..
..
ทางด้านแฟนธอมกับเจอรัลด์ที่เห็นสีหน้าของริวก่อนหน้านั้นเข้าพอดี ก็ทำให้ทั้งคู่พอจะคาดเดาได้ถึงความกังวลที่หนุ่มญี่ปุ่นเป็นอยู่
“ถึงจะบอกว่าไม่ต้องคิดมาก แต่เจอแบบนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องคิดอยู่ดีนั่นล่ะนะครับ”
เจอรัลด์เปรยอย่างนึกเห็นใจ ซึ่งแฟนธอมก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ก่อนจะเหลือบมองคนข้างกาย แล้วก็ต้องรีบหลบตาเมื่อเจอรัลด์หันมาทางตนพอดี
“มีอะไรหรือครับคุณแฟนธอม”
“เอ่อ...เปล่า”
แฟนธอมรีบปฏิเสธ แต่ก็ดูเหมือนว่าเจอรัลด์นั้นจะไม่เชื่อคำพูดนั้นเอาเสียเลย ทำให้ชายหนุ่มจำต้องยอมบอกออกไปตามตรง
“ฉันก็แค่คิดว่า ถ้าเกิดฉันเป็นแบบกีรติบ้าง...นายจะทำอย่างไรน่ะ”
พอบอกจบคนพูดก็เบือนหน้าไปอีกทางด้วยความอาย และนั่นทำให้เจอรัลด์อมยิ้ม ชายหนุ่มอยากจะกอดอีกฝ่ายแล้วจับถอดหน้ากากหอมแก้มทั้งสองข้างเสียให้หนำใจ แต่ขืนทำแบบนั้นกลางหมู่บ้าน เขาคงโดนแฟนธอมเล่นงานปางตายเป็นแน่
“ถ้าผมอยู่ในฐานะเดียวกับคุณริว... แล้วทางบ้านของคุณแฟนธอมไม่ยอมรับ ผมก็คงไปฉุดคุณหนีมาอยู่ด้วยกัน หรือไม่ก็หาทางบีบบังคับยึดประเทศคุณมาปกครองเสียเอง จะได้ไม่มีใครขัดขวางเราได้ยังไงล่ะครับ”
เจอรัลด์ตอบพร้อมยิ้มหวาน ทว่าคนฟังนั้นถึงกับเงียบกริบ ก่อนจะหลุดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“ฉันว่าดีแล้วที่ริวไม่เหมือนนาย...ไม่อย่างนั้นกีรติคงน่าสงสารแย่”
แฟนธอมพึมพำอย่างเอือมระอา แต่ลึก ๆ ในใจแล้วก็รู้สึกยินดีที่เจอรัลด์เห็นเพียงเขาเท่านั้นที่สำคัญที่สุดสำหรับชายหนุ่ม
“เอ๋...คุณแฟนธอมไม่ชอบแบบนั้นหรือครับ...เอ หรือจะให้ผมแปลงเพศเป็นหญิงแทน... ถ้าคุณต้องการผมก็ทำได้อยู่หรอกนะครับ แต่ก็ยังเสียดาย ที่จะไม่ได้เป็นฝ่ายจับคุณกดก็เท่านั้น...โอ๊ย!!”
เสียงตะโกนด้วยความเจ็บของเจอรัลด์ทำให้พวกชาวหมู่บ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันหันขวับมาทางทั้งคู่ และได้เห็นเจอรัลด์ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นถนนมือกุมคางเอาไว้อย่างมึนงง เมื่อแฟนธอมเห็นสายตาของคนอื่นที่ย้ายมามองเขา ชายหนุ่มจึงกระแทกเสียงห้วนขึ้นดัง ๆ บอกกับทุกคน
“ก็แค่จัดการคนปากเสียให้รู้จักจำว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด ก็เท่านั้นเองล่ะครับ! ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนักหรอก!”
บอกจบแฟนธอมก็เดินดุ่ม ๆ กลับไปสำนักงานหมู่บ้านแทน เพราะลองคนในหมู่บ้านออกมาจับกลุ่มยืนคุยกันด้านนอกแบบนี้ เขาก็คงไม่ต้องเฝ้ายามแทนกีรติต่อแล้ว
“เดี๋ยวก่อนครับคุณแฟนธอม! รอผมด้วย!”
เจอรัลด์ที่หายมึนหลังจากโดนหมัดเสยคาง รีบวิ่งตามไป ส่วนคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วยุ่งอย่างนึกแปลกใจ แต่พอเห็นพวกกีรติตามมาสมทบ พร้อมกับชายในสูทดำอีกสองคน พวกเขาก็หันมาให้ความสนใจกับทางด้านนี้แทน
“สรุปว่าคืนนี้โนอาจะค้างที่ห้องผมนะครับ เอ่อ...แต่สองคนนี้ เขาจะค้างด้วย ทีแรกเขาบอกว่านอนในรถก็ได้ แต่ผมเห็นว่าไม่ค่อยเหมาะนัก ...ถ้าบ้านใครพอจะมีห้องว่าง ผมอยากฝากทั้งคู่ให้ค้างสักคืน พวกเขาฟังและพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย แต่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีน่ะครับ”
แต่ละคนหันมาปรึกษากัน ซึ่งลีก็เป็นคนแรกที่เสนอตัว
“ถ้าอย่างนั้นนอนบ้านฉันก็ได้นะ ถ้าไม่รังเกียจความรกของบ้านน่ะ!”
กีรติแย้มยิ้มอย่างยินดี และเตรียมจะเอ่ยขอบคุณ หากแต่ก็มีเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน
“อย่าเลยกี บ้านหมอนี่ไม่ใช่แค่รกธรรมดานา แต่อภิมหารกเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังวางของอันตรายไว้เกลื่อนกลาด ระเบิดมือเอย ดินปืนเอย ฉันละกลัวมันจะระเบิดแล้วไฟไหม้ลามมาแถวบ้านฉันสักวันจริง ๆ”
สกล ชายวัยกลางคนไม้เบื่อไม้เมากับหนุ่มจีนเปรยขัดขึ้นด้วยสีหน้าเอือมระอา และไม่เพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้น คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกันแทบทั้งสิ้น
“ท่านคีโอขอรับ พวกผมนอนในรถ หรือในห้องรับแขกของสำนักงานหมู่บ้านที่ท่านอาศัยอยู่ก็ได้ขอรับ”
หนึ่งในบอดี้การ์ดของโนอาบอกกับกีรติด้วยภาษาลาซาอย่างเกรงใจ เพราะแม้จะฟังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนว่าบ้านของผู้ชายที่ดูคล้ายชาวจีนคนนั้น จะไม่สะดวกให้เขากับเพื่อนค้างในคืนนี้นัก ซึ่งกีรติก็มีสีหน้าลังเล เพราะห้องรับแขกก็มีโซฟายาวเพียงแค่ตัวเดียวเสียด้วย ทว่ายังไม่ทันที่จะมีใครเสนอตัวต่อจากลี เสียงจากลำโพงป้อมยามก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“ผมขออนุญาตเสนอความเห็นสักหน่อยได้ไหมครับ!”
เสียงของอเล็กซ์ทำให้แต่ละคนหันไปมอง ส่วนบอดี้การ์ดทั้งสองต่างเข้าใจไปเองว่าเสียงนั้นน่าจะดังมาจากสมาชิกคนใดคนหนึ่งของในหมู่บ้าน พูดผ่านไมค์ขยายเสียงออกมานั่นเอง
“อะไรหรือครับคุณอเล็กซ์”
อเล็กซ์เงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงตัดสินใจตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนของโนอาฟังออกด้วย ทำเอาปีศาจบางตนที่ร้างลาการใช้ภาษาอังกฤษมานานต้องขมวดคิ้วยุ่ง ร้อนถึงคนที่รู้ภาษาก็ต้องกระซิบแปลอธิบายให้เพื่อนบ้านเข้าใจแทน
“ผมมั่นใจว่า แทบทุกคนที่นี่เต็มใจให้พวกคุณค้างคืนกับเขา แต่ก็นั่นล่ะครับ นอกจากคุณลีที่เป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนแล้ว คนอื่น ๆ ก็เป็นพวกชอบเผลอลืมตัวแสดงร่างจริงอยู่บ่อย ๆ ผมเกรงจะเกิดกรณีหนึ่งในพวกคุณลุกเข้ามาห้องน้ำดึก ๆ ดื่น ๆ แล้วจ๊ะเอ๋กันเข้า... คราวนี้ล่ะครับ คงไม่ต้องหลับต้องนอนกันต่อแล้วล่ะ”
กีรติพอได้ฟังก็หลุดยิ้มเจื่อน ๆ เพราะเขายังไม่ได้อธิบายถึงเรื่องสมาชิกในหมู่บ้านให้คนของเขาได้รับรู้เลยสักนิด ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไร โนอาก็หันไปบอกกับบอดี้การ์ดทั้งคู่เสียก่อน
“ทุกคนในหมู่บ้านนี้มีหลากหลายเผ่าพันธุ์น่ะ อืม...ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ เป็นแฟนตาซีวิลเลจยังไงล่ะ!”
ชายทั้งสองกลืนน้ำลายลงคอ แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก หากแต่ถ้าผู้เป็นเจ้านายรับได้ พวกเขาก็คงจำต้องยอมรับแบบงง ๆ ไปก่อนอยู่ดี
“เข้าใจแล้วขอรับ...คิดว่านะขอรับ”
หนึ่งในนั้นพึมพำตอบ ซึ่งโนอาก็พยักหน้ารับรู้อย่างพอใจ แล้วจึงหันไปทางพี่ชายของเขา
“เรียบร้อยแล้วล่ะคี อืม...ส่วนเรื่องที่พัก ถ้าคีไม่อยากให้พวกเขานอนในรถ เราไปขอยืมหมอนกับผ้าห่มของบ้านอื่น แล้วนอนรวมกันที่ห้องคีก็ได้มั้ง”
โนอาบอกอย่างไม่คิดถือสาว่าอีกฝ่ายเป็นลูกน้อง ทำให้กีรติอมยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าบอดี้การ์ดทั้งสองนั้นสะดุ้งโหยง เพราะถึงแม้จะได้รับอนุญาตก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่กล้าอยู่ดี
“เฮ้! ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ ถึงพวกฉันจะชอบเผลอตัว แต่ส่วนใหญ่ก็จะระวังล่ะนะ อ๊ะ...เอางี้ไหมล่ะ ถ้ายังไงก็นอนบ้านริวกับเรนก็ได้ สองคนนั่นยังไงก็เป็นมนุษย์เหมือน ๆ กันด้วย”
สกลลองเสนอดูบ้าง ซึ่งแต่ละคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย ทว่าลีที่โดนอีกฝ่ายขัดในทีแรก ก็รีบแย้งกลับไปเช่นเดียวกัน
“บ้านสองคนนั้นน่ะหรือ เผลอ ๆ จะยิ่งแย่กว่าบ้านฉันอีก ลำพังสองพี่น้องนั่นไม่เท่าไรหรอก แต่เจ้างูยักษ์กับเจ้าจิ้งจอกขาวนั่นไว้ใจได้เมื่อไหร่ บางคืนก็ดันลุกมาตีกันกลางดึกเสียอย่างนั้น เสียงดังลั่นข้ามซอยมาถึงบ้านฉันเลยทีเดียวล่ะนะ”
พอลีพูดจบหลายคนก็ชะงัก เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริงนั่นเอง
“สรุปว่าทุกคนในหมู่บ้านนี้ยินดีต้อนรับให้พวกคุณค้างบ้านเขา เพียงแต่ด้วยเหตุจำเป็น จึงทำให้พวกเขาไม่กล้าจะให้คุณค้างด้วย เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดนะครับ”
อเล็กซ์สรุปเป็นภาษาอังกฤษปิดท้าย เมื่อเห็นคนของโนอาทั้งสองเริ่มมีสีหน้ากังวลแกมเกรงใจให้เห็นอีกครั้ง
“ก็บอกแล้วไงว่านอนรวมกันที่ห้องก็ได้ เนอะคี”
โนอายังยืนยันความเห็นเดิม ซึ่งกีรติก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นดีด้วย
“นั่นสิ แป๊บ ๆ ก็เช้าแล้ว แถมในห้องก็มีแอร์ ไม่ต้องกลัวยุงกัดด้วย อ๊ะ! ถ้านอนพื้นลำบาก ทั้งสองคนจะนอนบนเตียงแทนก็ได้”
กีรติบอกแล้วยิ้มหวาน แต่นั่นก็ทำให้ชายสองคนยิ้มตอบไม่ออก ส่วนโนอาก็รีบโพล่งขัดขึ้นทันที
“ถ้าคีนอนพื้น ผมขอนอนด้วยคนนะ!”
“หือ...ก็ได้นี่”
กีรติบอกอย่างไม่คิดมากอะไร ส่วนบอดี้การ์ดทั้งสองเริ่มหันหน้าปรึกษากัน ว่าพวกตนจะอยู่อารักขาเจ้าชายทั้งสองต่อ หรือจะกลับไปนอนโรงแรมเพื่อตัดปัญหาลำบากใจทั้งหมดนี่ดี ทว่าคุยกันยังไม่ทันไร เสียงเนือย ๆ จากใครบางคนก็ดังโพล่งขึ้นขัดมาเสียก่อน
“อ้าว ๆ ไหงมามุงกันอยู่แถวนี้ล่ะ ฉันดูทีวีเห็นถ่ายทอดสดถูกตัดไปตั้งแต่ตอนพวกกีออกมาเดินเที่ยวหมู่บ้าน ก็เลยตั้งใจจะออกมาแจมสักหน่อย ...แล้วนี่คุยอะไรกัน ทำหน้าเครียดเชียว มีอะไรให้ฉันช่วยไหมนั่น”
แต่ละคนพอได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยนั่นก็ต่างรีบหันขวับไปเป็นตาเดียว ทางด้านปัณณ์นั้นเมื่อเห็นสายตาตกใจกึ่งไม่ไว้วางใจของแต่ละคนที่มองมายังตน ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก
“อะไร...สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง เหมือนว่าไม่อยากให้ฉันมีส่วนร่วมด้วยเลยนะ!”
บรรดาคนฟังพากันสะดุ้งโหยง และก่อนจะมีใครพูดแก้ตัว คนตัวสูงใหญ่ที่เดินมาด้วยกันกับปัณณ์ ก็ถอนหายใจยาว แล้วใช้แขนข้างหนึ่งล็อกคออีกฝ่ายรั้งห่างออกมาเสียก่อน
“เอาน่า ๆ ยังไม่มีใครพูดอะไรสักคน อย่าเพิ่งคิดแง่ลบไปเองเลย วันนี้มีงานเลี้ยงแท้ ๆ นา อย่าอารมณ์เสียสิ เดี๋ยวงานก็กร่อยก่อนหรอก”
ปัณณ์เหลือบมองคนที่ห้ามตน แล้วทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์เท่าใด แต่ก็ยอมอยู่นิ่งเฉยไม่อาละวาดต่อ จนแต่ละคนพากันนึกทึ่ง ยกเว้นบางคนที่รู้จักไกรสรและปัณณ์มานานแล้ว ก็ไม่ค่อยจะแปลกใจเท่าใด เพราะแม้คำพูดของไกรสรจะไม่สามารถทำให้ปัณณ์สงบและยอมรับในทันทีได้เท่ากับเจ้าของที่ดินรุ่นแรกก็ตาม ทว่าพ่อค้ากับข้าวคนนี้ก็เป็นอีกคนที่ปัณณ์ยอมลงให้มากกว่าใครในหมู่บ้านมีสุขนี่
“แล้วตกลงพวกนายมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าน่ะ”
ไกรสรถามชาวหมู่บ้านแต่ละคน ซึ่งกีรติก็เป็นฝ่ายเล่าให้พ่อค้ากับข้าวฟังแทน
“พวกเขากำลังหาบ้านพักให้คนของโนอาครับ แต่ดูเหมือนว่าแต่ละบ้านจะไม่สะดวก เอ่อ...คือจริง ๆ ก็สะดวกให้พักหรอกครับ แต่พวกเขาเกรงว่าอาจจะทำให้สองคนนี้ตกใจเข้าให้ก็ได้ ผมก็เลยตั้งใจจะให้ทุกคนมานอนค้างห้องเดียวกันให้หมดน่ะครับ”
ไกรสรรับฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายอย่างพอจะเข้าใจ และพอเหลือบไปมองคนของโนอาทั้งคู่ ก็พอจะแน่ใจว่าสองคนนั้นคงไม่กล้านอนร่วมห้องกับเจ้าชายทั้งสองอย่างแน่นอน
“อะไรกัน เรื่องแค่นี้ก็แก้ปัญหากันไม่ได้ ก็ไหน ๆ จะมีงานเลี้ยงอยู่แล้ว ก็ตั้งแคมป์กางเต็นท์นอนกันไปเลยก็สิ้นเรื่อง เรื่องยุงไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวฉันเอาต้นไม้กินแมลงที่บ้านมาตั้งไว้ให้ก็ได้...”
“เอิ่ม...คือที่บ้านฉันมีเครื่องไล่ยุงที่เจอรัลด์สร้างให้อยู่ ฉันว่าน่าจะสะดวกกว่าให้นายยกต้นไม้กินคน เอ๊ย! กินแมลงนั่นมาเยอะ กระถางมันหนักมากไม่ใช่หรือไง”
เพื่อนบ้านที่อยู่ซอยเดียวกัน และรู้ซึ้งถึงเจ้าต้นไม้พันธุ์ประหลาดที่ปัณณ์เป็นคนปลูกดีรีบห้าม ซึ่งคนอื่น ๆ ที่เคยเห็นฤทธิ์เจ้าต้นไม้ตัวแสบมาก่อนก็ต่างพยักหน้าเห็นดีด้วย ส่วนรายที่ไม่เคยเจอก็พากันออกอาการสนอกสนใจให้เห็น โดยเฉพาะโนอากับกีรติ ที่เตรียมจะอ้าปากถาม ทว่าก็ถูกคนบางคนที่ตาไว พูดดักเปลี่ยนเรื่องขึ้นเสียก่อน
“อ๊ะ! ลี! ร้านนายมีเต็นท์ใหญ่ ๆ เก็บไว้ใช่ไหม มีหลายหลังหรือเปล่า ขอยืมด้วยแล้วกัน เพราะคืนนี้ฉันว่าจะออกมานอนชมดาวนอกบ้านเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเหมือนกันน่ะ เดี๋ยวพวกฟูกหมอนอะไรนั่น พวกฉันขนมาเองได้!”
ลีนิ่งคิดทบทวน แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ต่อคำขอของอีกฝ่าย
“ได้สิ ฉันมีเต็นท์ขนาด สิบคนนอน อยู่สองสามหลังน่ะ สั่งมาติดไว้อย่างนั้นล่ะ เอาไปใช้ได้ตามสบายเลย”
ลีบอกพร้อมยิ้มกว้าง ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงไกรสรกำลังบ่นปัณณ์เรื่องต้นไม้ที่เจ้าตัวปลูกไว้
“ฉันนึกว่านายเผามันทิ้งไปแล้วเสียอีก คราวก่อนมันก็เกือบจับบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งจดหมายในหมู่บ้านกินไปหนแล้วไม่ใช่หรือไง!”
ปัณณ์ยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเปรยตอบกลับไปคล้ายไม่ใส่ใจมากนัก
“มันก็แค่แหย่เล่นนิด ๆ หน่อย ๆ ฉันปลูกต้นไม้กินแมลงนะ ไม่ใช่ต้นไม้กินคน มันจะไปกินคนได้ยังไงกัน อีกอย่างตอนนี้ฉันก็ทำให้มันย่อส่วนลงเหลือต้นนิดเดียว แล้วเลี้ยงด้วยเนื้อหมูวันละชิ้นแทน แค่นั้นมันก็อิ่มจนไม่ต้องไปหาอะไรกินเพิ่มแล้วล่ะ”
คนอื่นที่ได้ยินพากันทำตาปริบ ๆ โดยเฉพาะคนที่พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ถึงกับลอบถอนหายใจ เมื่อความพยายามของตนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
“หือ...มองอะไรกัน อยากเห็นหนูเดซี่ของฉันขนาดนั้นเลยหรือ”
ปัณณ์หันมาถามแต่ละคนที่กำลังจ้องมองมายังเขา และคำถามนั้นก็ทำเอาคนที่ไม่เคยเห็นต้นไม้ที่ว่ามาก่อนพากันขมวดคิ้วยกใหญ่
“หนูเดซี่?”
“ใช่แล้ว! ต้นไม้กินแมลงที่แสนจะน่ารักของฉันยังไงล่ะ.. อ๊ะ! จะทำอะไรน่ะไกร! ปล่อยฉันสิ ไอ้พ่อค้างี่เง่านี่!”
พ่อมดหนุ่มหลุดโวยวายเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกคนที่ยืนใกล้ใช้แขนคล้องคอลากเขาให้ออกห่างจากผู้คนอีกรอบ
“ฉันก็จะไปเช็คว่านายเก็บเจ้าต้นไม้อันตรายของนายนั่นดีขนาดไหนน่ะสิ อ้อ! ฝากพวกนายจัดการเรื่องงานเลี้ยงด้วยนะ ไปเอาของเหลือที่รถของฉันไปทำก็ได้ ฉันเลี้ยงเอง ถึงไม่มากมายอะไรนักก็เถอะ!”
ไกรสรบอกกับคนอื่น ๆ แล้วลากปัณณ์กลับบ้านพักอีกฝ่ายพร้อมกับเขา ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในตัวของชาวหมู่บ้านที่เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้กินแมลงที่ปัณณ์เลี้ยงไว้นั่นเอง
“ว้า! น่าเสียดายจัง ผมก็อยากเห็นต้นไม้กินคนเหมือนกันนะ ...ถ้ายังไงคืนนี้เราลองขอให้เขาเอามาให้ดูด้วยดีไหมคี!”
โนอาหันมาบอกกับพี่ชายด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ซึ่งกีรติก็ยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ เพราะดูจากปฏิกิริยาของคนที่คอยห้าม เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าต้นไม้ของปัณณ์นั้น คงจะอันตรายไม่น้อยทีเดียว
“อ๊ะ...เอ๋? แล้วคุณริวไปไหนล่ะครับ...อ้าว พวกคุณเรนกับคุณชิโระแล้วก็คุณคุไรก็ไม่อยู่ด้วยแฮะ”
กีรติที่เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพวกริวหายไป เอ่ยถามคนแถวนั้นอย่างแปลกใจ
“อ้อ! เห็นว่าจะขอกลับไปพักผ่อนก่อนจะถึงงานเลี้ยงน่ะ”
เจ้าตัวบอกกับกีรติแล้วจึงหันไปทางคนอื่น ๆ ที่ยังคงยืนออกันอยู่
“อืม...ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เตรียมแบ่งงานกันแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า ดาหลาเป็นฝ่ายอาหารนะ แล้วเดี๋ยวจะหาลูกมือเพิ่มให้”
“ได้เลยจ้ะ! งั้นฉันโทรไปบอกให้ที่รักของฉันกลับไวหน่อยดีกว่า จะได้มาช่วยกันอีกแรง”
ดาหลารับคำพร้อมยิ้มหวาน แล้วรีบหยิบมือถือโทรไปหาภูผาทันที และนั่นก็ทำให้มีใครบางคนนึกขึ้นได้ว่า พวกเขายังขาดสมาชิกคนสำคัญไปอีกราย
“เฮ้! มีใครโทรไปบอกคุณเวธน์หรือยังน่ะ!”
“คุณกรกฎคงโทรไปเรียบร้อยแล้วล่ะ ...อ้าว! พูดยังไม่ทันขาดคำ นั่นรถคุณเวธน์สินะ”
ลีบอกอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นรถยนต์สีดำคุ้นตา เลี้ยวเข้ามาจอดในเขตหมู่บ้าน แต่แล้วหนุ่มจีนก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อกีรติเอ่ยขัดขึ้นเบา ๆ
“เอ่อ...ผมขอตัวไปหาคุณริวสักครู่ได้ไหมครับ เดี๋ยวจะรีบกลับมาช่วยทางนี้ทีหลัง”
“ตามสบาย ๆ ยังมีเวลาเตรียมงานอีกเยอะ ไหนจะต้องรอพวกคนที่ไปทำงานกลับมาก่อนอีกด้วยล่ะนะ”
ลีตอบพร้อมยิ้มกว้างอย่างไม่ถือสา ซึ่งกีรติก็พยักหน้าพร้อมกล่าวขอบคุณ และเดินตรงดิ่งไปบ้านริวทันที ส่วนทางด้านโนอานั้นไม่ได้ตามกีรติไป เพราะมัวแต่ตื่นเต้นเรื่องการเตรียมงานเลี้ยง และที่สำคัญเขาก็เริ่มไว้ใจในตัวริว จนสามารถปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่กับพี่ชายของตนได้อย่างวางใจบ้างแล้ว
ทางด้านบอดี้การ์ดทั้งสองของโนอา เมื่อเห็นว่าแต่ละคนเริ่มแยกย้ายกันไปทำงาน พวกเขาจึงอาสาตัวช่วยเหลือทุกคนบ้างเช่นกัน ซึ่งภาษาไทยที่พวกเขาใช้ แม้จะฟังไม่ค่อยชัดแต่ก็ยังพอฟังออกอยู่บ้าง
“ได้เลยครับ! งั้นพวกคุณไปช่วยผมขนเต็นท์นอนของพวกคุณดีกว่า เดี๋ยวผมแถมถุงนอนให้ด้วยเลยแล้วกัน!”
ลีตอบรับด้วยน้ำเสียงดังร่าเริง แต่ก็มีบางคนขัดแทรกขึ้นมา
“แค่นั้นจะนอนสบายอะไร เดี๋ยวฉันขนฟูกหมอนแล้วก็ผ้าห่มมาเพิ่มให้ด้วยดีกว่า”
“งั้นผมช่วยขนด้วยคนนะครับ!”
โนอารีบอาสาตัวเอง แต่ก็ทำให้หนึ่งในบอดี้การ์ดทั้งสองรีบแย้งขัดขึ้นอย่างตกใจ
“อ๊ะ! ท่านโนอา เดี๋ยวผมทำให้...”
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบดี โนอาก็เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเสียก่อน
“ที่นี่ไม่ใช่ลาซา เพราะฉะนั้นทุกคนก็ถือว่าเท่าเทียมกันหมด ...เข้าใจนะ”
“...ขอรับ”
ชายทั้งสองจำต้องรับคำอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งโนอาก็ยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ แล้วจึงตามไปช่วยขนฟูกจากบ้านหลังหนึ่ง ส่วนคนติดตามของเขาก็แยกไปช่วยลีขนเต็นท์เช่นเดียวกัน
อีกด้านหนึ่งที่บ้านของหนุ่มญี่ปุ่นเองนั้น ทั้งเรน ชิโระและคุไรต่างก็พากันยืนห่าง ๆ เฝ้ามองคนที่นั่งเหม่อลอยอยู่ตามลำพังในห้องรับแขก ซึ่งก่อนหน้านั้นพอพวกเขาซักถามอะไรออกไป ริวก็ยิ้มเศร้า ๆ แล้วปฏิเสธไม่ยอมบอก จากนั้นก็เอ่ยปากขออยู่คนเดียวเงียบ ๆ ทำให้ทั้งสามไม่กล้าที่จะเซ้าซี้ให้ชายหนุ่มต้องแสดงสีหน้าลำบากใจไปกว่านี้
“หือ...เสียงกดออด ใครมาน่ะ”
เรนพึมพำแล้วเดินออกไปดูที่หน้าบ้าน ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นกีรติยืนรออยู่
“เชิญครับคุณกีรติ มาหาพี่หรือครับ”
เรนเปิดประตูรั้วต้อนรับ ซึ่งกีรติก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยตอบ
“ใช่ครับ...พอดีได้ยินว่าพวกคุณขอตัวมาพักผ่อนก่อน ผมก็เลยแวะมาดูน่ะครับ...เอ่อ คือจริง ๆ ก็เป็นห่วงน่ะครับ กลัวว่าจะมีใครไม่สบายอะไรด้วยหรือเปล่า”
ท้ายประโยคกีรติอ้อมแอ้มตอบด้วยสีหน้าขัดเขินเล็กน้อย และนั่นจึงทำให้เรนอมยิ้มอย่างเอ็นดู จากนั้นเขาจึงเชื้อเชิญคนที่ยืนอยู่นอกรั้วเข้าไปในบ้าน แล้วบอกกับอีกฝ่ายตามตรง
“อันที่จริงตอนนี้พวกผมเองก็กำลังกังวลอยู่เหมือนกัน เพราะพี่ริวเขาจู่ ๆ ก็ดูแปลกไปน่ะครับ”
“เอ๋? เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
เรนหันมามองคนถาม แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะฝืนยิ้มให้คนข้างกายตน
“ไว้คุณกีรติลองไปถามดูเองดีกว่าครับ ... บางทีพี่อาจจะยอมเล่าให้คุณฟังก็ได้”
กีรติชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ตามมา เพราะเชื่อว่าริวคงมีปัญหาจริง ๆ ไม่เช่นนั้นเรนคงจะไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ให้เขาเห็นแน่
และเมื่อกีรติเดินตามเรนไปจนถึงห้องรับแขก ชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นริวนั่งเหม่ออยู่ในห้องที่ค่อนข้างมืด เพราะเจ้าของห้องนั้นจัดการปิดผ้าม่านบานประตูกระจกผืนใหญ่ จนทำให้แสงจากหน้าบ้านไม่ส่องผ่านเข้ามา มิหนำซ้ำยังไม่ยอมเปิดไฟในห้องอีกต่างหาก
“เอ่อ...คุณริวครับ”
กีรติเรียกชื่ออีกฝ่าย ซึ่งก็ทำให้ร่างนั้นชะงักแล้วหันมามองคนเรียกอย่างตกใจ
“กี...มาได้ยังไงน่ะ”
“คือผมเห็นว่าคุณริวไม่อยู่ เลยแวะมาหาน่ะครับ เอ่อ...คือผมเป็นห่วงว่าคุณอาจจะไม่สบาย... อ๊ะ! แล้วก็ตั้งใจว่าจะชวนคุณไปช่วยคุณดาหลาเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้ด้วยน่ะครับ!”
ประโยคหลัง ๆ นั้นกีรติรีบแก้ตัวตามมา เพราะรู้สึกเขินที่จะบอกว่า จริง ๆ แล้วที่มาหาก็เพราะเป็นห่วงริวเพียงเท่านั้น
“ขอบคุณที่เป็นห่วง ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก...ก็แค่รู้สึกเพลียนิดหน่อยเท่านั้น อืม...ส่วนเรื่องเตรียมอาหาร เดี๋ยวสักพักผมจะตามไปช่วยทีหลังนะ”
ริวยิ้มน้อย ๆ ตอบ ทว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย และนั่นจึงทำให้กีรติต้องขมวดคิ้วยุ่ง เขายืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหา พลางนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ อีกฝ่าย
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับคุณริว ...เล่าให้ผมฟังได้ไหม”
ริวชะงักเล็กน้อย แล้วจึงประสานสายตาของตนสบกับนัยน์ตาสีดำที่แฝงความห่วงใยคู่นั้น ทว่าเมื่อหวนคิดถึงเรื่องที่เขาเป็นกังวล ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ หลุบตาลง พลางตอบกลับไปเสียงแผ่ว
“ไม่มีอะไรมากหรอก...ผมก็แค่กำลังคิดถึงในสิ่งที่ผมลืมคิดไปก็เท่านั้นเอง”
กีรติมองริวอย่างแปลกใจ ซึ่งริวก็เม้มปากน้อย ๆ สักพักเขาจึงยันกายลุกขึ้นยืน พร้อมบอกกับคนตรงหน้า
“ผมว่าผมไปช่วยคุณดาหลาเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงตอนนี้เลยดีกว่านะ”
“คุณริว...”
กีรติพึมพำเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสับสน เพราะทันได้สังเกตเห็นแววตาเจ็บปวดของริวก่อนที่จะลุกไป แผ่นหลังที่ดูอมทุกข์นั่นทำให้คนมองต้องเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงตัดสินใจแน่วแน่ลุกขึ้นตามไปฉุดข้อมือของชายหนุ่มรั้งเอาไว้เสียก่อน
“อย่าเพิ่งไปครับ!”
ริวหันมามองอย่างตกใจ และพอได้เห็นแววตาจริงจังของอีกฝ่าย เขาก็ต้องหลุดเรียกชื่อของชายหนุ่มร่างเล็กออกมาแผ่วเบา
“กีรติ...”
“คุณริว ...พวกเราเป็นคนรักกันแล้วใช่ไหมครับ...ถ้าอย่างนั้นโปรดบอกผมเถอะครับ ว่าคุณทุกข์ใจอะไรอยู่... ให้ผมได้รับฟังความทุกข์ของคุณ และแบ่งปันมันร่วมกับคุณ...นะครับ”
กีรติบอกกับชายหนุ่มและจ้องตาเจ้าตัวนิ่งโดยไม่หวั่นไหว ทางด้านริวเองนั้นก็จ้องตอบแววตาจริงใจที่มีให้เขาเสมอมาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าที่เคยหม่นหมองก็เริ่มมีรอยยิ้มที่แจ่มใสกว่าก่อนหน้านั้นให้กีรติได้เห็น
“ขอบใจนะกี ... ผมนี่มันแย่จริง ๆ เอาแต่คิดกลัวไปเองฝ่ายเดียว จนเกือบทำตัวซ้ำรอยเมื่อก่อนอีกจนได้”
ริวบอกพร้อมกับโอบกอดคนตัวเล็กที่ตอนนี้มีสีหน้างุนงงกึ่งโล่งใจยามได้เห็นคนรักกลับมายิ้มได้แบบเดิมอีกครั้ง ส่วนทางด้านเรนที่แอบดูอยู่นอกห้องหลุดยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงสะกิดสัตว์อสูรทั้งสองให้ออกไปนอกบ้านเพื่อช่วยคนอื่น ๆ เตรียมงานแทน เพื่อให้ริวกับกีรติได้ปรับความเข้าใจกันต่อ โดยไม่มีคนอื่นรบกวนตามลำพังนั่นเอง
... TBC ...
ฝากข่าวนิดนึง สำหรับคนเคยอ่าน my angel ของปัด เนื่องด้วย
แฟนเพจของปัด ได้ like เลขสวย 500 และใกล้กับวันเกิดของปัดเข้ามาทุกที ดังนั้นปัดจะลงตอนพิเศษของหนูไค ให้อ่าน เฉพาะในแฟนเพจเท่านั้นนะคะ เพื่อเป็นการขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันค่ะ ใครสนใจก็แวะเวียนไปเยี่ยมดูได้นะคะ จะลงตั้งแต่30กย เป็นต้นไปค่ะ(ก็ไม่มากมายหลายหน้าอะไรหรอกค่ะ ราวๆ 30 หน้าเอสี่เท่านั้นเอง)