“เข้าไปแต่งตัวเถอะยูล่า” ชายหนุ่มว่าแล้วแตะบ่าหญิงสาวเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจและปลอบใจไปในตัว แต่ไม่เคยรู้เลยว่าการกระทำนี้ได้มอบความหวังให้กับผู้ถูกกระทำมากกว่าสิ่งอื่นใดที่เคยผ่านมา และด้วยการสัมผัสอย่างเป็นพิเศษโดยไม่ได้คิดอะไรนี้เองที่ทำให้ยูล่ากล้ารุกมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และกล้าที่จะมั่นใจว่าอังเดรเริ่มมีให้โน้มเอียงมาทางตนเองมากขึ้นแล้ว
ทั้งที่มั่นใจอย่างนั้น แต่กลับ...
คืนที่ผ่านมาหญิงสาวคิดมากจนนอนไม่หลับ คิดว่าวันนี้จะลาหยุดเพราะไม่กล้าที่จะไปสู้หน้าอังเดร ทว่า...ความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในสมอง ราวกับมีแสงสว่างเล็ก ๆ ลอดผ่านรอยปริแยกทำให้เธอมองเห็นทางออกซึ่งถูกบดบังจนมืดบอด
เมื่อคิดย้อนดูแล้ว เธอก็แค่หลงไปตามคารมของซูเล่ยเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ? ทุก ๆ อย่าง ผู้ชายคนนั้นเป็นฝ่ายพูดเอาคนเดียวทั้งหมด ซ้ำยังย้ำว่าถามอังเดรไปก็ไม่ได้อะไร ทั้งนี้เมื่อมองอีกด้านก็เป็นไปได้ว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มาถามเอาความจริงจากบุคคลที่สาม ซ้ำในรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือก็มีคนที่ได้สติอยู่คนเดียว จะรู้ได้อย่างไรว่าเวลานั้นอังเดรได้เต็มใจจะเป็นตัวประกอบฉากหรือไม่
นับว่าเธอประมาทไปมากจริง ๆ ที่คิดว่าซูเล่ยไม่มีอะไรสักเท่าไหร่นอกจากอิทธิพลที่มีต่อเอเดรียน และการที่เอเดรียนไม่ต่อต้านเธอออกนอกหน้าก็ทำให้ไว้ใจอีกฝ่ายว่าจะช่วยสนับสนุนเธอเหมือนกับคนอื่น ๆ
แต่ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรจึงได้ทำอย่างนี้...
และเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยรวมถึงให้ความหวังตัวเอง ยูล่าจึงทำใจกล้าเข้าไปพูดกับอังเดรอีกครั้ง
“ฉัน...ยังไปบ้านคุณได้ไหมคะ?”
ตอนที่ได้ยิน อังเดรดูจะแปลกใจไม่น้อยจึงได้เลิกคิ้วขึ้นสูงและครุ่นคิดอยู่นาน
“ฉันรู้ว่าคุณยังรู้สึกไม่ค่อยดีกับฉัน เพราะฉันวู่วามใส่คุณเมื่อคืนนี้ ก็เลย...อยากจะขอโอกาสแก้ตัว นอกจากนี้ หนูเอเดรียนก็ยังไม่ค่อยชอบฉันเหมือนเดิม ถ้าเป็นไปได้ขอแค่สามารถใกล้ชิดกับพวกคุณเหมือนก่อนหน้านี้ได้ ฉันก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อถูกอ้างด้วยชื่อของเอเดรียน อังเดรก็ลังเลขึ้นมา ตอนแรกเขาคิดว่าจะปฏิเสธไปอย่างสุภาพแต่ในที่สุดก็จำยอมและคิดว่าคงต้องหาวิธีอื่น วิธีที่จะไม่ทำให้ยูล่าคิดว่าตนเองเป็นที่รังเกียจ จะมีทางใดบ้างที่สามารถทำให้หญิงสาวยอมจำนนและถอยออกไปด้วยตัวเองโดยไม่เจ็บช้ำมากนัก ทางที่จะทำให้เขาไม่ต้องตอบคำถามว่าเพราะเหตุใดจึงเลือกที่จะปฏิเสธเธอ...
---------------------------->
“โดยสรุปแล้วก็มาจบเอาที่นี่สินะครับ?” ซูเล่ยกล่าวอย่างเอือมระอากับความเป็นสุภาพบุรุษของอังเดร ถึงแม้ในช่วงนี้เขาจะเริ่มรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้วว่าเจ้าตัวเองก็มีด้านมืดที่เขาไม่รู้จักอยู่เช่นกัน ถึงอย่างนั้นกลับไม่แสดงด้านที่ปกปิดให้ใครเห็นนอกจากเขา มันช่างน่าโมโหอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งที่เมื่อห้าปีก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อย...
แต่ก็เพราะความสุภาพบุรุษนี้เอง ยูล่าถึงได้ตามมาที่บ้านอีกครั้งทั้งยังอาสาเป็นคนช่วยดูแลเอเดรียนระหว่างที่ซูเล่ยกำลังทำครัวสำหรับทั้งสองคน ไม่ได้ขอเป็นคนทำอาหารอย่างเคย ทั้งนี้ทั้งนั้น คงจงใจให้คำกล่าวอ้างถึงความต้องการจะสนิทสนมกับเอเดรียนมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะที่ผ่าน ๆ ถึงยูล่าจะอ้างอย่างนั้นมาตลอด แต่กลับทำตัวใกล้ชิดอังเดรมากกว่าเอเดรียนจนเห็นได้แม้ไม่ต้องสังเกต
“แค่ปฏิเสธไปตรง ๆ ก็หมดเรื่อง เพราะคุณให้ความหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นแหละมันถึงได้เป็นแบบนี้” ระหว่างที่ว่าเช่นนั้น ซูเล่ยก็ตักอาหารแบบง่าย ๆ ที่ใช้เวลาทำไม่มากลงจาน
“ทำไมถึงมั่นใจว่าฉันอยากปฏิเสธ”
พอถูกถามสวน มือที่กำลังทำงานก็ชะงักทันที
“เพราะถ้าอยากตอบรับคุณคงทำไปนานแล้ว” ซูเล่ยพูดช้า ๆ แบบคนที่คิดคำตอบอย่างกะทันหัน “อีกอย่างคุณคงไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง”
ดวงตาของอังเดรหรี่ลงเล็กน้อยขณะมองคู่สนทนาอย่างพินิจ
“ถ้าเป็นเรื่องของพ่อมารีนล่ะก็ เอาเข้าจริงฉันอาจจะไม่แคร์เขาสักเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าฉันจะแต่งงานใหม่จริง ๆ เขาจะทำอะไรได้ จะฟ้องเอาตัวเอเดรียนไปหรือ? คนที่เป็นภรรยาใหม่ของฉันต้องมีคุณสมบัติมาพอจะดูแลเอเดรียนได้อยู่แล้ว เขาก็ไม่มีข้ออ้างจะมาทำอะไรฉันได้อีก” ขณะตอบ เขาก็ฉวยจานไปจากมือซูเล่ยและช่วยจัดโต๊ะอีกแรง แม้ว่ามันจะเป็นมื้ออาหารง่าย ๆ ที่มีอาหารจานเดียวสำหรับสองที่และของว่างก่อนนอนของเด็กอีกที่หนึ่งก็ตาม
ซูเล่ยรู้สึกคั่นเนื้อครั่นตัวอย่างน่าประหลาดหลังได้ยินคำตอบ ราวกับว่ามีบางสิ่งดิ้นรนอยู่ภายในอกเมื่อพบว่าตนเองเพลี้ยงพล้ำไม่อาจใช้ข้ออ้างใดมาอยู่เหนืออีกฝ่ายได้สำหรับหัวข้อนี้ แต่นอกจากนั้นยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวที่พยายามกักไว้ภายในซึ่งนับวันมันก็ยิ่งรุนแรง
“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบตกลงไปเสียก็จบเรื่องแล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะต้องเอามาพูดให้ผมฟังลับ ๆ ล่อ ๆ” ชายหนุ่มร่างเล็กเคาะตะหลิวกับกระทะก้นแบนก่อนยกไปใส่ซิงค์ เขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนมากเกินไปเสียจนใคร ๆ ก็มองออกว่ากำลังขุ่นเคือง กระนั้นกลับไม่สามารถห้ามตนเองได้ทัน เมื่อรู้ตัวก็เผลอแสดงกริยาเหล่านั้นออกไปเสียแล้วจึงได้แต่กลบเกลื่อนด้วยการก้มหน้าล้างกระทะ “ไปชวนคุณยูล่าเข้ามากินก่อนมันจะเย็นชืดเถอะครับ เอเดรียนจะได้กินของว่างแล้วเข้านอนเสียที”
“โมโหอะไรอยู่กันแน่?”
“ก็เปล่านี่ครับ”
“โกหก” อังเดรเท้าแขนกับขอบเคาท์เตอร์ สายตาจับจ้องเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีร่องรอยของความอวดดีเหมือนยามปกติ เรียวคิ้วสีดำมุ่นเข้าหากันจนแทบจรดอยู่ตรงกลาง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนบางเฉียบคล้ายกำลังอดกลั้น ดูเป็นการแสดงออกทางใบหน้าที่แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับใบหน้าของผู้ชายคนนี้ที่ไม่ค่อยจะพบรูปแบบอารมณ์ที่ปรากฏชัดเจนนัก
“จะมายืนอ่านใจผมอยู่ตรงนี้หรือจะไปปรับความเข้าใจกับผู้หญิงของคุณให้เรียบร้อยก็เอาสักอย่าง ถ้ามันทำให้พวกคุณอึดอัด ผมจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักพักก็ได้” ซูเล่ยถอนหายใจเฮือก เก็บอุปกรณ์เรียบร้อยก็เดินหลบออกมาเพื่อจะเช็ดมือที่ผ้าแห้งบนเคาท์เตอร์อีกฝั่ง แต่เพราะหลบไม่พ้นหรือกะจังหวะมานานแล้วก็ไม่อาจรู้ได้ ยังไม่ทันจะเดินไปถึงผ้าผืนที่ต้องการ เอวสอบก็ถูกรวบดึงโดยบุคคลที่ยืนเงียบอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่
“น่าแปลกนะ ตั้งแต่อยู่ที่นี่ไม่ว่าฉันจะทำอะไรเธอก็ไม่เคยโมโหเลยสักครั้ง กลับกัน เธอกลับเป็นคนยั่วให้ฉันโมโหเองเสียมากกว่า” รูปแบบคำพูดเหมือนจะเป็นความสงสัย แต่น้ำเสียงและสีหน้าของอังเดรไม่ได้กำลังถามแต่เป็นการสรุปความอย่างรวบรัด จากนั้นจึงก้มลงมองผ่านคอเสื้อที่ปีนขึ้นมาเกือบถึงต้นคอเพื่อปกปิดร่องรอยหลักฐาน “หรือเธอจะรู้จักหวั่นไหวกับเรื่องแบบนี้หมือนกัน?”
เป็นครั้งแรกที่ซูเล่ยนึกอยากจะลงไม้ลงมือ เขาวาดศอกไปด้านหลังโดยไม่ออมแรงซึ่งก็กระแทกถูกชายโครงเข้าเต็ม ๆ แต่อังเดรก็ไม่ได้ถอยออกไป เพียงแค่สะดุ้งและร้องออกมาเบา ๆ
“เลิกทำเรื่องบ้า ๆ เสียที ถ้าคิดจะเอาคืนผมด้วยวิธีแบบนี้ก็คิดสั้นเกินไปแล้ว”
“คิดสั้น? แต่เธอเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงโน้มใบหน้ากระซิบข้างหูพาให้เจ้าของสะดุ้งเฮือกจนขนลุกไปทั้งแขน
“นั่นมันเพราะคุณไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน เอาแต่ใช้ฉากหน้าของความเป็นสุภาพบุรุษเป็นข้ออ้างอยู่ร่ำไป คุณก็แค่ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดตอบรับหรือปฏิเสธด้วยตัวเองไม่ใช่หรือยังไงกัน?” ซูเล่ยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูแคลนระคนขุ่นใจ สิ่งที่ติดค้างอยู่ในอกและอยากพูดมาตลอดก็คือเรื่องนี้ เขาอยากจะให้อังเดรรู้เสียทีว่าอุปนิสัยด้านนั้นนั่นแหละที่ร้ายกาจมากที่สุด ทั้งสุภาพ อ่อนหวาน และช่างเอาใจ มันถึงได้ทำให้ทุกคนชื่นชมและหลงใหลได้ง่าย แม้กระทั่งตัวเขาเอง...ก็เคยติดกับมาแล้วครั้งหนึ่ง
กับดักร้ายที่ทิ้งรอยบาดแผลที่ไม่ยอมจางหายจนถึงตอนนี้...
“เพราะรู้อย่างนั้นถึงช่วยปฏิเสธให้? มีน้ำใจเสียจริง” ถ้อยคำคล้ายประชดเมื่อผนวกกับรอยยิ้มบนริมฝีปากในแบบที่ซูเล่ยไม่เคยเห็นยิ่งพาให้อยากออกไปจากสถานการณ์นี้โดยไว
“แล้วสรุปว่าคุณจะกินไหม อาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่หิวผมจะได้จัดการเก็บเสียที”
“จะเบี่ยงประเด็นอีกหรือ? คิดว่าวิธีนั้นจะใช้ปกป้องตัวเองได้ตลอดไปหรือยังไง?” น้ำเสียงเย็นชาที่ลอยผ่านหูพาให้ต้องนิ่งอึ้งไปหลายวินาที เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซูเล่ย อังเดรจึงแค่นเสียงในคอคล้ายเสียงหัวเราะสั้น ๆ “ไม่ใช่มีแต่เธอหรอกนะที่รู้ไปเสียทุกอย่าง ฉันไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจนหรือ? เธอเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าอยากจะกันฉันออกจากพวกผู้หญิงก็ตั้งใจกว่านี้อีกหน่อยสิ ถ้าหากเธอจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อผู้ชายคนนั้นจริง ๆ ล่ะก็ สละกระทั่งร่างกายนี้ก็คงไม่เสียดายจริงไหม?”
หลังคำถาม ดูเหมือนผู้ถามจะไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะเจ้าตัวไม่รีรอเลยที่จะดึงอีกฝ่ายให้หันมาหาและดันให้หลังติดกับซิงค์ ซูเล่ยไม่สามารถขยับตัวหนีได้ เพราะนอกจากข้อมือจะถูกตรึงไว้แล้ว ทั้งร่างกายก็ยังแนบชิดจนยากจะหาช่องว่าง
“ในเมื่ออุตส่าห์นำมาขนาดนี้แล้ว ก็ร่วมมือจนถึงที่สุดด้วยสิ ซู”
สายตาและท่าทางของอังเดรเอาจริงเอาจังเสียจนไม่น่าจะคิดเป็นอื่นไปได้ อาวุธเดียวของซูเล่ยในเวลานี้คือคำพูดที่ใช้เพื่อโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ แต่มันก็ถูกปิดผนึกอย่างง่ายดายก่อนที่เจ้าของจะทันคิดออกว่าตนควรจะพูดอะไรในเวลานี้เสียอีก
ซูเล่ยสูดหายใจลึกและพยายามถอยหนี มือใหญ่ก็ปล่อยข้อมือข้างหนึ่งก่อนรวบดันแผ่นหลังให้แนบเข้าหา แม้ตอนนี้แขนของซูเล่ยจะเป็นอิสระแล้วหนึ่งข้าง ทว่ากลับไม่สามารถใช้เพื่อช่วยเหลือตนเองได้เลย เพราะเรี่ยวแรงของอังเดรมากมายกว่าหลายเท่า จึงทำได้เพียงผลักไสอย่างหมดหนทาง ซ้ำแรงที่มีก็กำลังถูกลดทอนไปเรื่อย ๆ ด้วยรสจูบลึกล้ำและฝ่ามือที่โลมเล้าไปทั่วแผ่นหลัง
“...พอแล...” ช่วงจังหวะที่ริมฝีปากออกห่างกันซูเล่ยก็ได้พักหายใจครู่หนึ่ง แต่พูดไม่ทันจบคำ ริมฝีปากร้อนก็ประกบซ้ำลงมาเรียกได้ว่ารุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ ราวกับจงใจให้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รับรู้อย่างชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธได้
พวกเขาคงไม่รู้เลยว่าภาพที่ปรากฏฉายชัดในดวงตาของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสงสัยว่าเหตุใดทั้สองจึงหายไปนานและปล่อยให้เธอเล่นกับเอเดรียนจนเด็กหญิงหลับไปแล้ว เมื่อตั้งใจจะเดินเข้ามาถามถึงอาหารค่ำ ก็กลับพบว่าชายหนุ่มทั้งสองกำลังพรอดรักกันอย่างไม่อายฟ้าดิน
ยูล่าผละจากประตูและเข้าไปนั่งรอเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งหลังจากนั้นหลายนาที อังเดรจึงออกมาเรียกให้กินอาหารพร้อมทั้งขอโทษอย่างสุภาพที่ให้รอนาน กระนั้นเมื่อเธอเข้าไปก็ไม่พบซูเล่ยเสียแล้ว ชายหนุ่มผู้ซึ่งควรจะอยู่ที่นี่กลับเลือกที่จะไปพาเอเดรียนขึ้นนอนและไม่เฉียดกรายเข้าไปในห้องครัวเลยตลอดเวลาที่เธอและอังเดรร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน
แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น...กลับไม่มีคำพูดใดหลุดลอดจากปากของทั้งคู่
หลังมื้ออาหารนอกเวลา อังเดรก็อาสาจะไปส่งยูล่าถึงที่พักตามเคย ทว่าหญิงสาวปฏิเสธและขอเรียกแท็กซี่กลับด้วยตัวเอง ครั้งนี้ชายหนุ่มผู้ถูกปฏิเสธไม่ได้แสดงอาการแปลกใจราวกับรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอน...พวกเขาโจ่งแจ้งเสียขนาดนั้นหากไม่รู้ไม่เห็นเลยถึงจะน่าแปลก
มันคงจะทำร้ายจิตใจของหญิงสาวเป็นอย่างมาก แต่เขารู้ว่าตนไม่มีทางเลือก เพราะนอกจากวิธีนี้แล้วคงไม่มีทางอื่นใดที่จะขอให้เธอถอยห่างออกไปโดยไม่ทำให้บอบช้ำ
แค่ปล่อยให้คำลวงของซูเล่ยกลายเป็นความจริงด้วยฝีมือของเขา...
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันแล้ว
อังเดรมองส่งยูล่าจนลับสายตาก็กลับเข้าบ้าน เขาเดินเข้าไปในห้องของเอเดรียนก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อสำรวจว่าลูกสาวนอนกลับดีหรือไม่ก่อนจะเดินออกไป แต่แทนที่จะกลับห้องตัวเอง ชายหนุ่มกลับเดินไปที่ห้องของซูเล่ยและบิดลูกบิดอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่า...มันกลับล็อค
ซูเล่ยไม่เคยล็อคประตู
เรียวคิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันก่อนจะยกมือเคาะ
“จะรบกวนเวลานอนของผมหรือยังไง” เสียงที่ลอดผ่านออกมาเจือปมด้วยความฉุนเฉียวอย่างไม่ปิดบัง เจ้าตัวคงรู้แล้วกระมังว่าทำไมเขาจึงได้ทำเช่นนั้น
“ลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงถามกลับอย่างนุ่มนวลแต่แฝงด้วยแววของการบังคับอย่างผู้เหนือกว่า
“คุณแค่ต้องการให้ผมเป็นข้ออ้างที่คุณจะไม่ต้องปฏิเสธเอง ตอนนี้คุณก็ทำสำเร็จแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก?”
หลังสิ้นคำถามของซูเล่ย ก็เหลือแต่เพียงความเงียบลอยผ่านบานประตู จากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าก้าวเป็นจังหวะช้า ๆ ของอังเดรก็ถอยห่างออกไป แม้จะแปลกใจที่อีกฝ่ายล่าถอยไปง่าย ๆ แต่ซูเล่ยก็คิดว่าบางทีเจ้าตัวคงคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขา กระนั้นเมื่อหันหลังตั้งใจจะกลับขึ้นเตียงและพักผ่อน เสียงก้าวเดินของอังเดรก็ย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมเสียงโลหะกระทบกัน
ลูกบิดถูกไขเปิดอย่างง่ายดาย
ใช่ เขาลืมไปเสียสนิทว่าอภิสิทธิเจ้าของบ้านคืออะไร!
“ทีนี้คงไม่มีอะไรป้องกันได้แล้วใช่ไหม?” อังเดรวางพวงกุญแจห้องลงบนตู้เล็กข้างประตูและก้าวเข้ามาหาเจ้าของห้องซึ่งทำได้เพียงถอยไปประชิดเตียง
ปลายนิ้วเย็นเฉียบไต่เข้าใต้เสื้อพาให้สะดุ้งไหว ในขณะที่ในสมองเริ่มคิดไปต่าง ๆ นานา อังเดรกลับทำเพียงแค่แนบหน้าผากจรดกันและมุ่นคิ้ว
“มีไข้จริง ๆ ไม่ใช่หรือ?”
เอ๋?
ซูเล่ยเบิกตาขึ้นเล็กน้อยโดยฉายแววสงสัยออกมาเป็นอย่างแรกหลังได้ยินคำถาม แต่จะว่าไป...วันนี้เขาก็รู้สึกมึนหัวอยู่บ้างเหมือนกันเพียงแต่ไม่ได้ออกอาการในทันทีหลังตื่นนอน คงเพราะเหตุนั้นเมื่อตอนกลางวันอังเดรจึงบอกว่าเขาเหมือนจะไม่มีไข้
เสียงพ่นลมหายใจจากเหนือศีรษะทำให้ต้องเงยขึ้นมองและเห็นอังเดรกำลังมองกลับลงมาด้วยสายตาห่วงใยที่เจ้าตัวคิดว่าอาจจะตาฝาดไปก็เป็นได้
“นอนพักซะ ฉันจะไปเอายามาให้” ฝ่ามือใหญ่กดบ่าคนป่วยให้นั่งลงบนเตียงก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกประตูไป ซูเล่ยยังคงไม่มั่นใจนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าอังเดรจะเริ่มสังเกตว่าเขามีไข้ตั้งแต่ที่กอดกันในห้องครัว เพราะอย่างนั้นจึงมาที่ห้องอีกครั้งเพื่อดูอาการ...อย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดเช่นนั้นหัวใจเจ้ากรรมกับเร่งจังหวะขึ้นมาวูบหนึ่งพร้อมกับความรู้สึกอุ่นซ่านที่แผ่ขยายในอก
TBC
---------------------------------
เห็นมีคนบอกว่าตามมาจากห้องแนะนำนิยาย รู้สึกดีใจแบบเขินๆ
แบบว่าไม่คาดคิดเลยว่านิยายตัวเองจะมีคนชอบถึงขนาดแนะนำต่อ ขอขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณนักอ่านที่สนับสนุนให้กำลังใจมาจนถึงตอนนี้ รวมถึงนักอ่านคนใหม่ๆที่ถูกล่อลวง(?)เข้ามาก็ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจติดตามนิยายของเราด้วย ^ ^
แต่เนื่องจากเซียร์อัพนิยายหลายที่ ดังนั้นอาจจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับทุกๆคนนัก (แต่ก็สตอร์คเกอร์ไล่อ่านคอมเมนท์ทุกที่นะคะไม่ต้องห่วง =w=b) ถ้ามีอะไรที่อยากติชม แนะนำ สอบถาม หรือพูดคุยกับเซียร์โดยตรง ก็ไปหาที่เพจ
https://www.facebook.com/ZiarNovel ได้เลยค่ะ เซียร์เฝ้าเพจแทบตลอดเวลา XD