Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]  (อ่าน 182396 ครั้ง)

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
«ตอบ #30 เมื่อ25-10-2013 19:31:42 »

ยัยยูล่านี่แผนสูงนะ!

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
«ตอบ #31 เมื่อ25-10-2013 20:55:17 »

ยูล่าน่ารำคาญ
นี่อังเดรความจำสั้นหรอแค่นี้จำไม่ได้
ซูก็ปกติดีนิตั้งแง่อยู่นั้นแหละ ชอบทุกประโยคของซูเลย แทงเข้าใจหมดอะ

ดูท่าแล้วเค้าจะรักกันยากโฮ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
«ตอบ #32 เมื่อ30-10-2013 15:30:21 »

-5-

   “วันนี้แดดดี้ก็ไม่กลับ” เอเดรียนกอดกระต่ายแล้วพองแก้มขณะกลิ้งไปมาบนเตียง

   “แดดดี้บอกว่าจะกลับดึกคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ยอมให้แดดดี้สักคืนก็แล้วกัน” ซูเล่ยพูดไปก็ลูบผมกล่อมเด็กหญิงให้หลับ เพราะแม้จะเกินเวลานอนมาเกือบชั่วโมงแล้ว เอเดรียนก็ยังหวังจะได้พบหน้าพ่อก่อนหลับตาลงจึงได้พยายามฝืนไม่ยอมหลับทั้งที่หาวหวอดจนตาปรือ

   “เอเดรียนไม่ชอบยูล่าแล้ว” เด็กหญิงทำหน้ามุ่ยปากเชิดจนจะชนกับปลายจมูก “ยูล่าจะแย่งแดดดี้ของเอเดรียน เอเดรียนไม่ชอบแล้ว”

   ดูเหมือนความนิยมต่อยูล่าในตัวเอเดรียนจะตกฮวบอย่างรวดเร็วเมื่อเธอกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พ่อลูกต้องห่างเหินกันไม่ว่าจะโดยความตั้งใจหรือไม่ ตัวเอเดรียนในตอนแรกก็คงมองยูล่าเป็นพี่สาวใจดีช่างเอาอกเอาใจ แต่อย่างไรเด็กผู้หญิงในวัยนี้ก็มักจะมีนิสัยหวงพ่อและติดพ่อมาก เมื่อรู้สึกว่าโดนพี่สาวใจดีแย่งเวลาของพ่อไปจึงเกิดรู้สึกต่อต้านขึ้นมา

   “แต่ยังไงนี่มันก็เลยเวลานอนมาเยอะแล้วนะเอเดรียน ถ้าไม่หลับก่อนแดดดี้กลับมาเดี๋ยวพี่ก็โดนดุเอาหรอก” ถึงอังเดรคงไม่คิดจะดุเขาในเรื่องที่ตนเองมีส่วนผิด แต่ซูเล่ยก็ยังยกมาเป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายรู้สึกเห็นอกเห็นใจจะได้ยอมเชื่อฟังและทำตัวว่าง่ายเสียที

   “แต่เอเดรียนยังไม่อยากนอน” เอเดรียนใช้วิธีออดอ้อนเหมือนเช่นทุกคืน

   “แล้วจะทำยังไงถึงยอมนอนล่ะ?”

   เด็กหญิงกลอกตาไปมาก่อนจะเสนอ

   “ซูเล่านิทานให้ฟังหน่อย”

   นิทาน...

   ชายหนุ่มปั้นหน้าปุเลี่ยน เพราะเขาไม่ได้เติบโตมากับนิทานเด็กที่แสนสวยงามแบบคนอื่น ๆ พอมีคนพูดถึงนิทานมันทำให้เขารู้สึกว่าเป็นอะไรที่ห่างไกลจากตนเองจนไม่สามารถเข้าใจตรรกะของมันได้ ไม่รู้ว่าจะจินตนาการถึงโลกที่สวยงาม มีนกน้อยร้องเพลงที่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ยังไง

   “ถ้าซูเล่าเอเดรียนจะนอน” ดวงตาสีน้ำตาลทองกลมโตใสกระจ่างจ้องมองไปยังพี่เลี้ยงของตนอย่างซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม

   “ก็ได้ ในห้องนี้มีหนังสือนิทานหรือเปล่า?” ซูเล่ยมองไปรอบตัวและพบชั้นวางหนังสือขนาดเล็ก ทว่าเมื่อเอื้อมมือไปหยิบ เอเดรียนกลับพูดขึ้นมาว่า

   “เอเดรียนอยากฟังเรื่องใหม่ ๆ”

   ...

   แค่ให้เล่ายังไม่พอ ยังต้องให้แต่งเรื่องขึ้นเองอีกด้วย...ปกติในหลักสูตรพี่เลี้ยงมีวิชาแต่งนิทานด้วยหรือเปล่านะ ซูเล่ยนึกสงสัยขึ้นมาครามครัน แต่เมื่อเป็นความต้องการของเอเดรียนและเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงตัดสินใจที่จะเล่านิทานเรื่องหนึ่งซึ่งอีกฝ่ายไม่น่าจะเคยได้ยินมาก่อน

   “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรอันห่างไกล ยังมีเจ้าหญิงอยู่พระองค์หนึ่ง” พอเรื่องราวเริ่มขึ้น เอเดรียนก็หยุดเรียกร้องและนอนฟังอย่างสงบ ซูเล่ยขยับผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงคอและเล่าต่อ “เจ้าหญิงองค์นี้ทรงหลงรักการผจญภัยนอกแผ่นดินเกิด จึงออกเดินทางมากับองครักษ์คนสนิทจนถึงอีกอาณาจักรซึ่งยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรื่องมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว พระองค์ตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่แปลกใหม่รอบตัว วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ภาษา และผู้คนที่แตกต่าง ด้วยความที่ยังเยาว์วัยและชอบความท้าทาย พระองค์จึงเริ่มเลียนแบบผู้คนในอาณาจักรนี้ เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เปลี่ยนภาษาพูด และรูปแบบการดำรงชีวิต พระองค์พบเพื่อนใหม่มากมายในสถานที่ซึ่งพระองค์เข้าไปอาศัยอยู่และศึกษาเรื่องราวมากมายจากสถานที่นั้น”

   ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือไม่ที่เล่านิทาน เพราะเมื่อเล่าไปเรื่อย ๆ ดวงตาที่ปรือปรอยของเอเดรียนกลับสว่างสดใสขึ้นมาจนแทบไม่เหลือความง่วงงุน

   “จะมีเจ้าชายไหม?” ในนิทานเด็กผู้หญิงส่วนมากจะมีเจ้าหญิงที่ได้ครองคู่กับเจ้าชาย ทว่า...

   “บังเอิญว่าเรื่องนี้เจ้าชายได้เป็นพระราชาแล้วน่ะเอเดรียน และพวกเขาก็ได้พบกันหลังจากเจ้าหญิงมาอาศัยอยู่ในอาณาจักรใหม่ได้ไม่นาน พระราชาผู้เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างกลับนึกสนใจเจ้าหญิงจากต่างถิ่นผู้นี้หลังจากได้พบกันโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่รู้ว่าทำไม แต่พระองค์ก็นึกสนใจเจ้าหญิงที่ดูไม่มีอะไรเทียบกับคนรอบข้างพระองค์ได้เลย พวกเขาพบกันอีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น ในตอนแรกก็พบปะกันในที่สาธารณะแต่ต่อมา การพบหน้าก็เริ่มเป็นส่วนตัวมากขึ้น พวกเขาเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างลับ ๆ”

   “แล้วจะมีแม่มดโผล่ออกมา” เอเดรียนเริ่มอินไปกับนิทานแปลก ๆ เรื่องนี้จนนึกอยากมีส่วนร่วม เธอเสนอตัวร้ายแสนเบสิกสำหรับนิทานทุก ๆ เรื่อง

   “แม่มดหรือ?” ซูเล่ยมุ่นคิ้ว “นั่นสินะ พระราชามีแม่มดอยู่ข้างกายคนหนึ่ง นางทั้งฉลาดและรอบรู้มนตราคาถามากมาย และวันหนึ่ง มนตร์หยั่งรู้ของนางก็ทำให้นางได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระราชาและเจ้าหญิงจากต่างเมืองคนนั้นเข้าจนได้”

   “แม่มดจะสาปเจ้าหญิง?”

   “ไม่จำเป็นหรอก แม่มดมีวิธีที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่านั้นเพื่อแยกทั้งสองออกจากกัน” ชายหนุ่มลูบผมเด็กหญิงอย่างเพลินมือขณะที่นึกตอนต่อไป “...พระราชาและเจ้าหญิงต่างเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นและมากขึ้นโดยพยายามไม่ให้ใครอื่นล่วงรู้ เจ้าหญิงหลงรักพระราชาอย่างเต็มหัวใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรักพระองค์มากเท่าที่พระองค์รักหรือไม่”

   “ต้องรักสิ!” ในโลกของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ความรักคือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายและพร้อมเบ่งบานอย่างงดงามเหมือนดอกไม้ในยามเช้า ความรักที่ขาวบริสุทธิ์ ไม่มีเล่ห์กลหรือความลวงหลอก เอเดรียนจึงได้เชื่อว่าพระราชาต้องรักเจ้าหญิงอย่างแน่นอน แต่ซูเล่ยกลับไม่ได้เฉลยคำถามนั้น...

   “นั่นสินะ...ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่เจ้าหญิงก็ไม่เคยรับรู้เพราะพระราชาไม่เคยพูดออกมาว่ารักเลยแม้แต่ครั้งเดียว และนับวันพระองค์เริ่มยิ่งสงสัยคลางแคลงใจว่าพระราชารักตนจริงหรือ? ความหวั่นไหวของเจ้าหญิงได้เปิดช่องให้แม่มดแทรกเข้ามา นางปลอมตัวเป็นหญิงรับใช้ของพระราชาเพื่อเข้าหาเจ้าหญิง หญิงรับใช้คนนี้มีวาจาอันหอมหวานช่วยปลอบประโลมจิตใจของเจ้าหญิงและชักจูงให้พระองค์ไว้ใจจนยินยอมเล่าเรื่องราวความกลัดกลุ้มทั้งหลายให้นางฟังจนหมดสิ้น แม่มดได้ฟังจึงช่วยปลอบใจเจ้าหญิงและออกตัวว่าจะช่วยสืบสาวความรู้สึกแท้จริงจากพระราชาให้ซึ่งทำให้เจ้าหญิงซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก”

   เอเดรียนฟังแล้วกะพริบตาปริบ ๆ

   “ทำไมแม่มดถึงช่วยเจ้าหญิงล่ะ?”

   “เพราะแม่มดมีแผนการในใจอยู่แล้ว นางเข้าพบพระราชาและบอกเรื่องของเจ้าหญิงให้รู้ซ้ำยังตำหนิติเตียนพระราชาที่ประพฤติไม่เหมาะสม เพราะความจริงพระราชาองค์นั้นมีพระราชินีอยู่แล้ว ซ้ำเพิ่งให้กำเนิดพระธิดาไปไม่นาน คำตำหนิของแม่มดทำให้พระราชาละอายใจ อย่างไรก็ตาม แม่มดบอกว่าตนจะไม่บอกเรื่องนี้กับพระราชินีหากพระราชายกให้ตนจัดการเจ้าหญิงเอง”

   ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความแปลกใจระคนสับสน เด็กตัวเล็ก ๆ แค่นี้คงจะยังไม่เคยเจอนิทานทำนองนี้มาก่อนกระมัง ถ้าหากเอเดรียนเอาไปเล่าให้อังเดรฟัง เขาจะถูกต่อว่าเอาไหมนะ...

   แต่เล่ามาถึงขนาดนี้แล้วคงกลับลำไม่ทันเพราะเอเดรียนกระตุ้นแขนให้เล่าต่อทันทีที่เขาหยุดคิด

   “ไม่ง่วงบ้างเลยหรือ? เล่าต่อพรุ่งนี้ดีกว่าไหม?” ซูเล่ยมองนาฬิกาที่ตอนนี้ปาเข้าไป 4 ทุ่มแล้ว

   “ไม่เอา เอเดรียนจะฟัง ไม่งั้นเอเดรียนจะตื่นทั้งคืนเลย”

   ตัวยังแค่นี้ก็ขู่พี่เลี้ยงตัวเองเป็นเสียแล้ว ซูเล่ยนึกถึงอนาคตของเอเดรียนแล้วรู้สึกกังวลแทนคนรอบข้างขึ้นมาชอบกล

   “พระราชาอนุญาตให้แม่มดทำตามสมควร แม่มดจึงกลับไปปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหญิงในฐานะเดิมของตนพร้อมทั้งเปิดเผยความจริงของพระราชาให้พระองค์รู้ เจ้าหญิงเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่แค่เพราะถูกหักหลังแต่ในครรภ์ของพระองค์ได้มีอีกชีวิตหนึ่งถือกำเนิดขึ้นแล้ว ชีวิตซึ่งพระราชาเป็นผู้มอบให้แต่ไม่เคยมีโอกาสได้บอกกล่าว” ถึงตรงนี้ซูเล่ยก็หยุดไปครู่หนึ่งและเม้มปาก แต่เมื่อถูกสะกิดมือก็สูดหายใจแล้วเล่าต่อ “ไม่รู้ว่าแม่มดเกิดเห็นใจเจ้าหญิงขึ้นมาหรือเปล่าจึงมอบทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งของพระราชาให้และจัดการเรื่องการเดินทางของเจ้าหญิง ไม่ว่าพระองค์ต้องการจะไปที่ใดในโลกนี้ก็สามารถไปได้ในทันทียกเว้นแต่เพียงอาณาจักรแห่งนี้เท่านั้น เจ้าหญิงจึงตอบแม่มดว่านางต้องการเพียงสิ่งเดียวคือการได้กลับบ้านเกิดของตน”

   สีหน้าเอเดรียนดูบิดเบี้ยวเหมือนกำลังโกรธและเศร้าในเวลาเดียวกัน ที่ว่าเด็กสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ง่ายเห็นท่าจะจริง...

   ซูเล่ยลูบผมปลอบโยนและคิดว่าให้จบแค่นี้ก็ได้ แต่เอเดรียนกลับยึดมือไว้เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้น

   “เล่าต่อ”

   เอเดรียนชอบเรื่องดราม่าหรือยังไงกันนะ!?

   ชายหนุ่มร่างเล็กกระแอมเบา ๆ และนั่งลงอีกครั้ง

   “สัญญากับพี่ก่อนนะเอเดรียน ถ้าพี่เล่าจบแล้วต้องนอน ห้ามงอแงเด็ดขาด”

   เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขันและจับมือซูเล่ยแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะแอบหนีกลับห้องไปก่อนที่จะเล่าจบ

   “เจ้าหญิงกลับบ้านเกิดเมืองนอนพร้อมกับเด็กน้อยในครรภ์ คิดว่าครอบครัวของพระองค์จะต้องเข้าใจ ทว่าพระองค์ก็คิดผิด เพราะสำหรับอาณาจักรของพระองค์ สิ่งนี้เป็นความน่าอับอายของวงศ์ตระกูล พระองค์ถูกดูถูกเหยียมหยามจากคนรอบข้าง แม้แต่คนในครอบครัวก็มองพระองค์ด้วยสายตาสมเพชเวทนา พระองค์ต้องจมอยู่กับความทุกข์อย่างไร้ทางออก ทว่า...เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตน้อย ๆ ที่พระองค์โอบอุ้มก็ได้ถือกำเนิด ประหนึ่งแสงสว่างซึ่งนำความหวังกลับมาสู่ชีวิตอันมืดมน และเป็นเสมือนสะพานซึ่งเชื่อมความรักให้กลับมาสู่พระองค์อีกครั้ง ความหมองใจภายในครอบครัวเริ่มเจือจางเบาบางลงทีละน้อย พระองค์ได้ชีวิตอันสงบสุขกลับคืนมาแม้ต้องแลกกับหลายสิ่งหลายอย่างและผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากซึ่งไม่เหลือใครเคียงข้าง เจ้าหญิงจึงตั้งชื่อพระโอรสว่า ‘ชาร์มมิ่งเทียร์’ เพื่อเป็นตัวแทนหยาดน้ำตาและความสุขของพระองค์ จบแล้ว”

   ซูเล่ยตัดจบเรื่องราวตรงจุดที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมดีแล้ว แม้มันจะไม่ได้เลิศเลอสวยงามแต่ก็ถือว่าแฮปปี้เอนดิ้งได้เหมือนกัน

   “แล้วพระราชาล่ะ?”

   “พระราชาก็คงจะครองคู่กับพระราชินีต่อไป” ซูเล่ยไหวไหล่ “เพราะแม่มดคงไม่ยอมให้พระองค์นอกใจพระราชินีอีกหรอก แต่ยังไงก็ตาม ตอนนี้นิทานจบแล้ว เอเดรียนต้องนอนตามสัญญา”

   “อือ...” เอเดรียนรับคำในคอแบบไม่เต็มใจ แต่เธอเองก็ง่วงจนฝืนไม่ไหวแล้วเช่นกัน “ซู จูบราตรีสวัสดิ์เอเดรียนแทนแดดดี้ด้วย”

   พี่เลี้ยงเด็กชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนโน้มใบหน้าลงไปจูบหน้าผากเด็กหญิงเบา ๆ

   “ฝันดีเอเดรียน”

   “ฝันดีนะซู” มือเล็กขยี้ตาป้อย ๆ และตลบผ้าห่มคลุมตัว ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไป

   ซูเล่ยย่องออกจากห้องด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด แต่เมื่อเปิดประตูออกไปเขาก็ต้องเผลอสะดุ้งเพราะเงาคนที่ยืนพิงกรอบประตู แต่เมื่อมองดี ๆ จึงรู้ว่าเป็นอังเดรนั่นเอง

   “เพิ่งกลับมาถึงหรือครับ?” เขาปิดประตูอย่างแผ่วเบาและกล่าวทักทายเจ้าของบ้านซึ่งกอดอกพลางมองมาด้วยสายตาเสมือนกำลังคิดบางสิ่งอยู่ในใจ

   “ความจริงก็สักพักหนึ่งแล้ว ทันจะได้ฟังช่วงท้าย ๆ ของนิทานพอดี” คำพูดของอังเดรพาให้เจ้าของนิทานสะดุ้งอยู่ในใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ฟังไปตั้งแต่ตอนไหนของเรื่องราว “นั่นน่ะ เป็นนิทานจริง ๆ หรือ?”

   ซูเล่ยเลิกคิ้วนิด ๆ

   “ผมคิดว่าคุณจะว่าผมเล่าเรื่องไม่เหมาะกับวัยเสียอีก”

   “ความจริงก็คิดแบบนั้นอยู่แต่ฉันสงสัยมากกว่าว่าเธอเอามาจากที่ไหน เพราะฟังดูแล้วเหมือนจะเอาเรื่องจริงมาตบแต่งให้ดูเป็นนิทาน หรือไม่ใช่?” สายตาของอังเดรที่มองมาในตอนนี้ไม่ได้กำลังพยายามคาดคั้นคำตอบแต่อย่างใด มีแต่เพียงความกังขาที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง

   “คุณคิดมากเกินไปแล้ว ใครจะมีชีวิตที่เริ่มต้นอย่างดราม่าและจบลงอย่างสวยงามเหมือนละครได้แบบนั้นกัน” ชายหนุ่มร่างเล็กโบกมือพลางหัวเราะในคอก่อนแสร้งหรี่ตามองอีกฝ่ายคล้ายกำลังจับผิด “ว่าแต่คุณเถอะ กลับมาตั้งป่านนี้ คุณยูล่าชวนทำอะไรกันนะ?”

   คิ้วของอังเดรเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อถูกซอกแซกความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง แต่แล้วข้อสงสัยที่เคยตั้งกับตนเองก็แทรกเข้ามาว่าทำไมซูเล่ยจึงไม่เคยพยายามจะเข้าหาตนอย่างเป็นมิตรเลย จะว่านิสัยขวางโลกหรือชอบดูคนอื่นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็ไม่น่าใช่ เพราะคนแบบนั้นมีหรือจะเข้ากับเด็กได้ดีจนเอเดรียนยังติดแจแบบนี้ แล้วนิสัยทำนองนี้ซูเล่ยแสดงออกกับเขาคนเดียวหรือเปล่า?

   หรือว่าอยากเบี่ยงประเด็น?

   อังเดรคิดก่อนจะตัดสินใจว่าจะลองไม่เอนเอียงไปตามคำพูดของซูเล่ยดูสักครั้ง

   “ที่จริง...ประวัติชีวิตแบบนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ ถ้าดึงเฉพาะประเด็นที่ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งงานแล้วแต่กลับไปผูกสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกคนและทิ้งให้เธอต้องจากไปพร้อมกับลูกในท้อง”

   ซูเล่ยเงียบไปชั่วครู่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่โอนอ่อนตามอารมณ์อย่างเคย ซ้ำยังดูติดอกติดใจกับนิทานเรื่องเดียวจนผิดปกติจนไม่สนใจคำถามของตน

   “...ก็คงจะแบบนั้น...แต่คนรอบตัวผมคงจะไม่โชคร้ายถึงขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่นึกนิทานโทนสดใสแบบเด็ก ๆ ไม่ออกก็เลยจำมาจากพวกละครเท่านั้นเอง” เจ้าของเรื่องเล่าเจ้าปัญหาบอกปัดทุกข้อสงสัยให้พ้นตัว “นี่ก็ดึกแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า คุณเองก็ควรเข้าไปจูบราตรีสวัสดิ์เอเดรียนแล้วไปนอนได้แล้วเหมือนกัน” บอกลาเสร็จ ซูเล่ยก็เบี่ยงตัวเพื่อเดินกลับห้องของตนเอง ทว่า...

   “ฉันไม่เคยเรียนภาษาจีน แต่มีเพื่อนเป็นคนจีนก็เลยจำมาได้เป็นคำ ๆ” อังเดรเปรยขึ้นมาทำให้ผู้ฟังต้องเผลอชะงักเท้า “คำว่า เล่ย แปลว่า น้ำตา ใช่ไหม?”

   “เสียงหนึ่งมีความหมายได้หลายแบบนะครับ” ว่าจบ ซูเล่ยก็รีบก้าวเข้าห้องและปิดประตู เขาถอนหายใจเมื่ออังเดรไม่คาดคั้นอะไรต่อและสามารถหนีจากสถานการณ์นั้นได้ในที่สุด ดวงตาสีดำสนิทค่อย ๆ เลื่อนมองไปด้านข้าง ตู้ตัวเล็กที่ใช้เก็บของจิปาถะตั้งอยู่ใกล้ประตู ซูเล่ยเลื่อนลิ้นชักชั้นแรกออกมา ข้างในนั้นมีกล่องกระดาษแบบฝาครอบ เขาเปิดฝากล่องออก ด้านในบรรจุผ้าไหมจีนอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นสีแดงปักลายทอง มันถูกพับอย่างเรียบร้อยจึงมองไม่ออกว่าลายสีทองบนผ้าเป็นลายอะไร แต่มุมหนึ่งของผ้าที่โชว์อยู่ด้านบนปรากฏอักษรจีนสองตัวอ่านว่า ซูเล่ย

   ซูเล่ย...หยดน้ำตาที่แสนงดงาม...

---------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
«ตอบ #33 เมื่อ30-10-2013 15:30:46 »

   การเต้นรำคือศิลปะอันสวยงามซึ่งรวมสองร่างให้กลายเป็นหนึ่ง เป็นความสุนทรีย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยอรรถรสเสียยิ่งกว่าการร่วมรักอันหอมหวาน เมื่อคนสองคนค่อย ๆ เคลื่อนกายไปด้วยกัน ก็ราวกับว่าหัวใจและวิญญาณได้ถูกหลอมรวมไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น ทั้งจังหวะเนิบช้าอ่อนหวาน จังหวะรุนแรงรวดเร็ว และจังหวะเร่าร้อนซาบซ่าน ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงดนตรีและท่วงท่าแสนเพลินใจ

   นั่นแหละคือลีลาศ...

   เสียงดนตรีจบลงพร้อมกับการวาดลีลาอย่างมืออาชีพซึ่งเรียกเสียงปรบมืออย่างจริงใจจากผู้ชมรอบห้องสันทนาการ

   อังเดรก้าวถอยออกจากหญิงสาวเชื้อสายละตินซึ่งเป็นคู่เต้นประจำของตนโดยที่ยังจับมืออีกฝ่ายอยู่ เขาโค้งให้เธอ และหันไปโค้งให้ผู้ชมพร้อมกัน

   “นี่คือการเต้นจังหวะแทงโก้ เป็นจังหวะที่ทุกคนรู้จักและได้ยินติดหูมากที่สุดในบรรดาการเต้นแบบละตินทั้งหมดเพราะมีจังหวะที่เร้าอารมณ์และการเต้นที่พลิกแพลงหลากหลายซึ่งส่วนมากเป็นไปในทางยั่วเย้า ซึ่งเด็ก ๆ อย่างพวกเธอคงชอบใจกัน” ทันทีที่อังเดรพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้องเช่นเดียวกับยูล่าซึ่งอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้เพราะนาน ๆ จะได้เห็นชายหนุ่มคนนี้หยอดมุกใส่คนอื่นอย่างเป็นกันเอง

   “คุณแอชฟอร์ด ต่อไปเต้นกับหนูนะคะ” เด็กสาววัยไฮสคูลคนหนึ่งยกมือขึ้นอาสา

   “หนูก่อนสิคะ คราวก่อนแอชลี่เพิ่งจะได้สาธิตไปนี่” อีกคนหนึ่งรีบขัดแข้งขาเพื่อนตัวเอง

   “พวกเธอน่ะเกรงใจคุณแอชฟอร์ดหน่อยสิ ไม่เห็นรึไงว่าเขาพาแฟนมาเป็นกันชนน่ะ” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงท่าทางเกเรแกล้งหยอกเพื่อนสาวทั้งสองพร้อม ๆ กับครูสอนเต้นรำไปในตัวทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกระลอกเมื่อเด็กสาวสองคนหน้าง้ำไป

   “ยูล่าเป็นผู้ช่วยของฉัน พวกเราไม่ได้มีอะไรเกินไปกว่านั้นหรอก” อังเดรปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนหันไปทางเด็กชายต้นเรื่อง “แต่ไหน ๆ เธอก็หวงเนื้อหวงตัวแทนฉันขนาดนั้น เธอก็ออกมาเต้นสาธิตในวันนี้แทนดีไหม กับ...คุณเจนนิ่ง ออกมาทั้งคู่เลย”

   “เอ๋!?” เด็กสาวเจ้าของนามสกุลที่ถูกจับไปคู่โดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดร้องประท้วงขึ้นมา “เดี๋ยวสิคะ ทำไมต้องให้หนูออกไปสาธิตด้วยล่ะ!”

   “เพราะเธอสองคนสูงพอ ๆ กันน่ะสิ จับคู่กับแทบทุกชั่วโมงน่าจะชินได้แล้วนะ” ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองซึ่งถึงจะเต้นด้วยกันแทบตลอดเพราะส่วนสูงที่เข้ากันพอดีแต่ก็ไม่ใคร่ถูกกันนักเพราะตัวฝ่ายชายค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ส่วนฝ่ายหญิงก็เป็นสาวห้าวสุดมั่นที่ไม่ชื่นชอบการถูกปฏิบัติแบบผู้หญิงอ่อนแอสักเท่าไหร่จึงไม่ค่อยชอบวิชานี้มาตั้งแต่แรก

   แต่อย่างไรคำสั่งของผู้สอนก็นับเป็นเด็ดขาด ทั้งสองต้องออกมาสาธิตการก้าวเท้าในจังหวะแทงโก้ตามการให้จังหวะของอังเดร และเมื่อทั้งสองเริ่มนับเองได้ชายหนุ่มก็ให้คนอื่น ๆ จับคู่และเต้นตามก่อนถอยไปยืนมองห่าง ๆ ให้เด็ก ๆ ได้ลองทำกันเอง

   “คุณดูชอบงานนี้นะคะ” ยูล่ากระเซ้า

   “สอนเด็ก ๆ ก็สนุกดีครับ คนละอารมณ์กับโรงเรียนสอนเต้นรำที่มองมันเป็นงานอดิเรกไว้โอ้อวด เด็ก ๆ พวกนี้มองว่าเป็นวิชาเรียนคลายเครียดถึงได้เรียนอย่างสนุกสนานถึงจะไม่ตรงกับรสนิยมนักก็ตาม” อังเดรผ่อนลมหายใจน้อย ๆ “คุณเถอะ มาช่วยผมทุกวันแบบนี้โดยไม่รับเงินพิเศษเลยจะดีหรือ?”

   หญิงสาวส่ายศีรษะ

   “ฉันเองก็คิดว่าการสอนเด็ก ๆ เป็นเรื่องสนุกเหมือนกันค่ะ ถือเสียว่าเป็นการคลายเครียดแบบหนึ่ง” เธอย้อนคำของอีกฝ่ายก่อนหัวเราะ แต่อังเดรกลับรู้สึกหนักใจเพราะนับแต่เขาเลิกไปส่งเธอ ยูล่าก็กลับขอมาเป็นผู้ช่วยที่โรงเรียนแทนโดยไม่รับค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น แม้หญิงสาวจะไม่ได้บอกจุดประสงค์ แต่อังเดรก็เริ่มรู้ตัวว่าอีกฝ่ายรู้สึกพิเศษกับตนมากกว่าคู่เต้นรำ แต่ว่า...เพราะรู้และใกล้ชิดกันมานาน การตอบสนองจึงเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน เพราะเขาไม่อยากให้เธอรู้สึกเสียหน้า กระนั้นยูล่ากลับยิ่งพาตัวเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงเหมาะสม

   “คุณแอชฟอร์ด”

   “หืม?” สติของเขาถูกฉุดกลับมาด้วยเสียงของเด็กสาว

   “วันนี้จะไม่เปิดเพลงหรือคะ?”

   “...นั่นสินะ” เขาหัวเราะเพราะปกติเมื่อเริ่มเข้าจังหวะกันแล้วเขาจะเปิดให้ลองก้าวเท้านับจังหวะตามเพลง แต่วันนี้กลับมัวแต่คิดจึงลืมเสียสนิท ชายหนุ่มหันไปเปิดเครื่องเล่นซีดี เกิดเป็นเสียงเพลงจังหวะทุ้มลอยออกมา เขานำจังหวะให้ก่อนและให้เด็ก ๆ นับตาม จากนั้นก็ปล่อยให้ฝึกกันต่อ

   ยูล่าลอบมองคนข้างตัวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง ทว่าอังเดรกลับเอาแต่มองไปข้างหน้าจึงไม่ได้เห็นสายตาของเธอแม้แต่น้อย

   แต่ไม่ใช่ว่าอังเดรไม่รู้สึกตัว แต่เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเกินกว่าจะสบตากลับไป...

   และเหตุการณ์นี้ก็ดำเนินมาหลายวันจนคนรอบข้างตัวเขาเริ่มจะสังเกตเห็นแม้แต่ในการสอนเต้นรำที่โรงเรียนวันนี้

   การที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแต่เพียงภายนอกนั้นเป็นเรื่องดี เพราะถึงแม้เขาจะรู้สึกไม่ชินแต่เมื่อกลับบ้านเขาก็จะค้นพบสถานที่ซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจ เอเดรียนซึ่งวิ่งออกมารับหน้าประตูทุก ๆ วันกับซูเล่ยที่จัดอาหารอยู่ในครัวเริ่มจะกลายเป็นภาพชินตาสำหรับเขา แม้จะไม่ค่อยมีโอกาสสนทนากับซูเล่ยมากนัก แต่ระยะหลังฝ่ายนั้นก็หาเรื่องกวนอารมณ์เขาน้อยลงเสมือนว่าเจ้าตัวหมดมุกเสียแล้ว จึงทำให้บ้านหลังนี้กลับกลายเป็นบ้านอันแสนสงบกอปรกับที่เขาก็เริ่มจะทำใจเรื่องมารีนได้จึงไม่รู้สึกเหงาเกินไป

   “ถอดเสื้อโค้ทก่อนสิครับ” ซูเล่ยที่เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะมาเห็นเขาที่อุ้มเอเดรียนเดินเข้ามาก็ร้องทักก่อนจะได้นั่งลงที่โต๊ะอาหารด้วยความหิว

   “ขอโทษที...” ชายหนุ่มวางลูกสาวลงและถอดโค้ทออกโดยมีซูเล่ยเข้าช่วยดึงออกจากแขน เขารู้สึกแปลกที่ถูกปฏิบัติอย่างนี้จนเผลอพูดลอย ๆ ออกไปว่า “ถ้าเธอเกิดเป็นผู้หญิงคงเป็นภรรยาที่ดีพอใช้ได้เลยนะ” เป็นแค่คำพูดลอย ๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรเพราะแม้แต่มารีนก็ยังไม่เคยบริการเขาขนาดนี้ หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเขาถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนูที่ไม่เคยแตะต้องสิ่งใดทั้งสิ้น กระทั่งงานบ้านส่วนใหญ่เขาก็เป็นคนทำ แม้แต่การช่วยถอดเสื้อโค้ท มารีนก็ยังลองทำแค่ช่วงแรก ๆ ที่แต่งงานเท่านั้น

   แต่ว่าคำพูดลอย ๆ ของเขากลับทำให้ซูเล่ยชะงัก   

   “...เกิดเหงาขึ้นมาจริง ๆ หรือยังไงกันครับ” ชายหนุ่มชาวตะวันออกแก้เกี้ยวด้วยการขมวดคิ้วและเลื่อนสายตาขึ้นมองผู้พูดราวกับกำลังทวงถามถึงสิ่งที่ตนเคยเสนอไปเล่น ๆ เมื่อตอนพบกันครั้งแรก แต่ครั้งนี้อังเดรกลับไม่ได้แสดงอาการโมโหโทโสออกมาเหมือนครั้งนั้น

   “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วฉันจะบอกแล้วกัน” เจ้าตัวเพียงตอบกลับอย่างเฉยเมยเหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจพฤติกรรมประหลาดของซูเล่ยอีกต่อไป เพราะเขาพบว่าเมื่อทำเช่นนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้น่ารำคาญมากนัก

   ซูเล่ยถือเสื้อโค้ทอีกฝ่ายยืนค้างนิ่งและมองตามแผ่นหลังกว้างเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายเขาก็แค่พ่นลมหายใจและเดินเอาเสื้อโค้ทไปแขวนก่อนกลับเข้ามาเพื่อกินอาหารค่ำส่วนของตน

   “แดดดี้ เอเดรียนอยากไปดูแดดดี้ทำงานอีก” เด็กหญิงเอ่ยขึ้นระหว่างมื้ออาหารอย่างรื่นเริง

   “มีแต่ผู้ใหญ่เต็มไปหมด เอเดรียนคงไม่สนุกหรอก” ผู้เป็นพ่อลูบผมลูกสาวอย่างเอ็นดู แต่เอเดรียนก็ชอบดูเขาทำงานตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว จู่ ๆ พูดขึ้นมาแบบนี้ก็ไม่น่าแปลกอะไร

   “เอเดรียนอยากไปดูที่โรงเรียน”

   “โรงเรียน?”

   “อื้อ! โรงเรียนมีเด็ก ๆ เอเดรียนไม่เบื่อ” เอเดรียนทำสายตามาดมั่นก่อนยกไม้ยกมือ “เอเดรียนจะช่วยแดดดี้สอนเด็ก ๆ ด้วย”

   “ทำไมล่ะ? สอนซูไม่สนุกหรือ?” อังเดรว่าพลางเหลือบมองเจ้าของชื่อที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาโดยไม่รู้ตัว

   “สนุก แต่ซูไม่ชอบเต้น”

   ชายหนุ่มเลิกคิ้วและหันไปทางพี่เลี้ยงเด็กแต่วินาทีต่อมาความรู้สึกแปลกใจก็จางหายไป เพราะบุคลิกของซูเล่ยก็ดูจะไม่ค่อยสุนทรีย์อยู่แล้ว คงไม่ได้มีรสนิยมทางดนตรีหรือศิลปะด้านใดเป็นพิเศษ เอาเข้าจริง เขาเองก็นึกภาพซูเล่ยของเต้นรำไม่ออกเหมือนกัน

   “จะว่าไป เอเดรียนเคยบอกว่าจะเต้นกับซูให้แดดดี้ดูไม่ใช่หรือ?”

   คำถามนี้ทำให้ซูเล่ยสะดุ้งอยู่ในใจ

   “แต่ว่าซูไม่ยอม”

   “หืม? ทำไมกันล่ะ?” ขณะถาม อังเดรก็มองไปทางซูเล่ยอีกครั้งทำให้ได้เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

   “ซูบอกว่าซูเต้นไม่เก่ง” เอเดรียนทำหน้าไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อซูเล่ยปฏิเสธลูกเดียวเธอจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากฟ้องให้พ่อจัดการให้ ในความคิดของเด็กหญิงคือพ่อของเธอต้องสามารถจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของเธอได้อย่างแน่นอน ซึ่งอุปนิสัยแบบนี้เห็นจะได้มาจากแม่เต็ม ๆ

   “อย่ามองผมแบบนั้น ถ้าผมบอกว่าทำไม่ได้ก็คือไม่ได้ ผมไม่ใช่คนประเภทชอบฝืนทำตัวเองขายหน้าเพื่อเอาใจคนอื่นด้วย” ซูเล่ยรีบป้องกันตัวอย่างรวดเร็วทั้งที่อังเดรยังไม่ได้พูดอะไร

   “อยู่ในบ้านจะไปขายหน้าใครที่ไหนได้ล่ะ?”

   ดวงตาสีดำกลอกรอบหนึ่งหลังได้ยินคำถาม

   “คุณไง”

   “ฉันเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนลีลาศ และยังเป็นครูสอนพิเศษที่โรงเรียนด้วย ท่าเต้นเก้งก้างของคนไม่มีพื้นฐานฉันเห็นจนชินแล้ว” ยิ่งอังเดรพูด ผู้ฟังก็ยิ่งทำหน้าปุเลี่ยน เพราะสิ่งที่เจ้าตัวเป็นกังวลก็คือท่าเต้นเก้งก้างของคนไม่มีพื้นฐานอันแสนตลกโปกฮานั่นเอง เมื่อกอปรกับต้องเต้นกับเด็กที่เตี้ยกว่าตัวเองมากกว่าสองช่วงไม้บรรทัดมันยิ่งพาให้ดูไม่ได้เข้าไปใหญ่

   “ยังไงผมก็ไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก อีกอย่าง มันไม่ใช่หน้าที่ของผมด้วย”

   “พี่เลี้ยงต้องรู้จักเล่นกับเด็กไม่ใช่หรือ?”

   อังเดรไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าหัวข้อที่เขาสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้โดยไม่ถูกเบนประเด็นให้เสียอารมณ์จะอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ถึงอย่างนั้น ความจริงแล้วซูเล่ยคงจะอยากเบี่ยงประเด็นแต่ทำไม่ได้เพราะเป็นหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเอเดรียนและตนเองโดยตรง ไม่ใช่บุคคลที่สามเช่นเขาหรือยูล่า

   “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้แดดดี้จะกลับบ้านเร็วขึ้นหน่อย จะได้กินข้าวเย็นเสร็จไว ๆ และดูเอเดรียนแสดงฝีมือกับซูดีไหม?” โดยที่ไม่รอความเห็นของผู้ร่วมวงสนทนา อังเดรก็หันไปตกลงเวลากับลูกสาวตนเองแบบกึ่งเผด็จการ ซึ่งเอเดรียนก็ยกมืออย่างดีอกดีใจ

   “นี่ เดี๋ยวสิ...”

   “พรุ่งนี้เอเดรียนจะเต้นกับซู” เธอร้องพลางยิ้มร่าที่สามารถเอาชนะพี่เลี้ยงได้ในที่สุด ทำให้เสียงคัดค้านของซูเล่ยลอยไปตามลมอย่างไร้ความหมาย

   ในสถานการณ์นี้...เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เลย เป็นครั้งแรกก็ว่าได้นับแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้และกลายเป็นผู้แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถเอาตัวรอดมาได้เสมอแต่นั่นคงเป็นเพราะสองพ่อลูกไม่ได้รวมหัวกันเหนียวแน่นอย่างนี้ก็เป็นได้

   แม้ว่าตอนนี้อังเดรและเอเดรียนจะยิ้มแย้มและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข แต่ตัวเขากลับหัวเราะไม่ออกสักนิด...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
«ตอบ #34 เมื่อ30-10-2013 15:56:01 »

กรี๊ดดดด
อยากเห็นซุเต้นเหมือนกันอะ
5555555
ช่วงนี้คงเป็นการเอาคืนของอังเดรสินะ
ซุเงียบเลย เถียงไม่ออก ทีใครทีมันนะคะ กิกิ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
«ตอบ #35 เมื่อ30-10-2013 16:39:43 »

ซูถึงกับเงิบพูดไม่ออก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
«ตอบ #36 เมื่อ30-10-2013 17:23:56 »

ซูเล่านิทานอิงเรื่องจริงจากชีวิตตัวเองปะเนี่ย

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
«ตอบ #37 เมื่อ30-10-2013 18:44:48 »

ซูของช้านนนนนนนงิดเลยเว้ย5555555555555555
ก็แอบดีใจที่คู่นี้ไม่ตีกันเหมือนตอนแรกๆ
แต่นิทานซูเศร้าจัง

ปล.อยากดูซูเต้น ถ้าเต้นไม่ดีสงสัยต้องจับคู่กับอังเดรกร้ากกกกกกกกก

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 5 [30/10/13]
«ตอบ #38 เมื่อ31-10-2013 14:30:31 »

นิทานคือชีวิตชองซูแน่ๆเลย
เรื่องนี้ปมเยอะจัง  เดาไม่ค่อยถูก55555
แต่ชอบจ้า  รออ่านตอนต่อไปอยู่น้า

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
«ตอบ #39 เมื่อ06-11-2013 12:56:21 »

-6-

   เสียงปรบมือให้จังหวะผสานไปกับเสียงดนตรีจากเครื่องเล่นซีดีเป็นจังหวะวอลซ์ที่แสนคุ้นหูเพราะเขาถูกขับกล่อมด้วยเพลงนี้มาสักระยะหนึ่งแล้วจากความขยันขันแข็งของเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ซึ่งพยายามจะเอาอกเอาใจพ่อของตนด้วยการสอนเขาเต้นรำในแบบที่พ่อของตนเต้น แต่การเต้นแบบลีลาศเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ตัวเขาซึ่งไม่เคยเล่าเคยเรียนของแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เล็กจนโต และการสอนของเอเดรียนก็ไม่ได้เข้าข่ายการสอนเลยแม้สักนิด หากเรียกว่าการจับมือหมุนรอบห้องยังจะเข้าเค้าเสียกว่า กระนั้นเด็กหญิงก็มีความมุ่งมั่นจนน่านับถือจนสุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าตัวเองหมุนรอบห้องได้ดีขึ้นกว่าในสมัยก่อนนี้นิดหน่อย...

   ดวงตาสีดำมองตามเสียงปรบมือให้จังหวะขณะที่หมุนอย่างช้า ๆ เขาเห็นรอยยิ้มขำขันบนเรียวปากของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของแผ่นซีดีเจ้าปัญหาแผ่นนี้แล้วอดจะรู้สึกอับอายขายหน้าไม่ได้ ทำไมเขาจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าอังเดรด้วยนะ

   จังหวะสุดท้ายจบลงอย่างสวยงามในแบบที่ซูเล่ยไม่เข้าใจเลยว่ามันแตกต่างจากจุดอื่นของเพลงยังไง แต่เอเดรียนก็ปล่อยมือข้างหนึ่งของเขาและโค้งคำนับผู้ชมหนึ่งเดียวของห้องซึ่งปรบมือระรัวให้การแสดงที่แสนตลกโปกฮาที่สุดในรอบครึ่งชีวิต

   “เก่งมากเอเดรียน เป็นครูสอนได้แล้วนะ” อังเดรอุ้มลูกสาวขึ้นมาหอมแก้มฟอดอย่างหมั่นเขี้ยวพร้อมกับชื่นชมส่งเสริมเพื่อให้เด็กหญิงอารมณ์ดีและภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำลงไป แม้ในความเป็นจริงแล้วมันจะดูไร้สาระในสายตาของซูเล่ยก็ตามที

   “ถ้าพอใจแล้วก็ขึ้นนอนได้แล้ว” ซูเล่ยหันมองนาฬิกาพลางถอนหายใจที่จะไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้นซ้ำอีกครั้งหลังจากเต้นวนมาแล้วสามรอบ

   “ไม่เอา เอเดรียนยังไม่อยากนอน” แต่ดูเหมือนเอเดรียนจะยังติดใจในความสุนทรีย์ของบทเพลงจึงเกิดดื้อแพ่งขึ้นมา “อีกรอบนะ”

   “อีกรอบก็เต้นกับแดดดี้แล้วกัน” พี่เลี้ยงโยนภาระไปให้ผู้เป็นพ่อทันควัน

   “เธอเป็นคู่เต้นของเอเดรียนไม่ใช่หรือ?” อังเดรเพียงย้อนกลับมาอย่างนุ่มนวล “เป็นคู่เต้นก็ต้องเต้นคู่กันเพื่อจะได้จับจังหวะของกันและกันและสามารถเต้นรำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ใช่ไหมเอเดรียน?” หลังจากพูดจาอย่างมีหลักการแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงก็หันไปขอความเห็นจากเด็กหญิงตัวน้อยที่เกาะเครื่องเล่นซีดีพยายามจะหาปุ่มรีรันเพลงเดิม และเมื่อเธอได้ยินคำถามก็รีบพยักหน้าโดยไม่เสียเวลาทบทวน

   ซูเล่ยมองสองพ่อลูกสลับกันคล้ายคนที่กำลังถูกกลุ้มรุมด้วยศัตรูตัวฉกาจ

   “เหมือนที่คุณเต้นกับยูล่าตลอดน่ะหรือครับ?” จู่ ๆ ประโยคนี้ก็แวบเข้ามาในหัวและเขาก็พูดออกไปโดยไม่ได้นึกพิจารณาให้ดีก่อน สีหน้าอังเดรแปรเปลี่ยนในชั่ววินาที จากอารมณ์ที่ดีจนน่าใจหายกลับกลายเป็นสายตาแสดงความอึดอัดใจ

   นั่นมัน...อะไรกันน่ะ?

   เพราะอังเดรไม่ได้อารมณ์เสียใส่เช่นในตอนแรก แต่กลายเป็นอาการคล้ายคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ ทำให้ซูเล่ยนึกฉุนขึ้นมาในใจ ทั้งที่คิดว่าพอให้ปฏิเสธยูล่าไปในตอนนั้นจะทำให้เจ้าตัวเลิกใจอ่อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะการแสดงออกของอังเดรในเวลานี้กำลังบอกเขาว่ายูล่าได้ก้าวเข้ามาอยู่ในสมองของอีกฝ่ายมากเกินกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา

   ผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไรอีกกันแน่?

   ไม่สิ...เวลานี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ต่างหาก

------------------------------>

   คำถามของซูเล่ยได้คำตอบในไม่กี่วันหลังจากนั้น เมื่อเอเดรียนกำลังเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่นตามเคยและจู่ ๆ ก็วิ่งเข้ามาหาในครัวบอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น สีหน้าท่าทางของเธอบ่งบอกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทำให้พี่เลี้ยงตกใจจนต้องทิ้งงานที่ทำและวิ่งตามเขาไปดู

   ปลายนิ้วของเอเดรียนจรดลงไปยังแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งซึ่งเขียนรายชื่อเพลงมากมายอยู่บนกล่อง มันถูกวางเอาไว้ตรงจุดที่เคยเป็นเครื่องเล่นซีดีแบบพกพาที่อังเดรจะนำไปใช้ในชั้นเรียนทุกครั้ง

   “แผ่นนี้มีอะไรหรือ?” เขามองมันด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์ “หรือว่าอยากจะเปิดฟัง?”

   “แดดดี้ลืมเอาไปทำงาน”

   “แน่ใจหรือ? ไม่ใช่ว่าวางทิ้งไว้เองหรือยังไงกัน?” สำหรับซูเล่ยแล้ว เขามองว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ธุระของเขาเลยสักนิด แต่เอเดรียนกลับเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพ่อ

   “แดดดี้จะโดนดุไหม?”

   “ไม่น่าจะ...”

   “ไปหาแดดดี้กันนะ เอาไปให้แดดดี้”

   แล้วก็เข้าอีหรอบนี้จนได้...ซูเล่ยรู้สึกเหมือนเอเดรียนรีบพาวนเข้าทางแก้ปัญหาจนผิดสังเกต บางทีเจ้าตัวอาจจะมองเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปเที่ยวที่ทำงานของพ่อกระมัง แต่ว่า...อังเดรต้องการของสิ่งนี้จริง ๆ น่ะหรือ? เพราะเขาเคยเห็นกระเป๋าของเจ้าตัวครั้งหนึ่ง ข้างในนั้นมีแผ่นเพลงอยู่หลายแผ่นซึ่งเขาไม่รู้จัก หากขาดไปสักแผ่น แผ่นอื่นก็น่าจะใช้แทนได้

   “งั้นลองโทรถาม...”

   “แดดดี้บอกว่ารับสายตอนสอนไม่ได้” เอเดรียนทำสีหน้าจริงจังและกอดแผ่นซีดีแนบอก ความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายทำให้ซูเล่ยเริ่มจะคล้อยตามว่ามันอาจจะจำเป็นก็ได้ เพราะเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้มากนัก เผลอ ๆ เอเดรียนคงจะรู้ดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น...ลองเชื่อดูสักครั้งก็แล้วกัน...

   “แต่ต้องให้กระต่ายเฝ้าบ้านนะ” ซูเล่ยชี้ไปยังตุ๊กตากระต่ายที่เพิ่งจะถูกนำไปลงเครื่องซักอีกครั้งเพราะเจ้าของหิ้วไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาจึงสกปรกเปรอะเปื้อนง่าย ขืนให้เอาออกไปข้างนอก กลับมาคงสภาพมอมแมมจนดูไม่ได้เป็นแน่

   “พาน้องต่ายไปเที่ยวด้วยสิ...”

   “ไม่ได้ ถ้าไม่มีคนดูแลบ้านก็ออกไปไหนไม่ได้หรอกนะเอเดรียน เพราะอาจจะมีคนแปลกหน้าแอบเข้ามาก็ได้ เอเดรียนคงไม่อยากให้ของของแดดดี้ถูกขโมยใช่ไหม? ดังนั้นให้คุณกระต่ายเฝ้าบ้านแทนนี่แหละดีแล้ว” เขาหลอกล่อเด็กหญิงตามแบบฉบับของผู้ใหญ่มากเล่ห์ทำให้เด็กตามไม่ทันและยอมตกปากรับคำในที่สุด

   เอเดรียนยอมวางตุ๊กตาลงบนโซฟาและบอกลาอย่างอาลัยประหนึ่งจะต้องเดินทางไกลไปคนละฝั่งโลกและจะไม่ได้กลับมาพบกันอีกถึงครึ่งชีวิต

   ซูเล่ยจับเอเดรียนสวมเสื้อโค้ทตัวเล็กและหมวกไหมพรมหนา นอกจากนี้ยังต้องสวมที่ปิดหูและถุงมือด้วยเพราะภายนอกตอนนี้หิมะเริ่มจะตกแล้ว

   เมื่อทั้งสองเปิดประตูออกไปข้างนอก ลมหนาวก็พัดผ่านพาให้สะท้านแม้จะสวมเสื้อผ้าหนาจนปกปิดทั้งตัวแล้วก็ตาม หิมะสีขาวร่วงโปรยลงมาจากบนฟ้าอย่างเชื่องช้าปกคลุมพื้นถนนดูเป็นปุยนุ่ม หากตกหนักกว่านี้อีกสักนิด เด็ก ๆ แถวนี้คงพากันออกมาปั้นสโนว์แมนประดับหน้าบ้านกันเป็นทิวแถว ซูเล่ยพ่นลมหายใจสีขาวด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาไม่ได้เกิดในประเทศนี้ และในช่วงแรกของชีวิตก็ไม่ได้อาศัยที่นี่ จึงไม่เคยรู้สึกดีกับอากาศหนาวที่เต็มไปด้วยหิมะเย็น ๆ แบบนี้เลยสักครั้ง เพราะเพียงแต่ก้าวออกมาจากในบ้านแสนอบอุ่น จมูกของเขาก็รู้สึกแสบขึ้นมานิด ๆ เสียแล้ว กลับกับเอเดรียนที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับปุยหิมะจนดวงตาเป็นประกาย

   แต่เดี๋ยวสิ...เขาไม่เคยรู้เลยนี่ว่าอังเดรสอนที่ไหน...

   “เอเดรียนรู้หรือว่าแดดดี้สอนอยู่ไหนน่ะ?”

   “แดดดี้เขียนไว้ให้เอเดรียน” เด็กหญิงโบกสมุดเล็ก ๆ ในมือไปมา เป็นสมุดที่เอาไว้จดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเด็กวัยหัดพูดหัดเขียนกระมัง? ซูเล่ยรับสมุดมาคลี่ดูและพบว่ามันเต็มไปด้วยตัวอักษรโย้เย้และสีสันมากมายจากดินสอสี แต่ด้านหลังของปกสมุดกลับมีลายมือของผู้ใหญ่เขียนด้วยตัวปากกาสีดำประทับอยู่ เขาไม่รู้ว่าเป็นลายมือของอังเดรหรือไม่ แต่มันเขียนชื่อสถานที่ไว้สองสามแห่ง ตามด้วยวันและช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ตบท้ายด้วยเบอร์โทรศัพท์ของอังเดร คงจะเป็นสิ่งที่เจ้าตัวทิ้งไว้ให้ลูกสาวในยามฉุกเฉิน

   ละเอียดอ่อนกว่าที่คิด...

   ชายหนุ่มร่างเล็กเผลอยิ้มขำออกมา

   เขาโบกรถแท็กซี่และบอกที่อยู่ซึ่งอยู่ในช่วงวันเวลาของตอนนี้ ซึ่งเมื่อไปถึงเขาก็พบว่ามันเป็นโรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่งในย่านที่ตนไม่รู้จัก เขามองป้ายโรงเรียนเทียบกับในสมุดก็พบว่าตรงกันจึงถอดโค้ทและผ้าพันคอของตนเองรวมถึงหมวกของเอเดรียนออกและเดินเข้าไปข้างใน ห้องของฝ่ายธุรการหาไม่ยากนัก

   “ขอโทษครับ ผมมาพบ...คุณแอชฟอร์ด ทราบมาว่าเขาสอนอยู่ที่นี่”

   “อ้อ...” หญิงสาวอายุน้อยยิ้มหวานให้แก่ชายหนุ่มที่เยี่ยมหน้าเข้ามาถามไถ่ธุระ “ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญหรือเปล่าคะ เพราะดูเหมือนตอนนี้คุณแอชฟอร์ดจะกำลังสอนอยู่”

   “เขาลืมของเอาไว้ที่บ้านน่ะครับ คิดว่าคงจะสำคัญกับวิชาเรียน” ว่าแล้วซูเล่ยก็ชูแผ่นซีดีให้ดู

   “คุณแอชฟอร์ดสอนอยู่ที่ห้องกิจกรรมสันทนาการ เดินตรงไปทางนี้แล้วก็เลี้ยวขวาตรงสุดทางเดิน ลงบันไดไปหนึ่งชั้น เข้าประตูที่สองขวามือนะคะ” เจ้าหน้าที่ธุรการบอกทางแบบง่าย ๆ แต่ชัดเจนพร้อมกับผายมือไปในเส้นทางที่ถูกต้องให้ด้วย ซูเล่ยกล่าวขอบคุณและเดินไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำ พอถึงสุดทางเดินก็เลี้ยวขวาพบกับบันไดทางขึ้นและลง เอเดรียนดึงพี่เลี้ยงที่ยืนลังเลเหมือนกำลังจะทำอะไรผิดพลาดให้ลงบันไดไปด้วยกัน ที่ชั้นล่างมีห้องอยู่ไม่มากนักเพราะแต่ละห้องมีขนาดค่อนข้างกว้าง ทางขวามือก็มีประตูแค่สองบาน

   หลังจากเคาะประตูอยู่สองสามครั้ง ซูเล่ยก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเปิดประตูรับ

   ยูล่านั่นเอง

   “คุณซู?” ฝ่ายหญิงเองก็แปลกใจไม่น้อยที่พบอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่ แต่ก็หลีกทางให้ทั้งสองก้าวเข้ามาในห้องเรียนซึ่งตอนนี้อังเดรกำลังยืนพิงโต๊ะและมองเด็ก ๆ หมุนไปรอบ ๆ ห้องด้วยท่าทางเก้งก้างไม่ได้ดีไปกว่าซูเล่ยก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่

   “ซู? เอเดรียน?” อังเดรเองก็ยังแปลกใจที่พบทั้งสองมาปรากฏตัวต่อหน้า “มีอะไรหรือ?”

   “อ้อ...คุณลืมนี่ไว้ที่บ้าน...” ซูเล่ยตอบแล้วยื่นแผ่นซีดีให้เจ้าของโดยพยายามไม่หันมองคนอื่น ๆ ในชั้นเรียน เพราะเขารู้สึกได้ว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน

   “นั่นใครน่ะ?”

   “เด็กคนนั้นลูกสาวของคุณแอชฟอร์ดหรือ?”

   “ผู้ชายคนนั้นน้องหรือเปล่า?”

   “ไม่ใช่หรอก ไม่เห็นเหมือนเลย”

   “อาจจะเป็นเพื่อนก็ได้”

   “หรือคนรัก!?”

   “จะบ้าหรือไง นั่นผู้ชายนะ!”

   เสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ลอยผ่านหูไปมาอย่างไม่ขาดสาย หากไม่เกรงใจเด็กวัยมัธยมปลายเหล่านี้คงกระชากตัวเขาเข้าไปเค้นคำตอบแทนที่จะกระซิบกระซาบกันเองแล้วกระมัง ระหว่างที่คิดเช่นนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าขากางเกงของตนถูกดึงเบา ๆ จึงก้มลงมองและเห็นเอเดรียนกำลังมุ่นคิ้วเคร่งเครียดพลางจ้องมองไปยังเด็กวัยมัธยมปลายที่ตัวโตกว่าตนเองหลายเท่า

   “คือว่า...” เสียงของอังเดรเรียกให้ซูเล่ยหันกลับมามองทางเดิม “นี่ฉันเป็นคนเอาออกจากกระเป๋าเองเพราะแผ่นมันมีรอยแล้วเสียงเลยไม่ค่อยลื่น ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้บอก เลยต้องเอามาให้ถึงที่นี่”

   “...ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนั้น” ซูเล่ยพึมพำกับตนเอง ไม่น่าเชื่อสังหรณ์เอเดรียนเลยให้ตายสิ

   “เด็ก ๆ ของแดดดี้ตัวใหญ่” เอเดรียนเปลี่ยนไปเกาะขาพ่อบ้างหลังจากพบว่าขนาดตัวของซูเล่ยยังแพ้ด็กผู้ชายบางคนทำให้รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย

   “เด็กวัยรุ่นก็โตไวแบบนี้แหละจ้ะ” ยูล่าเข้ามาลูบผมเอเดรียนซึ่งเธอเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายปฏิบัติกับตนแปลกไป ไม่ทำท่าดีใจแล้วเข้ามาอ้อนเหมือนสมัยก่อน “ตอนนี้แดดดี้กำลังทำงานอยู่ เอเดรียนมาอยู่กับฉันก่อนดีไหม เดี๋ยวพอจบคลาสแล้วค่อยคุยกันนะ?”

   “พวกเรากลับเลยจะดีกว่า” ซูเล่ยโพล่งออกมา “ไม่อย่างนั้นผมกับเอเดรียนจะเกะกะเอาเปล่า ๆ”

   ถ้อยคำของซูเล่ยเรียกสายตาแสดงความประหลาดใจจากอังเดรซึ่งสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงต้องใส่อารมณ์นัก แต่ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว จะปล่อยกลับกันเองเขาก็ไม่ค่อยจะวางใจ

   “เดี๋ยวฉันเลิกงานแล้วขับไปส่งก็ได้ นั่งรถไป ๆ มา ๆ เปลืองเงินเธอเปล่า ๆ”ชายหนุ่มร่างสูงสรุปแล้วหันกลับไปทางเด็ก ๆ ในชั้นเรียน “ถึงฉันจะไม่ได้มองก็อย่าแอบอู้ ซ้อมกันต่อไป” คำสั่งของอังเดรทำให้สายตาทั้งหลายละจากร่างกายของซูเล่ยไปได้ในที่สุด ทั้งหมดกลับไปสนใจจังหวะของเพลงอีกครั้งทำให้ผู้เป็นเป้าสายตาหายใจหายคอสะดวกขึ้นมาหลังจากเกร็งตัวมาหลายนาที

   “เอเดรียนอยากเต้นบ้างไหมจ๊ะ?” ยูล่าพยายามผูกมิตรกับเอเดรียนอีกครั้งแม้จะรู้ตัวว่าตนเองไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของเด็กหญิงคนนี้อีกแล้ว

   “เอเดรียนเป็นคู่เต้นของซู” เธอตอบกลับแล้วจับมือซูเล่ยแน่น

   “แหม...คุณซูเต้นเก่งมากสินะจ๊ะ ก็เอเดรียนเป็นคนสอนนี่นา” ยูล่าหัวเราะแต่ซูเล่ยกลับกำลังขมริมฝีปากด้วยหวังว่าจะไม่มีประโยคถัดไปที่ตนเองไม่อยากฟัง แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่อยากฟังคำขอของเขาสักเท่าไหร่ “สาธิตหน่อยสิจ๊ะ”

   ทันใดนั้นเสียงผิวปากและร้องเชียร์ก็ดังก้อง

   “ลูกสาวคุณแอชฟอร์ดจะเต้นให้ดูเว้ย!” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาพาให้กระแสเรียกร้องเริ่มโถมทับใส่ซูเล่ยซึ่งกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์โดยไม่รู้ตัว แต่ตัวซูเล่ยกลับรู้สึกว่าตนเองเหมือนเหยื่อตัวเล็ก ๆ ท่ามกลางฝูงซอมบี้หิวกระหายซึ่งปรารถนาจะได้เห็นบางสิ่งที่น่าขบขันเพื่อฆ่าเวลาวิชาเรียนเต้นรำอันแสนน่าเบื่อหน่ายเสียมากกว่า เขาไม่รู้ว่าในสถานการณ์นี้ควรจะทำอะไร แม้จะเคยปะมือกับพวกผู้หลักผู้ใหญ่มาบ้าง แต่เมื่อเจอกับเด็กวัยรุ่นที่รับมือไม่ถูกเขาก็ทำได้แค่หันไปทางอังเดรเพื่อขอความช่วยเหลือ

   สายตาส่งสัญญาณ S O S ผ่านอากาศไปสู่ประสาทการรับรู้ของผู้ที่สบตา อังเดรเพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเวลาอีกฝ่ายจนมุมนั้นดูน่ารักจนแทบไม่เหลือคราบความน่าหมั่นไส้และน่าโมโหก่อนหน้านี้อยู่เลย ทั้งท่าทางที่ไม่รู้ว่าควรจะขยับตัวแบบไหน ริมฝีปากขบเข้าหากันอย่างอึดอัดใจ และใบหน้าที่มีริ้วแดงเรื่อ ๆ เพราะความเขินอายซึ่งปกติไม่มีโอกาสจะได้เห็น

   “เอเดรียน นาน ๆ ทีเต้นกับแดดดี้แทนไหม?”

   เอเดียนไม่ลังเลเลยที่จะตอบรับ เพราะนานแล้วที่พ่อของเธอมุกับการงานเพื่อทดแทนความเหงาเปล่าเปลี่ยวใจที่สูญเสียภรรยา

   ชายหนุ่มอุ้มลูกสาวขึ้นให้กอดบ่า อีกมือก็ประคองไว้ในท่าพื้นฐาน พวกเราหมุนตัวไปตามจังหวะโดยมีเพียงอังเดรที่เคลื่อนไหว ส่วนเอเดรียนเพียงแค่กอดคอพ่อของตนและขยับมือที่ถูกประคองไปตามการนำของอีกฝ่ายเท่านั้น ท่วงท่าการเคลื่อนไหวอันนุ่มนวลของมืออาชีพแตกต่างกับมือสมัครเล่นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าคู่จะเป็นเด็กสองขวบที่ถูกอุ้มไว้ แต่ความสวยงามก็ยังคงไม่ถูกบดบังด้วยเงื่อนไขอันจำกัด ซูเล่ยมองภาพนั้นและได้แต่โทษตนเองว่าทำไมจึงไม่คิดถึงวิธีนี้แต่แรก กลับทนปวดหลังงอตัวเพื่อให้เอเดรียนลากถูไปรอบห้องมาเสียหลายวัน!

   “อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่นคงพาอึดอัดนะคะ” จู่ ๆ ยูล่าก็เข้ามาชวนเขาคุยอย่างไม่คาดฝัน ซูเล่ยเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะไหวไหล่

   “ผมไม่ชินล่ะมั้งครับ ไม่เหมือนเขาที่ดูเป็นธรรมชาติจนน่าแปลก” ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็บุ้ยใบ้ไปทางอังเดรที่มองมุมไหนก็ไม่มีความกระดากอายแม้สักน้อย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
« ตอบ #39 เมื่อ: 06-11-2013 12:56:21 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
«ตอบ #40 เมื่อ06-11-2013 12:56:56 »

   “ได้ยินว่าสมัยก่อนเคยประกวดด้วยนะคะ”

   “ผมก็เคยได้ยินมาบ้าง”

   “คุณแอชฟอร์ดเล่าหรือคะ?”

   ซูเล่ยสะดุ้งเล็ก ๆ เพราะเผลอหลุดปากไปโดยไม่รู้ตัวและรีบกลบเกลื่อนด้วยการกลอกตาเหมือนกำลังคิดคำตอบอยู่

   “เอเดียนพูดถึงตอนอยู่ตามลำพัง เขาไม่รู้หรอกว่าผมรู้ อย่าบอกเขาได้ไหมครับ?” คำขอของซูเล่ยเรียกเสียงหัวเราะคิกจากผู้ฟัง

   “ฉันจะช่วยเก็บเป็นความลับค่ะ” พออีกฝ่ายรับปาก ชายหนุ่มร่างเล็กก็ลอบถอนหายใจเพราะสิ่งที่ตนหลุดปากไปเมื่อครู่คงจะไม่ย้อนกลับมาเป็นปัญหาอีกแล้ว แต่แม้ซูเล่ยจะกำลังตกใจกับความสะเพร่าของตัวเอง เขาก็ยังไม่พลาดท่าทีเล็ก ๆ น้อย ๆ ของยูล่า สายตาของหญิงสาวที่จับจ้องไปยังอังเดรมีความลึกซึ้งที่จงใจแสดงออกอย่างไม่ปิดบังเหมือนก่อนหน้านี้

   ความรู้สึกขุ่นใจที่ตีกวนในอกนี่มันช่างน่ารำคาญมากขึ้นทุกที...

-------------------------------------->

   “ผู้ช่วยสอนหรือ?”

   “ครับ...คิดว่าอย่างนั้น”

   “คิดว่า?” เสียงปลายสายยกสูงขึ้นนิดหน่อยเมื่อซูเล่ยแสดงท่าทางเหมือนไม่แน่ใจ “ฉันคิดว่าบอกเธอชัดเจนแล้วนะว่าหากมีอะไรให้บอกฉันทันที ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือผู้ช่วย จัดการให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง”

   สายถูกตัดไปหลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำ การรายงานของเขาทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียพอสมควรเพราะจับได้ว่าตัวเขาปกปิดเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วด้วยความชะล่าใจ แต่ซูเล่ยก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นจะเผด็จการอย่างไรก็เถอะแต่มีเหตุผลอะไรกันนะถึงต้องคอยจับตาดูอังเดรใกล้ชิดถึงขนาดนี้ ขนาดว่าต้องกำกับดูแลกระทั่งว่าจะมีผู้หญิงใหม่เข้ามาแทนที่ลูกสาวตนหรือไม่

   เกี่ยวข้องแค่สมบัติหรืออนาคตของเอเดรียนแน่หรือ?

   “ซู!” ความคิดทั้งหมดถูกสะบั้นขาดออกด้วยเสียงแหลมเล็กของเด็กหญิงวัยสองขวบปีที่มาตามหาพี่เลี้ยงของตนเองถึงในห้องน้ำ ซูเล่ยรีบเปิดประตูออกไปหาด้วยท่าทางปกติอย่างที่สุด

   “มีอะไรหรือ? ทำไมต้องเรียกเสียงดังขนาดนั้นด้วย?”

   “ก็ซูหายไปนาน ทิ้งเอเดรียน” เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย ระยะหลังนี้เธอเริ่มจะติดพี่เลี้ยงมากเสียจนแทบจะห่างกันไม่ได้เสียแล้ว ซูเล่ยถอนหายใจแล้วจูงมือเอเดรียนกลับออกไปข้างนอกด้วยกัน

   “แค่ท้องไส้ไม่ดีเท่านั้นเอง” เขาว่าเช่นนั้นขณะพาตนเองและเด็กในความดูแลกลับเข้าไปในห้องกระจกที่เกือบทั้งพื้นที่ถูกใช้เป็นฟลอร์เต้นรำ ใช่แล้ว...สุดท้ายเอเดรียนก็ใช้ความเป็นเด็กทั้งออดอ้อนทั้งงอแงไม่ยอมกลับบ้านจนอังเดรต้องหิ้วมาถึงโรงเรียนสอนเต้นรำด้วยกันจนได้ กระทั่งเขาที่เป็นพี่เลี้ยงจึงถูกหิ้วตามมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้แม้ว่างานบ้านจะยังค้างคาอยู่ก็ตาม

   ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจขณะมองไปที่กลางห้อง ท่ามกลางคู่เต้นรำมากมายที่หมุนตัวไปในทิศทางเดียวกันราวกับอยู่บนสายพานของเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ มีคู่เต้นรำคู่หนึ่งซึ่งดูโดดเด่นกว่าใครอื่น อังเดรกับยูล่าหมุนตัวอย่างสวยงามราวกับเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิยายรักที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ กระโปรงบางพลิ้วไหวไปตามแรงเช่นเดียวกับเส้นผมดำยาวเป็นเงาของหญิงสาว

   ลีลาศมันเป็นแบบนี้เองหรือ?

   เขารู้สึกชื่นชมระคนหงุดหงิด เพราะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องเอาตัวแนบชิดกันขนาดนั้นด้วย ชายหญิงอยู่ใกล้กันถึงขนาดนั้นทุก ๆ วัน มีหรือจะไม่เกิดหวั่นไหว ไหนว่าภรรยาเพิ่งตายเลยยังไม่นึกสนใจเรื่องพวกนี้ เขารู้สึกว่าคำพูดของอังเดรที่พูดไว้เมื่อเดือนก่อนเริ่มจะมีน้ำหนักน้อยลงทุกที

   “อยากลองดูบ้างไหมครับ?” ซูเล่ยได้ยินเสียงข้างตัวจึงหันไปมองและพบว่าเป็นอาร์เลนนั่นเอง

   “คุณไม่ได้ไปร่วมวงด้วยหรอกหรือ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย

   “เรามีผู้ช่วยหญิงแค่คนเดียว ปกติพี่ก็เลยเป็นคนจับคู่กับเธอ” อาร์เลนไหวไหล่ เพราะเอาเข้าจริงแล้วตัวเขาเองมีส่วนสูงที่ไม่เหมาะสมกับยูล่านัก หากเทียบกับอังเดร ฝ่ายพี่ชายมีรูปร่างที่เหมาะสมมากกว่าจึงมักจะจับคู่กับหญิงสาวบ่อยครั้งจนอยู่ในตำแหน่งพาร์ทเนอร์ของกันและกันไปแล้ว ส่วนตัวอาร์เลนจะอยู่ในตำแหน่งตัวแทนเมื่ออังเดรไม่ว่างเท่านั้น

   “ลำบากหน่อยนะครับ” ซูเล่ยไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรนอกจากคำนี้ เอาเข้าจริงเขาไม่ได้รู้จักมักจี่อาร์เลนมาก่อนเลย แม้จะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายสังเกตสังกาเขาตั้งแต่พบกันที่บ้านของอังเดร เขาก็ทำได้เพียงการหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องของตนเองหรือแสดงนิสัยส่วนตัวออกไปให้อีกฝ่ายเอะใจเท่านั้น

   “เต้นกับเอเดรียนได้นะ” เด็กหญิงที่จับมือซูเล่ยเงียบ ๆ อยู่นานโพล่งขึ้นมาและจับมืออาของตนพร้อมรอยยิ้มสดใสเหมือนกำลังปลอบใจคนไม่มีคู่

   “ตอนนี้อาอุ้มเอเดรียนไม่ไหวหรอก เอเดรียนโตขึ้นเยอะแล้วนี่นา” อาร์เลนย่อตัวลงจนเสมอกับคู่สนทนาและลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู แต่จากบริบทแล้วสามารถอนุมานได้ว่าในสมัยก่อนเอเดรียนคงจะอ้อนทั้งพ่อและอาให้พาเต้นอย่างถ้วนหน้า

   เอเดรียนทำสีหน้าขัดอกขัดใจที่ไม่สามารถลงไปร่วมวงได้ ในตอนนี้ยูล่าในสายตาเอเดรียนเปรียบได้เหมือนคู่แข่งหัวใจที่จะมาแย่งพ่อไปจากตน ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เด็กหญิงอยากจะทำอะไรก็ตามที่ยูล่าทำได้ดีเพื่อเอาชนะ ซึ่งข้อนี้ทำให้ซูเล่ยอดแปลกใจไม่ได้ถึงเซนส์ของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ และพฤติกรรมหวงพ่อของลูกสาว อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมนี้เริ่มขึ้นเมื่ออังเดรใช้เวลากับยูล่ามากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา แม้ความหวงจะลดน้อยถอยลงไปมากแล้วแต่เอเดรียนก็คงจะฝังใจตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับยูล่าไปอีกนาน

   เสียงปรบมือจากรอบห้องเรียกความสนใจจากซูเล่ยให้หันไปทางฟลอร์อีกครั้ง ทุกคนต่างหยุดกิจกรรมและปรบมือให้กันและกันอยู่อีกเกือบนาทีจึงจะลดมือลงและเฝ้ารอว่าอังเดรจะกล่าวอะไร

   “วันนี้ทุกคนทำได้ดีมาก แล้วพบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้นะครับ” เขากล่าวจบอย่างง่าย ๆ เหมือนเช่นทุกวัน เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปยังสัมภาระของตนที่กองไว้รอบห้องเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง เพื่อเก็บของกลับเลยบ้าง ไม่นาน ห้องกระจกที่เต็มไปด้วยเงาสะท้อนของผู้คนก็ร้างว่างเปล่า เหลือแต่เพียงอังเดร ยูล่า ซูเล่ย เอเดรียน และอาร์เลน

   “แดดดี้ เอเดรียนอยากดูแดดดี้เต้นอีก” จู่ ๆ ก็มีคนอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมให้วันนี้จบลงอย่างเรียบง่าย เอเดรียนทำหน้ามุ่ยและจ้องมองพ่อตนเองเหมือนเด็กที่กำลังร่ำร้องในใจว่าอยากได้ขนมหวาน

   “จะดีหรือ? ยูล่ากำลังจะกลับแล้วนะ”

   “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่ต่อได้อีกสักพัก” หญิงสาวไม่เคยนึกขัดเลยแม้สักนิดหากว่าจะได้อยู่กับชายหนุ่มที่ตนหลงใหลนานขึ้น ทว่าเอเดรียนกลับไม่พอใจจนออกนอกหน้า

   “จะดูแดดดี้เต้นกับซู”

   ประกาศิตของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้เกิดความเงียบแผ่ขยายไปทั่วห้องอยู่ชั่วขณะ

   “เอเดรียน พี่เป็นผู้ชายนะ...” ซูเล่ยกระซิบบอกด้วยเสียงอันแผ่วเบาเพราะไม่อยากจะทำให้เกิดระลอกบนความเงียบนิ่งที่น่าอึดอัดนี้

   “จะดู” โดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เอเดรียนยังคงยืนกรานความตั้งใจด้วยสาตามุ่งมั่นจนไม่มีใครอยากจะเถียงด้วยเพราะมองหน้าก็รู้ว่าเด็กหญิงกำลังอารมณ์เสียกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจสาเหตุ และแน่นอนว่าหากขัดใจตอนนี้ เธออาจจะดื้อแพ่งไปอีกเป็นสัปดาห์

   “อาร์เลนช่วยเปิดเพลงให้ที” อังเดรหันไปบอกน้องชายแล้วยื่นมือให้ซูเล่ยพลางส่งซิกแนลให้ทำตาม ฝ่ายคู่เต้นจำเป็นลังเลอยู่ไม่น้อยแต่เมื่อหันมองเอเดรียนเขาก็จำต้องยื่นมือออกไปโดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่าจะอยู่ฝ่ามืออุ่นกระชากเบา ๆ ให้เสียหลักเล็กน้อยและถลาเข้าไปหาจนแนบชิด ทันใดนั้น อังเดรก็จัดท่าอย่างรวดเร็วตามแบบมืออาชีพ จับมือซูเล่ยขึ้นวางบนบ่าตนเองก่อนอ้อมไปโอบหลังเอวและตั้งศอกขนานกับพื้น อีกข้างช้อนมือขึ้นในระดับใบหน้าและแรงทั้งตัวดึงให้ซูเล่ยยืนหลังตรง

   ก่อนเพลงจะเริ่ม ท่วงท่าของพวกเขาก็พร้อมสรรพโดยที่ฝ่ายคู่เต้นยังตั้งสติไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ

   “เชิดคางขึ้นหน่อย” อังเดรกระซิบบอกพร้อมยิ้มมุมปากเหมือนกำลังขำสีหน้าอีกฝ่าย ซูเล่ยขมวดคิ้วและเม้มปากจนเป็นเส้นตรง เขากำลังรู้สึกเหมือนถูกกักขังเอาไว้ในกรงเล็ก ๆ ซึ่งไม่สามารถดิ้นหลุดแม้จะไม่ได้ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ที่จริงแล้ว...เขาเพิ่งจะรู้ว่าลำแขนอังเดรแข็งแรงขนาดนี้

   ระหว่างที่ซูเล่ยกำลังหาทางออกให้ตัวเอง เสียงเพลงก็ดังขึ้นเป็นจังหวะวอลซ์ซึ่งหลอกหลอนเขามาหลายต่อหลายวัน ทันใด อังเดรก็ก้าวเท้าไปตามจังหวะโดยไม่คิดปรึกษา ชายหนุ่มย่อลงเล็กน้อยก่อนก้าวถอยหลังดึงให้ซูเล่ยถลาตามแรงดึง จากนั้นก็วาดเท้าไปด้านข้างและดึงข้างที่ก้าวไปก่อนมาชิด โดยไม่เว้นจังหวะ อังเดรก็ก้าวต่อพร้อมกับหมุนตัวเล็กน้อย

   “ด...เดี๋ยวสิ ผมไม่มีพื้นฐานเรื่องพวกนี้นะ!” เพราะไม่อยากทำให้ตัวเองขายหน้าเกินกว่าเหตุ ชายหนุ่มร่างเล็กจึงกระซิบกับคู่เต้นของตนด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อนนับแต่มาอาศัยอยู่ที่บ้านของอังเดร ซึ่งเมื่อผู้ฟังได้ยินก็เพียงยิ้มตอบและดึงตัวอีกฝ่ายให้แนบชิดยิ่งขึ้น

   “ก็อย่าขืนตัวออกไปไกลสิ แค่ก้าวตามฉันมาก็พอ”

   พูดน่ะมันง่าย แต่ทำได้เสียที่ไหน!

   “อุ...!” ขณะที่พยายามก้มมองการก้าวเท้าของอังเดร ซูเล่ยก็ถูกปลายรองเท้าคัทชูเงาวับกระแทกดันปลายเท้าให้ถอยหลังจนเกือบจะเสียหลักล้ม แต่โชคดีที่แขนของอังเดรเป็นหลักพยุงชั้นดี ชายหนุ่มร่างเล็กกัดฟันกรอดเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายเสมือนกำลังคาดโทษ แต่อีกฝ่ายก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็น

   “การเต้นลีลาศเป็นเหมือนพื้นฐานมารยาทของสังคม การจับคู่ชายหญิงด้วยการประคองกันและกันคือการสอนฝ่ายชายให้รู้จักการเกียรติบุคคลต่างเพศซึ่งอ่อนแอกว่าตนเอง ในการเต้น ฝ่ายชายจะเป็นคนนำจังหวะและผู้หญิงเป็นฝ่ายตามคือการยอมรับกันและกันโดยไม่ฝืนใจ ในสมัยก่อนฝ่ายชายเป็นผู้นำของสังคมและครอบครัว ส่วนฝ่ายหญิงถูกมองว่าเป็นผู้ตาม แต่ในการเต้นลีลาศ ฝ่ายหญิงคือผู้เลือกว่าจะยอมตามฝ่ายชายหรือไม่ โดยเธอมีสิทธิเลือกนับแต่ที่ฝ่ายชายผายมือเพื่อขออนุญาต” ระหว่างการเต้น อังเดรก็ถือโอกาสบอกกล่าวสิ่งที่ตนเองยึดถือเป็นหลักในการทำอาชีพรวมทั้งยังเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงได้ดูเป็นสุภาพบุรุษที่บังเอิญหลงหลุดมาจากนิยายประโลมโลกชอบกล

   “คุณพูดแบบนั้นกับผมไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เพราะผมเป็นผู้ชา...!” เป็นอีกครั้งที่ซูเล่ยถูกเตะตรงปลายเท้าเพราะก้าวไปผิดทาง หากคิดดูดี ๆ แล้ว สิ่งที่อังเดรกำลังทำกับตนอยู่ในตอนนี้อยู่ห่างไกลจากคำนิยามของลีลาศที่เจ้าตัวว่าไว้เมื่อครู่นี้เหลือเกิน เพราะมันเหมือนว่าเขากำลังถูกอุ้มลอยจากพื้นและเหวี่ยงไปมาตามความพึงพอใจของเจ้าของอ้อมแขน

   “อย่าเกร็งและเอาแต่ดึงดันจะหนีสิ ถ้าอยู่ไกลจะยิ่งจับจังหวะลำบากนะ”

   ก็ไม่อยากถูกเตะนี่!

   คนถูกตำหนิได้แต่เถียงอยู่ในใจ

   “ปล่อยใจสบาย ๆ แล้วแค่เดินตามมาเรื่อย ๆ ก็พอ” จู่ ๆ ท่าทีของอังเดรก็เปลี่ยนไป เจ้าตัวโอบดึงเอวคู่เต้นให้เข้าแนบตัวโดยไม่ได้ใช้แรงอย่างเคย แต่ใช้วิธีพาตนเองเข้าหาด้วย และโน้มใบหน้ากระซิบเบาข้างหู เมื่อซูเล่ยรู้ตัวอีกครั้งใบหน้าของเขาก็แนบอยู่กับแผ่นอกกว้างเสียแล้ว

   อังเดรไม่ได้เตะเขาอีก แค่ดึงให้เดินไปรอบ ๆ ฟลอร์และหมุนตัวบ้างโยกตัวบ้าง

   ซูเล่ยได้แต่สูดหายใจเข้าลึกและเดินตามอย่างจำยอม มันเหมือนกับว่ามีมนตราบางอย่างในบทเพลงและสัมผัสของอังเดรที่ทำให้เขาเลิกคิดจะขัดขืน การเดินตามกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เอาเข้าจริงก็สบายอยู่ไม่น้อยทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยเขาเลยสักนิดที่จะยอมตามคนอื่นอย่างเต็มใจ

   เพียงแต่...การถูกกอดแบบนี้...มันทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ไม่น้อย...

   เสียงเพลงเนิบช้าและการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุดพาให้ซูเล่ยรู้สึกเคลิบเคลิ้มและสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อบทเพลงจบลง ไออุ่นของอ้อมกอดค่อยคลายออกและเปิดเผยให้เห็นว่าในห้องนี้ยังมีสายตาอีกสามคู่ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ อังเดรผายมือและโค้งให้กับผู้ชมตามมารยาท ทว่าซูเล่ยกลับยืนนิ่งเหมือนยังไม่ตื่นดี เมื่อถูกมือหนากระตุ้นให้โค้งบ้าง เขาก็เผลอดึงมือกลับอย่างแรงจนแม้แต่เจ้าของมือยังแปลกใจ สมองที่ถูกขับกล่อมกระตุ้นตัวเองให้ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็วและคิดหาคำกลบเกลื่อน

   “ผมขอไปห้องน้ำสักครู่” เขาคิดได้แค่นั้นและรีบดิ่งเข้าห้องน้ำราวกับว่ากระเพาะปัสสาวะกำลังบีบอัดตัวอย่างรุนแรง ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่กำลังเป็นมวนอยู่คือเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจเขาต่างหาก

   ซูเล่ยมองหน้าตัวเองในกระจกที่เป็นริ้วแดงจากเลือดฝาด ไม่รู้ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ แต่เขาไม่นึกอยากเห็นตัวเองในสภาพนี้เลย ทำไมเขาถึงได้ทำตัวเหมือนเด็กสาวมีรักแรกแบบนี้ได้!

   ชายหนุ่มนึกโทษเพลง นึกโทษลีลาศ และอื่น ๆ อีกมากมายระหว่างพยายามสงบสติอารมณ์

   เขาหาเรื่องให้ตัวเองแท้ ๆ ...

   รู้แบบนี้ปฏิเสธไม่ยอมกลับมาพบอังเดรอีกครั้งเสียก็ดีหรอก...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
«ตอบ #41 เมื่อ06-11-2013 14:20:32 »

กรี๊ดดดด
เขาเต้นกันแล้วอะ
คราวนี้อังเดรเองก็น่าจะมีรู้สึกอะไรนิดๆหน่อยๆบ้างแล้วใช่ไหม อิอิ
ก็แหม ซูขาก็ออกจะน่ารักนะ กิกิ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
«ตอบ #42 เมื่อ06-11-2013 17:40:12 »

ทำดีมากสาวน้อย
กันยูล่าออกไปเลย เย้ๆ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
«ตอบ #43 เมื่อ06-11-2013 18:06:11 »

เอเดรียนรู้งานมากเลยลูกกกกกกกกก
โอ้ยยยยหน้าแนบอกขนาดนั้นซูไม่เขินก็แปลกแล้ว
คุณอังเดรคะ รีบๆชอบซูสักที555555555555

ออฟไลน์ mildmint0

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
«ตอบ #44 เมื่อ06-11-2013 19:57:44 »

มาตามอ่านเรื่องนี้แล้วติด อยากรู้ว่าซูเล่ยคือใคร เคยพบกับอังเดรมาก่อนยังไง  :katai1: :katai1:
เป็นกำลังใจให้คนแต่งครับ สู้ๆครับ

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
«ตอบ #45 เมื่อ07-11-2013 01:53:06 »

เชียร์เลยเอเดรียน 5555
ยูล่า อ่อยเหลือเกินนะฮะ แต่อยากรู้ปมคุณซูมากเลยย ท่าทางจะดราม่าน่าดู

:pig4:

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 6 [6/11/13]
«ตอบ #46 เมื่อ07-11-2013 14:29:43 »


หาที่สมัครเรียนลีลาศด่วนนนนนนนนนนนน

เต้นแนบชิดกัน---อ่านแล้วฟินเว่อร์

+ เป็ดจ้า

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
«ตอบ #47 เมื่อ10-11-2013 14:44:17 »

-7-

   น้ำเป็นสายไหลลงมาจากก๊อก กระทบจานกระเบื้องสีขาวไล่ฟองที่ติดอยู่บนนั้นให้ไหลลงท่อไปพร้อมกับสายน้ำ ซูเล่ยหยิบจานที่ล้างสะอาดแล้วไปคว่ำไว้ที่ตะแกรงข้าง ๆ ที่จริงเขาไม่ควรจะต้องมาล้างจานเอาตอนดึกแบบนี้เลย แต่เพราะสองพ่อลูกตัวปัญหานี่แท้ ๆ ทำให้เขาไม่ได้ทำงานบ้านอย่างที่ควรจะเป็นและต้องไปแสดงท่าทางอันน่าตลกขบขันต่อหน้าผู้คน ถึงแม้จะมีผู้ชมแค่สามคนก็ตาม

   เมื่อสามารถกำจัดจานชามออกไปจากอ่างได้หมดแล้ว ซูเล่ยก็เช็ดมือแล้วเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น เขาพบว่าโทรทัศน์เปิดค้างไว้และจากพนักด้านหลังของโซฟา เขาเห็นเพียงขาสองข้างยื่นออกมาพาดที่เท้าแขนฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งมีปอยผมสีเข้มพ้นออกมาเพียงเล็กน้อย อังเดรคงจะนอนดูอยู่ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในแวบแรก แต่เมื่อเดินอ้อมไปดูกลับพบว่าอีกฝ่ายผล็อยหลับไปเสียก่อนแล้ว

   ให้ตายสิ...

   ซูเล่ยเท้าเอวแล้วพ่นลมหายใจแรง ถ้าเป็นเอเดรียนยังพอว่า แต่ผู้ชายตัวโตแบบนี้จะแบกขึ้นห้องยังไงไหว

   “อังเดร ขึ้นไปนอนบนห้องได้แล้ว” เขาลองเขย่าตัวอีกฝ่ายเบา ๆ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะตื่น ลมหายใจยังคงทอดยาวสม่ำเสมอมันทำให้เขาคิดถึงภาพแบบนี้ที่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่ในตอนนั้นเขามีเวลาเพียงเล็กน้อยที่จะสำรวจใบหน้าได้รูปจนกระทั่งจดจำได้หมดทุกส่วนไม่มีสิ่งใดเลือนหายไปจากความทรงจำเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ซูเล่ยอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปเกลี่ยปอยผมออกและโดยที่ไม่ทันได้คิดอะไร ใบหน้าของเขาก็เลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่า...การขยับของกล้ามเนื้อขอบตาอังเดรทำให้ได้สติและผละออกในทันใด

   เอาเถอะ...ปล่อยให้นอนตรงนี้ไปก็แล้วกัน

   ซูเล่ยคิดเช่นนั้นก่อนลุกขึ้นเพื่อไปนำผ้าห่มมาให้ แต่ยังไม่ทันจะยืดตัวเต็มแรงเหยียดขา เขาก็กลับถูกดึงมือจากด้านหลังจนเกือบจะเซล้มหงาย โชคยังดีที่ตั้งหลักทันเขาจึงเพียงหันไปมองและเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับสนิท เพราะดวงตาสีอ่อนคู่นั้นกำลังจับจ้องมายังเขาอย่างพินิจพิจารณาและครุ่นคิด

   “น่าแปลกนะ” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยขึ้นลอย ๆ โดยไม่ได้จำเพาะเจาะจงถึงสิ่งใดทำให้ผู้ฟังตอบโต้ไม่ถูก และทำได้เพียงยืนมองตอบกลับไปด้วยความเงียบ “ทั้งที่เคยพูดเหมือนจงใจยั่วฉันถึงขนาดนั้นแต่พอมีโอกาสกลับไม่ทำจริงเสียอย่างนั้น”

   “พูดแบบนั้นแปลว่าอยากให้ทำหรือครับ?” ในใจซูเล่ยนึกฉุนอยู่ไม่น้อย เพราะเขาสามารถสรุปออกมาได้ว่า เมื่อครู่อังเดรเพียงแกล้งทำเป็นนอนหลับเพื่อดูปฏิกิริยาเขาเท่านั้น

   “ก็เกือบจะทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

   คำตอบของอังเดรทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กเผลอสะดุดลมหายใจตัวเอง

   “และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนเพิ่งรู้จักไม่น่าจะทำด้วยจริงไหม?” ดวงตาของอังเดรที่จ้องมองมาคล้ายกับพยายามจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อที่จะอ่านความในใจที่ซุกซ่อนไว้

   หรือว่าอังเดรจะ...

   “ซู ที่จริงฉันเองก็คิดมานานแล้ว แต่ว่า...พวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริง ๆ หรือ?” เมื่อถามจบ อังเดรก็รู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายกระตุกเล็กน้อย

    “นั่นมันเรียกว่าการจีบแบบคลาสสิกหรือเปล่าครับ?” ซูเล่ยนิ่งไปครู่หนึ่งจึงจะสามารถตีหน้าซื่อและถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติอย่างที่สุดได้

    หัวคิ้วของอังเดรขมวดเข้าหากันเพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหยั่งเชิงเพื่อหาทางเบี่ยงประเด็น ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่ซูเล่ยก้าวเข้ามาในชีวิตครอบครัวของเขา ราวกับว่าเคยพบกันเมื่อนานมาแล้วและเป็นการพบอย่างใกล้ชิดเสียด้วย เพียงแต่...มันอาจจะเกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อต่างคนต่างไปจึงจดจำกันไม่ได้ หรือบางที...อาจจะเป็นเขาคนเดียวที่จำไม่ได้

   ที่จริงแล้วเมื่อตอนเย็นก่อนกลับ อาร์เลนก็ยังมาทักเขาว่าซูเล่ยดูคุ้นตาน่าจะเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง แต่ตัวอาร์เลนก็ระบุชัดไม่ได้เช่นกัน

   ทว่า...มันคล้ายจะเป็นลางสังหรณ์ เขารู้สึกว่าซูเล่ยน่าจะจำได้เพราะท่าทางและปฏิกิริยาที่เจ้าตัว
แสดงออกในบางครั้งดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรกแม้แต่น้อย

   “ในเมื่อคุณตื่นก็ดีแล้ว คงขึ้นห้องนอนเองได้ใช่ไหม?” ในที่สุดซูเล่ยก็คิดหัวข้อใหม่ออก เขาว่าพร้อมกับดึงมือจากการเกาะกุมและเบี่ยงไปหยิบรีโมทปิดโทรทัศน์ อย่างน้อยการที่มันถูกเปิดทิ้งไว้จนถึงตอนนี้ก็ช่วยเป็นข้ออ้างให้เขาไม่ต้องหันมองหน้าอังเดรได้ เพราะเขารู้สึกได้...ถึงสายตาที่ยังจับจ้องอยู่ที่เสี้ยวหน้าตนเอง มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ปกติเขาจะเป็นคนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแบบนั้นไม่ใช่หรือ? ระยะเวลาเพียงไม่นาน ทำไมสถานภาพของเขากับอังเดรถึงกลับตาลปัตรได้...

   แต่อังเดรก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจนานนัก เจ้าตัวลุกขึ้นยืนและยืดเส้นสายเล็กน้อย

   “ถ้าอย่างนั้นฉันขึ้นนอนก่อนก็แล้วกัน เธอเองก็อย่านอนดึกนักล่ะ”

   ซูเล่ยลอบถอนหายใจและเงี่ยหูฟังเสียงลั่นของบันไดทีละขั้นจนกระทั่งถึงขั้นบนสุดเขาก็เหลือบมองอีกครั้งให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายขึ้นนอนไปแล้ว

   ชายหนุ่มร่างเล็กยังไงยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ได้ขึ้นนอนตามคำแนะนำเพราะกำลังตริตรองถึงบางสิ่งอยู่ในใจอย่างเงียบงัน จนกระทั่งหลายนาทีหลังจากนั้น ซูเล่ยก็พาตัวเองไปยังราวแขวนเสื้อโค้ท หยิบโค้ทของตนเองขึ้นมาสวมและก้าวออกไปยังประตูโดยไม่สนใจจะหยิบผ้าพันคอหรือถุงมือ เจ้าตัวหันมองกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่มีใครรู้ว่าตนเองออกไปข้างนอกก่อนจะปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา

   หลังจากซูเล่ยออกไปแล้วครู่หนึ่ง ด้านบนบันไดก็ปรากฏเงาคนที่กำลังมองลงมาข้างล่างผ่านซี่ราวบันได แม้จากมุมนั้นจะเห็นอะไรได้ไม่มาก แค่เมื่อกอปรกับท่าทางของอีกฝ่ายก็เดาไม่ยากเลยว่าเจ้าตัวคงจะออกไปที่ไหนสักแห่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับบทสนทนาเมื่อครู่ของพวกเขาทั้งสอง

--------------------------->

   ท่ามกลางหิมะที่ปรอยตกลงมามากขึ้นในช่วงค่ำทำให้ถนนเป็นสีขาวโพลน แสงไฟจากข้างทางสาดส่องให้เห็นฟุตบาทที่มีแทบไม่มีคนเดินผ่าน แต่หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าบางจุดบางที่ยังมีคนจับกลุ่มอยู่บ้าง ยืนเดี่ยว ๆ บ้าง หญิงสาวหลายคนแอบตัวอยู่ในซอกตึก บางคนก็เดินคล้ายไม่มั่นคงไปตามความยาวถนนเมื่อเห็นคนขับผ่านก็จะโบกเรียก บางคันก็รับพวกเธอไปด้วย บางคันก็ขับผ่านเลยไป บางส่วนก็สามารถจับลูกค้าได้จากคนที่เดินผ่านไปมาที่มีเพียงเล็กน้อย เมื่อเลยจากถนนเส้นนี้ไปบล็อกหนึ่งบรรยากาศโดยรวมก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ เพียงแต่มีคนสัญจรมากกว่าและร้านรวงบางร้านก็เปิดไฟสว่างจ้า

   ซูเล่ยให้รถแท็กซี่จอดหน้าบาร์แห่งหนึ่งที่ใช้ไฟสีแดงเป็นไฟหน้าร้านทำให้มองไปแล้วแทบไม่มีสีสันอื่นนอกจากสีแดง จะว่าอึดอัดก็ใช่ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกลึกลับไปในตัว

   กระจกของบาร์ติดฟิล์มกรองแสงจนมืดสนิทมองไม่เห็นด้านใน ภาพหน้าร้านที่ทุกคนมองเห็นจึงมีเพียงชื่อร้านที่ทำจากหลอดนีออน กำแพงที่ถูกไฟสีแดงสาด กระจกสีดำ และประตูที่ทำจากไม้ฉลุติดด้วยกระจกสีทึบเหมือนกับกระจกร้าน เพียงแต่กระจกตรงประตูติดฟิล์มบางกว่า หากมองใกล้ ๆ จึงเห็นได้ว่าด้านในประตูมีผ้าม่านถูกยึดติดกับบานประตูอยู่อีกชั้น

   เสียงกระดิ่งแว่วเข้าหูเมื่อประตูเปิดออก ภายในร้านอากาศค่อนข้างอบอุ่นเมื่อเทียบกับภายนอก แต่ก็มืดมากเช่นกัน

   แต่ละโต๊ะมีคนจับจองจนเกือบเต็ม เหลือแค่บางโต๊ะเท่านั้นที่ว่างอยู่ เสียงเพลงคลอเบา ๆ พาให้รู้สึกผ่อนคลาย ซูเล่ยมองไปยังเคาท์เตอร์บาร์ที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของร้าน โชคดีที่ด้านหน้าเคาท์เตอร์ไม่มีคนนั่งมากนัก และดูบาร์เทนเดอร์ก็ว่างอยู่เขาจึงเดินเข้าไปหา

   “ไงซู ไม่ได้เจอกันนานเชียว เมื่อปีก่อนบอกว่าไปอยู่เมืองจีนเลยนี่” บาร์เทนเดอร์โบกมือให้ทั้งที่ในมือยังถือผ้าเช็ดแก้วอยู่

   ซูเล่ยนั่งลงแล้วถอดโค้ทวางไว้ข้างตัวก่อนยกมือขึ้นถูกันเพื่อบรรเทาความหนาว เขานึกโทษตัวเองอยู่ในใจที่รีบร้อนเกินไปจนลืมทั้งพันคอและถุงมือไปเสียได้

   “กลับมาตั้งสองเดือนกว่าแล้ว”

   “อ้อ งานศพของพ...” ก่อนที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มจะพูดอะไรออกมา ก็กลับถูกสายตาเฉียบคมตวัดมองปรามไว้เสียก่อน เจ้าตัวจึงกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป “แล้วจะอยู่อีกนานหรือเปล่าล่ะ? จะมาช่วยที่ร้านอีกไหม ตอนนายอยู่ลูกค้าทิปหนักออกนี่”

   “ก็อาจจะนาน...นี่ ดาริล ช่วงนี้ไม่มีใครมาถามหาฉันใช่ไหม?”

   เจ้าของชื่อดาริลเลิกคิ้วแล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่งในขณะที่มือก็เช็ดแก้วไม่หยุด

   “ช่วงแรก ๆ ที่นายเลิกทำที่นี่ก็มีอยู่หรอก แต่มันก็ห้าปีมาแล้วคงเรียกช่วงนี้ไม่ได้สินะ” เขาว่าพลางยกแก้วขึ้นส่องไฟเพื่อเช็คความใส “ก็พวกลูกค้าที่ขยันมานั่งหน้าเคาท์เตอร์นั่นแหละ แต่พอนายหายหน้าไปสองสามเดือนก็เลิกถามกันไป ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว”

   ถึงจะได้ฟังคำตอบที่น่าจะพึงพอใจแต่ซูเล่ยก็ยังมีท่าทีกังวล

   “นายจำผู้ชายคนนั้นได้ไหม คนที่ฉัน...”

   “ใช่ คืนต่อมาเขาก็มา ต่อ ๆ มาก็ด้วยเพื่อถามหานาย จนกระทั่งครบหนึ่งเดือนเขาก็หายหน้าไปเลย” ถึงจะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วแต่ดาริลก็ยังจำได้แม่นยำ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จู่ ๆ ซูเล่ยก็อยากจะมาลองมาช่วยงานดู และหลังจากคล่องพอจะรับหน้าลูกค้าแทนเขาได้แล้วก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดูแล้วไม่น่าจะชอบสถานที่แบบนี้ได้ เจ้าตัวบอกว่าทำโทรศัพท์มือถือตกหายและคนที่เก็บได้บอกว่าฝากเอาไว้ที่นี่ มันเป็นความบังเอิญที่น่าแปลกแต่ซูเล่ยกลับดูไม่แปลกใจและสนทนากับอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง

   ผู้ชายคนนั้นยังคงแวะเวียนมาที่นี่หลังจากนั้นเป็นระยะจนเขาคิดว่าบางทีซูเล่ยอาจจะได้พบคนที่ถูกใจและอีกฝ่ายก็ยินดีตอบสนอง ทว่าเพียงไม่นานซูเล่ยกลับบอกขอเลิกทำงานและขาดการติดต่อไปโดยอย่างสิ้นเชิงโดยไม่บอกเหตุผลใด ๆ ประมาณหนึ่งปีหลังจากนั้นซูเล่ยจึงติดต่อกลับมาหาเขาอีกครั้งและเริ่มกลับมาคุยกันทางโทรศัพท์เป็นครั้งคราวเหมือนในอดีต แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงผู้ชายคนที่ว่าแม้แต่คำเดียวราวกับว่าเจ้าตัวได้ลืมเลือนทุกสิ่งไปจนหมดสิ้นและไม่มีพันธะใดให้คิดคำนึง

   และวันนี้เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ซูเล่ยเอ่ยถึงอดีตขึ้นมาอย่างมีความหมาย

   ถ้าถามว่าทำไมเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังพูดถึงใคร คำตอบก็คงจะเป็นเหตุผลที่ว่า ปกติแล้วซูเล่ยจะไม่แสดงความสนใจใยดีต่อคนอื่นมากนัก แต่ผู้ชายคนนั้นดูพิเศษอย่างเห็นได้ชัด

   “เขาอาจจะกลับมาก็ได้ ในเร็ว ๆ นี้” ซูเล่ยพึมพำ

   “ที่จริงฉันก็ไม่ถือหรอกนะถ้านายจะปกปิดอะไรเอาไว้บ้าง แต่ว่าเราก็คบกันมานานแล้ว ถ้าจะขอความช่วยเหลืออะไรก็พูดออกมาตรง ๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

   นิสัยเสียข้อหนึ่งของซูเล่ยคือ มักจะคิดว่าตนเองสามารถจัดการทุกอย่างให้อยู่ในการควบคุมได้ ด้วยเหตุนั้นการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นจึงค่อนข้างจะเป็นเรื่องยาก แม้เจ้าตัวจะสามารถทุกได้อย่างที่ตั้งใจได้เป็นส่วนใหญ่แต่บางครั้งก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกับคนอื่น ๆ อย่างเช่นครั้งนี้ก็คงจะเป็นหนึ่งในกรณีที่หาได้ยากนั้น

   เรียวคิ้วสีเข้มที่ปัดชี้เหมือนพู่กันวาดขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ทั้งที่เร่งร้อนมาถึงที่นี่แต่เมื่อถึงเวลาที่ควรจะพูดกลับพูดไม่ออก

   “บางที...เขาอาจจะมาถามเรื่องฉันอีก” ซูเล่ยถอนหายใจครั้งหนึ่ง “นายก็บอกไปว่าไม่รู้เรื่องแล้วกัน”

   “แปลว่าตอนนี้ติดต่อกันอยู่หรือ?” สิ่งที่สรุปได้ทำให้ดาริลแปลกใจไม่น้อย

   “ก็ไม่เชิง” เจ้าของปัญหาพูดแค่นั้นแล้วสั่งคอกเทลแทนที่จะพูดถึงเรื่องของตัวเองให้กระจ่าง

   “อย่าบอกนะว่าเขาจำนายไม่ได้ นายก็เลยจงใจปกปิดอยู่แบบนี้?” คำถามของดาริลถูกซูเล่ยเมินไปอย่างจงใจ เจ้าตัวจึงชงคอกเทลวางให้ตรงหน้าแล้วถามต่อ “ทำไมนายถึงกลัวว่าเขาจะจำได้ล่ะ?”

   ซูเล่ยเม้มปากด้วยความอึดอัดใจ

   “ถึงจะจำได้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ยังไงสุดท้ายก็ลงเอยแบบเดิมอยู่ดี” ชายหนุ่มร่างเล็กว่าพลางมองดูเครื่องดื่มสีสวยในแก้วซึ่งสะท้อนไฟสีแดงของร้านเป็นประกายวาว เขาจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกถึงความอุ่นซ่านที่กลบความหนาวเย็นทั้งจากบรรยากาศและจากช่องว่างในใจของตนเอง

   “มันก็ไม่แน่...”

   “ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจได้เสียหน่อย”

   ดาริลขำนิด ๆ

   “แต่ภาพลักษณ์นายดูไม่เหมือนคนถูกผูกมัดเลยนะ แต่เอาเถอะ ยังไงก็รู้จักกันมานานพอจะรู้ว่าสถานะของนายมันพูดอะไรก็ลำบาก ฉันจะไม่ถามต่อแล้วกัน”

   บาร์เทนเดอร์หนุ่มว่าเช่นนั้นและหันไปรับออร์เดอร์ทำให้ซูเล่ยได้มีเวลาคิดทบทวนกับตนเองว่าทำไมจึงได้มาถึงที่นี่ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่จำเป็นเลย อังเดรอาจจะดูคล้ายกำลังสำรวจเขาเพราะความคุ้นตา แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะนึกออกเพราะมันก็ห้าปีผ่านมาแล้ว ซ้ำพวกเขา...ไม่สิ อังเดรไม่เคยมีโอกาสได้มองใบหน้าเขาชัด ๆ แม้สักครั้ง ทุกครั้งที่พบกันก็จะอยู่ในบรรยากาศสลัวของบาร์แห่งนี้ แสงสีแดงในความมืดไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไรได้ถนัดนักนอกจากรูปร่างโดยคร่าว ๆ ดังนั้นอังเดรไม่น่าจะเชื่อมโยงเขากับสถานที่แห่งนี้ได้

   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมา...ราวกับกำลังถูกบางสิ่งไล่ตามและต้องหาที่หลบซ่อน

   คิดอะไรบ้า ๆ

   ซูเล่ยเถียงกับตนเอง

   อังเดรน่ะหรือจะไล่ตามเขา? เจ้าตัวก็คงแค่ไม่พอใจที่เขาทำตัวหยิ่งผยองใส่ในตอนแรกก็เลยพยายามเอาคืนบ้างเท่านั้น อีกอย่าง ยังไงเขาก็เป็นพี่เลี้ยงของลูกสาว อังเดรจะระแคะระคายขึ้นมาเพราะความกังวลบ้างก็ไม่แปลก แค่ทำตัวไปตามปกติก็คงไม่มีปัญหาอะไร

   ชายหนุ่มกระดกแก้วคอกเทลขึ้นจิบอีกครั้ง ความอุ่นซ่านล่วงลงไปตามลำคอทำให้สติกระจ่างขึ้นเล็กน้อย เขาหมุนก้านแก้วด้วยปลายนิ้วพลางสำรวจของเหลวภายในที่หมุนวนไปตามแรงเหวี่ยงบางเบา เขามักจะเห็นคนที่เข้าบาร์ทำท่าทางแบบนี้เมื่อมีเรื่องครุ่นคิดทำให้ติดนิสัยมาโดยไม่ทันรู้ตัว

   “ว่าแต่ เตร็ดเตร่ได้แบบนี้ยังไม่มีงานทำหรือ?” ดาริลผละจากลูกค้ากลับมาได้ในที่สุด

   “มีแล้ว”

   “ทำอะไรอยู่ล่ะ?”

   “เลี้ยงเด็ก” ซูเล่ยตอบกลับไปโดยอัตโนมัติ

   “...ดูไม่เข้าเลยนะ...” ดาริลตกตะลึงอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายทำงานอะไรอยู่ เพราะซูเล่ยไม่มีส่วนไหนเลยที่บอกว่าเป็นคนรักและเอ็นดูเด็ก

   “ฉันก็ว่างั้น แต่ทำไงได้ล่ะ...” เอาเข้าจริง ตัวซูเล่ยก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะถูกกับเด็กเหมือนกัน แต่พอเลี้ยงเอเดรียนมาสักระยะเขาก็พบว่าเด็ก ๆ มีธรรมชาติของตัวเองที่พอจะทำความเข้าใจได้อยู่ เหมือนกับสิ่งที่มีตัวตนของตนเองอย่างชัดเจน และต้องการให้คนรอบข้างคล้อยตามไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้และซึมซับพฤติกรรมที่ได้รับการตอบสนอง ถ้าหากรู้ว่าจะตอบโต้ยังไงมันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่

   แต่เมื่อพูดถึงการงานขึ้นมา เขาก็นึกได้ว่าต้องตื่นแต่เช้าจึงกระดกอึกสุดท้ายแล้ววางเงินก่อนลุกขึ้น

   “ฉันกลับก่อนล่ะ ยังไงเรื่องนั้นก็...”

   “ฉันเข้าใจ จะช่วยเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน” ดาริลพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ซูเล่ยเพียงพยักหน้ารับและคว้าเสื้อโค้ทขึ้นสวมก่อนพยายามควานหาถุงมือ แต่ก็รู้ตัวในวินาทีต่อมาว่าตนลืมสวมมาแต่แรก “ไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม นายดูแปลก ๆ เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวชอบกล”

   “แค่ลืมน่ะ เอาเถอะ เดี๋ยวออกไปก็คงเรียกแท็กซี่ได้เลย” เจ้าตัวซุกมือลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทและเดินออกจากประตูไป

-------------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
«ตอบ #48 เมื่อ10-11-2013 14:46:19 »

   ภาพบาร์ที่ติดไฟสีแดงทำให้รู้สึกประหลาดเมื่อแรกมอง แต่สำหรับเขา มันกลับเป็นภาพที่คุ้นตา

   จะว่าไป...เขาเคยมาเยือนสถานที่แห่งนี้เมื่อห้าปีก่อนได้กระมัง ตอนนั้นเหมือนว่าจะเกิดเรื่องหลาย ๆ อย่างขึ้นจนรู้สึกเหมือนชีวิตถูกใครบางคนควบคุมอยู่ แม้ว่าจะขัดขืนกระแส แต่ก็ถูกชักนำไปโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายกระแสของการชักนำก็เลือนหายไปพร้อมกับใครคนหนึ่งที่ถูกลืมเลือน

   อังเดรพรูลมหายใจจนเกิดเป็นไอสีขาวบางเบาในอากาศ เขานึกแปลกใจไม่น้อยที่ซูเล่ยมาที่นี่ในเวลาอย่างนี้ จะว่าเกิดมีอะไรในใจจนต้องหาที่ดื่มก็ไม่น่าจะดั้นด้นมาตั้งไกล นอกจากว่าซูเล่ยจะมีอดีตเกี่ยวพันกับที่นี่ อาจจะเป็นร้านประจำในสมัยวัยรุ่น หรือที่นัดพบเพื่อน ๆ หรืออาจจะเป็นคนรักก็สุดจะคาดเดาได้ แต่มันออกจะบังเอิญไปสักหน่อยไหมที่เขาและซูเล่ยจะมีอดีตเกี่ยวพันกับสถานที่เดียวกันและมีชะตาต้องวนเวียนมาบรรจบกันอย่างใกล้ชิด โอกาสอาจจะน้อยกว่าหนึ่งในหมื่นเสียด้วยซ้ำ

   แม้จะมีคำถามในใจมากมาย แต่อังเดรกลับเลือกที่จะยืนพิงกำแพงเย็นเฉียบและเฝ้ามองสิ่งที่อยู่ตรงข้ามถนนราวกับนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ตนเองทำได้ในเวลานี้

   “พี่ชาย สนใจไหมจ๊ะ” เสียงหวานใสติดจะมึนเมาเรียกให้ชายหนุ่มหันไปมองข้างตัวและได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งในเสื้อคลุมขนสัตว์ราคาถูก เธอกระแซะเข้าหาอย่างมีจุดมุ่งหมายทำให้กลิ่นน้ำหอมฉุนกึกผสมกลิ่นบุหรี่โชยเข้าจมูกจนแทบสำลัก

   “พอดีผมแค่มารอคนน่ะ ขอโทษด้วยนะครับ” แม้จะตอบกลับไปอย่างสุภาพ แต่อย่างไรก็เป็นคำปฏิเสธ หญิงสาวที่เดินร่อนมาทั้งคืนโดยไม่มีลูกค้าจึงทำเสียงฮึดอัดและเชิดหน้ากระแทกส้นเท้าเดินผ่านไป

   เรือนผมยุ่งกระเซิงเหมือนรังนกปิดบังทัศนียภาพของฝั่งตรงข้ามถนนไปชั่วขณะ ที่แต่เมื่อเธอเดินผ่านไป เขาก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของบานประตูก่อนที่ผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งจะเดินออกมาและรีบเอามือซุกลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อป้องกันความหนาวเย็นและวิ่งซอยเท้าสั้น ๆ มาจนถึงถนนเพื่อเรียกแท็กซี่คันที่กำลังจะผ่านไป ชายหนุ่มร่างสูงยืนรอจนกระทั่งฝ่ายนั้นลับตาแล้วจึงเริ่มขยับตัวบ้าง

   เขาข้ามถนนไปยังบาร์ที่เป็นเป้าสายตาอยู่นาน เปิดประตูเข้าไป สัมผัสกับเสียงเพลงคลอเอื่อยและแสงสีแดงดูสลัวพาให้สับสนกับภาพที่มองเห็น บรรยากาศของที่นี่ยังคงเหมือนเดิมไม่แตกต่างจากภาพที่เขาจดจำได้ ยกเว้นแต่ที่เคาท์เตอร์บาร์ ดูเหมือนจะมีการตกแต่งเพิ่มเติมนิดหน่อย

   “เชิญครับ” เสียงต้อนรับพาให้เขาเลิกสนใจสำรวจรอบข้างและเดินไปยังเคาท์เตอร์ก่อนถอดถุงมือ ผ้าพันคอ และเสื้อโค้ทออกวางข้างตัว

   “อ้าว คุณนั่นเอง”

   เสียงทักทายของบาร์เทนเดอร์เรียกให้ชายหนุ่มเงยขึ้นมอง ดาริลยิ้มกว้างให้กับลูกค้าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้แสดงพิรุธใด ๆ ออกมา

   “คุณ...จำผมได้ด้วยหรือ?” หากจำไม่ผิด ผู้ชายคนนี้ก็เป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่นี่เมื่อห้าปีก่อนด้วยเช่นกัน แต่เวลาห้าปีทำให้คนเราดูเปลี่ยนไปหลายอย่างเขาจึงจดอีกฝ่ายไม่ได้ในทันที แต่แปลกใจมากกว่าในบรรยากาศสลัวและพบเจอคนมากหน้าหลายตาอย่างนี้ ทำไมอีกฝ่ายจึงจำเขาได้ตั้งแต่แวบแรก

   “จะว่ายังไงดีนะ ถ้าคนเรามีลักษณะบางอย่างที่พิเศษมันก็จดจำได้ง่ายน่ะครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อย “อย่างคุณก็เคยมาถามหา ‘ลี’ เพื่อนผมอยู่เป็นเดือน ๆ แต่ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมาหรอก คิดว่าคงได้งานทำที่อื่นไปแล้วล่ะครับ”

   น้อยคนที่จะรู้ว่าจริง ๆ แล้วซูเล่ยใช้แซ่หลี่ตามแม่ก่อนจะเปลี่ยนนามสกุลเมื่อย้ายมาอยู่ที่อเมริกา ด้วยเหตุนั้นชื่อ ลี หรือ หลี่ จึงเป็นเสมือนนามแฝงกลาย ๆ ที่รู้ที่มาที่ไปเฉพาะคนสนิทซึ่งมีอยู่ไม่มาก และซูเล่ยยังใช้ชื่อนี้ในการแนะนำตัวตอนที่มาทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรหากอังเดรจะไม่เอะใจเลยว่า ลี และ ซูเล่ย อาจจะเป็นคนคนเดียวกัน

   “เขาไม่ได้ติดต่อคุณเลยหรือ?”

   ดาริลนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

   “ความจริงก็มีบ้าง แต่เขาไม่ค่อยชอบพูดเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาติดต่อกันพวกเราก็จะคุยสัพเพเหระไม่มีแก่นสาร”

   “ถ้าอย่างนั้น...ที่อยู่คงพอทราบสินะครับ?” ถึงจะแปลกที่จู่ ๆ ถามออกไปแบบนี้ แต่อังเดรก็อยากจะเห็นว่าเจ้าตัวจะมีปฏิกิริยาอย่างไร กระนั้นดาริลก็ยังคงควบคุมตัวเองได้ดี

   “ถึงจะรู้ผมก็บอกไม่ได้หรอก ยังไงมันก็ตั้งห้าปีมาแล้ว...คุณเถอะ คิดยังไงถึงได้กลับมาถามหาเขาเอาตอนนี้?”

   คำถามของดาริลทำให้อังเดรหนักใจไม่น้อย เพราะเขาคงทะเล่อทะล่าเล่าเรื่องในครอบครัวตัวเองให้คนอื่นฟังไม่ได้ และหากสงสัยผิดตัวมีแต่จะถูกหัวเราะเอาเสียเปล่า ๆ

   “...คงเพราะคิดว่าน่าจะได้เจอกันอีกล่ะมั้ง...” ในที่สุดก็เลือกคำตอบที่ดูคลุมเครือมาตอบจนได้ แต่หากคิดดี ๆ มันคงจะน้ำเน่าอยู่ไม่น้อย

   ดาริลคงจะรู้สึกรู้สึกสงสารขึ้นมาจึงถอนหายใจและตอบคำถามย้อนหลัง

   “ผมคงจะบอกที่อยู่ชัดเจนไม่ได้ แต่เขาคงจะไม่ได้ไปจากเมืองนี้หรอก”

   “ถ้าอย่างนั้น...”

   ไม่ทันที่อังเดรจะถามต่อ บาร์เทนเดอร์หนุ่มก็ยกมือปราม

   “ที่นี่มีไว้ปลดเปลื้องความทุกข์ใจ สิ่งที่ทำให้คุณกังวล ปลดเปลื้องออกบ้างก็ดีนะครับ บางทีโดยที่คุณไม่รู้ตัว สิ่งที่คุณรอคอยอาจจะปรากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดฝันก็ได้” ดาริลกล่าวขณะที่ใช้มือชงคอกเทลอย่างคล่องแคล่ว “ผมอาจจะให้คำตอบที่คุณต้องการไม่ได้ แต่ผมยังจำเมนูโปรดของคุณได้นะครับ” ว่าจบ แก้วทรงกรวยบรรจุของเหลวสีสันสวยงามก็เลื่อนมาตรงหน้า

   ถึงแม้จะไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อดื่ม แต่เมื่อเข้ามาแล้วจะลุกออกไปเฉย ๆ ก็ค่อนข้างเสียมารยาท อังเดรจึงรับแก้วไว้ด้วยรอยยิ้มเจื่อมและจิบทีละนิดเพื่อทบทวนความทรงจำที่เคยนั่งอยู่ตรงนี้เมื่อห้าปีก่อน ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะได้พบกับมารีนและตกลงใจแต่งงานกันในปีถัดมา

   มันเริ่มต้นขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งซึ่งหายไปโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้สถานที่ เขาไม่มั่นใจนักว่าจะได้มันคืนแต่ก็ลองโทรไปเผื่อว่าจะได้พบคนดีสักคน ไม่น่าเชื่อว่าฝ่ายนั้นจะยินดีคืนให้โดยไม่มีเงื่อนไข เพียงแต่เจ้าตัวไม่ว่างจะมอบด้วยตนเองจึงฝากไว้ที่บาร์แห่งนี้ ตอนที่เขามารับก็คิดว่าจะกลับเลย แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้โดยชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ฝึกหัดอยู่ในตอนนั้น

   ลี...

   แม้จะรู้จักกันแต่เขาก็ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ได้ยินแค่เสียงขณะพูดคุย และใบหน้าที่มองผ่านแสงสีแดงดูสลัวแปลกตา

   อังเดรไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้นเพราะบังเอิญว่ามีคนจะมานั่งที่เคาท์เตอร์เขาจึงต้องรีบยกโค้ทตนเองออกจากเก้าอี้ว่างข้างตัว แต่เมื่อคิดจะจิบคอกเทลต่อเขาก็พบว่ามันเหลือเพียงแก้วเปล่า

   เขาลุกขึ้นและวางเงินบนเคาท์เตอร์

   “แล้วมาใหม่ได้เสมอนะครับ” ดาริลยิ้มอำลา ฝ่ายลูกค้าเพียงยิ้มตอบโดยไม่ได้พูดอะไรและสวมโค้ทก่อนเดินออกมาทั้งที่ยังมีบางสิ่งติดค้างอยู่ในใจและไม่อาจรู้ได้เลยว่าควรจะใช้อะไรเพื่องัดเอาก้อนมวลใหญ่ที่ติดค้างนั้นออกมาสำรวจดูให้แน่ชัด

------------------------------>

   ชายหนุ่มกลับถึงบ้านก็ดึกโขแล้ว ทั้งบ้านเงียบสนิทและเรียบร้อยอย่างไร้ที่ติเหมือนตอนที่เขาออกไป เสื้อโค้ทของซูเล่ยกลับมาพาดอยู่บนราวเช่นเดิมแต่ก็ยังมีรอยเปียกอยู่เล็กน้อยจากการตากหิมะ ถึงอย่างนั้นมันก็คงจะจางหายไปในตอนเช้าราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในคืนนี้

   อังเดรถอดเสื้อโค้ทและผ้าพันคอพาดบนราว และถือถุงมือไปเก็บบนห้อง

   ขณะที่ขึ้นไปถึงหัวบันได สมองก็พลันสั่งให้สายตาเหลือบมองไปยังสุดทางเดินซึ่งประตูบ้านหนึ่งปิดสนิทนิ่งงันอย่างที่ควรจะเป็น

   ประตูไม้ขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

   ไม่สิ...เขาต่างหากที่ก้าวเข้าไปใกล้ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งประตูก็ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเสียแล้ว

   ลูกบิดประตูอยู่แค่มือเอื้อม และในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านเขาย่อมมีสิทธิมากมายที่จะใช้อ้าง แต่...เขาไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาบอกกล่าวว่าทำไมจึงต้องเข้าไปรบกวนอีกฝ่ายถึงในห้องกลางดึกกลางดื่น ที่จริงแล้วเขากำลังสงสัยตัวเองว่าทำไมจึงต้องติดใจอีกฝ่ายถึงขนาดนี้แค่เพียงเพราะว่ารู้จักสถานที่แห่งเดียวกัน ความรีบร้อนของซูเล่ยน่าสงสัยก็จริงแต่สุดท้ายก็ดูจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยของเขา เพราะบาร์เทนเดอร์คนนั้นดูไม่น่าจะมีเหตุผลให้ปกปิดเรื่องราวในอดีตแต่อย่างใด

   ลูกบิดประตูยังคงแน่นิ่งอยู่ที่เดิมในขณะที่เจ้าของบ้านทำได้แค่มองอย่างชั่งใจ

   ในที่สุดอังเดรก็ถอยหลังออกมาและหมุนตัวกลับห้องตนเอง เขารู้สึกว่าคืนนี้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปมากมาย บางทีหากหลับสักตื่นสติอาจจะกระจ่างขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้

   เสียงฝีเท้าเพียงหนึ่งเดียวในบ้านใช่จะมีเพียงอังเดรที่ได้ยิน ภายในห้องสุดทางเดิน มีชายหนุ่มอีกคนที่นอนซุกบนที่นอนและเงี่ยหูฟังจนกระทั่งเสียงนั้นค่อย ๆ ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ และจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องของอีกฝ่าย เจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมา

   ซูเล่ยไม่ได้รู้เลยว่าตนเองถูกสะกดรอยตาม แต่เมื่อกลับมาถึงเขาก็เห็นว่าโค้ทของอังเดรหายไป แต่หากจะคิดในแง่ดีก็คงจะพูดได้ว่าอังเดรอาจจะออกไปหาที่ทางของตนเอง กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ใช่นักเที่ยวและไม่มีบุคลิกที่ชวนให้ดูเหมือนคนชื่นชอบการเริงรมย์ยามราตรีแม้แต่น้อย

   อย่างน้อยก็ยังดีที่กำชับดาริลไว้ก่อนแล้ว...

   เขาคิดเช่นนั้นและหลับตาลงโดยพยายามที่จะไม่นำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาคิดให้รกสมองอีก

TBC


เราไปหาที่เรียนลีลาศกันเถอะค่ะ 555
ปล. สมัยเรียนเราได้คู่เต้นเป็นผู้หญิงเพราะคนเรียนผู้ชายมีไม่พอ ;w;

ออฟไลน์ Damon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
«ตอบ #49 เมื่อ10-11-2013 16:18:47 »

หวังว่าจะสลัดยูล่าได้พ้นเสียที ไม่งั้นก็... ซูสวมรอยเป็นคุณแม่มือใหม่ไปเลย
:: ตามมาจากบอร์ดนาบูค่ะ ฮิฮิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
« ตอบ #49 เมื่อ: 10-11-2013 16:18:47 »





ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
«ตอบ #50 เมื่อ10-11-2013 17:17:25 »

ซูก็คงจะชอบอังเดรปะแล้วอยู่ดีๆฮีก็ไปแต่งงาน
เออเป็นฉันก็ช็อคปะวะ
แต่ตอนนี้อังเดรเป็นพ่อหม่ายนะ ซูบอกความจริงไปเล้ยยยยยย

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
«ตอบ #51 เมื่อ10-11-2013 18:33:27 »

เค้าลางมาม่านะแบบนี้

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
«ตอบ #52 เมื่อ10-11-2013 18:53:39 »

ความจริงก็น่าจะให้รู้ความจริงไปเลยนะ
บางทีอังเดรก็อาจจะคิดๆอะไรอยู่ก็ได้

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
«ตอบ #53 เมื่อ11-11-2013 14:57:36 »


เรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่นะ

+ เป็ดจ้า

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 7 [10/11/13]
«ตอบ #54 เมื่อ11-11-2013 18:11:23 »

มันยังไงกันละนี่
เดาที่ไปที่มาไม่ถูกแหะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
«ตอบ #55 เมื่อ14-11-2013 14:18:36 »

-8-

   แม้ซูเล่ยจะกังวลอยู่บ้าง แต่หลังจากวันนั้น อังเดรก็ไม่ได้ตื้อถามอะไรอีก ส่วนยูล่าก็ยังคงพาตัวเข้ามาใกล้ครอบครัวนี้มากขึ้นเหมือนเดิม กระนั้นการกระทำของเธอกลับไม่ได้นำไปในทางที่ดีนักเพราะยิ่งยูล่าเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ เอเดรียนก็ยิ่งต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น แม้กระทั่งวันนี้ที่ยูล่ามาที่บ้านและขอเป็นคนโชว์ฝีมือทำอาหาร เอเดรียนก็ทำสีหน้าบูดบึ้ง เอาแต่นั่งกอดตุ๊กตากระต่ายที่เพิ่งถูกซักใหม่อีกครั้งจนขาวสะอาด

   “เอเดรียนไม่อยากกิน มันไม่อร่อย” เด็กหญิงงอนกระปัดกระป่องและไม่ยอมให้ใครจับตัวเมื่อถึงเวลาอาหาร
   “เอเดรียนอย่าดื้อสิ ยูล่าอุตส่าห์มาทำให้เลยนะ ยังไม่ได้กินจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ชอบน่ะ” อังเดรง้อลูกสาวที่ทำตัวขวางโลกมาตลอดช่วงเย็น

   “ก็ไม่ชอบ” เมื่อเห็นว่าพ่อเข้าข้างผู้หญิงอื่นมากกว่าตนเอง เอเดรียนก็ยิ่งหงุดหงิด

   “เอเดรียน มาลองหน่อยสิจ๊ะ คราวก่อนไปยังบอกว่าอาหารของพี่อร่อยอยู่เลย” ยูล่าก็เข้ามาง้อด้วย แม้เธอจะรู้ว่าตนเองถูกกีดกันแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะเอาชนะใจเด็กหญิงผู้หวงพ่อยิ่งกว่าสิ่งใด

   ซูเล่ยมองทั้งสองอยู่ห่าง ๆ ทั้งยูล่าและอังเดรเริ่มทำตัวเหมือนคู่รักไม่มีผิด ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แถมยังมาบริการถึงบ้านทั้งที่รู้ว่ามีคนทำอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นภาพนั้นเขาจึงรู้สึกขัดเคืองอยู่ในใจ บางที...เอเดรียนอาจจะเผลอซึมซับความรู้สึกของเขาเข้าไปก็เป็นได้ เธอจึงมีปฏิกิริยารุนแรงกับยูล่าอย่างนั้นทั้งที่แต่ก่อนออกจะสนิทสนมกันดีไม่เคยมีปัญหาใด ๆ

   “ซู” ทว่าในขณะที่กำลังคิดว่าตนเองเป็นคนนอก เสียงทุ้มนุ่มหูก็เอ่ยเรียกชื่อเขาขึ้นมา

   “หืม?” ซูเล่ยเพียงตอบรับในลำคอและเลิกคิ้วมองชายหนุ่มร่างสูงซึ่งกำลังส่งสายตาเหมือนคนไร้หนทางมาให้ คล้ายกำลังบอกให้เขาทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์นี้ที่ไม่มีใครจัดการได้

   เอเดรียนเองก็กำลังมองมาด้วยสายตาไม่พอใจเช่นกัน แต่เมื่อเขาก้าวเข้าไปใกล้ ท่าทางต่อต้านก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง เสมือนป้อมปราการที่ตั้งตระหง่านแข็งแรงยินยอมเปิดรับเพื่อนบ้านในที่สุด

   “เอเดรียนไม่อยากกิน” ถึงอย่างนั้นเด็กหญิงก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมด้วยท่าทีแข็งขันประสมอ้อนวอนพี่เลี้ยงที่เข้าใจตนมากที่สุด

   “แล้วเอเดรียนไม่หิวหรือ?” ซูเล่ยนั่งลงระหว่างอังเดรและยูล่าโดยไม่ได้เจตนาจะขัดขวางความใกล้ชิด เพียงแต่ตรงนี้เท่านั้นที่สามารถคุยกับเอเดรียนได้ถนัดมากที่สุด กระนั้นชั่วแวบหนึ่งที่เขารู้สึกเหมือนเห็นประกายตาของความไม่พึงพอใจเปล่งออกมาจากหญิงสาวข้างตัว แต่ความรู้สึกเพียงชั่วแวบก็ถูกกลบหายด้วยอ้อมแขนเล็ก ๆ ที่โถมใส่ตัวเขาพร้อมกับตุ๊กตากระต่ายตัวโต

   “เอเดรียนจะกินอาหารของซู ซูทำอร่อย”

   ได้ยินประกาศิตจากปากเด็กหญิงผู้มีอำนาจเต็มแล้ว ซูเล่ยก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะหันไปมองใครเพื่อขอความเห็นดี เพราะทางหนึ่งก็อังเดรที่เขาไม่ค่อยจะอยากมองหน้าเท่าไหร่ในระยะหลัง อีกฝั่งก็ยูล่าซึ่งเป็นเจ้าของมื้ออาหารสุดพิเศษในค่ำคืนนี้

   “แต่ว่ายูล่าอุตส่าห์ทำให้ ไปดูก่อนไม่ดีกว่าหรือ?” เพราะไม่อยากสร้างศัตรูโดยใช่เหตุ ซูเล่ยจึงต้องทำทีประนีประนอมไปก่อนแม้เขาจะเริ่มรู้สึกรำคาญเจ้าหล่อนขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้น เอเดรียนกลับไม่ได้คิดอย่างเขา เด็กหญิงอยู่ในวัยที่จะแสดงออกทางด้านอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาไม่มีปิดบังเสแสร้ง จึงพยายามอย่างมากที่จะให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่ต้อนรับ

   “ไม่เอา จะเอาของซู”

   เสียงถอนหายใจจากเบื้องหลังทำให้ซูต้องรีบกลืนลมหายใจส่วนของตนเองไว้และหันไปมองอังเดรซึ่งมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

   “ซู ช่วยทำให้เอเดรียนอีกชุดแล้วกัน” เขาว่าเช่นนั้นและหันไปทางหญิงสาวซึ่งอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่เพื่อทำอาหารเย็นให้ทั้งครอบครัว “ขอโทษด้วยนะยูล่า ที่จู่ ๆ เอเดรียนก็งอแงแบบนี้”

   “...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันพอจะเข้าใจอยู่” หญิงสาวตอบด้วยท่าทางอ่อนโยนแต่แอบแฝงไว้ด้วยความขุ่นใจอย่างบางเบา กระนั้นคำบัญชาของเอเดรียนก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันได้   

   ซูเล่ยเดินไปค้นวัตถุดิบและคิดว่าจะทำอะไรดี เพราะหากทำอย่างเดียวกับยูล่าคงจะเสียมารยาทไม่น้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องรักษาน้ำใจอะไรนัก แต่ก็หน่ายที่จะมีปัญหาให้คนอื่นเขม่นโดยเฉพาะต่อหน้าอังเดรซึ่งแม้จะไม่ได้รุกถามอะไรแต่ก็คอยสังเกตสังกามากขึ้นจนต้องยอมทำตัวสงบเสงี่ยมสักระยะ

   หน้าต่างของห้องครัวมีด้านหนึ่งที่เปิดออกไปทางถนนหน้าบ้าน ตอนที่ซูเล่ยเดินไปหยิบภาชนะตรงนั้นเขาก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อมองออกไปเห็นรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ตรงนั้นมาสักพักแล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่ได้นึกสนใจแต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกแปลก เพราะจำไม่ได้เลยว่าตนเองเคยเห็นรถคันนี้ในละแวกนี้มาก่อน และไม่ได้ข่าวเลยว่าเพื่อนบ้านถอยรถใหม่ แสดงว่าไม่ใช่ของใครที่เขาเคยเห็นหน้า ถ้าอย่างนั้นมีธุระอะไรถึงมาจอดตรงนี้กันนะ? ถึงจะจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ซูเล่ยก็อุปทานขึ้นมาในใจว่าน่าจะกำลังมองดูบ้านหลังนี้เสียมากกว่า

   “ซู มองอะไรอยู่เหรอ?” เอเดรียนเดินมาเกาะขากางเกงเขาและดึงเบา ๆ เพราะไม่อยากไปนั่งร่วมโต๊ะโดยไม่มีพี่เลี้ยงอยู่ข้าง ๆ

   “ไม่มีอะไรหรอก กำลังคิดว่าต้นหญ้าชักจะยาวแล้ว คงต้องตัดมันเสียทีน่ะ” เขาตอบคำถามแล้วผละจากบานหน้าต่างทั้งที่ใจยังกังขา ทว่าหลังจากนั้นก็คล้ายว่าเขาจะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทและลงมือจัดการสำรับอาหารเย็นพร้อมกับเจ้าบ้านและแขก การสนทนาหนึ่งเดียวของมื้อนี้คือเสียงพูดคุยระหว่างอังเดรและยูล่าซึ่งค่อนข้างสนิทสนมและเต็มไปด้วยเรื่องส่วนตัวบ่งบอกถึงระดับความสนิทชิดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น

   หลังจากยูล่ากลับไปแล้วและซูเล่ยกำลังล้างจาน สายตาของเขาก็มองออกไปข้างนอกอีกครั้ง รถคันนั้นยังคงจอดที่เดิมราวกับว่าที่นั่นเป็นที่ของมัน

   ใครกันนะ?

   ดวงตาสีดำในกรอบเรียวรีเพ่งมองอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อว่าอย่างน้อยก็จะได้เห็นว่าบุคคลในรถกำลังทำสิ่งใดอยู่ ทำให้ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว จนกระทั่งแขนข้างหนึ่งผ่านเข้ามาทางปลายสายตาและเท้ากับวงกบหน้าต่าง เงาดำตกทอดลงมาเหนือตัวเขารวมถึงภาพสะท้อนที่ปรากฏบนบานกระจก

   “กำลังมองอะไรอยู่?”

   คำถามเดียวกับที่เอเดรียนถาม แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างเพราะเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบและคล้ายกำลังเฝ้ารอปฏิกิริยาของเขาขณะตอบคำถามนั้นด้วย

   ซูเล่ยเลื่อนสายตาจนรถไปยังเงาสะท้อนของคนที่อยู่เบื้องหลัง และได้เห็นดวงตาของผู้ที่มองตอบกลับมาซึ่งเป็นสายตาแบบเดียวกับที่จ้องมองเขามาชั่วระยะหนึ่งหลังจากกลับมาจากบาร์แห่งนั้น เป็นสายตาที่มีความสงสัย ความกังขา ความสนเท่ห์ ทุกนิยามของในที่สับสนต่างผสมรวมอยู่ในดวงตาคู่นั้นและมุ่งมายังเขาโดยตรงอย่างไม่คิดหลบเลี่ยง และเพราะแบบนั้น...ทำให้เขาหวั่นใจทุกครั้งที่มองกลับไป

   “รถน่ะครับ ผมคิดว่าไม่เคยเห็น”

   คำตอบที่ได้ทำให้อังเดรมองออกไปบ้าง แต่รถคันนั้นก็หายไปเสียแล้ว

   “คงจะเป็นเพื่อนมาส่งคนแถวนี้”

   ถึงอยากจะบอกว่าจอดอยู่นานผิดสังเกต แต่ก็ดูจะไม่ใช่ประเด็นที่ควรนำมาพูดคุยกับอีกฝ่ายนัก เพราะเจ้าตัวดูจะไม่ได้สนใจเอาเสียเลย

   “ช่วยขยับออกไปหน่อยได้ไหมครับ ผมล้างจานไม่ถนัด” เมื่อความสนใจถูกดึงกลับเข้ามาในห้อง ซูเล่ยจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ล่อแหลมโดยไม่ได้ตระเตรียมใจ กระนั้นเจ้าตัวก็ยังสามารถตอบโต้กลับไปได้อย่างปกติทั้งที่ในกำลังเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร ความคิดที่จะหยอกล้อเอาสนุกตอนแรกเริ่มที่ก้าวเข้ามาในบ้านนี้ถูกสลัดหายไปจนหมดสิ้นเมื่อตนคล้ายจะกลายเป็นฝ่ายถูกหยอกล้อเอาเสียเองในระยะหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเพราะตัวเขามีชนักติดหลังอยู่กระมัง

   “ก็ใกล้จะเสร็จอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

   ปัญหาคืออังเดรมายืนอยู่ตรงนี้ทำไมต่างหาก

   ซูเล่ยเถียงในใจพลางกลอกตา แต่แม้จะพยายามทำตัวให้ชินกับการใกล้ชิดมากแค่ไหน เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะอึดอัดกับสายตาที่ทิ่มแทงลงบนแผ่นหลังอย่างพินิจพิจารณาถึงขนาดที่ไม่ได้มองก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน หรือว่าคืนนั้นอังเดรจะได้คุยกับดาริลแล้วเกิดเอะใจขึ้นมาจริง ๆ?

   ข้อสันนิษฐานนี้เป็นสิ่งที่เจ้าตัวไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย

   “ตอนแรกคุณรังเกียจรังงอนผมจนแทบจะตะเพิดออกจากบ้าน แล้วจู่ ๆ เกิดพิศวาสอะไรผมขึ้นมา หรือว่า...เกิดนึกสนใจผมขึ้นมาจริง ๆ” ถึงจะรู้แก่ใจว่าคำถามนี้เป็นการขุดหลุมพรางให้ตัวเอง แต่ก็อาจจะสามารถทำให้อังเดรรำลึกขึ้นมาได้ว่าเคยรู้สึกกับเขาในแง่ลบเสียจนไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ และพร้อมกับที่ถาม ซูเล่ยก็แสร้งทำเป็นเอนตัวไปอิงซบอกกว้างพลางเสยสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายซึ่งเมื่อก้มลงมาใบหน้าจะอยู่ตรงกันพอดี

   ทว่า...ในดวงตาคู่สวยที่มองเห็นกลับมีแต่ความสงสัยและต้องการพิสูจน์ ไร้ซึ่งความรังเกียจ มีเพียงความลังเลเล็กน้อยที่ซุกซ่อนอยู่อย่างแนบเนียน

   ซูเล่ยเผลอกลั้นหายใจเฮือกเมื่อใบหน้าคมโน้มลงมาหา

   “เดี๋ยวสิ!” และกลายเป็นเขาเองที่ปฏิเสธด้วยการดีดตัวผึงขึ้นจากแผงอก แต่ก็ไม่สามารถขยับหนีไปได้มากกว่านั้นเพราะด้านหน้าเป็นซิงค์สำหรับล้างจาน ด้วยอาการชะงักเพราะไม่มีที่ไปทำให้อังเดรไม่ต้องเสียแรงมากนักกับการรั้งตัวไว้ ชายหนุ่มร่างสูงเพียงเท้าแขนคร่อมลงไป ซูเล่ยก็ถูกกักขังไว้โดยสมบูรณ์

   “ทั้งที่ท้าทายมาตลอด แต่พอฉันตอบรับกลับไม่กล้าอย่างนั้นหรือ?” เสียงทุ้มคลอเคลียข้างใบหูจนร้อนวูบเพราะลมหายใจ “หรือเธอเชื่อมาตลอดว่าฉันไม่กล้าทำ?”

   ก็ไม่เชิง...

   ที่จริงแล้วเขาก็แค่ใช้วิธีนั้นทำให้อีกฝ่ายอยู่ห่าง ๆ เท่านั้นเอง

   “ผมไม่ใช่มารีนนะครับ”

   “ฉันรู้ แต่มารีนก็จากไปแล้ว ฉันย่อมมีสิทธิที่จะหาเศษหาเลยได้จริงไหม?”

   ซูเล่ยรู้สึกประหลาดใจกับความดึงดันของอีกฝ่าย แม้กระทั่งเมื่อห้าปีก่อน คนที่ดึงดันมากกว่าก็คือตัวเขาส่วนอังเดรก็แค่คล้อยตามไป ทว่า...ความดึงดันของเจ้าตัวกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นราวกับว่ากำลังคาดหวังถึงบางสิ่งซึ่งซุกซ่อนในส่วนลึกของความปรารถนา

   แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็ต้องสะดุ้งแรงเพราะเสียงโทรศัพท์บ้าน

   อังเดรนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะผละออกไปรับเมื่อเสียงดังเรียกเป็นครั้งที่สาม

   เสียงถอนหายใจบางเบาล่องลอยในอากาศหลังอังเดรจากไปแล้ว

   “อาร์เลน?” เสียงของเจ้าตัวผ่านเข้ามาในครัวทำให้ซูเล่ยรู้ว่าคนที่เคาะระฆังช่วยชีวิตเขาที่แท้ก็คือน้องชายของอังเดรเอง

   ไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกันเพราะเขาล้างจานเสร็จหลังจากนั้นไม่นานแต่ก็พบว่าอังเดรยังไม่ยอมวางหู และเพราะไม่อยากจะทำให้ตนเองอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงบ่อยนัก ซูเล่ยจึงขึ้นนอนโดยไม่ทู่ซี้นั่งฆ่าเวลาเหมือนเช่นวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา

-------------------------->

   วันรุ่งขึ้น อังเดรออกจากบ้านไปพร้อมกับกล่องแบบสอดขนาดกว้างและแบน ดูคล้ายจะเป็นกล่องใส่รูปติดผนังหรือกล่องใส่อัลบั้ม ด้วยสีสันของมันบ่งบอกว่าเป็นอัลบั้มในวาระสำคัญซึ่งคงจะไม่พ้นงานแต่งงานหรือไม่ก็เป็นอัลบั้มรวมรูปวาระพิเศษของใครสักคนในบ้านหลังนี้

   ซูเล่ยไม่ได้ให้ความสนใจกับของสิ่งนั้นนักเพราะมัวแต่สาละวนกับการทำงานบ้านช่วงเช้าเพื่อให้ทันก่อนเอเดรียนตื่นและพร้อมเล่นสนุกในแบบของเธอโดยที่ไม่รู้เลยว่าของสิ่งนั้นจะกลายเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งซึ่งบ่งชี้ถึงการมีตัวตนของตัวเขาเองในเวลาต่อมา

   เย็นวันนั้น อังเดรนำกล่องในมือไปที่โรงเรียนสอนลีลาศด้วย และเมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว เขาจึงนะไปมอบให้อาร์เลนซึ่งโทรมาขอเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

   “จะเอาไปทำอะไรหรือ?” เขานึกสงสัยและเปิดมันออก ด้านในเป็นภาพในวันหมั้นและวันแต่งงานของเขากับมารีนซึ่งถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อยสวยงาม

   “ผมบังเอิญคิดขึ้นมาได้น่ะ ที่จริงผมก็คิดเรื่องนี้มาสักระยะแล้วแต่ก็ได้แต่ติดอยู่ในใจจนวันก่อนผมลองเอาภาพวันแต่งงานของพี่ออกมาดูเล่น” อาร์เลนว่าพลางเปิดพลิกดูแต่ละภาพไปเรื่อย ๆ “ดูตรงนี้สิ เห็นผู้ชายคนนี้ไหม? ที่พิงเสาอยู่” ปลายนิ้วชี้นำสายตาอังเดรไปยังชายหนุ่มรูปร่างเล็กคนหนึ่งซึ่งพิงเสาด้วยท่าทางสบาย ๆ ในมือถือแก้วซอฟท์ดริงค์ที่หมดไปครึ่งแก้ว แม้ว่าภาพจะเล็กและเจ้าตัวอยู่ไกลจึงมองไม่เห็นหน้า แต่ท่าทางและองค์ประกอบหลายอย่างพาให้อนุมานว่าเป็นคนคนหนึ่งซึ่งพวกเขาต่างรู้จัก

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
«ตอบ #56 เมื่อ14-11-2013 14:19:47 »

   อาร์เลนพลิกเปลี่ยนหน้าอีกครั้งและอีกครั้ง บางรูปจะพบผู้ชายคนเดียวกันนี้แทรกอยู่ไกล ๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวเพียรพยายามที่จะหลบเลี่ยงเลนส์กล้องและอยู่ห่างไกลจากคู่บ่าวสาว เป็นเรื่องที่น่าแปลกเพราะในงานอย่างนี้ไม่ว่าใครก็อยากจะเข้ามาอวยพรและให้มีใบหน้าตนเองติดอยู่บนรูปสักใบแทนการเป็นสักขีพยานว่าได้มาร่วมงานมงคลนี้แล้วครั้งหนึ่งในชีวิต

   ถ้าหากว่าไม่อยากมีส่วนร่วมกับงานอย่างนี้ ทำไมจึงต้องฝืนใจมาร่วมด้วย?

   อังเดรสงสัยเช่นนั้นจนกระทั่งพลิกไปเจอภาพหนึ่งซึ่งคงไม่มีใครรู้ว่าติดภาพคนคนนั้นมาอย่างชัดเจนโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้แต่เขาซึ่งบางทีก็หยิบมาพลิกดูก็ยังไม่สังเกตจนกระทั่งวันนี้

   ระหว่างเจ้าสาวและเจ้าบ่าวที่กำลังหยอกล้อกัน ไม่มีใครอื่นผ่านเข้ามาในเฟรมยกเว้นเพียงชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งเดินผ่านโดยไม่ได้เจตนาจะขัดขวางความสมบูรณ์แบบของภาพ เจ้าตัวกำลังจ้องมองไปทางหนึ่งและก้าวเดินอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพียงแต่เส้นทางที่กำลังก้าวนั้นคือเยื้องมาทางด้านหน้าของเจ้าบ่าวทำให้เห็นใบหน้าค่อนข้างชัดกว่าภาพอื่น ๆ

   ใบหน้าแบบนั้น...ดวงตาเรียวรีบ่งบอกถึงเชื้อชาติ รูปหน้ากลมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนอเมริกัน และรูปร่างค่อนข้างเล็กดูบอบบาง ดูไม่ต่างจากตอนนี้แม้แต่น้อย

   “ซู?”

   “ถ้าไม่มีใครหน้าเหมือน ก็น่าจะใช่แหละครับ” อาร์เลนตอบพลางหันไปค้นของในกระเป๋าตนเองบ้าง ก่อนจะหยิบอัลบั้มรูปเล่มเล็กออกมา “อันนี้พี่ลืมไว้ที่ห้องตอนย้ายออกมาอยู่กับมารีน แล้วผมก็ลืมไปเสียสนิท ตอนที่ผมเจอผมก็รู้สึกเลยว่าซูคงไม่ใช่แค่พี่เลี้ยงที่ถูกเจาะจงส่งมาดูแลเอเดรียนเท่านั้น” ว่าแล้ว อาร์เลนก็เปิดอัลบั้มเล่มเล็กในมือตนเอง เป็นภาพตอนสมัยที่อังเดรและมารีนกำลังทำความรู้จักกันและมักจะไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง ทำให้มีภาพถ่ายให้เก็บอยู่มากมาย

   เช่นเดียวกัน...

   ภาพของซูเล่ยปรากฏอยู่ห่าง ๆ หลายภาพ แม้จะเป็นส่วนน้อยจนไม่น่าจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่น่าจะใช่ความบังเอิญเช่นกัน

   ในภาพงานแต่งคงจะไม่น่าแปลกใจนัก เพราะหากอนุมานว่าซูเล่ยเป็นคนใกล้ชิดของฝั่งมารีนก็เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้รับความไว้วางใจมาคอยจับตาดูเขาไปพร้อม ๆ กับการดูแลเอเดรียน คงจะเป็นคนใกล้ชิดพอสมควร ถ้าไม่ใช่ญาติก็น่าจะมีความสัมพันธ์ลึก ๆ อื่น กระนั้นกลับทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ คล้ายไม่อยากมีส่วนร่วมกับการรวมตัวของครอบครัว ซ้ำมารีนก็ไม่เคยพูดถึงเจ้าตัวให้ฟังเลยสักครั้งแม้กระทั่งการเปรยถึง ทั้งที่พูดถึงญาติพี่น้องหลายคนทุกครั้งที่ดูรูปพวกนี้ด้วยกัน

   แต่ซูเล่ยกลับดูน่าสงสัยมากขึ้นเมื่อปรากฏบนภาพการเดทของพวกเขา

   สถานที่ก็ไม่ได้ซ้ำกัน ทำไมจึงพบคนคนเดิมที่มีความเกี่ยวพันลับ ๆ กับทางครอบครัวของมารีนอยู่หลายต่อหลายครั้ง

   “จะว่าไป พี่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลยไม่ใช่หรือ?”

   นั่นสินะ...

   อาร์เลนทำให้เขาคิดขึ้นมาได้

   ในตอนแรกที่พบกัน ซูเล่ยก็มีเพียงชื่อกับจดหมายแนะนำตัวและคำยืนยันแกมบังคับของพ่อตาเท่านั้น และจนบัดนี้ผ่านมาได้เกือบสามเดือนแล้ว ซูเล่ยก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตนเองเลยสักครั้งเดียว

   เป็นใคร มาจากไหน แม้กระทั่งนามสกุลหรืออายุก็ยังไม่ปรากฏ

   ไม่สิ...เคยมีครั้งหนึ่ง...

   ซูเล่ยเล่านิทานที่แปลกประหลาดให้เอเดรียนฟัง นิทานซึ่งไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเทพนิยายสำหรับเด็กเลยแม้สักน้อย กลับดูคล้ายจะเป็นชีวิตจริงเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นเขาก็ทันฟังเพียงช่วงท้าย ๆ จึงไม่อาจสรุปความได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวหมายถึงใครบ้าง หากจะถามเอเดรียน เด็กหญิงก็อาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเพราะเจ้าตัวไม่เคยมาเล่าต่อให้เขาฟังเลยสักครั้ง

   แต่จะอนุมานว่าเป็นเรื่องจริงของตัวซูเล่ยก็ไม่ได้เสียทีเดียว เพราะมันอาจจะเป็นของคนใกล้ชิดเอามาผสมปนเปกับของตนเองก็มีความเป็นไปได้

   สุดท้ายแล้ว...ซูเล่ยเป็นใครกันแน่นะ?

   “พี่?”

   “หืม?”

   “ผมเห็นเงียบไปก็เลยสงสัยน่ะ หรือว่าผมจะคิดมากเกินไป?”

   อังเดรไม่รู้ว่าอาร์เลนคิดมากเกินไปหรือไม่ เพราะตัวเขาก็ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงใด ๆ เลยแม้แต่ข้อเดียว ถึงจะไปถามพ่อตาก็คงจะไม่ได้คำตอบ หรือควรจะเอารูปของซูเล่ยไปให้บาร์เทนเดอร์ที่บาร์นั้นดูสักครั้ง? ถ้าไม่รู้จักก็แล้วไป เขาจะได้มั่นใจว่าซูเล่ยกับลีไม่ใช่คนคนเดียวกัน

   แต่ถ้าเป็นคนคนเดียวกันล่ะ?

   นั่นแปลว่าชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของพ่อตามาตั้งแต่ก่อนจะได้พบกับมารีนอีกหรือ?

   จู่ ๆ อังเดรก็รู้สึกคล้ายหลอดลมตนเองถูกบางสิ่งบีบรัด งูสีดำมะเมื่อมตัวยาวกำลังขดรัดเข้ามาอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว

   “พ่อตาของพี่นี่คาดเดายากเหมือนเดิม” อาร์เลนเปรยขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าพี่ชายเริ่มดูประหลาดตา แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้น ตัวอาร์เลนก็ไม่ได้มีโอกาสพบกับฝั่งพ่อตาของพี่ชายบ่อยนัก หากพูดจริง ๆ แล้ว พวกเขาก็ได้พบกันและสนทนากันเพียงสองหรือสามครั้ง หนึ่งในนั้นคืองานแต่งงานและเขาก็จำไม่ได้ว่าเป็นสถานการณ์ไหนอีกที่ได้คุยกับคนคนนั้น รู้เพียงแต่...ทุกครั้งที่พบกัน ผู้ชายคนนั้นมักให้ความรู้สึกกดดันประหนึ่งอยู่ต่อหน้ากำแพงสูงใหญ่ที่เงาทอดยาวลงมาบนร่าง และหลายครั้งอาร์เลนก็มักจะสงสัยว่าทำไมคนเข้มงวดแบบนั้นจึงยินยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับพี่ชายของตนได้ง่าย ๆ

   “นั่นสินะ ถามตรง ๆ คงไม่ยอมบอกความจริงแน่ บางทีอาจจะกลายเป็นว่าพวกเราคิดมากเกินไปเสียเอง” อังเดรกล่าวโดยที่อดคิดในใจไม่ได้ว่าตนเองอาจจะคิดมากเกินไปจริง ๆ ก็ได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นแม้แต่อย่างเดียว ซูเล่ยก็ทำหน้าที่เพียงดูแลเอเดรียน แทบจะไม่ได้ก้าวก่ายชีวิตของเขาเลย หากว่าหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ...เขาคงจะต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง

--------------------------->

   ในขณะที่อังเดรมีข้อสงสัยมากมายในเรื่องของซูเล่ย ตัวซูเล่ยก็กำลังพบกับปัญหาที่แก้ไม่ตกและหาตำคอบไม่ได้เช่นกัน

   เพราะวันนี้ รถคันนั้นก็มาอีกแล้ว...ปรากฏตัวอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามในช่วงเย็น จอดนิ่ง และไม่มีใครลงมา เพียงแต่จอดอยู่ที่นั่นโดยที่มีคนขับนั่งอยู่ข้างใน

   “เกี่ยวกับที่นี่หรือเปล่านะ?” ซูเล่ยเปรยพร้อมมุ่นคิ้วขณะที่มองออกไปทางหน้าต่าง

   “ซูจะตัดหญ้าเหรอ?” เพราะเมื่อวานนี้ซูเล่ยมองอย่างนี้และพูดถึงเรื่องต้นหญ้าในสนาม เอเดรียนจึงมองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้ตัวซูเล่ยคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองเอ่ยอ้างออกไปลอย ๆ กระนั้นเมื่อมองหญ้าในสนามมันก็ควรจะตัดได้แล้วจริง ๆ แต่เมื่อคิดดูแล้ว...เรื่องนี้น่าจะใช้เป็นข้ออ้างได้ด้วยสินะ...เพื่อที่จะออกไปมองให้ชัด ๆ

   “เอเดรียนเป็นเด็กดีรออยู่ในบ้านระหว่างที่พี่ออกไปจัดการหญ้าข้างหน้าบ้านได้ไหม?”

   “อื้อ แต่ว่าต้องไปยืมข้าง ๆ บ้านนะ” เอเดรียนรู้ว่าบ้านตัวเองไม่มีเครื่องตัดหญ้า ทุกครั้งที่พ่อจะตัดหฯในสนามก็มักจะไปขอยืมเพื่อนบ้านตลอด ซึ่งอีกฝ่ายก็ใจดีไม่ใช่น้อย ยินยอมให้หยิบยืมหลายต่อหลายอย่างเพราะบ้านข้าง ๆ มีบริเวณค่อนข้างกว้างทำให้ต้องมีของใช้หลายอย่างที่จำเป็นเก็บไว้

   ซูเล่ยจัดแจงให้เอเดรียนนั่งเล่นในห้องและเปิดเพลงคลอให้ด้วย ก่อนรีบเดินออกไปหยิบยืมเครื่องตัดหญ้าจากเพื่อนบ้าน ซึ่งเมื่อเขาไปถึง ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของบ้านดูจะแปลกใจอยู่นิดหน่อยเพราะยังไม่คุ้นหน้า แต่เมื่อแนะนำว่าเป็นพี่เลี้ยงของเอเดรียน เจ้าตัวก็ยิ้มกว้างแล้วพาไปเอาเครื่องตัดหญ้าจากสนามหลังบ้านทันที ซึ่งระหว่างนั้น ซูเล่ยก็เหลือบมองรถที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไปด้วย

   และมันช่างน่าขนลุกเป็นที่สุด...เมื่อเขารู้สึกว่าคนในรถหันมองตามเขาจนกระทั่งลับตา

   ชั่วแวบหนึ่งที่ซูเล่ยรู้สึกประหนึ่งว่าตนเองกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในฉากเริ่มของซีรียส์สืบสวนสอบสวนแบบที่ชาวอเมริกันนิยมชมชอบ

   แม้จนกระทั่งขณะตัดหญ้า สายตาก็ยังทิ่มแทงอยู่บนร่างของเขา มันเป็นการอุปทานหรือเป็นความจริง เขาก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด รู้เพียงแต่ว่า...รถคันนั้นจอดนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดช่วงเย็นจนกระทั่งถึงช่วงค่ำ แม้เวลาที่เขากลับเข้ามาทำครัวมันก็ยังอยู่ตรงนั้นโดยมีเงาคนขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่หลังบานหน้าต่างที่ติดฟิล์มกรองแสงที่แม้จะไม่ได้ถึงกับมืดทึบแต่ก็มากพอจะทำให้คนภายนอกมองเห็นได้แค่เพียงราง ๆ

   ถึงจะเป็นเวลาเพียงสองวันที่ได้พบเห็นการถูกติดตาม แต่ก็ทำให้ใจซูเล่ยไม่สงบเอาเสียเลย เมื่อกอปรกับงานที่ถูกมอบหมายให้จับตาดูเรื่องรอบ ๆ ตัวอังเดรอย่าให้คลาดแม้สักเรื่องเดียว ทำให้เขาตื่นตัวกับเรื่องผิดแปลกได้ง่ายกว่าปกติหลายเท่า

   เสียงเปิดประตูหน้าบ้านในตอนค่ำ ทำให้ชายหนุ่มผู้หวาดระแวงมาตลอดทั้งเย็นสะดุ้งเฮือกจนเผลอทำจานหลุดมือตกแตกกระจาย โชคยังดีที่เป็นแค่จานเปล่าแต่ก็ทำให้ทั้งเอเดรียนและอังเดรต่างตกอกตกใจเพราะเสียงที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น

   “เกิดอะไรขึ้น?” เสียงที่ดังไปถึงประตูบ้านทำให้อังเดรต้องรีบเข้ามาดูในครัวและเห็นซูเล่ยกำลังก้มลงเก็บเศษแก้วด้วยสีหน้าหงุดหงิดใจ

   “อย่าเพิ่งเดินเข้ามาสิครับ ไม่เห็นหรือยังไงว่าเศษแก้วเกลื่อนพื้นขนาดนี้” ซูเล่ยรีบยกมือขึ้นห้ามเมื่อเงยขึ้นไปเห็นคนทั้งสองกำลังจะเดินเข้ามา อังเดรจึงเพิ่งนึกได้และดันเอเดรียนไปด้านหลังพร้อมบอกให้เด็กหญิงไปรอในห้องนั่งเล่นส่วนตนก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาช่วยเก็บ

   “ไม่อะไรไป ปกติไม่เคยพลาดแบบนี้นี่?”

   คำพูดของอังเดรพาให้ซูเล่ยต้องเหลือบตาขึ้นมองและคิดไม่ตกว่าควรจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายหรือไม่ ถึงอย่างนั้นบางส่วนในใจก็กระซิบว่าตนเองอาจจะคิดมากไปเอง หรือไม่...อังเดรก็อาจคิดเช่นนั้น และเขาก็ไม่อยากจะดูเป็นตัวตลกที่ตื่นตระหนกง่ายในสายตาใคร

   “ผมก็ต้องมีผิดมีพลาดบ้างสิ ใครจะไปสมบูรณ์แบบได้ทุกเวลา” ซูเล่ยตัดสินใจที่จะเงียบไว้และดูสถานการณ์ต่อไป บางที...เขาอาจจะหาทางจัดการมันได้ หรือไม่มันก็คงจะหายไปเอง อย่างไรก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเขา บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับอังเดรเสียมากกว่า

   แต่ตัวซูเล่ยเองก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าอังเดรไปทำอะไรให้ใครอยากตามจับตาอีกนอกเสียจากพ่อตาตัวเอง
   ระหว่างที่คิดไป เขาก็หันไปหยิบผ้ามารองเศษแก้วเพราะหากระดาษแถวนั้นไม่ได้

   “เดี๋ยวก่อน” อังเดรว่าก่อนเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นและหยิบกระดาษเปล่ามาแผ่นหนึ่ง “รองนี่ดีกว่า เดี๋ยวมันติดผ้าแล้วจะบาดเอา”

   “...อืม...” ถูกเป็นห่วงเอาแบบนี้ซูเล่ยถึงกับวางตัวไม่ถูกเลยทีเดียว คงเพราะชีวิตในช่วงหลังของเขาไม่ค่อยจะมีช่วงเวลาที่ถูกห่วงใยเท่าไหร่กระมัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...จากอังเดรยิ่งยากจะเป็นไปได้

   หลังกอบเอาเศษแก้วใส่แผ่นกระดาษหมดแล้ว อังเดรก็ใส่ถุงแยกแล้วค่อยทิ้งลงถังขยะเพื่อป้องกันไม่ให้เศษแก้วตกกระจายหลังจากเก็บทิ้งแล้ว

   “จะว่าไป...รถที่จอดฝั่งตรงข้ามนั่นของใครกันนะ?” จู่ ๆ อังเดรก็ถามเปรยขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ซูเล่ยจึงมองออกไปข้างนอกและพบว่ามันกำลังเคลื่อนตัวออกไปราวกับรู้ว่าพวกเขารู้ตัวแล้วอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งมันทำให้ซูเล่ยขนลุกยิ่งกว่าเดิม

   “...ไม่รู้สิครับ ของเพื่อนบ้านหรือเปล่า?” เจ้าตัวลองตะล่อมถาม

   “ไม่แน่ใจเหมือนกัน คิดว่าไม่เคยเห็นนะ แต่ถ้ามีคนถอยรถใหม่ก็อาจจะใช่” ดูเหมือนอังเดรจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเมื่อวานนี้ก็ไม่ทันจะได้สังเกตการณ์ปรากฏตัวของรถเจ้าปัญหา

   สุดท้ายจึงมีเพียงซูเล่ยที่ดูปริวิตกไปเองอยู่คนเดียว เจ้าตัวจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

   “แต่...ฉันมีเรื่องจะถามเธอหน่อย”

   “...อะไรหรือครับ?” แต่แล้ว สิ่งที่น่าปริวิตกมากกว่ากลับมายืนอยู่ตรงหน้าโดยคนใกล้ตัว

   อังเดรเงียบไปสักครู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิดว่าจะลำดับคำถามใดขึ้นมาก่อน

   “เธอ...รู้จักกันกับมารีนดีหรือเปล่า?”

   “ก็ไม่เชิง ที่จริงแล้วพวกเราแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย ดังนั้นถ้าคุณอยากจะรำลึกความหลังผ่านทางผมเห็นจะเลือกผิดคน” ซูเล่ยกลอกตาและโบกมือด้วยสีหน้าหน่ายใจ ความจริงแล้ว...เขาคงจะผิดหวังอยู่เล็กน้อยที่แม้กระทั่งตอนนี้ อังเดรก็ยังคงพยายามที่จะระลึกถึงคู่ชีวิตซึ่งได้อยู่ร่วมกันเพียงสี่ปีของชีวิต เมื่อรวมกับช่วงที่ทำความรู้จักกันก็จะเป็นห้าปีขาดเกินนิดหน่อย พอนับอย่างนี้แล้ว...มันก็สมควรอยู่ที่อังเดรจะยังอยากพูดถึงมารีนแม้เธอจะจากไปโดยไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว

   แต่มารีนในความทรงจำของซูเล่ยไม่คล้ายมารีนในความทรงจำของอังเดรนัก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเองไม่พูดถึงอีกฝ่ายเสียจะดีกว่า

   “งั้นหรือ? แล้วมีความสัมพันธ์กันแบบไหนล่ะ?”

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วนึกสงสัยความหมายของคำถาม

   “เรียกว่าไม่มีน่าจะถูกกว่า” ถึงจะไม่ใช่คำตอบที่ตรงกับความจริง แต่ก็ไม่ห่างจากความจริงมากนัก และซูเล่ยก็คิดว่ามันเหมาะสมกับสถานการณ์นี้ดีแล้ว “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอพาเอเดรียนขึ้นนอนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์อังเดร” เพราะไม่อยากถูกถามซักไซ้อะไรอีก ในที่สุดจึงปลีกตัวโดยใช้เอเดรียนเป็นข้ออ้าง ทำให้เขาอยู่รอดปลอดภัยได้ในคืนนี้ ทว่า...วันต่อ ๆ ไปล่ะ?

TBC

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
«ตอบ #57 เมื่อ14-11-2013 18:07:29 »

มีถึงเนื้อถึงตัวกันนิดส์หน่อยแล้วก็วกเข้าบรรยากาศอึมครึม
แต่ซูเองก็ความลับเยอะจริงๆอะ
ทำไมลางสังหรณ์บอกว่ามารีนไม่ใช่คนดีเท่าไหร่

โหปมเยอะมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ^^

ออฟไลน์ minminmin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
«ตอบ #58 เมื่อ14-11-2013 18:30:32 »

ติดตามอ่านค่ะ

สงสารซูจังเลย พ่อตาก็คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ แล้วใครกันที่ตามมาแอบดูซู อยากรู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ :katai1:

ขอร้องล่ะ อย่าดราม่าเลยนะ  :ling2:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
«ตอบ #59 เมื่อ14-11-2013 21:29:55 »

ครึครึ
เขาเริ่มจะอะไรๆกันบ้างแล้วสินะ
ว่าแต่ไอรถเจ้าปัยหานั้นเป็นครกันน่ะ
ขอบคุณพี่เซียร์ที่มาต่อนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด