Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]  (อ่าน 178798 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
« เมื่อ15-10-2013 17:49:47 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

**************************************************



สารบัญ

ตอนที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 END, Extra
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2014 14:20:31 โดย ZIar »

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Rhythm of Lust : กลเกมสเน่หา


-1-


   ภายใต้บรรยากาศสีดำและเทา แว่วเสียงเพลงภาวนาอันแสนวังเวงใจและโศกเศร้า เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มเบื้องหน้าซึ่งกำลังทอดสายตาไปยังโลงศพสีขาวที่เคลื่อนตัวลับหายไปในหลุมลึก ดวงตาสีอ่อนของชายหนุ่มฉายความอาลัยอย่างไม่ปิดบัง เพราะร่างที่ทอดกายในโลงสีขาวนั้นคือหญิงสาวซึ่งเคยผูกพันกันด้วยคำสาบานว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทว่าบัดนี้ผู้ให้คำสาบานนั้นได้จากไปอย่างไม่หวนกลับ นั่นคงทำให้เจ้าตัวรู้สึกราวกับว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตและวิญญาณถูกฉีกกระชากหายไปกลายเป็นหลุมดำอันว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงโซ่ทองคล้องใจเส้นหนึ่ง คือเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของความตายได้แต่กอดคอพ่อและมองไปรอบข้างด้วยสายตาสงสัยระคนซุกซนตามวัย

   เด็กหญิงคนนั้นมองมาทางเขาก่อนจะเลยผ่านไปเพราะใบหน้าไม่ได้คุ้นเคยในความทรงจำ เธอไม่ได้แสดงความโศกเศร้า ทุกข์ระทม หรือห่วงหาอาลัย นั่นเพราะเด็กวัยเพียงแค่นี้ยังไม่อาจเข้าใจได้ถึงการจากที่ชื่อว่าความตาย รวมถึงไม่เข้าใจต้นเหตุความเศร้าของพ่อและคนรอบตัว

   และจนกระทั่งเสร็จพิธี แขกเหรื่อพากันแยกย้ายกลับบ้านแต่ก็ไม่ลิมที่จะไปทักทายแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ส่วนตัวเขาก็ยังคงยืนอยู่ในมุมหนึ่งโดยที่ไม่มีใครสนใจจะสังเกต แม้กระทั่งผู้ชายคนนั้นที่จูงลูกสาวไปส่งแขกที่ต่างก็จากไป ทิ้งบรรยากาศเงียบสงัดของสุสานไว้เบื้องหลัง

   ชายหนุ่มร่างเล็กรอจนกระทั่งแขกกระจายตัวไปหมดแล้วจึงเดินทอดจังหวะเท้าช้า ๆ ไปยังหลุมซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ เขาถอนหายใจพร้อมปรากฏไอสีขาวบางเบาลอยฟุ้งไปในอากาศ และโดยไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเพียงทิ้งดอกไม้ลงไปในหลุมและเดินจากมา ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานยืนรออยู่ไม่ไกล เขายิ้มให้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปน ทั้งประหม่าและแสดงความเสียใจ

   ชายวัยกลางคนทอดสายตากลับมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมก่อนจะพยักพเยิดให้อีกฝ่ายตามขึ้นรถ ทั้งสองทอดสายตามองกลับไปด้านหลังเป็นครั้งสุดท้ายและบอกลาผู้ที่หลับใหลไปตลอดกาลอย่างเงียบงัน

   พิธีล่ำลาอาลัยแสนเรียบง่ายผ่านพ้นไป เหลือไว้เพียงความทรงจำอันสวยงามยามเมื่อคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่และสร้างความสุขให้แก่ผู้คนรอบตัว

   ชายหนุ่มร่างเล็กยังคงทอดสายตาออกไปเบื้องนอกหน้าต่างซึ่งติดฟิล์มหนา อากาศภายในรถยนต์ยี่ห้อหรูค่อนข้างอุ่นเมื่อเทียบกับภายนอก แต่สำหรับตัวเขาที่เพิ่งกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นอากาศภายในรถยนต์คันนี้หรือข้างนอกนั้นก็พาให้หนาวเหน็บจนต้องกระชับเสื้อสูทเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตนเอง ความเงียบยังคงดำเนินไปอย่างน่าอึดอัด...

   “ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะเรียกผมกลับมาเพียงเพื่อร่วมพิธีศพของเธอ” เขาจำต้องเป็นคนเปิดบทสนทนาเพราะไม่อยากจะทรมาณตัวเองด้วยความเงียบอีกต่อไป

   “ไม่พอใจงั้นหรือ?”

   “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิรู้สึกแบบนั้นหรอก อีกอย่าง คุณเองก็ตอบแทนไว้ดีไม่น้อย ดังนั้นที่เรียกผมมาในตอนนี้ก็คงมีอะไรให้ทำอีกสินะครับ?”

   สายตาเยียบเย็นของชายวัยกลางคนเหลือบกลับมามองคนข้างตัวโดยไม่ฉายความรู้สึกใดแม้จะรู้ว่าตนเองกำลังถูกประชดประชัน

   “ฉันไม่ไว้ใจ”

   “ครับ ผมก็คิดว่าคุณคงจะรู้สึกแบบนั้น” ชายหนุ่มร่างเล็กกรอกตาก่อนปัดผมหน้าที่ปรกลงมาเพราะเจลที่ทาไว้ลวก ๆ เริ่มอ่อนตัว

   “ถ้าอย่างนั้นคงรู้สินะว่าฉันคิดจะทำอะไร”

   ดวงตาสีดำในกรอบตาเรียวรีกลอกไปสบกับคู่สนทนาก่อนถอนหายใจน้อย ๆ

   “ทำไมคุณถึงไม่ปล่อยพวกเขาไป ถึงเด็กคนนั้นจะเป็นหลานของคุณแต่ก็เป็นลูกของเขาเหมือนกัน เขาน่าจะมีสิทธิเลือกว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเธอ”

   “ฉันตัดสินใจไปแล้ว” ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดนี้ ก็เป็นที่รู้กันว่าคำค้านใด ๆ ก็ไม่มีผล ผู้ฟังจึงเสสายตาออกไปข้างนอกเช่นเดิมและคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ

   เรื่องที่เขา...สมควรจะลืมมันไปเสียที...

-------------------------->

   บรรยากาศของพิธีอำลาผู้จากไปไม่ได้อบอวลแต่เพียงในสุสาน แต่ได้ลุกลามมาถึงภายในรถยนต์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวกลับบ้านที่ไม่เหมือนเดิมนับแต่เธอคนนั้นจากไป

   “มามี้?” เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสองปีมองพ่อของตนด้วยดวงตากลมโตเป็นประกายเหมือนผู้เป็นแม่อย่างไม่ผิดเพี้ยนพร้อมส่งคำถามสั้น ๆ ตามแบบของเด็กที่ยังพูดไม่คล่องปากนัก แน่นอนว่าเด็กหญิงยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับเธอแล้ว การที่แม่ไม่อยู่นั้นหมายถึงว่าในอีกไม่กี่นาทีแม่จะต้องปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนทุก ๆ วัน ด้วยเหตุนั้นในวันแรก ๆ ของการสูญเสีย เธอจึงถามพ่อของตนแทบทุกชั่วโมงว่าแม่อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่จะกลับมา และเมื่อไม่ได้เห็นแม่เธอก็จะร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนกระทั่งหลับ เป็นอยู่อย่างนั้นทั้งวันและคืน จนถึงวันนี้ที่ร่างของผู้เป็นแม่กลับสู่ผืนดินและวิญญาณล่องลอยสู่อ้อมหัตถ์พระผู้เป็นเจ้า เด็กหญิงก็ยังคงถามถึงแม่ของตนอยู่เสมอเมื่อรู้สึกขึ้นมาว่าใครบางคนข้างตัวได้หายไปเพียงแต่ไม่ค่อยจะร้องไห้แล้วเท่านั้น

   กระนั้นทุกครั้งที่ถูกถาม ชายหนุ่มร่างสูงก็อดกระอักกระอ่วนไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ลูกของตนรับรู้ว่าแม่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว

   “มามี้เขาไปพักผ่อนแล้ว เอเดรียน ตอนนี้ลูกต้องอยู่กับแดดดี้สองคนแล้วนะ” ชายหนุ่มลูบมือไปบนเรือนผมสีน้ำตาลพลางถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองกับมารีนจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสั้นถึงเพียงนี้  5 ปีสำหรับความรักอันแสนหวานและความสุขประหนึ่งว่าชีวิตนี้ได้พบที่พักพิงใจในที่สุด ทว่าชีวิตของคนเรานั้นไม่แน่นอน เพียงข้ามวันทุกอย่างก็พังทลายไปอย่างง่ายดาย

   เด็กหญิงไม่ได้ถามอะไรอีกและไม่ได้ร้องไห้งอแงเพราะถูกทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถดึงดูดความสนใจไปจนหมดสิ้น ทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกสบายใจขึ้นแม้เขาจะต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อทำความคุ้นชินกับช่วงเวลาที่จะไม่มีรอยยิ้มสดใสคอยต้อนรับเมื่อยามกลับถึงบ้านอีกแล้ว เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าความเหงาของเขาก็คือเขาจะต้องเลี้ยงลูกสาวไปพร้อม ๆ กับการทำงานซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าเอเดรียนจะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไรเมื่อขาดแม่พิมพ์ของชีวิต

   และแม้เขาจะอยากให้ลูกสาวเติบโตขึ้นอย่างมีความสุขได้โดยไม่มีแม่มากสักเท่าใด เขาก็ไม่อยากจะให้เธอลืมเลือนว่าครั้งหนึ่งเคยมีมืออันอ่อนโยนของหญิงสาวคอยอุ้มชูดูแลชีวิตเล็ก ๆ นี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตและลมหายใจ

   ไม่อยากให้ความรักพิสุทธิ์เลอค่านั้นเลือนรางจางหายไปเหมือนหมอกควัน เมื่อเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นก็อยากจะให้จดจำได้ถึงอ้อมแขนคู่นั้นที่แม้จะบอบบางแต่ก็อบอุ่นเหนือสิ่งใด

-------------------->

   หลายวันหลังจากนั้น พ่อหม้ายมือใหม่ก็ต้องสาละวนกับการสัมภาษณ์พี่เลี้ยงมากหน้าหลายตาซึ่งจะมาทำหน้าที่เลี้ยงดูเอเดรียนในช่วงที่ตนไม่อยู่ ผู้หญิงหลายต่อหลายคนถูกสำนักงานจัดหางานส่งมาอย่างไม่ขาดสาย พวกเธอมีทั้งคนมีอายุและเด็กวัยรุ่น มีประสบการณ์ ไร้สบการณ์ ความแตกต่างมากมายที่พร้อมจะกลายเป็นแม่แบบสำหรับตัวตนของเอเดรียนในอนาคตทำให้เขาต้องคัดกรองอย่างเข้มงวดแต่ก็ยังไม่มีใครต้องตา นั่นคงเพราะใจจริงของเขากำลังมองหาคนที่เหมือนมารีนที่สุดก็เป็นได้

   ระหว่างที่ยังตัดสินใจเรื่องพี่เลี้ยงไม่ได้ เขาก็ต้องหอบหิ้วเอเดรียนไปที่ทำงานด้วยซึ่งไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเด็กปฐมวัยเอาเสียเลย

   แต่แล้วหลายวันต่อมา...เขาก็ได้รับของขวัญที่ไม่คาดฝัน

   ชายหนุ่มร่างเล็ก ใบหน้ามีเค้าโครงแบบคนเอเชียกำลังยืนมองประตูบ้านของเขาด้วยสายตากังขาก่อนจะกดออดซึ่งเจ้าตัวคงจะกดมาหลายครั้งแล้วจึงได้มีสีหน้าเช่นนี้ ตัวเขาที่เพิ่งจะกลับจากการทำงานพร้อมกับเอเดรียนเดินเข้าไปหาผู้มาเยือนก่อนจะเอ่ยถาม

   “ขอโทษครับ คุณมาพบผมหรือเปล่า?”

   ดวงตาเรียวสีดำเงยขึ้นสบกับเจ้าของคำถาม

   “คุณ...อังเดร แอชฟอร์ด?”

   “ใช่ นั่นชื่อผม ไม่ทราบว่าคุณคือ?”

   “คุณเรียกผมว่าชูเลย์ก็ได้” ชายหนุ่มลูกครึ่งเอเชียไหวไหล่ก่อนจะยื่นเอกสารสำคัญให้พร้อมจดหมายแนะนำ เมื่ออังเดรเปิดออกอ่านก็พบว่าเป็นจดหมายจากพ่อตาของตนเองซึ่งกำชับให้รับชายหนุ่มคนนี้เป็นพี่เลี้ยงโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลชัดเจน ถึงอย่างนั้นอังเดรก็รู้สึกอยู่กลาย ๆ ว่าคนคนนี้มีใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาชอบกล เพียงแต่ชื่อไม่คุ้นหูจึงคิดว่าอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้

   “ชื่อแปลกดี” เขาว่าก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะขำขันจากว่าที่พี่เลี้ยง

   “ที่จริงแล้วชื่อผมเป็นภาษาจีน ออกเสียงว่า ซูเล่ย น่ะครับ” เจ้าของชื่อออกเสียงให้ฟังเป็นภาษาจีนที่สำหรับคนอเมริกันแล้วมันช่างทรมาณทรกรรมลิ้นเสียเหลือเกิน เมื่อซูเล่ยเห็นสีหน้าปุเลี่ยนจากอีกฝ่ายก็หัวเราะอีกคำรบ “เอาเถอะ ผมชินกับสีหน้าแบบนั้นแล้ว ทีนี้กรุณาเปิดประตูบ้านให้ผมเข้าไปสำรวจบ้านใหม่หน่อยสิ”

   “เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่ได้บอกว่าจะรับคุณเลยนะ แล้วคิดจะมากินอยู่ที่นี่จะมากเกินไปหรือเปล่า?” อังเดรมุ่นคิ้วด้วยท่าทางจริงจัง แม้จะเป็นข้อเสนอจากพ่อตา แต่ผู้ชายที่ดูไม่มีมารยาทแบบนี้จะสอนลูกสาวเขาได้จริง ๆ หรือ? ซ้ำเป็นใครมาจากไหนก็ไม่มีบอก จะเชื่อถือได้ยังไงกัน

   “มันก็ไม่ได้แปลว่าคุณมีสิทธิปฏิเสธ เพราะถ้าคุณไม่ยอมรับเขาก็จะเอาตัวเอเดรียนไป ถ้าถึงชั้นศาลคิดว่าจะสู้เขาได้จริง ๆ หรือ?”

   ชายหนุ่มร่างสูงอึกอัก พ่อตาของเขาเป็นคนที่มีฐานะและชื่อเสียงอยู่พอตัว เมื่อเทียบกับเขาที่ต้องทำงานทุกวันและไม่ได้ฐานะดีเด่อะไรย่อมไม่อาจต่อกรได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น เอเดรียนก็เป็นของสำคัญเพียงชิ้นเดียวที่มารีนเหลือเอาไว้ให้ เขาย่อมไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ใครเอาตัวไปอย่างเต็มใจ ตอนนี้...คงจะต้องยอมไปก่อนกระมัง แล้วหลังจากนี้ค่อยคิดหาทางกันอีกที เมื่อเขาได้พี่เลี้ยงที่เหมาะสม พ่อตาของเขาก็อาจจะยอมอ่อนข้อให้บ้าง แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้เขาเลยก็ตาม

   อังเดรเดินเข้าไปเปิดประตูบ้านในขณะที่เอเดรียนยืนสบตากับผู้มาเยือนด้วยคำถามที่ฉายในดวงตากลมโต กระนั้นเด็กหญิงขี้อายก็ไม่กล้ามองนานนัก เมื่อซูเล่ยมองกลับเจ้าตัวก็รีบวิ่งไปเกาะขากางเกงพ่อและแอบมองมาอย่างไม่ไว้ใจ

   “บนชั้นสองมีห้องนอนว่าง ที่จริงมันกลายเป็นห้องเก็บของมาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าจะอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ไปจัดเอาแล้วกัน”

   อาจเพราะไม่ได้เต็มใจต้อนรับแต่แรก การแสดงออกของอังเดรที่มีต่อผู้มาเยือนจึงเต็มไปด้วยความเย็นชาและคล้ายจะขับไล่ไสส่งอยู่กลาย ๆ กระนั้นซูเล่ยเองก็มีเหตุผลที่กลับไม่ได้เช่นกัน เขาโคลงศีรษะอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนพาตนเองตามหลังเจ้าของบ้านขึ้นไปดูห้องนอนซึ่งเวลานี้ดูแทบไม่ออกแล้วว่าเคยใช้ให้คนนอนมาก่อน เพราะมันเต็มไปด้วยข้าวของที่สมควรจะโยนทิ้งหรือขายเลหลังจนมองไม่เห็นเตียงเล็ก ๆ ที่แอบอยู่อีกฝั่ง

   “พวกนี้ทิ้งได้หมดหรือเปล่า?”

   “ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านมองไปรอบ ๆ แล้วไม่คิดว่าจะมีของสำคัญ แต่แล้วเอเดรียนกลับวิ่งเข้าไปในห้องและกอดตุ๊กตาตัวหนึ่งแน่น

   “เอเดรียนเอาน้องต่าย”

   “แต่ว่ามันสกปรกแล้วก็ขาดหมดแล้วนะเอเดรียน” อังเดรถอนหายใจแล้วย่อตัวลงเพื่อขอตุ๊กตาพัง ๆ คืนจากเด็กหญิงตัวน้อย เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าเอเดรียนชอบมันมากแค่ไหน ตอนที่มันขาดและบอกจะเอาไปทิ้ง เอเดรียนร้องไห้งอแงจนมารีนใจอ่อนบอกว่าให้น้องกระต่ายไปพักก่อนแล้วก็โยนมันไว้ในห้องว่างจนถึงบัดนี้ พอมาเห็นอีกครั้งทำให้เด็กหญิงจำได้ว่าตนเองเคยมีของรักชิ้นนี้อยู่ ทำให้ยิ่งกอดแน่นไม่ยอมปล่อย

   “เอเดรียนจะเอาน้องต่าย” เด็กหญิงร้องเบะปากทำท่าจะร้องไห้เมื่อพ่อไม่ยอมให้พาไปด้วย อังเดรไม่รู้จะทำอย่างไรก็คิดว่าคงต้องปล่อยให้กอดไปสักพักคงจะยอมปล่อยเอง แต่ซูเล่ยกลับเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปจับหูยาว ๆ ที่ห้อยแกว่งอยู่ข้างตัวตุ๊กตา

   “เอเดรียนจะปล่อยให้คุณกระต่ายบาดเจ็บแบบนี้หรือ? ให้พี่เอาคุณกระต่ายไปรักษาแล้วก็อาบน้ำสักหน่อยดีกว่าไหม?” คำพูดของชายแปลกหน้าทำให้เด็กหญิงลังเล แต่เมื่อหันไปมองพ่อที่อาจจะแอบเอาไปทิ้ง เอเดรียนจึงปาดน้ำตาแล้วส่งตุ๊กตากระต่ายให้ซูเล่ยแต่โดยดี

   ชายหนุ่มรับกระต่ายก่อนส่งสายตาให้อังเดรคล้ายกำลังอวดฝีมือตนเองทำให้คนมองยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้ามากกว่าเดิม

   “ตอนนี้พวกคุณช่วยออกไปได้แล้ว ผมจะได้จัดการห้องรก ๆ นี่เสียที ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมจะไปนอนเบียดบนเตียงคุณแทน”

   อังเดรได้ยินก็ขึงสายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ คนไม่รู้กาลเทศะแบบนี้ทำไมพ่อตาของเขาถึงได้ส่งมากันนะ? มันน่าสงสัยจริง ๆ

   คืนนั้นหลังส่งเอเดรียนเข้านอน ชายหนุ่มก็โทรไปหาพ่อตาซึ่งไม่ถูกกับตนนักเพื่อสอบถามเรื่องนี้ ตอนที่ได้ยินคำทักทายสั้น ๆ จากปลายสาย เขาก็รู้สึกหงุดหงิดในใจขึ้นมาทันที

   “ไม่ได้คุยกันเสียนานนะครับคุณพ่อ”

   “พูดแบบนี้จะโทษว่าฉันไม่ค่อยได้โทรไปคารวะลูกเขยหรือยังไง”

   เพราะชอบประชดประชันแบบนี้นี่แหละถึงได้ไม่อยากคุย...

   “เปล่าครับ เป็นผมเองที่ไม่ค่อยมีเวลาโทรไปหา เพียงแต่วันนี้ผมมีเรื่องจะมาถามก็เลยโทรมาเสียดึก หวังว่าจะไม่รบกวนจนเกินไป”

   “ในเมื่อรู้ว่ารบกวนก็รีบ ๆ พูดให้จบ แต่ถ้าเป็นเรื่องซูเล่ยล่ะก็ ฉันคิดว่าฉันเขียนในจดหมายไปชัดเจนดีแล้ว หรือว่ามีอะไรไม่เข้าใจอีก?” ชายวัยกลางคนกระหวัดหางเสียงอย่างเฉียบขาดเสมือนกำลังบอกเป็นนัยว่าอย่างไรอังเดรก็ต้องทำตามที่ตนเองต้องการและห้ามมีข้อสงสัย ด้วยนิสัยเผด็จการแบบนี้เองที่ทำให้อังเดรไม่ชอบพ่อตาของตนเองเอาเสียเลย เป็นโชคดีที่มารีนไม่ได้นิสัยเช่นนี้ติดตัวมาด้วย

   “ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่มีคำถามแล้ว...”

   “แต่ฉันมี”

   เมื่ออังเดรจะวางสาย อีกฝั่งกลับชวนพูดต่อเสียอย่างนั้น

   “สมบัติส่วนตัวของมารีนอยู่ในชื่อของเอเดรียนทั้งหมด แกคงได้ยินจากทนายแล้ว แต่ยังไงแกก็เป็นผู้ดูแลโดยชอบธรรม ฉันหวังว่าแกจะเห็นแก่มารีนและเอเดรียน...” หลังจากฟังอยู่สักพักอังเดรจึงได้เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของพ่อตา ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูก

   “คุณพ่อคิดว่าผมจะเอาสมบัติลูกเมียมาผลาญเล่น หรือเอาไปปรนเปรอผู้หญิงหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผมจะดูแลอย่างดีไม่ให้ตกหายไปสักสตางค์แดงเดียว ถ้าคุณพ่อไม่มั่นใจ จะเอาบัญชีไปดูแลเองก็ได้เพราะผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างเอาเงินทองไปใช้สอยอยู่แล้ว”

   “หึ งั้นก็ดี” อีกฝ่ายเมื่อเห็นลูกเขยแข็งข้อก็ทำเสียงขึ้นจมูก “อย่าให้ดีเฉพาะตอนมารีนยังอยู่ก็แล้วกัน”

   ทั้งสองต่างวางสายใส่กันด้วยความขุ่นใจ สนทนากันทีไรก็จบลงแบบนี้ทุกทีถึงได้หลีกเลี่ยงการพบหน้ากันแม้กระทั่งในวันฝังศพมารีน แต่ในที่สุดอังเดรก็เข้าใจว่าทำไมพ่อตาจึงได้ส่งซูเล่ยมาที่บ้าน จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อหาคนที่เหมาะสมมาดูแลเอเดรียน แต่เพื่อจับตาดูเขาไม่ให้นอกลู่ทางต่างหาก ความจริงที่ได้พบทำให้ชายหนุ่มยิ่งไม่ชอบใจการมาของซูเล่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ

   “พวกของเล็ก ๆ ผมเอาใส่ถุงดำหมดแล้ว ส่วนของใหญ่ผมกองไว้มุมห้องก่อนเพราะหลายชิ้นดูจะยังใช้ได้” ซูเล่ยถือถุงดำใส่ขยะชิ้นเล็กเดินลงมาขากชั้นสอง และได้เห็นอังเดรปั้นสีหน้าขุ่นเคืองใจอยู่หน้าโทรศัพท์ก็พอจะเดาได้ราง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงชะงักคำพูดไว้แค่นั้นและเดินเลี้ยวไปทางประตูบ้านเพื่อนำขยะไปทิ้ง แต่แล้วกลับได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังจึงหันกลับไปมอง

   “เครื่องดูดฝุ่นอยู่ในห้องใต้บันได ใช้เสร็จแล้วก็เก็บเข้าที่ด้วยแล้วกัน” อังเดรพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเดินไปทางบันไดเพื่อพักผ่อนเสียที ทว่าหูกลับแว่วเสียงเปรยเบา ๆ ตามหลังมา

   “แต่ก่อนไม่ใช่คนขี้โมโหแท้ ๆ ...”

   “อะไรนะ?”

   “ครับ?” ซูเล่ยหันกลับมาตอบรับด้วยสีหน้าสงสัย ทำให้อังเดรชะงักและคิดว่าบางทีตนเองอาจจะหูแว่วก็เป็นได้จึงโบกไม้โบกมือและเดินขึ้นชั้นสองไป เมื่อชายหนุ่มร่างสูงลับตาไปแล้ว ซูเล่ยก็ลอบแย้มรอยยิ้มกับตนเอง “ช่างเป็นผู้ชายที่ความจำสั้นเสียจริง ๆ แต่ก็คงไม่แปลก...มันตั้ง 5 ปีแล้วนี่นะ”

   เวลา 5 ปีทำให้คนเราดูเปลี่ยนไปได้มากมาย ทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างก็ดูไม่เหมือนคนเดิมที่ต่างคนต่างจำได้ แตกต่างก็เพียงเมื่อ 5 ปีก่อนเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาแต่แรก แต่อังเดรไม่รู้จักเขาเลยจนกระทั่งวันที่เขาหายตัวไปจากโลกของเจ้าตัว

   ขี้โกงจริง ๆ ที่มีเขาคนเดียวที่จดจำอีกฝ่ายได้ทุกเวลา...

--------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
   เสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้าตรู่แหวกผ่านม่านสลัวรางสู่โสตประสาทเจ้าของห้องซึ่งพลิกตัวมากดปิดด้วยความเคยชินและลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่แสดงอาการอิดออด อังเดรหยิบผ้าขนหนูมาพันท่อนล่างซึ่งสวมแต่บอกเซอร์และเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวก่อนลงมาเข้าครัวเพื่อหาอะไรกินก่อนไปทำงาน แต่แล้วสายตาของเขาก็สะดุดกับร่างที่ขดตัวกลมกอดผ้าห่มผืนบางอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น

   หนาวแบบนี้ทำไมมานอนบนโซฟาทั้งคืน?

   “ตื่นได้แล้ว” อังเดรเข้าไปเขย่าตัวเบา ๆ ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ซูเล่ยใช้เวลาอยู่สักพักจึงลืมตาขึ้นมองคนปลุกแล้วตลบผ้าคลุมศีรษะอย่างงัวเงีย “เธอสำนึกตัวบ้างหรือเปล่าว่าทำกินนอนบ้านคนอื่นเขา เลิกทำตัวขี้เซาและลุกไปล้างหน้าแปรงฟันซะ” ชายหนุ่มไม่ชอบซูเล่ยอยู่แล้วจึงรู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียทุกอย่าง กระทั่งสรรพนามที่เรียกอีกฝ่ายอย่างสุภาพในตอนแรกยังเปลี่ยนเพียงข้ามวัน

   เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังดื้อแพ่งด้วยความเงียบ อังเดรจึงกระชากผ้าห่มออกแล้วยืนมองมือสีซีดที่เริ่มสั่นเทาควานหาไออุ่น

   “รู้ว่าหนาวทำไมไม่ไปนอนในห้อง?”

   “ห้องที่มีแต่ฝุ่นจับเหนียวจนแทบจะเป็นรังหนูน่ะหรือครับ?” ซูเล่ยปรือตามองพลางยกมือขึ้นถูกันเองเพื่อบรรเทาความหนาวก่อนพลิกตัวนั่งแล้วขดขาเข้ามากอด “ผมคุ้ยผ้าสะอาดออกมาได้ก็บุญโขแล้ว” ถึงแม้ผ้าผืนนี้จะแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่ามีแค่เสื้อแขนยาวกับกางเกงยีนส์
   อังเดรพ่นลมหายใจแล้วโยนผ้าห่มคืนให้

   “วันนี้ฉันจะพาเอเดรียนไปที่ทำงานด้วย เธอก็ใช้เวลาทำความสะอาดห้องไปก็แล้วกัน ฉันไม่อยากมีเรื่องกับพ่อตาตัวเองเพียงเพราะพี่เลี้ยงเด็กเกิดป่วยขึ้นมา”

   เสียงหัวเราะคิกหลังสิ้นประโยคทำให้ชายหนุ่มร่างสูงมุ่นคิ้วและหันมองคนที่ยังขดตัวเหมือนเด็ก ๆ

   “เขาไม่มาทะเลาะกับคุณเพียงเพราะผมป่วยหรอก ถ้าคุณขัดใจเขาต่างหากล่ะถึงจะทำให้เป็นเรื่องเป็นราว” ซูเล่ยตลบผ้าไว้ข้างตัวแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ “ผมจะทำข้าวเช้าให้แล้วค่อยจัดการตัวเองแล้วกัน เป็นพ่อหม้ายมือใหม่คงยังไม่ชินกับการทำงานบ้านจริงไหมล่ะ?”

   “แล้วเธอทำได้ดีกว่าฉันหรือยังไง?” อังเดรกอดอก

   “สกิลทำงานบ้านของผมดีกว่าแม่บ้านอเมริกันหลาย ๆ คนก็แล้วกัน” พี่เลี้ยงซึ่งตอนนี้ทำท่าจะควบตำแหน่งพ่อบ้านไปด้วยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจก่อนแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “หรือคุณอยากจะได้ตำแหน่งคนแก้เหงาด้วย ผมก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ”

   สิ้นประโยค สีหน้าของอังเดรก็เริ่มจะบอกความรู้สึกไม่ถูก

   “ผมล้อเล่นน่า” ซูเล่ยตบบ่าอีกฝ่ายแล้วเดินผ่านไป “แต่งตัวแล้วปลุกเอเดรียนได้เลย ผมจะเตรียมอาหารที่พวกคุณคิดไม่ถึงไว้ให้”

   หลังประกาศกร้าวออกไปเช่นนั้นแล้ว ซูเล่ยก็พบว่าตนเองอยากจะถอนคำพูดเมื่อครู่นี้ออกเสียจริง ๆ เพราะหลังจากเปิดตู้เย็น และตู้เก็บของแห้ง เขากลับพบเพียงแค่แป้งแพนเค้ก ซีเรียลกล่อง ไข่ นม และโยเกิร์ตอย่างละนิดละหน่อย ผู้ชายคนนี้ไม่มีความเป็นพ่อบ้านอยู่ในตัวเอาเสียเลยจริง ๆ พอไม่มีมารีนก็ไม่มีคนคิดถึงเรื่องอาหารการกินเลยหรือ? อย่าบอกนะว่าเลี้ยงเอเดรียนมาหลายวันด้วยออมเล็ต ซีเรียล และอาหารไมโครเวฟ?

   และเพราะไม่มีวัตถุดิบให้เลือกมากนัก สุดท้ายอาหารเช้าจึงเป็นไข่ดาว แพนเค้ก และนมคนละชุด ตอนที่อังเดรพาเอเดรียนมาถึงโต๊ะอาหารก็ถึงกับมุ่นคิ้วด้วยความสงสัยว่ามันแตกต่างจากที่เคยกินยังไง? แต่เจ้าตัวก็คาดเดาเอาไว้อยู่แล้วเพราะในบ้านแทบไม่มีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารอยู่เลย

   มื้อเช้าผ่านไปอย่างเรียบง่ายไม่ต่างจากเช้าอื่น ๆ อังเดรและเอเดรียนออกจากบ้านไปตั้งแต่ยังไม่ทัน 8 โมงดี ซูเล่ยจึงเริ่มลงมือทำความสะอาดห้องต่อโดยลำพัง เขามองเฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ พลางคิดว่าจะสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง เขาจัดการลากเฟอร์นิเจอร์ตั้งไว้มุมต่าง ๆ ของห้องให้เหมาะกับการใช้งาน ส่วนที่เกินความจำเป็นก็ลากไปกองกันไว้มุมหนึ่ง แม้จะทำให้ดูคับแคบไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่มีบริเวณเลย จากนั้นจึงกลับไปทำความสะอาด ปัด กวาด เช็ด ถู เท่าที่จะทำได้จนห้องดูเป็นห้องนอนขึ้นมา พวกผ้าที่ฝุ่นจับก็โยนลงเครื่องซักไป

   ตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ถูกเติมเต็มด้วยเสื้อผ้าที่ซูเล่ยขนมาด้วยซึ่งความจริงแล้วก็มีไม่มากนัก ตอนที่จัดตู้เสร็จ เครื่องซักผ้าก็ทำงานเสร็จพอดีเช่นกัน เขานำผ้าไปตากแดดและนำกระต่ายของเอเดรียนที่ซักตากไว้ตั้งแต่เมื่อคืนมาเย็บเสียใหม่ให้ดูดี

   ในขณะที่ซูเล่ยกำลังชื่นชมผลงานของตนเอง เจ้าของบ้านทั้งสองก็กลับมาพอดีทำให้ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าเวลาผ่านไปมากขนาดนี้แล้วและเขายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มื้อเที่ยง ซ้ำยังไม่ได้ออกไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเย็นด้วย ในที่สุดทั้งสามจึงต้องสั่งอาหารเดลิเวอรี่มาแก้ขัดไปอีกวันหนึ่ง

   “คุณพอจะมีหมอนกับผ้าห่มสักชุดไหม?” ตอนเก็บขยะทิ้งซูเล่ยก็นึกได้จึงถามขึ้นมา

   “เดี๋ยวฉันจะจัดไว้ให้ ก่อนนอนมาเอาที่ห้องก็แล้วกัน” อังเดรกล่าวขณะอุ้มเอเดรียนขึ้นด้วยอ้อมแขนเพราะถึงเวลาควรจะนอนได้แล้ว เอเดรียนอิดออดงอแงอยู่เล็กน้อยตามประสาเด็กแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถประท้วงได้สำเร็จ โดยเฉพาะตัวเด็กหญิงเองก็เริ่มจะหาวและตาปรือจึงถูกพาตัวขึ้นห้องไป เมื่ออังเดรเปิดประตูห้องก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบสิ่งแปลกปลอมวางอยู่บนเตียงเด็ก เขาเปิดสวิตช์ไฟและเมื่อห้องสว่างขึ้นจึงพบว่ามันคือตุ๊กตากระต่ายสีชมพูขนาดพอ ๆ กับเด็กอ่อนที่ถูกซักจนสะอาดสะอ้านและเย็บปิดรอยขาดทั้งหมดอย่างแนบเนียน ดวงตาที่หลุดหายไปข้างหนึ่งถูกแทนที่ด้วยกระดุมเม็ดเล็กเช่นเดียวกับตาอีกข้างที่ถูกเลาะออกแล้วเย็บกระดุมเป็นแทนให้ดูไม่ผิดแปลก ชายหนุ่มวางลูกสาวลงบนเตียงและเมื่อเธอได้เห็นกระต่ายตัวโปรดในสภาพใกล้เคียงกับที่จำได้ก็โผเข้ากอดด้วยความคิดถึง

   คืนนี้เอเดรียนไม่ร้องไห้ ไม่งอแง ไม่ร้องหาแม่ให้มาเล่านิทาน เธอกอดกระต่ายแล้วคลานไปหาหมอนด้วยตัวเองก่อนล้มตัวลงนอนด้วยความสุข

   “เอเดรียนนอนกับน้องต่าย”

   เห็นลูกสาวได้นอนอย่างสุขใจในรอบหลายวัน อังเดรก็ยิ้มออก

   “น้องต่ายสะอาดดีแล้ว แดดดี้ยอมก็ได้” เขาโน้มใบหน้าลงจูบหน้าผากเด็กหญิงตัวน้อยพร้อมบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนเดินไปปิดสวิตช์ไฟและผละออกมาอย่างเงียบเชียบ

   อังเดรกลับห้องตัวเอง จัดเตรียมเครื่องนอนให้พี่เลี้ยงคนใหม่ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูเมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วและกำลังอ่านหนังสือฆ่าเวลาอยู่ในห้อง เขาเดินออกไปเปิดรับโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ซูเล่ยมารับเครื่องนอนของตนเองเพื่อที่คืนนี้จะไม่ต้องนอนหนาวทั้งที่ไม่มีผ้าห่ม

   ชายหนุ่มร่างสูงถือเครื่องนอนส่งให้แต่เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในมุมก้มและผมร่วงลงปรกหน้าเล็กน้อยก็เกิดสะกิดใจขึ้นมาอีกครั้งว่าดูคุ้นตาทว่าแสนเลือนราง

   พอถูกจ้องอย่างตั้งอกตั้งใจ ซูเล่ยก็เหลือบตาขึ้นมองก่อนยิ้มมุมปาก

   “หน้าผมมีอะไรติดหรือครับ?”

   “...เปล่า” อังเดรตอบสั้น ๆ แล้ววางหมอนลงบนพับของผ้านวมผืนหนา “จริงสิ ขอบคุณเรื่องกระต่ายด้วย เอเดรียนชอบมากทีเดียว”

   “เรื่องเล็กน้อย ผมแค่หวังว่ามันจะช่วยซื้อใจลูกสาวคุณได้”

   “ก็อาจจะ” ดูจากที่เอเดรียนยอมยกกระต่ายสุดรักสุดหวงให้ซูเล่ยเป็นคนจัดการแทนที่จะเป็นพ่อ ก็น่าจะบ่งบอกได้ว่าใจของเด็กหญิงเริ่มยินยอมให้คนแปลกหน้าคนนี้แทรกเข้ามาบ้างแล้ว

   “แบบนั้นงานของผมก็ง่ายขึ้น” ว่าจบ ซูเล่ยก็หอบเครื่องนอนกลับห้อง อังเดรเองก็เข้านอนเช่นกันแม้จะยังกังวลจุดประสงค์ของพ่อตาและพี่เลี้ยงคนใหม่อยู่บ้างก็ตาม

TBC

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อุ้ย เรื่องใหม่ชอบจังค่า

ออฟไลน์ anuruk97

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-4
น่าสนุกจัง....... :pig2:........... +1  ให้ก่อนเลยนะค่ะ   :mc4:ขอบคุณที่แต่นิยายดีๆๆให้พวกเราได้อ่านนะค่ะ   พวกเราจะขอสัญญาว่าจะตามอ่าน จนจบเรื่องเลยนะค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ chisarachi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-1
เรื่องใหม่><
ตอนแรกที่นายเอก(รึเปล่า) ปากกล้ามาก  ที่ขอเข้าบ้านและบลาๆ  เราก็คิด นี่นายเป็นลูกจ้างนะเฮ้ย
คำพูดไม่สมควรอย่างยิ่ง  แต่ว่าอ่านไปอ่านมา  เขาน่าจะรู้จักกันมาก่อน (รึเปล่า)
นายเอกของเรา(?) ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำขนาดนี้ 


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เรื่องใหม่น่าสนใจมากๆ

ออฟไลน์ ★KVH™★

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
ซูเล่ยหน้าสนใจแปลกๆ
รู้สึกเหมือนมีเสน่ห์ดึงดูด  :hao7:
ติดตามฮะ  :L2:

qbbgey

  • บุคคลทั่วไป
ถูกอย่างมีเบื้องหลัง และเงื่อนงำ...
น่าติดตามมากๆ เลยค่ะ จะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
 o18

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
น้องต่าย... 5555 นี่มันเรื่องอะไรกันนะ น่าสนุกนะเนี่ย

เป็นไงมาอย่างไรไม่รู้ ชวนติดตามล่ะ

คู่นี้สินะ พ่อหม้ายและพี่เลี้ยง อิอิ น่าสน!!!

 รอตอนหน้าคร้าบบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 1 [15/10/13]
« ตอบ #9 เมื่อ: 17-10-2013 16:32:35 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #10 เมื่อ17-10-2013 22:10:34 »

-2-


   หลังจากเริ่มชีวิตอยู่ร่วมกัน อังเดรและซูเล่ยก็ทำตัวคล้ายอยู่กันคนละโลกราวกับจงใจเพราะพวกเขาต่างก็ไม่มีอะไรจะพูดคุยกัน ในแต่ละวัน มื้อเช้าแทบจะไม่มีบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสอง เว้นแต่เอเดรียนจะชักชวนให้พูดคุยกับเธอที่ยังพูดไม่คล่องนัก และเมื่ออังเดรออกไปทำงาน ก็จะเหลือเพียงซูเล่ยกับเอเดรียนอยู่ด้วยกันเพียงสองคน ถึงตอนนี้ เด็กหญิงเริ่มจะสนิทสนมกับพี่เลี้ยงมากขึ้นแล้ว และเธอก็ดูจะถูกใจเสียด้วย

   “ซู เล่นกัน” ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังล้างจาน เอเดรียนก็มาเกาะชายผ้ากันเปื้อนแล้วทำหน้าอ้อนวอน

   “ล้างจานเสร็จแล้วพี่จะตามไปเล่นด้วยนะ ทำไมเอเดรียนถึงไม่เล่นกับน้องกระต่ายล่ะ?”

   “น้องต่ายอยากเล่นกับซูด้วย” เด็กหญิงกอดตุ๊กตาแกว่งไปมา

   “อีกห้านาที ตกลงไหม? ระหว่างนี้เอเดรียนลองคิดว่าจะเล่นอะไรไปก่อน” เธอฟังข้อเสนออย่างตั้งใจก่อนพยักหน้าแล้ววิ่งกลับเข้าไปในห้อง ซูเล่ยมองดูร่างเล็ก ๆ พลางถอนหายใจ เขาไม่ใช่คนรักเด็กสักเท่าไหร่และไม่ได้คาดคิดเลยว่าตนเองต้องมาทำเรื่องแบบนี้ แต่อย่างน้อยเอเดรียนก็ไม่ได้ซุกซนจนเป็นลิงเป็นค่าง แค่บางทีก็มักยืนยันความตั้งใจอย่างแน่วแน่เสียจนยากจะปฏิเสธ

   หลังจากล้างจานเสร็จแล้ว ซูเล่ยก็ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นและได้เห็นเด็กหญิงกำลังทำอะไรบางอย่างกับชั้นวางแผ่นซีดี

   เขาเห็นท่ายืนเขย่งและพยายามปีนป่ายของเธอก็อดขำไม่ได้

   “เอเดรียนทำอะไรอยู่?”

   “เอเดรียนจะช่วยแดดดี้ทำงาน”

   ชายหนุ่มเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปดูแผ่นซีดีบนชั้นก่อนหยิบลงมาให้เด็กหญิงเลือก เธอคว้าแผ่นใกล้มือแล้ววิ่งไปที่เครื่องเล่นซีดี แต่ด้วยวัยเพียงเท่านี้แม้จะได้เห็นผู้ใหญ่ทำบ่อย ๆ ก็ยังไม่สามารถตีความได้ว่าควรจะทำขั้นตอนอย่างไรจึงจะถูกต้อง ดังนั้นเอเดรียนจึงได้แค่จิ้มปุ่มมั่ว ๆ ด้วยนิ้วเล็กสั้นของเธอและหงุดหงิดใจที่เครื่องไม่ยอมทำงาน ซูเล่ยอุ้มอีกฝ่ายออกมาและเปิดเครื่องให้และให้เอเดรียนเป็นคนวางแผ่นซีดี

   เสียงดนตรีคลาสสิกดังออกมาเป็นจังหวะวอลซ์ ซูเล่ยหยิบกล่องขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นเพลงคลาสสิกทั้งหมดรวมถึงแผ่นอื่น ๆ ที่อยู่ในชั้นวางเดียวกันด้วย

   ไม่ทันที่เขาจะเข้าไปเก็บแผ่นบนพื้น เด็กหญิงก็เดินเข้ามาคว้ามือและแกว่งไปมา

   “ช่วยกันทำงานนะ”

   “แดดดี้ทำงานอะไรหรือ?” จะว่าไป...เขาไม่ได้สนใจชีวิตส่วนตัวของคนคนนี้สักเท่าไหร่เลยนี่นะ ไม่ว่าการงานหรือครอบครัว เพราะหน้าที่ของเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

   “แดดดี้สอนคนเต้นรำ เอเดรียนจะสอนซูเต้นรำ”

   จู่ ๆ ซูเล่ยก็นึกขำขึ้นมา ท่าทางเคร่งขรึมดูมีมาดตลอดเวลาของผู้ชายคนนั้นติดมากับอาชีพเองหรอกหรือ

   “พี่ไม่เคยเต้นรำมาก่อน เอเดรียนลองเต้นกับน้องกระต่ายให้ดูก่อนได้ไหม?”

   เด็กหญิงพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนเดินไปอุ้มกระต่ายตัวโปรดและเริ่มหมุนไปรอบ ๆ ตามจังหวะดนตรี มีโยกตัวบ้างเป็นบางที ซึ่งมองไปแล้วก็ไม่ได้ต่างจากการเต้นแบบไม่อาศัยจังหวะช่วยสักเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นเอเดรียนกลับดูสนุกสนานอย่างไร้เดียงสาเหมาะสมกับช่วงวัย

   เมื่อผ่านไปแทร๊กหนึ่ง เด็กหญิงก็เริ่มหันมาชวนพี่เลี้ยงอีกครั้ง

   เธอดึงมือซูเล่ยให้ยืนขึ้นและชายหนุ่มก็ไม่รู้จะอ้างอะไรอีกจึงลุกขึ้นยืนตามความต้องการและเดินไปรอบ ๆ ตามการดึงของเด็กหญิงที่คิดว่าตนเองกำลังเต้นรำอยู่

   “ที่ทำงานแดดดี้ก็เต้นกับเอเดรียนหรือ?”

   เด็กหญิงส่ายหัว

   “แดดดี้เต้นกับยูล่า”

   “ยูล่า?”

   เมื่อถูกถามเหมือนให้อธิบาย เอเดรียนก็มุ่นคิ้วจนแทบเป็นปม เพราะเธอยังพูดไม่คล่องและคิดคำได้น้อย บางครั้งเธอจึงไม่สามารถพูดทุกอย่างที่ต้องการออกมาได้ในทันที

   “ยูล่าตัวสูงเหมือนซู ผมยาวเหมือนเอเดรียน”

   “เธอเต้นกับแดดดี้ทุกครั้งหรือเปล่า?”

   เอเดรียนพยักหน้ารับแทนคำตอบ ซูเล่ยจึงพออนุมานได้ว่าเป็นผู้ช่วยสอน หรือไม่เธออาจจะเป็นคนสอนและอังเดรเป็นผู้ช่วยก็อาจเป็นได้เช่นกัน ฟังจากชื่อ อาจจะมีเชื้อละตินคงจะเป็นผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์น่าดู เขาอาจจะต้องหาทางไปพบดูสักครั้งและดูท่าทีของทั้งสอง

   “ยูล่าใจดี เต้นเก่งมาก ๆ” เด็กหญิงยังคงพยายามอธิบายถึงลักษณะของผู้หญิงซึ่งเป็นหัวข้อสนทนา เธอยกไม้ยกมือพลางกลอกตาเพื่อคิดหาคำที่เหมาะสม

   “เอเดรียนชอบยูล่ามากเลยหรือ?”

   เธอพยักหน้าอีกครั้ง

   “ยูล่ากับพี่ เอเดรียนชอบใครมากกว่า?” ซูเล่ยแกล้งถาม เพราะด้วยคำถามเช่นนี้ เด็กมักจะสับสนว่าควรจะตอบตามความจริงหรือควรตอบให้ผู้ฟังพอใจ ซึ่งเอเดรียนเองก็เป็นเช่นนั้น เธออึกอักอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า

   “ชอบแดดดี้ที่สุด”

   “ขี้โกงนี่ ไม่ได้อยู่ในช้อยส์เสียหน่อย” เด็กหญิงฟังแล้วยิ้มแป้นแล้นน่าหมั่นเขี้ยว ทำให้ซูเล่ยรู้ได้ในตอนนั้นเองว่าเด็กคนนี้ฉลาดใช่ย่อยเลยทีเดียว

------------------------------------>

   เสียงดนตรีคลาสสิกจังหวะเนิบช้าพาให้เคลิบเคลิ้มไปกับภวังค์ของบทเพลง ทว่าสำหรับเด็กรุ่นใหม่แล้ว ดนตรีแบบนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับการฟัง และถึงแม้จะมีการเต้นเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ดูน่าสนใจขึ้นเพียงเล็กน้อยหากว่าการเต้นนั้นยังคงยึดติดกับแบบแผนการก้าวเท้าซ้ำไปมา

   เด็กหนุ่มสาวชั้นมัธยมปลายต่างจับมือกันก้าวเท้าอย่างไม่จริงจัง เพียงแค่รอให้เวลาเรียนหมดไปและจะได้ไปเรียนวิชาอื่นที่น่าเบื่อไม่ต่างกันเสียที

   “เอาล่ะ ดีมาก ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเราจะเริ่มจังหวะละตินกัน” เมื่อได้ยินผู้สอนว่าเช่นนั้น พวกเด็ก ๆ ก็มีความหวังอันริบหรี่ขึ้นมาว่าวิชานี้อาจจะน่าเบื่อน้อยลง เพราะจังหวะลาตินมีความสนุกสนานและท่าเต้นพลิกแพลงโลดโผนต่างกับการเต้นแบบบอลรูมที่เรียนกันมาตลอดเดือน

   เด็กนักเรียนต่างพากันเดินตบเท้าออกจากห้องว่างสำหรับกิจกรรมซึ่งถูกใช้เป็นห้องสำหรับเรียนลีลาศไปในตัว อังเดรเก็บแผ่นซีดีใส่กระเป๋าในขณะที่หญิงสาวอีกคนเดินไปเก็บวิทยุพกพาใส่กระเป๋าใบใหญ่อีกใบ

   “ขอบคุณที่วันนี้มาช่วยถึงโรงเรียนนะยูล่า” อังเดรกล่าว โดยปกติแล้วเขาจะมาสอนเพียงคนเดียวหรือไม่ก็มาพร้อมกับน้องชายหากอีกฝ่ายว่างอยู่ และจะรับอาสานักเรียนหญิงในห้องเป็นคู่เต้นตัวอย่าง และจ้างยูล่าให้ช่วยดูแลที่โรงเรียนสอนเต้นรำเท่านั้น แต่พอดีว่าวันก่อนยูล่าออกปากอยากลองสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนดูบ้างจึงขอติดตามมาในวันนี้ซึ่งอังเดรก็ไม่นึกแปลกอะไร

   “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ฉันเองก็ชอบเด็ก ๆ อยู่แล้ว พอช่วงนี้เอเดรียนไม่ค่อยได้มาก็เหงา ๆ นิดหน่อยน่ะค่ะ” ยูล่าหัวเราะพลางปัดผมสีดำยาวไปด้านหลัง

   “ที่โรงเรียนก็ใช่ว่าจะมีแต่คนแก่ ๆ มาเรียนนี่ครับ?”

   “แหม...แต่พวกเด็ก ๆ ที่มาเรียนก็เก่งกันหมด แทบจะไม่ต้องพึ่งพาฉันแล้ว”

   “เพราะคุณสอนได้เก่งต่างหาก” อังเดรยิ้มบางให้หญิงสาวก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง “ใกล้จะได้เวลาเริ่มเรียนของที่โรงเรียนแล้ว พวกเรารีบกลับกันเถอะ” ว่าแล้วอังเดรก็รวบเป้ใส่ของขึ้นสะพายก่อนเดินนำออกไปโดยมียูล่าเดินไว ๆ ตามหลังมาติด ๆ เธอลอบมองแผ่นหลังกว้างของคนเบื้องหน้าด้วยสายตามีความหมายและลอบยิ้มกับตนเองกึ่งปลงกึ่งมีความหวัง

---------------------------->

   หลายชั่วโมงกว่าที่เอเดรียนจะเบื่อการ ‘ช่วยแดดดี้ทำงาน’ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กตัวเล็ก ๆ จะมีพลังงานเหลือเฟือจนแม้แต่ผู้ใหญ่ยังต้องยอมแพ้ และจะยอมหยุดใช้พลังงานที่มีก็ต่อเมื่อท้องหิวเท่านั้น หลังจากกินอิ่มก็คล้ายเข้าสู่ระยะพักตัว จะเล่นอยู่เฉย ๆ ได้ไม่นานก่อนจะเริ่มผลาญพลังงานอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนวันนี้เอเดรียนจะอารมณ์สุนทรีย์เป็นพิเศษจึงได้ร้องจะฟังเพลงทั้งวัน ถ้าไม่เต้น ก็จะร้องงึมงำตามเนื้อที่ตนเองเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

   จนกระทั่งถึงช่วงเวลาหนึ่ง จู่ ๆ เอเดรียนก็หันไปมองนาฬิกาบนผนัง

   “แดดดี้?”

   “ถึงเวลากลับแล้วหรือ?” ซูเล่ยหันไปมองบ้างก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตู “นั่นไง กลับมาแล้ว”

   “แดดดี้” เอเดรียนกระโดดผลุงขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งไปทางประตู เธอกอดขาพ่อแน่นด้วยความคิดถึง “วันนี้เอเดรียนช่วยทำงาน ซูก็ช่วยทำงาน” เด็กหญิงโอ้อวดการกระทำอันยิ่งใหญ่ในวันนี้ด้วยความภาคภูมิใจเพียงเพื่อให้พ่อยิ้มให้ ลูบผม แล้วชื่นชม แต่มันคือความสุขเหลือประมาณสำหรับเด็กอย่างเธอเลยทีเดียว

   อังเดรยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อยแล้วลูบผมด้วยความรักใคร่ก่อนจะอุ้มขึ้นมาแล้วหอมแก้มฟอด

   “เอเดรียนเก่งมาก พอถึงวันเสาร์แดดดี้ขอดูตอนทำงานด้วยได้ไหม?” เขาว่าขณะพาตนเองและเอเดรียนเข้าไปในห้องนั่งเล่นและทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ตอนนั้นซูเล่ยก็ออกไปจากห้องแล้วเพื่อไปเตรียมอาหารเย็นสำหรับพวกเขาทั้งสามคน เหลือแต่เพลงคลอเบา ๆ ที่ถูกเปิดทิ้งไว้เพราะเอเดรียนไม่ยอมให้ปิด

   “เอเดรียนจะเต้นกับแดดดี้ กับซู กับน้องต่าย”

   ชายหนุ่มแสร้งมุ่นคิ้ว

   “เต้นสี่คนจะได้หรือ?”

   “ได้สิ จับมือกันแบบนี้แล้วก็เต้น” เอเดรียนยิ้มกว้างพลางจับมือพ่อแล้วโยกไปมา

   “เก่งจังเลยนะ แดดดี้ยังคิดไม่ถึงเลย แบบนี้ต้องให้รางวัลหน่อยแล้ว” อังเดรจูบหน้าผากเด็กหญิง “แล้ววันนี้ซูทำอะไรให้กินตอนเที่ยงบ้าง อร่อยไหม?”

   “ซูบอกว่าเป็นไข่ทอดกับผัก เอเดรียนไม่ชอบผักแต่ซูไม่ให้เขี่ยทิ้ง” เมื่อพูดถึงอาหารเที่ยง เอเดรียนก็ทำหน้ายู่เพราะเธอไม่ชอบผักใบเขียวเหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไป และแม่ก็ไม่เคยบังคับให้เธอกินมาก่อน

   “แสดงว่าไม่อร่อยหรือ?”

   “...ก็อร่อย...แต่เอเดรียนไม่ชอบผัก” เด็กหญิงยังคงย้ำคำเดิม แม้ไข่ทอดที่ซูเล่ยทำจะแทบไม่เหลือรสผักเลยก็ตาม กระนั้นการที่ยังมองเห็นก็ทำให้เกิดอุปทานถึงรสขมและเหม็นเขียวได้อยู่ดี “แดดดี้บอกซูว่าไม่เอาผักนะ เอเดรียนไม่อยากกิน” และเพราะรู้ว่าไม่สามารถขอเรื่องแบบนี้กับซูเล่ยได้ เธอจึงใช้ลูกอ้อนกับพ่อแทนด้วยความมั่นใจว่าพ่อต้องยอมตามใจเธออย่างแน่นอน

   ชายหนุ่มแสร้งทำท่าคิดหนัก แต่ใจจริงเขาก็ไม่ค่อยอยากจะสนทนากับซูเล่ยนักแม้จะเป็นเรื่องเล่น ๆ อย่างการเอาใจลูกก็ตาม อคติที่เขามีต่ออีกฝ่ายเพราะพ่อตายังไม่ยอมจางหายไปง่าย ๆ แม้ตัวซูเล่ยจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนอกจากนิสัยเฉพาะตัวที่ไม่เข้าหูเข้าตาแต่ก็ไม่ได้เป็นพิษภัย

   “นะ นะ แดดดี้” เอเดรียนอ้อนไปก็ทำปากเชิดจนแทบติดจมูกเหมือนกำลังสูดหายใจเพื่อเตรียมปล่อยเสียงอู้อี้ในคอให้ผู้ฟังเห็นอกเห็นใจ

   “ก็ได้ เดี๋ยวแดดดี้จะลองคุยดู ตอนนี้ซูอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”

   “ซูอยู่ในครัว” เด็กหญิงยิ้มร่าทันทีราวกับใบหน้าและอารมณ์เมื่อครู่นี้เป็นการเสแสร้ง เธอปีนลงจากตักพ่อและดึงมือให้เดินตามไปอย่างตื่นเต้น

   ซูเล่ยที่กำลังคิดเมนูอาหารเย็นไม่ทันสังเกตเห็นทั้งสอง เขาจดจ้องวัตถุดิบที่มีพลางคิดว่าจะทำเป็นอะไรได้บ้าง แน่นอนว่า มีผักใบเขียวปะปนอยู่ด้วยสองสามชนิด

   “ซู แดดดี้ไม่เอาผัก”

   “แดดดี้ยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะ” อังเดรรีบแก้ตัวเมื่อจู่ ๆ ลูกสาวก็โยนให้ตนเองเป็นคนแอนตี้ผักใบเขียวแทนเสียอย่างนั้น แต่เมื่อเหลือบขึ้นไปเห็นสายตาของซูเล่ยคล้ายกำลังจะพูดว่า ‘เหมือนเด็กจริง ๆ’ เขาก็ปั้นหน้าจริงจังอย่างรวดเร็ว “ได้ยินว่าเมื่อเที่ยงทำไข่ทอดกับผักให้เอเดรียนกินหรือ?”

   “ครับ แต่เอเดรียนงอแงจะเขี่ยทิ้งผมก็เลยใช้ไม้แข็งบังคับให้กินไปจนหมด”

   “ไม้แข็ง?” เดี๋ยว...ซูเล่ยคงไม่ได้ตีลูกเขาหรอกนะ?

   “บอกว่าถ้าไม่กินจะไม่เต้นด้วยน่ะครับ”

   อังเดรก้มลงมองลูกสาวที่สุดท้ายก็ห่วงเล่นยิ่งกว่าสิ่งใดก่อนจะพรูลมหายใจเบา

   “เอเดรียนไม่ค่อยชอบผัก แล้วมารีนก็ตามใจ กระทั่งฉันยังบังคับไม่ได้เลย” เขาว่าพลางกวาดตามองวัตถุดิบที่ถูกเตรียมบนโต๊ะ “ยังไงก็อย่าทำให้เธอไม่ชอบใจก็แล้วกัน” เพราะตัวอังเดรเองรู้ว่าควรจะฝึกเด็กให้กินผักจนชินเสียแต่อายุยังน้อย เขาเองยังนึกโทษภรรยาอยู่บ่อย ๆ ที่ตามใจลูกเรื่องอาหารการกินจนเคยตัว จึงได้ไม่ขัดข้องใจที่ซูเล่ยจะเข้ามาดูแลเรื่องแบบนี้ด้วย เพียงแต่เขาก็ไม่ชอบเห็นลูกร้องไห้งอแงเช่นกัน หากวางตัวเข้าข้างความคิดของซูเล่ยมากเกินไป เอเดรียนจะต้องเกิดอาการต่อต้านเขาไปด้วยแน่ ๆ

   “คราวหน้าผมจะให้เอเดรียนปิดตากินข้าวแล้วกันครับ”

   คำตอบของซูเล่ยทำให้ความรู้สึกเห็นดีเห็นงามเมื่อครู่มลายหายในพริบตาราวกับเจ้าตัวกำลังจงใจยียวนกวนอารมณ์เขาเล่น อังเดรขึงสายตาใส่เจ้าของรอยยิ้มสมใจก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับไปจัดการกับวัตถุดิบบนโต๊ะต่อพร้อมกล่าวไล่

   “พวกคุณไปนั่งเล่นกันก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะไปเรียก”

   เอเดรียนมองพ่อที่จูงตนเองออกจากห้องครัวสลับกับซูเล่ยที่หันหลังอยู่ด้วยความหวังว่าตนเองคงไม่ต้องพบเจอผักใบเขียวอีกแล้ว ทว่า...สุดท้ายอาหารมื้อนั้นก็ยังคงมีผักใบเขียวอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ส่วนใหญ่จะถูกหั่นหรือบดจนละเอียดแทบแยกไม่ออก นอกจากผักที่ประดับเพื่อความสวยงามเท่านั้นที่ยังคงปล่อยให้มันอยู่เป็นใบเขียวสดแต่ไม่จำเป็นต้องกินก็ได้ ทำให้เด็กหญิงโฟกัสแต่ผักที่ตนเองสามารถเขี่ยออกได้และไม่ได้รู้เลยว่าตนเองโดนหลอกให้กินผักที่ผสมอยู่ในเนื้อและน้ำซุปไปจำนวนแค่ไหนแล้ว

----------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #11 เมื่อ17-10-2013 22:11:11 »

   ทุกครั้งที่ถึงวันเสาร์ เอเดรียนจะตื่นเต้นมากกับการได้ออกไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ และเสาร์นี้ก็เช่นกัน เด็กหญิงตื่นขึ้นมาแต่เช้าไม่มีอิดออดเมื่ออังเดรเข้าไปปลุกในห้อง ซูเล่ยเตรียมมื้อเช้าให้อย่างตรงเวลาเหมือนทุกวันแล้วทั้งสามก็ออกไปจากบ้านด้วยกันโดยรถยนต์ส่วนตัวของอังเดรซึ่งเป็นยานพาหนะหนึ่งเดียวของครอบครัวนี้

   ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้บ้านที่สุดเป็นสถานที่ประจำที่พวกเขาจะมาหาซื้อของกันทุกสัปดาห์จนเอเดรียนสามารถจดจำชั้นวางขนมนมเนยได้และวิ่งนำไปที่นั่นก่อนใครเพื่อน

   “เอเดรียนจะกินอันนั้น” เธอชี้กล่องขนมสีสวยงามยี่ห้อโปรด ซูเล่ยหยิบขึ้นมาพิจารณาก่อนจะโยนใส่รถเข็นโดยไม่พูดอะไรและอังเดรก็ไม่ได้คัดค้าน จานั้นเอเดรียนยังอยากจะได้อีกหลายอย่างที่สีสันต้องตาต้องใจ แต่เธอก็ได้ตามใจแค่บางอย่างเท่านั้นเพราะอังเดรไม่ได้ตามใจลูกสาวไปเสียทุกอย่างเหมือนภรรยา ส่วนซูเล่ยก็แค่เดินตามและช่วยพิจารณาบ้างเท่านั้น

   พวกเขาพาเอเดรียนออกมาจากชั้นขนมได้ในที่สุดหลังจากติดอยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะเอเดรียนอยากจะกินไปเสียทุกอย่างแต่สุดท้ายก็อาจจะแค่ชอบกล่องแต่ไม่ได้ชอบขนมข้างในก็เป็นได้

   ครั้งนี้พวกเขาพากันเดินไปที่ฝั่งอาหารสดซึ่งเป็นจุดประสงค์หลัก

   “เธอคิดว่าควรซื้ออะไรก็ตามสบาย” อังเดรยกสิทธิการตัดสินใจเกี่ยวกับอาหารให้พี่เลี้ยงที่ตอนนี้ควบตำแหน่งพ่อบ้านไปในตัว

   “ไม่กลัวกระเป๋าฉีกหรือครับ?” ซูเล่ยแกล้งถามแล้วก้มลงมองเนื้อแบบต่าง ๆ ที่วางเรียงรายใต้ไอเย็นที่เป่าลงมารักษาความสดใหม่

   “ฉันก็หักจากเงินเดือนเธอ”

   “ไม่ยุติธรรมเลย” เสียงประท้วงอุบอิบไม่ได้เข้าหูผู้ฟังที่ตอนนี้หันมองไปรอบ ๆ ตามหลังเอเดรียนที่ไปเกาะตรงนั้นทีตรงนี้ทีด้วยความสนใจ มารีนไม่ค่อยชอบเข้าครัว ตัวเขาเองถ้ามีเวลาก็จะทำอาหารเองบ้าง ถ้าไม่มีก็ต้องสั่งเอา หรือไม่ก็เอาอาหารแช่แข็งมาอุ่นกิน ทำให้เอเดรียนไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสอาหารแบบโฮมเมด ไม่แปลกที่เด็กหญิงจะรู้สึกแปลกใหม่กับการมาเดินโซนอาหารสด ไม่ใช่แค่อาหารแห้งและอาหารแช่แข็ง และที่น่าแปลกใจคือ เอเดรียนดูจะชอบโซนผักเป็นพิเศษ เพราะเมื่อวางรวมกันในสภาพสดใหม่ พวกมันจะมีสีสันสวยงามน่าลิ้มลองอย่างไม่น่าเชื่อ

   “เอเดรียนอยากกินอันไหนหรือเปล่า?” อังเดรใช้โอกาสนี้ลองตะล่อมถาม

   เด็กหญิงยืนบิดไปบิดมาเหมือนเขินอายแล้วลอบมองไปทางซูเล่ยที่ยังสาละวนกับเนื้อ

   “เอเดรียนกลัวขม”

   “ถ้าเป็นสีเขียวอ่อน ๆ แบบนี้ไม่ขมหรอก” ชายหนุ่มแนะนำแล้วหยิบผักที่มีใบสีเขียวอ่อนดูสดกรอบขึ้นมาให้เอเดรียนจับดู เพียงแต่ผักแบบนี้จะมีราคาแพงมากเพราะถูกปลูกในสภาพแวดล้อมอย่างจำเพาะ กระนั้น ถ้าเพื่อให้ลูกสาวตนเองได้คุ้นเคยกับของเหล่านี้ตั้งแต่อายุน้อยเขาก็ยินยอมลงทุนอย่างเต็มใจ “แล้วซูก็ทำอาหารเก่งไม่ใช่หรือ? อาจจะอร่อยกว่าที่คิดก็ได้”

   เอเดรียนพยักหน้าในที่สุดหลังจากบิดเขินอยู่นาน

   เมื่อผักถูกหย่อนลงในรถเข็นโดยที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเลือก ซูเล่ยก็หันมองทั้งสองคนด้วยความแปลกใจก่อนก้มลงมองว่าเป็นผักอะไร

   “คงไม่ได้ให้เอาไปเพื่อเขี่ยทิ้งหรอกนะครับ”

   “ไม่พูดให้เรื่องเสียสักครั้งไม่ได้หรือยังไง” เจ้าของร่างสูงมุ่นคิ้วและขึงตาใส่ไม่ให้เจ้าตัวพูดต่อ ไม่อย่างนั้นเอเดรียนอาจจะกลัวขึ้นมาอีกก็เป็นได้

   เอเดรียนเอียงคอมองผู้ใหญ่สองคนจ้องตากันอย่างไม่เข้าใจแล้วจึงหันไปรอบตัวอีกครั้งเพื่อหาว่ามีอะไรน่าสนใจอีกหรือไม่ ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับเรือนร่างโปร่งบางที่คุ้นเคย

   “ยูล่า”

   เสียงของเอเดรียนไม่ได้ดังนักแต่ก็ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่อยู่ใกล้ ๆ มองตามได้ และบังเอิญว่าเจ้าของชื่อก็กำลังเดินมาทางนี้เช่นกัน เธอถือเพียงตะกร้าและของไม่กี่อย่างพลางเลือกดูของสดมาตามทาง

   “ยูล่า” เอเดรียนร้องเรียกอีกครั้งแล้ววิ่งเข้าไปหาหญิงสาวจึงเพิ่งรู้ตัวและยิ้มกว้างรับ

   “เอเดรียนมาเที่ยวหรือจ๊ะ? แล้วแดดดี้...” ยูล่าเงยหน้าจากเด็กหญิงขึ้นมาและได้เห็นคนที่ตนเองกำลังถามถึงเดินมาหยุดตรงหน้า แต่ก็มีคนที่เธอไม่รู้จักมาด้วย “สวัสดีค่ะคุณแอชฟอร์ด แล้ว...คุณคงจะเป็นพี่เลี้ยงที่คุณแอชฟอร์ดเล่าให้ฟังสินะคะ”

   ซูเล่ยแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่อังเดรพูดถึงตนให้คนอื่นฟังด้วย เขาติดว่าเจ้าตัวจะไม่ชอบหน้าเขาถึงขนาดไม่อยากจะพูดถึงต่อหน้าคนอื่นเสียอีก

   “ครับ...ผมซูเล่ย ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาแย้มยิ้มและทักทายตามมารยาท

   “บังเอิญจังนะคะที่ได้พบกันที่นี่ ฉันเองยังคิดอยู่เลยว่าอยากจะทำความรู้จักกับคุณ...” ชื่อของซูเล่ยยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับลิ้นคนอเมริกัน และยูล่าก็ไม่กล้าออกเสียงไปตามใจจึงได้ชะงัก

   “เรียกซูก็ได้ครับ อังเดรกับเอเดรียนก็เรียกแบบนั้น”

   “ค่ะคุณซู” หญิงสาวเชื้อสายละตินแท้ยิ้มและหันไปทางอังเดรบ้าง “ไหน ๆ เราก็บังเอิญมาเจอกันแล้ว ไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันที่บ้านฉันไหมคะ เพราะฉันเคยสัญญากับเอเดรียนไว้ด้วยว่าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ทาน เพราะถ้าชวนหลังจากนี้เอเดรียนอาจจะคิดรสมือคุณซูจนไม่ยอมทานของฉันเลยก็ได้” ยูล่าอนุมานว่าซูเล่ยน่าจะทำอาหารได้เพราะดูจากของที่ซื้อรวมถึงตัวอังเดรที่ไม่ค่อยมีเวลาทำเพราะต้องสอนทั้งที่โรงเรียนของตนเองและชั้นเรียนในโรงเรียนทั่วไปที่จ้างวานมาด้วย ไม่น่าจะซื้อเยอะขนาดนี้ถึงจะเผื่อสำหรับหนึ่งอาทิตย์ก็ตามที

   อังเดรหยุดคิดไปเล็กน้อย เอเดรียนคงจะไม่มีปัญหาแต่ซูเล่ยจะให้ไปด้วยจะดีหรือ? เพราะเพิ่งจะรู้จักกับยูล่าแค่ไม่กี่นาที ซ้ำสถานะก็ไม่ใช่ทั้งคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท

   “ถ้าอย่างนั้น ผมรบกวนให้อังเดรช่วยไปส่งผมที่บ้านก่อนก็แล้วกัน เพราะผมคงแบกกลับเองไม่ไหวแถมยังไม่มีใบขับขี่ด้วย” ซูเล่ยมองคนข้างตัวปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนักใจเรื่องของเขา ดังนั้นการดึงตัวเองออกมาจึงเป็นเรื่องง่ายกว่า เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะใกล้ชิดคนนอกมากเกินไปอยู่แล้ว

   “ซูไม่ไปเหรอ?” เอเดรียนได้ยินว่าซูเล่ยจะกลับก่อนก็รีบหันไปถาม แม้จะเพิ่งเริ่มอยู่ด้วยกันได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็เริ่มติดพี่เลี้ยงคนนี้เสียแล้ว

   “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ไปด้วยกันทั้งหมดก็น่าสนุกดีออก” ยูล่ากล่าวแต่ซูเล่ยก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ

   “พอดีว่างานบ้านกองรอผมอยู่เต็มเลยนี่สิ ถ้าไม่กลับไปจัดการตอนนี้ผมกลัวว่ามันจะล้มทับตัวผมจนกระดิกไปไหนไม่ได้” ชายหนุ่มร่างเล็กหัวเราะพร้อมกับหยอดมุกเล็ก ๆ “พวกคุณไปสนุกกันเถอะ ส่วนของผมขอติดเอาไว้คราวหน้าดีกว่า”

   เมื่อซูเล่ยยืนยันเช่นนั้นจึงสรุปกันออกมาว่า ยูล่าจะติดรถไปกับพวกเขาจนถึงบ้านเพื่อส่งซูเล่ยก่อน แล้วค่อยเลยไปที่พักยูล่าด้วยกัน

   ซูเล่ยถูกพามาทิ้งไว้หน้าบ้านพร้อมกับสัมภาระที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้า ประกอบด้วยของสด อาหารแช่แข็ง และเครื่องอุปโภคขนาดครอบครัวอีกหลายชิ้น เขาค่อย ๆ แบกเข้าบ้านไปเท่าที่จะทำได้ซึ่งต้องเดินถึงสองรอบจึงจะเอาเข้าได้หมด ทั้งนี้ต้องโทษอังเดรล้วน ๆ ที่ไม่ได้ซื้ออะไรเผื่อเอาไว้เลยจนมันเกือบหมดไปเสียทุกอย่าง ถึงต้องมาหอบทีเดียวอย่างนี้

   ขณะที่จัดของให้เข้าที่เข้าทาง ซูเล่ยก็คิดถึงยูล่าขึ้นมา เธอดูไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ในตอนแรก เป็นหญิงสาวเชื้อสายละตินที่รูปร่างสูงโปร่งดูมีเสน่ห์ ผมดำ ผิวคล้ำนิด ๆ ตาสีฟ้าอมเขียว เรียกว่าเป็นสเปคผู้หญิงในฝันของเหล่าชายหนุ่มทั่วโลกก็ว่าได้

   ไม่รู้ว่าเธอรู้จักกับอังเดรมานานแค่ไหนแล้ว อาจจะก่อนแต่งงานกับมารีนก็เป็นได้ เขาไม่แน่ใจนักว่าอังเดรรู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ แต่มองจากสายตาแล้ว ยูล่ามีใจให้อังเดรอยู่ไม่ผิดแน่ และไม่น่าจะเพิ่งมีใจให้ในเร็ว ๆ นี้แน่ อาจจะเป็นระยะเวลาพอ ๆ กับการทำงานของเจ้าตัวเลยก็ได้

   ที่จริง...ผู้ชายคนนั้นจะรักจะชอบใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขา เพียงแต่มีคนคนหนึ่งที่ไม่ยินยอมกับเรื่องแบบนี้จนถึงขั้นต้องให้เขามาเฝ้าดูเลยนี่สิ

   แล้วทำไมเขาถึงได้ยินยอมทำเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกครั้งนะ...ทั้งที่จะปฏิเสธและให้คนอื่นมาทำแทนก็ได้แท้ ๆ

   ซูเล่ยถามตัวเองแล้วได้แต่ถอนหายใจ

   ช่างเถอะ พอคนคนนั้นได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เรื่องของอังเดรกับเขาก็คงจบลงเพียงแค่นี้

   ไม่สิ...เรื่องของพวกเขาทั้งสองคนมันไม่เคยเริ่มขึ้นสักหน่อย...

   ซูเล่ยปิดตู้เก็บของแล้วพับถุงกระดาษที่ได้มาจากห้างสรรพสินค้ารวมไว้ด้วยกันก่อนจะลุกขึ้นแล้วเท้าเอวพลางคิดว่าจากนี้ควรจะทำอะไรก่อน ทั้งต้องซักผ้า กวาดถูบ้าน ล้างจานของมื้อเช้าและเตรียมอาหารเย็น เขาอยากจะรู้เสียจริงว่าหากตนเองทำงานบ้านไม่เป็นอังเดรจะทำยังไง คงจะถีบเขาออกไปจากบ้านและใช้เป็นข้ออ้างโทรไปปฏิเสธพ่อตาของตัวเองกระมัง?

   ระหว่างที่คิดกับตนเอง เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมารบกวนจนสิ่งที่กำลังคิดเมื่อครู่กระจัดกระจายไปหมด ซูเล่ยดึงมันขึ้นมาจากกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาเครื่องนั้นยังคงสั่นเป็นจังหวะและเปล่งเสียงเพลง หงเฉินเค่อจ้าน ของ เจย์โชว ออกมาอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มสัมผัสเบา ๆ บนหน้าจอ เสียงเพลงก็เงียบไปทันที เขายกมันขึ้นแนบหูและฟังเสียงจากปลายสายซึ่งไม่นึกแปลกใจเลยที่โทรมาในเวลานี้ ผู้ชายคนนี้เสมือนมีญาณวิเศษที่ติดต่อได้ตรงจังหวะทุกครั้งไป

   “เป็นยังไงบ้าง?”

   “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เขาก็แค่ไปทำงานที่โรงเรียนสอนเต้นรำ กลับมาก็อยู่กับเอเดรียนจนเข้านอน วันนี้ก็เพิ่งจะออกไปซื้อของด้วยกันมา” ซูเล่ยจงใจไม่พูดถึงยูล่า เพราะอย่างไรตอนนี้มันก็ยังไม่มีควันให้กังวล นอกจากนี้ ขืนพูดออกไปเขาคงจะได้รับเอกสารเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นมาวันหรือสองวันนี้แน่

   “ไม่มีอะไรปิดบังใช่ไหม?”

   ...

   จะเซนส์ดีอะไรปานนั้น...

   “ไม่มีครับ ผมกำลังคิดว่าจะทำอะไรต่อเพราะตอนนี้งานบ้านมันกองอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ” ซูเล่ยคร้านจะถูกสอบปากคำทางโทรศัพท์จึงรีบตัดบท หลังจากวางสายได้แล้วเขาก็ไปทำงานของตนเองโดยพยายามไม่นำเรื่องของยูล่ามาทำให้รกสมองอีก

   นั่นก็เพราะซูเล่ยเชื่อว่า...หากเรื่องราวดำเนินไปในทางที่ไม่อยากให้เป็น เขาก็สามารถจัดการได้อย่างเรียบร้อยโดยไม่ต้องยืมมือใคร

---------------------------->

   “ถอดรองเท้าก่อนสิเอเดรียน” เสียงจากหน้าประตูเรียกให้ซูเล่ยสะดุ้งตื่น เขาปรือตามองนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่มครึ่งพร้อมกับสงสัยว่าตนเองเผลอหลับไปเมื่อไหร่ เท่าที่จำได้คือเขาทำอาหารเย็นเตรียมไว้ตั้งแต่ห้าโมงเย็นและนั่งรอสองพ่อลูกกลับบ้าน แต่ก็ไม่กลับกันเสียทีและเขาก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วจึงได้งีบฆ่าเวลา ไม่นึกว่าจะหลับไปจริง ๆ โดยไม่ทันรู้สึกตัว

   เอเดรียนวิ่งเข้ามาหาซูเล่ยในห้องนั่งเล่นและกระโดดขึ้นนั่งข้าง ๆ ด้วยท่าทางตื่นเต้น

   “ยูล่าให้เอเดรียนมาด้วยล่ะ” เธอจับยางผูกผมที่ประดับด้วยคริสตัลพลาสติกสีชมพู “ยูล่าบอกว่าเอเดรียนเต้นเก่ง ให้เป็นรางวัล”

   “จริงหรือ? แล้วอาหารเป็นยังไงบ้าง?”

   “อร่อยมาก ๆ “ เด็กหญิงชูมือขึ้นสูง “เอเดรียนอิ่มมาก”

   “อร่อยกว่าของพี่อีกหรือ?”

   “ซูก็ทำอร่อย กินของซู เอเดรียนก็อิ่ม” เธอรีบพูดเอาใจแล้วกอดแขนพี่เลี้ยงของตนออดอ้อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายแกล้งทำท่าหมางเมิน “แดดดี้ก็บอกว่าซูทำอร่อย”

   ซูเล่ยได้ยินก็เหลือบมองนาฬิกาก่อนนึกฉุนขึ้นมาในใจ

   “ไม่จริงล่ะมั้ง ถ้าอร่อยคงกลับมากินตั้งนานแล้ว” เขาว่าแล้วลุกขึ้น “เอเดรียนไปอาบน้ำ แปรงฟันก่อนไป เดี๋ยวพี่ไปเก็บโต๊ะแล้วจะมาฟังเอเดรียนเล่าต่อ”

   เอเดรียนพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายและโดดลงจากเก้าอี้ก่อนวิ่งขึ้นห้องไปอย่างอารมณ์ดี

   หลังเอเดรียนขึ้นไปชั้นสองแล้ว ซูเล่ยก็เข้าไปในครัวและจัดการหยิบพลาสติกแรปออกมาคลุมอาหารที่ทำเอาไว้ทีละจาน เขาคิดผิดจริง ๆ ที่ทำเอาไว้เยอะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะยัดใส่ตู้เย็นพอหรือเปล่า เพราะเพิ่งจะซื้อของมาเติมจนเต็มเสียด้วย

   “ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนว่าที่จริงแล้ววันเสาร์ฉันไม่ได้ทำงานแค่ตอนกลางวัน ตอนเย็นก็ต้องไปสอนที่โรงเรียนอยู่ดี แถมยูล่าก็อุตส่าห์ทำอาหารใส่กล่องไปก็เลยปฏิเสธไม่ลง”

   ซูเล่ยได้ยินเสียงก็หันไปมอง เห็นอังเดรยืนพิงกรอบประตูด้วยสีหน้าคล้ายรู้สึกผิดอยู่นิด ๆ เมื่อเห็นจานอาหารวางรออยู่บนโต๊ะ

   “ช่างมันเถอะ ผมเองก็ไม่ได้โทรถามตารางงานคุณเสียด้วย” เจ้าตัวก็พูดไปแบบนั้น เพราะความเป็นจริง ซูเล่ยไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของอังเดรเสียด้วยซ้ำ และตัวอังเดรก็รู้ความจริงข้อนี้ดีจึงได้รู้ตัวว่าถูกประชดอยู่กลาย ๆ ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาช่วยเก็บเข้าไปซ้อนในตู้เย็นเท่าที่ทำได้ ซึ่งสุดท้ายก็สามารถยัดเข้าไปได้หมดแบบเกือบจะล้นออกนอกตู้ บางทีพรุ่งนี้คงไม่ต้องทำอาหารเพิ่มแล้ว

   “เอาโทรศัพท์มือถือของเธอมาสิ”

   หือ?

   เรียวคิ้วสีดำเลิกขึ้นสูงด้วยความสงสัย และเมื่อได้ยินซ้ำซูเล่ยจึงหยิบส่งให้โดยที่ไม่ได้ถามอะไร อังเดรกดบันทึกเบอร์ของตนเองลงในเครื่องอีกฝ่ายแล้วยิงเข้าเครื่องตัวเองก่อนส่งคืนให้

   “ทีหลังถ้ามีอะไรฉันจะโทรเข้าเบอร์ของเธอโดยตรง เผื่อว่าเธอจะอยู่ไกลจากโทรศัพท์บ้านแล้วไม่ได้ยินเสียง ส่วนตารางงานฉัน...โรงเรียนของฉันเปิดสอนทุกวันตอนเย็น และวันอาทิตย์ตลอดวัน ส่วนช่วงกลางวันที่ไปสอนนักเรียนจะเว้นแค่วันอังคารกับเสาร์ของทุกสัปดาห์”

   “ครับ เข้าใจแล้ว คราวหน้าคุณก็ชวนคุณยูล่ามาดินเนอร์ที่บ้านเป็นการตอบแทนบ้างก็แล้วกัน” ซูเล่ยว่าก่อนจะเดินจากไป แต่สีหน้าอังเดรที่มองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมซูเล่ยจึงนึกอยากให้เชิญยูล่ามาที่บ้าน? หรือว่าจะเกิดหลงเสน่ห์สาวละตินขึ้นมาเสียแล้ว?

TBC

ออฟไลน์ Paracetamol

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #12 เมื่อ17-10-2013 22:33:13 »

อังเดรผู้ไม่รู้อะไรบ้างเลย ใช่มั้ย? ซูเล่ย
เอเดรียนท่าทางฉลาดจังน้า

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #13 เมื่อ17-10-2013 23:13:04 »

เอเดรียนน่ารักจัง
เรื่องนี้ก็น่าสนุกอีกแล้ว
ขอบคุณคุณเซียที่แต่งมาลงให้อ่านกันนะคะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #14 เมื่อ18-10-2013 10:32:06 »

แอบเหมือนสามีภรรยางอนกันเล็กๆ
ที่ไม่ยอมกลับมาทานข้าวเย็นแถมไม่บอกก่อน

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #15 เมื่อ18-10-2013 12:27:13 »

เหมือนจะแอบงอลนะซู

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #16 เมื่อ19-10-2013 21:43:58 »

สงสัยจริง เคยเจอกันมาก่อน แต่ไหงจำไม่ได้ล่ะ แสดงว่า เปลี่ยนไปเย๊อะะะะะะ 55555

สนุกดีนะคะ  รอตอนต่อไปคร๊าบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #17 เมื่อ19-10-2013 23:42:28 »

เริ่ดค่ะ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 2 [17/10/13]
«ตอบ #18 เมื่อ20-10-2013 02:15:51 »

เข้ามาตามค่า

เพิ่งเคยเห็นพระเอกทำงานเป็นครูสอนเต้น เก๋ดีค่ะ ปกติจะเป็นอะไรที่ดุๆ เช่นมาเฟีย นักธุรกิจผู้มีอิทธิพล

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
«ตอบ #19 เมื่อ22-10-2013 14:26:57 »

-3-


   “แล้วเจอกันตอนเย็นนะเอเดรียน” อังเดรจูบหน้าผากเหน่งของเด็กหญิงพร้อมบอกลาเหมือนกับเช้าวันอื่น ๆ ก่อนเหลือบมองซูเล่ยซึ่งแค่กอดอกมองอยู่ห่าง ๆ พวกเขาไม่เคยทักทายก่อนออกจากบ้านหรือหลังกลับเข้าบ้าน และท่าทีของอีกฝ่ายในบางครั้งก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเฝ้ามอง ก็ไม่แปลก...ซูเล่ยเป็นคนของพ่อตาที่ถูกส่งมาเพื่อดูไม่ให้เขาออกนอกลู่ทาง กระนั้นสิ่งที่แปลกก็คือ เขารู้สึกเหมือนว่าสถานการณ์ทำนองนี้อาจจะเคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นอาจเป็นเพราะว่าความคุ้นเคยบางอย่างที่เขาพบในตัวซูเล่ยก็เป็นได้ แม้เขาจะยังนึกไม่ออกก็ตาม

   ชายหนุ่มเดินทางไปสอนนักเรียนตามปกติโดยมีช่วงเช้าโรงเรียนหนึ่งและช่วงบ่ายในอีกโรงเรียนที่ไม่ไกลกัน จากนั้นเมื่อบ่ายแก่จึงกลับไปที่โรงเรียนสอนเต้นรำซึ่งเขากับน้องชายช่วยกันดูแลแทนพ่อที่ตอนนี้เกษียณตัวเองไปทำงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บ้านเก่าของครอบครัวในอังกฤษกับภรรยาคนที่สองซึ่งได้พบกันที่นั่นเมื่อราว ๆ ห้าปีก่อนและลูกที่มีด้วยกันหลังจากนั้นปีกว่า

   “วันนี้พี่มาช้านะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวทักทายเมื่ออังเดรเดินเข้ามาถึงห้องที่ใช้ในการฝึกซ้อมเต้นรำและมีนักเรียนหลายวัยกำลังจับคู่อยู่ตามมุมต่าง ๆ

   “ครูใหญ่ของโรงเรียนเรียกไปคุยน่ะ เห็นว่านักเรียนอยากจะเปิดชมรมแล้วให้ฉันเป็นที่ปรึกษาพิเศษ หลังจากนี้งานที่นี่คงต้องโยนให้นายทำเยอะขึ้นนะอาร์เลน” อังเดรเดินเข้าไปในห้องด้านหลังแล้วถอดผ้าพันคอกับเสื้อโค้ทออกแขวน “ถ้าเรื่องนี้แน่นอนแล้ว ฉันจะลองรับสมัครผู้ช่วยเพิ่มอีกสักคน”

   “ไม่ต้องหรอกครับ แค่ผมกับยูล่าก็พอ แต่เดิมเราก็แค่จ้างยูล่าเพราะเป็นผู้ชายทั้งคู่เลยจับคู่เต้นไม่ได้ ทั้งที่จริงเราสองคนก็ดูแลกันเองได้อยู่แล้ว” อาร์เลนไหวไหล่ “ถ้าพี่เอเลียตอยู่ก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน” อาร์เลนกล่าวถึงพี่ชายคนโตซึ่งแต่งงานไปเมื่อปีก่อนซ้ำยังยอมแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงเพราะทางนั้นไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งออกและต้องโยกย้ายมาอยู่ในประเทศที่ห่างไกลจากบ้านเกิด พวกเขาสามพี่น้องที่กอดคอกันเหนียวแน่นมาตลอดจึงมีอันต้องจากไปตั้งรกรากของตนเองเสียคนหนึ่ง

   “ถ้านายว่าแบบนั้นก็ตามใจ” ชายหนุ่มยิ้มพลางขยี้ผมน้องชายก่อนเดินเข้าสู่ห้องกว้างที่ล้อมรอบด้วยกระจกเงาบานใหญ่เพื่อเริ่มงานของตน

---------------------------->

   ในช่วงที่อังเดรตั้งอกตั้งใจทำงาน ซูเล่ยก็อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำงานเช่นกัน เขาแทบจะถูกจับให้เดินหมุนไปรอบห้องทั้งวันเพราะเอเดรียนตื่นเต้นมากที่ยูล่าสอนการเต้นให้เธอเพิ่มเติม ยูล่าชำนาญการเต้นรำแบบละตินเป็นอย่างมากแต่น่าเสียดายที่การเต้นแบบนั้นคงไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุสองขวบ เอเดรียนจึงจำมาแค่ว่าการเต้นแบบละตินนั้นเร็วกว่าบอลรูม

   “พี่ขอพักหน่อยนะเอเดรียน” หลังจากหมุนจนตาลาย ซูเล่ยก็ทรุดนั่งพิงที่นั่งของโซฟาพลางเงยศีรษะไปด้านหลังเพื่อให้สมองของตนหยุดหมุน

   “ซูเต้นเก่งแล้ว” เหมือนเอเดรียนจะติดนิสัยให้กำลังใจคนอื่นมาจากที่ไหนสักแห่ง อาจจะเป็นที่โรงเรียนของพ่อก็เป็นได้ ทุกครั้งที่เขาหยุด เอเดรียนมักจะพูดแบบนี้และพยายามชวนให้เขาหมุนกับเธอต่อไป “แดดดี้เห็นจะตกใจแน่เลย” เด็กสาวชูไม้ชูมือแล้วโดดลงมานั่งตัก มือก็ยังกอดกระต่ายตัวโปรดไม่ยอมปล่อย ซึ่งตอนนี้ขนของมันเริ่มจะมีรอยเปื้อนขึ้นมาอีกแล้ว

   “พี่ว่าแดดดี้คงจะเห็นเป็นเรื่องตลกมากกว่า...” ผู้ชายตัวโตเต้นกับเด็กสองขวบด้วยการหมุนไปรอบห้องอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไม่เรียกน่าขำก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว “จริงสิเอเดรียน วันก่อนนี้ที่ไปบ้านยูล่าเป็นยังไงบ้าง? ยูล่าดูใจดีกับแดดดี้มากไหม?”

   เอเดรียนทำท่านึกอยู่สักพักแล้วพยักหน้า

   “ยูล่าใจดีกับทุกคน เอเดรียนด้วย แดดดี้ด้วย”

   “จริงหรือ? แล้วทำอะไรกันบ้างล่ะ?” ซูเล่ยตะล่อมถาม

   “กินเสร็จแล้วยูล่าบอกว่าอยากเห็นเอเดรียนเต้น แดดดี้บอกยูล่าว่าเอเดรียนเต้นเก่งยูล่าเลยอยากเห็น” การเล่าเรื่องในแบบของเด็ก ๆ ทำให้สับสนอยู่เล็กน้อยแต่ซูเล่ยก็เริ่มคุ้นชินแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจกับลำดับเหตุการณ์นักและพยายามจับใจความสำคัญมากกว่า “เอเดรียนเต้น ๆ ให้ยูล่าดู แล้วยูล่าก็สอนเต้นอีกหลายเพลง ชวนแดดดี้มาเต้นด้วย แต่ก็ถึงเวลาทำงานของแดดดี้ ก็เลยไปเต้นต่อที่โรงเรียนด้วยกัน ยูล่าทำอาหารใส่กล่องไปด้วยก็เลยอิ่ม”

   “ตอนเรียนเอเดรียนเต้นกับแดดดี้หรือเปล่า?”

   เด็กหญิงส่ายศีรษะ

   “ยูล่าเต้นกับแดดดี้ให้ทุกคนดู ยูล่าบอกเอเดรียนว่าชอบเต้นกับแดดดี้ แล้วก็มองแดดดี้ตลอดเลย”

   ซูเล่ยส่งเสียงรับเบา ๆ ในคอ ฟังเรื่องราวแล้วดูเหมือนตัวอังเดรจะไม่ได้คิดอะไรพิเศษกับยูล่านัก แต่ฝ่ายหญิงคงจะมีความหวังอยู่ไม่น้อย เพราะตอนนี้อังเดรก็อยู่ในสถานะอิสระจากการแต่งงานแล้ว ซ้ำผู้หญิงที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดก็มีแค่ลูกสาวกับตัวยูล่าที่เป็นผู้ช่วยสอน

   แล้วผู้หญิงคนนั้นจะอาศัยโอกาสนี้รุกจีบอย่างจริงจัง หรือว่าแอบมองอยู่เฉย ๆ เหมือนที่ผ่านมากันนะ?

   “ซูยังงอนอยู่เหรอ?” เอเดรียนเอียงคอเล็กน้อยพลางช้อนตาแป๋วมองพี่เลี้ยงของตนที่มักจะเงียบไปหลังจากพูดถึงเรื่องยูล่าขึ้นมา

   “ก็เอเดรียนไม่ยอมกลับมากินอาหารฝีมือพี่นี่” ชายหนุ่มกลบเกลื่อนความคิดตนเองโดยแสร้งทำเป็นงอนจริง ๆ การตบตาเด็กนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่หากอังเดรนึกสังเกตขึ้นมาอีกคน เขาอาจจะใช้มุกตื้น ๆ แบบนี้ไม่ได้ผลและทำได้แค่บอกปัดเหมือนอีกฝ่ายคิดมากเกินไปแทน

   “ไม่เอาไม่งอนนะ เอเดรียนชอบอาหารของซูมาก ๆ เลย” เด็กหญิงซุกอ้อนพี่เลี้ยงอย่างน่ารักน่าใคร่ “ผักใบเขียว ๆ ที่ซูทำไม่ขมแล้ว เอเดรียนกินหมดด้วยนะ” และเพื่อเอาอกเอาใจพี่เลี้ยงของตนให้อารมณ์ดี เธอจึงยกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อันแสนภาคภูมิใจขึ้นมาพูด

   “จริงหรือ? พี่ไม่ทันดูเสียด้วยสิ เอเดรียนอาจจะแอบเอาไปใส่จานแดดดี้ก็ได้”

   “เอเดรียนกินหมดจริง ๆ นะ คืนนี้เอเดรียนจะกินอีก” เธอพูดด้วยท่าทางมุ่งมั่นน่าเอ็นดู

   “ครับ ๆ พี่จะรอดู” ซูเล่ยพูดจบ หูก็แว่วเสียงประตูหน้าบ้าน “แดดดี้กลับมาแล้วแหน่ะ” เมื่อเอเดรียนได้ยินก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปทางหน้าบ้านทันทีก่อนจะเดินกลับเข้ามาพร้อมกับเจ้าของบ้านซึ่งไม่ทันจะได้ถอดเสื้อโค้ท ส่วนผ้าพันคอก็เพิ่งจะดึงออกได้แค่ครึ่งทาง

   “เดี๋ยวสิเอเดรียน จะพาแดดดี้ไปไหนน่ะ” อังเดรรู้สึกแปลกใจที่วันนี้ลูกสาวดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ

   “ไปกินข้าวเย็น เอเดรียนจะกินผักให้ซูเล่ยดู”

   อังเดรหันไปมองเจ้าของชื่อที่ยังคงนั่งพิงกับโซฟาอย่างหมดสภาพ

   “ถ้าอย่างนั้นแดดดี้ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกันนะ เอเดรียนไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนก็แล้วกัน”

   เอเดรียนพยักหน้าแรง ๆ หลายครั้งแล้ววิ่งไปดึงมือซูเล่ยแทน

   “ซู ไปกินกัน”

    โดนทั้งฉุดทั้งลากอย่างไม่ยอมแพ้ ซูเล่ยก็ต้องยอมลุกขึ้นทั้งที่ยังเหนื่อยกับการออกกำลังกายอันไร้แก่นสารมาทั้งวัน

   “ซู คืนวันศุกร์นี้น้องชายของฉันจะมาเยี่ยมแล้วยูล่าก็อาจจะมาด้วย เธอเตรียมคิดเมนูไว้ด้วยก็แล้วกัน” อังเดรสั่งขณะที่เดินสวนกัน ซูเล่ยแค่รับคำสั้น ๆ แล้วพาเอเดรียนเข้าห้องครัวไป

------------------------------>

   ซูใช้เวลาในช่วงคืนวันพฤหัสคิดว่าเย็นวันพรุ่งนี้จะทำอะไรรับรองแขก สำหรับคนอเมริกัน ธรรมเนียมการชวนมากินอาหารที่บ้านนั้นเป็นเพียงแค่การกินอาหารกันจริง ๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าการกินอาหารและพูดคุยและแยกย้ายกันกลับ ผิดกับธรรมเนียมของคนเอเชียที่การเชิญแขกมากินอาหารที่บ้านจะต้องรับรองอย่างดีด้วยอาหารมื้อพิเศษที่ทำให้แขกอิ่มเอมจนลืมไม่ลง แม้ว่าซูจะเติบโตมากับธรรมเนียมของทั้งสองฝั่งแต่ก็เป็นคนละช่วงวัย และช่วงวัยที่มีอิทธิพลกับเขามากที่สุดกลับอยู่ในวัฒนธรรมแบบตะวันออก เพราะเหตุนั้น...คำว่าเตรียมเมนูเพื่อรับแขกจึงทำให้เขาคิดไม่ตกว่าวัตถุดิบที่เหลือจะสามารถทำอะไรให้แขกประทับใจได้บ้าง

   “ซู เล่นกับเอเดรียน” เพราะวันนี้เขาใช้สมาธิไปกับการคิดเมนูล่วงหน้าทำให้ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเอเดรียนนัก ซึ่งทำให้เด็กหญิงเริ่มจะงอแงที่ไม่ได้รับความสนใจ

   “เอเดรียน อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” เมื่อคิดไม่ออกจึงหันไปหาตัวช่วย เอเดรียนก็หยุดงอแงและเริ่มกลอกตา

   “สปาเก็ตตี”

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วเล็ก ๆ ก็ใช้ว่าเขาจำทำไม่เป็น เพียงแต่เขาไม่ค่อยชอบสูตรที่เต็มไปด้วยชีสสักเท่าไหร่ แต่หากทำแบบมีรสเผ็ดเอเดรียนก็จะกินไม่ได้ คงจะต้องเอาแบบกลาง ๆ เน้นเครื่องเทศรสอ่อน ๆ กระมัง...

   “แล้วก็สลัดดีไหม? เอเดรียนกินผักได้แล้วนี่” แต่ผักที่มีมันเริ่มจะเหี่ยวแล้วนี่สิ อาจจะออกมาไม่ค่อยสวยก็ได้ ใส่อย่างอื่นนอกจากผักเพิ่มสีสันหน่อยก็แล้วกัน เมื่อสรุปได้อย่างนั้นซูเล่ยจึงเริ่มลิสต์รายการเพิ่มอย่างรวดเร็วซึ่งพอรวม ๆ กันแล้วก็พอเรียกว่าอาหารมื้อหรูได้อยู่

-------------------------->

   ในวันต่อมา อังเดรที่กลับมาถึงบ้านในตอนค่ำพร้อมอาร์เลนและยูล่าก็ต้องรู้สึกถึงอาการโหยหิวของกระเพาะที่ไต่ขึ้นมาตามหลอดอาหารเมื่อกลิ่นหอมของเนื้อหมูอบหมักซอสกรุ่นกำจายมาจนถึงหน้าบ้านทันทีที่เปิดประตู เขาคิดว่าได้ยินเสียงท้องร้องเบา ๆ ทั้งจากตนเองและคนที่เดิมตามหลังเข้ามา

   ซูเล่ยอยู่ในครัวกับเอเดรียน ทั้งสองกำลังช่วยกันจัดโต๊ะโดยที่ส่วนใหญ่แล้วซูเล่ยจะเป็นคนทำ และเอเดรียนนั่งที่เก้าอี้ตัวสูงสำหรับเด็กจับช้อนส้อมวางเป็นคู่ ๆ

   อาหารบนโต๊ะประกอบด้วยสปาเกตตีผัดน้ำมันมะกอกใส่เบคอนประดับหน้าด้วยโหระพาคนละจาน มีสลัดผักที่ประดับด้วยไข่ต้มและหมูอบซอสสไลด์บางราดด้วยน้ำสลัดที่ทำเองเป็นเครื่องเคียง ส่วนตรงกลางยังมีจานเนื้อหมูอบที่หั่นเป็นชิ้นพอคำราดด้วยน้ำซอสที่ได้จากการอบอีกด้วย

   อาหารมื้อหรูหราราวกับเมนูร้านอาหารทำให้ทั้งสามต่างนิ่งค้างเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบรรจงตระเตรียมถึงขนาดนี้ ในความคิดของพวกเขาต่างก็คิดว่าเป็นแค่อาหารง่าย ๆ คนละจานเท่านั้นเอง

   “คุณซูทำอาหารเก่งจริง ๆ ฉันเทียบไม่ได้เลย” ยูล่าชื่นชมด้วยดวงตาเป็นประกาย เพราะเธอไม่ค่อยได้พบเจอผู้ชายที่เก่งการบ้านการเรือนนัก

   ซูเล่ยยิ้มรับคำชมและเชิญแขกมานั่งที่โต๊ะ

   “แล้วคุณซูไม่ทานด้วยกันหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าซูเล่ยไม่มีจานของตนเองและทำท่าจะเดินปลีกตัวออกไปจากโต๊ะ

   “ผมมีส่วนของตัวเองแล้วครับ ทุกคนเชิญตามสบาย” ซูเล่ยตอบก่อนจะรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกมองอย่างพิจารณาจากใครคนหนึ่ง ชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายอังเดรแต่ดูเด็กกว่าหลายปี อาร์เลน น้องชายของอังเดร ซูเล่ยหลบสายตาเดินออกมาโดยที่รู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายมองตนเพราะอะไร เพราะเขาก็จำหน้าอีกฝ่ายได้เช่นกัน

   ถึงอย่างนั้นอาร์เลนกลับไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเลย เจ้าตัวเป็นคนค่อนข้างพูดน้อยเหมือนกับพี่ชายและส่วนใหญ่ก็จะตอบรับการชวนคุยของเอเดรียนมากกว่าเรื่องจิปาถะที่โรงเรียนที่ยูล่าและอังเดรเล่าสู่กันฟังโดยมีเอเดรียนช่วยผสมโรงด้วยเป็นช่วง ๆ ส่วนซูเล่ยก็ตักสปาเกตตีและสลัดใส่จานแยกมานั่งกินคนเดียวในห้องนั่งเล่นโดยเปิดโทรทัศน์ดูแก้เบื่อไปด้วย

   พอถึงสองทุ่มครึ่ง ซูเล่ยก็ต้องพาตัวเองเข้าไปขัดจังหวะการพูดคุยเพื่อเตือนให้อังเดรพาเอเดรียนขึ้นนอน หลังจากนั้นราว ๆ ครึ่งชั่วโมงยูล่าและอาร์เลนก็ขอตัวกลับเช่นกัน

   อังเดรส่งแขกเรียบร้อยก็เข้ามานั่งที่โซฟาซึ่งซูเล่ยกำลังดูรายการวาไรตี้รอบดึกอยู่

   “พวกเขาบอกว่าเธอทำอาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะยูล่าเหมือนจะชื่นชมเธอเป็นพิเศษ” ชายหนุ่มพูดพลางเอนพิงพนักโซฟาและลอบมองปฏิกิริยาของซูเล่ยที่น่าจะแสดงความกระตือรือร้นออกมาบ้างหากสนใจในตัวยูล่าอย่างที่เขาสงสัย ทว่าซูเล่ยกลับดูเฉยเมยและแค่ตอบรับในคอสั้น ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ที่จริงแล้วถ้าเธอนึกสนใจยูล่าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรอก ตัวยูล่าเองก็ไม่ได้ถือตัวอะไร” เขาลองหยอดไปอีกประโยค ทว่าครั้งนี้ซูเล่ยกลับหันมามองแล้วเหยียดยิ้มเสมือนสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องตลกขบขัน

   “คุณนี่มีนิสัยชอบคิดไปเองมาตั้งแต่แรกหรือเพิ่งมาเป็นเอาตอนหลังกันแน่นะ?”

   ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเข้าหากัน

   “เธอเป็นคนบอกให้ฉันชวนยูล่ามาเองไม่ใช่หรือไง?”

   “ก็คุณไปกินอาหารบ้านเขา ก็ต้องชวนมาบ้านเป็นการตอบแทนอยู่แล้ว ผมเป็นพ่อบ้านของคุณก็ต้องมีหน้าที่ดูแลทุกอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่องไม่ใช่หรือครับ?” ซูเล่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงแววขำขัน “อีกอย่าง ผมไม่คิดจะยุ่งกับผู้หญิงที่มีคนอื่นในใจแล้วหรอก”

   “เธอไปรู้ได้ยังไงว่ายูล่าชอบใครอยู่?”

   “เพราะว่าผมอยู่ในจุดที่มองเห็นล่ะมั้ง” เจ้าของร่างเล็กไหวไหล่ก่อนจะลุกขึ้นและหมุนตัวมายืนตรงหน้าอังเดรและโน้มตัวลงท้าวแขนกับพนักโซฟา “แต่...ถึงผมจะไม่ชอบยุ่งกับคนที่มีคนอื่นในใจ ผมกลับชอบยุ่งกับคนที่อยู่ในใจคนอื่นนะครับ”

   สีหน้าขออังเดรดูจะสับสนอยู่ไม่น้อยเพราะไม่เข้าใจจุดประสงค์ในคำพูดของซูเล่ยเลยสักคำเดียว ซึ่งสีหน้าเช่นนั้นกลับเปลี่ยนไปเมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาใกล้และรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดลงมาบนปลายจมูก อังเดรรวบรวมสติกระชากแขนฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงและดึงให้เสียหลักลงบนโซฟาก่อนที่ตนเองจะทะลึ่งตัวขึ้นยืนด้วยท่าทางขุ่นเคือง

   “จะล้อเล่นก็ให้มันน้อย ๆ หน่อย ถึงฉันจะจำเป็นต้องจ้างเธอเอาไว้เพราะไม่อยากมีปัญหากับคนที่ส่งเธอมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรตามใจได้ทุกเรื่อง”

   ถึงแม้จะถูกต่อว่าด้วยท่าทางขึงขัง แต่ซูเล่ยก็ยังคงหัวเราะได้

   “แต่ว่า...” เขาทิ้งจังหวะเล็กน้อยพลางเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างมีเลศนัย “คุณเองก็ไม่ได้รังเกียจผู้ชายเสียหน่อย”

   อังเดรมองกลับมาคล้ายกำลังตั้งคำถามบางประการต่อความมั่นอกมั่นใจในคำพูดของซูเล่ย แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเงียบและหมุนตัวเดินไปทางบันได

   “ถ้าทำเรื่องแบบนี้อีกอย่างหาว่าฉันไม่เตือน” พูดจบเจ้าตัวก็ชะงักเท้าเล็กน้อยก่อนหันกลับมาและกดเสียงต่ำเย็นเยือก “โดยเฉพาะต่อหน้าเอเดรียน”

   ซูเล่ยฟังผ่าน ๆ และปล่อยให้อังเดรเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ

   ยังไง...เขาก็เป็นคนที่ถูกปฏิเสธจนเคยชินเสียแล้วนี่นะ...

----------------------------->

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
« ตอบ #19 เมื่อ: 22-10-2013 14:26:57 »





ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
«ตอบ #20 เมื่อ22-10-2013 14:27:34 »


   “ซูทะเลาะกับแดดดี้เหรอ?” พอถูกถามเอาตรง ๆ อย่างนี้ แม้แต่ซูเล่ยก็สะดุ้งอยู่ในใจเหมือนกัน

   “ทำไมเอเดรียนคิดแบบนั้นล่ะ?”

   “ก็...วันนี้แดดดี้ไม่พาซูไปซื้อของด้วย ทำหน้าแบบนี้ตลอดเลย” เอเดรียนเอานิ้วดันหัวคิ้วตนเองให้ขยับเข้าหากันจนชิด “เอเดรียนถามแดดดี้แล้ว แดดดี้ไม่ยอมบอก”

   คงเพราะเรื่องเมื่อคืน...

   ซูเล่ยเดาไม่ยากนัก เพราะก็เป็นอย่างที่เอเดรียนบอกจริง ๆ ปกติเขากับอังเดรก็คล้ายตั้งป้อมกันอยู่กลาย ๆ อยู่แล้ว หากไม่จำเป็น อังเดรก็แทบจะไม่มองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เขามาทำงานที่นี่ แต่บทสนทนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวของพวกเขายังแทบจะนับคำได้ทั้งนี้เพราะอังเดรยังคงมองว่าเขาเป็นสายของพ่อตาซึ่งมันก็ไม่ผิดไปจากที่คิดสักเท่าไหร่ แต่อย่างไรต่อหน้าเอเดรียน อังเดรก็ยังฝืนที่จะทำเป็นไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ นอกจากครั้งนี้ที่เจ้าตัวแสดงออกชัดเจนเสียจนแม้แต่เด็กก็ยังสังเกตได้

   “แดดดี้อาจจะท้องผูกก็ได้”

   “ท้องผูก?” เอเดรียนทำตาโตและเอียงคอ “ผูกยังไงเหรอ?”

   “อืม...เวลาท้องผูกจะรู้สึกปวดท้องมากและหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา ถ้ากินผักน้อยก็จะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ” ซูเล่ยตอบอย่างไม่จริงจังแต่ผู้ฟังกลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวอาการท้องผูกขึ้นมาจริง ๆ

   “เอเดรียนไม่อยากท้องผูก” มือเล็ก ๆ กอดกระต่ายแนบท้องแล้วคุดคู้เหมือนพยายามซ่อนหน้าท้องตนเองจากบางสิ่งบางอย่าง “ต่อไปจะกินผักเยอะ ๆ ทำให้แดดดี้กินเยอะ ๆ ด้วยนะ”

   “แล้วไปซื้อของกับแดดดี้รอบนี้ซื้อผักมาเยอะหรือเปล่าล่ะ?” ดูเหมือนเหตุผลบ้า ๆ ที่คิดขึ้นมาได้อย่างกะทันหันจะหันเหความสนใจของเอเดรียนได้ดีกว่าที่คาด เพราะหลังจากนั้นเอเดรียนก็ไม่ได้ถามสาเหตุที่เขากับพ่อของตนเองวางตัวอยู่ห่างกันอีก

   แต่อย่างไร...หลังจากนี้การเข้าหน้ากับอังเดรคงลำบากขึ้นกระมัง...

   ปกติระดับความสัมพันธ์ของเขากับอังเดรก็เริ่มขึ้นแบบติดลบอยู่แล้ว ถึงแม้การทำหน้าที่ของเขาในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจะช่วยให้ค่าเข้าใกล้ศูนย์มากขึ้น แต่สุดท้ายเพราะเกิดนึกฉุนขึ้นมาเมื่อคืนนี้ก็เลยเผลอหยอกแรงไปหน่อย ทำให้คะแนนของเขาร่วงกราวลงไปกว่าเดิม ไม่รู้ว่าคะแนนติดลบในใจอีกฝ่ายมีลิมิตอยู่ที่เท่าไหร่ รู้แต่ว่าตอนนี้มันน่าจะเกินครึ่งทางไปแล้ว

   ในขณะที่คิดเช่นนั้น จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ริงโทนแปลกหูทำให้เอเดรียนเกิดสนอกสนใจเพราะเธอเคยฟังแต่เพลงคลาสสิกของพ่อเท่านั้น

   “เพลงอะไรเหรอซู?”

   “เดี๋ยวค่อยบอกนะ ขอพี่คุยโทรศัพท์ก่อน” ซูเล่ยว่าทั้งที่ตนเองยังตกใจอยู่นิดหน่อยที่เห็นเบอร์ของอังเดรโชว์อยู่บนจอ “สวัสดีครับ” ทันทีที่เขาทักทาย ต้นสายก็พ่นลมหายใจพรืดเหมือนกำลังฝืนอกฝืนใจ

   “วันนี้ฉันจะกลับช้าหน่อย เธอพาเอเดรียนขึ้นนอนก่อนได้เลย แต่ทิ้งอาหารค่ำไว้ให้สักหน่อยก็แล้วกัน” สั่งจบก็ตัดสาย เหมือนกับว่าคร้านจะฟังคำตอบรับ

   กลายเป็นที่น่ารังเกียจไปจริง ๆ แล้วสินะเนี่ย...

   “อะไรเหรอ? คุยกับใครเหรอ?” เด็กหญิงเขย่าแขนถามด้วยความใคร่รู้

   “แดดดี้น่ะ บอกว่าคืนนี้จะกลับค่ำ คงต้องอยู่กับพี่สองคนแล้วล่ะนะ” ซูเล่ยถอนหายใจเพราะไม่รู้จะบอกเหตุผลอย่างไรดีในเมื่อตนเองก็ยังไม่รู้เหตุผลเลยแม้แต่นิดเดียว “งั้นเราไปกินข้าวเย็นกันเถอะ” ว่าจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วจูงมือเอเดรียนเข้าห้องครัวไปด้วยกัน

   และคืนนั้น ก็เป็นคืนแรกที่เอเดรียนไม่ได้ถูกพาขึ้นนอนโดยพ่อของตน ทำให้เด็กหญิงเกิดเหงาขึ้นมาเพราะไม่ชินกับการไม่มีพ่ออยู่ข้าง ๆ ตอนเข้านอน

   “เอเดรียนยังไม่อยากนอน” มือเล็กจับซูเล่ยแน่น อีกมือก็กอดกระต่ายตัวโตแนบอก

   “แต่มันถึงเวลานอนแล้วนะ เดี๋ยวแดดดี้กลับมาก็คงเข้ามาจูบราตรีสวัสดิ์เองนั่นแหละ” ชายหนุ่มไม่เคยกล่อมเด็กมาก่อน เมื่อเห็นเอเดรียนเริ่มงอแงเรื่องการนอนจึงไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่นึกโทษอังเดรอยู่ในใจที่ไม่ยอมกลับมาทำหน้าที่พ่อที่ดีด้วยการส่งลูกสาวเข้านอนให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกไปร่อนต่อ ที่จริงแล้ว เขาจะปล่อยมือเอเดรียนแล้วเดินออกไปเฉย ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้หลับไปเองก็ได้ แต่กลับทำไม่ลงเพราะอีกฝ่ายกลับร้องขึ้นมา...

   “มามี้...”

   มันไม่ใช่ความสงสารที่ต้องเห็นเด็กคนหนึ่งร้องหาแม่ที่ตายไปแล้ว แต่ว่า...

   “เอเดรียนจะหามามี้...แดดดี้ทิ้งเอเดรียน...” เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มสะอื้นหาคนที่คุ้นเคยทั้งที่ไม่ได้ถามหามานานแล้ว แต่ทั้งที่ร้องหาแม่ กลับไม่ยอมปล่อยมือเขาเสียที...

   ในหัวซูเล่ยมีภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเติบโตขึ้นมาโดยได้แต่อิจฉาครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ครอบครัวที่พรั่งพร้อมไปด้วยพ่อ แม่ และลูก รอบตัวเขามีแต่คนเช่นนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่บกพร่อง ทุกครั้งที่เรียกหาใครบางคน จะมีแต่แม่ของเขาที่เข้ามาโอบกอด ทว่าในบางครั้ง แม่ของเขาก็หายไปจากสายตา ไปที่ไหนสักแห่งซึ่งเขาไม่รู้จักและจำต้องหลับตาลงเพียงลำพัง

   “มามี้...จะเอามามี้...” แม้จะง่วงแล้วแต่เอเดรียนกลับไม่ยอมหลับง่าย ๆ เธอหลับหูหลับตาร้องไห้ไม่หยุด ส่วนกระต่ายที่กอดอยู่ตอนนี้กลายเป็นผ้าเช็ดน้ำตาไปเสียแล้ว

   ซูเล่ยตัดสินใจลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งลงข้าง ๆ เตียง

   “หยุดร้องไห้ได้แล้วเอเดรียน พี่จะนั่งเป็นเพื่อนแทนก็ได้” ถึงเขาจะพูดแบบนั้นแล้วแต่เอเดรียนก็ยังไม่ยอมหยุดร้อง เพียงแค่ยอมลืมตาขึ้นมองแล้วป้ายน้ำตาจนเลอะหน้าก่อนสะอึกสะอื้น ซูเล่ยทนมองไม่ไหวจึงหันไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าให้แทน “ถ้าไม่ยอมหยุดร้องพี่จะกลับห้องแล้วนะ” เพราะคำพูดนั้น เอเดรียนจึงยอมกลั้นหายใจฮึกเพื่อหยุดเสียงร้องไห้ตัวเอง

   “นอนเป็นเพื่อนเอเดรียนนะ” เด็กหญิงช้อนตามองอย่างอ้อนวอน

   “เตียงเอเดรียนเล็ก พี่ขึ้นไปนอนไม่ได้หรอก”

   “เอเดรียนไม่อยากนอนคนเดียว ไปนอนห้องซูก็ได้”

   เอาแบบนั้นดีไหมนะ? แต่หากไม่ตามใจตอนนี้ เอเดรียนคงไม่ยอมปล่อยให้เขากลับห้องจนกว่าจะหลับแน่ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอจะยอมหลับเมื่อไหร่อีกทั้งยังไม่รู้ว่าอังเดรจะกลับมากี่โมงกี่ยาม คิดสรตะไปแล้ว ซูเล่ยจึงพยักหน้าอนุญาตอย่างเลี่ยงไม่ได้

   เอเดรียนผุดลุกจากเตียงทันทีและโผกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ทำให้เขาต้องเป็นคนอุ้มเอเดรียนไปที่ห้องเพราะเจ้าตัวไม่ยอมลงเดินเอง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เด็กคนนี้หยุดร้องและยอมหลับไปอย่างเงียบ ๆ ได้ในที่สุดถึงจะไม่ยอมปล่อยมือเขาจนกระทั่งหลับเลยก็ตาม

-------------------------->

   เกือบสี่ทุ่มแล้วที่อังเดรกลับมาถึงบ้าน เขาพบว่าบ้านเงียบสนิทและมืดสลัว มีแต่ไฟในห้องครัวที่เปิดทิ้งเอาไว้และบนโต๊ะก็มีอาหารจานเดียวที่ห่อพลาสติกแรปอย่างดีตั้งไว้รอท่า

   ชายหนุ่มหยิบจานไปใส่ตู้เย็นเพราะสุดท้ายก็กินเสร็จสรรพมาจากข้างนอก

   เขาเดินขึ้นไปที่ห้องของเอเดรียนก่อนเพื่อจะได้มั่นใจว่าลูกสาวตนเองนอนหลับเรียบร้อยแล้ว ทว่า...เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปกลับพบความว่างเปล่า เอเดรียนไม่ได้อยู่บนเตียง แต่มีร่องรอยว่าเคยนอนอยู่และลุกออกไปเพราะผ้าห่มกางคลุมเตียงอย่างลวก ๆ และยับยู่ยี่ ข้างเตียงของเอเดรียนมาเก้าอี้ตั้งไว้ เป็นเก้าอี้ที่เขานำมาวางเพราะต้องใช้เมื่อเอเดรียนไม่ยอมนอนแต่โดยดีจึงต้องนั่งกล่อมให้หลับ แต่ทุกครั้งที่ใช้เสร็จเขาจะเลื่อนไปเก็บที่ข้างตู้ การที่มันถูกวางแบบนี้แสดงว่าซูเล่ยนำมาใช้หรือ?

   ถ้าอย่างนั้น...เอเดรียนก็อาจจะอยู่กับซูเล่ย?

   อังเดรปิดประตูห้องเอเดรียนแล้วสาวเท้าตรงไปยังห้องของซูเล่ยซึ่งอยู่สุดทางเดินชั้นสอง ลองบิดลูกบิดก็พบว่าไม่ได้ลงกลอนจึงเปิดเข้าไปอย่างช้า ๆ ให้เกิดเสียงน้อยที่สุด เขามองผ่านแสงซึ่งสาดส่องจากระเบียงทางเดินเข้ามาในห้องจนเห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มร่างเล็กที่นอนตะแคงอยู่บนเตียง เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามีด้านของเตียงแคบ ๆ ขนาดนอนได้คนเดียวมีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งนอนซุกอยู่ด้วยพร้อมกับตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดที่ไม่เคยห่างมือ มือของเอเดรียนคลายจากมือของซูเล่ยแล้วเล็กน้อย

   เสียงถอนหายใจแผ่วเบาอย่างโล่งใจค่อย ๆ จางไปกับบรรยากาศ ชายหนุ่มร่างสูงโน้มตัวผ่านเจ้าของเตียงและเอื้อมมือไปขยับตัวเด็กหญิงทีละน้อยเพื่อไม่ให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ทว่า...

   “ปล่อยเธอนอนไปเถอะครับ...” เสียงของซูเล่ยกระซิบผ่านอากาศก่อนที่เจ้าตัวจะลืมตาขึ้นมาและขยับตัวลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง “รู้ไหมว่าผมใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเธอจะยอมหลับได้”

   “พอดีว่าฉันติดธุระนานไปหน่อย...”

   “ช่างเถอะ เรื่องนั้นคุณต้องไปแก้ตัวกับเอเดรียนเอาเอง ผมไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตคุณอยู่แล้ว” พูดไป เจ้าของประโยคก็หยัดตัวลุกจากเตียงและเบี่ยงตัวหลบอังเดรก่อนเดินสวนออกมา

   “แล้วเธอจะไปไหน?”

   “ก็ดูเหมือนว่าคุณจะมีความกังวลเกี่ยวกับอุปนิสัยของผม เพื่อไม่ให้คุณกังวลผมก็เลยจะไปนอนที่โซฟาข้างล่าง จะได้ไม่ต้องอุ้มเอเดรียนไปให้เสี่ยงตื่นมางอแง” ทุกถ้อยคำของซูเล่ยบ่งบอกว่าเจ้าตัวจงใจประชดประชันเต็มที่จนอังเดรรู้สึกผิดขึ้นมาแม้จะยังมีอคติกับอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม ชายหนุ่มร่างสูงจับบ่าอีกฝ่ายรั้งไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวไปถึงประตูแล้วพรูลมหายใจหนักหน่วง

   “เธอนอนไปเถอะ ถ้าเอเดรียนตื่นขึ้นมาในห้องที่ไม่คุ้นเคยและไม่เจอใคร เดี๋ยวจะมีปัญหาหนักกว่าเดิม” คำพูดของอังเดรเรียกให้ซูเล่ยเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย

   “ถ้าแบบนั้นคุณนอนแทนไม่ดีกว่าหรือครับ?”

   “ที่ฉันไม่กลับมาส่งเข้านอนเอเดรียนคงจะงอนเอาเรื่อง ไว้เจอกันตอนเช้าแล้วฉันอธิบายทีเดียวจะดีกว่า” อังเดรว่าจบก็เดินผ่านออกไปแทน “ยังไงก็...ขอบคุณที่ช่วยดูแลเอเดรียนแทนฉันด้วยก็แล้วกัน”

   อังเดรออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ เหมือนตอนที่เข้ามา ซูเล่ยมองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายทั้งที่ยังกังขาอยู่ว่าธุระที่ทำให้กลับดึกขนาดนี้คืออะไร แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ควรจะไปซอกแซกให้มากความเพราะเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ถลำลึกเข้าไปในวิถีชีวิตของผู้ชายคนนี้มากเกินไป หากไม่ใช่เรื่องที่คนคนนั้นสั่งให้จับตาดูแล้ว นอกนั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา...

   ซูเล่ยพยายามเตือนตัวเองเช่นนั้น

TBC


---- ทอล์คเบาๆ

ตอนที่เซียร์คิดพล็อตเรื่องนี้อยู่ เป็นตอนที่เซียร์กำลังคิดหนังเรื่อง Take the Lead มาก ดูซ้ำดูซากไม่รู้จักเบื่อ เพราะคุณอันโตนิโอแสดงเป็นปิแอร์ ดูเลน ได้หล่อลากเท่ห์สะบัดเหลือเกิน /หอบหื่น(?) ทำให้เซียร์รู้สึกว่า ผู้ชายที่เต้นลีลาศเก่งเนี่ย มีเสน่ห์เอามากๆเลยน้า~ ก็เลยถือกำเนิดเป็นตัวละครพี่น้องอังเดรกับอาร์เลนขึ้นมาด้วยประการฉะนี้แหละค่ะ ^ ^

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
«ตอบ #21 เมื่อ22-10-2013 14:51:30 »

อัยยะ
อยากอ่านต่อเสียจริง
ซุน่ารักออกขนาดนี้
คุณอังเดรนี่ไม่มีทีท่าจะสนใจบ้างเลยหรือไงนะ อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2013 15:58:20 โดย Rafael »

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
«ตอบ #22 เมื่อ22-10-2013 15:01:02 »

เหมือนเมียรอสามีกลับบ้านดึกเลย

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
«ตอบ #23 เมื่อ22-10-2013 17:04:35 »

อ้าวหมดแล้วหรือนี้

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
«ตอบ #24 เมื่อ22-10-2013 18:41:09 »

พี่จำไม่ได้แต่น้องจำได้ เอ๊ะยังไง

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 3 [22/10/13]
«ตอบ #25 เมื่อ24-10-2013 15:18:48 »

ที่จริงอังเดรก็จำได้รางๆนะคะ แต่ไม่ได้เก็บมาคิดซ้ำเท่านั้นเอง 555

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
«ตอบ #26 เมื่อ25-10-2013 15:59:08 »

-4-


   “เอเดรียนโกรธแดดดี้” บทสนทนายามเช้าเริ่มขึ้นด้วยสีหน้าเง้างอนของเด็กหญิงวัยสองขวบปี เธอพองแก้มแล้วกอดอกไม่ยอมสบตาผู้เป็นพ่อซึ่งเพียรพยายามจะเอาอกเอาใจสารพัดเพื่อให้เธออารมณ์ดีขึ้นแต่มันก็ไม่ได้ผลเอาเสียเลย “ต่อไปนี้ เอเดรียนจะรักซูมากกว่าแดดดี้แล้ว”

   “อย่าพูดแบบนั้นสิเอเดรียน แดดดี้ต้องไปส่งยูล่านะ”

   ยูล่า?

   พอได้ยินชื่อหญิงสาวคนนี้ ซูเล่ยก็ต้องเผลอให้ความสนใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

   “ส่งยูล่า?” เอเดรียนถามในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ

   “แถวที่พักยูล่าระยะนี้มีคนไม่ดีมาป้วนเปี้ยน เอเดรียนเองก็ไม่อยากให้ยูล่าถูกทำร้ายใช่ไหม?” เด็กหญิงได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าเร็ว ๆ “ดังนั้นระยะนี้แดดดี้เลยต้องไปส่งยูล่าที่อพาร์ทเมนต์ก่อนแล้วถึงจะกลับมาหาเอเดรียน เป็นเด็กดีให้ซูพาเข้านอนไปสักพักได้หรือเปล่า?”

   แม้เอเดรียนจะเป็นเด็กแต่ก็ค่อนข้างฉลาด เมื่อได้ฟังคำอธิบายจึงทำหน้าคับข้องใจโดยการขมวดคิ้วเสมือนกำลังไตร่ตรองอย่างหนักตามประสาเด็กก่อนยินยอมพยักหน้าในที่สุด

   “แต่แดดดี้ต้องจูบราตรีสวัสดิ์เอเดรียน”

   “แดดดี้จะจูบอรุณสวัสดิ์ตอนเช้าด้วย” ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็โน้มใบหน้าไปจูบกระหม่อมลูกสาวอย่างรักใคร่ เพียงเท่านี้เอเดรียนก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา จากนั้นอังเดรจึงหันมาทางพี่เลี้ยงเด็กซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร “หลังจากนี้ก็ช่วยดูแลต่อด้วยล่ะ”

   “ก็เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วนี่ครับ” ซูเล่ยตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจบทสนทนาเมื่อครู่เป็นพิเศษ ทว่าในใจของเขากำลังนึกสงสัย มันจะประจวบเหมาะเกินไปหรือเปล่าที่มีคนมาป้วนเปี้ยนแถวที่พักของยูล่าเอาเวลาอย่างนี้ เวลาที่อังเดรไม่มีใครที่บ้านให้เป็นห่วงเพราะภรรยาเสียชีวิตแล้วและลูกสาวก็มีคนดูแล และทำไมคนที่ถูกร้องขอจึงไม่ใช่อาร์เลนที่น่าจะไม่มีภาระผูกพันใด ๆ นอกจากนี้...หากนับจากเวลาเลิกงานของอังเดรตามปกติ ถึงจะออกนอกทางเพื่อไปส่งเพื่อนร่วมงานแต่ก็ไม่น่าจะกลับดึกถึงขนาดนั้นเพราะที่พักของยูล่าไม่น่าจะอยู่ไกลจากที่ทำงานมากนัก

   ช่วงเวลาที่หายไปมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?

   หรือเธอคิดจริงจังกับอังเดรและกำลังหาทางโน้มน้าวใจเขา?

   ชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อสรุปความ หากเป็นแบบนั้นจริง ๆ เขาก็อาจจะปล่อยให้มันผ่านไปอย่างเคยไม่ได้เสียกระมัง หลังจากนี้เป็นต้นไป...คงต้องสังเกตปฏิกิริยาของอังเดรที่มีต่อการกระทำต่าง ๆ ของยูล่าอย่างใกล้ชิดเสียแล้ว

   แต่แม้จะวางแผนในใจเช่นนั้น ซูเล่ยก็ยังมีคนอีกคนหนึ่งต้องดูแล เด็กหญิงซึ่งสามารถทำความเข้าใจต่อสถานการณ์รอบข้างได้แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำให้เขาปวดหัวอยู่ไม่ใช่น้อย

   “เอเดรียนจะไปปกป้องแดดดี้” จู่ ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นมาระหว่างมื้อเที่ยง

   “ไม่มีใครทำอะไรแดดดี้ของเอเดรียนหรอก” ซูเล่ยว่าพลางรินน้ำส้มใส่แก้ว

   “แต่ว่ามีคนไม่ดี...”

   “คนไม่ดีส่วนใหญ่จะชอบทำร้ายผู้หญิงน่ะ” ถึงจะไม่ได้ถามอังเดรว่าคนไม่ดีที่ว่านี้เป็นคนไม่ดีแบบไหน แต่หากเป็นความกลัวของผู้หญิงแล้วก็มักจะกลัวผู้ร้ายข่มขืนมากกว่าปล้นชิงทรัพย์ ดังนั้นความกลัวของยูล่าที่ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้อังเดรไปส่งที่อพาร์ทเมนต์ทุกคืนก็น่าจะเป็นคนไม่ดีแบบนี้เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าคนไม่ดีมีตัวตนจริงหรือไม่ หรือหญิงสาวแค่อุปทานไปเองก็สุดที่เขาจะคาดเดาได้

   “ไม่ทำร้ายแดดดี้เหรอ?” เอเดรียนถามพลางคาบช้อนไว้ในปากที่เลอะซอสมะเขือเทศ พี่เลี้ยงหันไปเห็นก็ถอนหายใจก่อนเด็ดทิชชู่ไปเช็ดปากให้

   “แดดดี้ของเอเดรียนไม่มีใครกล้าทำร้ายหรอก ชอบทำหน้าเฉยชาใส่คนอื่นแบบนั้นน่ะ คนไม่ดีเห็นก็วิ่งหางจุกก้นแล้ว” ถึงจะเกินความจริงไปโข แต่บางครั้งซูเล่ยก็คิดจริง ๆ ว่าอังเดรชอบใช้สีหน้าไล่คนตลอดเวลา หรือสีหน้าแบบนั้นจะมีให้เฉพาะเขากันนะ เพราะต่อหน้าเอเดรียน ยูล่า หรืออาร์เลน อังเดรก็วางท่าเป็นปกติ สีหน้าผ่อนคลายบ้าง ยิ้มหรือหัวเราะบ้าง มีแต่ต่อหน้าเขาเท่านั้นที่จะทำสีหน้าไร้อารมณ์

   “หางจุกก้น?” วลีใหม่ที่เด็กหญิงได้ยินดึงดูดความสนใจได้มากกว่าเรื่องของพ่อทำให้เธอละความสนใจจากความพยายามที่จะตามไปปกป้องพ่อของตนเองไปทันที

   “ก็...” ซูเล่ยกลอกตาไปมาเพื่อหาคำตอบ “เอเดรียนลองถามแดดดี้ดูสิ” สุดท้ายเขาก็ปัดภาระไปหาคนที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาและคิดว่าเอเดรียนคงจะลืมเรื่องนี้ไปในเวลาไม่นานเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ทว่า...เขากลับคิดผิดถนัด เพราะแม้คืนนั้นเธอจะไม่ได้เจอพ่อก่อนเข้านอน ทว่าในระหว่างมื้อเช้าวันถัดมา เธอก็เปิดบทสนทนาแรกของวันด้วยคำถามว่า หางจุกก้น คืออะไร

   หลังจากได้ยินคำถาม อังเดรก็หันมองหน้าซูเล่ยพร้อมสายตาเหมือนกำลังต่อว่าอยู่ในใจทันที แต่คนถูกตำหนิกลับแค่ไหวไหล่เสมือนจะตอบว่าไม่ใช่ความผิดของตนเอง อังเดรจึงได้แต่ถอนหายใจพรืดอย่างหงุดหงิดและหันไปยิ้มให้เอเดรียน

   “เอเดรียนเคยเห็นน้องหมาใช่ไหม? เวลาที่น้องหมากลัวอะไรขึ้นมาจะซ่อนหางไว้ระหว่างขา แบบนั้นแหละที่เรียกว่าหางจุกก้น” ถึงแม้คำเปรียบเทียบนี้จะไม่ได้หยาบคายแต่อย่างใดในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไป ทว่าสำหรับอังเดรแล้ว คำที่ใช้ในการเปรียบเทียบพฤติกรรมของสัตว์กับคนในลักษณะเหยียบหยามก็ยังไม่เหมาะสมกับวัยของเอเดรียนในตอนนี้เขาจึงอธิบายด้วยลักษณะที่ดูไม่น่าเกลียดเกินไปนัก

   “คนก็มีหางเหรอ?” เอเดรียนว่าแล้วพยายามคลำหางตนเองว่าตอนนี้จุกก้นอยู่หรือไม่

   “ไม่มีหรอก เป็นแค่คำเปรียบเทียบเท่านั้นเอง” ซูเล่ยแทรกขึ้นมา “เวลาที่คนกลัวมาก ๆ จนถึงขั้นวิ่งหนีเพราะไม่กล้าสู้น่ะ”

   เด็กหญิงขมวดคิ้วมุ่นเพื่อทำความเข้าใจ

   “เอเดรียนก็กลัวน้องหมาตัวโตจนหางจุกก้น”

   “คำนี้อย่าเพิ่งใช้ดีกว่านะเอเดรียน เอาไว้โตกว่านี้ก่อนแล้วค่อยใช้ ตกลงไหม?” อังเดรฝืนแค่นยิ้มบอกลูกสาวไปเช่นนั้นซึ่งเธอก็รับคำอย่างแข็งขัน เขาจึงหันไปทางซูเล่ยแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวคืนนี้หลังจากส่งเอเดรียนขึ้นนอนแล้วรออยู่คุยกันฉันหน่อยได้ไหม?”

   คำถามของอังเดรไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะมันคือการบังคับ ซูเล่ยจึงแค่ยิ้มรับแล้วกินอาหารเช้าต่อไปโดยปล่อยให้สองพ่อลูกคุยกันตามอัธยาศัย

--------------------------->

   “ตอนฉันไม่อยู่อย่ามาสอนอะไรแปลก ๆ ให้เอเดรียนมากนักจะได้ไหม?” อังเดรกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าเมื่อวานเป็นชั่วโมงซึ่งน่าจะเป็นเวลาปกติที่ขับรถไปอพาร์ทเมนต์ของยูล่าและตรงดิ่งกลับบ้านทันที ซึ่งเมื่อกลับมาถึงและเห็นซูเล่ยนั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาในห้องนั่งเล่น เจ้าตัวก็เปิดฉากด้วยประโยคที่อัดอั้นตันใจมาตั้งแต่เช้าทันที แต่ผู้ฟังก็ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านต่อการโดนตำหนิติเตียนแต่อย่างใด

   “คุณคิดมากเกินไปหรือเปล่า นั่นมันคำเปรียบเทียบที่คนทั่วไปเขาใช้กันเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไม่ใช่หรือครับ?” ชายหนุ่มร่างเล็กเลิกคิ้วสูงอย่างจงใจ

   “แต่ยังไม่เหมาะที่เอเดรียนจะเอามาพูด ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอโตมาในสถานที่หรือสภาพแวดล้อมแบบไหน แต่อย่าเอานิสัยแย่ ๆ ของตัวเองมายัดให้ลูกสาวฉันเสียไปด้วย” อังเดรต่อว่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะอันที่จริงเขาก็มีความกังวลมานานแล้วเกี่ยวกับอุปนิสัยของซูเล่ยที่เขาไม่ได้ชื่นชอบเลยแม้แต่อย่างเดียว ทั้งที่พี่เลี้ยงมีอิทธิพลอย่างมากต่อตัวเด็กแท้ ๆ แต่ทำไมพ่อตาของเขาถึงได้ส่งคนที่ไม่ว่าจะดูมุมไหนก็มีแต่ข้อเสีย ไม่มีทั้งมารยาทและสัมมาคารวะแบบนี้มาให้ ข้อดีเพียงข้อเดียวของซูเล่ยที่เขาหาพบก็คือทำงานบ้านเก่งเท่านั้นเอง

   “เมื่อเทียบกับคำพูดสวยหรูของคุณ ผมคิดว่าโดยความหมายแล้ววลีที่ผมสอนเอเดรียนยังเบากว่ากันเยอะ” ซูเล่ยไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไรนัก แต่เขาก็อดกระแหนะกระแหนไม่ได้

   “อย่างน้อยฉันก็ใช้ถูกคน”

   “ผมก็ไม่ได้ใช้ผิดที่ผิดทางนี่ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมพูดออกมาในสถานการณ์แบบไหน แค่เอเดรียนสงสัยแล้วเอามาถามคุณเฉพาะคำเท่านั้นเอง”

   ถ้าหากว่าซูเล่ยไม่ใช่คนที่พ่อตาส่งมาอาจจะถูกโยนออกจากบ้านไปแล้วก็ได้ เพราะนอกจากจะไม่เคารพเจ้าของบ้านแล้วยังเถียงคำไม่ตกฟากอีกต่างหาก

   “เอาเถอะ ผมจะพยายามปรับปรุงตัวก็ได้ ถ้าคุณยอมตอบคำถามของผม” จู่ ๆ ซูเล่ยก็ทำตัวว่าง่ายขึ้นมาอย่างกะทันหันจนแม้แต่อังเดรที่เถียงกันอยู่เมื่อครู่ยังมุ่นคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนจะตั้งสติได้ว่าความว่าง่ายของซูเล่ยมีเงื่อนไขแถมท้ายมาด้วย

   “อยากถามอะไร?”

   หลังได้ยินคำถาม ดวงตาสีดำสนิทก็เลื่อนไปจ้องมองคู่สนทนาผ่านกรอบเรียวรี

   “เมื่อคืนก่อนคุณไปทำอะไรที่อพาร์ทเมนต์ของคุณยูล่า?”

   “อะไรนะ?”

   “วันนี้น่ะ คุณกลับมาบ้านเพื่อคุยกับผมเป็นจุดประสงค์หลัก จึงไปส่งคุณยูล่าและกลับมาทันที แต่คุณรู้หรือเปล่าว่ามันเร็วกว่าเวลาที่คุณกลับมาเมื่อคืนก่อนถึงชั่วโมงครึ่ง” ซูเล่ยชี้ไปทางนาฬิกาซึ่งตอนนี้ยังไม่ทันถึงสามทุ่มครึ่งด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะคุยกันมาสักพักแล้วหลังจากอังเดรกลับมาถึง “ช่วงเวลาชั่วโมงครึ่งที่หายไปคุณคงไม่ได้หลุดเข้าไปอยู่ในอุโมงค์กาลเวลาแน่ ๆ ใช่ไหมล่ะครับ?”

   จู่ ๆ อังเดรก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกสอบสวน โดยปกติเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาควบคุมชีวิตส่วนตัวอยู่แล้วจึงเกิดฉุนขึ้นมา

   “นั่นมันเรื่องของฉันไม่ใช่หรือไง? พี่เลี้ยงอย่างเธอมีสิทธิซอกแซกชีวิตส่วนตัวของนายจ้างตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือนี่ก็เป็นหนึ่งในคำสั่งพ่อตาของฉันด้วย?”

   ซูเล่ยหลบตาไปทางหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

   “ก็ไม่เชิง ก็แค่...ผมมีหน้าที่ทำให้เอเดรียนรู้สึกสมบูรณ์พร้อมในด้านต่าง ๆ ถ้าหากว่าคุณคิดจะจริงจังกับใครผมก็ควรจะมีสิทธิรู้ด้วย” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่เขาคิดออกอย่างสมเหตุสมผล เพราะหากตอบไปตรง ๆ ว่าพ่อตาไม่ยอมให้ลูกเขนแต่งงานใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตมีหวังอังเดรได้ต่อสายหาพ่อตาตนเองกลางดึกแน่ นอกจากนี้...เขายังตะขิดตะขวงใจอยู่นิดหน่อยกับพฤติกรรมของยูล่า ซึ่งมันอาจจะเป็นแค่ความคิดมากจนเกินเหตุของเขาเองก็เป็นได้ การเก็บเงียบข้อนี้ไว้จึงเป็นการดีกว่า

   ถึงอย่างนั้นคำพูดของซูเล่ยก็พาให้อังเดรคิดไปได้ว่าตนเองกำลังถูกตำหนิที่ละเลยลูกสาวและไปหาผู้หญิงคนใหม่มาแทนภรรยาที่เสียไปซึ่งข้อกล่าวหานี้ทำให้ผู้ชายอย่างเขารู้สึกเสียหน้าแม้จะไม่ใช่การต่อว่าอย่างตรงไปตรงมาก็ตาม ชายหนุ่มร่างสูงสาวเท้าเข้าไปประชิดอีกฝ่ายก่อนกดสายตาลงต่ำอย่างมีโทสะ

   “มารีนเพิ่งจะตายไปไม่ถึงเดือน เธอคิดว่าฉันจะมีกะจิตกะใจไปหาเศษหาเลยหรือยังไง?”

   “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงไม่ตอบตรง ๆ ล่ะครับ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่ตอบคำถามมาก็จบแล้ว” ซูเล่ยหันกลับมาจ้องตานายจ้างโดยไม่หวาดหวั่นต่อท่าทีคุกคาม

   “เพราะมันไม่ใช่เรื่องของฉันที่จะต้องมานั่งตอบคำถามคนนอกแบบเธอ” พูดจบ อังเดรก็เดินเลยผ่านไปทันทีคล้ายต้องการจบบทสนทนาเพียงเท่านี้และไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป แต่คำพูดของซูเล่ยกลับทำให้เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมาว่าหากเอเดรียนคิดว่าเขาละเลยตนเองเพราะยูล่าขึ้นมาอีกคน เขาจะทำยังไง...

   และเพราะความกังวลนี้ ชายหนุ่มจึงพูดให้ยูล่าฟังในวันต่อมาระหว่างทางที่กำลังขับไปที่อพาร์ทเมนต์ของยูล่าเช่นเดียวกับสองวันที่ผ่านมา

   “เป็นเพราะฉันชวนคุณมาดื่มชาก่อนกลับแท้ ๆ ถึงโดนเข้าใจผิดไปแบบนั้นได้” ยูล่าถอนใจด้วยความรู้สึกผิดต่อการกระทำที่ไม่ทันคิดของตนเอง

   “ไม่หรอก ผมคิดว่าซูเล่ยคงคิดมากเพราะคิดถึงเอเดรียนมากเกินไปมากกว่า”

   หญิงสาวฟังแล้วก็แอบเหลือบมองคนข้างตัวอย่างชั่งใจก่อนจะถามคำถามซึ่งคิดอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อครู่

   “คุณซูคิดว่าคุณกำลังคิดเรื่องแต่งงานใหม่หรือเปล่าคะ?” เธอกลั้วหัวเราะไปด้วยให้บรรยากาศผ่อนคลายไม่อึดอัดจนเกินไป

   “ตัวผมเองก็ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเสียด้วยซ้ำ” เมื่อได้ยินคำตอบ ยูล่าก็มีสีหน้าหม่นหมองไปเล็กน้อย แต่เพราะอังเดรมองถนนอยู่จึงไม่ทันได้เห็น “พูดตามตรงแล้ว ถึงระยะหลังผมกับมารีนจะมีปัญหากันแต่ผมก็ยังรักเธอในฐานะภรรยาไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้เมื่อเธอจากไปแล้วผมก็ต้องเริ่มคิดถึงอนาคตของเอเดรียนมากกว่าตัวเอง บางทีหลังจากนี้ผมอาจจะคิดถึงเรื่องแต่งงานใหม่บ้างก็ได้ เพราะยังไงเอเดรียนก็ยังต้องการคนดูแลในฐานะแม่ แล้วซูก็ไม่ได้มีความใกล้เคียงเอาเสียเลย”

   “อย่างนั้นหรือคะ?” เธอถามเปรย ๆ พลางยิ้มกับตนเองอย่างมีความหวัง

------------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
«ตอบ #27 เมื่อ25-10-2013 15:59:38 »

   หลังจากนั้น กิจวัตรของอังเดรก็เริ่มคงที่เหมือนเดิมทุกวัน นั่นคือการกลับถึงบ้านราว ๆ สองทุ่มกว่าจนถึงเกือบสามทุ่ม ซึ่งบางคืนก็ทันก่อนเอเดรียนขึ้นนอน แต่บางคืนเอเดรียนก็นอนไปก่อนแล้ว ส่วนซูเล่ยก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกันมากนักเพราะเมื่อกลับมาถึง อังเดรก็จะไปจูบราตรีสวัสดิ์ลูกสาว อาบน้ำ และเข้าห้องไปอ่านหนังสือฆ่าเวลาก่อนจะหลับ แม้ทุกอย่างจะเหมือนเป็นไปได้ด้วยดี แต่นิสัยติดพ่อของเอเดรียนก็แก้ให้หายไม่ได้ง่าย ๆ ซูเล่ยจึงต้องหาวิธีกล่อมเด็กหญิงทุกคืนที่อังเดรกลับช้ากว่าเวลานอนตามปกติโดยพยายามแข็งใจไม่โอนอ่อนตามคำอ้อนวอนของเอเดรียนที่ขอไปนอนที่ห้องเขาอีก เพราะจะทำให้เด็กเคยตัวจนไม่ยอมนอนคนเดียว

   ทว่า...การไม่ได้พบกับพ่อในช่วงก่อนนอนหลายวันเข้าก็ทำให้เอเดรียนเริ่มงอแงขึ้นมาอีก

   “เอเดรียนอยากไปหาแดดดี้” ตอนเย็นของวันหนึ่ง เอเดรียนก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทางจริงจังทั้งยังกอดกระต่ายสีขะมุกขะมอมแน่น

   ซูเล่ยเหลือบสายตามองนาฬิกาพลางมุ่นคิ้ว

   “แดดดี้ทำงานอยู่ไม่ใช่หรือ?”

   “เอเดรียนจะไปหาแดดดี้ที่ทำงาน เอเดรียนจะไปช่วยทำงานให้เสร็จไว ๆ”

   เท่าที่เขารู้...การทำงานของอังเดรไม่ได้เกี่ยวกับปริมาณงานต่อวันแต่เป็นการกำหนดด้วยช่วงเวลา ซึ่งนอกเหนือจากการรับสอนชั่วโมงพิเศษในโรงเรียนไฮสคูล เจ้าตัวก็จะอยู่ที่โรงเรียนสอนเต้นรำตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงหนึ่งทุ่ม เมื่อรวมกับเวลาเก็บข้าวของและดูแลสถานที่แล้วน่าจะกลับได้ประมาณทุ่มครึ่ง ดังนั้นถึงจะมีคนช่วยเพิ่มขึ้นก็คงจะทุ่นเวลาได้เพียงช่วงเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านเท่านั้น

   “อยู่กับพี่ไม่สนุกหรือ?” ซูจงใจเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

   “ซูทำงานบ้านนี่นา” เด็กหญิงทำหน้าเง้าเพราะเอาเข้าจริง เวลาของซูเล่ยก็ไม่ได้มีให้เธอทั้งวันเพราะต้องเจียดไปทำอาหารบ้าง ล้างจานบ้าง เอาผ้าลงซักหรือขึ้นตากบ้าง แม้งานที่ต้องใช้เวลานานอย่างการรีดผ้าหรือปัดกวาดเช็ดถูบ้านจะถูกผลักไปไว้ในวันเสาร์และวันอังคารที่อังเดรอยู่บ้านในช่วงกลางวันและดูแลเอเดรียนแทน แต่สำหรับเด็กญิงในวัยนี้ที่ต้องการคนดูแลเรื่องต่าง ๆ รอบตัวก็ยังคงคิดว่าเวลาที่พี่เลี้ยงมีให้ตนในแต่ละวันมีไม่เพียงพอ เมื่อรวมกับการที่พ่อไม่กลับบ้านตรงเวลาเดิมมาหลายวันแล้วยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง

   “ถ้าอย่างนั้น เอเดรียนมาช่วยพี่ทำงานบ้านแทนดีไหม? พี่จะได้มีเวลาเล่นกับเอเดรียนมากขึ้น” ซูเล่ยยื่นข้อเสนอที่ดูจะไม่ได้ช่วยทุ่นแรงเขาสักเท่าไหร่ เผลอ ๆ จะช่วยเพิ่มงานให้เสียด้วยซ้ำ แต่ก็ดูจะเป็นทางออกเดียวในตอนนี้สำหรับปัญหาของเอเดรียนที่อังเดรคงมองว่าเป็นความรับผิดชอบของเขา

   ชายหนุ่มยื่นแก้วพลาสติกที่ล้างเสร็จแล้วพร้อมกับผ้าแห้งให้เอเดรียนและจับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับเด็กตัวประจำ

   “ช่วยพี่เช็ดของพวกนี้ ตกลงไหม?” เขาชี้แก้วพลาสติกและช้อนส้อมที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะหลังจากล้างน้ำเสร็จ เอเดรียนรับคำอย่างดีและลงมือทำโดยไม่ได้งอแงอะไรอีก แต่ระยะนี้นิสัยเก็บงำเรื่องที่คิดอย่างจริงจังเริ่มปรากฏในตัวเอเดรียนทีละน้อย โดยในคืนนั้นเมื่ออังเดรเข้าไปจูบราตรีสวัสดิ์หลังเอเดรียนเข้านอนเหมือนทุกคืน เด็กหญิงที่ยังไม่หลับสนิทก็โผเข้ากอดพ่อแน่น

   “เป็นอะไรไปหรือ?” อังเดรถามด้วยความสงสัยในพฤติกรรมแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยเห็น

   “เอเดรียนอยากให้แดดดี้กลับมาหาไว ๆ” เธอพูดเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่บนบ่าของพ่อ

   “แดดดี้เคยบอกไปแล้วนี่นา...”

   “อือ...” เขาพูดยังไม่ทันจบ เอเดรียนก็รับคำในคอและพูดแทรก “แต่ถ้าแดดดี้ทำงานเสร็จเร็วก็จะกลับเร็ว เอเดรียนอยากไปช่วย แต่ซูไม่ให้ไป”

   อังเดรถอนหายใจหนักหน่วงและลูบหลังลูกสาวเพื่อปลอบโยนโดยไม่พูดอะไร เพราะเขารู้ว่าพูดไปก็เหมือนแก้ตัวจึงได้แต่กอดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเอเดรียนหลับไปเอง

   ชายหนุ่มเดินลงมาข้างล่างแทนที่จะเข้าห้องตามปกติ และได้พบซูเล่ยกำลังนั่งกดรีโมทโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อยเสมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรนอกจากนี้ และเมื่ออังเดรลงมานั่งข้าง ๆ บนโซฟาตัวเดียวกัน ทำให้คนที่ครอบครองโซฟาอยู่ก่อนต้องหันมองด้วยความประหลาดใจ

   “ผมคิดว่าคุณไม่อยากอยู่กับผมสองต่อสองเสียอีก” เพราะมีโอกาสคุยกันสองคนทีไรก็เป็นต้องมีเรื่องถกเถียงหรือไม่ก็พาขุ่นใจกันทุกทีไป และตลอดหลายวันที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน การสนทนาของพวกเขาก็ไม่เคยเป็นไปในทางที่ดีเลยสักครั้งเดียว ทำให้ซูเล่ยค่อนข้างปักใจเชื่อว่าอังเดรมองเขาเป็นเชื้อโรคซึ่งไม่อยากอยู่ใกล้หากไม่จำเป็นแต่จำต้องอยู่ร่วมกันอย่างกล้ำกลืนฝืนใจไปวัน ๆ การกระทำในตอนนี้จึงดูผิดกปกติเสียจนพาให้สงสัยว่าอีกฝ่ายกินยาผิดขนานมาหรือเปล่า

   “ฉันดูเหมือนคนที่ละเลยลูกขนาดนั้นจริง ๆ หรือ?”

   ครั้งนี้มาแปลก...เพราะอังเดรไม่ได้ตั้งป้อมจะตำหนิติเตียนเหมือนครั้งก่อน ซ้ำยังถามออกมาด้วยท่าทางจริงจังและเคร่งเครียด

   เอเดรียนพูดอะไรหรือยังไงนะ?

   ซูเล่ยหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางครุ่นคิดก่อนจะลุกเดินไปรินน้ำผลไม้มาส่งให้แล้วนั่งลงเช่นเดิม เขาไม่ใช่คนประเภทปลอบใจคนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร การที่อังเดรคิดจะมาปรึกษาเขาอย่างนี้มันดีจริง ๆ หรือ? เพราะตนอาจจะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียกว่าเดิมก็ได้

   “ที่จริงแล้วช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณก็แทบจะไม่ได้กลับมาราตรีสวัสดิ์เอเดรียนเลย ก็ไม่แปลกที่เธอจะงอน” คิด ๆ ดูแล้ว อังเดรเริ่มไปส่งยูล่าที่บ้านตั้งแต่เมื่อราว ๆ สิบวันก่อน นอกจากวันแรกที่กลับช้ากว่าปกติไปมากและไม่นับวันที่จงใจกลับมาเพื่อต่อว่าเขาเรื่องการสอนการใช้คำ ก็จะมีแค่สองหรือสามวันที่บังเอิญเอเดรียนยังไม่หลับและอังเดรกลับเร็ว สองพ่อลูกจึงได้เจอกันก่อนนอน นอกนั้นก็จะสวนกัน คนหนึ่งหลับ อีกคนเพิ่งกลับ ซึ่งเมื่อเอเดรียนต้องเข้านอนโดยไม่ได้เจอหน้าพ่อบ่อย ๆ เจ้าก็ย่อมเกิดรู้สึกเหงาขึ้นมาเป็นธรรมดา ถึงแม้จะมีพี่เลี้ยงอยู่ข้าง ๆ ก็ใช่ว่าจะสามารถทดแทนคนใกล้ชิดได้

   “ยังไงดีนะ...ฉันเองก็ไม่อยากจะปล่อยให้ยูล่ากลับบ้านเองคนเดียวในขณะที่เธอยังกลัวอยู่ เพราะยังไงฉันก็เป็นคนจ้างเธอมาทำงานและเป็นสาเหตุให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยแบบนี้” อังเดรถอนหายใจแม้จะรู้ว่าความรับผิดชอบของตนเองมีมากกว่าการตามรับส่งผู้ช่วยงานคนหนึ่ง แต่เพราะเขาคิดว่าเอเดรียนมีพี่เลี้ยงดูแลอยู่แล้วจึงได้วางใจ

   ไม่นึกเลยว่าเอเดรียนจะเครียดกับเรื่องนี้...

   “มันไม่นานเกินไปหน่อยหรือ?”

   “หืม?”

   ที่จริงแล้ว ประโยคเมื่อครู่ซูเล่ยเพียงเปรยกับตนเอง ทว่าเพราะความเงียบทำให้อังเดรได้ยินไปด้วย

   “เปล่าหรอก ผมแค่สงสัยว่าคนโรคจิตที่ป้วนเปี้ยนแถวที่พักของคุณยูล่าน่าจะไปที่อื่นแล้วเพราะระยะนี้ก็ไม่เห็นจะมีข่าวทำนองนั้นลงหนังสือพิมพ์เลย หรือไม่อย่างนั้นเขาอาจจะถูกตำรวจจับไปแล้วก็ได้ไม่ใช่หรือครับ?” ซูเล่ยตั้งข้อสงสัยโดยที่ปิดบังไว้ข้อหนึ่งนั่นคือ ยูล่าอาจจะโกหกก็เป็นได้ “คุณไปแถวนั้นทุกคืนก็ไม่มีคนที่น่าสงสัยไม่ใช่หรือครับ? ถ้าไม่มีอะไรน่ากังวลแล้วคุณก็น่าจะถอนตัวจากหน้าที่ได้แล้ว”

   จะว่าไปมันก็จริง...เขาไปส่งยูล่าทุกคืนแต่เขาก็สังเกตว่าบริเวณนั้นค่อนข้างเงียบสงบซ้ำยังไม่ใช่สถานที่เปลี่ยวอะไร เวลาประจำที่ยูล่ากลับอพาร์ทเมนต์ก็เป็นช่วงที่คนเดินเข้าออกค่อนข้างมากเพราะส่วนใหญ่ก็เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเช่นกัน

   แต่อย่างไรอันตรายก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน...

   “ฉันเองก็ไม่แน่ใจ”

   “บางทีเธออาจจะคาดหวังให้คุณเป็นคนรับส่งไปตลอดชีวิตเลยก็ได้”

   นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองคนข้างตัวซึ่งเริ่มจะใช้รูปประโยคเชิงประชดขึ้นมาอีกแล้ว แต่ซูเล่ยก็ทำเป็นไม่สนใจสายตาของอีกฝ่ายและพูดต่อ

   “ลองคิดดูสิ เธอไม่มีทางเป็นคนบอกยกเลิกการบริการครั้งนี้อยู่แล้ว แต่คุณก็ไม่กล้าเป็นคนยกเลิกเองเหมือนกัน ดังนั้นถึงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแต่พวกคุณก็ยังต้องดำเนินกิจวัตรต่อไปเพราะไม่มีใครกล้าทำให้มันจบลง ว่าไปแล้ว...มันทำให้ผมนึกถึงคู่แต่งงานที่อยู่กันแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยากเลิกก็เลิกไม่ได้ชอบกล” บางครั้ง การเปรียบเทียบของซูเล่ยก็น่าจับอุดปากนัก อังเดรได้แต่นึกเสียใจที่คิดจะมาปรึกษาผู้ชายคนนี้ซึ่งเขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับชีวิตเขาเลยสักนิด

   “ฉันผิดเองที่คิดให้เธอช่วยรับฟังปัญหา”

   “ผมก็เสนอทางแก้ไขให้แล้ว คุณจะทำหรือไม่มันก็เรื่องของคุณ ยังไง...ถ้าคิดจะตัดแล้วก็ตัดทีเดียวให้ขาดไปเลยดีกว่า...” ทั้งที่ดูไม่เข้ากับการสนทนาก่อนหน้า แต่ซูเล่ยก็พูดประโยคหลังออกมาอย่างแผ่วเบาเหมือนกับกำลังกระซิบกับตนเองพาให้อังเดรเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ เมื่อรู้ตัวว่าถูกมอง ชายหนุ่มร่างเล็กก็ลุกขึ้นและจัดการยกแก้วน้ำสองใบที่ถูกวางทิ้งไว้โดยไม่ได้จิบแม้แต่คำเดียวขึ้นมา “ผมแค่นึกถึงนิยายที่อ่านค้างไว้เท่านั้นเอง นี่มันก็ดึกแล้วคุณควรจะไปนอนเสียที ไม่อย่างนั้นตื่นไปสอนไม่ทันผมก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ”

   อังเดรไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่ว่านี่เป็นอีกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดี ๆ กับซูเล่ยแต่กลับถูกตัดบทเหมือนจงใจยั่วให้อารมณ์ขุ่นมัว ครั้งก่อนที่ชวนยูล่ามาร่วมโต๊ะอาหารเย็น หรือที่ถูกคาดคั้นเรื่องที่ไปส่งยูล่าและกลับช้ากว่าปกติก็เหมือนกัน ทั้งที่มันสามารถเป็นไปในทางที่ดีได้และเขาก็พยายามจะทำเช่นนั้นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ให้ความร่วมมือ ซ้ำจู่ ๆ ยังแสดงท่าทางที่คนรู้จักกันผิวเผินไม่มีทางแสดงออกอย่างเด็ดขาด ราวกับว่า...พยายามจะกันเขาออกให้ห่างตัว เพราะหากคิดดี ๆ แล้ว พ่อตาของเขามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องส่งคนที่ทำให้เขาไม่ชอบใจมาอยู่ด้วยกันให้เกลียดขี้หน้ากันเปล่า ๆ ?

   ในขณะที่อังเดรเริ่มกังขาพฤติกรรมแปลก ๆ ของซูเล่ย ตัวซูเล่ยเองก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจพฤติกรรมตนเองเช่นกัน

   ซูเล่ยวางแก้วลงในอ่างล้างจานและมองน้ำผลไม้ที่ค่อย ๆ ไหลลงท่อพลางเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ แผ่วเบาลงเสียงถอนหายใจล่องลอยอยู่ในอากาศ

   เวลาที่อังเดรเข้ามาคุยด้วย เขามักจะรู้สึกดีใจอยู่ลึก ๆ โดยไม่แสดงออกแม้จะรู้ว่าไม่ควรรู้สึกก็ตาม เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้แสดงนิสัยที่ไม่ดีของตนเองออกไปอย่างจงใจเพียงเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องการอยู่ใกล้เขามากจนเกินควร ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาห้าปีไม่เพียงพอจะทำให้ลืมความรู้สึกเก่า ๆ ไปได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงความรู้สึกที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งเขาและอังเดรต่างก็ทำได้เพียงเต้นไปบนฝ่ามือของคนคนนั้นซึ่งกำหนดชีวิตของผู้คนรอบข้างอย่างเลือดเย็นและไร้หัวใจ

----------------------------------->

   ในวันต่อมา อังเดรก็ขับรถมาส่งยูล่าตามปกติ และเมื่อถึงอพาร์ทเมนต์เขาก็ลงจากรถเพื่อสังเกตดูรอบข้างอย่างจริงจังทำให้หญิงสาวนึกแปลกใจ

   “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

   “...เปล่า ผมแค่คิดว่าแถวนี้ก็ดูเงียบสงบดี ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ” ชายหนุ่มตอบตามตรงเพราะเขาไม่รู้สึกถึงสัญญาณอันตรายจากมุมไหนเลย ซ้ำคนที่เดินเข้าออกอพาร์ทเมนต์รวมถึงคนสัญจรผ่านไปมาก็มีสีหน้าผ่อนคลายดี หากว่าแถวนี้มีคนน่าสงสัยอยู่จริง คนที่อยู่อาศัยในบริเวณเดียวกันก็น่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในทิศทางของความระแวดระวังเหมือน ๆ กันไม่ใช่หรือ?

   “ค่ะ ปกติแถวนี้จะเป็นแบบนี้ตลอด ฉันอาจจะกังวลไปเองก็ได้” ยูล่าแสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมา “คงจะทำให้คุณแอชฟอร์ดลำบากใจสินะคะ”

   “ผมไม่ได้ทำเพราะฝืนใจ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก”

   “เอ่อ...ตอนนี้คงจะไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้งคะ หลังจากคุณมาส่งสักพักฉันก็ไม่ค่อยจะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเข้าอพาร์ทเมนต์แล้ว” เพราะรู้ว่าอังเดรคงไม่มีทางเป็นคนบอกยกเลิกหน้าที่ที่มีต่อสุภาพสตรีก่อน ยูล่าจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียเองเพื่อให้ต่างคนต่างไม่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้ “แต่ว่าคุณอุตส่าห์มาส่งตั้งหลายวัน อย่างน้อยวันสุดท้ายให้ฉันเลี้ยงอาหารเย็นเป็นการขอบคุณจะได้ไหมคะ? ถ้าหากว่าจะทำให้เอเดรียนเป็นห่วง ฉันจะช่วยคุยกับเธอให้ เอเดรียนเป็นเด็กฉลาดคงจะเข้าใจ แต่ว่าถ้าคุณไม่สะดวก...” การเชิญให้ชายหนุ่มที่แอบชอบมานานอยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกสักนิดเป็นเรื่องแสนยากเย็น ทั้งคราวก่อนที่ชวนให้มากินอาหารด้วยกัน และตอนที่ชวนให้ดื่มชาสักแก้ว แต่ใจของอังเดรกลับไม่ได้อยู่ที่เธอเลยแม้แต่น้อย

   “ไม่เป็นไรยูล่า ผมจะโทรบอกซูเอง” คืนสุดท้ายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซ้ำตัวเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธคำขอร้องของอีกฝ่ายด้วย

   อังเดรขอปลีกตัวไปทางหนึ่งเพื่อต่อสายถึงซูเล่ย และหลังจากบอกธุระเรียบร้อยแล้ว เขาและยูล่าก็ขึ้นไปบนห้องด้วยกัน

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
«ตอบ #28 เมื่อ25-10-2013 16:18:38 »

เฮ้อออ ดูท่าอังเดรกับซูจะคุยกันไม่รู้เรื่องอีกนาน
แถมยูล่าก็มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆตลอด
แล้วแบบนี้อังเดรจะมาสนใจซูได้ยังไงล่ะเนี่ยยยยยยย
รอตอนต่อไปนะคะ อิอิ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 4 [25/10/13]
«ตอบ #29 เมื่อ25-10-2013 17:37:09 »

เบื่อยูล่า รู้ทั้งรู้ว่าเค้ามีครอบครัวรออยู่ที่บ้านยังจะรั้งไว้อีก ชิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด