็นกางเกงในแบบบ็อกเซอร์บรีฟสีขาวยี่ห้อเดียวกับที่ผมใส่ เขาเอากางเกงพาดไว้ข้างๆเสื้อและเข็มขัดก่อนจะหันมาหาผมแล้วก็ชะงักนิดหน่อย

"เอ่ออ...คุณกร เป็นอะไรรึเปล่าครับ"

"อะ...ไม่ ไม่ ไม่เป็นไรครับ ถอดแล้ว ผมถอดแล้ว"

       ผมพูดพร้อมถอดเสื้อกล้ามและปลดกางเกงไปพาดไว้ที่กิ่งไม้เช่นเดียวกับเหว่ย เขาคงแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมใส่กางเกงชั้นในยี่ห้อเดียวกับเขา แถมยังเป็นแบบเดียวกันและไซต์เดียวกัน ต่างกันแค่ของผมเป็นสีดำเท่านั้นเอง
       

"กล้ามท้องคุณสวยจัง"

       เหว่ยพูดเรียบๆก่อนจะชี้มือมาที่กล้ามท้องของผม แล้วก็ก้มกลับลงไปมองกล้ามท้องของตัวเอง

"..."

"ผมเล่นเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยขึ้น"

       เหว่ยพูดพลางเอามือลูบๆกล้ามท้องตัวเองแล้วส่ายหัวนิดๆ

"ผมว่ามันเข้ากับคุณดีออก ถ้าเล่นให้ชัดมากมันจะไม่เซ็กซี่นะรู้มั๊ย"

"หรอครับ"
       
       เหว่ยพยักหน้าพร้อมทำสีหน้าเหมือนได้รับความรู้ใหม่ ผมเดินเข้าไปหาเขาและคว้ามือเขาขึ้นมา

"ปะเร็ว! เล่นน้ำกัน"

"ครับ"

"วู๊ ฮู่วว!!"


       พวกเราวิ่งตรงไปที่ชายหาดและกระโจนลงน้ำทะเล เมื่อร่างผมสัมผัสกับน้ำดูเหมือนความร้อนข้างในจะเบาบางลงบ้างนิดหน่อย ผมหันไปมองเหว่ยและเสียใจนิดหน่อยที่เขาว่ายน้ำอย่างคล่องแคล่ว อย่างนี้แผนที่ผมจะพาเขาไปที่น้ำลึกๆแล้วแอบลวนลามก็ต้องเปลี่ยนใหม่สิ




15 นาทีผ่านไป





       ฟู่!!   พรวดด!


"ฮึบบ!"

"เฮ่ยย! คุณกร อ้ากกก"


       ผมโผล่ขึ้นเหนือผืนน้ำข้างหลังเหว่ยและกอดเขาไว้ ผิวสำผัสเนียนๆลื่นๆนั้นทำให้ผมไม่สามารถที่จะอดจินตนาการถึงรูปร่างอันแสนยั่วเย้าในยามเปลือยเปล่าหมดจดได้

"มาเล่นกันเถอะ"  ผมพูดเสียงทะเล้น

"ละ...เล่นอะไรครับ"

"อืมมม...เป่ายิ้งฉุบแข่งกันเป็นเจ้านาย"

"..."

"ใครชนะจะทำอะไรอีกฝ่ายก็ได้"

"ไม่เอาครับ ผมไม่มีโชคเรื่องแบบนี้ซักเท่าไหร่" เหว่ยตอบทันทีด้วยเสียงเรียบๆ

"โอเค ถ้างั้นเรามาเล่น ทำอะไรอีกฝ่ายก็ได้โดยไม่ต้องเป่ายิ้งฉุบก็แล้วกัน...ผมจะเริ่มจากกก...ถอดกางเกงคุณก่อนดีมั๊ย!!"

"เฮ่ย!! เฮ่ย คะ...คุณกร หยุด! ไม่! โอเค ผม...ผมยอมเล่นแล้ว"

       เหว่ยพูดเสียงตื่นก่อนที่ผมจะยอมปล่อยมือจากขอบกางเกงของเขา จากนั้นผมก็ลากเขาเข้ามาตรงที่น้ำตื่นเท่าหัวเข่าแล้วนั่งลงประจันหน้ากัน เมื่อนั่งลงก็มีแค่ท่อนบนเท่านั้นที่โผล่พ้นน้ำชึ้นมา

"โอเค เริ่มเลย"  ผมพูด

       เหว่ยพยักหน้าหงึกหงักพลางถูมือไปมาอย่างตั้งอกตั้งใจ ดูเหมือนเขาจะตั้งใจเอามากๆ


  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'


เหว่ย (กรรไกร)     ผม (ค้อน)

"ผมชนะ!"    ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
       ผมเลือกที่จะขอเปลี่ยนมานั่งอยู่ข้างหลังเหว่ยเป็นอันดับแรก กลายเป็นว่าเหว่ยต้องเป่ายิ้งฉุบกับผมในขณะที่ผมกอดเขาอยู่จากด้านหลัง

"คุณกร อะ..อ๊ะ! หยุดนะ ไหนว่าแค่นั่งกอดเฉยๆไง"

"ฮ่าฮ่า โทษครับๆ'






  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กระดาษ)     ผม (กรรไกร)
       ผมชนะอีกหน ครั้งนี้ผมขอเอามือจับตรงไหนของเหว่ยก็ได้ ถึงตอนนี้ผมจึงลวนลามเหว่ยได้แบบเปิดเผย วิธีนี้มันฉลาดชะมัดเลย แถมยังดูโรคจิตน้อยลงด้วย(รึเปล่านะ)




  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กระดาษ)     ผม (กรรไกร)
       ดูท่าว่าเหว่ยจะไม่มีโชคด้านนี้จริงๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าเหว่ยจะไม่ค่อยสนใจกับการลวนลามของผมเท่าไหร่นัก เขาตั้งใจแต่จะเป่ายิ้งฉุบเพื่อให้ชนะผมเท่านั้น
"ครั้งนี้ผม ขอหอมแก้มคุณ"
       เหว่ยพยักหน้าหงึกหงักแล้วหันแก้มมาให้ผม ดูเหมือนสิ่งที่เขาสนใจจะมีแต่การรีบไปเป่ายิ้งฉุบต่อเพื่อเอาชนะผมให้ได้เท่านั้นจริงๆ
"คุณนี่ไม่มีดวงจริงๆเลยเหว่ย"
"ผม...ผมจะชนะคุณให้ดู"




  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กรรไกร)     ผม (กระดาษ)

"เยส เยส เยส! ผมชนะ"
       เหว่ยพูดอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผม ดูเหมือนเขาจะดีใจมากจริงๆเพราะผมไม่เคยเห็นเขาแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากขนาดนี้มาก่อน
"ผมขอสั่งให้คุณ เอามือตบหน้าผากตัวเองแรงๆสามที"

      แปะ  แปะ  แปะ

"คุณกร นั่นมันไม่แรงเลย เอาใหม่แรงๆสิ"

       'ผั๊วะ  ผั๊วะ  ผั๊วะ!

"ฮ่าๆๆ ดีมากๆ"




  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (ค้อน)     ผม (กระดาษ)

"เหว่ย ผมขอสั่งให้คุณ..."

"..."

"ถอดกางเกง!"

"ฮะ!! คะ...คุณบะ..."

"ไม่มีแต่...คุณแพ้เองนะ"

"..."

"ไม่เป็นไร...อยู่ใต้น้ำ ผมไม่เห็นหรอก...คิกๆๆ"

       เหว่ยนั่งนิ่งอยู่หลายวินาทีก่อนจะสูดหายใจเพื่อเรียกความกล้า จากนั้นเขาก็...ใช่ เขาก็ถอดออกจริงๆ...ใช่! เขาถอดมันจริงๆและผมก็นั่งอยู่ข้างหลังเขา ใช่! และผมก็เริ่มร้อน ผมตระหนักดีว่ากำลังกอดเหว่ยซึ่งตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่
       ผมเอามือลูบไปมาที่กล้ามท้องเหว่ยเล่น ทุกๆครั้งที่ผมแกล้งเอามือลูบลงไปลึกๆเหว่ยก็จะตัวแข็งทื่อ เขาช่างน่าสงสารที่โดนผมลวนลามแล้วก็ต้องนั่งอยู่อย่างงั้นโดยทำอะไรไม่ได้เลย


  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กระดาษ)     ผม (กรรไกร)

       ผมหัวเราะหึหึในลำคอ ในขณะที่เหว่ยคอพับอย่างหมดอาลัย กางเกงใน Calvin Klein สีขาวของเขาถูกคลื่นซัดไปจนถึงหาดทรายแล้ว

"อะไรล่ะครับ สั่งมาสิ" เหว่ยพูดเสียงอ่อยๆ

"งั้นผมขอออ...ถอดกางเกงตัวเองก็แล้วกัน"  ผมเอ่ย

"ฮะ!!!...คะ..คุณ คุณกร...อะ"

       ผมล้วงมือลงไปในน้ำแล้วถอดกางเกงในตัวเองออก หวังว่าเหว่ยคงจะไม่ตกใจกับ เอ่ออ..ไอ้นั่นของผมที่มัน เอ่อออ...ที่มันตื่นตัว (แต่จะโทษผมก็ไม่ได้หรอกนะ ทั้งหมดมันก็เพราะเขานั่นแหละ เพราะเขาเซ็กซี่เกินไปต่างหาก)

"นี่ ถอดแล้วๆๆๆ ดูสิ"

       ผมพูดเสียงตื่นเต้นพลางแกว่งกางเกงในไปมาให้เหว่ยดู เหว่ยตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของผม ผมโยนกางเกงในลงบนผืนน้ำปล่อยให้คลื่นซัดมันไปติดฝั่ง ไม่มีคำพูดใดๆจากเหว่ย ส่วนผมถึงแม้ตอนนี้จะเริ่มรู้สึกกลัวที่จะเดินหน้าต่ออยู่ลึกๆแต่ผมก็รู้ว่าผมเดินมาไกลเกินกว่าจะหยุดแล้ว

       ผมลูบเบาๆไปตามกล้ามท้องของเหว่ย ก่อนจะไล่ขึ้นมาที่หน้าอกแล้วเฉียดผ่านยอดอกสีชมพูบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เหว่ยสะดุ้งเล็กๆทุกครั้งที่ถูกผมแกล้ง เขาเริ่มหายใจติดขัด ผมเห็นดังนั้นจึงชวนเขาเล่นต่อ
       
"เหว่ย  เป่ายิ้งฉุบกันต่อ" ผมพูดเบาๆข้างหูเขา

       เหว่ยถอนหายใจยาวก่อนจะนิ่งไปซักพัก เขาหายใจลึกๆหลายครั้งก่อนจะพูด

"ครับ"  เขาตอบชัดเจน



  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กระดาษ)     ผม (กรรไกร)

"ผมแพ้อีกแล้ว"  เหว่ยพูดเสียงอ่อย

"ฮ่าฮ่าฮ่า ผมขอโทษนะที่ชวนคุณเล่น" ผมพูดพลางเอาคางไปเกยไหล่ของเหว่ย

"อะ...ไม่ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่...โชคไม่ดีเอง"

"อ่า"

       ผมกระชับอ้อมกอดด้วยแขนทั้งสองข้าง พร้อมขยับตัวเข้าไปแนบชิดกับหลังของเหว่ย มือซุกซนของผมลูบไล่จากเหนือน้ำ ลงต่ำ ลงไปในน้ำ ลึก และลึกลงไปเรื่อยๆ เหว่ยเริ่มตัวแข็งทื่ออีกครั้ง

"อะ..."  เขาส่งเสียงสั้นๆขณะที่มือของผมเริ่มลูบเลยใต้สะดือเขาลงไป



       ผมหยุดอยู่แค่นั้น



       ก่อนจะพูดเบาๆที่ข้างหูเขา
"ตานี้ ผมขอสั่งให้คุณเป็นคนเลือก...ว่าจะให้ผมต่อ...หรือจะให้ผมหยุด"

       เหว่ยยังคงนิ่ง แข็งทื่อ
"ผมม...เอ่อ.."


"คุณสบายๆหน่อยสิ เอนหลังมาพิงผม...นะ"

       ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะค่อยๆโน้มเขาลงมาพิงบนตัวผม เหว่ยรั้งตัวไว้นิดๆในช่วงแรกแต่สุดท้ายก็ยอมเอนหลังมาและทิ้งน้ำหนักไว้บนตัวผมในที่สุด ผมรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มผ่อนคลายแล้ว

"..."

"ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ถ้าคุณอยากให้ผมหยุด ผมก็จะหยุด"
       ผมพูดพร้อมเอามือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบหัวเขา

"คุณกร..." เหว่ยพูดพร้อมเอามือมาจับมือผมข้างที่อยู่บนกล้ามท้องของเขา  "...ผม...ผม...กลัว"

       หลังพูดจบเหว่ยก็ค่อยๆยกมือของผมออกจากกล้ามท้องของเขาชูขึ้นมาเหนือน้ำ ผมถอนหายใจยาวด้วยความผิดหวังที่ถูกปฏิเสธ ดูเหมือนผมจะใจเร็วเกินไป ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของผมตอนนี้ยังไง น้อยใจ เสียดาย หรือเสียใจ อาจจะทั้งสามอย่างผสมปนเปกันก็เป็นได้

       แต่เหว่ยยังคงพูดต่อ
"แต่เพราะเป็นคุณ...คนที่อบอุ่น แม้กระทั่งตอนนี้...ผม..." เหว่ยพูดค้างถึงตรงนี้และหยุดนิ่งไป เขายังบีบมือผมที่เขายกขึ้นมากลางอากาศแน่น


"...ผม...ผมขอเลือกคุณ"


       เหว่ยพูดพร้อมดึงมือผมกลับลงไปใต้น้ำและวางไว้บนกล้ามท้องเขาเหมือนเดิม หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ถ้าผมไม่ได้โง่ภาษาไทยเกินไปล่ะก็ ผมพึ่งโดนเขาบอกรัก เป็นการสารภาพรักในแบบฉบับของเหว่ย

       ผมหลับตาลงและจูบที่ใบหูเขาเบาๆ
"ถ้าคุณเลือกผม...ผมก็จะให้คุณ...ทุกๆอย่างที่ผมมี"
       ผมกระซิบข้างหูเขา
 
       ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก หลังของเหว่ยแนบชิดกับหน้าอกของผม มันเนียนลื่นและอุ่น จากตรงนี้ผมเองก็รู้สึกได้ถึงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นอยู่ อาการแข็งทื่อของเหว่ยหายไปแล้ว แต่ดูเหมือนบางอย่างของผมจะมีอาการแข็งขึ้นมาแทน
       ผมตระหนักดีว่าตอนนี้ในตัวของผมมันร้อนรุ่มเกินจะทัดทานไหว ผิวขาวๆของเหว่ยมันส่งผลต่อผมแทบจะตลอดเวลา ยอดอกสีชมพูนั้นดึงดูดให้ผมต้องทำอะไรซักอย่างกับมัน ตอนนี้ผมพร้อมจะวิ่งมาราธอนเต็มที่แล้ว


       ผมก้มลงและกระซิบข้างๆหูเหว่ยอีกครั้ง หัวใจเต้นถี่ด้วยความตื่นเต้น

"ผมขอ...ลูบลงไปลึกกว่านี้ได้มั๊ย"

       ผมรอคำตอบของเหว่ยอย่างใจจดใจจ่อ


แล้วเขาก็ตอบมาสั้นๆ


"...ครับ  เจ้านาย"





     >>มีต่อ (ดีมั๊ย)<<

song2315

  • บุคคลทั่วไป

------------------------------------------

       เมื่อผมได้รับอนุญาต นั่นหมายความว่าผมมีสิทธ์ลวนลามได้ทุกๆส่วนบนร่างกายของเหว่ย ลวนลามได้จนกว่าจะสาสมใจ ใบหูของเขาเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อผมขบเบาๆและใช้ลิ้นโลมเลีย เสียงสั้นๆจากลำคอพร้อมร่างที่สั่นนิดๆเวลาถูกกลั่นแกล้งของเขาทำให้ผมไม่อาจหยุดการรุกรานได้
       มือของผมลูบลงไปถึงส่วนที่มีไรขนของเหว่ยและหยุดอยู่เท่านั้น ผมคิดว่าส่วนที่ร้อนรุ่มที่สุดสมควรจะถูกแตะต้องเมื่อถึงจุดที่ร้อนรุ่มที่สุดจะดีกว่า
       มืออีกข้างของผมลูบไล้อยู่ที่กล้ามหน้าอกแน่นได้รูปของเขา ยอดอกสีชมพูมักจะโดนผมใช้นิ้วสะกิดเบาๆ และทุกๆครั้งผมสะกิดก็จะเห็นกล้ามแขนขาวๆของเหว่ยเหยียดเกร็ง

"อ๊ะ...อะ...คะ คุณกร อย่าทำแบบ..นั้นครับ"

       เหว่ยร้องประท้วงเสียงติดๆขัดๆเมื่อผมสอดปลายลิ้นเข้าไปในหูของเขาแล้วตวัดเบาๆ

"งั้นคุณก็...หันหน้ามาสิ" ผมกระซิบ

       เหว่ยหันมาตามคำล่อลวงของผมอย่างว่าง่ายก่อนที่จะโดนผมช่วงชิงริมฝีปากอันหอมหวาน ผมใช้ลิ้นรุกรานเข้าไปในปากของเขาก่อนจะถอนออกแล้วทำเช่นเดิมอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
     
       
       ในที่สุด ผมก็ยอมถอนริมฝีปากออกจริงๆ

"คุณ...ชะ..ชอบแกล้งผม" เหว่ยพูดเสียงแผ่วก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น

"ถ้าคุณไม่อยากให้ผมแกล้ง ก็หันมาหาผมสิ หันมาทั้งตัวนะ"

       ผมเอ่ยพลางปล่อยแขนที่กอดเขาอยู่ เหว่ยค่อยๆพลิกตัวหันมาหาผม เขาเอาแต่ก้มหน้างุดมองผืนน้ำทะเล น่ารักจริงๆ

"ผม...ผม.." เขาพูดติดๆขัดๆในลำคอ

"ขึ้นมานั่งตักผมสิ"
 
       ผมพูดพร้อมอ้าแขนรอ เหว่ยค่อยๆกระเถิบมาทีละนิดๆ แล้วก็ค่อยๆขึ้นมานั่งคร่อมบนตักผม เขาเขยิบมาเรื่อยๆจนร่างของพวกเราแนบชิดกันในที่สุด
       ผมสอดแขนโอบกอดเขาไว้ รู้สึกได้ถึงส่วนที่ร้อนรุ่มทั้งของผมและของเขาที่ตอนนี้อยู่แนบชิดติดกัน ดูเหมือนตอนนี้เหว่ยก็ตื่นตัวไม่น้อยไปกว่าผมนัก

"คุณน่ะ...โด่เด่แล้วรู้มั๊ย ฮ่าฮ่าฮ่า" ผมพูดล้อ

       เหว่ยก้มหน้างุดและซบลงไปกับไหล่ของผม ดูเหมือนเขาจะอายมากจริงๆ

"คุณไม่ต้องอายหรอกน่า เดี๋ยวผมให้คุณดูของผม...แล้วเราก็ไม่มีใครขาดทุนไง"  ผมพูดติดตลก

"คุณมันบ้า" เขาพูดเสียงอู้อี้เพราะยังซบหน้าอยู่กับไหล่ของผม

"ผมเป็นเจ้านายคุณ คุณกล้าว่าเจ้านายตัวเองบ้าหรอ...ฮะ"  ผมแสร้งพูดเสียงดัง

"ไอ้บ้า ไอ้บ้า ไอ้บ้า" เขายังคงพูดต่อแล้วทุบหลังผมเบาๆ

"กล้าทำร้ายเจ้านายหรอ อย่างงี้ต้องโดน!"

       ผมเอ่ยเสียงกร้าวก่อนจะผละเขาออกจากไหล่ผม ผมซุกหน้าไปที่ต้นคอแล้วฝากรอยขบไว้ จากนั้นก็ใช้ไรหนวดสากๆของผมกวาดไปตามผิวหนังของเขาลงมาจนถึงยอดอก เหว่ยส่งเสียงอู้อี้เล็กๆในลำคอและบิดตัวนิดๆ ผมใช้ไรหนวดไถไปบนยอดอกของเขาไปมาเรื่อยๆ

"อะ...อาา คุณ กร หยุดนะ"

"ทำไม! ไม่ชอบหรอ"

    ขรูด ขรูดด ขรูดด

"อ๊ะ! อาาา ...ผม...อะ...อาา"

       เหว่ยส่งเสียวครางเล็กๆออกมา ก่อนที่ผมจะลากไรหนวดที่ปลายคางของผมไปที่ยอดอกอีกข้างของเขา เหว่ยเกร็งตัวครางอีกครั้ง

"ถ้าไม่ชอบ ...แล้วครางแบบนั้นทำไม หืม" ผมถาม

"คุณ...ก็คุณแกล้งผม"

"งั้นหรอ ผมแกล้งคุณแบบไหนล่ะ แบบนี้รึเปล่า"

       ผมตวัดปลายลิ้นที่ยอดอกของเหว่ย มันตั้งชูชันขึ้นมาเหมือนรอผมอยู่ ผมดุนดูดมันพร้อมขบเบาๆ

"อะ...อาาาาา" เหว่ยครางเสียงแหบพร่า

       ผมอดที่จะโน้มเขาลงมาประกบจูบเนิบๆไม่ได้ หนุ่มหล่อล่ำผิวขาวคนนี้ช่างยั่วยวนผมได้มากมายเหลือเกิน ผมได้ค้นพบแล้วว่าในเวลาที่เขาไม่ได้ใส่อะไรเลยอย่างตอนนี้ เป็นเวลาที่เขาดึงดูดผมมากขึ้น มากกว่าที่เคยเป็นมา

       ผมถอนจูบออกและเริ่มโลมเลียเขาไปทุกส่วน เสียงครางแหบพร่านั้นทำให้อารมณ์ของผมพุ่งพล่าน ตอนนี้เอาช้างมากี่เชือกก็คงฉุดผมไม่อยู่ แรงขับดันภายในของผมตอนนี้มันมากมายเหลือเกิน

"ปะ...เปลี่ยนที่กัน"

       ผมพูดก่อนจะดึงเขาลุกขึ้นมาพร้อมๆกัน ผมอุ้มเขาวิ่งขึ้นชายหาดก่อนจะล้มตัวลงคร่อมเขาที่ผืนทรายละเอียดสีเนื้อ
       ตอนนี้คลื่นจากทะเลสาดขึ้นมาได้ถึงแค่ปลายเท้าของพวกเราเท่านั้น รอบข้างมีเพียงเสียงคลื่นซาบซ่าและเสียงลมทะเล มันทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเรากำลังอยู่ในโลกที่มีพวกเราแค่สองคน

"คุณกร..." เหว่ยเอ่ยถามผม

"หืม"

"ผมขอจับ...หน่อยได้มั๊ย" เหว่ยพูดเบาๆเหมือนกล้าๆกลัวๆ

"ได้สิ...ให้จับได้ทุกที่เลย" ผมตอบ

       เหว่ยค่อยๆเอื้อมมือขึ้นมาทาบที่หน้าอกของผม ก่อนจะลูบเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นปนวาบหวามแผ่ซ่านเข้าสู่ตัวผม มันเกิดจากสัมผัสที่ดูใสซื่อและๆไร้การปรุงแต่งนั้น
       มือขาวๆลูบมาที่แขนของผม ไปที่หัวไหล่แล้วก็ลากผ่ากลับลงไปที่กล้ามท้องของผม

"ผมชอบกล้ามท้องคุณจัง" เหว่ยพูดเสียงเรียบ

       ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะพูด
"ผมว่า...ผมมีอย่างอื่นที่คุณคงจะชอบกว่านี้อีก"

       ผมพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเริ่มโลมเลียเหว่ยไปทั้งตัวอีกครั้ง ครั้งนี้ผมเลือกจะจบลงที่จุดเร่าร้อนที่ผมเคยข้ามไป
       แท่งกระสันของเขาขาวอวบและยังมีหนังหุ้มอยู่จนสุด ผมเอื้อมมือไปจับเบาๆก่อนจะค่อยๆรูดเปิดออก เหว่ยครางเสียงดังพร้อมแอ่นตัวหนีผม ผมจับล็อคขาของเขาไว้และเริ่มมอบความเสียวซ่านให้เขา
       ผมครอบปากลงไปบนแท่งนั้นและโลมเลียเหมือนมันคือแท่งขนมแสนอร่อย

"อาาาาา อะ..อะ...อาาา คุณ..กร"

       ผมสนุกสนานกับการกลั่นแกล้งหนุ่มตี๋หล่อล่ำผิวขาวคนนี้ เขาเริ่มเปลี่ยนจากถดเอวหนีจากผมเป็นเด้งบั้นเอวขึ้นมาหาผมแทน
       ผมดุนดูดไปรอบๆหัวสีชมพูของมันและบางครั้งก็แกล้งหยุดไปเสียดื้อๆ

"คุณกร...อะ...อย่าแกล้งผมเลย..."

       เหว่ยพูดเสียงสั่น ผมยิ้มได้ใจและดุนดูดเจ้าแท่งนั้นของเขาต่อ เสียงครางหวานๆหลุดออกมาไม่ขาดสาย ทั้งหมดทำให้ผมในตอนนี้มีอารมณ์คั่งค้างมากมาย แท่งเอ็นของผมแข็งเกร็งจนรู้สึกปวดหนึบๆแล้ว


"คุณ..กร พะ...พอก่อนครับ"
       
       เหว่ยพูดเสียงสั่น ผมหยุดตามคำขอและคลานขึ้นมาประกบจูบริมฝีปากของเขา เหว่ยตอบสนองจูบของผมมากขึ้น ลิ้นของเขาเริ่มกล้าที่จะหยอกล้อกับผมมากกว่าเดิม
       

"คุณอยาก...ทำให้ผมบ้างมั๊ย"
       ผมเอ่ยถามเหว่ยหลังจากถอนจูบ

"คะ...ครับ ผมจะพยายาม"

       เหว่ยตอบพร้อมพยักหน้าเบาๆ ผมพลิกตัวลงมานั่งก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมานั่งอยู่ข้างหน้าผม ใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้แก้มเป็นสีชมพูระเรื่ออยู่ห่างจากผมไม่กี่คืบ ริมฝีปากของเขาค่อยๆโน้มเข้ามาหาริมฝีปากของผม ผมอ้าปากรอรับ แต่เหว่ยกลับถดหัวกลับไปตอนที่ปากเรากำลังจะชนกัน

"คิกๆ คิกๆ คุณโดนผมหลอก"

       เหว่ยพูดเจือเสียงหัวเราะ ผมเอื้อมมือจะไปคว้าคอเขาเข้ามาจูบแต่เขาจับมือผมไว้ทันเสียก่อน

"คุณ อยู่เฉยๆเลยคุณกร" เหว่ยพูดเสียงเรียบ

       ผมยอมถดมือกลับอย่างว่าง่าย เหว่ยค่อยๆเอื้อมมือมาหาผม ปลายนิ้วชี้เขาแตะลงบนยอดอกข้างซ้ายของผมก่อนจะลูบวนๆไปมา ความเสียนซ่านเล็กๆนี้ทำให้ผมครางปนเสียงลมหายใจออกมาเบาๆ

"อาาา..."

       เหว่ยใช้นิ้วข้างเดียวกันนั้นค่อยๆลากขึ้นมา ผ่านกระดูกไหปลาร้า ลูกกระเดือก คาง และหยุดที่ริมฝีปากผม ผมอ้าปากก่อนจะรับนิ้วนั้นเข้ามาดุนดูด ไม่น่าเชื่อว่านิ้วแค่นิ้วเดียวจะทำให้ผมกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆได้

"คุณกร... พอแล้วครับ เดี๋ยวนิ้วผมก็ละลายในปากคุณหรอก"

       ผมยอมปล่อยอย่างว่าง่าย เหว่ยใช้นิ้วนั้นกลับลงไปถูวนๆรอบยอดอกของผม ผิวสัมผัสลื่นๆเพราะน้ำลายนั้นยากที่ผมจะทัดทานได้

"อาาาา..."

       ผมครางเสียงสั่นก่อนจะดึงเขาเข้ามาประกบจูบอย่างอดใจไม่ไหว ผู้ชายคนนี้จะมีอิทธิพลกับผมมากเกินไปแล้ว แค่นิ้วของเขานิ้วเดียวก็ถึงกับทำให้ผมสั่นเทิ้มได้ทั้งตัว
       ผมกลับมาเป็นฝ่ายรุกรานเขาอีกครั้ง ถ้าขืนให้เขาเป็นฝ่ายทำผมต่อล่ะก็ มีหวังผมต้องกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆจริงๆแน่

"คุณ...ไม่ให้ผม...เอ่ออ..ทำแล้วหรอ" เหว่ยพูดเสียงเศร้า

       ผมคลี่ยิ้มออกให้เขา

"แค่ผมมองคุณเฉยๆตอนนี้ ผมก็แทบจะทะลักแล้ว ถ้าขืนผมให้คุณจับไอ้นั่นล่ะก็ ผมต้อง...ทนไม่ไหวแน่"
       ผมตอบยาวเหยียดก่อนจะจูบเบาๆที่หน้าผากเขา

       และแล้วเหว่ยก็ถูกผมรุกรานอีกครั้ง และครั้งนี้ ผมจะรุกรานเข้าไป...ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้









       ท้องทะเลสะท้อนกับแสงแดดอ่อนๆยามบ่ายแก่ ลมพัดให้ความเย็นโดยไม่ขาดสาย ผืนทรายละเอียดสีเนื้อแน่นิ่งรอคลื่นสาดซัดขึ้นมาอาบ

"อะ...อาาาา"

      ชายหนุ่มร่างกำยำครางสุดเสียงเมื่อรุกรานเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางท้ายสุดได้สำเร็จ ร่างของผู้ถูกรุกรานนั้นเกร็งกระตุกก่อนที่เหงื่อหลายเม็ดจะผุดขึ้นทั่วผิวขาวๆ กล้ามเนื้อเหยียดเกร็งด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันกับผ่านการรุกรานของอีกฝ่าย เขาไม่อาจกลั้นเสียงครางกระเส่าได้เลยเช่นกัน

"อาา คะ...คุณ...กร..."

       ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกชื่อโน้มตัวลงมาจูบดูดดื่มก่อนที่เขาจะช้อนร่างนั้นลุกขึ้นมาคร่อมบนตักตัวเอง

"ถ้าเจ็บก็หยุดนะครับ"

       ชายหนุ่มเอ่ยบอกร่างบนตักตนอย่างห่วงใยก่อนที่เขาจะเริ่มใช้ลิ้นตวัดยอดอกของอีกฝ่าย เสียงครางหวานๆถูกเปล่งออกมาตามความคาดหมาย ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆขยับเอวช้าๆ

"อะ...อะ..อาาา"
"อาาส...ซี๊ดดด"

       เสียงครางทุ้มประสานกันไปตามจังหวะเนิบๆ จูบแล้วจูบเล่าถูกมอบให้แก่กัน ความเสียวกระสันและความร้อนรุ่มในกายของทั้งสองฝ่ายค่อยๆเร่งให้จังหวะรวดเร็วขึ้น

"เหว่ย คุณ...อาา.. คุญยังเจ็บอยู่มั๊ย"

       ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงสั่น

"ตอน...ตอนนี้ไม่แล้ว มั้งครับ"

       เสียงสั่นเอ่ยตอบกลับมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะถูกอีกฝ่ายพลิกเปลี่ยนขึ้นมาคร่อมแทน แผ่นหลังเนียนขาวรู้สึกได้ถึงสัมผัสของทรายละเอียด
       ร่างกำยำโน้มลงมามอบจูบวาบหวามก่อนที่การขยับจะเริ่มต้นอีกครั้ง
       ครั้งนี้ดูเหมือนความรู้สึกจะชัดเจนขึ้นเมื่อไม่มีความเจ็บปวดเข้ามาบดบัง การกระทั้นอันหนักหน่วงและชัดเจนมาพร้อมกับเสียงครางประสานดังสนั่น

"เหว่ย...อาา อาา อาาาา"

       ร่างล่ำสันมีเหงื่อท่วมไปทั่ว ความร้อนรุ่มที่มีไม่ได้จางหายไปเลยถึงแม้เขาจะเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของอีกฝ่ายแล้ว ชายหนุ่มพินิจมองร่างแกร่งของอีกฝ่ายที่ขยับไปตามแรงกระแทกของตน กล้ามเนื้อขาวแน่นเหยียดเกร็งทุกๆครั้งที่เขาทะลวงเข้าไป เสียงครางทุ้มสั่นและใบหน้าแสนเซ็กซี่ ทั้งหมดทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งพล่านเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น

"ผมขอ...จับไอ้นี่หน่อยนะ"

"อะ...คุณกร อาาาา"

       ชายหนุ่มคว้าแท่งเอ็นของอีกฝ่ายขึ้นมารูดไปตามจังหวะกระแทก ชายหนุ่มผิวขาวครางลั่นจากความวาบหวามที่ได้รับจากทุกทิศทาง

"อ๊ะ...อาาาา อา อา คุณ กร"

       จังหวะอันร้อนเร่ายังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ความร้อนเร่าก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มทั้งสองไม่อาจหยุดจังหวะการหลอมรวมได้อีกต่อไป ความหนุ่มแน่นอัดตัวกันอยู่ที่ปลายทางออกพร้อมที่จะพวยพุ่งได้ทุกเมื่อ

"ผม...ผม จะไม่ไหวแล้วนะเหว่ย"
       
"คะ...ครับ ผม อ๊าา อะ...ผมก็เหมือนกัน"

       จังหวะถูกเร่งเร้าขึ้นพร้อมเสียงครางประสานที่เริ่มถี่ขึ้น ร่างชายหนุ่มทั้งสองเหยียดเกร็งไปทุกส่วน อารมณ์ทั้งหมดที่สะสมของทั้งสองฝ่ายกำลังจะพวยพุ่งทะลักออกมา

"เหว่ย อาาา ซี๊ดดด อาาา ผม ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ อะ! อาาา"

       หลังจังหวะอันหนักหน่วง ชายหนุ่มปลดปล่อยอารมณ์เร่าร้อนทั้งหมดเข้าสู่ร่างอีกฝ่าย ร่างกำยำเกร็งกระตุกก่อนจะปลดปล่อยเสียงครางร้อนรุ่มออกมา เขาก้มลงไปมอบจูบเนิบๆให้อีกฝ่ายก่อนจะยอมถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง แท่งสวาทยังคงค้างอยู่ในทางอันคับแคบ
       ชายหนุ่มคว้าแท่งเอ็นขาวอวบของอีกฝ่ายก่อนจะลงมือชักขึ้นลงเนิบนาบ

"อ๊าาา อาา "

       เสียงครางกระเส่าดังไม่ขาดสาย ชายหนุ่มเร่งจังหวะมือขึ้นไปเรื่อยๆๆ จนในที่สุดร่างในอุ้งมือเขาก็ส่งเสียงครางลอดไรฟัน เกร็งกระตุก และปลดปล่อยหยาดแห่งความเป็นชายพวยพุ่งออกมา

"อ๊ะ...ผม เสร็จแล้วครับ อาา อ๊ะ! อาาาาา"

       หยาดน้ำขาวข้นทะลักออกมาอย่างท่วมท้น ชายหนุ่มเกร็งกระตุกไปทั้งร่างทุกๆครั้งที่มีระลอกขาวขุ่นทะลักออกมา จังหวะร้อนเร่าค่อยๆช้าลงและหยุดนิ่งไป ในที่สุดแท่งสวาทที่คั่งค้างอยู่ด้านในก็ถูกถอนออก ความร้อนรุ่มในกายของทั้งสองค่อยๆจางหายไปเหลือไว้แต่เพียงความอบอุ่น

       อ้อมกอดแนบชิดถูกมอบให้แก่กัน ชายหนุ่มทั้งสองไม่อาจละสายตาจากกันได้ อาจเป็นเพราะรัก อาจเป็นเพราะลุ่มหลง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

       แสงแดดยามบ่ายแก่ค่อยๆทอแสงอ่อนลง ชายหนุ่มทั้งสองคงจะไม่ได้ขยับกายจากชายหาดที่ตรงนี้/ไปซักพัก แม้จะเหนียวเหนะหนะและเนื้อตัวเต็มไปด้วยทรายแต่จะทำอย่างไรเล่า พวกเขาเหลือเวลาอยู่ในโลกสองต่อสองแบบนี้ถึงแค่พรุ่งนี้เช้า ในใจของชายหนุ่มทั้งสองคิดอยู่เพียงว่า ถ้าอยู่บนเกาะนี้ได้ ก็อยากจะขออยู่ตลอดไป ถึงแม้พวกเขาจะมีอาหารกระป๋องพออยู่ได้แค่เจ็ดแปดวันก็ตามที






________________________________________________________
     เสร็จสิ้นไปแล้วสำหรับตอนที่แปดครับ สำหรับเรื่องนี้ แน่ชัดแล้วว่าสิบตอนจบตามโควต้าสำหรับเรื่องสั้นพบดิบพอดีครับ
ตอนที่เก้าจะตามมาเร็วๆนี้แน่นอนรึเปล่าก็ไม่รู้ครับ แต่ไม่นานๆ รับรองๆครับๆ 5555

     แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านนะครับ ผมดีใจมากที่เรื่องแรกของผมก็มีคนชอบด้วย สู้ตายครับ


ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
เสียเลือดไปเยอะกับตอนนี้ กร เหว่ยสู้ตายอ๊ากกก สองรอบเลยก็ได้นะ  :haun4:

คุณคนเขียนบรรยายได้เห็นภาพเลยง่ะ เอาซะ ฟินเลย

ชอบมากไม่อยากให้จบเลย

อยากดูอีกคู่ด้วย่ว่ามุ้งมิ้งกันไปถึงไหนแล้ว

ปล.รอแทบจะขาดใจ ว่าวันไหนจะอัพ
ถ้าจบเรื่องนี้ขอเรื่องต่อไปด้วยนะครับ แนวนี้เลยหาอ่านยากมาก :hao5:
จะตามไปอ่านๆๆๆทุกเรื่องเบย :3123: :3123: :3123:

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ตอนนี้มันแซ่บมากจริงๆ +1 ให้กับคนเขียนเลย    :jul1:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ pachth

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
สนุกมาก
เขียนดีมากจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GETIIZ

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +90/-4
อดีตของเหว่ย ทำเอาน้ำตาพาลจะไหลลลล ฮรือออออออออออ  :z3:

แต่ต่อจากนี้ไป เหว่ยจะไม่เหงาแล้วนะ  มันช่างร้อนแรงงมากกกก
ริมชายหาดกันเลยทีเดียว โฮกกกกกกกกกกกกก เลือดหมดตัววว  :hao6: :hao6: :hao6: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
เข้ามาฝากตัวเพื่อจะมารออ่านเรื่องนี้ด้วยคน

ถึงแม้จะใกล้จบแล้วก็เถอะ  :mew5:

เรื่องมันน่ารักมากเลยไม่รู้ว่าเราไปอยู่ไหนถึงเพิ่งได้เจอ

ชอบท่านวิยะสุดๆเลย  :กอด1:

จะรออ่านตอนต่อไปนะ :mew1:

song2315

  • บุคคลทั่วไป
009 : reconcile (ผสาน)




~ สามวันผ่านไป
       


_________________________________________________________________________
เหว่ย Talk


   

       ผมขับรถมาจอดที่คอนโดเหมือนที่เคยทำมาตลอด เดินไปซื้อกาแฟ แล้วก็เดินกลับขึ้นห้องคนเดียว
       หลังจากเข้ามาในห้อง ผมนั่งลงบนโซฟาและทอดสายตาผ่านผนังกระจกบานใหญ่ออกไปด้านนอก นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่คนเดียวหลังจากเมื่อไม่นานมานี้ผมมีกรคอยอยู่ข้างๆตลอด ทำไมผมถึงรู้สึกไม่ชินกับบรรยากาศเงียบๆแบบนี้เลยนะ ทั้งๆที่ผมเคยชินชากับมันจนรู้สึกว่ามันปกติแล้วแท้ๆ แต่ว่านี่...



     ...มันไม่ปกติ


     ...เงียบ


      ผม...กำลังเหงา...ใช่รึเปล่านะ




~

'ผมต้องเขัาไปบริษัทกรุงเทพ'
'อ้อ...ครับ'
'คุณไม่ไปด้วยกันหรอ'
'ผมมีว่าความที่ศาล ไปไม่ได้หรอกครับ'
'พึ่งกลับมาแท้ๆ ผมต้องกลับเลย รู้สึกแปลกๆนะ'
'คะ...ครับ'
'นี่...เหว่ย เมื่อไหร่คุณจะเลิกพูดครับๆซักทีนะ ต้องการอะไรก็พูดๆออกมาเลย เข้าใจมั๊ย'
'ผะ...ผม เอ่ออ...'
'ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องตอนนี้ก็ได้....แล้วผมจะรีบกลับนะ เดี๋ยวโทรหา เข้าใจมะ'
'ผม...อะ...เอ่อ'
'เอาตามนี้ ห้ามขัดใจผม'

~






        ผมสะบัดหัวไล่ความคิดเรื่อยเปื่อยก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่ยักษ์ ยกมือทั้งสองขึ้นไปวางบนนั้นและทอดสายตามองลงไปยังเบื้องล่าง เมืองเชียงใหม่หลังเวลาเลิกงานยังคงดูคึกคัก รถแล่นไปตามถนน มีผู้คนมากมายที่ผมเห็นเป็นหุ่นเล็กๆวิ่งอยู่ในสวนสาธารณะ บ้างก็เดินอ้อยอิ้งเป็นคู่ ผมเคยบอกรึยังนะว่าคอนโดที่นี่อยู่ใกล้ๆสวนสาธารณะ บางทีผมก็ลงไปเดินเล่นบ้าง วันที่รู้สึกเหงาๆอย่างวันนี้ วันที่ทุกคนที่เคยวนเวียนอยู่ข้างๆหายไปและผมต้องกลับมาอยู่คนเดียว
       ท้องฟ้าเริ่มถูกทาเป็นสีส้มและดวงอาทิตย์ดวงโตกำลังจะลับขอบภูเขาอยู่ลิบๆที่สุดสายตา ผมพับเปลือกตาลงแล้วปล่อยให้ความคิดวิ่งไปมาในหัว เหตุการณ์มากมายไหลผ่านเข้ามา ช่วงไม่กี่วันมานี้มีอะไรๆที่แปลกใหม่เกิดขึ้นกับผมมากมายจริงๆ แต่ไม่ว่าผมจะคิดเรื่องวุ่นวายมากมายขนาดไหน สุดท้ายมันก็มีแต่หน้าเขา รอยยิ้มนั่น ดวงตาคู่นั้นที่เหมือนจ้องลึกเข้ามาในใจผมได้ ผิวสัมผัสอุ่นๆ ไรหนวดสากๆนั่น ผม....คิดถึง ทั้งๆที่เขาพึ่งไปได้แค่วันเดียว



  ~ 20 นาทีผ่านไป


       ผมรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองลงมาเดินอยู่ในสวนสาธารณะเสียแล้ว ผมก้มลงมองสภาพตัวเองที่ขัดกับสถานที่นิดหน่อย เสื้อเชิตสีครีมกับกางเกงแสลคเรียบกริบสีเทา รองเท้าหนังเงาวับ แต่ยังดีที่ผมถอดเน็คไทด์กับสูทนอกออกไปก่อนแล้ว
       ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงสะพาน ท้องฟ้าใกล้จะมืดลงเรื่อยๆ ผมก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานแขวนสีขาวที่ตัดผ่านบึงขนาดใหญ่ หากเดินข้ามไปจนสุดก็จะเป็นอีกฟากหนึ่งของสวนสาธารณะ ที่นี่คล้ายสวนสาธารณะประจำของผมสมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยมาก ดังนั้นทุกๆครั้งที่ผมมายืนบนสะพานนี้ก็จะหวนนึกถึงตัวเองเมื่อก่อนอยู่บ่อยๆ ช่วงชีวิตที่ผมเอาแต่เรียนจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง พอมารู้ตัวอีกทีช่วงเวลาอันสดใสเบิกบานของมหาลัยก็จากผมไปแล้ว แต่ผมก็ไม่เสียใจหรอกเพราะว่าถึงย้อนเวลาไปได้ผมก็คงยังเป็นผมอย่างนี้ คงสดใสอะไรขึ้นมากว่าเดิมไม่ได้นักหรอก
       ผมเดินมาหยุดอยู่แค่กลางสะพานแล้วทอดสายตาลงไปยังผิวน้ำที่กระเพื่อมเพราะแรงลมอยู่เบื้องล่าง ไม่รู้ป่านนี้กรจะเป็นยังไง เขาจะกินข้าวรึยังนะ ผมถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ผมรวบรวมความกล้าอยู่นานสองนานกว่าจะกล้าแตะปุ่มโทรออกไป นี่ถ้าเป็นผมเมื่อสมัยก่อนคงจะไม่มีทางทำแน่ๆ การโทรไปหาอีกฝ่ายทั้งๆที่ไม่มีธุระ หรือโดยไม่มีเป้าหมายอะไรที่แน่นอนแบบนี้


       เสียงสัญญานรอสายดังพักหนึ่ง ต่อมาอีกไม่กี่อึดใจปลายสายก็กดรับ

'ฮาโหลล ผมพึ่งประชุมเสร็จน่ะครับ ยุ่งมากเลย'
       ผมคลี่ยิ้มออกมาหลังจากได้ยินเสียงจากปลายสาย คิดไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรตอบกลับไปดีทั้งๆที่ก็รู้ว่ามีเรื่องมากมายที่ผมอยากจะพูดออกไป

"คุณกร" ผมพูดได้เพียงคำสั้นๆ รู้สึกประหม่าจนมือไม้สั่น

'หืม...อะไรเหว่ย คุณมีอะไรรึเปล่า'

"อ๊ะ ...มะ ไม่มีครับ"

'...เหว่ย...ครั้งนี้ผมขอความจริง ตอบผมแบบที่คุณรู้สึกจริงๆ...ได้มั๊ย'

"อะ...ผะ ผม แค่นี้แล้วกันครับ"

'เดี๋ยว!ๆๆๆเหว่ย นี่ถ้าคุณวางไปตอนนี้ รับรองได้เลยว่าไม่เกินสองทุ่มผมจะไปอยู่หน้าประตูห้องคุณ'

"อ้าาา...ผม ผม จริงๆแล้ว..."

'....'

"จริงๆแล้วผม ไม่มี...ไม่มีอะไร"

'....'

"ก็แค่...อยาก...อยากได้ยินเสียง...คะ..คุณ"

       ผมพูดตอบตะกุกตะกักพร้อมหลับตาปี๋ นี่ผมพูดเรื่องน่าอายแบบนั้นออกไปได้ยังไง มันเป็นความจริงที่น่าอับอายที่สุดเลยในโลกเลยให้ตายสิ

'....'

"คุณกร...คุณกรฟังอยู่รึเปล่าครับ"

'ฟะ...ฟังอยู่...ที่คุณพูดเมื่อกี้ จริงหรอ'

"จะ...จริงครับ  เอ่ออ...คุณกรผมรู้ว่ามันไร้สาระ ผมขอโทษ ผม...ผมจะไม่โทรมากวนคุณอีกครับ"

       ผมรีบวางสายทันทีและปิดเครื่อง ผมใช้ความหน้าหนาที่มีไปจนหมดแล้วกับเรื่องเมื่อครู่และไม่พร้อมจะรับโทรศัพท์ใดๆอีก

       ผมสูดหายใจจนหัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติ ก่อนจะมองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่แสงสุดท้ายของวันกำลังจะจากไป ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ผมกำลังยิ้มอยู่ ยิ้มแค่เพราะได้คุยโทรศัพท์สั้นๆ
       ผมยืนอยู่อย่างนั้นซักพักก่อนจะตัดสินใจได้ว่าควรจะกลับห้อง แต่เมื่อผมหันมาก็ต้องชะงักนิดๆเมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนถือขนมปังที่เหลือเพียงครึ่งอันและส่งยิ้มมาให้ผม ม่านตาผมขยายด้วยความแปลกใจปนตกใจ

"คุณลุง...คุณลุงใช่มั๊ยครับ"

       ไม่มีคำตอบใดๆจากชายคนนั้น มีเพียงรอยยิ้มที่ผมคุ้นเคยส่งมาให้ ผมตัดสินใจวิ่งเข้าไปสวมกอดร่างนั้น

'ไม่เจอกันนาน สบายดีใช่มั๊ยไอ้หนุ่มน้อย' คุณลุงพูดพร้อมลูบหัวผมเบาๆ

"สบายดีครับ คุณลุงมาอยู่ที่นี่ได้ไงครับ"

'เรื่องมันยาวน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า'

"เอ่ออ...แล้ว..."

'ก็ มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยน่ะเลยมาตามหา นี่ลุงบินมาไกลลิบเลยนะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่'

"คุย. คุยกับผมหรอครับ"

'ใช่แล้ว มีที่เงียบๆให้นั่งคุยแถวนี้มั๊ย'

"งั้นไปห้องผมก็แล้วกันครับ อยู่นั่น"

       ผมพูดพลางชี้ไปยังตึกสูงที่เห็นได้จากบนสะพานนี้ คุณลุงพยักหน้ารับ พวกเราเดินคุยกันเรื่อยเปื่อยอีกเกือบชั่วโมง แวะกินน้ำ แล้วก็ยืดเส้นยืดสาย กว่าจะมาถึงห้องผมเวลาก็ผ่านไปกว่าชั่วโมงครึ่ง




















_________________________________________________________________________
หยง Talk



'บอสคะ จะไปจริงๆหรอคะ'

       เสียงเลขาสาวถามย้ำผมอีกครั้งหลังจากผมกำลังจะออกจากโชว์รูม หน้าตาบอกบุญไม่รับของเธอทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะขำ ผมแค่กำลังจะไปดูตัว เธอทำหน้าเหมือนกับว่าผมกำลังจะเข้าไปในสนามรบยังไงอย่างงั้น

"คุณอ้อย คุณก็รู้ว่าผมปฏิเสธไม่ได้ ฝั่งนั้นเขาเป็นผู้หญิงนะคุณ"

'ตะ...แต่ว่า บอสคะ'

"กลัวอะไรกันฮะ...ผมไม่โดนเขาหลอกไปข่มขืนหรอกน่า ฮ่าฮ่าฮ่า"

'บอสคะ อ้อยไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นนะคะ อ้อยห่วงว่าถ้าท่านชายมรรครู้เข้ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่างหากล่ะคะ'

"คุณก็อย่าให้เขารู้สิ ถ้าเขามาถามอะไรก็ห้ามบอก ถ้าต้องบอกคุณก็โกหกไป เข้าจ๊าย"

'บะ...บอสคะ'

       เลขาสาวผมทำหน้าประดุจจะร้องไห้ นี่ไอ้คุณชายมรรคมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ ผมล่ะทึ่งมันจริงๆที่มาอาละวาดที่นี่ครั้งเดียวก็ทำให้คนของผมกลัวได้ขนาดนี้ แต่จะว่าคนอื่นก็ไม่ได้หรอกนะ ขนาดผมยังหวั่นๆเลย สงสารตัวเองชะมัด

"เอาน่าคุณอ้อย...เอาเป็นว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมโทษคุณคนแรก"

        ผมพูดยิ้มๆพร้อมเอ่ยผลักภาระให้เลขาและออกมาจากโชว์รูม เมื่อพ้นจากสายตาทุกคนผมก็ลอบถอนหายใจเบาๆ จริงๆแล้วผมไม่ชอบการดูตัวนักหรอก เพราะพวกผู้หญิงที่ผมสังเกตผ่านๆมาจากการดูตัวจะไม่ค่อยมีประเภทปกติซักเท่าไหร่ ถ้าไม่เป็นประเภทขี้อายจนนั่งแข็งเป็นหินก็จะเป็นประเภทล้นเกินจนนั่งติดเก้าอี้ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลพวกนั้นทั้งหมดหรอกที่ทำให้ผมไม่ชอบไป อีกเหตุผลนึงก็คือ ก็เพราะผมไม่ได้ชอบผู้หญิงไงเล่า  ทว่าแม้จะอยากปฏิเสธขนาดไหนก็เถอะ แต่คู่ดูตัวของผมก็มีแต่พวกที่เกี่ยวข้องทางสายธุรกิจ รายใหญ่บ้างเล็กบ้างผมก็ต้องไปเพื่อความสัมพันธ์อันดี อย่างในวันนี้ก็เป็นลูกสาวของผู้นำเข้าอะไหล่ซ่อมรายใหญ่ ป๊าผมถึงขนาดโทรมาล็อบบี้ผมเองเลย


      ~ ตี๊ดิด ตี๊ดิด ตี๊ดิด

      เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ผมดังพร้อมขึ้นชื่อคอนแท็กว่า 'หมีควาย' ผมถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจตัดสายทิ้ง ไอ้อยากรับมันก็อยากรับอยู่หรอกนะ แต่เอาเป็นว่าขอผมเสร็จงานดูตัวนี่ก่อนก็แล้วกัน สัญญาว่าจะพยายามตัดบทให้เร็วที่สุดเลย ว่าแล้วผมจึงปิดมือถือและขับรถออกไปพลางภาวนาขอให้ทุกอย่างมันรีบผ่านๆไปด้วยเถอะ     เง้ออออ






_________________________________________________________________________

มรรค Talk


       ผมกำลังจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง ถ้าไม่ติดว่าเสียดายเงินที่เพิ่งเปลี่ยนเครื่องใหม่ไปเมื่อวานนี้ หมอนั่นรู้รึเปล่าว่าการตัดสายผมทิ้งแบบนี้จะมีอะไรตามมา ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานและเดินฉับๆไปที่ผนังกระจก ชั้นที่สามสิบหกจากด้านล่าง และถ้าไม่ติดว่ามันสูงเกินไปผมก็คงกระโดดทะลุหน้าต่างไปที่โชว์รูมหมอนั่นแล้ว เพราะมันห่างจากบริษัทผมไปแค่ไม่กี่บล็อค
       ตอนเที่ยงก็งานยุ่งจนไม่ได้ไปเจอ ตอนเย็นก็จะมาหนีหน้ากันอีก ได้ผมแล้วจะชิ่งแบบนี้ ฝันไปเหอะ!

"ไอ้หมีขาว! โดนเล่นแน่คืนนี้" ผมพูดกับตัวเองเบาๆ

       เอาล่ะ ! ดูเหมือนว่าตอนนี้จะได้เวลาอาละวาดแล้ว





@ โชว์รูมทองหล่อ

"อะไรนะ! คุณไม่รู้หรอ"

'คะ..คะ...ค่ะ'

       เลขาสาวเจ้าเดิมพยักหนัาหงึกหงักอย่างเอาเป็นเอาตาย คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะเชื่องั้นรึไง วันนี้หมอนั่นมาทำงานที่นี่เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ยัยเลขานี่จะไม่รู้ว่าหมอนั่นออกไปไหน

"ผม...ไม่เชื่อ คุณจะบอกดีๆหรือจะให้ผมเล่นไม้แข็ง"

'อ๊ายยย อ้อย อ้อยไม่รู้จริงๆค่ะคุณชาย อย่าไม้อ่อนไม้แข็งกับอ้อยเลยนะคะ'

"ผม ไม่ สน!!"

       ผมตวาดกลับไปก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ลูกน้องมือดีคนหนึ่ง

'....'  เลขาสาวยังนิ่งเงียบ

"ได้ข่าวว่าเธอมีน้องชายกำลังเรียนมหาลัยใช่มั๊ย ที่ไหนนะ" ผมพูดขู่เรียบๆด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

'คุณชายคะ อะ...เอ่อ' เลขาสาวร่างท้วมมองผมตาโตเมื่อผมพูดถึงคนในครอบครัวของเธอ มันช่วยไม่ได้หรอก เธอเป็นคนแรกรอบๆตัวหยงเลยที่ผมสืบประวัติ ก็เพราะคิดว่าจะได้เอาไว้ใช้ประโยชน์ซักวัน และดูเหมือนมันจะเป็นประโยชน์จริงๆ

"ก่อนที่ลูกน้องผมจะรับโทรศัพท์แล้วไปซ้อมน้องชายคุณแบบไม่มีสาเหตุที่มหาลัย บอกมาซะ!"

       ผมพูดเสียงเข้ม เลขาสาวหลับตาปี๋ลุกลี้ลุกลน ผมยิ้มมุมปากนิดๆรู้สึกดีที่บทอำมหิตของตัวเองยังใช้ได้ผลอยู่หลังจากที่ครั้งก่อนผมเสียท่าโดนเจ้านายเธอเสยคางจนสลบไป

'อ้อย...เอ่อ...บอสบอกอ้อยว่าห้ามบอกคุณชายค่ะ' เธอพูดตะกุกตะกักด้วยประโยคชวนเวียนหัวแต่ก็พอถอดความได้

"ทำไมถึงบอกไม่ได้!! บอกมาเดี๋ยวนี้ คุณรู้ใช่มั๊ยว่าผมเป็นคนพูดจริงทำจริง"

       ผมตวาดพลางหันกลับมายกหูโทรศัพท์สั่งลูกน้องที่ปลายสาย เลขาสาวแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ เธอหลับตาปี๋ก่อนจะยอมคายสิ่งที่ผมอยากรู้ออกมา

'บอส!  บอสไปดูตัวค่ะ'

"อะไรนะ!!!"

       ผมถามย้ำอีกครั้งเผื่อว่าตัวเองจะได้ยินอะไรผิดไป รู้สึกรำคาญกับไอ้ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตที่หัวใจแบบนี้

"บะ...บอส มีนัดดูตัว ตอนสองทุ่มคะ...ค่ะ"

       แล้วผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรผิดไป ตอนนี้อยากจะจับโน้ตบุคบนโต๊ะนั่นมาหักเป็นสองท่อนแล้วเขวี้ยงลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์ชะมัด แต่ก่อนที่ผมจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆผมควรจะหายใจเข้าลึกๆ ผมข่มตาลงสักครู่และปรับระดับการหายใจเพื่อประเมินสถานการณ์ ในที่สุดผมก็ทำใจลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถามสั้นๆ

"ที่ไหน"



















_________________________________________________________________________

เหว่ย Talk @ คอนโด




"หิวข้าวมั๊ยครับ" ผมถามคุณลุงที่ตอนนี้นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นผม

"ไม่หิวหรอกหลานชาย" คุณลุงตอบยิ้มๆ

       หลังจากผมถามคุณลุง ผมก็เดินเข้ามาในครัวเพื่อรินน้ำใส่แก้ว ผมยังไม่ได้บอกสินะว่าคุณลุงคนนี้เป็นเพื่อนของผม ใช่ เป็นเพื่อน จะบอกว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิดนัก คุณลุงแกไม่เคยบอกชื่อผม แกบอกแต่ว่าให้เรียกคุณลุงน่ะดีแล้ว ผมรู้จักกับเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยน่าจะซักช่วงเกือบปลายๆปีสอง ผมเจอเขาบนสะพานในสวนสาธารณะแถวมหาลัยเหมือนวันนี้เลย แล้วก็เจออีกหลายครั้ง ได้คุยกันหลายเรื่อง จนในที่สุดก็สนิทกัน คุณลุงคนนี้หลายครั้งที่เป็นคนคอยปรับทุกข์ให้ผมสมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย เขาคอยให้กำลังใจผมเสมอเวลาผมท้อใจ น่าแปลกที่ผมยอมเปิดใจเล่าเรื่องของตัวเองให้คนที่ไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำฟัง เราเจอกันไม่บ่อยนักเพราะผมจะไปเดินเล่นที่สะพานเวลาที่ทุกข์ใจ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาผมไปที่สะพานผมจะเจอคุณลุงยืนรออยู่ก่อนเกือบทุกครั้ง เหมือนเขารู้เลยว่าผมจะมา ผมเองก็ลืมถามเรื่องนี้ไป


"อาาา...ชื่นใจ"
       คุณลุงวางแก้วน้ำลงก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ท่าทางแบบนี้เหมือนกับใครกันนะ ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆบอกไม่ถูก

"มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ"
       ผมเอ่ยถามพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาข้างๆ

"อ้อ...ไม่ ไม่ ไม่ ที่มาวันนี้มีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง"

"เรื่อง? เล่า?" ผมเอ่ยอย่างสงสัย

"อืม เป็นเรื่องของลุงกับลูกชายน่ะ"

"อะ...ครับ" 
       ผมพยักหน้ารับแม้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคุณลุงนัก ผมเดาว่าคุณลุงอาจกำลังหาคนปรับทุกข์เรื่องลูกชายก็เป็นได้จึงมาหาผมถึงที่นี่

"อาา...เริ่มยังไงดีนะ.....อืมม...เรื่องมันเริ่มช่วงหลานอยู่ปีหนึ่งน่ะ ลูกชายลุงอายุเท่ากันกับหลานเลย"
       ผมพยักหน้ารับและนั่งเงียบ พยายามเป็นผู้ฟังที่ดี

"ลูกชายลุงไปหลงรัก...เอ่อ.....หลงรักผู้ชายคนนึงเข้า..."
       คุณลุงพูดก่อนจะหลับตาลงแล้วยิ้มบางๆ

"เขาเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยแต่คนละคณะ ลูกชายลุงตามติด สืบประวัติ ทำทุกอย่างแม้กระทั่งจ้างคนมาซ้อมพวกอันธพาลที่แกล้งผู้ชายคนนั้น"
       ผมฟังอย่างตั้งใจ นึกย้อนไปถึงว่าตัวเองก็เคยโดนรังแกอยู่บ่อยๆ ยังมีคนอื่นที่โดนเหมือนกับผมอยู่ด้วยสินะ

"แต่ถึงอย่างนั้น ลูกชายของลุงก็ยังไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักคนที่ตัวเองแอบชอบ...ตลกมั๊ยล่ะ"
       คุณลุงหัวเราะแห้งๆหลังจบประโยค แต่ผมกลับเข้าใจความรู้สึกของลูกชายคุณลุง ผมรู้ว่าความรู้สึกไม่กล้าจะเข้าไปคุยกับคนอื่นเป็นยังไง ทั้งๆที่ใจอยากจะตะโกนออกมาดังๆแต่ทุกๆอย่างมันกลับจุกอยู่ที่คอ ยิ่งเป็นคนที่อยากรู้จักมากเท่าไหร่ความกล้าก็จะลดลงไปมากเท่านั้น สุดท้ายเราก็จะยอมหยุด หันหลัง แล้วเดินจากไป เป็นความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ผมรู้จักมันดี

"หลังจากนั้นไม่นานลุงก็รู้ความจริงว่าลูกชายตัวเองกำลังแอบชอบผู้ชาย..."
       คุณลุงถอนหายใจเบาๆ

"ใช่...ตอนนั้นลุงโกรธจนไม่ลืมหูลืมตา"
     
"ลุงส่งเรื่องไปดรอปแล้วย้ายลูกชายไปเรียนที่อังกฤษ นั่นคงเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตที่ลุงทำ"
       คุณลุงถอนหายใจยาว นัยตาฉายแววเศร้าก่อนที่จะเริ่มเล่าต่ออย่างยากลำบาก

"คืนก่อนหน้าที่จะบิน เราทะเลาะกัน แล้วลูกชายลุงก็ขับรถออกไป. ไปบ้านของผู้ชายคนนั้นเพื่อจะบอกลา...แต่"

      ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รู้สึกถึงความขมขื่นของคุณลุง

"แต่รถมัน..."


       ~ ติ๊ง ติ่ง

       อยู่ๆเสียงรีมายเดอร์ที่ประตูห้องผมก็ดังขึ้น ผมหลุดออกจากภวังค์ของเรื่องเล่าแล้วกระพริบตาปริบๆ

"มาจริงๆแฮะ"
      คุณลุงบ่นเบาๆกับตัวเองหลังจากเสียงนั้นหายไปเหมือนเดาได้ว่าใครเป็นคนมากดออดห้องผม

"คือ...มีคนมาน่ะครับ ขอตัวซักครู่นะครับ" ผมบอกคุณลุงเนือยๆ

        คุณลุงพยักหน้ารับก่อนที่ผมจะลุกเดินออกไปที่ประตู ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปถึงครึ่งทางก็ปรากฎร่างสูงในชุดสูทสีดำพ้นขอบประตูออกมาอยู่ข้างหน้าผม แววตาขุ่นนิดๆทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจอะไรซักอย่าง เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ผมโทรไปกวนเขาวันนี้ เขาเอ่ยเสียงเรียบๆออกมา

"ลืมไป ว่าห้องนี้นิ้วผมก็เปิดได้"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2014 16:01:09 โดย song2315 »

song2315

  • บุคคลทั่วไป


_________________________________________________________________________
หยง Talk



'คุณพศินคะ เบลล่าขอเรียกว่าคุณหยงก็แล้วกันนะคะ'

       หญิงสาวเปรี้ยวปรี้ดพูดยิ้มๆก่อนที่ผมจะยิ้มตอบแล้วพยักหน้าเบาๆ ผมว่าเธออาจจะสวยกว่านี้ถ้าไม่แต่งหน้าเหมือนนางร้ายในละครทีวี ผมไม่ได้ว่าเธอนะ ก็แค่แสดงความคิดเห็นเรื่อยเปื่อยเท่านั้นแหละ

"เบลล่าจบที่ไหนมาหรอครับ"

       ผมถามคำถามทั่วไปที่ถามกันอยู่บ่อยๆในการดูตัว จะว่าไปผมก็ถามทุกครั้งเลยล่ะมั้งด้วยความที่ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร เธอยิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะตอบ

'สแตนฟร์อด ค่ะ'

"โอ้โห สุดยอดเลยครับ สมัยนั้นผมอยากเข้ามากเลยแต่รอแล้วรออีกเค้าก็ไม่ตอบกลับมา สุดท้ายเลยได้เรียนบอสตันไปตามระเบียบ"

'อ่า...ค่ะ ว่าแต่คุณหยงนี่...'

"ครับ"

'หล่อกว่าในโปสเตอร์อีกนะคะ'

"ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณครับ"

       ผมหัวเราะพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ ที่โชว์รูมทองหล่อมีรูปผมกับเฮียเหว่ยยืนกอดอกคู่กับรถหรูเป็นป้ายโฆษณาอันมหึมา เธอคงหมายถึงรูปนั้น ถึงจริงๆส่วนใหญ่จะมีแต่คนชมว่าเฮียเหว่ยหล่อลากไส้ก็เถอะ ผมเลยดีใจนิดๆที่ครั้งนี้เป็นฝ่ายโดนชม หญิงสาวยกมือขึ้นมาค้ำคางก่อนจะเอามืออีกข้างมาลูบบนมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

'เบลล่าว่า...เรามาสั่ง อาหารกันเถอะค่ะ'

"เอาสิครับ"

       ผมค่อยๆดึงมือกลับแล้วตอบก่อนจะยกเมนยูขึ้นมาอ่าน ในหัวนึกยิ้มๆในใจว่าวันนี้คงผ่านไปด้วยดีถ้าผมบอกปฏิเสธเธอเป็นนัยๆว่าผมไม่สนใจอย่างนี้ ผมกะว่าพอกินไอ้อาหารที่ราคาแพงหูฉี่แต่กินสิบจานก็ไม่อิ่มนี่หมด ผมจะไปส่งเธอที่บ้าน แล้วก็จบ
       เธอหุบยิ้มไปแวบหนึ่งก่อนจะตั้งสติแล้วกลับมายิ้มใหม่ ผมว่าเธอคงตกใจนิดหน่อยที่ผมปฏิเสธเธอชัดเจนอย่างนี้ แต่ว่าก็ดีแล้วเพราะจะได้ไม่ต้องยืดเยื้อ

"คุณหยง จะทานอะไรหรอคะ"  หญิงสาวพูดเรียบๆ

"อ้อครับ...งั้น..."



_________________________________________________________________________

มรรค Talk @ คอนโดหยง


"โถ่เว่ย!!"

       ผมง้างแขนขึ้นเตรียมเควี้ยงโทรศัพท์ลงพื้นอย่างหัวเสียก่อนจะฉุกคิดได้ว่าผมเพิ่งเสียเงินสามหมื่นกว่าซื้อมันมาเมื่อวาน ผมกำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้หยงอยู่ที่ไหน ยัยเลขานั่นไม่ได้เรื่องเลยซักนิด รู้แค่ว่าเจ้านายตัวเองออกไปทำอะไรแต่ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
      ในหัวผมตอนนี้มีแต่เรื่องเลวร้ายที่ผมจินตนาการขึ้น ถ้าไอ้หมีขาวซื่อบื้อนั่นโดนผู้หญิงดูตัวมอมยาแล้วลากเข้าห้องขึ้นมาจะทำยังไงนะ หรือถ้าหมอนั่นเต็มใจไปอยู่แล้วล่ะ แล้วยังเรื่องที่ออกไปดูตัวโดยปิดไม่ให้ผมรู้อีก คิดแล้วมันเจ็บชะมัดเลย
       ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาหมอนั่นอีกรอบถึงจะรู้ว่าโทรไปก็ไม่ติดก็ตามที แล้วก็เป็นไปตามคาด...ไม่ติด
       ผมถอนหายใจยาวก่อนจะหยุดอยู่นิ่งๆแล้วครุ่นคิดหาทาง เวลาที่จนปัญญาแบบนี้ผมควรจะหาตัวช่วยสินะ ว่าแต่ใครกันล่ะ ที่จะช่วยผมได้ ไอ้พวกมารยาสาไถโอเวอร์แอกติ้งนี่...

       นั่นสินะ ไม่มีใครเกินยัยนั่นแล้วล่ะ



~

"เฮ่! ป้า!"  ผมตะโกนใส่หูโทรศัพท์หลังจากพี่สาวกดรับ

'กรี๊ดดด!! อะไรยะ ฟ้าจะถล่มหรอแกถึงโทรหาชั้นก่อนหนิ'

"มีเรื่องให้ช่วย"

'อะไรยะ คนอย่างน้องชายชั้นนี่หรอจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น'

"นี่ หยุดทับถมกันได้แล้ว มันจนปัญญาเข้าใจมะฮะ"

'อะๆ มีอะไรยะ'

"ตามหาหยงไม่เจอ"

'ฮ่าๆๆๆๆๆๆฮ่าๆๆๆๆๆ โอย โอยฉันหยุดหัวเราะไม่ได้ เป็นไงล่ะแก โดนดัดสันดาน'

"นี่! ถ้าไม่ช่วยก็วางไปเลยปะ ยัยพี่สาวไร้ความสามารถ"

'แหมๆๆ ล้อนิดล้อหน่อยไม่ได้ แล้วไอ้หยงมันหายไปไหนล่ะ'

"ไป...ดูตัว"

'โอยยยยย ฉันไม่มีแรงจะหัวเราะต่อ'

"ไม่ตลกนะ ตอนนี้จะบ้าตายแล้ว"

'อะๆ โอเคๆ เห็นแกจริงจังแบบนี้ฉันจะช่วยก็ได้ย่ะ เดี๋ยวโทรหาให้ไอัเหว่ยช่วย'

"ขะ...ขอบคุณ"

'ไม่ต้องหรอกย่ะ ฟังแล้วแสลงหู ฉันล่ะทำใจไม่ทันกับแกทีอยู่ๆก็เปลี่ยนไปในทางทีดีขึ้นในชั่วข้ามคืน อะๆ ฉันไปละ อีกซักสิบนาทีเดี๋ยวโทรกลับไปหา'

       ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะลุกจากโซฟาเดินไปเดินมาอย่างใจจดใจจ่อ นี่ถ้าผมเจอหมอนั่น สาบานได้ว่าผมจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมจะจูบ จูบ จูบๆๆๆๆ โชว์ในที่สาธารณะเลยเป็นไง





































_________________________________________________________________________
เหว่ย Talk


 ~ปึกก!

"โอ้ย! คุณกร เจ็บครับ เจ็บๆๆ"
       ผมร้องประท้วงทันทีเมื่อโดนจับกดกับผนัง แรงบีบที่ข้อแขนทั้งสองข้างมันแรงจนผมต้องหลับตาลงข้างหนึ่ง เสื้อเชิตแขนยาวของผมไม่ได้ช่วยดูดซับแรงบีบหนักๆนั้นเลย

"คุณ อยู่ๆคุณก็วางสาย แล้วปิดเครื่องทำไม ฮะ!!! "

"อะ...เอ่อ ผม ผม...ผม โอ้ยย!"

       ผมพูดตะกุกตะกักก่อนที่จะปิดประโยคด้วยการร้องเสียงหลงเมื่อเขาเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือผมแล้วเบียดตัวเข้ามาใกล้ขึ้น ผมหลับตาปี๋รอรับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้



'คุยกันดีๆสิ ไอ้กร'



       เสียงๆหนึ่งที่ไม่ใช่ของพวกเราสองคนดังขึ้น ผมและกรหันขวับไปมองต้นเสียงทันที คุณลุงยืนกอดอกส่งสายตาตำหนิมาที่กร ผมค่อนข้างงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณลุงรู้จักชื่อกรด้วยงั้นหรอ


"เฮ่ยย!! ปะ...ป๊า!!!"
       กรพูดพลางเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจและปล่อยผมเป็นอิสระ เขาเบิกตาตกตะลึงเหมือนไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้าเอามากๆ

'เออ..ชั้นเอง ตัวจริงเสียงจริง'

"ป๊ามาอยู่นี่ได้ยังไง ไหนว่าอยู่มิลาน"

       คุณลุงไม่ตอบอะไร เขาส่งยิ้มให้ผมแล้วหันไปตีหน้านิ่งพร้อมยักไหล่ให้กร ผมงงไปหมด โดยเฉพาะเรื่องที่คุณลุงเล่าเกี่ยวกับลูกชายวันนี้ นี่หมายความว่ากรคือลูกชายของคุณลุงหรอ แต่พวกเพื่อนๆผมเคยบอกว่าพ่อของกรเสียไปแล้ว แต่ที่แปลกที่สุดคือผมรู้จักคุณลุงคนนี้ตั้งแต่ตอนตัวเองเรียนมหาลัย นี่มันบังเอิญหรืออะไรกันแน่

       คุณลุงหันมามองหน้าผมที่คงกำลังทำสีหน้างงเป็นไก่ตาแตก เขาถอนหายใจเบาๆแล้วเดินเข้ามาหาพวกเราสองคน

'ถ้าไอ้กรมา ให้มันเล่าให้ฟังดีกว่า'
       คุณลุงพูดพร้อมตบไหล่ผมเบาๆ

"ละ...เล่าอะไรครับ"

'ก็เรื่องที่ลุงเล่าให้ฟังเมื่อกี้นั่นไง'
       ผมพยักหน้ารับหงึกๆทั้งที่ตัวเองก็ยังงงๆ

"เดี๋ยว! เดี๋ยวนะป๊า ป๊าเล่าอะไร เล่าเรื่องผมหรอ นี่ป๊า...."

'หยุด! ไอ้กร...แกไปนั่งรอตรงนั้นเลยไป'
       คุณลุงพูดตัดบทในขณะที่กรกำลังตั้งท่าจะโวยวาย

"แต่ว่า..."

'ไอ้กร'

       กรชักสีหน้าไม่พอใจนิดๆแต่ก็ยอมเดินไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวแต่โดยดี
       ในที่สุดคุณลุงก็หันมาพูดกับผมที่กำลังสตันท์กับเหตุการตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก รอยยิ้มจางๆกับสายตาเศร้าๆปรากฎขึ้นบนใบหน้านั้น

'ลุง... ขอโทษนะ สำหรับทุกๆอย่าง ที่มาวันนี้จริงๆก็จะมาขอโทษ'

       ประโยคขอโทษแผ่วเบาถูกส่งมาให้ผมโดยที่ผมก็ไม่รู้ความหมาย

"เอ่ออ..."  ผมลากเสียงสั้นๆพร้อมประมวลความคิดในหัว

'ไม่ต้องถามอะไรหรอก เดี๋ยวก็เข้าใจทุกอย่างเอง ไอ้กรจะเป็นคนเล่าให้ฟัง'
       ผมส่งยิ้มให้เขาหลังประโยคยาวเหยียดนั้น

"ผมจะบอกว่า...จะอะไรก็ช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่าเราไม่เคยโกรธกันก็แล้วกันครับ"

'เฮ้อออ' ลุงถอนหายใจสั้นๆ

       มือหนายกขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ สีหน้าของคุณลุงเปลี่ยนไปในแบบที่ผมก็ไม่เข้าใจ แต่มันดูมีความสุขขึ้น

'ขอบคุณที่ทำให้ลุงตายตาหลับได้ซักที ฝากดูแลไอ้ลูกชายลุงด้วยนะ'
     
       ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆแก้เก้อก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น

'ฮ่าๆๆๆ เอาล่ะๆ งั้นลุงก็หมดหน้าที่ เครื่องกลับอิตาลีมันจะออกตอนสี่ทุ่มครึ่ง ลุงอยู่เมืองไทยนานมากไม่ได้ ต่อไปก็คุยกันตามสบายนะ'

"เอ่ออ..." ผมลากเสียงแบบเดิมอีกครั้งกับหลายสิ่งที่เข้ามาและจากไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมตั้งตัวไม่ทัน

'อ้อ แล้วต่อไปห้ามเรียกคุณลุงแล้วนะ ต้องเรียก คุณพ่อ เข้าใจมั๊ย เรียกป๊าก็ได้'

"อ่าาา. คะ..ครับ" ผมตอบพยักหน้าน้อยๆ


       จากนั้น คุณลุงก็เดินไปคุยกับกรซักพัก สาบานว่าผมพยายามเงี่ยหูฟังแล้วแต่ไม่ได้ยินอะไรเลย ในที่สุดคุณลุงก็หันมาหาผมที่ยืนรออยู่และบอกว่าจะไปแล้ว

"งั้น เดี๋ยวผมไปส่งที่สนามบินนะครับ" ผมพูด

'โอ๊ะๆ ไม่ต้อง ป๊าเช่ารถมา เดี๋ยวขับไปเอง'

       ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินลงไปส่งคุณลุงจนถึงรถที่จอดอยู่ใกล้ๆคอนโดของผม รถของคุณลุงแล่นออกไปในขณะที่ผมโบกมือลา กรยืนอยู่ข้างๆผมแต่ก็นิ่งเงียบ ผมควรจะถามเรื่องสงสัยที่มีอยู่ในหัวผมเต็มไปหมดรึเปล่านะ ท่าทางเขาตอนนี้ผมเดาทางไม่ถูกเลย ถึงผมจะมีเรื่องอยากรู้เต็มไปหมดแต่ก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ ดูเขาจะตกใจมากๆที่อยู่ๆก็เจอพ่อตัวเองในห้องผม ถึงผมจะตกใจมากด้วยที่พวกเขาเป็นพ่อลูกกันก็เถอะ


"คุณกร...หิวมั๊ย" 

       ผมตัดสินใจถามสิ่งที่คิดว่าคงไม่ทำให้เขาลำบากใจออกไป เขาค่อยๆหันมาหาผมด้วยสีหน้าที่ผมก็อธิบายไม่ได้ ผมส่งยิ้มเล็กๆให้เขา

"ผม..."  เขาพูดสั้นๆก่อนจะหยุดแค่นั้น
       
        ~ ฟึบบ

       เขาดึงผมเข้าไปหา ร่างหนาๆนั้นแนบชิดเข้ามาจนกระทั่งผมสัมผัสได้ถึงไออุ่น เขาเอาคางขึ้นมาเกยบนไหล่ผม ผมค่อยๆยกแขนขึ้นไปกอดเขาแล้วลูบเบาๆ พวกเราอยู่อย่างนั้นซักพักโดยที่ผมเองก็ลิมคิดไปว่าที่ๆเรายืนกอดกันนั้นมันเป็นฟุตบาทหน้าร้านสะดวกซื้อ


       ในที่สุดกรก็ยอมเอ่ยขึ้นโดยที่เรายังไม่ได้คลายอ้อมกอดจากกัน   


"ผม...อยากกินชาบู" เขาพูดสั้นๆ



















_________________________________________________________________________
หยง. Talk




"งั้น ผมส่งเท่านี้ละกันนะครับ"

'ค่ะ'

       หญิงสาวตอบผมพร้อมทำหน้าเซ็งๆ

"ขอโทษนะครับที่ผมทำให้คุณเบลล่าเสียเวลา"

'ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณตรงๆดี ไม่อ้อมค้อม ผู้ชายแบบคุณหยงนี่หายาก'

"ขอบคุณครับ งั้น เอาเป็นว่าผมให้นี่เป็นการขอโทษก็แล้วกันครับ"

       ผมพูดพร้อมหยิบการ์ดสีทองออกมาจากกระเป๋าตังค์แล้วยื่นให้เธอ

"ถ้าคุณเบลล่าจะซื้อรถใหม่แล้วไปโชว์รูมผม บัตรนี้ลดให้ได้แสนนึงครับ"

'อู้ว ขนาดตอนนี้ก็ไม่วายขายของนะคะ ขอบคุณค่ะ ไว้ถ้าจะซื้อใหม่แล้วจะไปนะคะ'

"ครับผม ราตรีสวัสดิ์นะครับ"

'เช่นกันค่ะ"

"..."

'อ้อ!!!'

       เบลล่าที่กำลังจะหันเดินเข้าประตูคอนโดไปหันขวับกลับมาเหมือนพึ่งคิดอะไรออก

'เบลล่าจะถามว่า พี่ชายคุณหยงนี่มีแฟนรึยังคะ เบลล่า....อยากได้'

       ผมเลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างเมื่อได้ยินประโยคขวานผ่าซากนั้นก่อนจะตั้งตัวได้แล้วหัวเราะออกมา

"ฮ่าฮ่า มีแล้วครับ แล้วผมเคลมไว้ก่อนเลยว่ารายนั้นยากสุดๆ"

'ว้าา แย่จัง ไม่ได้เลยซักคน'

        หญิงสาวทำหน้าผิดหวังนิดๆ

"อย่างคุณเบลล่าหาไม่ยากหรอกครับ"

'จะพยายามละกันค่ะ ไปละค่ะ บาย'

"บายครับ"



       หลังจากส่งคุณเบลล่าที่คอนโดเสร็จผมก็ขับรถออกมาทันที โชคดีที่เบลล่าเป็นคนตรงๆ และเข้าใจอะไรง่ายๆ วันนี้จึงกลายเป็นว่าผมได้เพื่อนมาอีกหนึ่งคน
       ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ยังไม่สามทุ่มเลย ป่านนี้ไอ้หมีควายจะเป็นยังไงมั่ง แล้วจะกินอะไรรึยังนะ ว่าแล้วผมก็ขับรถไปหาของกินทันที หมอนั่นชอบกินไก่ ผมซื้อไก่ทอดหาดใหญ่ไปให้หมอนั่นดีกว่า อย่างน้อยก็คงพอไถ่โทษได้บ้างเล็กน้อย



















_________________________________________________________________________
เหว่ย Talk

       ควันจากหมัอชาบูลอยขึ้นมากระทบใบหน้าผม กลิ่นอันคุ้นเคยนี้ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ผมมองดูเมนยูที่มีรายการเนื้อชนิดต่างๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ากร จากหน้าคอนโดผมมาถึงที่นี่ผมชวนเขาคุยแต่เรื่องสัพเพเหระ หวังว่าเขาจะสบายใจขึ้น

"เอ่ออ...พ่อผมนี่แสบจังเลยนะครับ" เขาพูดขึ้นในที่สุด

"อ่าา...ครับ จริงๆผมนึกว่าป๊าคุณ เอ่อ..."

"อ้อ...นึกว่าตายไปแล้วใช่มั๊ย"

"คะ...ครับ" ผมพยักหน้าหงึกหงัก

"ก็ไม่แปลกหรอก"

"..." ผมไม่ได้ถามอะไรแต่ก็ชักสีหน้าสงสัย

"ก็ จริงๆแล้วตอนนี้ป๊าเป็นคนสาบสูญน่ะครับ ป๊าใช้โอกาสเรือคว่ำเมื่อปีก่อนให้เหมือนว่าตัวหายไป ถือโอกาสวางมือจากธุรกิจส่งต่อให้ผมแล้วก็บินไปเที่ยวรอบโลกน่ะครับ"

"อ้าว แล้วทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นด้วยล่ะครับ"

"ก็...ป๊าบอกว่าเป็นแผนโปรโมทผมที่จะขึ้นรับช่วงต่อจะได้มีคนสนใจเยอะๆ  แต่จิงๆแล้ว ผมว่าต้องมีอะไรแอบแฝงอีกแน่ๆ"

"..." 
       ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็พยักหน้าเข้าใจ ประมวลกฎหมายไหลเข้ามาในหัวผม ถ้าหายไปในเหตุเรืออับปางแบบนี้ก็ 2 ปีจนกว่าจะฟ้องศาลให้เป็นคนสาบสูญได้

"เหว่ย คุณเหว่ย!"

"อ้า ครับ ครับ ครับ"
       ผมสะดุ้งออกจาดภวังค์ความคิด

"เอ่อคือ...คุณจะไม่ถามอะไรอีกหน่อยหรอ" เขาพูดอ้อมๆ

       ผมยักไหล่แล้วส่ายหัวเบาๆก่อนจะตอบ

"ไม่หรอกครับ คุณอยากเล่าตอนไหนก็ค่อยเล่า"

"อาาา...ขอโทษนะผมจะเล่าให้คุณฟัง แต่ขอเวลาหายใจหายคอแปป...มันปุบปับจนผมตั้งตัวไม่ทัน...มันเป็นเรื่องของผมที่ค่อนข้าง...น่าอาย"

       ผมหัวเราะเบาๆแต่ยังไม่ทันจะได้พูดกับเขาพนักงานก็เดินมาเพื่อรับออเดอร์ ผมหันไปสั่งทั้งหมดคนเดียวด้วยความชำนาญเพราะมากินบ่อยจนพนักงานจำหน้าได้ กรนั่งมองผมสั่งนิ่งเงียบ

"คุณจะเอาอะไรเพิ่มมั๊ย"

"ไม่ล่ะ...คุณสั่งเลย"

"โอเค งั้นตามนี้ครับ"

       ผมหันไปบอกพนักงาน อีกไม่กี่นาทีต่อมาของทั้งหมดก็มาวางจนครบ หลังจากนั้นกรก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

"ผม...คิดว่าพร้อมละ จะเริ่มเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นเลย"



















_________________________________________________________________________
มรรค Talk



       ผมนั่งไม่ติดโซฟาแล้ว ผมจนปัญญาแบบสุดๆแล้วตอนนี้ พี่เหว่ยก็ดันติดต่อไม่ได้ โทรไปที่คอนโดก็บอกว่าออกไปข้างนอก ผมไม่รู้จะไปตามที่ไหนแล้ว

"แม่งเอ้ยย!!"

        ผมสบถดังลั่นก่อนจะกวาดนิตยสารรถสปร์อทบนโต๊ะรับแขกหล่นกระจายลงพื้น ตอนนี้ผมเดือดจนทะลุเพดานไปแล้ว ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ ผมควรจะทำยังไงดีตอนนี้

     


_________________________________________________________________________
หยง Talk

       ผมรู้สึกเพลียนิดๆจากการไปซื้อไก่ทอดเมื่อสักครู่นี้ มันก็จะไม่มีปัญหาอะไรหรอกถ้าร้านมันไม่ใกล้จะปิดแบบนั้น โชคดีที่ผมโฉบไปจอดทันตอนที่เหลือน่องสองสามชิ้นกับอกอีกสองชิ้น ผมเปิดกระจกลงไปสั่งเหมาหมดแล้วคนขายก็พยักหน้ารับแล้ว และในขณะที่พี่คนขายกำลังจะคีบไก่ใส่ถุงกระดาษให้ผมนั้น ก็มีมนุษย์ป้าปรากฎตัวขึ้นและพยายามตัดหน้าผม คนขายก็ทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะกลัวรังสีอัมหิตของมนุษย์ป้า ผมที่หวังจะนั่งเป็นผู้ดีกระดิกเท้าอยู่ในรถเฉยๆจึงจำต้องลงไปจัดการเอง บอกเลยว่าปกติคนอย่างผมไม่มีทางลงไปต่อล้อต่อเถียงกับคนไร้วุฒิภาวะทางสังคมแบบนี้แน่ๆ แต่พอคิดจะทิ้งไก่พวกนั้นแล้ว หน้าไอ้หมีควายนั่นก็ผุดขึ้นมา ให้ตายเถอะ ผมลงจากรถไปเถียงกับมนุษย์ป้าเพื่อแย่งไก่ทอดไปให้หมีควาย

'ใส่ถุงนั่น เร็วๆสิ จะขายมั๊ยยะ' 
       มนุษย์ป้าชี้นิ้วออกคำสั่งคนขาย

"เอ่อ ขอโทษนะครับ อันนั้นผมซื้อแล้วครับ"
       ผมเดินอ้อมรถไปยืนหน้าร้านรถเข็นก่อนจะเอ่ยบอก

'อะไร ซื้ออะไร ยังไม่ได้ลงจากรถเลย เงินก็ยังไม่ได้จ่าย'
       ป้าแกเอามือเท้าสะเอวแล้วหันมาพูดปาวๆใส่หน้าผม ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดๆกับสายตาดูถูกและริมฝีปากเหยียดๆนั่น

"ผมสั่งพี่คนขายแล้วครับ ก่อนคุณเดินมา"

'ฉันไม่สน ฉันต้องได้ ฉันเดินมาตั้งไกล'

"ผมก็ขับรถมาไกลเหมือนกันครับ" ผมตอบ

'อะไร! หน้าตาก็ดี ดูท่าก็น่าจะรวย แค่นี้ให้ไม่ได้หรอ ทำไมไม่ไปหาอะไรสูงๆกินล่ะ มาแย่งคนจนๆกินทำไม'
       มนุษย์ป้าพูดโหวกเหวกก่อนจะมองผมอย่างดูถูก ผมได้แต่กำหมัดแน่นพลางคิดในใจว่าแม่งอยากถีบหน้าอินี่ชิบหาย

"ขอโทษจริงๆครับ ผมก็กินเหมือนคนอื่น ผมว่าป้านั่นแหละควรไปหาอะไรที่มันต่ำๆกินครับ"
       ผมพูดเรียบๆ มนุษย์ป้าถลึงตาด้วยความโกรธ พี่คนขายรีบคีบไก่ใส่ถุงแล้วยื่นให้ผม

'โอ้ยย แกไปขายให้มันทำไม ไอ้โง่'
       ป้าหันไปด่ากราดใส่คนขายที่ยื่นถุงไก่ให้ผมโดยหารู้ไม่ว่าเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

'อ้าาวๆๆๆป้า ก็เค้ามาก่อนผมก็ขายให้เค้าดิ ป้านั่นแหละแม่งโง่ เขาเหมาแล้วก็ยังเดินเข้ามาอีก'
       มนุษย์ป้ายืนอ้าปากค้างหลังจากหนุ่มคนขายท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมฟิวส์ขาดแล้วด่าแกกลับ ผมรีบควักแบงค์ห้าร้อยใส่มือคนขายทันที

'พวกแก ไอ้พวกชั้นต่ำ'
       มนุษย์ป้าด่ากราดอีกรอบก่อนจะสะบัดก้นเดินออกไป

'เออ ชั้นสูงนักไปหาซื้ออาหารหมาแดกไป'
       พี่คนขายด่าไล่หลังอย่างเจ็บแสบก่อนที่มนุษย์ป้าจะรีบจ้ำอ้าวหายไปอย่างรวดเร็วเพราะคนที่ยืนโบกแท็กซี่อยู่แถวนั้นเริ่มหันมามอง

       ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆให้คนขาย เขาเองก็ยิ้มแหยๆตอบกลับมา
'โทษทีครับมันทนไม่ไหว ผมโดนด่าว่าโง่ แถมยังว่าผมขายของต่ำๆอีก'
       คนขายเกาหัวแกรกๆ จากนั้นจึงนับเงินทอนให้ผม

"ไม่เป็นไรครับ ผมธิปให้พี่ละกัน ขอบคุณที่เมื่อกี้ช่วยผม"

'อ่าา ด่าคนแล้วได้เงินด้วยวุ้ย'

       คนขายพูดพร้อมเกาหัวอีกครั้งก่อนที่พวกเราจะหัวเราะกันเสียงดังจนคนหันมามอง พี่คนขายรีบหยิบข้าวเหนียวที่เหลืออยู่ในกระติกสองสามถุงให้ผมก่อนที่ผมจะขึ้นรถแล้วขับออกมา ต่อไปผมคงได้มาเป็นขาประจำร้านนี้แหงมๆ




       ผมขับรถเข้ามาจอดหน้าคอนโด หันไปดูข้างๆที่จอดรถของผมมีรถของมนุษย์หมีควายจอดอยู่ตามคาด ที่จอดวีไอพีที่มันลงทุนซื้อมาจากพี่แต้วห้องตรงข้ามผมในราคาสองหมื่นบาท เหตุผลเพียงแค่เพราะมันอยู่ข้างๆที่จอดรถของผม ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่ผมเสียดายเงิน เข้าใจมะ เงินอ่ะ เงินตั้งสองหมื่น สองหมื่นน
       ผมเดินต๊อกแต๊กๆเข้ามาในคอนโดพลางก้มลงมองถุงข้าวเหนียวไก่ทอดในมือ รู้สึกว่าเป็นไก่ทอดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชะมัด ผมลงทุนเถียงกับมนุษย์ป้าเพื่อหมอนั่นเลยนะ หวังว่าหมอนั่นคงจะชอบ

       
       ~ตี๊ดด
       เสียงสัญญานหน้าประตูดังขึ้นและสลักประตูก็เด้งออก ผมดึงด้ามจับแล้วก็เข้ามาข้างในห้อง สูดกลิ่นบรรยากาศอันคุ้นเคย ถึงซักที ห้องอันแสนสงบสุข



"โว้ยยยยย!"

       ~ ปังง

       เสียงหมีควายโวยวายก่อนที่จะมีเสียงบางอย่างตกกระแทกพื้นอย่างแรงดังขึ้นตามมา ผมปล่อยถุงไก่และกระเป๋าในมือทิ้งโดยอัตโนมัตก่อนจะรีบวิ่งไปทางต้นเสียง รู้สึกหัวใจถูกบีบอัดจนหายใจแทบไม่ออก





       ผมวิ่งเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเอ็กซ์บ็อกส์ของผมแตกกระกายไปคนละทิศละทางอยู่บนพื้น ขณะเดียวกันหมอนั่นก็กำลังถือแม็กบุ๊คของผมอยู่ในมือและทำท่าจะเขวี้ยงมันลงพื้นไปอีกอัน

"เฮ่ยๆๆ ถ้าไอ้นั่นพังอีก ครบแสนพอดี"

       ผมพูดพลางยกมือขึ้นมาปราม หมอนั่นชะงักนิดหน่อยก่อนจะตวัดสายตามามองผม

"ฮึ!"

       ~ ปึกก กก ก!!

       ผมยืนอ้าปากค้างมองโน๊ตบุคสุดที่รักหล่นกระแทกพื้นแล้วกระเด็นกระดอนต่ออีกสองสามที ถึงแม้มันจะไม่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆเหมือนเอ็กซ์บ็อกส์ แต่ฟังจากเสียงแล้วไม่น่าจะรอด

"นี่คุณบ้าไปแล้วรึไง!!"

       ผมตวาดสั่นพลางวิ่งเข้าไปนั่งสำรวจดูร่างไร้วิญญาณของแม็กบุคบนพื้น

"เออ!! บ้า บ้าไปนานแล้ว!!"

"..."

       ผมไม่ได้พูดอะไรแค่เงยหน้าขึ้นไปมองเขา นี่ผมก็โกรธเหมือนกันนะ จะทำลายข้าวของทั้งทีก็ทำลายแต่อันแพงๆ ไอ้โรคจิต



"ไปไหนมา แล้วปิดเครื่องทำไม"
       อยู่ๆหมอนั่นก็เปลี่ยนโทนเสียงเป็นเสียงเรียบๆ ผิดวิสัยสุดๆ น่ากลัวชะมัด

"อะ...เอ่ออ ไป ไปคุยกับลูกค้ามา แล้ว แล้วแบตโทรศัพท์หมด"
       ผมเลือกที่จะโกหกเพื่อเลี่ยงไม่ให้หมอนั่นโมโหไปมากกว่านี้

        ~ ฟึบ

"อ้ะ !!..."

       ผมโดนกระชากแขนให้ลุกขึ้นยืนด้วยแรงมหาศาล หมอนั่นจับข้อมือผมทั้งสองข้างถือไว้แล้วเอ่ยเสียงเรียบๆอีกครั้ง

"ฉันถามว่า...ไปไหนมา"

"กะ...ก็ไปคุยกับลูกค้าไง สะ...เสร็จแล้วก็รีบกลับมา เออใช่! ฉันซื้อไก่ทอดหะ...."

"ทำไมต้องโกหกด้วย!!! ฮะ!!"

       หมอนั่นตวาดลั่นพร้อมกับเขย่าข้อมือผม สายตาเรียบๆเมื่อกี้นี้เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดแบบสูงสุด ผมกลัวจริงๆแล้วนะ

"อะ...เอ่อ เอ่อออ ผม...ผม...โอ้ยย!"
       หมอนั่นเปลี่ยนมาบีบกรามผม

"อะไร!!! ฮะ!!"
       เสียงตวาดดังลั่นจากหมอนั่นทำให้ผมหลับตาลงเพื่อหนีจากความน่ากลัว

"ผม...เจ็บ" 
       ผมขยับปากพูดอย่างยากลำบาก แรงบีบคลายออกอย่างรวดเร็ว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นแต่มือเขาก็เปลี่ยนมาพันธนาการตัวผมแทน

"มองมานี่ เห็นมั๊ย ฉันไม่เจ็บรึไง.....ทำไมนายถึงต้องโกหกด้วย"

       แววตาที่เคยมองอย่างเอาเรื่องค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นแววตาอ่อนแรง ผมได้แต่กลืนน้ำลาย นี่เขารู้แล้วใช่มั๊ยว่าผมออกไปดูตัว

"เอ่อ ผม...ขอโทษ ก็ผมกลัวคุณจะไปอาละวาด"

       ผมพูดออกไปตามความจริง

"ฉันมันเป็นตัวปัญหากับนายขนาดนั้นเลยหรอ"

       หมอนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ผมรู้สึกเหมือนถูกมีดปักที่หัวใจ นี่หมอนั่นคิดมากเรื่องผมออกไปดูตัวขนาดนี้เลยหรอ

"..." ผมพูดอะไรไม่ออก

"โอเค งั้น...ฉันควรอยู่ห่างๆจากนายสินะ"

       หมอนั่นพูดพลางปล่อยผมออกจากอ้อมแขน นี่ผมก็พึ่งรู้ว่าเขามีโหมดน้อยใจในลักษณะนี้ด้วย น่าสงสารชะมัด

"..."
       ผมคิดคำพูดอะไรไม่ออกรู้สึกหัวตื้อไปหมด

"ได้ โอเค ถ้านายต้องการแบบนี้ฉันก็จะไป"

       หมอนั้นพยักหน้ายอมรับด้วยสีหน้าเจ็บปวด นี่ผมยังไม่ได้พูดอะไรซักหน่อย หมอนั่นพูดเองเออเองชัดๆ
       ร่างใหญ่ๆของหมอนั่นค่อยๆหันหลังและเดินออกไป ผมคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร ในเวลาแบบนี้ผมควรจะพูดอะไร ไม่! มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

       ~ หมับ

       ผมคิดอะไรไม่ออก อยู่ๆร่างกายก็ขยับไปเองแล้วผมก็วิ่งเข้าไปกอดหมอนั่น ผมซบหน้าลงไปกับแผ่นหลังกว้างๆนั้น

"อะ...อย่า พึ่ง ไป ผม ผม..."

       ผมพูดติดขัด หมอนั่นหยุดยืนนิ่ง ผมรัดอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมกลัวเหลือเกินว่าเขาจะไปจริงๆ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่แค่คิดน้ำตาก็ไหลแล้ว

"..."

"ขอ...โทษ"
       ผมพูดเสียงสั่นนิดๆก่อนที่น้ำตาจะเอ่อออกมา ผมจะอธิบายความรู้สึกของผมให้เขาฟังยังไง ทำไมมันถึงยากเย็นขนาดนี้
       หมอนั้นค่อยๆแกะมือผมออก ผมรั้งไว้สุดแรงแต่สุดท้ายผมก็สู้แรงเขาไม่ได้ แต่เขากลับหันมาหาผมก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้นมาปาดน้ำตาให้

"ร้องไห้ทำไม"
       เขาถามเสียงเรียบ

"ไม่...ไม่อยากให้ไป"

"ไม่อยากให้ใครไป"
        เขาไล่ต้อนผมอีกครั้ง

"คะ...คุณ   ผมไม่อยากให้คุณไป"

       รอยยิ้มเล็กๆปรากฎที่มุมปากนั้นหลังจากที่ผมพูดจบ ร่างหนาๆนั้นเดินเข้ามาแล้วดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด หน้าผากของพวกเราชนกัน ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจเขาชัดเจน



"คุณมรรค คุณหายโกรธแล้ว...ใช่มั๊ย"
       ผมพูดเบาๆ

"ไม่"

"ทะ...ทำไมล่ะ"

"ฉันยังไม่แน่ใจ ว่าฉันสำคัญกับนายจริงรึเปล่า"

"สะ...สำคัญ สำคัญสิ"

"ไหน หลักฐาน"
       เขาพูดเสียงเรียบ ผมนิ่งและครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ

"ไก่" ผมตอบ

"ฮะ"
       เขาผละออกจากหน้าผากผมแล้วออกมาจ้องหน้าผมแทน คิ้วเขาขมวดเข้าหากันแสดงความสงสัย

"อ่าวว ไก่ไง ไก่ทอดที่ผมซื้อมาให้คุณ มันเป็นหลักฐานว่าคุณสำคัญกับผม"

"ไก่ทอด?" หมอนั้นยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันหนักกว่าเดิม ตลกชะมัดเลย

"ใช่แล้ว ไก่ทอด"

       ผมพูดก่อนจะส่งยิ้มให้หมอนั่นไป ผมคิดว่าเขาคงงงไปอีกนานเลยล่ะ

song2315

  • บุคคลทั่วไป
_________________________________________________________________________
เหว่ย Talk

"งั้นก็หมายความว่าคุณความจำเสื่อมอยู่สามปีเลยหรอครับ"

       กรหยักหน้ารับเบาๆ ผมรู้สึกเจ็บหน่วงๆนิดๆที่หน้าอกเมื่อได้รู้ความจริง ความรู้สึกอิจฉาผู้ชายคนนั้นที่กรเคยทุ่มเทให้ตั้งมากมายก่อตัวในใจผม ถ้าไม่ติดว่าเขาประสบอุบัติเหตุตอนนั้นแล้วความจำเสื่อมไป แล้วถ้าพวกเขาได้เจอกันก่อนบางทีพวกเขาอาจจะรักกันมากก็ได้ แล้วผมก็จะ...ไม่มีความหมาย

"แล้ว...แล้วหลังจากนั้น คุณได้เจอผู้ชายคนนั้นบ้างมั๊ย"
       ผมตัดสินใจถามออกไปทั้งที่ ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าผมจะอยากฟังคำตอบหรือเปล่า

       กรพยักหน้าเป็นคำตอบว่าเคยเจอ ผมรู้สึกเหมือนตัวเบาโหวงเพราะตกจากที่สูง ถ้าเทียบกันแล้ว ผมที่พึ่งรู้จักกับเขาได้ครึ่งเดือนกับผู้ชายที่เขาเคยทุ่มเทให้เป็นปีๆ ผมไม่มีอะไรสู้ผู้ชายคนนั้นได้เลย

"เอ่ออ...เหว่ย ผมยังไม่ได้บอกคุณว่า..."

"แล้ว!! แล้วเขาอยู่ที่ไหนล่ะครับ แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ผู้ชายคนนั้นน่ะ"

       ผมรีบชิงถามตัดประโยคของเขาเพราะกลัวว่าเขาจะบอกอะไรที่มันทำร้ายจิตใจผมออกมา อย่างน้อยถ้าเขาจะบอกว่าเขายังรักผู้ชายคนนั้นอยู่ ผมก็ขอเวลาทำใจก่อนจะฟังซักครึ่งนาทีก็ยังดี

"อะ....กะ...ก็ เขาก็สบายดี"

"..."

"จริงๆแล้ว..."

"..."
       ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กำลังคิดอยากจะหนีไปให้ไกลๆจากตรงนี้

"จริงๆแล้วผู้ชายคนนั้น..."

"..."

"เขาก็กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าผมนี่แหละ"

       หลังเขาพูดจบผมก็ทำเดรนเนอร์ด้ามยาวที่ถืออยู่หลุดลงไปในหม้อต้มทันที รู้สึกมือไม้อ่อนไม่มีแรง ผมรีบหันหลังไปดูโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มวัยสี่สิบต้นๆท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งกำลังคีบปูอัดอลาสการ์เข้าปาก ลมหายใจผมมาจุกอยู่ที่คอ ผมค่อยๆหันกลับมามองหน้ากร

"คะ...คนนั้นหรอครับ ผม...ผมนึกว่าจะอายุเท่าๆกันกับพวกเราซะอีก" 
       ผมเริ่มพูดตะกุกตะกักก่อนที่จะเริ่มรู้สึกร้อนๆที่ขอบตา นี่ผมกำลังจะร้องไห้ใช่รึเปล่า ไม่ ไม่ๆๆๆ น้ำตามันไหลออกมาแล้ว ได้โปรดหยุดเถอะ ผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา ผมไม่อยากดูอ่อนแอไปมากกว่านี้

"เดี๋ยว เดี๋ยวนะ..ไม่! คุณร้องไห้ทำไม" เขาพูด

"ผม เอ่ออ...ผมดีใจกับคุณน่ะครับที่ได้เจอเขาแล้ว ผู้ชายที่อยู่โต๊ะด้านหลังผมนี่ใช่มั๊ยครับ"

"ดะ...เดี๋ยวเหว่ย! คุณ..."

"ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะครับ"

       ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกมาก่อนที่จะดูน่าสมเพชไปมากกว่านี้ กรพยายามลุกขึ้นมารั้งผมไว้ แต่ผมรู้สึกว่าพื้นที่ใกล้ๆเขาไม่ใช่พื้นที่ของผมอีกต่อไปผมจึงปัดแขนเขาออก ผมหลับตาก่อนจะตัดสินใจผลักเขาเต็มแรงแล้วออกวิ่งทันที

"เฮ่ยย! เหว่ย เดี๋ยวๆ เดี๋ยวๆๆๆ ...โถ่เว่ย!  น้องๆ เงินอยู่ในกระเป๋าตังนั่น...นั่นอยู่บนโต๊ะนั่น เสร็จแล้วเก็บไว้ให้ด้วยเดี๋ยวผมกลับมาเอา"

       ผมได้ยินเสียงกรพูดแค่นั้น จากนั้นผมก็ปิดหูปิดตา ผมไม่รู้ว่าผมกำลังจะไปที่ไหน ผมวิ่ง วิ่งและวิ่ง ผมคงทำได้แค่นั้น ดูเหมือนความโดดเดี่ยวจะเป็นเพื่อนชั่วชีวิตของผมอย่างแท้จริง ดูเหมือนการอยู่อย่างโดดเดี่ยวจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ดีที่สุด







       ผมวิ่งพรวดออกมาที่ลานจอดรถของชั้นสี่ก่อนจะพึ่งคิดออกว่ากุญแจรถของผมอยู่ที่เขา ผมค่อยๆเดินเนือยๆไปพิงเสาต้นใหญ่ๆต้นหนึ่งก่อนจะพยายามปรับการหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ ผมไม่อยากร้องไห้ ผมไม่อยากเป็นคนน่าสมเพชแบบนี้ แต่เมื่อมองย้อนมาดูสภาพตัวเองตอนนี้ก็ได้รู้ ผมไม่เคยเป็นคนสำคัญที่สุดของใครเลย 




"เหว่ย!!! คุณอยู่ไหน!!!" 




       ผมสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงตะโกนเรียกของเขา ผมรีบหลบมุมเข้าไปกับเสาและย่อตัวนั่งลง ผมไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่อยากรู้สึกอะไรไปมากกว่านี้

"..."

"ผมรู้นะว่าคุณอยู่ที่นี่!!  เหว่ยย!!!"

       เขายังคงตะโกนต่อ ผมอยากจะเอามืออุดหูตัวเอง แต่อีกใจก็อยากฟังว่าเขาจะพูดอะไร บางทีเขาอาจจะบอกผมก็ได้ว่าเขาก็รักผมมากเหมือนกัน อาจจะก็ได้

"..."





_________________________________________________________________________
กร talk


       ผมพยายามตะโกนเรียกชื่อเหว่ยเพราะหวังว่าเขาจะยอมออกมา ผมเห็นเขาวิ่งออกมาที่นี่ เขาต้องหลบอยู่ที่ไหนซักที่หลังเสาซักต้นหรือรถซักคัน โชคดีสุดๆที่ผมเป็นคนขับรถขามา กุญแจรถเลยอยู่กับผม ไม่งั้นล่ะก็เขาต้องขับรถหนีผมแน่ๆ


--


       ผมตะโกนมาเป็นนาทีแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมออกมา ผิดที่ผมเองที่ไม่ยอมเล่าให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ลืมคิดไปสนิทเลยว่าเหว่ยจะรู้สึกแย่ขนาดไหนที่ฟังผมเล่าเรื่องที่ผ่านๆมาโดยไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือตัวเขาเอง ผมจะต้องทำให้มันชัดเจนตอนนี้แหละ

"เหว่ยยย!! มีอีกเรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ!!"

       ผมตะโกนสุดเสียงเผื่อว่าเขาอุดหูอยู่ อย่างน้อยก็มั่นใจว่าจะต้องได้ยินเสียงผมแว่วๆ

"..."

        แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา

"จริงๆแล้วผู้ชายคนนั้น!!!"

"..."

"คนที่ผมรักมาตลอด..."

"..."

"ก็คือคุณ...เหว่ย!!! ผู้ชายคนนั้นคือคุณ" 
       ผมหลับตาตะโกนสุดเสียง ผู้คนที่ทยอยเดินออกมาจากประตูเลื่อนเริ่มหยุดยืนมองผม

"..."

"เขาเป็นผู้ชายผิวขาว!! เรียนคณะนิติ!!!"

"..."

"เงียบขรึม ชอบอยู่คนเดียว!!!"

"..."

"เขามาอ่านหนังสือหลังตึกคณะทุกคืน ผมหลงรักเค้า!!! ได้ยินมั๊ยเหว่ย ผมหลงรักเค้า!!!"

"..."

"เขาชอบไปที่สะพาน ไปฉลองวันเกิดที่บ้านเด็กกำพร้า!!"

"..."

"ไปนั่งกินข้าวคนเดียว!!"

"..."

"ได้โปรดเหว่ย!!!"

"..."

"เขาเป็นคนสุดท้ายในความทรงจำผม...ก่อนที่ผมจะความจำเสื่อม!!"

"..."

"แล้วเขาก็เป็นคนแรก...คนแรกที่ผมเห็นตอนที่ความจำผมกลับมา!!!"

"..."

"ได้โปรดออกมา...ออกมาหาผมเถอะเหว่ย"

"..."

"ผมรักคุณ!!!"

"..."

"รักมาตลอด!!!!!"

"..."

"เหว่ยย!! ผมรักคุณ"

       ผมตะโกนดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันหมดแรงจนผมต้องคุกเข่าลงกับพื้นแล้วหอบหายใจ พระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อะไรก็ได้บรรดาลให้เขาได้ยินคำพูดของผมที

  ~ฟึบบ

'คุณครับ สงบสติอารมณ์ก่อนนะครับ'
       พนักงานรักษาความปลอดภัยสองสามคนมาหิ้วปีกผม ผู้คนหลายสิบยืนอยู่ด้านหลังผมคอยมองเหตุการณ์โดยไม่ได้ส่งเสียง ความเงียบและเครียดเริ่มก่อตัวขึ้น

"เหว่ย!! ได้โปรดด!!" ผมยังพยายามตะโกนต่อ

"..."

"ผม...ผมไม่อยากจากคุณไปไหนอีกแล้วว!!!...แค่ก..แค่กๆๆ"

       ผมแสบคอจนต้องหลับตา การไอครั้งหนึ่งเหมือนจะทำให้ร่างผมร้าวไปทั้งร่าง



'ฮู่วว ! ซุบซิบๆ ๆ'

       อยู่ๆฝูงชนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงซุบซิบๆ ผมรีบเงยหน้าขึ้นมามองด้านหน้าตนเองทันที ชายหนุ่มผิวขาว เสื้อเชิตสีครีม กางเกงรีดเรียบสีเทา เขายกแขนซ้ายขึ้นปาดน้ำตาบนหน้าก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาหาผม ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง ไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ผมจะวิ่งไปกอดเขา แล้วผมก็จะไม่มีทางปล่อยให้เขาหายไปอีก

       ผมยันตัวลุกขึ้น ขาผมออกวิ่งก่อนที่ผมจะรู้สึกตัวว่ายืนเต็มเท้าแล้วซะด้วยซ้ำ ร่างของเหว่ยใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนที่สุดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอ้อมกอดผม อ้อมกอดที่หาคำอธิบายไม่ได้ อ้อมกอดที่แนบแน่นมากกว่าครั้งไหน





       เสียงปรบมือเกรียวกราวจากฝูงชนทำให้ผมและเขาไม่อาจอยู่อย่างนั้นได้นานนัก แต่แค่ชั่วแวบเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับการส่งความรู้สึกถึงกัน

"คุณไม่ได้หลอกผมใช่มั๊ยคุณกร"

       เหว่ยเอ่ยเบาๆหลังจากเราคลายอ้อมกอดจากกัน

"ผมสาบาน...ผมพูดจริง" ผมตอบ

"ผม...ผมก็ไม่รู้จะบอกคุณว่าอะไร...เอาเป็นว่า ขอบคุณนะครับ" 
       เขายิ้มก่อนจะยกแขนขึ้นปาดน้ำตาอีกรอบ ในขณะที่ผมกำลังคิดว่า ถ้าจูบเขาตอนนี้จะเป็นอะไรรึเปล่านะ
















@ คอนโดเหว่ย 22.40


_________________________________________________________________________
กร Talk


"อะ...เหว่ย คุณ คุณจะทำอะไรน่ะ"

       ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ากระดุมเสื้อเม็ดบนถูกปลด เหว่ยทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะรีบชักมือกลับจากกระดุมเสื้อผม เขาก้มหน้างุดก่อนจะพูดเบาๆ

"ผม...ผมเคยดูใน...หนัง ผมอยากจะ...ทำให้คุณ...แบบนั้น..บ้าง"

       เขาพูดตะกุกตะกักก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วโน้มลงมาหอมแก้มผมเบาๆ ในตอนนี้เองที่ผมรู้ว่าแขนทั้งสองข้างกับขาทั้งสองข้างของผมถูกพันธนาการด้วยเชือกไว้กับสี่มุมของเตียงเสียแล้ว ถึงแม้จะตกใจนิดหน่อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ดูเหมือนจะยังมีอะไรให้ผมตกใจมากกว่านี้อีก

"เอ่ออ..เหว่ย..." ผมพูดไม่ค่อยเป็นประโยค

"บะ...แบบว่า ละ...แล้วก็ถ้าใส่ชุดแบบนี้คุณก็จะชอบใช่มั๊ยครับ"

       ผมมองเหว่ยอย่างงุนงงก่อนที่จะเห็นเขาลุกขึ้นแล้วถอดชุดคลุมอาบน้ำสีขาวออก ผม...เอ่อ ผมจะอธิบายภาพที่เห็นว่ายังไงดี
       ชายหนุ่มผิวขาวที่ผมเฝ้าไฝ่ฝันถึง เสื้อเชิตสีฟ้าเข้มรัดรูปไปกับกล้ามเนื้อได้สัดส่วน กางเกงสแลคฟิตเปรี๊ยะขายาวสีดำ ที่เอวมีกระบองสีดำคาดอยู่ติดกับเข็มขัด ให้ตายเถอะ เหว่ยอยู่ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยที่...ที่เซ็กซี่ที่สุด ถ้าไม่ติดว่าผมถูกมัดอยู่ เขาต้องโดนจับตีก้นป๊าบๆแน่

"เหว่ย มัน...มันแบบว่า" ผมจัองเขาตาไม่กระพริบ

"อ๊ะ!...ขอโทษนะครับ คุณไม่ชอบใช่มั๊ยผมจะรีบไปถอดเดี๋ยวนี้แหละ ผม...ไม่น่าหลงเชื่อพวกนั้นเลย"

       เหว่ยพูดเสียงสั่นพร้อมยกแขนขึ้นมากอดตัวเองหลวมๆ

"เฮ่ย! ไม่ใช่ๆๆๆ ผมชอบมาก...ชอบจริงๆ"

       ผมรีบบอกออกไปก่อนที่เหว่ยจะวิ่งไปถอดมันออกจริงๆ ผมคงเสียใจไปชั่วนิรันด์แน่ถ้าเป็นแบบนั้น เหว่ยค่อยๆผ่อนคลายแล้วยกแขนที่กอดตัวเองอยู่ลง จากนั้นจึงเดินมานั่งลงข้างๆตัวผมบนเตียง เขาถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอ่ย

"พวกตัวแสบสามคนนั้น ก่อนจะกลับกรุงเทพไป...พวกนั้นให้ของขวัญขอโทษผมกล่องนึง"

"ของขวัญ...ขอโทษ?"  ผมถามอย่างสงสัย

"ชะ...ใช่ครับ ขอโทษที่เอาพวกเราไปปล่อยเกาะ แล้ว...แล้วแบบว่า"

"แบบว่า?" ผมเลิกคิ้วพร้อมเอ่ยถาม ความสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก

"แบบว่า ในกล่องนั้นมี...เอ่อ..หนังที่ชอบใช้ความรุนแรงอยู่แผ่นนึง มีชุดนี้ที่ผมใส่อยู่ แล้วก็มีกระดาษโน้ตเขียนว่าถ้าผมใส่ชุดนี้คุณจะชอบมากๆ"

"ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆๆๆ ! งั้นเองหรอ"

       ผมหัวเราะเบาๆ อยากจะบอกว่าเหว่ยโชคดีมากที่มีเพื่อนที่รักเขามากขนาดนี้จะผิดมั๊ยนะ




"คุณกร...คุณไม่ว่าอะไรใช่มั๊ยถ้าผมจะ..."

      อยู่ๆเขาก็เว้นช่วง


"จะ..."
       ผมแกล้งต่อประโยคเร่งเร้าเพื่อแกล้งเขา รอยเลือดฝาดแดงๆที่แก้มเขาเริ่มลามไปจนถึงต้นคอ จะมีใครน่ารักไปพร้อมกับเซ็กซี่แบบเขาได้อีกรึเปล่าเนี่ย

"...ถ้าผมจะ" เขาพูดก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ

       ~หมับ

       ฝ่ามือขาวๆวางหมับลงบนจุดศูนย์กลางร่างกายผม เจ้าของมือหลับตาปี๋ทั้งๆที่กำลังลวนลามผม ผมสะดุ้งเฮือกก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าบางอย่างของผมแข็งขึ้นมาสู้มือเขาอย่างรวดเร็ว ยิ่งเห็นท่าทางของเหว่ยแบบนั้นยิ่งทำให้ผมรู้ คนอย่างเขาต้องใช้ความกล้าบ้าบิ่นมากขนาดไหนในการจะใส่ชุดนั้นต่อหน้าคนอื่น ต้องใช้อีกมากเท่าไหร่ถึงจะกล้าทำแบบนี้กับผม ถ้าผมไม่สำคัญมากต่อเขาจริงๆเขาคงไม่ยอมทำจนถึงขนาดนี้ ผมจะปฏิเสธอะไรเขาได้ ตอนนี้ผมมันเป็นลูกไก่ในกำมือของเขาชัดๆ

"ผม..ผมยอมให้คุณทำทุกอย่างเลย" ผมพูดเสียงสั่น

       เหว่ยพยักหน้าเบาๆก่อนจะเปลี่ยนลุกขึ้นมานั่งทับบนตัวผม ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างตื่นเต้น กระดุมเสื้อของผมค่อยๆถูกปลดออก...ทีละเม็ด ทีละเม็ด











________________________________________________________________________

โอยยยย หายไปเดือนนึงพอดีเลยครับ ผมกลับบมาแล้วนะๆๆ 5555
เหลืออีกตอนเดียวก็คอมพลีทแล้ว ก็ ขอขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ให้กำลังใจนะครับ
รออีกพัพนุง เดี๋ยวตอน 10 จะตามมา 555555555



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กลับมาต่อเดี๋ยวนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ GETIIZ

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +90/-4
กรี้ดดดดด
ยาวจุใจมากกกกก
ในที่สุดเหว่ยก็รู้ความจริวง

โอ้ยยยย ยังจะมีคอสเพลน์ชุด รปภ.อีกกก
เขินนนนนน555555

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :m31: อ๊ากกกกกกพ่นไฟใส่หัวนะกลับมาต่อเดียวนี้เลยนะ :katai1:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

อยากจะลงไปชักดินชักงอซะให้ได้  :ling1:

ทำไมทำกันแบบนี้ได้ หายไปแล้วมาต่อแบบค้างๆได้ไง

ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทำร้ายกันเกินไปแล้ว

มาต่อเลยนะ  :mew6:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
เหว่ยมาโหมดนี้ แล้วกรจะเป็นอย่างไรเนี่ย อิอิ

อีกคู่ก็อย่าใช้กำลังกันมากนะครับ สงสารหยง คุณชายมรรคอารมณ์แปรปรวนบ่อยเกิ๊น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






karn12341

  • บุคคลทั่วไป
อ่านทันแล้ว  รอติดตามนะคร้าบ  มาต่อไวๆนะ

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ผมมารอ คุณ song2315 ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะ 55555555555555555555 เดือน7แล้วนะครัชชช

song2315

  • บุคคลทั่วไป
      @boyslover.  ขอโทษด้วยนะคร้าบบบบบบบบ หลังจากผมโดนคุณ Boyslover ทวง ผมก็ตาลีตาเหลือกกลับไปปั่นจนได้ 60 % แล้วตอนนี้ ขอโทษด้วยนะครับที่ดองจนนานขนาดนี้ ผมสัญญา ภายในวันสองวันนี้แน่นอนครับ.  ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันครับ :katai4:

song2315

  • บุคคลทั่วไป
010 : Gratification.

   


   # ขอคุยก่อนเข้าเนื้อเรื่องนิดนึงนะครับ : ตอนที่ 10 นี้เป็นตอนจบ ผมเขียนขึ้นด้วยจินตนาการสุดล้ำลึก (คือจริงๆคือเขียนสนองNeedตัวเองนั่นแหละ อิคึ อิคึ). คือตอนนี้มันมี NC แบบไม่สามารถจำกัดเรทได้. คือผมยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโรคจิตมากขึ้นเรื่อยๆ. กว่าผมจะทำใจเอาลงมาให้อ่านกันได้ก็คิดอยู่นานเลยครับ. แต่อย่าว่ากันเลยนะครับ.  สำหรับคนที่ไม่อยากอ่าน NC ก็ไม่ต้องอ่าน Part 2 นะครับ ข้ามไปอ่านสามบรรทัดสุดท้ายแล้วจบเลย ฮาาาาาาาา






Part 1



---วันรุ่งขึ้น---





มรรค Talk
11.39 น.

ณ ห้างสรรพสินค้า. กรุงเทพมหานคร.
______________________


'แปดหมื่นหกพันสี่ร้อยบาทค่ะ'

       ผมยื่นบัตรเครดิตของผมให้พนักงานขายแม็คบุคอย่างปลงๆ เพราะเมื่อวานพึ่งเข้ามาในร้านนี้แล้วเสียเงินซื้อมือถือไปเกือบสี่หมื่น แล้ววันนี้ผมยังต้องจ่ายค่าแม็คบุคอีกเกือบแสน

"นี่คุณ ผมบอกว่าเอารุ่นที่มันสี่หมื่นกว่าก็พอไง"

       ไอ้ตี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆผมเอ่ยทักท้วงหลังจากพนักงานเดินออกไป

"ก็ไอ้ที่ฉันเควี้ยงของนายลงพื้นเมื่อวาน มันก็รุ่นนี้ไม่ใช่รึไง"

      ผมตอบเรียบๆ

"มันก็ใช่ แต่ถ้าครั้งหน้าคุณเกิดโมโหหิว สติแตก แล้วเควี้ยงมันลงพื้นอีก มันก็ต้องเสียเงินซื้อใหม่ มันแพง คุณเข้าใจบ้างมะ คำว่ามันแพงงงน่ะ"

       ไอ้ตี๋บ่นยาวเหยียด

"เงียบไปเลย ครั้งหน้าฉันไม่เควี้ยงไอ้พลาสติกเส็งเคร็งนั่นลงพื้นแน่ แต่ฉันจะเควี้ยงนายลงบนเตียง แล้วฉันก็จะ ปล้ำ!!นาย!!!ซะ!!!!"

       ผมประกาศกร้าวเสียงดังฟังชัด ไอ้ตี๋อ้าปากค้างหลังจากผมตะโกนลั่นกลางร้านที่มีคนเดินว่อน


'อะ....เอ่อออ ขะ...ขอโทษนะคะ นี่บัตรเครดิตค่ะคุณลูกค้า ...ชะ ช่วยเซ็นตรงนี้นะคะ'


       ผมหันขวับมาหาพนักงานหญิงซึ่งทำท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ ผมคว้าบาลานซ์มาเซ็นแล้วรับบัตรคืน

'รอทางพนักงานปรับแต่งเครื่องและลงระบบปฏิบัติการเพิ่มเติมประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ จากนั้นก็ walk in ได้เลยค่ะ'

"โอเคงั้นเดี๋ยวอีกชั่วโมงนึงกลับมาเอา" ผมตอบ

'ค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ'

       ผมพยักหน้ารับน้อยๆกับพนักงานก่อนจะหันมาหาไอ้ตี๋ที่ตอนนี้ยืนนิ่งแข็งทื่อราวกับก้อนหิน มันตลกชะมัดเลยเวลาหมอนี่อายแล้วทำอะไรต่อไม่เป็นเนี่ย

"ไปได้ละ ไอ้ตี๋ เร็วๆ เดินสิวะ"  ผมกล่าวเร่ง

"อะ...เออ ก็เดินอยู่เนี่ย แหก ซัสเพนซอรี่บอดี้ดูดิไอ้กร๊วก"

"อะไร ซัสเพนซอรี่บอดี้?" ผมถามอย่างสงสัย

"ไม่บอกเฟ้ย!"
       ไอ้ตี๋ตอบพร้อมทำหน้าหาเรื่อง อย่างงี้มันน่าจับมาจูบๆๆให้กลัวจนหัวหดชะมัดเลย เหอะ!









       หลังจากนั้นผมและไอ้ตี๋ก็มาเดินเล่นชั้นใต้ดินของห้าง เพิ่งสังเกตว่าที่นี่มีอะไรแปลกๆขายเยอะชะมัด จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยเดินลงมาที่นี่เลย

"นายมองไอ้นั่นทำไมอ่ะ" ผมถามไอ้ตี๋หลังจากมันมองตามผู้ชายที่พึ่งเดินผ่านไปคนหนึ่ง

"เค้าหล่อดี ล่ำด้วย นั่นอ่ะ สเป็กผมเลย" ไอ้ตี๋ตอบเรียบๆ

"อะไรวะ...แล้วฉันไม่ล่ำรึไง? เนี่ยๆ จับดูดิ เนี่ย ฉันก็มีเหมือนกัน โห่..". ผมพูดพลางคว้ามือหมอนั่นมาลูบๆไปทั่วเนื้อทั่วตัวผมเอง. แต่หมอนั่นกลับทำหน้าเบื่อโลก

"ไม่อ่ะ คุณไม่สเป๊กผมเลยซักนิดเลอ บ่องตง...."


       ผมหยุดเดินและกระชากแขนหมอนั่นทันที


"เมื่อกี้ ว่าอะไรนะ!"

"ผมบอกว่า คุณไม่สเป๊กผมซักนิดเลย ผมชอบคนในเครื่องแบบ เห็นมะ เห็นมะแบบนั้นน่ะ"

       ไอ้ตี๋พูดก่อนจะชี้ไปที่ตำรวจคนหนึ่งที่กำลังยืนจดอะไรซักอย่างอยู่หน้าร้านขายหนังสือการ์ตูนถัดไปไม่ไกลนัก

"โรคจิต" ผมหันมาแล้วตอบสั้นๆ

"ฮ่าๆๆๆ ๆ ๆ ๆ" ไอ้ตีหัวเราะร่า ก่อนที่จะยื่นไอติมที่กินไปได้ครึ่งอันมาให้ผมกัด
       และในขณะที่ผมกำลังก้มหน้าลงไปจะกัดไอติมเวรนั่น

'เฮ่ยยย!! ไอ้หยงงง!!' เสียงของบุคคลแปลกหน้าก็ดังขึ้นข้างๆพวกเรา และ...

        ~ เพละ !

       ไอติมเคลื่อนที่จากที่ๆมันควรอยู่มาโปะบนจมูกผม ผมชักหน้ากลับตื่นๆ ...เย็น.  จมูกเย็นชิบเลย

'เฮ่ยย ไอ้ต้อ ไปไงมาไงวะเนี่ย' ไอ้ตี๋หันไปพูดกับชายแปลกหน้าอย่างคุ้นเคยก่อนที่จะรู้สึกได้และหันมาหาผม แล้วก็พบกับผลงานของตัวเอง

"..."

"เฮ่ยย! คุณมรรค ผมขอโทษ"
       ไอ้ตี๋พูดตื่นๆ ผมถอนหายใจยาว

"ไม่ เป็น ไร เดี๋ยวฉันไปล้างออกก่อน"

       เพื่อนหมอนั่นพยักหน้าพร้อมกลืนน้ำลายเฮือก

"ให้ผมไปด้วยมั๊ย"

"ไม่ต้อง!! นายคุยกับเพื่อนไป"

       หมอนั่นพยักหน้าหงึกหงัก เพื่อนของหมอนั่นก็โค้งหัวให้ผมเล็กๆเป็นเชิงขอโทษพร้อมกับชักสีหน้าเจื่อนๆ
       ผมหันหลังและเดินปลีกตัวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงบีบคอคนที่ทำให้ผมเปื้อนไอติมปัญญาอ่อนแบบนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ๆก็ฉุกคิดได้ว่า โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ...แปลกชะมัด

       ผมเดินเข้าห้องน้ำ และใช้เวลาจัดการล้างๆเช็ดๆจนเรียบร้อยซักพัก จึงเดินออกมา
       
       ในระหว่างทางที่ผมกำลังเดินผ่านร้านนู่นร้านนี่เพื่อจะกลับไปหาไอ้ตี๋ สายตาผมก็ไปสะดุดใครบางคนในร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่งเข้า 'นั่นมันไอ้เวรนั่นนี่หว่า' ผมคิดในใจ ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาบุคคลดังกล่าวในร้านนั้นทันที











กร Talk
12.01 น.
_________________________

       ~ ผมกำลังคิดว่า....ผมอาจจะเป็นโรคจิตก็ได้. ~ หรือว่าแบบนี้ใครๆก็ทำกัน. ~ หรือผมโรคจิตจริงๆวะเนี่ย.

       ณ ขณะนี้ ผม...ตระหนักดีว่าตัวเองกำลังอยู่ในร้านขายชุดคอสเพล์และอุปกรณ์ต่างๆ....ใช่! ร้านนี้สุดยอดชะมัด.

       และผมเองก็กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก...ใช่!  จริงๆผมกำลังคิดอยู่ว่า ผมจะซื้อทุกๆชุดในร้านนี้ เพราะมันตัดสินใจเลือกยาก ไอ้นู่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากได้ อยากได้แม่งไปหมด

       ผมลงทุนรีบตาลีตาเหลือกบินกลับมาที่กรุงเทพหลังจากไปส่งเหว่ยที่ทำงานในตอนเช้า แล้วผมก็จะต้องรีบบินกลับไปเชียงใหม่ตอนบ่ายสองเพื่อไปให้ทันรับเหว่ยตอนเลิกงาน....เพราะงั้นถ้ามันเลือกยากนักล่ะก็ ผมจะซื้อให้แม่งหมดทุกชุดเลย
       คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็กำชุดทหารลายพรางตัวที่ถืออยู่ในมือแน่น



"เฮ่!"



       ~ เฮือกกก.  O_____O

 
       ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆก็มีเสียงคนตะโกนทักทายมาจากทางด้านหลัง. ในร้านนี้เนี่ยนะ? ผมคิดในใจ
       ผมสูดหายใจเข้าฟอดใหญ่ ก่อนจะค่อยๆหัน หัน และหันไป แล้วก็ต้องพบว่าตัวเองกำลังพบเจอกับสิ่งที่แปลกประหลาดและน่าตกใจเป็นที่สุด

"วะ...หวัดดีครับคุณชาย" ผมพูดตะกุกตะกัก

       คุณชายมรรคพยักหน้ารับน้อยๆก่อนจะเอ่ยถามผม

"นายมาทำอะไรที่นี่วะ นึกว่าอยู่กะพี่เหว่ยที่เชียงใหม่ซะอีก"

"ผะ...ผมก็จะกลับไปเชียงใหม่บ่ายสองนี้ ผมบินกลับมากรุงเทพเมื่อเช้า มาทำธุระนิดหน่อย"

"ทำธุระ?....ธุระในร้านขาย...ขายอะไรวะเนี่ย?"
       คุณชายมรรคพูดพร้อมมองไปรอบๆเหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตา ผมจะทำไงดีโว้ย ถ้าคุณชายมรรครู้ว่าผมมาซื้ออะไร อาจจะคิดว่าผมเป็นโรคจิต อาจจะเอาไปบอกน้องหยง แล้วผมอาจจะโดนน้องหยงแอนตี้ไม่ให้คบกับเหว่ยก็ได้...โว๊ยยยยยย

"แล้ว... แล้วน้องหยงไม่มาด้วยหรอครับ" ผมปล่อยคำถามไม้ตายที่คิดขึ้นได้พอดี เพื่อจี้คุณชายมรรค ก่อนที่ในหัวผมจะเริ่มประเมินสถานการณ์ต่อ

"ก็มาอ่ะดิ๊.....ฮะ...เฮ่ย!! ละ...แล้วนายรู้เรื่องฉันกับไอ้ตี๋ได้ยังไง"  คุณชายมรรคท่าทางลุกลี้ลุกลนเป็นไปตามที่ผมคาด

"อ้อ! คุณเมย์เล่าให้ผมฟังน่ะครับ" ผมตอบยิ้มๆ

"งะ...งั้นหรอ ละ...แล้ว แล้วพี่เหว่ยว่า..."

"เหว่ยยังไม่รู้หรอกครับ ผมไม่ได้บอกอะไร"

       คุณชายมรรคถอนหายใจอย่างโล่งอก ผมนึกขันอยู่ในใจ ก็ดันไปปล้ำน้องชายเค้า ใครๆมันก็ต้องกลัวความผิดเป็นธรรมดา ยิ่งกับคนที่ไม่รู้เวลาโกรธสุดๆจะเป็นยังไงอย่างเหว่ย คงน่ากลัวมากขึ้นเป็นสองเท่าเลยล่ะ

"...."

"ผมไม่บอกเหว่ยหรอกน่าคุณชาย คุณพร้อมเมื่อไหร่ค่อยพาหยงไปบอกเองละกัน"

       คุณชายมรรคพยักหน้าน้อยๆก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆเดินสบายใจเฉิบเข้ามาหาผมแล้วคว้าชุดทหารลายพรางที่ผมถืออยู่ในมือไป


"เฮ่ยๆๆ!"  ผมร้องด้วยความตกใจแล้วพยายามดึงชุดคืนมา

       แต่ผมพลาด คุณชายมรรคกางชุดออกสำรวจแล้วก็ขมวดคิ้วยุ่ง. พระเจ้า อาเมน ได้โปรด


"นี่นายอยากเป็นทหารพรานหรอ?"

       คุณชายมรรคถามขณะที่ยังคงสำรวจชุดทหารลายพรางต่อไปอย่างสนอกสนใจ ผมเอามือกุมขมับเหนื่อยๆ

"คุณชาย...คือ คือจริงๆแล้ว..."

"หาา"




  10 นาที ผ่านไป




"นั่นๆๆ เอาชุดนั้นๆๆ สอยลงมาเด้ นั่นน่ะ นั่นๆ เอานั่น แล้วก็นั่นด้วย"

"เดี๋ยวๆๆ คุณชาย ผมกะจะเอาชุดนั้นตั้งแต่แรกแล้วนะ" 

       ผมพูดปรามคุณชายมรรค ที่ตอนนี้เต้นร่าๆไปทั่วร้านและทำท่าจะซื้อของตัดหน้าผม ไม่คิดเลยว่าอยู่ดีๆผมจะได้ผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นเขา แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้อ่ะนะว่า ผมไม่ได้โรคจิตอยู่คนเดียวบนโลก มีคุณชายมรรคร่วมโรคจิตด้วยอีกคน ถึงจะแปลกๆแต่ก็อบอุ่นดี

"อะไร นายไม่เห็นพูดเลย ไม่รู้เว่ย จะเอา จะเอา. นั่นๆพี่ เอาชุดนั้นด้วย สอยลงมาเลย"
       
"แม่ง" ผมสบถเบาๆก่อนจะหันไปหาเจ้าของร้าน


"พี่ ผมเหมาหมดร้านเลย เอานี่ๆ บัตรเครดิต"  ผมพูดก่อนจะรีบยื่นบัตรเครดิตให้เจ้าของร้าน

"เฮ่ยยยๆๆ เล่นงี้เลยหรอ. พี่ ผมให้ราคาสองเท่าเลย ขายให้ผม นี่ๆๆ บัตรเครดิต"

"ไม่! พี่ต้องขายให้ผมดิ ผมมาก่อน"

"ผมให้ราคาดีกว่า ต้องขายให้ผมดิ"

"เฮ่ย งั้นผมให้สามเท่าเลย" ผมรีบโต้

"ไม่ ขายให้ผม ผมให้สี่เลย"

"ไม่ ขายให้ผม"

"ไม่ ให้ผม"

"ให้ผม"

"ให้ผม"

"ให้ผมดิ"


'เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะครับพวกคุณ'


"พี่จะขายให้ผมใช่มะ"

"ไม่ บอกมันดิ บอกมันว่าพี่จะขายให้ผม"

"ไม่ ให้ผมสิเว่ย"

"ให้ผม"

"ให้ผม"



'โว้ยยยยยยยยบ เงียบบบบ ฟังกู!!!!!!'



       ผมและคุณชายมรรคอ้าปากค้างก่อนจะกลืนอากาศลงคอกันคนละคำหลังจากเสียงตะโกนดุจสายฟ้าฟาดของเจ้าของร้านได้หยุดบทสนทนาที่คงไม่มีวันจบของพวกเราลง

'ร้านของผมนะครับ มีของสต็อกหลังร้านอีกตัวสองตัวเกือบทุกชุดครับ ถ้าคุณลูกค้าอยากได้สินค้าตัวเดียวกัน ผมจะไปดูให้ครับ แต่บางชุดอาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้างเพราะเป็นงานทำมือทุกชุดครับผม'

       เจ้าของร้านพูดก่อนจะยิ้มอย่าง...เอ่อ...อย่างโอบอ้อมอารีย์ ให้พวกเราสองคน

"งะ...งั้นหรอ" คุณชายมรรคตอบสั้นๆ

"ขะ...ขอบคุณครับ" ผมตอบเจ้าของร้านก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ

'งั้นเชิญคุณลูกค้าเลือกตามสบายนะครับ อะนี่ ไม้สอย สำหรับชุดที่อยู่สูงๆนะครับ'

       เจ้าของร้านพูดพลางฉีกยิ้มก่อนจะยัดไม้สอยขนาดยาวใส่มือผมและเดินจากไป ทิ้งให้ผมและคุณชายยืนมึนๆกันอยู่สองคน


       ~ ติ๊ก ต่อก  ติ๊ก  ต่อก   ติ๊ก   ต่อก


"เฮ่ย!! เดี๋ยวนะ" คุณชายมรรคโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ

       ผมหันไปและพบว่าเขาหยิบมือถือขึ้นมากดๆและโทรออก

'ฮาาโหลล ไอ้ตี๋...ฉัน....ฉันมีธุระแปปนึง ขอเวลาครึ่งชั่วโมง'

'....อ้อ ได้ๆๆๆ โอเค งั้นก็อยู่กับเพื่อนไป อีกชั่วโมงนึงเจอกัน ตามนั้น...'

'....เฮ่ยย! เดี๋ยวๆๆ ห้ามนั่งใกล้มันเกินไปเข้าใจมะ มือก็ไม่ต้องวางบนโต๊ะ เดี๋ยวมันจับ ห้ามให้มันจีบด้วย.........ไม่ มีลูกมีเมียแล้วก็ไม่สน ห้ามไว้ใจใครทั้งนั้น'

'โอเค ดีมาก...บาย'





       คุณชายมรรควางโทรศัพท์ก่อนจะหันมาเจอผมที่กำลังหัวเราะคิกคักๆอยู่

"ฮ่าๆๆ คุณนี่ เป็นเอามากนะคุณชาย"

"ช่างฉันเหอะน่า!"

       คุณชายมรรคพูดปัดๆก่อนจะเดินเข้ามาคว้าไม้สอยไปจากมือผม จากนั้นพวกเราก็หลุดเข้าไปในโลกของจินตนาการ ..เอ่อ จินตนาการว่าเหว่ยหรือน้องหยงใส่ชุดนั้นชุดนี้แล้วจะเป็นยังไง...ให้ตายเถอะ ยิ่งพูดยิ่งดูโรคจิต
       







"นี่! นายพอจะเห็นชุดตำรวจบ้างมะ"

       คุณชายมรรคพูดขึ้นหลังจากพวกเราเงียบมานาน ผมหันไปพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

"ชุดตำรวจหรอ ผมว่าผมเห็นอยู่อีกห้องตรงโน้นนะ"

"งั้นหรอ ขอบใจ"

"เออๆ นี่ๆ เดี๋ยวคุณชาย คุณคิดว่าถ้าเหว่ยใส่ชุดนี้จะเป็นยังไง"

       ผมพูดพลางยกชุดๆหนึ่งให้เขาดู คุณชายมรรคมองอยู่ซักพักก่อนจะพูด


"มันน...สุดยอด  ...แต่ว่านะ ฉันว่าถ้าไอ้ตี๋ใส่มันจะสุดยอดกว่าพี่เหว่ยนึงนึง"

"เฮ่ยยยๆๆๆๆ! พูดงี้ได้ไงครับ ยังไงเหว่ยก็สุดยอดกว่าเห็นๆ นี่ดูดิ มันเกิดมาเพื่อให้เหว่ยใส่ชัดๆ"


       หลังจากนั้น ผมกับคุณชายมรรคก็ยังคงเถียงกันต่อ แต่ก็ยังเลือกชุดนั้นชุดนี้ช่วยๆกัน ผมได้คำแนะนำจากเขาว่า ตัวผมใส่ชุดแบบไหนแล้วเหว่ยจะชอบด้วย ในขณะที่ผมก็ช่วยเขาเลือกชุดอีกไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าคุณชายมรรคจะสนใจชุดตำรวจมากเป็นพิเศษ ผมก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออ่ะนะ

       สรุปว่า พวกเราใช้เวลาอยู่ในร้านนั้นประมาณสี่สิบนาทีเห็นจะได้ ก่อนที่จะออกมาอีกร้านเพื่อซื้อนู่นซื้อนี่กันอีก จนกระทั่งคุณชายมรรคฉุกคิดได้ว่าตัวเองเลือกของจนลืมน้องหยง คิดได้ดังนั้นผมและคุณชายมรรคและผมจึงแยกกันกลับทางใครทางมัน
       ผมกลับมาสนามบินทันเวลาและขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่ทันอย่างเฉียดฉิว ผมจ่ายค่าโหลดของลงใต้เครื่องเพราะน้ำหนักเกินไปบานเลยทีเดียว แต่ก็ช่างมันเหอะ ถือว่าคุ้ม... ล่ะมั้ง

song2315

  • บุคคลทั่วไป
21.48
--กรุงเทพมหานคร--


หยง Talk
@ คอนโด
____________

       YOU   LOSE.   
           IDIOT!!!

       หางคิ้วผมกระตุกหงึกๆหลังจากผมแพ้เกมส์ในมือถือรอบที่สี่สิบเก้า. ข้อความภาษาอังกฤษเยาะเย้ยว่า 'แกแพ้แล้ว ไอ้โง่' ปรากฎขึ้นอีกครั้ง มันน่าโมโหสุดๆเลยตอนนี้

       ผมถอนหายใจฮึดฮัดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาดิจิตัลที่ผนัง

"สามทุ่มกว่าแล้ว"  ผมพูดกับตัวเอง

       แล้วไอ้คุณชายมรรคมันหายไปไหนของมันเนี่ย เป็นชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ไปแอบทำอะไรอุบาทว์ๆอยู่ในห้องนอนของผมรึเปล่า ให้ตายเหอะ. จะว่าไปตั้งแต่กลับมาจากซื้อของก็ทำท่าทางลับๆล่อๆ แถมยังหอบถุงสีแปลกๆขนาดมหึมากลับมาด้วย ไม่รู้มันมีอะไรอยู่ด้านใน ผมถามก็ไม่ยอมตอบ น่าสงสัยแบบโจ่งแจ้ง
       
"เฮ้อออ ออ อ"

      ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจว่าจะลุกขึ้นไปตามขุดหาตัวคุณชายหมีควายเจ้ากรรมนายเวร ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็...


  ~       ฟึบบ บ


"หยุด!! อย่าขยับ"





"เฮ่ย!!"  O_O

       ผมโพล่งออกมาหลังจากกระพริบตาปริบๆอยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่า ภาพที่เห็นมันเป็นความจริง

"ยกมือขึ้น!!"

"หะ...หา?"

"ยกมือขึ้น!!! ฉันบอกให้ยกมือขึ้น!!!!"

       ผมยกมือขึ้นตามเสียงตะคอกด้วยความตกใจ คุณชายมรรคกำลัง...เอ่ออ  กำลัง  กำลังนั่งกึ่งคุกเข่าแล้วเล็งปืนกล็อกพลาสติกมาที่ผม เขาอยู่ในชุดที่ดูเหมือนจะเป็นชุดตำรวจ คือจริงๆมันก็ชุดตำรวจนั่นแหละ

"ทำอะไรของคุณน่ะ" ผมถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเพื่อแสดงความสงสัย

"เงียบ! อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ!"  หมอนั่นพูดเสียงแข็งกร้าว

"อะ...โอเค ไม่ขยับ"

"ค่อยๆวางอาวุธลง...เดี๋ยวนี้!!"

"ห้ะ! อาวุธ?"
       ผมเลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างเพื่อแสดงความสงสัยกำลังสอง อาวุธบ้านแกสิวะ มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

"นั่น ไอ้นั่น ค่อยๆวางลงบนโต๊ะซะ!!"  คุณชายมรรคขมวดคิ้วพูดเสียงแข็งกร้าวก่อนเผยิดหน้านิดๆเพื่อบอกผมว่าผมกำลังถืออาวุธอยู่ในมือขวา

"โทรศัพท์เนี่ยนะอาวุธ!"
       ผมกลอกตาไปมาก่อนจะค่อยๆวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเสียไม่ได้

"ยกมือขึ้น วางไว้หลังศรีษะ"

"เออๆ วางละๆ"  ผมบุ้ยหน้าพลางเอามือทั้งสองข้างมาวางไว้หลังศรีษะ

"ดีมากก อย่าขยับ ไอ้โจรตัวแสบ!"

       คุณชายมรรคพูดน้ำเสียงพอใจก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นและเดินเล็งปืนเข้ามาหาผม นี่มัน...ตกลงมันบ้าจริงๆใช่มั๊ย

"อะ...อะไรอีก...เนี่ย"

       ผมพูดตะกุกตะกักเมื่อคุณชายมรรคในชุดตำรวจแบบหนึ่งต่อหนึ่งเหมือนจริงทุกจุดเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด   จนกระทั่ง

       ~ ตุบบ






       ...จนกระทั่งเป้ามันชนกับสันดั้งของผม

            [=_=] <ผม    [u..u] <คุณชายมรรค

"..."

"ไอ้บ้า โว้ย ถอยออกไปสิวะ ไอ้ โอ้ย อับ! ไอ้..."
       
       ผมพูดไม่เป็นภาษาเพราะไอ้คุณชายมรรคโรคจิตโน้มตัวดันเป้ามันเข้ามาใส่หน้าผม จากนั้นก็พยายามที่จะคว้าแขนผมไปทำอะไรซักอย่าง...

       ~ แกร็ก ก

        โอเค...มันคว้าแขนผมไปใส่กุญแจมือ! และใช่!! มันกดสลักนรกนั้นลงไปแล้ว แล้วแขนขวาผมก็เข้าไปอยู่ในห่วงล็อคนรกนั่นแล้ว แล้วมันก็

       ~ แกร็ก ก

        แล้วมันก็ใส่กุญแจมืออีกฝั่งกับแขนซ้ายของตัวเอง


"เฮ่ยๆๆ อย่าเล่นอะไรแปลกๆนะไอ้หมีควาย" ผมพูด

"ใครเล่น!! ฉันเพื่อนเล่นแกเหรอฮะ ไอ้โจรห้าร้อย!!!"  หมอนั่นตวาดกลับ สมจริงชะมัด นี่มันอาการทางจิตขั้นรุนแรงแล้วล่ะ

"โจร...ห้าร้อย?" ผมเอามืออีกข้างขึ้นมากุมขมับเหนื่อยๆ

"ใช่ ไอ้โจร แค่นี้แกก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ฮ่าฮ่า"





5 นาที ผ่านไป






"ไอ้บ้าาาา!! หยุด ไอ้มรรค แกจะฉีกทำไม! มันขาดหมดแล้วแกเห็นมั๊ย!!!"

       ~ แคว๊กก ก ก ก 

"เสื้อจากเงินที่โขมยมา มันต้องฉีก!! นายมันหัวโขมย!"

       ~ แคว๊กก ก กกก

"โว้ยยย โขมยบ้านแกสิไอ้เวร หยุดฉีกสิวะ หยุดโว้ยยย"

"กล้าพูดหยาบคายกับเจ้าหน้าที่งั้นหรอ อยากโดนเล่นใข่มั๊ย!! งั้นชั้นจะ..."



 
       ~ ติ้ง ต่อง.    !



     (โอเค ผมจะจำไว้ว่า ถ้าผมพูดหยาบคายกับเจ้าหน้าที่ กริ่งประตูหน้าห้องจะดังขึ้น)


! เดี๋ยวนะ.    กริ่งที่ประตูดังงั้นหรอ!!!!

       (O_O)   (O_O)



"มะ...มีคนมา"   ผมพูด

"ฉันไม่ได้ถามแก ไอ้โจรห้าร้อย" 

"เน่! คุณหยุดเล่นเป็นตำรวจเวรๆนี่แล้วรีบเอากุญแจมาไขกุญแจมือออกซะ"  ผมพูดเรียบๆในขณะที่โดนคุณชายมรรคคร่อมร่างผมอยู่บนโซฟา

"O_O"

"อะ...อะไร. ทำหน้าแบบนั้นทำไม"

"..."

"ตอบ!!! ตอบสิ"

"เอ่ออ...ฉัน...ฉัน"

"ไอ้เวรมรรค พูดสิ"

"คะ...คือฉัน...ลืมกุญแจไขไอ้นี่ไว้ในรถ ตรงคอนโซล"

"O__O  ไม่จริง ล้อเล่น บอกเดี๋ยวนี้ว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น"

"=__="

"ไอ้มรรค!!! ฉันจะฆ่าแก!!!"

"ฉันรู้ นายไม่ฆ่าฉันหรอก"  เขาพูดเสียงอ่อย

"ไม่ต้องมาทำเสียงอุบาทว์แบบนั้นเลย ตอนนี้คุณอยู่ในชุดตำรวจแบบโรคจิตสุดๆ แล้วผมก็อยู่ในสภาพผ่านการทารุณกรรมมา. มีคำถามเดียว.....ใครจะเป็นคน...ไปเปิดประตู"

       คุณชายมรรคจ้องหน้าผมนิ่งหลังผมพูดจบ ผมหันไปมองแขนตัวเองข้างที่มีกุญแจมือร้อยอยู่เชื่อมกับแขนของเขา ก่อนที่ผมจะหันหน้ากลับมาจ้องหน้าเขา
       แล้วเขาก็ตอบเรียบๆ


"พวกเราตัวติดกัน...มีทางเลือกด้วยรึไง"










       ~ ติ้ง ต่อง  !

       เสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมผละออกจากตาแมวที่ส่องดูคนด้านนอกในสภาพช็อกสุดๆ ผมรีบหันมาจ้องหน้าคุณชายมรรคที่อยู่ในชุดตำรวจฟิตเปรี๊ยะ หมอนั่นยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆพร้อมทำหน้าลุ้นๆ

"ท่านลุงมารุตกับพี่สาวคุณมาทำอะไรที่หน้าห้องผม!" 

"ฮะ!!"

       ไอ้หมีควายในชุดตำรวจทำหน้าตกใจเหลือคณานับก่อนจะรีบถลึงตาส่องดูตาแมวในทันที

"Hell no!!  พ่อ!!"

"ใช่ พ่อนาย. แล้วจะทำไง? นายต้องรับผิดชอบเรื่องสภาพเยินๆของฉัน" 

      ผมพูดก่อนจะถอนหายใจยาวและก้มลงมองสภาพตัวเอง...นี่มันไม่เหลือความเป็นมนุษย์ปกติเลยซักนิด เสื้อเชิตแขนสั้นสีส้มขาดรุ่งริ่งจากการโดนฉีก แขนเสื้อข้างขวาหายไป กระดุมกระเด็นหายไปที่ไหนซักแห่งในจักรวาล ตามแขนก็มีรอยบีบแดงๆ และที่น่าเศร้าที่สุดมันต้องอยู่ที่คอผมแน่ๆ มันต้องมีรอยโรคจิตสุดๆแน่ๆ.

"ผมเปลี่ยนเสื้อไม่ได้เพราะกุญแจมือนรกนั่น...คุณมันบ้า ไอ้บ้าาา"

       ~ เพี๊ยะ !!!  ผมตบป๊าบเข้าที่แขนหมอนั่นด้วยความเหลืออด

"โอ๊ยย!! มันเจ็บนะไอ้ตี๋ "


        ~ ติ๊ง ต่องง ง

   เฮือก ก!

       ผมและหมีควายในชุดตำรวจกลืนน้ำลายเฮือกและหยุดบทถกเถียงทุกอย่างหลังจากเสียงกริ่งประตูดังอีกรอบ

'หยงง. หยงง เปิดประตูให้พี่หน่อยย พี่ยืนจนเมื่อยแล้วเนี่ยย'

       ผมกลืนน้ำลายเฮือกอีกรอบหลังจากได้ยินเสียงพี่เมย์เรียก. นี่มันตลกร้าย ตลกร้ายสิ้นดี 
       ผมหลับตาลงรวบรวมความกล้า ก่อนจะตัดสินใจ 'เอาวะ เป็นไงเป็นกัน'  ผมเอื้อมมือไปจิ้มกดรหัส 1 4 2 และ...

"เฮ่ย!ๆๆ เดี๋ยวๆ เอาจริงหรอ" คุณชายมรรคทำหน้าบอกบุญไม่รับ

"ก็...มาถึงขั้นนี้แล้ว หรือคุณจะเอาไง?"

       คุณชายมรรคเงียบไปก่อนจะทำหน้าครุ่นคิด

"เฮ้ออ ยังไงซักวันก็ต้องบอกทุกคนว่าเราคบกันอยู่แล้วล่ะนะ"

       ผมจ้องหน้าเขานิ่ง นี่มันอยากจะพูดอะไรกันแน่เนี่ย

"อา...แล้วตกลงจะให้เปิดมะ"
       ผมถามเรียบๆ คุยชายมรรคเว้นช่วงเงียบไปซักพัก ก่อนที่อยู่ๆเขาก็ยิ้มออกมา

"หยง...ฉันรักนายนะ"

       ผมเลิกคิ้วขึ้นและมองหน้าเขาอย่างสงสัย

"ผมก็ รักคุณแล้ว ล่ะมั้ง"

       ผมพูดยิ้มๆพร้อมเอามือเกาหัวอย่างเขินๆ

"โอเคงั้น ถ้าเปิดประตูออกไป  ไม่ว่าจะเจออะไร หนักหนายังไง...อย่าทิ้งฉันนะ"

      ผมพยักหน้ารับพร้อมพูดสั้นๆ

"โอเค"
 
       ผมสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วจิ้มรหัสตัวสุดท้าย

      ~ ตี๊ดด.  แกร็ก

      สลักล็อคประตูเด้งออกแล้ว หมอนั่นจับลูกบิดประตูแน่น ผมเองก็วางมือลงไปบนมือหมอนั่นอีกที

       ก็ไม่รู้หรอกว่าหลังประตูจะพบเจอกับความรู้สึกแบบไหน จะดี จะร้าย. ช่างมันเถอะ.  และแม้ตอนนี้สภาพพวกเราจะดูไม่จืดนัก แต่ก็นะ ไม่รู้ทำไมผมถึงมั่นใจว่าเราจะไม่ทิ้งกัน.....อย่างน้อย ถ้ามีใครพยายามจะแยกพวกเราออกจากกันตอนนี้ก็คงจะทำไม่ได้............ทำไมน่ะหรอ



       ~ อ้าวว.   ก็ใส่กุญแจมือกันอยู่ไงเล่า



END.  part 1



song2315

  • บุคคลทั่วไป
Part 2





22.07 น.

--เชียงใหม่--
@ คอนโดเหว่ย

______________________________


"ผม...ผมว่า เราไม่ควรทำแบบนี้นะครับ"

       ชายหนุ่มผิวขาวจ้าพูดน้ำเสียงสั่นๆหลังจากเขาพึ่งสลัดถอยพ้นออกมาจากอ้อมแขนของชายอีกคนสำเร็จ ชายผู้นั้นแต่งตัวซอมซ่อ ใส่เสื้อเชิตสีขาวขุ่นๆขาดๆที่เปื้อนฝุ่นผงของถ่านไม้และเศษดิน กระดุมเสื้อกลัดอยู่เพียงเม็ดเดียวตรงส่วนที่อยู่ใต้ราวอกล่ำสัน กางเกงผ้าฝ้ายสีดำของเขาขาดวิ่นทั่วทุกที รองเท้าไม้เก่าๆก็ดูเหมือนจะใส่มาหลายขวบปีเพราะสภาพดูผุพัง

"ทำแบบไหนรึฝ่าบาท"

       หนุ่มช่างไม้ซอมซ่อพูดน้ำเสียงปนหัวร่อก่อนจะฉีกยิ้ม เขาจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งด้านหน้าตน ชายในชุดสูงศักดิ์สีน้ำเงินเข้มของราชวงศ์  สายตาเขามิอาจละจากความสง่างามที่น่าถวิลหานั้นได้ เขาไล่มองตั้งแต่รองเท้าหนังกลับมันวับหุ้มสูงเกือบถึงเข่า กางเกงเข้ารูปสีน้ำเงินเข้มที่ปักลายประณีตด้วยไหมสีเงินสลับทองแดง เสื้อสีเดียวกันที่ปักลายแบบเดียวกับกางเกง เหรียญต่างๆที่ประดับอยู่บนอกผาย อินธนูที่บ่าทั้งสองข้างแสดงฐานันดรที่สูงเกินเขาจะเอื้อมถึง
       เมื่อไล่มองเลยปกคอเสื้อขึ้นมาก็พบต้นคอขาวและใบหน้าคมคายหล่อเหลา ผิวขาวดุจไม่เคยจะออกไปต้องแสงแดดนอกหลังคาราชวังเลยซักครั้งในชีวิต ทั้งหมดมัน รวมกันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจละสายตาไปได้

"อย่าเลยนะครับ มัน มันดูไม่เหมาะสมเลย"

       ชายผิวขาวเอ่ยพร้อมชักสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ

"ไม่เหมาะสมอย่างไรฝ่าบาท เพราะหม่อมฉันมันต่ำต้อยเช่นนั้นหรือ"

       ชายช่างไม้เอ่ยกลั้วเสียงหัวร่อและยิ้มอย่างเจ้าเลห์อีกครั้ง

"คุณกร. อะ...อย่าเลยนะครับ"

       ชายช่างไม้ไม่ได้ตอบอะไรหลังได้ยินชื่อเรียกดังกล่าว เขาหุบยิ้มและเดินหน้านิ่งเข้ามา ราชาแห่งอาณาจักรผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถอยหลังกรูดและล้มลงไปบนฟูกที่นั่งยาวกลางห้องบรรทมของตนเอง
       ช่างไม้หนุ่มเดินมาหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าเขา

"ฝ่าบาท...กล้าเรียกชื่อคนอื่นต่อหน้าหม่อมฉันงั้นเลยหรือ"


       ชายช่างไม้พูดกดเสียงต่ำก่อนจะล้มตัวลงมาคร่อมร่างราชาหนุ่ม ใบหน้าคมคายหันเสหนีทันที ทว่าก็ถูกมือใหญ่ที่เปื้อนผงถ่านฉุดให้หันกลับมา สายตาไร้เดียงสาจำต้องประจันกับแววตาขุ่นมัวอย่างกล้าๆกลัวๆ

"อะ...อย่า...คะ...ครับ"

       ริมฝีปากบางขยับกระท่อนกระแท่นเพื่อเจรจาให้ตนรอดพ้นภัย

"ฝ่าบาทจะเป็นของกระหม่อม...เพียงคนเดียว.....บนโลกใบนี้"

"คะ...คุณกร..."

      ~ ฟึบบ บ
       !!!! รสจูบหนักหน่วงถูกกระทั้นลงมาแทบทันที ลิ้นหนาสอดเข้ามาและตวัดประดุจโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก กว่าช่างไม้ผู้โกรธาจะยอมถอนจุมพิตนั้นออกก็กินเวลานานจนราชาหนุ่มอ่อนยวบไปทั้งร่าง

"อย่าตรัสชื่อนั้นอีกฝ่าบาท หม่อมฉันบอกว่าอย่าตรัส! เข้าพระทัยหรือไม่?"

       เสียงทุ้มเย็นเอ่ยกดดัน ผู้เป็นราชายอมพยักหน้ารับอย่างเกรงๆแต่โดยดี

"คุณกะ....คุณ แล้วคุณจะให้ผมเรียก..."

"ก็เรียกว่า เจ้าคนชั้นต่ำ เหมือนอย่างที่เคย เป็นอย่างไรกระหม่อม"

"..."  องค์ราชาไม่ได้ตอบรับอะไร กลับยิ่งงงงวยกับสิ่งที่ถูกร้องขอ

"ไหน ลองตรัสชื่อหม่อมฉันซิ" ชายช่างไม้เอ่ยพร้อมเบียดตัวลงมาชิดร่างขององค์ราชามากขึ้นอีก

"เจ้า....เจ้า คน..." ดวงตาใสซื่อฉายแววกล้าๆกลัวๆที่จะกล่าว

"พูด!!!" ชายช่างไม้ตะคอก

"จะ...เจ้าคนชั้นต่ำ!"

"หึ!"

       ช่างไม้หนุ่มฉีกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกระชากเสื้อตนออก ปรากฎร่างท่อนบนล่ำสันจากการกรำงานหนัก องค์ราชาจำต้องเสหน้าหนีร่างบึกบึนนั้นด้วยความรู้สึกไม่ปรกตินัก

"ทำไม!! แค่ร่างกายของคนชั้นต่ำอย่างกระหม่อมก็ทนมองมิได้เชียวหรือ"

       ชายช่างไม้ตวาด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกระชากร่างสูงโปร่งขององค์ราชาให้ลุกตาม เขาเปลี่ยนเป็นฝ่ายมาอยู่ด้านหลังและดึงร่างของราชามาไว้ในอ้อมแขนตน

"อะ...หยุดนะ เจ้า...คนชั้นต่ำ" เสียงพูดแผ่วๆเอ่ยขึ้นประท้วงเมื่อเริ่มถูกลวนลาม

"หม่อมฉันเกรงว่าจะหยุดมิได้ เพราะหม่อมฉันก็ใคร่รู้ ว่าร่างกายของฝ่าบาทจะหอมหวนต่างจากคนชั้นต่ำอย่างกระหม่อมซักเท่าใด"

       สิ้นคำพูด ช่างไม้หนุ่มกลัดมันก็ลูบมือไปบนบั้นท้ายเต่งตึงภายใต้อาภรณ์ราคาแพงของราชาก่อนจะใช้มือขยำบดเบียดจนราชาหนุ่มผู้ถูกกระทำครางอู้อี้อยู่ในลำคอ

"ส่วนนี้ของพระองค์มันยั่วเย้ากระหม่อมเกินไปหรือไม่ หืมมกระหม่อม"

       ช่างไม้หนุ่มกระซิบเสียงกระเส่าข้างๆหูโดยที่มือหนาก็ไม่ได้หยุดบดขยี้บั้นท้ายแต่อย่างใด ซ้ำร้ายมืออีกข้างก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อของผู้เป็นราชาอย่างเบามือ

"อ้ะ... ยะ อย่ากัดตรงนั้นครับคุณ....เจ้า...คนชั้นต่ำ"

       ร่างสูงโปร่งร้องประท้วงเมื่อลำคอขาวถูกดุนดูดและขบเขี้ยวลงอย่างตะกละตะกลาม

"หวาน...นุ่ม....ฝ่าบาทสรงน้ำด้วยนมกับน้ำเชื่อมหรืออย่างไร"

       ช่างไม้หนุ่มพูดพลางพยายามถอดเสื้อของอีกฝ่ายออก เขาไม่พอใจเท่าใดนักที่ไม่ได้รับความร่วมมือแต่โดยดี องค์ราชาในเงื้อมมือเขาผู้นี้ยังมีกะใจจะขัดขืนอยู่อีก

"หากฝ่าบาทไม่ทรงยอมถอดแต่โดยดี หม่อมฉันจะ..."

       ช่างไม้หนุ่มกล่าวทิ้งช่วง ก่อนจะนำจุดศูนย์กางร่างกายของตนที่นูนคับผ้าฝ้ายขาดวิ่นบดเบียดเข้ากับบั้นท้ายราชาหนุ่มประดุจหมายจะให้มันหลอมรวมกัน

"....อื้อ อ"

"อาา าา าาา"

       ช่างไม้หนุ่มครางกระสันกับความรู้สึกวาบหวามที่ถูกคั่นไว้เพียงผ้าบางๆ ราชาหนุ่มสั่นริกๆไปทั้งร่างและจำต้องให้คนชั้นต่ำถอดอาภรณ์ของเขาออกจนเหลือแต่เสื้อกล้ามฝ้ายสีขาวบางๆเพียงตัวเดียว

"พอ...พอใจรึยังครับ"

       ราชาหนุ่มกล่าวน้ำเสียงตัดพ้อเมื่อตนเหลือเสื้อกล้ามปกปิดร่างอยู่เพียงอย่างเดียว

"ไม่พอกระหม่อม"

       ~ แคว้ก กก ก

       ช่างไม้หนุ่มตอบพร้อมฉีกกระชากเสื้อตัวสุดท้ายของราชาจนขาดวิ่น เขากระชากมันออกละโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี

"หยุดนะ หยุดนะครับ ผมจะไม่ยอมคุณอีกแล้ว คุณมันบ้า"

       ราชาหนุ่มกล่าวพร้อมทั้งผละตัวเองจากอ้อมแขนแกร่งแต่ก็ถูกดึงกลับมาล็อคแน่นกว่าเก่า

"ไม่มีทางเลือกแล้วยังจะปากดี"

       เสียงทุ้มเย็นเอ่ยก่อนจะใช้มือสกปรกลูบไปจนทั่วร่างอีกฝ่าย ยอดอกชมพูระเรื่อถูกนิ้วสากบีบจนเริ่มตีสีแดงรางๆ ร่างไม่มีทางสู้ของราชากระตุกสั่นเป็นจังหวะเพราะไม่อาจปฏิเสธความเสียวซ่านที่ถูกยัดเยียดให้ได้

"อะ...อ้าา"
       
"อะไรหืมม ฝ่าบาท ร้องทำไม"

"อัก...อาาา ส"

"อย่ายั่วหม่อมฉันให้มันมากไปกว่านี้จะดีกว่า"

       ช่างไม้หนุ่มกล่าวก่อนจะปลดกางเกงผ้าฝ้ายขาดวิ่นของตนออก ร่างเปลือยเปล่าเบียดเสียดเข้ากับด้านหลังของกษัตริย์ น้ำใสเยิ้มจากปลายแท่งเนื้อของช่างไม้ผู้กระสันอยากเปรอะเปื้อนไปบนกางเกงด้านหลังขององค์ราชาหนุ่ม

       มือสากลูบวนไปทั่วกล้ามอกและกล้ามท้องขาวเนียนก่อนที่จะสอดเข้าไปในกางเกงของผู้เป็นกษัตรย์ เขาถือวิสาสะจับส่วนนั้นและยิ้มอย่างพึงพอใจ

"ฝ่าบาท มีอารมณ์กับคนชั้นต่ำด้วยหรือนี่"

       ช่างไม้หนุ่มกล่าวน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาปลดเข็มขัดแล้วถอดกางเกงราชาหนุ่มออก แต่ทว่ามันกลับติดรองเท้าบูททรงสูงหุ้มแข้งทำให้ไม่สามารถถอดได้จนกว่าจะถอดรองเท้าออก

"คิดว่ากระหม่อมจะยอมงั้นรึไง"

        ชายช่างไม้ควักกรรไกรออกมาจากกางเกงที่พึ่งถอดเมื่อครู่ก่อนจะใช้มันตัดกางเกงราคาแพงของอีกฝ่ายอย่างไม่ยี่หระ ตอนนี้ราชาหนุ่มจึงเหลือเพียงรองเท้าบูทหุ้มแข้งทรงสูงอยู่บนร่างเพียงสิ่งเดียว

"เท่านี้ก็หมดปัญหา ใช่หรือไม่กระหม่อม"

       เสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะดึงร่างสูงโปร่งของอีกฝ่ายเข้ามาละผลักลงบนฟูกนุ่ม ร่างกำยำตามไปคร่อมและไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากอิ่มนั้นได้มีเวลาพัก จูบเร่าร้อนจากชายชั้นต่ำเริ่มขึ้นและดูเหมือนจะไม่ยอมสิ้นสุดง่ายๆ ลิ้นร้อนๆตวัดไปมาบนลิ้นอันไร้เดียงสาที่ไม่เคยตามเขาทัน เขาถอนจูบออกและประทับลงไปอีกครั้งอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า



"แฮ่กก ก ๆ. "

       ราชาหนุ่มหอบหายใจเอาอากาศหลังอีกฝ่ายพึ่งยอมให้ตนเป็นอิสระ

"ยกพระพาหาขึ้นกระหม่อม"

       ราชาหนุ่มทอดถอนใจกับคำสั่งของช่างไม้ เขาทิ้งน้ำหนักตัวกับพนักพิงฟูกนุ่มก่อนจะยอมยกแขนขึ้นไปไขว้ไว้เหนือศรีษะตามคำสั่งแต่โดยดี
       ช่างไม้หนุ่มยิ้มอย่างพอใจ เขารู้สึกว่าร่างตรงหน้าช่างเย้ายวนเกินห้ามใจเมื่ออยู่ในท่าดังกล่าว ชายหนุ่มก้มลงและตวัดลิ้นลงบนยอดอกสีเลือดฝาด เขาดุนดูดและบางทีก็ขบมันเบาๆ การกระตุกเกร็งของกล้ามเนื้อทุกคราวที่เขาลับคมเขี้ยวลงพร้อมกับเสียงร้องครางขององค์ราชาหนุ่มทำให้เขายิ่งอยากรุกล้ำต่อไปเรื่อยๆ

      ~ จ้วบบ บบ จ้วบ

       เสียงจากการถูกดุนดูดดังขึ้นไม้ขาดสาย ช่างไม้หนุ่มใช้ลิ้นตวัดไปบนกล้ามแขนขาวๆของอีกฝ่ายและไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึงวงแขน ผ่านไรขนสีดำอ่อนๆ ร่างราชาหนุ่มบิดเกร็งและร้องครางไม่เป็นภาษา

"อ้ะ อะ อาาาา อะ ..."

"จ้วบบ จ้วบบบ บ!"

       ร่างล่ำสันของช่างไม้หนุ่มเคลื่อนลงมาสู่จุดศูนย์กลางร่างกายของราชา แท่งที่มีส่วนหัวเป็นสีชมพูเข้มเหมือนจะรอคอยตัวเขาอยู่ เขาใช้ลิ้นชุ่มน้ำลายอุ่นตวัดลงบนส่วนหัวของสิ่งนั้น

"อ้ะ...อาาา"

       ร่างราชาผู้หล่อเหลาเกร็งกระตุกตอบสนองเขาเป็นอย่างดี เขาใช้ลิ้นชุ่มๆตวัดอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มดุนดูดมันดุจขนมหวาน

      ~ จ้วบบบ บ จ้วบบ

"อาาาาา าา อาาา ซี๊ด ด "

       ร่างขององค์ราชาเกร็งกระตุกรับระรอกแห่งความกำหนัดที่ได้รับ ทุกๆอย่างเริ่มที่แท่งนั้นตรงจุดศูนย์กลางและแพร่กระจายความกระสันไปทั่วร่างของเขา

      ~ จ้วบบ บบ จ้วบบ บจ้วบบ

"อือออ อาาาาา อักก อาาาา าา"

       หนุ่มช่างไม้ยังคงกระหน่ำดูดขนมหวานอย่างเอร็ดอร่อย เสียงครางสั่นๆและใบหน้าแสนจะยั่วเย้าของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้

       ~ จ้วบ บบ จ้วบบ จ้วบบ บ บบ

"อะ...อาาา ซี๊ดด ด ด ด อาาา"
       
       ~ สวบบ บ จ้วบ บบ บ. จ้วบ บบ บ บ

"อ้าาา อาาาา ซะ...ซี้ดด ด ด.  อะ ผะ ผม ไม่ไหว....จะไม่ไหว....ผมไม่ไหวแล้วครับ...."


       ร่างกำยำถอนริมฝีปากออกจากแท่งที่เกร็งกระตุกของราชาหนุ่มได้ทันท่วงที เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปถึงฝั่งก่อนเขาเป็นแน่ ใบหน้าหล่อเหลากำลังหอบหายใจกับความรู้สึกที่เกือบจะพวยพุ่งของตนเมื่อครู่ ช่างไม้หนุ่มจ้องมองอย่างหลงใหล

       เขาไม่รอช้า รีบหันไปหยิบขวดน้ำมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตนที่กองอยู่บนพื้น เขาหันกลับมาหาราชาผู้ไม่มีทางสู้ ก่อนจะเทน้ำมันทั้งขวดลงบนร่างขาวๆนั้น
       มือสากๆลูบไล้จนทั่วร่างราชาหนุ่ม ไม่เว้นแม้ส่วนที่กำลังตั้งโด่เด่ เขาจับร่างราชาหนุ่มแยกขาออกและชโลมน้ำมันบนปากทางสีชมพูเข้มนั้น

"อะ...อาาาาา ส" กษัตรย์หนุ่มครางกระเส่า

       หนุ่มช่างไม้ก้มลงมองด้วยความตื่นเต้น ร่างล่ำสันด้านหน้าเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำมัน กล้ามเนื้อขาวๆเกร็งกระตุกกับใบหน้าเหยเกด้วยความเสียวซ่าน เขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้ผ่านเข้าไปลิ้มรสชาติอันหอมหวนภายในร่างกายนั้น

"ฝ่าบาท ช่วยตรัสชื่อกระหม่อมดังๆด้วยเสียงนั้นอีกได้หรือไม่"
       
       ชายช่างไม้กล่าวพลางลุกขึ้นยืน

"จะ...เจ้าคนชั้นต่ำ"

       เสียงแหบพร่าสั่นเอ่ยเรียกเขา ชายช่างไม้ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะชี้มือมาที่แท็งเอ็นโด่เด่ของตนเอง

"แล้วพระองค์จะทรงทาน้ำมันลงบนไอ้นี่แก่กระหม่อม ?"

       กษัตริย์หนุ่มมองอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจปริปากพูด

"ช่วย...เข้ามาใกล้ๆหน่อยครับ"

       ช่างไม้หนุ่มทำตามคำขออย่างว่าง่าย เขาขึ้นไปนั่งทับบนกล้ามท้องแกร่งของผู้เป็นกษัตริย์ก่อนที่จะเฝ้าดูว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป
       กษัตริย์หนุ่มค่อยๆใช้สองมือปาดน้ำมันจากแผงอกของตนแล้วค่อยๆจับชโลมไล้ไปบนแท่งเอ็นแข็งเกร็งของช่างไม้หนุ่ม

"อ้าาาาา อาาาาาาาา"

       เสียงครางยาวด้วยความสุขสมของชายช่างไม้ดังต่อเนื่อง นิ้วเรียวยาวของราชาหนุ่มไล้วนไปบนส่วนหัวของแท่งเอ็นประดุจอย่างกลั่นแกล้งชายตรงหน้าให้รู้สึกเสียบ้าง

"อาาาาา อาซซซซซซ ฝะ...ฝ่าบาท อ้าาาาาาาา!!"

       ชายช่างไม้รีบลุกออกจากร่างราชาหนุ่มก่อนที่เขาจะโดนเอาคืนไปมากกว่านี้ เขามองใบหน้าที่มีแก้มสีแดงระเรื่อแล้วอดไม่ได้ที่จะแทรกตัวลงไปมอบจุมพิตอันหนักหน่วงให้สาสม ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้นิ้วชี้ทะลวงผ่านประตูอีกฝ่ายเข้าไปพร้อมกัน

"อื้ออ อออ"

       เสียงครางอู้อี้ดังอยู่ในลำคอกษัตริย์หนุ่ม เส้นทางอันคับแคบบีบรัดนิ้วของช่างไม้ผู้กระสันเป็นระลอกๆ

"ฝ่าบาทคงจะพร้อมให้กระหม่อม...เข้าไปสำรวจแล้วงั้นสิ"

        ราชาหนุ่มเบือนหน้าหนีหลังได้ฟังคำถามล่อแหลม เขาเพียงแค่ตอบอย่างเรียบๆ

"ผม...ผมเกลียดคุณ เจ้า...เจ้าคนชั้นต่ำ"


"เกลียดกระหม่อมเช่นนั้นหรือ!"

       ชายช่างไม้พูดดังนั้นก็รัวนิ้วที่อยู่ในช่องทางเข้าๆออกๆอย่างรวดเร็ว

"อะ...อ้าาาาาา า าา า"

       ร่างของกษัตริย์บิดเกร็งและปลดปล่อยเสียงคราง

"หยุดนะ อ๊ะ.... อ้าาา เจ้าคนชั้นต่ำ"

"หยุดงั้นรึกระหม่อม!"

       ยิ่งพูดดังนั้น ช่างไม้หนุ่มก็กระหน่ำรัวนิ้วในทางคับแคบนั้นเร็วขึ้นอีก

"อึก...อ้าาา อาาาา า าาา"

"เป็นอย่างไรฝ่าบาท เกลียดหม่อมฉันอีก เกลียดอีกสิฝ่าบาท"

"อาาาา....อะ...อาาาาาา อ้าาาาา"

      ร่างกษัตริย์หนุ่มบิดเกร็ง ใบหน้าเหยเกแสดงความรู้สึกเสียวกระสันจนทั่วร่าง ท่อนเอ็นของเขาเกร็งกระตุกทั้งๆที่ไม่มีสิ่งใดเอื้อมไปสัมผัส เสียงครางอย่างสุขสมทำให้ช่างไม้หนุ่มอดไม่ได้ที่จะกลั่นแกล้ง อยู่ๆเขาก็ดึงนิ้วออกอย่างฉับพลัน

"แฮ่กก ก กกก"

       กษัตริย์หนุ่มหอบหายใจถี่หลังนิ้วถูกถอนออก เขาอยากให้ช่างไม้เอานิ้วสากๆนั้นสอดกลับเข้าไปอีกแต่ก็ไม่กล้าปริปากพูด ทำได้เพียงชะเง้อมองหน้าช่างไม้หนุ่มที่ส่งยิ้มมุมปากมาให้เขา

"อย่างไรฝ่าบาท! มองหม่อมฉันทำไม"

       กษัตริย์หนุ่มเบือนหน้าหนี

      ~ ฟลุบบ
"อ้าาาาา า อะ...อาาาา"

       ช่างไม้หนุ่มดันนิ้วกลับเข้าไปแล้วถอนออกมา

"โปรดหรือกระหม่อม"

"...."

"หม่อมฉันถามว่าโปรดหรือกระหม่อม"

      ~ ฟลุบบ บบ บ บ บ บบ บ บบ

"อ้าาาา...อัก อาาา อ้าาา อ้าาาส "

"ถ้าไม่ทรงตอบ หม่อมฉันจะถอนนิ้วออก...."



"อ้าาาส...อะ...ชะ..ชะ.ใช่...ผมชอบ"

      กษัตริย์หนุ่มรีบตอบด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ เขาอับอายเหลือเกินที่ตนพูดแบบนั้นออกไป

      ~ ฟลุบ บบ บ บ บบ

"อะ...อ๊าซซซซ อาาาา อ้าาา อ้าา"


"ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ามีสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีได้มากกว่านิ้ว"

      ชายช่างไม้ถอนนิ้วออกก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาแทรกตัวเข้าไปคร่อมกษัตริย์หนุ่มอย่างแนบชิดพร้อมใช้เข่าดันขาอีกฝ่ายให้แยกออกมากขึ้น แท่งกระสันแข็งเกร็งของช่างไม้หนุ่มจ่ออยู่ที่ปากทางพร้อมจะเข้าไปทุกเมื่อ



      ~ สวบบ บบ

"อ๊าาาาา ...อะ อ้าาาาาาาา"

"อ่า อาาาาา...อ๊าซซซซซซซซซซ"

       หนุ่มช่างไม้ดันส่วนของตนเข้ามาลึกสุดในคราวเดียว ร่างล่ำสันของเขาสั่นระริกด้วยความเสียวสุดจะบรรยาย กษัตริย์หนุ่มกำหมัดแน่น มันไม่ใช่ความเจ็บปวดแต่เป็นความรู้สึกเหมือนล่องลอย เขาแทบจะสติขาดห้วงเมื่อความรู้สึกกระสันส่งผ่านไปทั่วตัวจากทุกอณูเสียดสี

"อะ.....อาาาาาา.ฮะ..แฮ่กกๆ ๆ "  กษัตริย์หนุ่มครางเสียงแหบพร่า

"ฝ่า...ฝ่าพระบาท...อัก อาซซซ....อา....จะ...จะได้ลิ้มรสชาติต่ำๆอย่างกระหม่อมเดี๋ยวนี้"

       ช่างไม้หนุ่มไม่พูดเปล่า เขาขยับบั้นเอวออกและกระทั้นกลับเข้าไปอย่างหนักหน่วง ไม่เพียงแค่สร้างเสียงครางไม่เป็นภาษากับราชาหนุ่มหล่อเหลาเท่านั้น แต่สร้างเสียงครางด้วยความกระสันให้แก่ตัวเขาเองด้วย

"อ้ะ...อ้าาาาาาาาาาา"

"อา..อาซซซซซซซซซซซซ "

       จังหวะหนักหน่วงเนิบๆดำเนินไปพักใหญ่ๆ ทั้งสองไม่อาจปกปิดกามอารมณ์ที่มีต่อกันได้อีกต่อไป ร่างมอมแมมเปื้อนฝุ่นถ่านของชายด้านบนกำลังมอบระรอกความกระสันแก่อีกร่างที่อยู่ข้างใต้ กษัตริย์หนุ่มครางอย่างปลดปล่อยทุกๆครั้งที่ความเสียวซ่านถูกดุนดันเข้ามาในร่างตน

"อะ...อาาสส อาาาา"

"ซี๊ดดดด อาาา...เป็น เป็นอย่างไรกระหม่อม รสชาติของช่างไม้ต่ำต้อย...อาาาา"

"อ้าาาาาาส อาาา อาาา อาาา อะ...อย่า อย่าหยุดนะ...นะครับ"

"อ้ะ อาาา ซี๊ดดดด ด ด อาา ...ไม่รังเกียจหม่อมฉันงั้นหรอ หม่อมฉันสกปรกไปทั้งตัว"

"อาาา อาา มะ...ไม่...ไม่รังเกียจ คะ...ครับ"

"ซี๊ดด ด. งั้น  ก็ ดี. อาาา อาาาาา เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะถวายงานสุดชีวิต"

       สิ้นคำพูด ร่างล่ำสันของช่างไม้ก็กระทั้นเอวเข้าออกอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมอบจูบร้อนเร่าแก่กันในขณะที่จังหวะทะลวงเข้าออกยังดำเนินอยู่ เสียงครางร้อนเร่าผสมปนเปกันจนวกวน บรรยากาศรอบๆดุจมีไฟสุมเพิ่มความร้อน

"อะ...อ้าาาาา สส อาาา อ้าาาา "

        ราชาหนุ่มครางเสียงสั่นก่อนจะเอื้อมมือมาลูบแผงอกแกร่งของหนุ่มช่างไม้สกปรก เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนได้ มันสุขสมเกินจะคำนึงถึงสิ่งใด ในขณะที่ร่างแกร่งกำลังดุนดันเข้าออกภายในตัวเขาอยู่ ความรู้สึกวาบหวามก็ไหลมารวมที่แท่งกระสันของเขาอย่างไม่มีสาเหตุ มันเสียวกระสันไปทั่วและค่อยๆหลอมรวมกันขึ้น

"อาาา อาา อาาาา ซี๊ด ด อาาสส"

       เสียงครางทุ้มของช่างไม้ผู้เร่าร้อนดังก้องในโสตประสาทกษัตริย์หนุ่ม ความเสียวกระสันก่อตัวเพิ่มพูนจนมาถึงจุดสูงสุดอย่างไม่ทันตั้งตัว

"อักก อ้าาาาาาาาา อ้าาาาส อาสส อาาา"

       กษัตริย์หนุ่มครางพร้อมใช้มือกำเบาะฟูกแน่น ช่างไม้หนุ่มยังกระแทกกระทั้นสู้แม้ช่องทางจะตอดรัดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว. น้ำสีขาวขุ่นพุ่งจากปลายแท่งเอ็นกษัตริย์หนุ่มระลอกแล้วระลอกเล่า ร่างแกร่งของกษัตริย์หนุ่มเหยียดเกร็งเนื่องจากได้รับความเสียวกระสันจากทุกทิศทาง





"คิดจะทิ้งหม่อมฉันรึฝ่าบาท"

       ช่างไม้หนุ่มเอ่ยติดตลกในขณะผ่อนจังหวะให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอ

"แฮ่กก กก. ก" กษัตริย์หนุ่มหายใจหอบถี่

"หม่อมฉันไม่ยอมโดนทิ้งหรอกฝ่าพระบาท"

       ช่างไม้กลัดมันพูดก่อนจะใช้ฝ่ามือกวาดน้ำสีขาวขุ่นตามร่างกายราชาหนุ่มเมื่อครู่ขึ้นมา เขาทามันลงบนแท่งกระสันของราชาหนุ่มแล้วเร่งจะหวะทะลวงขึ้นให้รวดเร็วเหมือนเดิม

"นี่ถือเป็นการลงโทษที่ทิ้งกระหม่อม"

      ช่างไม้หนุ่มพูดก่อนจะเริ่มชักแท่งกระสันของราชาหนุ่มขึ้นลงไปพร้อมกับจังหวะดันทะลวง

"อะ อ้าาา อ้าาา อ้าาา ส อาาา อาา ได้โปรดหยุดชัก หยุดเถอะครับ ผม อ๊าซซ"

       ความเสียวกระสันที่ยังไม่จบสิ้นคั่งค้างอยู่ในแท่งเอ็นถูกกระตุ้นด้วยมือหยาบอีกครั้ง มันเสียวซ่านเกินกว่ากษัตริย์หนุ่มจะรับไหว ทว่าชายช่างไม้ก็ไม่ยอมปล่อยมือ เขากลับยิ่งชักแท่งเอ็นนั้นขึ้นลงเร็วขึ้นอีก จังหวะทะลวงของเขาก็รวดเร็วและหนักหน่วงไม้แพ้กัน

"อาา อาาาา อาซซซซ ฝ่าบาท อาาาาา"

       หนุ่มช่างไม้เร่งจังหวะทะลวงสูงสุด เขาปล่อยเสียงครางดังลั่นออกมาแข่งกับอีกฝ่าย ร่างที่อยู่ใต้กุมมือเขาบิดเกร็งและคงใกล้จะถึงจุดปลดปล่อยอีกครั้งเต็มที
       และเขาเองก็เช่นเดียวกัน


"อาาา อั๊ก ก. ก อาาา ผม ผมม ไม่ไหวแล้วครับบ ไม่ไหวแล้วครับบบ อ๊ะ ...อาซซซ"

"หม่อมฉันก็....อ๊าาา อัก เสร็จ ....อาาาา เสร็จแล้ว อ้าาาาาา อ้าสสสส"

      น้ำสีขาวไหลทะลักออกจากปลายท่อนเอ็นในมือช่างไม้หนุ่ม เขาเองก็กำลังเกร็งกระตุกปลดปล่อยสิ่งเดียวกันเข้าไปในร่างองค์ราชา เขาจ้องมองใบหน้าแดงระเรื่อของกษัตริย์หนุ่มไม่วางตา. อารมณ์กำหนัดมากมายถูกปลดปล่อยออกจนหมดสิ้น.




กร Talk
________________


"อ่าาาาาา เหนื่อยไหมครับ"

       ผมกระซิบถามเหว่ยหลังจากพึ่งถอนสิ่งนั้นออกมาจากตัวเขา เขาพยักหน้ารับเล็กๆ

"ผม...ผมจะไม่ยอม ไม่มีทางที่ผมจะยอมใส่ชุดแปลกๆพวกนั้นอีกแน่" เหว่ยพูดเสียงแข็ง

       ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะทิ้งตัวลงไปทับเหว่ยแล้วจูบเขาเบาๆที่หน้าผาก

"มันก็ตื่นเต้นดีไม่ใช่รึไง. ผมลงทุนเอาถ่านมาทาตัวเลยนะ...คุณไม่ชอบหรอ?" ผมพูดเสียงออดอ้อน

"ทีหลังคุณจะเล่นอะไรก็ช่วยบอกผมก่อนสิครับ แบบนี้ผมตามไม่ทันนะ"
      เหว่ยตอบยาวเหยียดพร้อมบุ้ยปากเล็กๆ  น่ารักจังเลย

"ก็ เวลาเห็นคุณถูกแกล้งไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้แล้วมัน   อ๊าซซ อ๊ะ อาาาาาาา  นี่นา"

       ผมแกล้งพูดพร้อมทำเสียงครางกระเส่า เหว่ยหน้าแดงเป็นลูกมือเขือเทศเลยให้ตายสิ น่ารัก น่ารักกก (จะเอาอีกซักรอบมั้ยไอ้กรครับ -*- by writer)

"คุณมันบ้า แย่ แย่ๆๆๆๆๆ ที่สุด" เหว่ยพูดพร้อมพยายามจะผลักผมออก

"ถึงผมจะแย่ แต่คุณก็...สองรอบเลยนะ"

       ~ เพี๊ย ะ !   แล้วผมก็ถูกตีแขนเข้าให้

"หยุดพูดเลยนะคุณกร"

"หยุดก็ได้ แต่....ขออีกรอบนึง"

O__O

^___^

"ไม่เอา ผมไม่ไหวแล้วนะครับบ"

"แต่ผมไหวๆๆๆๆ ไหวถึงเช้าเล้ยย ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ"



END.





       จบแล้วนะครับเรื่องนี้ ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านครับ
เรื่องแรกก็มีคนบอกว่าชอบ มีคนชม ดีใจมากๆเลยครับ
ผมเองก็คิดอยู่ว่าจะเขียนเรื่องต่อไป ก๊ากก ก  ๆๆๆๆๆๆๆ
ขอโทษทุกคนด้วยที่ตอนจบดองนานขนาดนี้ มีความสุขที่
ได้แชร์โลกของผมให้ได้เห็นครับ  ติชมได้ โดยเฉพาะฉาก NC ครับ

รักนะ จูบบบบบบบบบบบบบ จูบบบบบบบบบบบบบบบบ



ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :z3:   เรื่องนี้มันไปหลบอยู่ตรงไหนมาเนี่ย ไม่งั้นนะได้ฟินไปนานแล้วว  :katai1:  น่าเสียดายมาเจอตอนจบพอดี อ่านแล้ว

สนุกมากเลย  ชอบสามสาว  ฮาโคตรๆ   :m20:   ชอบกรกับเหว่ยเหมือนกันนะ  แต่โดยส่วนตัวชอบ มรรคกับหยงมากกว่า

แบบว่านิสัยอิคุณมรรคแบบว่า  :hao3:  สุดยอดอ่ะ

น่าเสียดายที่จบแล้ว  :sad4:  น่าจะมีตอนพิเศษสักหน่อยนะ   :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2014 06:38:06 โดย yymomo »

ออฟไลน์ เลิฟลี่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
สนุกมากเลยค่ะ อ่านไปลุ้นไปตลอดเลย

อยากให้เปิดเรื่องใหม่อีกค่ะ 

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
และแล้วก็มาจนได้ ฮ่าๆๆๆๆ :hao7: (ถ้าไม่มาก็จะทวงบ่อยๆ เอาสิ)
ตอนจบนิแบบ เอิ่มมเหนือคำบรรยาย ชอบมาก(เริ่มจิตเหมือนคนแต่ง ฮ่าๆ) กรเหว่ยไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ :haun4: :pighaun: :z1: :m25: :jul1:
แอบเคืองตรงที่ คุณชายมรรคกับหยง อะ ทำไมตัดจบได้ค้างอารมณ์มาก แล้วพ่อกับพี่สาวมามันเหมือนยังไม่จบประเด็นนะครัชชช
(ยังไงถ้าจะกรุณาช่วยเขียนให้คู่นิด้วยนะครับ :3123: :L2: :3123: :L2: รออ่านเลย)

ขอบคุณ คุณsong2315 มากครับที่เขียนเรื่องสนุกๆมาให้อ่าน (แนวนี้หาอ่านยากมว๊าก ผมชอบแนวนิครับ ตัวพระเอกกับนายเอก นิยายทั่วไปที่พระเอกจะมั่วแต่สุดท้ายได้กับนายเอกที่ซิง ซะงั้นแต่ไม่ได้ว่าไม่ชอบอ่านนะ อ่านได้ครับแต่ผมชอบแนวนี้มากกว่า เอิ๊ก ยิ่งชอบไปอีกตรงที่ หุ่นทั้งคู่มัน เอ็ก ซิกแพ๊คชนซิกแพ๊คนิแหละครับทางผมเลย  :hao6:)
จะรอเรื่องใหม่นะครับ เริ่มเมื่อไหร่ช่วยสะกิดผมที่จะตามไปเสพโดยพลัน ฮ่าๆ
ปล.อย่าลืม คู่คุณชายมรรคกับหยงนะครับ หมีควายกับหมีขาว ช่างเข้ากันจิงๆ หรือมันจบแค่นี้ก็ได้นะ :o12:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2014 23:06:30 โดย boyslover »

ออฟไลน์ plengpit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
อ๊ากกกกกก พึ่งเข้ามาอ่านคะ สนุกมากเลยยยยยยยย>W<

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด