-5-
“วันนี้แดดดี้ก็ไม่กลับ” เอเดรียนกอดกระต่ายแล้วพองแก้มขณะกลิ้งไปมาบนเตียง
“แดดดี้บอกว่าจะกลับดึกคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ยอมให้แดดดี้สักคืนก็แล้วกัน” ซูเล่ยพูดไปก็ลูบผมกล่อมเด็กหญิงให้หลับ เพราะแม้จะเกินเวลานอนมาเกือบชั่วโมงแล้ว เอเดรียนก็ยังหวังจะได้พบหน้าพ่อก่อนหลับตาลงจึงได้พยายามฝืนไม่ยอมหลับทั้งที่หาวหวอดจนตาปรือ
“เอเดรียนไม่ชอบยูล่าแล้ว” เด็กหญิงทำหน้ามุ่ยปากเชิดจนจะชนกับปลายจมูก “ยูล่าจะแย่งแดดดี้ของเอเดรียน เอเดรียนไม่ชอบแล้ว”
ดูเหมือนความนิยมต่อยูล่าในตัวเอเดรียนจะตกฮวบอย่างรวดเร็วเมื่อเธอกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พ่อลูกต้องห่างเหินกันไม่ว่าจะโดยความตั้งใจหรือไม่ ตัวเอเดรียนในตอนแรกก็คงมองยูล่าเป็นพี่สาวใจดีช่างเอาอกเอาใจ แต่อย่างไรเด็กผู้หญิงในวัยนี้ก็มักจะมีนิสัยหวงพ่อและติดพ่อมาก เมื่อรู้สึกว่าโดนพี่สาวใจดีแย่งเวลาของพ่อไปจึงเกิดรู้สึกต่อต้านขึ้นมา
“แต่ยังไงนี่มันก็เลยเวลานอนมาเยอะแล้วนะเอเดรียน ถ้าไม่หลับก่อนแดดดี้กลับมาเดี๋ยวพี่ก็โดนดุเอาหรอก” ถึงอังเดรคงไม่คิดจะดุเขาในเรื่องที่ตนเองมีส่วนผิด แต่ซูเล่ยก็ยังยกมาเป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายรู้สึกเห็นอกเห็นใจจะได้ยอมเชื่อฟังและทำตัวว่าง่ายเสียที
“แต่เอเดรียนยังไม่อยากนอน” เอเดรียนใช้วิธีออดอ้อนเหมือนเช่นทุกคืน
“แล้วจะทำยังไงถึงยอมนอนล่ะ?”
เด็กหญิงกลอกตาไปมาก่อนจะเสนอ
“ซูเล่านิทานให้ฟังหน่อย”
นิทาน...
ชายหนุ่มปั้นหน้าปุเลี่ยน เพราะเขาไม่ได้เติบโตมากับนิทานเด็กที่แสนสวยงามแบบคนอื่น ๆ พอมีคนพูดถึงนิทานมันทำให้เขารู้สึกว่าเป็นอะไรที่ห่างไกลจากตนเองจนไม่สามารถเข้าใจตรรกะของมันได้ ไม่รู้ว่าจะจินตนาการถึงโลกที่สวยงาม มีนกน้อยร้องเพลงที่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ยังไง
“ถ้าซูเล่าเอเดรียนจะนอน” ดวงตาสีน้ำตาลทองกลมโตใสกระจ่างจ้องมองไปยังพี่เลี้ยงของตนอย่างซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม
“ก็ได้ ในห้องนี้มีหนังสือนิทานหรือเปล่า?” ซูเล่ยมองไปรอบตัวและพบชั้นวางหนังสือขนาดเล็ก ทว่าเมื่อเอื้อมมือไปหยิบ เอเดรียนกลับพูดขึ้นมาว่า
“เอเดรียนอยากฟังเรื่องใหม่ ๆ”
...
แค่ให้เล่ายังไม่พอ ยังต้องให้แต่งเรื่องขึ้นเองอีกด้วย...ปกติในหลักสูตรพี่เลี้ยงมีวิชาแต่งนิทานด้วยหรือเปล่านะ ซูเล่ยนึกสงสัยขึ้นมาครามครัน แต่เมื่อเป็นความต้องการของเอเดรียนและเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงตัดสินใจที่จะเล่านิทานเรื่องหนึ่งซึ่งอีกฝ่ายไม่น่าจะเคยได้ยินมาก่อน
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรอันห่างไกล ยังมีเจ้าหญิงอยู่พระองค์หนึ่ง” พอเรื่องราวเริ่มขึ้น เอเดรียนก็หยุดเรียกร้องและนอนฟังอย่างสงบ ซูเล่ยขยับผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงคอและเล่าต่อ “เจ้าหญิงองค์นี้ทรงหลงรักการผจญภัยนอกแผ่นดินเกิด จึงออกเดินทางมากับองครักษ์คนสนิทจนถึงอีกอาณาจักรซึ่งยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรื่องมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว พระองค์ตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่แปลกใหม่รอบตัว วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ภาษา และผู้คนที่แตกต่าง ด้วยความที่ยังเยาว์วัยและชอบความท้าทาย พระองค์จึงเริ่มเลียนแบบผู้คนในอาณาจักรนี้ เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เปลี่ยนภาษาพูด และรูปแบบการดำรงชีวิต พระองค์พบเพื่อนใหม่มากมายในสถานที่ซึ่งพระองค์เข้าไปอาศัยอยู่และศึกษาเรื่องราวมากมายจากสถานที่นั้น”
ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือไม่ที่เล่านิทาน เพราะเมื่อเล่าไปเรื่อย ๆ ดวงตาที่ปรือปรอยของเอเดรียนกลับสว่างสดใสขึ้นมาจนแทบไม่เหลือความง่วงงุน
“จะมีเจ้าชายไหม?” ในนิทานเด็กผู้หญิงส่วนมากจะมีเจ้าหญิงที่ได้ครองคู่กับเจ้าชาย ทว่า...
“บังเอิญว่าเรื่องนี้เจ้าชายได้เป็นพระราชาแล้วน่ะเอเดรียน และพวกเขาก็ได้พบกันหลังจากเจ้าหญิงมาอาศัยอยู่ในอาณาจักรใหม่ได้ไม่นาน พระราชาผู้เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างกลับนึกสนใจเจ้าหญิงจากต่างถิ่นผู้นี้หลังจากได้พบกันโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่รู้ว่าทำไม แต่พระองค์ก็นึกสนใจเจ้าหญิงที่ดูไม่มีอะไรเทียบกับคนรอบข้างพระองค์ได้เลย พวกเขาพบกันอีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น ในตอนแรกก็พบปะกันในที่สาธารณะแต่ต่อมา การพบหน้าก็เริ่มเป็นส่วนตัวมากขึ้น พวกเขาเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างลับ ๆ”
“แล้วจะมีแม่มดโผล่ออกมา” เอเดรียนเริ่มอินไปกับนิทานแปลก ๆ เรื่องนี้จนนึกอยากมีส่วนร่วม เธอเสนอตัวร้ายแสนเบสิกสำหรับนิทานทุก ๆ เรื่อง
“แม่มดหรือ?” ซูเล่ยมุ่นคิ้ว “นั่นสินะ พระราชามีแม่มดอยู่ข้างกายคนหนึ่ง นางทั้งฉลาดและรอบรู้มนตราคาถามากมาย และวันหนึ่ง มนตร์หยั่งรู้ของนางก็ทำให้นางได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระราชาและเจ้าหญิงจากต่างเมืองคนนั้นเข้าจนได้”
“แม่มดจะสาปเจ้าหญิง?”
“ไม่จำเป็นหรอก แม่มดมีวิธีที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่านั้นเพื่อแยกทั้งสองออกจากกัน” ชายหนุ่มลูบผมเด็กหญิงอย่างเพลินมือขณะที่นึกตอนต่อไป “...พระราชาและเจ้าหญิงต่างเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นและมากขึ้นโดยพยายามไม่ให้ใครอื่นล่วงรู้ เจ้าหญิงหลงรักพระราชาอย่างเต็มหัวใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรักพระองค์มากเท่าที่พระองค์รักหรือไม่”
“ต้องรักสิ!” ในโลกของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ความรักคือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายและพร้อมเบ่งบานอย่างงดงามเหมือนดอกไม้ในยามเช้า ความรักที่ขาวบริสุทธิ์ ไม่มีเล่ห์กลหรือความลวงหลอก เอเดรียนจึงได้เชื่อว่าพระราชาต้องรักเจ้าหญิงอย่างแน่นอน แต่ซูเล่ยกลับไม่ได้เฉลยคำถามนั้น...
“นั่นสินะ...ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่เจ้าหญิงก็ไม่เคยรับรู้เพราะพระราชาไม่เคยพูดออกมาว่ารักเลยแม้แต่ครั้งเดียว และนับวันพระองค์เริ่มยิ่งสงสัยคลางแคลงใจว่าพระราชารักตนจริงหรือ? ความหวั่นไหวของเจ้าหญิงได้เปิดช่องให้แม่มดแทรกเข้ามา นางปลอมตัวเป็นหญิงรับใช้ของพระราชาเพื่อเข้าหาเจ้าหญิง หญิงรับใช้คนนี้มีวาจาอันหอมหวานช่วยปลอบประโลมจิตใจของเจ้าหญิงและชักจูงให้พระองค์ไว้ใจจนยินยอมเล่าเรื่องราวความกลัดกลุ้มทั้งหลายให้นางฟังจนหมดสิ้น แม่มดได้ฟังจึงช่วยปลอบใจเจ้าหญิงและออกตัวว่าจะช่วยสืบสาวความรู้สึกแท้จริงจากพระราชาให้ซึ่งทำให้เจ้าหญิงซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก”
เอเดรียนฟังแล้วกะพริบตาปริบ ๆ
“ทำไมแม่มดถึงช่วยเจ้าหญิงล่ะ?”
“เพราะแม่มดมีแผนการในใจอยู่แล้ว นางเข้าพบพระราชาและบอกเรื่องของเจ้าหญิงให้รู้ซ้ำยังตำหนิติเตียนพระราชาที่ประพฤติไม่เหมาะสม เพราะความจริงพระราชาองค์นั้นมีพระราชินีอยู่แล้ว ซ้ำเพิ่งให้กำเนิดพระธิดาไปไม่นาน คำตำหนิของแม่มดทำให้พระราชาละอายใจ อย่างไรก็ตาม แม่มดบอกว่าตนจะไม่บอกเรื่องนี้กับพระราชินีหากพระราชายกให้ตนจัดการเจ้าหญิงเอง”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความแปลกใจระคนสับสน เด็กตัวเล็ก ๆ แค่นี้คงจะยังไม่เคยเจอนิทานทำนองนี้มาก่อนกระมัง ถ้าหากเอเดรียนเอาไปเล่าให้อังเดรฟัง เขาจะถูกต่อว่าเอาไหมนะ...
แต่เล่ามาถึงขนาดนี้แล้วคงกลับลำไม่ทันเพราะเอเดรียนกระตุ้นแขนให้เล่าต่อทันทีที่เขาหยุดคิด
“ไม่ง่วงบ้างเลยหรือ? เล่าต่อพรุ่งนี้ดีกว่าไหม?” ซูเล่ยมองนาฬิกาที่ตอนนี้ปาเข้าไป 4 ทุ่มแล้ว
“ไม่เอา เอเดรียนจะฟัง ไม่งั้นเอเดรียนจะตื่นทั้งคืนเลย”
ตัวยังแค่นี้ก็ขู่พี่เลี้ยงตัวเองเป็นเสียแล้ว ซูเล่ยนึกถึงอนาคตของเอเดรียนแล้วรู้สึกกังวลแทนคนรอบข้างขึ้นมาชอบกล
“พระราชาอนุญาตให้แม่มดทำตามสมควร แม่มดจึงกลับไปปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหญิงในฐานะเดิมของตนพร้อมทั้งเปิดเผยความจริงของพระราชาให้พระองค์รู้ เจ้าหญิงเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่แค่เพราะถูกหักหลังแต่ในครรภ์ของพระองค์ได้มีอีกชีวิตหนึ่งถือกำเนิดขึ้นแล้ว ชีวิตซึ่งพระราชาเป็นผู้มอบให้แต่ไม่เคยมีโอกาสได้บอกกล่าว” ถึงตรงนี้ซูเล่ยก็หยุดไปครู่หนึ่งและเม้มปาก แต่เมื่อถูกสะกิดมือก็สูดหายใจแล้วเล่าต่อ “ไม่รู้ว่าแม่มดเกิดเห็นใจเจ้าหญิงขึ้นมาหรือเปล่าจึงมอบทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งของพระราชาให้และจัดการเรื่องการเดินทางของเจ้าหญิง ไม่ว่าพระองค์ต้องการจะไปที่ใดในโลกนี้ก็สามารถไปได้ในทันทียกเว้นแต่เพียงอาณาจักรแห่งนี้เท่านั้น เจ้าหญิงจึงตอบแม่มดว่านางต้องการเพียงสิ่งเดียวคือการได้กลับบ้านเกิดของตน”
สีหน้าเอเดรียนดูบิดเบี้ยวเหมือนกำลังโกรธและเศร้าในเวลาเดียวกัน ที่ว่าเด็กสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ง่ายเห็นท่าจะจริง...
ซูเล่ยลูบผมปลอบโยนและคิดว่าให้จบแค่นี้ก็ได้ แต่เอเดรียนกลับยึดมือไว้เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้น
“เล่าต่อ”
เอเดรียนชอบเรื่องดราม่าหรือยังไงกันนะ!?
ชายหนุ่มร่างเล็กกระแอมเบา ๆ และนั่งลงอีกครั้ง
“สัญญากับพี่ก่อนนะเอเดรียน ถ้าพี่เล่าจบแล้วต้องนอน ห้ามงอแงเด็ดขาด”
เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขันและจับมือซูเล่ยแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะแอบหนีกลับห้องไปก่อนที่จะเล่าจบ
“เจ้าหญิงกลับบ้านเกิดเมืองนอนพร้อมกับเด็กน้อยในครรภ์ คิดว่าครอบครัวของพระองค์จะต้องเข้าใจ ทว่าพระองค์ก็คิดผิด เพราะสำหรับอาณาจักรของพระองค์ สิ่งนี้เป็นความน่าอับอายของวงศ์ตระกูล พระองค์ถูกดูถูกเหยียมหยามจากคนรอบข้าง แม้แต่คนในครอบครัวก็มองพระองค์ด้วยสายตาสมเพชเวทนา พระองค์ต้องจมอยู่กับความทุกข์อย่างไร้ทางออก ทว่า...เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตน้อย ๆ ที่พระองค์โอบอุ้มก็ได้ถือกำเนิด ประหนึ่งแสงสว่างซึ่งนำความหวังกลับมาสู่ชีวิตอันมืดมน และเป็นเสมือนสะพานซึ่งเชื่อมความรักให้กลับมาสู่พระองค์อีกครั้ง ความหมองใจภายในครอบครัวเริ่มเจือจางเบาบางลงทีละน้อย พระองค์ได้ชีวิตอันสงบสุขกลับคืนมาแม้ต้องแลกกับหลายสิ่งหลายอย่างและผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากซึ่งไม่เหลือใครเคียงข้าง เจ้าหญิงจึงตั้งชื่อพระโอรสว่า ‘ชาร์มมิ่งเทียร์’ เพื่อเป็นตัวแทนหยาดน้ำตาและความสุขของพระองค์ จบแล้ว”
ซูเล่ยตัดจบเรื่องราวตรงจุดที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมดีแล้ว แม้มันจะไม่ได้เลิศเลอสวยงามแต่ก็ถือว่าแฮปปี้เอนดิ้งได้เหมือนกัน
“แล้วพระราชาล่ะ?”
“พระราชาก็คงจะครองคู่กับพระราชินีต่อไป” ซูเล่ยไหวไหล่ “เพราะแม่มดคงไม่ยอมให้พระองค์นอกใจพระราชินีอีกหรอก แต่ยังไงก็ตาม ตอนนี้นิทานจบแล้ว เอเดรียนต้องนอนตามสัญญา”
“อือ...” เอเดรียนรับคำในคอแบบไม่เต็มใจ แต่เธอเองก็ง่วงจนฝืนไม่ไหวแล้วเช่นกัน “ซู จูบราตรีสวัสดิ์เอเดรียนแทนแดดดี้ด้วย”
พี่เลี้ยงเด็กชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนโน้มใบหน้าลงไปจูบหน้าผากเด็กหญิงเบา ๆ
“ฝันดีเอเดรียน”
“ฝันดีนะซู” มือเล็กขยี้ตาป้อย ๆ และตลบผ้าห่มคลุมตัว ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไป
ซูเล่ยย่องออกจากห้องด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด แต่เมื่อเปิดประตูออกไปเขาก็ต้องเผลอสะดุ้งเพราะเงาคนที่ยืนพิงกรอบประตู แต่เมื่อมองดี ๆ จึงรู้ว่าเป็นอังเดรนั่นเอง
“เพิ่งกลับมาถึงหรือครับ?” เขาปิดประตูอย่างแผ่วเบาและกล่าวทักทายเจ้าของบ้านซึ่งกอดอกพลางมองมาด้วยสายตาเสมือนกำลังคิดบางสิ่งอยู่ในใจ
“ความจริงก็สักพักหนึ่งแล้ว ทันจะได้ฟังช่วงท้าย ๆ ของนิทานพอดี” คำพูดของอังเดรพาให้เจ้าของนิทานสะดุ้งอยู่ในใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ฟังไปตั้งแต่ตอนไหนของเรื่องราว “นั่นน่ะ เป็นนิทานจริง ๆ หรือ?”
ซูเล่ยเลิกคิ้วนิด ๆ
“ผมคิดว่าคุณจะว่าผมเล่าเรื่องไม่เหมาะกับวัยเสียอีก”
“ความจริงก็คิดแบบนั้นอยู่แต่ฉันสงสัยมากกว่าว่าเธอเอามาจากที่ไหน เพราะฟังดูแล้วเหมือนจะเอาเรื่องจริงมาตบแต่งให้ดูเป็นนิทาน หรือไม่ใช่?” สายตาของอังเดรที่มองมาในตอนนี้ไม่ได้กำลังพยายามคาดคั้นคำตอบแต่อย่างใด มีแต่เพียงความกังขาที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง
“คุณคิดมากเกินไปแล้ว ใครจะมีชีวิตที่เริ่มต้นอย่างดราม่าและจบลงอย่างสวยงามเหมือนละครได้แบบนั้นกัน” ชายหนุ่มร่างเล็กโบกมือพลางหัวเราะในคอก่อนแสร้งหรี่ตามองอีกฝ่ายคล้ายกำลังจับผิด “ว่าแต่คุณเถอะ กลับมาตั้งป่านนี้ คุณยูล่าชวนทำอะไรกันนะ?”
คิ้วของอังเดรเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อถูกซอกแซกความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง แต่แล้วข้อสงสัยที่เคยตั้งกับตนเองก็แทรกเข้ามาว่าทำไมซูเล่ยจึงไม่เคยพยายามจะเข้าหาตนอย่างเป็นมิตรเลย จะว่านิสัยขวางโลกหรือชอบดูคนอื่นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็ไม่น่าใช่ เพราะคนแบบนั้นมีหรือจะเข้ากับเด็กได้ดีจนเอเดรียนยังติดแจแบบนี้ แล้วนิสัยทำนองนี้ซูเล่ยแสดงออกกับเขาคนเดียวหรือเปล่า?
หรือว่าอยากเบี่ยงประเด็น?
อังเดรคิดก่อนจะตัดสินใจว่าจะลองไม่เอนเอียงไปตามคำพูดของซูเล่ยดูสักครั้ง
“ที่จริง...ประวัติชีวิตแบบนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ ถ้าดึงเฉพาะประเด็นที่ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งงานแล้วแต่กลับไปผูกสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกคนและทิ้งให้เธอต้องจากไปพร้อมกับลูกในท้อง”
ซูเล่ยเงียบไปชั่วครู่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่โอนอ่อนตามอารมณ์อย่างเคย ซ้ำยังดูติดอกติดใจกับนิทานเรื่องเดียวจนผิดปกติจนไม่สนใจคำถามของตน
“...ก็คงจะแบบนั้น...แต่คนรอบตัวผมคงจะไม่โชคร้ายถึงขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่นึกนิทานโทนสดใสแบบเด็ก ๆ ไม่ออกก็เลยจำมาจากพวกละครเท่านั้นเอง” เจ้าของเรื่องเล่าเจ้าปัญหาบอกปัดทุกข้อสงสัยให้พ้นตัว “นี่ก็ดึกแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า คุณเองก็ควรเข้าไปจูบราตรีสวัสดิ์เอเดรียนแล้วไปนอนได้แล้วเหมือนกัน” บอกลาเสร็จ ซูเล่ยก็เบี่ยงตัวเพื่อเดินกลับห้องของตนเอง ทว่า...
“ฉันไม่เคยเรียนภาษาจีน แต่มีเพื่อนเป็นคนจีนก็เลยจำมาได้เป็นคำ ๆ” อังเดรเปรยขึ้นมาทำให้ผู้ฟังต้องเผลอชะงักเท้า “คำว่า เล่ย แปลว่า น้ำตา ใช่ไหม?”
“เสียงหนึ่งมีความหมายได้หลายแบบนะครับ” ว่าจบ ซูเล่ยก็รีบก้าวเข้าห้องและปิดประตู เขาถอนหายใจเมื่ออังเดรไม่คาดคั้นอะไรต่อและสามารถหนีจากสถานการณ์นั้นได้ในที่สุด ดวงตาสีดำสนิทค่อย ๆ เลื่อนมองไปด้านข้าง ตู้ตัวเล็กที่ใช้เก็บของจิปาถะตั้งอยู่ใกล้ประตู ซูเล่ยเลื่อนลิ้นชักชั้นแรกออกมา ข้างในนั้นมีกล่องกระดาษแบบฝาครอบ เขาเปิดฝากล่องออก ด้านในบรรจุผ้าไหมจีนอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นสีแดงปักลายทอง มันถูกพับอย่างเรียบร้อยจึงมองไม่ออกว่าลายสีทองบนผ้าเป็นลายอะไร แต่มุมหนึ่งของผ้าที่โชว์อยู่ด้านบนปรากฏอักษรจีนสองตัวอ่านว่า ซูเล่ย
ซูเล่ย...หยดน้ำตาที่แสนงดงาม...
---------------------------->