Rhythm of Lust : กลเกมสเน่หา
-1-
ภายใต้บรรยากาศสีดำและเทา แว่วเสียงเพลงภาวนาอันแสนวังเวงใจและโศกเศร้า เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มเบื้องหน้าซึ่งกำลังทอดสายตาไปยังโลงศพสีขาวที่เคลื่อนตัวลับหายไปในหลุมลึก ดวงตาสีอ่อนของชายหนุ่มฉายความอาลัยอย่างไม่ปิดบัง เพราะร่างที่ทอดกายในโลงสีขาวนั้นคือหญิงสาวซึ่งเคยผูกพันกันด้วยคำสาบานว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทว่าบัดนี้ผู้ให้คำสาบานนั้นได้จากไปอย่างไม่หวนกลับ นั่นคงทำให้เจ้าตัวรู้สึกราวกับว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตและวิญญาณถูกฉีกกระชากหายไปกลายเป็นหลุมดำอันว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงโซ่ทองคล้องใจเส้นหนึ่ง คือเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของความตายได้แต่กอดคอพ่อและมองไปรอบข้างด้วยสายตาสงสัยระคนซุกซนตามวัย
เด็กหญิงคนนั้นมองมาทางเขาก่อนจะเลยผ่านไปเพราะใบหน้าไม่ได้คุ้นเคยในความทรงจำ เธอไม่ได้แสดงความโศกเศร้า ทุกข์ระทม หรือห่วงหาอาลัย นั่นเพราะเด็กวัยเพียงแค่นี้ยังไม่อาจเข้าใจได้ถึงการจากที่ชื่อว่าความตาย รวมถึงไม่เข้าใจต้นเหตุความเศร้าของพ่อและคนรอบตัว
และจนกระทั่งเสร็จพิธี แขกเหรื่อพากันแยกย้ายกลับบ้านแต่ก็ไม่ลิมที่จะไปทักทายแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ส่วนตัวเขาก็ยังคงยืนอยู่ในมุมหนึ่งโดยที่ไม่มีใครสนใจจะสังเกต แม้กระทั่งผู้ชายคนนั้นที่จูงลูกสาวไปส่งแขกที่ต่างก็จากไป ทิ้งบรรยากาศเงียบสงัดของสุสานไว้เบื้องหลัง
ชายหนุ่มร่างเล็กรอจนกระทั่งแขกกระจายตัวไปหมดแล้วจึงเดินทอดจังหวะเท้าช้า ๆ ไปยังหลุมซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ เขาถอนหายใจพร้อมปรากฏไอสีขาวบางเบาลอยฟุ้งไปในอากาศ และโดยไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเพียงทิ้งดอกไม้ลงไปในหลุมและเดินจากมา ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานยืนรออยู่ไม่ไกล เขายิ้มให้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปน ทั้งประหม่าและแสดงความเสียใจ
ชายวัยกลางคนทอดสายตากลับมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมก่อนจะพยักพเยิดให้อีกฝ่ายตามขึ้นรถ ทั้งสองทอดสายตามองกลับไปด้านหลังเป็นครั้งสุดท้ายและบอกลาผู้ที่หลับใหลไปตลอดกาลอย่างเงียบงัน
พิธีล่ำลาอาลัยแสนเรียบง่ายผ่านพ้นไป เหลือไว้เพียงความทรงจำอันสวยงามยามเมื่อคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่และสร้างความสุขให้แก่ผู้คนรอบตัว
ชายหนุ่มร่างเล็กยังคงทอดสายตาออกไปเบื้องนอกหน้าต่างซึ่งติดฟิล์มหนา อากาศภายในรถยนต์ยี่ห้อหรูค่อนข้างอุ่นเมื่อเทียบกับภายนอก แต่สำหรับตัวเขาที่เพิ่งกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นอากาศภายในรถยนต์คันนี้หรือข้างนอกนั้นก็พาให้หนาวเหน็บจนต้องกระชับเสื้อสูทเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตนเอง ความเงียบยังคงดำเนินไปอย่างน่าอึดอัด...
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะเรียกผมกลับมาเพียงเพื่อร่วมพิธีศพของเธอ” เขาจำต้องเป็นคนเปิดบทสนทนาเพราะไม่อยากจะทรมาณตัวเองด้วยความเงียบอีกต่อไป
“ไม่พอใจงั้นหรือ?”
“ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิรู้สึกแบบนั้นหรอก อีกอย่าง คุณเองก็ตอบแทนไว้ดีไม่น้อย ดังนั้นที่เรียกผมมาในตอนนี้ก็คงมีอะไรให้ทำอีกสินะครับ?”
สายตาเยียบเย็นของชายวัยกลางคนเหลือบกลับมามองคนข้างตัวโดยไม่ฉายความรู้สึกใดแม้จะรู้ว่าตนเองกำลังถูกประชดประชัน
“ฉันไม่ไว้ใจ”
“ครับ ผมก็คิดว่าคุณคงจะรู้สึกแบบนั้น” ชายหนุ่มร่างเล็กกรอกตาก่อนปัดผมหน้าที่ปรกลงมาเพราะเจลที่ทาไว้ลวก ๆ เริ่มอ่อนตัว
“ถ้าอย่างนั้นคงรู้สินะว่าฉันคิดจะทำอะไร”
ดวงตาสีดำในกรอบตาเรียวรีกลอกไปสบกับคู่สนทนาก่อนถอนหายใจน้อย ๆ
“ทำไมคุณถึงไม่ปล่อยพวกเขาไป ถึงเด็กคนนั้นจะเป็นหลานของคุณแต่ก็เป็นลูกของเขาเหมือนกัน เขาน่าจะมีสิทธิเลือกว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเธอ”
“ฉันตัดสินใจไปแล้ว” ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดนี้ ก็เป็นที่รู้กันว่าคำค้านใด ๆ ก็ไม่มีผล ผู้ฟังจึงเสสายตาออกไปข้างนอกเช่นเดิมและคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ
เรื่องที่เขา...สมควรจะลืมมันไปเสียที...
-------------------------->
บรรยากาศของพิธีอำลาผู้จากไปไม่ได้อบอวลแต่เพียงในสุสาน แต่ได้ลุกลามมาถึงภายในรถยนต์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวกลับบ้านที่ไม่เหมือนเดิมนับแต่เธอคนนั้นจากไป
“มามี้?” เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสองปีมองพ่อของตนด้วยดวงตากลมโตเป็นประกายเหมือนผู้เป็นแม่อย่างไม่ผิดเพี้ยนพร้อมส่งคำถามสั้น ๆ ตามแบบของเด็กที่ยังพูดไม่คล่องปากนัก แน่นอนว่าเด็กหญิงยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับเธอแล้ว การที่แม่ไม่อยู่นั้นหมายถึงว่าในอีกไม่กี่นาทีแม่จะต้องปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนทุก ๆ วัน ด้วยเหตุนั้นในวันแรก ๆ ของการสูญเสีย เธอจึงถามพ่อของตนแทบทุกชั่วโมงว่าแม่อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่จะกลับมา และเมื่อไม่ได้เห็นแม่เธอก็จะร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนกระทั่งหลับ เป็นอยู่อย่างนั้นทั้งวันและคืน จนถึงวันนี้ที่ร่างของผู้เป็นแม่กลับสู่ผืนดินและวิญญาณล่องลอยสู่อ้อมหัตถ์พระผู้เป็นเจ้า เด็กหญิงก็ยังคงถามถึงแม่ของตนอยู่เสมอเมื่อรู้สึกขึ้นมาว่าใครบางคนข้างตัวได้หายไปเพียงแต่ไม่ค่อยจะร้องไห้แล้วเท่านั้น
กระนั้นทุกครั้งที่ถูกถาม ชายหนุ่มร่างสูงก็อดกระอักกระอ่วนไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ลูกของตนรับรู้ว่าแม่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว
“มามี้เขาไปพักผ่อนแล้ว เอเดรียน ตอนนี้ลูกต้องอยู่กับแดดดี้สองคนแล้วนะ” ชายหนุ่มลูบมือไปบนเรือนผมสีน้ำตาลพลางถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองกับมารีนจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสั้นถึงเพียงนี้ 5 ปีสำหรับความรักอันแสนหวานและความสุขประหนึ่งว่าชีวิตนี้ได้พบที่พักพิงใจในที่สุด ทว่าชีวิตของคนเรานั้นไม่แน่นอน เพียงข้ามวันทุกอย่างก็พังทลายไปอย่างง่ายดาย
เด็กหญิงไม่ได้ถามอะไรอีกและไม่ได้ร้องไห้งอแงเพราะถูกทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถดึงดูดความสนใจไปจนหมดสิ้น ทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกสบายใจขึ้นแม้เขาจะต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อทำความคุ้นชินกับช่วงเวลาที่จะไม่มีรอยยิ้มสดใสคอยต้อนรับเมื่อยามกลับถึงบ้านอีกแล้ว เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าความเหงาของเขาก็คือเขาจะต้องเลี้ยงลูกสาวไปพร้อม ๆ กับการทำงานซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าเอเดรียนจะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไรเมื่อขาดแม่พิมพ์ของชีวิต
และแม้เขาจะอยากให้ลูกสาวเติบโตขึ้นอย่างมีความสุขได้โดยไม่มีแม่มากสักเท่าใด เขาก็ไม่อยากจะให้เธอลืมเลือนว่าครั้งหนึ่งเคยมีมืออันอ่อนโยนของหญิงสาวคอยอุ้มชูดูแลชีวิตเล็ก ๆ นี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตและลมหายใจ
ไม่อยากให้ความรักพิสุทธิ์เลอค่านั้นเลือนรางจางหายไปเหมือนหมอกควัน เมื่อเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นก็อยากจะให้จดจำได้ถึงอ้อมแขนคู่นั้นที่แม้จะบอบบางแต่ก็อบอุ่นเหนือสิ่งใด
-------------------->
หลายวันหลังจากนั้น พ่อหม้ายมือใหม่ก็ต้องสาละวนกับการสัมภาษณ์พี่เลี้ยงมากหน้าหลายตาซึ่งจะมาทำหน้าที่เลี้ยงดูเอเดรียนในช่วงที่ตนไม่อยู่ ผู้หญิงหลายต่อหลายคนถูกสำนักงานจัดหางานส่งมาอย่างไม่ขาดสาย พวกเธอมีทั้งคนมีอายุและเด็กวัยรุ่น มีประสบการณ์ ไร้สบการณ์ ความแตกต่างมากมายที่พร้อมจะกลายเป็นแม่แบบสำหรับตัวตนของเอเดรียนในอนาคตทำให้เขาต้องคัดกรองอย่างเข้มงวดแต่ก็ยังไม่มีใครต้องตา นั่นคงเพราะใจจริงของเขากำลังมองหาคนที่เหมือนมารีนที่สุดก็เป็นได้
ระหว่างที่ยังตัดสินใจเรื่องพี่เลี้ยงไม่ได้ เขาก็ต้องหอบหิ้วเอเดรียนไปที่ทำงานด้วยซึ่งไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเด็กปฐมวัยเอาเสียเลย
แต่แล้วหลายวันต่อมา...เขาก็ได้รับของขวัญที่ไม่คาดฝัน
ชายหนุ่มร่างเล็ก ใบหน้ามีเค้าโครงแบบคนเอเชียกำลังยืนมองประตูบ้านของเขาด้วยสายตากังขาก่อนจะกดออดซึ่งเจ้าตัวคงจะกดมาหลายครั้งแล้วจึงได้มีสีหน้าเช่นนี้ ตัวเขาที่เพิ่งจะกลับจากการทำงานพร้อมกับเอเดรียนเดินเข้าไปหาผู้มาเยือนก่อนจะเอ่ยถาม
“ขอโทษครับ คุณมาพบผมหรือเปล่า?”
ดวงตาเรียวสีดำเงยขึ้นสบกับเจ้าของคำถาม
“คุณ...อังเดร แอชฟอร์ด?”
“ใช่ นั่นชื่อผม ไม่ทราบว่าคุณคือ?”
“คุณเรียกผมว่าชูเลย์ก็ได้” ชายหนุ่มลูกครึ่งเอเชียไหวไหล่ก่อนจะยื่นเอกสารสำคัญให้พร้อมจดหมายแนะนำ เมื่ออังเดรเปิดออกอ่านก็พบว่าเป็นจดหมายจากพ่อตาของตนเองซึ่งกำชับให้รับชายหนุ่มคนนี้เป็นพี่เลี้ยงโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลชัดเจน ถึงอย่างนั้นอังเดรก็รู้สึกอยู่กลาย ๆ ว่าคนคนนี้มีใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาชอบกล เพียงแต่ชื่อไม่คุ้นหูจึงคิดว่าอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้
“ชื่อแปลกดี” เขาว่าก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะขำขันจากว่าที่พี่เลี้ยง
“ที่จริงแล้วชื่อผมเป็นภาษาจีน ออกเสียงว่า ซูเล่ย น่ะครับ” เจ้าของชื่อออกเสียงให้ฟังเป็นภาษาจีนที่สำหรับคนอเมริกันแล้วมันช่างทรมาณทรกรรมลิ้นเสียเหลือเกิน เมื่อซูเล่ยเห็นสีหน้าปุเลี่ยนจากอีกฝ่ายก็หัวเราะอีกคำรบ “เอาเถอะ ผมชินกับสีหน้าแบบนั้นแล้ว ทีนี้กรุณาเปิดประตูบ้านให้ผมเข้าไปสำรวจบ้านใหม่หน่อยสิ”
“เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่ได้บอกว่าจะรับคุณเลยนะ แล้วคิดจะมากินอยู่ที่นี่จะมากเกินไปหรือเปล่า?” อังเดรมุ่นคิ้วด้วยท่าทางจริงจัง แม้จะเป็นข้อเสนอจากพ่อตา แต่ผู้ชายที่ดูไม่มีมารยาทแบบนี้จะสอนลูกสาวเขาได้จริง ๆ หรือ? ซ้ำเป็นใครมาจากไหนก็ไม่มีบอก จะเชื่อถือได้ยังไงกัน
“มันก็ไม่ได้แปลว่าคุณมีสิทธิปฏิเสธ เพราะถ้าคุณไม่ยอมรับเขาก็จะเอาตัวเอเดรียนไป ถ้าถึงชั้นศาลคิดว่าจะสู้เขาได้จริง ๆ หรือ?”
ชายหนุ่มร่างสูงอึกอัก พ่อตาของเขาเป็นคนที่มีฐานะและชื่อเสียงอยู่พอตัว เมื่อเทียบกับเขาที่ต้องทำงานทุกวันและไม่ได้ฐานะดีเด่อะไรย่อมไม่อาจต่อกรได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น เอเดรียนก็เป็นของสำคัญเพียงชิ้นเดียวที่มารีนเหลือเอาไว้ให้ เขาย่อมไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ใครเอาตัวไปอย่างเต็มใจ ตอนนี้...คงจะต้องยอมไปก่อนกระมัง แล้วหลังจากนี้ค่อยคิดหาทางกันอีกที เมื่อเขาได้พี่เลี้ยงที่เหมาะสม พ่อตาของเขาก็อาจจะยอมอ่อนข้อให้บ้าง แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้เขาเลยก็ตาม
อังเดรเดินเข้าไปเปิดประตูบ้านในขณะที่เอเดรียนยืนสบตากับผู้มาเยือนด้วยคำถามที่ฉายในดวงตากลมโต กระนั้นเด็กหญิงขี้อายก็ไม่กล้ามองนานนัก เมื่อซูเล่ยมองกลับเจ้าตัวก็รีบวิ่งไปเกาะขากางเกงพ่อและแอบมองมาอย่างไม่ไว้ใจ
“บนชั้นสองมีห้องนอนว่าง ที่จริงมันกลายเป็นห้องเก็บของมาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าจะอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ไปจัดเอาแล้วกัน”
อาจเพราะไม่ได้เต็มใจต้อนรับแต่แรก การแสดงออกของอังเดรที่มีต่อผู้มาเยือนจึงเต็มไปด้วยความเย็นชาและคล้ายจะขับไล่ไสส่งอยู่กลาย ๆ กระนั้นซูเล่ยเองก็มีเหตุผลที่กลับไม่ได้เช่นกัน เขาโคลงศีรษะอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนพาตนเองตามหลังเจ้าของบ้านขึ้นไปดูห้องนอนซึ่งเวลานี้ดูแทบไม่ออกแล้วว่าเคยใช้ให้คนนอนมาก่อน เพราะมันเต็มไปด้วยข้าวของที่สมควรจะโยนทิ้งหรือขายเลหลังจนมองไม่เห็นเตียงเล็ก ๆ ที่แอบอยู่อีกฝั่ง
“พวกนี้ทิ้งได้หมดหรือเปล่า?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านมองไปรอบ ๆ แล้วไม่คิดว่าจะมีของสำคัญ แต่แล้วเอเดรียนกลับวิ่งเข้าไปในห้องและกอดตุ๊กตาตัวหนึ่งแน่น
“เอเดรียนเอาน้องต่าย”
“แต่ว่ามันสกปรกแล้วก็ขาดหมดแล้วนะเอเดรียน” อังเดรถอนหายใจแล้วย่อตัวลงเพื่อขอตุ๊กตาพัง ๆ คืนจากเด็กหญิงตัวน้อย เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าเอเดรียนชอบมันมากแค่ไหน ตอนที่มันขาดและบอกจะเอาไปทิ้ง เอเดรียนร้องไห้งอแงจนมารีนใจอ่อนบอกว่าให้น้องกระต่ายไปพักก่อนแล้วก็โยนมันไว้ในห้องว่างจนถึงบัดนี้ พอมาเห็นอีกครั้งทำให้เด็กหญิงจำได้ว่าตนเองเคยมีของรักชิ้นนี้อยู่ ทำให้ยิ่งกอดแน่นไม่ยอมปล่อย
“เอเดรียนจะเอาน้องต่าย” เด็กหญิงร้องเบะปากทำท่าจะร้องไห้เมื่อพ่อไม่ยอมให้พาไปด้วย อังเดรไม่รู้จะทำอย่างไรก็คิดว่าคงต้องปล่อยให้กอดไปสักพักคงจะยอมปล่อยเอง แต่ซูเล่ยกลับเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปจับหูยาว ๆ ที่ห้อยแกว่งอยู่ข้างตัวตุ๊กตา
“เอเดรียนจะปล่อยให้คุณกระต่ายบาดเจ็บแบบนี้หรือ? ให้พี่เอาคุณกระต่ายไปรักษาแล้วก็อาบน้ำสักหน่อยดีกว่าไหม?” คำพูดของชายแปลกหน้าทำให้เด็กหญิงลังเล แต่เมื่อหันไปมองพ่อที่อาจจะแอบเอาไปทิ้ง เอเดรียนจึงปาดน้ำตาแล้วส่งตุ๊กตากระต่ายให้ซูเล่ยแต่โดยดี
ชายหนุ่มรับกระต่ายก่อนส่งสายตาให้อังเดรคล้ายกำลังอวดฝีมือตนเองทำให้คนมองยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้ามากกว่าเดิม
“ตอนนี้พวกคุณช่วยออกไปได้แล้ว ผมจะได้จัดการห้องรก ๆ นี่เสียที ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมจะไปนอนเบียดบนเตียงคุณแทน”
อังเดรได้ยินก็ขึงสายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ คนไม่รู้กาลเทศะแบบนี้ทำไมพ่อตาของเขาถึงได้ส่งมากันนะ? มันน่าสงสัยจริง ๆ
คืนนั้นหลังส่งเอเดรียนเข้านอน ชายหนุ่มก็โทรไปหาพ่อตาซึ่งไม่ถูกกับตนนักเพื่อสอบถามเรื่องนี้ ตอนที่ได้ยินคำทักทายสั้น ๆ จากปลายสาย เขาก็รู้สึกหงุดหงิดในใจขึ้นมาทันที
“ไม่ได้คุยกันเสียนานนะครับคุณพ่อ”
“พูดแบบนี้จะโทษว่าฉันไม่ค่อยได้โทรไปคารวะลูกเขยหรือยังไง”
เพราะชอบประชดประชันแบบนี้นี่แหละถึงได้ไม่อยากคุย...
“เปล่าครับ เป็นผมเองที่ไม่ค่อยมีเวลาโทรไปหา เพียงแต่วันนี้ผมมีเรื่องจะมาถามก็เลยโทรมาเสียดึก หวังว่าจะไม่รบกวนจนเกินไป”
“ในเมื่อรู้ว่ารบกวนก็รีบ ๆ พูดให้จบ แต่ถ้าเป็นเรื่องซูเล่ยล่ะก็ ฉันคิดว่าฉันเขียนในจดหมายไปชัดเจนดีแล้ว หรือว่ามีอะไรไม่เข้าใจอีก?” ชายวัยกลางคนกระหวัดหางเสียงอย่างเฉียบขาดเสมือนกำลังบอกเป็นนัยว่าอย่างไรอังเดรก็ต้องทำตามที่ตนเองต้องการและห้ามมีข้อสงสัย ด้วยนิสัยเผด็จการแบบนี้เองที่ทำให้อังเดรไม่ชอบพ่อตาของตนเองเอาเสียเลย เป็นโชคดีที่มารีนไม่ได้นิสัยเช่นนี้ติดตัวมาด้วย
“ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่มีคำถามแล้ว...”
“แต่ฉันมี”
เมื่ออังเดรจะวางสาย อีกฝั่งกลับชวนพูดต่อเสียอย่างนั้น
“สมบัติส่วนตัวของมารีนอยู่ในชื่อของเอเดรียนทั้งหมด แกคงได้ยินจากทนายแล้ว แต่ยังไงแกก็เป็นผู้ดูแลโดยชอบธรรม ฉันหวังว่าแกจะเห็นแก่มารีนและเอเดรียน...” หลังจากฟังอยู่สักพักอังเดรจึงได้เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของพ่อตา ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูก
“คุณพ่อคิดว่าผมจะเอาสมบัติลูกเมียมาผลาญเล่น หรือเอาไปปรนเปรอผู้หญิงหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผมจะดูแลอย่างดีไม่ให้ตกหายไปสักสตางค์แดงเดียว ถ้าคุณพ่อไม่มั่นใจ จะเอาบัญชีไปดูแลเองก็ได้เพราะผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างเอาเงินทองไปใช้สอยอยู่แล้ว”
“หึ งั้นก็ดี” อีกฝ่ายเมื่อเห็นลูกเขยแข็งข้อก็ทำเสียงขึ้นจมูก “อย่าให้ดีเฉพาะตอนมารีนยังอยู่ก็แล้วกัน”
ทั้งสองต่างวางสายใส่กันด้วยความขุ่นใจ สนทนากันทีไรก็จบลงแบบนี้ทุกทีถึงได้หลีกเลี่ยงการพบหน้ากันแม้กระทั่งในวันฝังศพมารีน แต่ในที่สุดอังเดรก็เข้าใจว่าทำไมพ่อตาจึงได้ส่งซูเล่ยมาที่บ้าน จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อหาคนที่เหมาะสมมาดูแลเอเดรียน แต่เพื่อจับตาดูเขาไม่ให้นอกลู่ทางต่างหาก ความจริงที่ได้พบทำให้ชายหนุ่มยิ่งไม่ชอบใจการมาของซูเล่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พวกของเล็ก ๆ ผมเอาใส่ถุงดำหมดแล้ว ส่วนของใหญ่ผมกองไว้มุมห้องก่อนเพราะหลายชิ้นดูจะยังใช้ได้” ซูเล่ยถือถุงดำใส่ขยะชิ้นเล็กเดินลงมาขากชั้นสอง และได้เห็นอังเดรปั้นสีหน้าขุ่นเคืองใจอยู่หน้าโทรศัพท์ก็พอจะเดาได้ราง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงชะงักคำพูดไว้แค่นั้นและเดินเลี้ยวไปทางประตูบ้านเพื่อนำขยะไปทิ้ง แต่แล้วกลับได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังจึงหันกลับไปมอง
“เครื่องดูดฝุ่นอยู่ในห้องใต้บันได ใช้เสร็จแล้วก็เก็บเข้าที่ด้วยแล้วกัน” อังเดรพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเดินไปทางบันไดเพื่อพักผ่อนเสียที ทว่าหูกลับแว่วเสียงเปรยเบา ๆ ตามหลังมา
“แต่ก่อนไม่ใช่คนขี้โมโหแท้ ๆ ...”
“อะไรนะ?”
“ครับ?” ซูเล่ยหันกลับมาตอบรับด้วยสีหน้าสงสัย ทำให้อังเดรชะงักและคิดว่าบางทีตนเองอาจจะหูแว่วก็เป็นได้จึงโบกไม้โบกมือและเดินขึ้นชั้นสองไป เมื่อชายหนุ่มร่างสูงลับตาไปแล้ว ซูเล่ยก็ลอบแย้มรอยยิ้มกับตนเอง “ช่างเป็นผู้ชายที่ความจำสั้นเสียจริง ๆ แต่ก็คงไม่แปลก...มันตั้ง 5 ปีแล้วนี่นะ”
เวลา 5 ปีทำให้คนเราดูเปลี่ยนไปได้มากมาย ทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างก็ดูไม่เหมือนคนเดิมที่ต่างคนต่างจำได้ แตกต่างก็เพียงเมื่อ 5 ปีก่อนเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาแต่แรก แต่อังเดรไม่รู้จักเขาเลยจนกระทั่งวันที่เขาหายตัวไปจากโลกของเจ้าตัว
ขี้โกงจริง ๆ ที่มีเขาคนเดียวที่จดจำอีกฝ่ายได้ทุกเวลา...
--------------------->