พิมพ์หน้านี้ - เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Xenon ที่ 17-09-2013 18:51:55

หัวข้อ: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 17-09-2013 18:51:55
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

 เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



----------------------------------------------

นิยายเก่า ๆ ที่ลงไว้ (จบแล้ว)
คุณตำรวจยอดรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16626.0)  ,  คุณอาที่รัก(แนวโชตะ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17582.0)  , กรงรัก...พันธนาการใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0)  , The Eden School (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.0)  , ดวงใจจ้าวมังกร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=24780.00) , ม่านราตรี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27757.0) ,   Miracle Café (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.0) 
ลิขิตรักอสุรกาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35637.0)    ,  เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.0)    , ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.0)    , กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.0)


เรื่องสั้น
คุณพี่...ที่รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20403.0)   ,  สัญญา สายใย เชื่อมใจรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33672.0)


นิยายที่ยังไม่จบ
-
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 1 - 2 (17/9/56) นิยายเรื่องล่าสุดที่กำลังปั่นอยู่ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 17-09-2013 18:59:11
แจ้งข่าว/พูดคุยก่อนอ่านค่ะ ^^"

สวัสดีค่ะ ห่างหายจากเล้าไปเสียนานทีเดียว ...และสำหรับคนที่รออ่านเรื่อง @The Devil Organization:รวมพลคนไล่ล่า ปัดต้องขออภัยที่ช่วงนี้หยุดเขียนเรื่องนั้นไปสักพัก เนื่องจากการเขียนสองเรื่องพร้อมกัน จะทำให้ปัดเข้าสู่สภาวะตันทั้งสองเรื่อง  ต้องแก้ไขด้วยการหยิบเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีวี่แววจะจบมาเขียนก่อน และสำหรับเรื่อง  "เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ." ปัดเคยเขียนจบไปแล้วเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ฉบับนั้นเป็นฉบับที่มีข้อผิดพลาดเยอะ และเนื้อหาห้วน ไม่ต่อเนื่อง (เพราะเร่งเขียนให้จบร้อยหน้าเอสี่ในเวลาสามเดือนนั่นเอง /เป็นนิยายร่วมสนุกในบอร์ดส่วนตัวของเพื่อนค่ะ)  ดังนั้นปัดจึงหยิบพล็อตที่มีอยู่แล้วมารีไรท์ ให้สมบูรณ์กว่าเดิม แต่เอาจริง ๆ นับตั้งแต่ตอนที่ 6 เป็นต้นไป ปัดแทบจะรื้อพล็อตแต่ละตอนมาเขียนใหม่ เปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง จนกลายเป็นว่าเท่ากับได้ปั่นนิยายเพิ่มอีกเรื่อง   ดังนั้นจึงจำต้องหยุด The Devil ฯ  เนื่องจากถึงจะเปลี่ยนพล็อตย่อยของ คุณ รปภ. ยังไงก็ตาม แต่ธีมหลัก และตอนจบก็คิดว่าจะคงเดิมอยู่ดี  จึงนำเรื่องนี้มาให้เพื่อน ๆ ที่เล้าได้อ่านแก้คิดถึงกันไปก่อนค่ะ

ป.ล. จะลงวันละ 2 ตอน จนกว่าจะทันกับที่ปั่นทิ้งไว้นะคะ จะได้ตามอ่านกันไม่ตาลายมากไปนัก  และคาดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะหายค่ะ เพราะปัจจุบันก็มาถึงตอนปลาย ๆ เรื่องแล้วค่ะ

-----------------------------------------------------
สารบัญ:
 บทที่ 1 -  2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2484964#msg2484964)
 บทที่ 3 -  4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2485631#msg2485631)
 บทที่ 5 -  6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2486648#msg2486648)
 บทที่ 7 -  8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2487626#msg2487626)
 บทที่ 9 -  10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2488444#msg2488444)
 บทที่ 11 -  12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2489531#msg2489531)
 บทที่ 13 -  14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2490748#msg2490748)
 บทที่ 15 -  16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2491450#msg2491450)
 บทที่ 17 -  18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2492426#msg2492426)
 บทที่ 19 -  20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2494180#msg2494180)
 บทที่ 21 -  22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2495229#msg2495229)
 บทที่  23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2496298#msg2496298)
 บทที่  24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2513523#msg2513523)
 บทที่  25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2517264#msg2517264)
 บทที่  26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2519563#msg2519563)
 บทที่  27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2526486#msg2526486)
 บทที่  28- จบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2544840#msg2544840)

ตอนพิเศษ
 ตอนพิเศษ:คุณหมอ-คุณเลขา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2553803#msg2553803)
 ตอนพิเศษ:คุณพ่อค้ากับข้าว-คุณพ่อมด/1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2570826#msg2570826)
 ตอนพิเศษ:คุณพ่อค้ากับข้าว-คุณพ่อมด/2(จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2576510#msg2576510)

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 1 - 2 (17/9/56) นิยายเรื่องล่าสุดที่กำลังปั่นอยู่ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 17-09-2013 19:03:27
นิยายเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีอิงปัจจุบัน สไตล์จะใกล้เคียงกับเรื่อง "ม่านราตรี" ของปัด ค่อนข้างอ่านง่าย ดำเนินเรื่องเรื่อย ๆ แนวชีวิตประจำวัน ในแต่ละวันค่ะ 

ใครที่ชอบอ่านอะไรเรื่อย ๆ สไตล์ ม่านราตรี หรือมิราเคิลคาฟ่ของปัด น่าจะชอบนะคะ ^^" แต่ถ้าไม่ถูกใจ ปัดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ ยังไงก็แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้นะคะ

 ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ :pig4:


บทที่ 1
ยามกะเช้าคนใหม่



    “อะไรนะ! ลาออกหนีไปอีกแล้วรึ ...ทำไมปีนี้ถึงออกกันบ่อยจัง ตั้งแต่ต้นปีมานี่ก็เปลี่ยนไป 5 รายแล้วนะนั่น”

    น้ำเสียงบ่นอย่างเบื่อหน่ายดังขึ้นจากชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมแว่นตากรอบดำ  เส้นผมที่ดำยาวเลยบ่ามาเล็กน้อย ถูกปล่อยเอาไว้อย่างไม่สนใจมัดรวบ และแม้เจ้าตัวกำลังขมวดคิ้วยุ่งอยู่ก็ตาม แต่ใบหน้าคมคายใต้แว่นตา ก็ยังคงดูดีอยู่ไม่เปลี่ยน

    “ผมก็บอกคุณแล้วไง ‘คุณเจ้าของที่ดิน’ ว่าไม่ต้องจ้างคนเพิ่มมาอีกแล้ว ผมคนเดียวก็ดูแลได้”

    เสียงที่ขัดขึ้น ดังมาจากชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้วยกันในห้อง  เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หุ่นดีราวกับนายแบบ ผมลองทรงสั้นนั้นสีดำขลับเหมือนชายไทยทั่วไป เพียงแต่นัยน์ตาสีเขียวมรกต บ่งบอกถึงความมีเชื้อชาติอื่นผสมอยู่ในสายเลือด และที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดบนใบหน้าของเจ้าตัว ก็เห็นจะเป็นหน้ากากสีทองครึ่งหน้า ที่เจาะให้เห็นเฉพาะดวงตาโผล่มาเท่านั้น

    “หวังว่าเรื่องที่ทำให้พวกนั้นลาออก คุณคงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนะ…คุณแฟนธอม”

    คนถูกพาดพิงยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเปรยตอบเรียบ ๆ

    “ก็อาจจะ... ก็หน้าตาผมมันเป็นเสียแบบนี้นี่”

    คำพูดของคนตรงหน้าทำให้คนฟังถอนหายใจแล้วยกมือโบกไปมา

    “ไม่เอาน่า ผมไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนั้น คุณก็น่าจะรู้ดี”

    ใบหน้าใต้หน้ากากที่เคยเรียบเฉย ยกยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเอ่ยตอบ

    “ผมเข้าใจดี ...แต่คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะ ‘คุณเจ้าของที่ดิน’ ว่าที่นี่น่ะ ถ้าไม่ใช่คนประสาทแข็ง หรือพวกเดียวกัน ก็มีแต่พวกมองโลกในแง่ดีสุด ๆ นั่นล่ะ ถึงจะอยู่ได้ราบรื่นน่ะ”

    คนฟังถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับรู้

    “เอาเถอะ...ยังไงคนที่หนีไปก่อนครบกำหนดสัญญาทดลองงาน ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองจ่ายเงินให้อยู่แล้ว ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปหาคนมาใหม่แล้วกัน ช่วงนี้คุณก็รับไปเองก่อนนะ”

    “จริง ๆ ก็ไม่ต้องไปหาใหม่ให้ยุ่งยากหรอก  ผมแค่คนเดียวก็ตรวจตราดูแลหมู่บ้านนี้ได้”

    ชายสวมหน้ากากยังคงยืนยันความเห็นของตน  เพราะคิดว่าถึงจะหาคนใหม่มา ก็คงจะอยู่ได้ไม่นานไปกว่ารายอื่น ๆ นัก

    “ไม่ได้ ๆ ต่อให้เป็นคุณ ถ้าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้พักผ่อน มันก็จะแย่เอานะ”

    อีกฝ่ายรีบค้าน แล้วจ้องมองด้วยสายตาหวังดีและเป็นห่วง จนทำให้คนที่เตรียมจะแย้งต้องยักไหล่และถอนหายใจเบา ๆ

    “แม้หน้าที่นี้อาจจะดูไม่ค่อยจำเป็นต่อหมู่บ้านของเราสักเท่าไหร่ แต่มันก็ถือเป็นหนึ่งในคำสั่งเสียของคุณเจ้าของที่ดินคนเก่าที่ผมจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...”

    พอบอกออกไปเช่นนั้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มสวมแว่นจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา

     “...แต่เอาเถอะ ถ้าหาคนไม่ได้จริง ๆ เดี๋ยวผมจะหาอาสาสมัครพวกในหมู่บ้านมาคอยช่วยเปลี่ยนเวรช่วงเช้ากับคุณ หรืออย่างดีก็ทิ้งเวรเช้าไปเลย อาศัยแค่ ‘ระบบรักษาความปลอดภัย’ ของหมู่บ้านอย่างเดียวก็พอ แล้วไปเน้นดูแลแค่เวรกลางคืนแทน”

    คำพูดนั้นทำให้คนฟังพยักหน้ารับรู้ พร้อมรับคำอย่างพอใจ

    “ถ้าได้อย่างหลังนั่นก็จะดีมาก ผมเองก็เบื่อที่จะต้องคอยปั้นหน้าเฉย รับมือพวกขี้สงสัยที่เข้ามาทำงานด้วยกันแล้วล่ะนะ”

    “แต่ผมว่า แค่พวกนั้นเห็นแววตาคุณเขาก็ไม่กล้าซักไซ้อะไรแล้วล่ะ”

    อีกฝ่ายแย้งทันควัน ทำให้คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าติดบึ้งนิด ๆ จนคนพูดนึกขำ ก่อนจะโบกมือไปมาขอโทษ พร้อมกับเดินไปแถวประตูห้อง หยิบเสื้อสูทที่แขวนไว้บนราวแขวนแถวนั้น มาสวมใส่ทับเสื้อเชิ้ตของตน พลางหันมาเอ่ยอำลา

    “ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะ แล้วจะรีบหาเพื่อนคู่หูคนใหม่มาให้ไว ๆ นะ”

    ชายสวมหน้ากากมองตามคนในชุดสูทที่เดินออกไปจากห้องพักของเขา แล้วถอนหายใจยาวอีกครั้ง เจ้าตัวเดินไปที่โซฟามุมห้อง ทิ้งตัวลงนั่ง แล้วจึงนิ่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

    ‘เหอะ! คู่หูคนใหม่อย่างนั้นหรือ ไว้ให้เจ้าคนใหม่ทนอยู่ได้นานเกินอาทิตย์เสียก่อนดีกว่า ถึงจะหวังเรื่องคู่หูได้บ้าง  เฮ้อ! แถมพวกในหมู่บ้านนี้ยิ่งเห่อคนใหม่อยู่ด้วยสิ  ไม่ต้องถึงกับกลั่นแกล้งกันหรอก  แค่บางรายโผล่หน้าออกมายินดีต้อนรับแบบลืมตัวนิดหน่อย  แค่นั้นก็ทำเอาแผ่นแนบกันแทบไม่ทันแล้ว!’

     ชายหนุ่มสวมหน้ากากส่ายหน้าไปมาค่อย ๆ คล้ายเอือมระอา ต่อพฤติกรรมของสมาชิกในหมู่บ้าน ที่เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลอยู่ แล้วจึงจัดแจงเอนกายล้มตัวลงนอนไปบนโซฟายาวตัวเดิม  เนื่องจากช่วงเวลากลางวันเป็นเวลาพักของเขา และผู้ซึ่งมีหน้าที่ตรวจดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านในช่วงเช้านั้น ก็เผ่นหนีไปตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว 

     ดังนั้นวันนี้ในช่วงเช้าจนถึงเย็น ที่ป้อมยามรักษาการณ์ จึงมีแต่เพียงระบบรักษาความปลอดภัย ที่หมู่บ้านนี้ได้ติดตั้งเอาไว้คอยดูแลตรวจตราสิ่งผิดปกติในหมู่บ้านแทน  ซึ่งสำหรับแฟนธอมแล้ว เขาเองคิดว่าเจ้าสิ่งประดิษฐ์ไร้ชีวิตที่ว่านั่น มันยังมีประโยชน์มากเสียกว่าบรรดามนุษย์ที่จะคิดมาทำหน้าที่ด้วยกันพร้อมกับมัน ในช่วงเวรยามเช้านี้เสียอีก



    ณ เวลาเดียวกันอีกมุมหนึ่งในเมืองหลวงของประเทศไทย ชายหนุ่มชื่อกีรติ กำลังนั่งรับฟังคำขอโทษจากเจ้าของร้านซุปเปอร์มาเก็ตที่เขาทำงานอยู่อย่างลำบากใจ  เพราะไม่อยากเห็นอีกฝ่ายรู้สึกผิดดังเช่นที่เป็นอยู่

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี  อย่าขอโทษกันแบบนี้เลยครับ”

    “หนูกีไม่โกรธป้าจริง ๆ นะ ที่ป้าต้องให้หนูออกจากงานแบบนี้”

    กีรติยกยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ แล้วตอบกลับไป

    “ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจความลำบากของคุณป้าดี ตอนนี้ร้านของเราก็แทบไม่มีคนเข้า คุณป้าก็ต้องแบกรับเรื่องปัญหาค่าใช้จ่าย และค่าจ้างของผมมานานหลายเดือน การที่จะปิดตัวลงแล้วขายมันไปเพื่อใช้หนี้ให้หมด ผมเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วล่ะครับ”

    “โถ...หนูกีของป้า”

    หญิงท้วมวัยกลางคนตรงหน้าเอามือปิดปากแล้วอุทานพึมพำอย่างทั้งสงสารและชื่นชมต่อความเป็นคนดีอย่างไร้ขีดจำกัดของอีกฝ่าย นี่ถ้าไม่เพราะมีหนี้สินมหาศาลที่ทำให้ต้องตัดใจขายร้านมาชดใช้ เธอคงตัดสินใจจ้างชายหนุ่มหน้าเด็กตรงหน้าเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยเด็กดีขยันทำงานแบบนี้หลุดมือไปง่าย ๆ แน่

    “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ร้านก็จะปิดตัวลงแล้วสินะครับ”

    กีรติพึมพำพลางมองไปรอบ ๆ ร้านค้าที่ว่างเปล่าไร้เงาลูกค้าอย่างรู้สึกผูกพันระคนเสียดาย

    “ใช่จ้ะ  ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”

    “แล้วคุณป้าจะทำยังไงต่อกับข้าวของพวกนี้ล่ะครับ เลหลังขายหรือครับ”

    กีรติถามอย่างห่วงใย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับ

    “จ้ะ มีคนจะมาเหมาไป และจัดการเอารถมารับถึงที่ เห็นว่าจะเข้ามาเช้าพรุ่งนี้น่ะจ้ะ”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ จากนั้นคุณป้าเจ้าของร้านก็บอกให้ชายหนุ่มปิดร้านเลย  และเอ่ยลากับพนักงานประจำของเธออย่างอาลัยอาวรณ์ ซึ่งกีรติก็ไหว้อำลาอีกฝ่ายและขอบคุณหญิงวัยกลางคนในเรื่องที่จ่ายค่าจ้างเดือนสุดท้ายให้เขาเต็มเดือน ทั้งที่เดือนนี้เขาทำงานได้แค่สิบกว่าวันเท่านั้น

       

    กีรติเดินเรื่อย ๆ กลับห้องเช่าของเขาอย่างไม่รีบร้อน และเที่ยวมองไปตามร้านรวงข้างทางว่ามีการประกาศรับเข้าทำงานติดเอาไว้บ้างหรือไม่  ทว่าพอกำลังจะเดินไปต่อ เขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีเด็กวัยรุ่นอายุราว 17- 18 ปี วิ่งพรวดพราดออกมาจากร้านค้าตรงหน้าจนเกือบชนเขา

    “ถอยไปสิวะ! เกะกะจริง!”

    อีกฝ่ายตวาดใส่ ยังไม่ทันที่กีรติจะเอ่ยปากขอโทษ คนพูดก็วิ่งแจ้นหนีไปทันที ที่มีชายอีกคนวิ่งออกมาจากร้าน

    “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยจับขโมยนั่นที เร็วเข้า!”

     กีรติชะงัก เท้าเร็วกว่าความคิด เขารีบวิ่งไล่กวดร่างสูงกว่าของคนที่ชนตนไปจนทัน 

    “น้องชาย! ทำแบบนี้ไม่ดีนะ กลับตัวกลับใจเอาของไปคืนเขาเถอะ เจ้าของเขาอาจจะให้อภัยก็ได้!”

    โจรวัยรุ่นสะดุ้งที่กีรติวิ่งมาทันเขา ก่อนจะได้สติแล้วตวาดใส่อย่างหงุดหงิด

    “หุบปากนะไอ้เด็กเวร! ตัวกะเปี๊ยกอย่างแก ยังมีหน้ามาเรียกคนอื่นว่าน้องอีกหรือไงวะ!”

    ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวทำท่าเหมือนจะหันมาชกใส่ ทำให้กีรติสะดุ้งโหยง ด้วยความลืมตัวและสัญชาตญาณป้องกันตัวซึ่งถูกฝึกปรือมาอย่างดี ก็ทำให้เขาเบนหน้าหลบ แล้วชกท้องอีกฝ่ายสวนกลับไปเต็มแรง จนคนตรงหน้าตาถลนด้วยความจุก พร้อมกับทรุดกายลงไปกองกับพื้นพูดอะไรไม่ออก

    “อ๊ะ! แย่ละ ลืมตัวอีกแล้วเรา!”

    กีรติอุทานด้วยความตกใจ แล้วรีบคุกเข่าดูอาการของคนที่เขาเพิ่งชกไปเต็มแรงเมื่อครู่

    “อ๊ะนั่น! เจอตัวแล้ว!”

    เสียงโหวกเหวกโวยวายจากชายวัยกลางคน และชายอีกสองคนที่วิ่งตามมา ทำให้กีรติหันไปมองอย่างตกใจ ซึ่งเขาจำได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นคือคนที่วิ่งออกมาจากร้าน และตะโกนให้ช่วยจับโจรนั่นเอง

    “สลบเหมือดเลย ฝีมือเธอสินะเจ้าหนู ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ!”

    ชายที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้าน เอ่ยขอบคุณกีรติยกใหญ่ 

    “ไม่เป็นไรครับ มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”

    กีรติตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม ยิ่งทำให้คนตรงหน้ารู้สึกชื่นชมคนพูดมากยิ่งขึ้น ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

    “เจ้าหนู ...เดี๋ยวแวะไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจด้วยกันกับลุงหน่อยได้ไหม”

    ชายวัยกลางคนถามกีรติ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ายิ้มรับอย่างว่าง่าย

    “ก็ได้ครับ ผมว่างพอดี”

    “ดี ๆ ขอบใจมาก เอ้า! แบงค์ เดี๋ยวลูกช่วยแบกหมอนี่ไปโรงพักด้วย ส่วนเจ้าบอยเอาของไปคืนที่ร้าน แล้วไปบอกให้แม่แกปิดร้านได้เลย วันนี้ไม่ต้องขงต้องขายต่อแล้ว!”

    ชายคนเดิมหันไปสั่งวัยรุ่นอีกสองคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน จากนั้นจึงเดินนำไปยังโรงพักที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก 

   

     ทั้งตำรวจและผู้ต้องหาซึ่งฟื้นตัวแล้ว รวมไปถึงชายเจ้าของร้านและลูกชายของเขาอีกคน ต่างพากันนิ่งอึ้งและตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อกีรติแนะนำตัวเขาเองว่าอายุ 20 ปี  ด้วยส่วนสูงเพียงแค่ 155 เซนติเมตร รวมไปถึงใบหน้าราวเด็กหนุ่มอายุไม่น่าจะเกิน 15 – 16 ปี ทำให้นายตำรวจผู้นั้นถึงกับเอ่ยปากขอดูบัตรประชาชนของกีรติเลยทีเดียว

     และเมื่อให้ปากคำเรียบร้อย ต่างฝ่ายก็เตรียมแยกย้ายกันไป ทว่ากีรตินั้นชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนที่ดังมาจากทางด้านหลังของเขา

    “เอาเป็นว่าถ้านายว่างก็ช่วยหาคนให้ฉันหน่อยแล้วกัน เอาใครก็ได้ที่น่าจะอึดกว่ารายก่อน ประวัติในอดีตไม่มีปัญหา ขอให้ปัจจุบันกลับตัวกลับใจเป็นใช้ได้ เดี๋ยวนี้หาคนทำงานทน ๆ ยากจริง”

    กีรติเหลือบไปมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะแปลกใจในคำพูดของอีกฝ่าย แล้วเขาก็ได้พบกับชายใส่สูทดำ สวมแว่นตา ท่าทางภูมิฐาน กำลังยืนคุยกับตำรวจอีกคนที่มียศเป็นถึงร้อยตำรวจเอกเลยทีเดียว

    “เออ ๆ รู้แล้วน่า! ว่าแต่ทำไมนายถึงไม่ไปที่บริษัทจัดหาคนงานแทนวะ มาหาคนไปทำงานด้วยที่โรงพัก เดี๋ยวใครก็นึกว่าฉันเป็นเอเยนต์จัดหาคนส่งยาบ้าหรอก”

    นายตำรวจคนนั้นโพล่งอย่างเบื่อหน่าย แต่คนฟังกลับยักไหล่นิด ๆ

    “ก็ฉันอยากได้พวกอึด ทน และพอมีฝีมือป้องกันตัวเองได้บ้างนี่ … นายเองก็รู้จักคนพวกนี้อยู่มากไม่ใช่หรือไง”

    “ก็รู้จักอยู่หรอก แต่กลัวจะไปก่อคดีให้แทนทำงานน่ะสิวะ”

     คนฟังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตอบกลับอย่างมั่นใจ

    “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ต่อให้เป็นโจรห้าร้อยมาจากไหน ก็ไม่มีทางย่องยกเค้าคนในหมู่บ้านนั้นได้แน่นอน”

     นายตำรวจคนเดิมขมวดคิ้วยุ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ ตามมา

       “เฮ้อ! เอาเถอะ พวกพ้นโทษแล้วนิสัยดี ก็พอจะมีให้ติดต่อได้บ้าง เดี๋ยวจะตามตัวให้แล้วกัน  หือ...มีอะไรหรือเจ้าหนู มองทำไมกัน”

    ผู้กองหนุ่มซึ่งบังเอิญหันไปเห็นกีรติ เอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย ทำเอากีรติสะดุ้งโหยง แล้วรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่

    “อ๊ะ! ขอโทษครับ! คือผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหาคนทำงาน ก็เลยเผลอหันมามอง เพราะผมเองก็กำลังหางานอยู่น่ะครับ!”

    ทั้งคู่มองหน้าคนพูดอย่างแปลกใจ แล้วเป็นผู้กองหนุ่มที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน

    “เธอนี่นะกำลังหางานทำ อายุเท่าไหร่ เกิน 15 แล้วหรือยัง”

    ยังไม่ทันที่กีรติจะตอบ ตำรวจคนที่พาผู้ต้องหาไปฝากขังไว้ และได้ยินเข้า ก็เดินมาสะกิดแล้วบอกบางอย่างกับผู้กองหนุ่ม

    “ผู้กอง ๆ เขาน่ะอายุ 20 แล้วนา แถมยังจัดการจับโจรที่ตัวโตกว่าตัวเองซะหมอบราบคาบ ยังนั่งจุกอยู่ในห้องขังอยู่เลยนั่น”

    คนฟังเบิกตากว้าง แล้วชี้ไปที่กีรติอย่างลืมตัว

    “ตัวกะเปี๊ยกเท่านี้นี่นะ อายุ 20 น่ะ!”

    นายตำรวจยศต่ำกว่ากลืนน้ำลายนิด ๆ เพราะกลัวว่ากีรติจะไม่พอใจ แต่เมื่อมองไปก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ถือสาให้พวกเขาแทน

    “เสียมารยาทน่าพล ไปชี้หน้าเขาแบบนั้นได้ยังไง”

    ชายใส่สูทสวมแว่นเอ่ยเตือนเพื่อนของเขา ทำให้คนที่เผลอชี้นิ้วชะงัก แล้วยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้

    “ง่า...ขอโทษที ฉันลืมตัวไป”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมชินเสียแล้ว ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ ที่ยืนแอบฟังพวกคุณทั้งคู่คุยกัน”

    กีรติขอโทษทั้งสองคน และทำท่าจะขอตัวกลับ แต่ก็ถูกชายสวมแว่นรั้งเอาไว้เสียก่อน

    “เดี๋ยวสิ...คุณกำลังหางานอยู่สินะ”

    กีรติพยักหน้าตอบรับ แล้วรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

    “สนใจงานยามไหม แต่มีรายละเอียดแตกต่างจากยามทั่วไปสักหน่อยนะ แต่ถ้าคุณรับได้ ผมก็ยินดีจ้างคุณทำงานด้วย”

    ชายหนุ่มตัวเล็กตาเบิกกว้างด้วยความยินดี เขารีบพยักหน้าแล้วตอบกลับไป

    “สนใจครับ! ว่ารายละเอียดได้เลยครับ ผมรับได้ทุกอย่าง!”

    คนฟังยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่าย

    “ถ้าได้แบบนั้นก็จะดีกับผมมาก... ผมชื่อเวธน์ แล้วคุณล่ะ”

    “กีรติครับ”

    ชายสวมแว่นพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงเอ่ยต่อ

    “คุณกีรติ ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยเรื่องเงื่อนไขกันก่อนดีกว่า  อ้อ! พล ฉันยังต้องการคนงานสำรองอยู่นะ เผื่อรายนี้จะอยู่ได้ไม่นาน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาคนต่ออีก”

    คนอื่น ๆ บริเวณนั้น พากันกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้ยิน ยกเว้นกีรติที่แม้จะชะงักในตอนแรก ทว่าชายหนุ่มกลับเอ่ยตามมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง

    “คุณเวธน์รอบคอบจังเลยนะครับ”

    แววตาและสีหน้าที่แสดงถึงความชื่นชมจากใจจริงเช่นคำพูด ทำให้เวธน์เองก็ถึงกับเงียบกริบไปไม่แพ้คนอื่น ก่อนที่สักพักจะมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาเบา ๆ แล้วจึงตามมาด้วยรอยยิ้มในแบบที่เอกพลผู้เป็นเพื่อนสนิทถึงกับเสียวสันหลังวาบ

    “ชักชอบคุณแล้วสิ คุณกีรติ ...หวังว่าเราคงได้ทำงานร่วมกันนาน ๆ นะครับ”

    กีรติยิ้มตอบโดยไม่นึกคลางแคลงใจอันใด จากนั้นเวธน์จึงชักชวนให้อีกฝ่ายขึ้นรถตรงไปที่สำนักงานส่วนตัวของเขาด้วยกัน เพื่อจะได้นำเอกสารเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ในการสมัครงานให้กีรติได้อ่านทบทวน ก่อนจะตัดสินใจตกลงเซ็นสัญญาเข้าทำงานนั่นเอง

   

    เวธน์นำรถยนต์มาจอดหน้าอาคารตึกแถวสามชั้นแห่งหนึ่ง ซึ่งตัวอาคารนั้นตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ย่านชานเมือง กีรติลงจากรถแล้วมองอาคารตรงหน้าอย่างนึกทึ่ง เพราะสี่คูหาที่เปิดติดกันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าของเดียวกันทั้งสิ้น ชั้นล่างสุดของทั้งสี่คูหาเป็นโชว์รูมกระจกใสมีเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์แปลก ๆ มากมายวางขายอยู่เต็มไปหมด   

    เวธน์พากีรติเข้าไปในอาคาร ขึ้นลิฟต์ไปบนชั้นสามที่ห้องทำงานส่วนตัวของเขา ระหว่างทางพนักงานที่เห็นต่างพากันยกมือไหว้ทำความเคารพชายหนุ่มกันเป็นแถว แสดงให้เห็นว่าเวธน์นั้นน่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงแน่

    “นั่งสิ....ส่วนนี่ก็เอกสาร รายละเอียด ข้อตกลงและข้อห้ามต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ เขานั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานส่วนตัวของเวธน์ แล้วหยิบเอกสารปึกใหญ่มานั่งอ่านอย่างสนใจ งานของเขาที่จะต้องทำคืองาน รปภ.ประจำกะเช้าของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่รับเพียงแค่คนเดียว และไม่จำเป็นต้องอยู่โยงเฝ้าป้อมตลอด ช่วงที่ต้องออกไปขี่จักรยานดูแลความเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกล้องวงจรปิดที่ป้อมยามและตามจุดต่าง ๆ ในหมู่บ้านดูแลแทน ส่วนที่พักก็ให้พักในสถานที่เดียวกับยามกะดึกของหมู่บ้านอีกคน 

    “เป็นยังไงครับ สนใจจะทำงานนี้ไหม”

    กีรติเงยหน้ามองคนถามพร้อมกับพยักหน้าค่อย ๆ

    “ก็สนใจอยู่หรอกครับ...แต่เอ่อ...ผมค่อนข้างกังวลถึงรายละเอียดของงานในบางข้อน่ะครับ”

    เวธน์เลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะเปรยถาม

    “คุณหมายถึงตรงส่วนไหนหรือครับ”

    “เอ่อ...ตรงที่ให้ทิ้งป้อมแล้วไปขี่จักรยานตรวจ แล้วยกไม้กั้นเข้าออกเอาไว้ ...ถึงจะมีกล้องวงจรปิด ผมว่าก็ค่อนข้างอันตรายนะครับ”

    กีรติตอบไปตามที่เขาคิดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเกรงใจเล็กน้อย

    “อ้อ...ตรงนั้น  ไม่มีปัญหาครับ ‘กล้องวงจรปิด’ ของหมู่บ้านเรามีประสิทธิภาพมากเสียจนคุณคาดไม่ถึงทีเดียวล่ะครับ”

    เวธน์บอกยิ้ม ๆ แต่ในใจนึกชื่นชมความรอบคอบและหวังดีที่อีกฝ่ายมีให้คนในหมู่บ้านอยู่พอสมควร

    “อ๊ะ! อย่างนั้นเองหรอกหรือครับ …กล้องวงจรปิดสมัยนี้พัฒนาจังเลยนะครับ ผมดูข่าวก็เห็นจับภาพโจรได้ชัดเจนตลอดเลย ที่หมู่บ้านนี่คงเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเลยสินะครับ”

    กีรติบอกพร้อมยิ้มแย้ม จนคนมองชะงักแล้วแอบไปกลั้นหัวเราะด้วยความขบขันต่อความไร้เดียงสาและมองโลกในแง่ดีเกินไปของอีกฝ่าย

    “ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่มีปัญหาที่จะร่วมงานกับเราแล้วสินะครับ”

    เวธน์หันมาถามอีกฝ่ายหลังจากพยายามปรับสีหน้าของตนให้เป็นปกติ

    “ครับ! ผมสามารถร่วมงานได้ทุกเมื่อเลยครับ! อ๊ะ...ว่าแต่ทางนั้นจะสะดวกให้ผมทำงานตอนไหนล่ะครับ”

    กีรติถามอย่างเกรงใจ ซึ่งเวธน์ก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

    “ได้ทุกเมื่อ ทันทีที่คุณพร้อมเลยล่ะครับ”

    กีรติถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาขอแผนที่หมู่บ้านจากเวธน์ แล้วจึงขออนุญาตอีกฝ่ายไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของที่มีอยู่ไม่มากจากที่เช่าเก่าซึ่งกำลังจะหมดสัญญาเช่าและจะต้องต่อสัญญาใหม่ในสิ้นเดือนนี้พอดี  โดยทีแรกเวธน์นั้นอาสาจะขับรถไปส่งและรอรับกีรติมาเลย แต่ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ เพราะแค่เวธน์ยอมรับเขาเข้าทำงานโดยไม่ได้ตรวจสอบสัมภาษณ์อะไรมากมาย เขาก็รู้สึกเกรงใจและเป็นบุญคุณจะแย่อยู่แล้ว

    “เพิ่งเคยได้คนแบบนี้มาร่วมงานแฮะ อยากรู้จริง ๆ ว่าพวกที่หมู่บ้านจะถูกใจไหม...ไม่สิ ก่อนจะทำให้คนในหมู่บ้านถูกใจได้ คุณก็ต้องฝ่าด่านหินอย่างเพื่อนร่วมงานกะดึกของคุณไปก่อนล่ะนะ คุณกีรติ!”

    เวธน์พึมพำกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีหลังอยู่ตามลำพังในห้องส่วนตัว เขาถูกใจนิสัยของกีรติเป็นอย่างมาก และเขาคิดว่าหากลองเขาถูกใจแล้ว คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านนั้น ก็คงชอบใจกีรติได้อย่างไม่ยากแน่นอน


… TBC …
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 1 - 2 (17/9/56) นิยายเรื่องล่าสุดที่กำลังปั่นอยู่ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 17-09-2013 19:08:31
บทที่ 2
หมู่บ้านมีสุข



     กีรติมองปากทางเข้าหมู่บ้านอย่างสนอกสนใจ เพราะที่นี่มีสวนสาธารณะอยู่สองข้างฝั่งถนน ฝั่งหนึ่งเป็นลานปูนกว้างกลางพื้นที่สีเขียวมีทั้งแป้นบาสและโกลฟุตบอลเล็ก ๆ วางอยู่ แสดงว่าคงเป็นลานกีฬาของหมู่บ้านเป็นแน่  ส่วนอีกฝั่งนั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ปลูกไปตามถนนทางเดินที่ล้อมบ่อน้ำขนาดย่อม มีเก้าอี้นั่งพักผ่อนตั้งอยู่เป็นระยะ

    หมู่บ้านมีสุข เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก และอยู่ลึกเข้าไปในซอยห่างจากถนนใหญ่ราวห้าร้อยเมตร  มีทั้งหมด 30 หลังคาเรือน แบ่งเป็นสามซอยย่อย ลักษณะที่ดินเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แวดล้อมด้วยสวนผลไม้ทั้งซ้ายขวาและฝั่งตรงข้าม จนทำให้หมู่บ้านเหมือนจะตั้งอยู่โดดเดี่ยวในซอยตันแห่งนี้

     ป้อมยามสีขาวโดดเด่นเบื้องหน้า มีขนาดกว้างพอคนสองคนเข้าไปนั่งพักด้านในได้สบาย ๆ  กีรติเดินมาถึงป้อมก่อนจะหยุดมองบ้านหลังแรกทางด้านซ้ายมือของถนนเมนกลาง ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ที่ไร้กำแพง มีก็แต่ต้นไม้ที่ตัดแต่งทรงพุ่มล้อมรอบ และป้ายขนาดใหญ่ปักไว้ตรงสวนหย่อมด้านหน้า เขียนว่า ‘สำนักงานหมู่บ้านมีสุข’

     “ที่นี่เองสินะ ที่อยู่ของเรา”

    กีรติพึมพำและมองบ้านพักตรงหน้าอย่างนึกทึ่ง สภาพห้องรับแขกกึ่งห้องทำงานภายในตัวบ้านสามารถมองเห็นได้จากด้านนอก เพราะทั้งประตูและบานกระจกล้วนเป็นกระจกใสบานใหญ่ อย่างจงใจโชว์ให้เห็นความหรูหราภายในนั้น ชายหนุ่มสูดลมหายใจนิด ๆ เขาวางกระเป๋าเสื้อผ้าที่หิ้วมาด้วยลงกับพื้น แล้วจึงตัดสินใจกดออดหน้าประตู พลางยืนรออยู่สักพัก ก็มีเสียงเปิดประตูจากห้องหนึ่ง พร้อมกับใครบางคนที่ก้าวออกมา

    “หือ...เด็กหรือ... หลงทางมาหรือไง”

     ชายสวมหน้ากากพึมพำกับตัวเอง พลางเดินงัวเงียออกมาเปิดประตู เขาจ้องกีรตินิ่ง ซึ่งกีรติที่เผลอจ้องตอบก็ชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ แล้วจึงยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย

    “สวัสดีครับ ผมชื่อกีรติครับ มาทำงานเป็นยามที่นี่ ...อะ นี่ครับ หนังสือสัญญาที่ผมเซ็นกับคุณเวธน์ก่อนหน้านั้น”

    กีรติบอกพร้อมกับล้วงเอกสารในกระเป๋าสะพายของตนส่งให้ ทำเอาแฟนธอมที่รับมาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้รับรู้ถึงอายุจริงของชายหนุ่ม แต่หน้ากากครึ่งท่อนบนที่สวมใส่ ก็ทำให้กีรติไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย

    “หมอนั่น...คุณเวธน์เขาบอกให้นายมาทำงานที่นี่ได้เลยอย่างนั้นหรือ”

    “ง่า...ใช่ครับ แล้วก็ให้ย้ายมาพักได้เลย  เอ่อ...สะดวกหรือเปล่าครับ”

    กีรติถามอย่างนึกเกรงใจ เพราะดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะไม่รู้เรื่องที่เขาจะมาเลยสักนิด

    “มันก็สะดวกอยู่หรอก ห้องว่างก็มีอยู่แล้ว แต่...เฮ้อ! จะบอกกันก่อนสักคำก็ไม่ได้นะหมอนั่น คงเห็นเป็นเรื่องสนุกสินะ  มันน่าเตะนักเชียว!”

    แฟนธอมพึมพำอย่างหงุดหงิด แต่พอเห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่าย เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ และเชิญให้กีรติเข้ามาในสำนักงานหมู่บ้านแทนที่จะยืนคุยอยู่ข้างนอก



    แฟนธอมพากีรติเดินตรงไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตนเองในกระจก แล้วก็ต้องเกิดความประหลาดใจขึ้นมาทันที เนื่องจากตั้งแต่เจอหน้ากัน กีรติยังไม่แสดงถึงสีหน้าตกใจ หรือหวาดกลัวอันใดแม้แต่น้อย ทั้งที่ก็ได้เห็นหน้ากากของเขาชัดเจนเช่นนี้

    “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

    กีรติถามอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นคนตรงหน้าเขาเงียบไป

    “ไม่กลัวหรือแปลกใจบ้างหรือ ที่เห็นฉันเป็นแบบนี้น่ะ”

    แฟนธอมถามออกไปตามตรง แล้วจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ทำเอากีรติชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงอุทานเบา ๆ ตามมา

    “อ้อ! เรื่องหน้ากากหรือครับ  เอ่อ...คือคุณไม่ได้เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงแฟนซีหรือครับ”

    คนฟังนิ่งอึ้ง เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเต็มที่ เพราะเท่าที่สังเกต ก็ดูเหมือนกีรตินั้นคิดอย่างที่พูดเอาไว้จริง ๆ

    “ฉันใส่หน้ากากแบบนี้มานานแล้ว...ไม่เกี่ยวกับงานเลี้ยงอะไรนั่นสักนิด”

    แฟนธอมบอกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น แต่คนฟังกลับเอียงคอเล็กน้อย พลางจ้องมองหน้าแล้วยิ้มตอบ

    “หรือครับ ขอโทษนะครับที่เข้าใจผิด”

    “...แค่นั้นหรือ ทำไมนายถึงไม่แปลกใจหรืออยากรู้สาเหตุของมันบ้างล่ะ!”

    คำถามที่เผลอหลุดปากไปอีกครั้ง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมกีรติถึงไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างคนอื่นที่ผ่านมาเคยเป็น ทว่าพอได้ยินคำถามนั้นกีรติกลับแย้มยิ้มอ่อนโยนให้เขา แล้วจึงย้อนถามกลับมา

    “คุณเล่าได้หรือครับ”

    “มันก็...”

    แฟนธอมชะงัก เพราะไม่คิดว่ากีรติจะถามกลับเช่นนั้น เขาอึกอักและนิ่งเงียบไป จนอีกฝ่ายถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มมอบให้กับเขาเช่นเดิม

    “ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ผมก็ไม่คิดคาดคั้นหรอกครับ ไม่ว่าใครก็ต้องมีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นแตะต้องกันคนละอย่างสองอย่างอยู่แล้ว”

    แฟนธอมเงียบไป แล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจแนะนำตัวกับคนตรงหน้า

    “ฉันชื่อแฟนธอม ทำหน้าที่เป็นยามกะดึก ยินดีที่ได้รู้จักนะ...กีรติ”

    “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ คุณแฟนธอม”

    กีรติยื่นมือของเขาไปสัมผัสมือของอีกฝ่ายอย่างเต็มใจ หลังจากนั้นแฟนธอมจึงพากีรติไปยังห้องพักที่ว่างอยู่อีกห้อง และแนะนำว่า ในบ้านพักหลังนี้ แบ่งออกเป็นห้องนอนทั้งหมด 2 ห้อง ซึ่งก็คือห้องของเขาและของกีรติ ห้องน้ำมี 2 ห้อง ห้องครัว 1 ห้อง ห้องรับแขกซึ่งถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานหมู่บ้านอีก 1 ห้อง โดยเวธน์ที่เป็นเจ้าของหมู่บ้านและเจ้าของที่ดินละแวกนี้ นาน ๆ จะเข้ามาเช็คเรื่องค่าใช้จ่ายในด้านสาธารณูปโภคของหมู่บ้านสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็จะโอนให้เลขาส่วนตัวทำงานแทน ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งเลิกงานกลับไปก่อนกีรติจะมาได้สักพัก



    “วันนี้ก็จะห้าโมงเย็นอยู่แล้ว นายก็ยังไม่ต้องทำงานหรอก ไว้ค่อยเริ่มเข้ากะเช้าพรุ่งนี้...ส่วนเรื่องเครื่องแบบ คิดว่าเดี๋ยวคุณเจ้าของที่ดิน  เอ่อ... คุณเวธน์ก็คงจะเอามาให้เองนั่นล่ะ แต่ถ้าไม่ทันก็แต่งอะไรก็ได้ ให้สุภาพหน่อยก็พอ”

    แฟนธอมสรุปให้อีกฝ่ายรับฟัง หลังจากพาชมบ้านเรียบร้อย แม้กีรติจะแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มมักจะหลุดเรียกเวธน์ว่าคุณเจ้าของที่ดินบ่อย ๆ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะถามอันใด เพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจะมีเหตุผลเหมือนกับเรื่องหน้ากากที่สวมใส่นั่นเอง

    “ปกติฉันจะนอนกลางวันตื่นกลางคืน เพราะฉะนั้นเรื่องกินอยู่ไม่ต้องรอกัน จัดการเองได้เลย  ส่วนรถกับข้าวจะเข้ามาขายทุกหกโมงเช้าที่หน้าหมู่บ้าน หรือถ้าขี้เกียจทำก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารตามสั่งตรงหัวมุมซอย 1  อ้อ...ซอยในหมู่บ้านนี้จะมีสามซอย ตรงเมนกลาง เราเรียกซอยกลาง ด้านซ้ายก็ซอย 1 ด้านขวาก็ซอย 2”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเขาก็ขอตัวเข้าไปในห้อง เพื่อนำเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นจัดเข้าที่ ห้องนอนของเขาค่อนข้างกว้างขวางเสียยิ่งกว่าห้องเช่าที่เคยอยู่ แถมเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ประดับห้อง ยังเป็นของหรูดูดี ไม่แตกต่างจากที่เห็นในร้านของเวธน์เท่าใดนัก

    “ดีจัง...ได้ที่พักดี เพื่อนร่วมงานก็ใจดี หวังว่าชาวบ้านที่นี่คงจะน่ารักและพูดคุยด้วยง่ายล่ะนะ”

    กีรติพึมพำพลางอมยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจออกมาเดินเล่นนอกบ้านพัก เขาเลือกออกทางประตูหลัง เพราะคิดว่าทางประตูหน้านั้นเหมาะสำหรับผู้มาติดต่อที่สำนักงานหมู่บ้านใช้เข้าออกมากกว่า

    “อากาศดีจังเลย สมแล้วกับที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้แบบนี้”

    ชายหนุ่มเปรยเบา ๆ แล้วจึงตัดสินใจเดินสำรวจไปตามท้องถนนในแต่ละซอย เขาเริ่มจากซอยกลางเป็นซอยแรก ซึ่งเป็นโซนของบ้านเดี่ยวชั้นเดียวทั้งสองข้างทาง พื้นที่แต่ละหลังค่อนข้างกว้าง น่าจะสัก 60 ถึง 70 ตารางวาได้ บางหลังก็ปลูกต้นไม้รกครึ้มบดบังหน้าบ้าน บางหลังก็ทำเพียงสวนหย่อมเล็ก ๆ  น่าแปลกที่ค่อนข้างจะเงียบเกินไปสักหน่อย สำหรับบ้านที่มีคนอยู่อาศัยทุกหลังเช่นนี้

    “สงสัยจะไปทำงานกันหมด...แบบนี้ก็ต้องดูแลตรวจตรากันให้รอบคอบหน่อยแล้ว โชคดีไปอย่างที่ซอยไม่ลึกมากนัก”

     ด้านในสุดของซอยก็ยังมีถนนเชื่อมต่อถึงกันได้อีก กีรติเดินไปชะโงกหน้าดูในแต่ละซอยอย่างสนใจ เขาไปซอยทางฝั่งขวาหรือซอยสองเป็นซอยแรก ทั้งซอยนั้นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นทั้งหมด และปลูกสร้างต่างแบบออกไป กีรติลองเดินสำรวจดูทั้งสองฝั่ง ก็ต้องพบกับความเงียบไม่แตกต่างกับซอยกลางแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจไปทางซอยหนึ่งที่เคยได้ฟังว่ามีร้านค้าเปิดขายอยู่

    สำหรับซอยนี้ค่อนข้างมีสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่างผสมกันไป มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และหลายหลังก็ถูกตกแต่งเป็นร้านค้าต่าง ๆ มีทั้งร้านขายของชำ ร้านหนังสือ ร้านอาหาร แต่น่าแปลกที่เขาไม่เห็นคนเดินไปมาอย่างควรจะเป็น  กีรติเดินผ่านร้านค้าแต่ละร้าน แม้ทุกร้านจะเปิดทำการอยู่ แต่ก็ไม่พบแม้เงาคนให้เห็นสักราย

    “หายไปไหนกันหมดนะ ... แปลกจัง”

    กีรติพึมพำ แล้วจึงตัดสินใจเดินกลับไปถามแฟนธอมที่สำนักงานหมู่บ้าน ทว่าระหว่างกำลังเดินอยู่นั้น ก็มีคนคนหนึ่งย่องตามมาด้านหลัง และเตรียมจะใช้มือตะปบปิดปากชายหนุ่ม ทว่าคนลึกลับผู้นั้นก็ต้องหลุดอุทานออกมา เมื่อคนที่เดินตรงหน้า จู่ ๆ ก็คว้าหมับที่แขนของเขา พลางเบี่ยงกายออกมาด้านข้าง และจับแขนนั้นบิดไขว้หลังของคนที่จู่โจมใส่ตนเองอย่างรวดเร็ว

    “โอ้ย! เจ็บ! ปล่อยก่อน ๆ ฉันไม่ใช่คนร้าย! ฉันเป็นคนในหมู่บ้านนี้!”

    คนโวยวายเป็นชายหนุ่มอายุราวสามสิบปี  เจ้าตัวใส่เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงผ้าร่มสีดำสามส่วน หน้าตามีเชื้อจีน แต่สีผิวค่อนข้างคล้ำไปหน่อย

    “อืม...แสดงว่าเรื่องที่อัดโจรจนจุกนั่นก็ไม่ใช่เรื่องโม้สินะ... ทักษะทางการต่อสู้คุณเยี่ยมจริง ๆ ด้วยสิ คุณกีรติ”

    เสียงอีกเสียงดังขึ้นมาจากอีกทาง ทำเอากีรติที่กำลังมึนงงมองไปยังต้นเสียง แล้วเขาก็ต้องเผลออุทานอย่างตกใจ เมื่อเห็นผู้คนมากมายหลายสิบคน ผู้ใหญ่บ้าง เด็กบ้าง กำลังยืนจ้องมองมาทางเขาอย่างสนอกสนใจ และในนั้นก็มีเวธน์ที่ยืนยิ้มมองเขา และแฟนธอมที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “อะไรกันครับเนี่ย... อ๊ะ! ขอโทษครับ ผมลืมตัวไปหน่อย!”

    กีรติรีบปล่อยมือของเขา เมื่อได้ยินเสียงกระแอมของคนที่เขาเผลอล็อกแขนเอาไว้อยู่ 

    “นี่สินะยามกะเช้าคนใหม่ของหมู่บ้านเรา”

    คนถูกปล่อยแขนสะบัดแขนไปมาพลางหันมาคุยกับเวธน์  ซึ่งชายหนุ่มสวมแว่นก็พยักหน้ารับค่อย ๆ

    “ใช่ครับ คุณลี”

    “ฝีมือดีเอาเรื่องนะ ถึงกับล็อกแขนลีได้แบบนั้น”

    เสียงหนึ่งเปรยดังจากกลุ่มที่มุงอยู่ แต่ทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะร่วนพร้อมกับเสียงเปรยเยาะ ๆ ของใครบางคนดังขึ้นตามมา

    “ไม่ก็เพราะไอ้หนูลี ฝีมือตกลงไปแทนนั่นล่ะ”

    ชายสวมเสื้อกล้ามขาวซึ่งถูกเรียกว่าลีหันขวับไปทางต้นเสียง แล้วแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายที่เป็นชายวัยกลางคนอายุราว 45 ถึง 50 ปี

    “จะลองมาสู้กันดูสักตั้งไหมล่ะ ตาแก่หน้าเลือด!”

    ก่อนที่การวิวาทจะเกิดขึ้น เสียงหวาน ๆ ของใครบางคนก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “พอได้แล้วหนุ่ม ๆ พวกเราตั้งใจจะมาดูหน้ายามคนใหม่กันไม่ใช่หรือ มัวแต่หาเรื่องทะเลาะกันเดี๋ยวเขาก็ตกใจหนีไปพอดี”

     ผู้เข้ามาห้ามเป็นสาวสวยผมยาวหยักศก ตัวสูงหุ่นดี เจ้าหล่อนสวมเสื้อเชิ้ตสีดำแขนกุดค่อนข้างฟิต และใส่ยีนส์สั้นเลยเข่า  ซึ่งพอชายทั้งคู่ที่กำลังเขม่นใส่กัน เห็นว่าใครออกหน้ามาปราม ต่างก็ทำปากอุบอิบ แล้วสะบัดหน้าใส่ฝั่งตรงข้าม จนคนห้ามต้องถอนหายใจ

    “พวกเขาเป็นสมาชิกในหมู่บ้านมีสุขน่ะ จริง ๆ ก็ยังมาไม่ครบหรอก เพราะบางคนก็ไปทำงานยังไม่กลับ ผมโทรมาบอกทางนี้เองว่า หมู่บ้านเราอาจจะได้ยามกะเช้ามาอยู่ประจำนาน ๆ สักที  พวกเขาก็เลยอยากเห็นหน้าคุณ และทดสอบอะไรนิดหน่อย...”

    เวธน์เดินมาบอกกับกีรติที่กำลังจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้ายังมึนงงปนสนใจ ท้ายประโยคเวธน์เว้นวรรคเล็กน้อย พลางหันไปมองทางชาวบ้านแต่ละคนแล้วเอ่ยต่อ

     “ซึ่งผมก็คิดว่าทุกคน คงจะพอใจในตัวคุณอยู่บ้างล่ะนะ”

    “ฉันชอบเขานะ เด็กคนนี้ฝีมือดีใช้ได้เลยล่ะ!”

    ชายชื่อลีเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก ส่วนคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน แล้วก็ยิ้มให้สมาชิกใหม่ของหมู่บ้าน กีรตินิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะโค้งให้ทุกคนตรงหน้าเขา แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงดังชัดเจน

    “ผมกีรติครับ จะเรียกกีเฉย ๆ ก็ได้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ!”

    หลายคนยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรให้กับชายตรงหน้า แต่ก็มีบางคนลอบยิ้ม และบางคนกำลังซุบซิบคล้ายจะพนันกันว่า ยามคนใหม่นี้จะอยู่ได้สักกี่วันกันแน่

   

    เมื่อชาวบ้านต่างเข้ามาทำความรู้จักทักทายกับกีรติกันสักพัก พวกเขาก็พากันแยกย้ายกลับบ้านบ้าง ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะหน้าหมู่บ้านบ้าง บรรยากาศเริ่มคึกคักในขณะที่เวลาก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนยามนี้ก็ใกล้หกโมงเย็นเข้าทุกที

    “นายไม่หิวข้าวหรือไง ยังไม่ได้กินไม่ใช่หรือ”

    แฟนธอมเอ่ยทัก เมื่อเห็นกีรตินั่งเล่นอยู่ตรงม้าหินที่สวนหย่อมหน้าสำนักงาน และกำลังจ้องมองชาวบ้านที่มาออกกำลังกายยามเย็นอย่างเพลิดเพลิน  ตอนนี้ชายสวมหน้ากากอยู่ในเครื่องแบบยามรักษาการณ์ชุดสีเทาอ่อน กางเกงสีกรมท่า แม้จะเป็นเครื่องแบบทั่วไปเหมือนที่กีรติเคยเห็นยามที่อื่นใส่ แต่พอแฟนธอมแต่งแล้วกลับดูแปลกไป คล้ายกับชายหนุ่มจะใส่ไปเดินแบบ หรือร่วมงานปาร์ตี้แฟนซี มากกว่าไปทำงานแทนด้วยซ้ำ   

    “อะ! จริงด้วยครับ นี่ก็จะหกโมงเย็นแล้วด้วย... คุณแฟนธอมละครับ กินข้าวเย็นแล้วหรือยัง ไปกินด้วยกันเลยไหมครับ”

    คนถูกชวนชะงักเล็กน้อย แต่พอเห็นแววตาใสซื่อคาดหวังของอีกฝ่าย เขาก็จำต้องพยักหน้านิด ๆ อย่างเสียไม่ได้ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่ซอย 1 ตรงหน้าปากซอยที่เปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง ข้างในร้านมีลูกค้านั่งกินนั่งดื่มอยู่สองสามโต๊ะ ส่วนคนทำอาหารก็คือแม่ค้าสาวสวยหุ่นนางแบบที่เข้ามาปรามการทะเลาะกันระหว่างคนในหมู่บ้านเมื่อตอนเย็นนั่นเอง

    “สวัสดีจ้า  ฉันชื่อดาหลา เป็นเจ้าของร้านอาหารที่นี่จ้ะ อย่าลืมมาอุดหนุนกันบ่อย ๆ นะจ๊ะ!”

    แม่ค้าคนสวยหยอดคำหวาน เรียกเสียงเป่าปากแซวจากคนที่กำลังดื่มอยู่ในร้านทันที ทว่าต่างก็ต้องรีบหุบปาก เมื่อเห็นแฟนธอมตวัดสายตาคมกริบมาปรามพวกตน

    “เอากะเพรารวมมิตรมาให้จาน”

    แฟนธอมสั่งอาหารแล้วไปนั่งเงียบ ๆ ที่โต๊ะมุมหนึ่ง ดาหลาขานรับคำพร้อมรอยยิ้ม เธอรู้สึกทึ่งนิด ๆ เมื่อได้เห็นแฟนธอมที่แสนจะเข้ากับคนอื่นยากคนนั้น ยอมมากินข้าวเย็นร่วมกับยามคนใหม่ได้แบบนี้ แสดงว่าชายหนุ่มคงจะยอมรับในตัวกีรติพอสมควรเลยทีเดียว

    “ของผมขอข้าวผัดหมู 1 จาน แล้วกันครับ”

    กีรติสั่งอาหารของเขาบ้าง แต่พอเขาเข้าไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับแฟนธอมเพื่อรออาหารสักพัก เสียงโหวกเหวกโวยวายจากหน้าร้านก็ดังขึ้นมา

    “ดาหลาจ๋า พี่กลับมาแล้วจ้ะที่รัก! คิดถึงพี่ไหมเอ่ย!”

    แฟนธอมที่กำลังดื่มน้ำเปล่า แทบจะพ่นน้ำพรวดออกมาจากปาก ส่วนคนอื่น ๆ ทีแรกพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอันใด แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีกีรตินั่งอยู่ด้วยในร้าน ต่างก็พากันสะดุ้งเฮือก ไม่เว้นแม้กระทั่งดาหลาด้วยก็ตาม

     ส่วนกีรติตอนนี้เขากำลังมองผู้มาใหม่ด้วยความอึ้งนิด ๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นแม้จะพูดคุยสนทนากับหญิงสาวราวกับคนปกติ แต่ร่างกายที่เต็มไปด้วยขนยุบยับ ใบหูใหญ่ รวมไปถึงปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมนั่น มองยังไงก็ค่อนข้างห่างไกลจากคำว่ามนุษย์ไปอยู่มาก แม้อีกฝ่ายจะสวมเสื้อสูท ผูกไทต์อย่างดีก็ตาม

    “เอิ่ม...นั่นใช่มนุษย์หมาป่าหรือเปล่าครับ”

    กีรติหันไปถามแฟนธอม พร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ  ทางด้านดาหลาที่ตั้งสติได้ จึงรีบแสร้งโพล่งออกมาด้วยท่าทางร่าเริง

    “อ๋อ! เมคอัพน่ะค่ะ! แฟนของฉันเขาทำงานเป็นนักแสดง และตอนนี้กำลังรับบทเป็นมนุษย์หมาป่าอยู่น่ะค่ะ ใช่ไหมคะภูผา!”

    ดาหลาหันไปข่มขู่คนรัก ทำให้อีกฝ่ายชะงักกึก แต่พอเห็นคนแปลกหน้านั่งในร้าน และดูท่าทางว่านั่นจะเป็นสมาชิกใหม่ของหมู่บ้านแห่งนี้ ก็ทำให้เขาทุบมือเบา ๆ แล้วจึงพยักหน้าเออออตามมา

    “ง่า...อ้อ! ใช่แล้วครับ เมคอัพเอา ฮะ ๆ เหมือนมากเลยสินะครับ!”

    กีรติพอได้ยินก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ทำให้แต่ละคนที่เหลือต้องสบตากันปริบ ๆ เพราะข้ออ้างแก้ตัวที่ว่านั่น มันฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย  ทว่าในขณะที่คนอื่นต่างพยายามหาวิธีอธิบายอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้กีรติตกใจจนเกินไป  จู่ ๆ ชายหนุ่มร่างเล็กก็กลับแย้มยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นตามมาอย่างชื่นชมแทน

    “น่าทึ่งจริง ๆ เลยครับ ทำเอาผมตะลึงไปเลย! เทคนิคการเมคอัพสมัยนี้พัฒนาไปจนผมถึงกับคิดว่าเป็นของจริงเลยทีเดียวนะครับเนี่ย!”

    มีบางคนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ยังมีอีกหลายคน รวมถึงแฟนธอมที่จ้องมองกีรติว่าเจ้าตัวพูดจริงหรือแกล้งพูดกันแน่ แต่พวกเขาก็เห็นเพียงแววตาใสซื่อจริงใจเหมือนอย่างเคยเท่านั้น แถมที่เจ้าตัวเงียบไปก็น่าจะเพราะกำลังตกตะลึงอย่างที่ว่ามาจริงเสียด้วย

    “อ่า...งั้นผมไปอาบน้ำล้างเมคอัพก่อนแล้วกัน...พี่ไปล่ะจ้ะที่รัก”

    ภูผารีบตัดบทเพราะเกรงว่าจะเผลอหลุดอาการให้โดนจับผิดได้ไปกว่านี้ ส่วนดาหลานั้นค้อนขวับให้คนรักอย่างหมั่นไส้ ที่อีกฝ่ายดันกลับมาในร่างจริงจนเกือบทำให้ถูกจับได้ตั้งแต่วันแรก ๆ และถ้าเป็นเช่นนั้น เผลอ ๆ พรุ่งนี้เวธน์คงต้องไปหายามกะเช้ามาใหม่แทนรายนี้เป็นแน่ 

    ต่อให้กีรติจะมีฝีมือเก่งกาจขนาดไหน แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปอยู่ดี และลองถ้าอีกฝ่ายเกิดได้ล่วงรู้ว่า บรรดาผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ แท้จริงแล้วเป็นปีศาจไปเสียครึ่งค่อนหมู่บ้านล่ะก็ คงจะกลัวจนเผ่นหนีไปแทบไม่ทันด้วยซ้ำ   

     แต่อย่างไรก็ดี บางทีมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิดกลัวไปเสียทั้งหมด เพราะหากกีรติเป็นมนุษย์จำพวกที่ยอมรับในตัวปีศาจแบบพวกเธอได้ ชายหนุ่มก็คงจะทำงานที่นี่ต่อไปได้อีกนาน ทว่ามนุษย์ประเภทที่ว่านี้นั้น สำหรับดาหลาแล้ว แทบจะหาได้ยากเสียยิ่งกว่าปีศาจอย่างพวกเธอเลยทีเดียว!



... TBC …

จะโพสวันละสองตอนนะคะ เพื่อความสะดวกในการอ่าน จนกว่าจะทันกับตอนปัจจุบันที่แต่ง (หวังว่าจะปั่นจบก่อน และโพสต่อเนื่องโดยนักอ่านที่นี่ไม่ต้องรอนะคะ ^^")   ถ้าจบเรื่องนี้แล้วจะไปปั่น  รวมพลคนไล่ล่าต่อให้จบเช่นกันค่ะ ^^



 
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 1 - 2 (17/9/56) นิยายเรื่องล่าสุดที่กำลังปั่นอยู่ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 17-09-2013 19:30:06
หนูกี เก่งจังเลย

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 1 - 2 (17/9/56) นิยายเรื่องล่าสุดที่กำลังปั่นอยู่ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 17-09-2013 20:34:05
สนุกมากเลยค่ะ พ่อหนุ่มกีท่ามกลางวงล้อมของปีศาจ ว้าวววว

เห็นชื่อเรื่องนึกว่าจะเป็นแนวใสๆกุ๊กกิ๊กๆ แต่มาอ่านดูแล้วถือว่ากำลังดี ถูกใจเราเลยล่ะค่ะ

มาอัพวันละสองตอนอย่างนี้คนอ่านก็ดีใจ สงสัยได้ติดงอมแงมแหงๆเลยค่ะ 5555

รอตอนต่อไปนะคะ :D
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 1 - 2 (17/9/56) นิยายเรื่องล่าสุดที่กำลังปั่นอยู่ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 17-09-2013 22:17:45
มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วกีรติ

เดี๋ยวก็โดนงาบ เอ๊ะ!! หรือนาบ หรอก อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 1 - 2 (17/9/56) นิยายเรื่องล่าสุดที่กำลังปั่นอยู่ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Thyme103 ที่ 17-09-2013 23:42:57
น่าสนุกอีกแล้วเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 18-09-2013 11:52:42
มาแปะต่ออีกสองตอนค่ะ 3 - 4
.........................................

บทที่ 3
ความลับ


 

    หลังจากกินอาหารเสร็จ แฟนธอมก็ขอตัวไปทำงานก่อน จากนั้นภูผาจึงลงมาจากบนชั้นสองของร้านอาหาร โดยเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดทำงานเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแทน เจ้าตัวเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม สูงใหญ่ดูดี เข้ากันกับสาวสวยอย่างดาหลาที่เป็นคนรักยิ่งนัก

    “เป็นคนจริง ๆ ด้วยสินะครับ”

    กีรติเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มสดใส ที่ทำให้คนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอแล้วฝืนยิ้มตอบ  ส่วนคนอื่นนั้นมองคนพูดตาปริบ ๆ และต่างพากันคิดว่า ยามคนใหม่ผู้นี้ ช่างเป็นคนใสซื่อและมองโลกในแง่ดีเสียเหลือเกิน

    “ที่หมู่บ้านนี้มีคนอยู่อาศัยประมาณกี่คนกันหรือครับ”

    กีรติเอ่ยถามภูผาที่มานั่งเป็นเพื่อนเขาที่โต๊ะ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มให้แล้วบอกตามมาอย่างเป็นมิตร

    “อืม...ก็ราว ๆ เกือบร้อยคนได้น่ะ”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ เพราะเท่า ๆ ที่เขาลองคำนวณดูจากขนาดหมู่บ้าน ก็น่าจะมีสมาชิกราว ๆ นั้น  สักพักเมื่อเขากินอาหารบนโต๊ะเสร็จ ชายหนุ่มจึงจ่ายเงินให้ดาหลาแล้วขอตัวกลับสำนักงาน ซึ่งพอลับหลังกีรติ แต่ละรายก็ถอนหายใจแรงไปตาม ๆ กัน

    “เกือบไปแล้ว! พี่ภูผานี่บ้าจริง ดันกลับมาในสภาพนั้นได้!”

    ดาหลาหันไปตำหนิคนรัก ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วรีบกอดเอวหญิงสาวอย่างประจบพร้อมกับแก้ตัวตามมา

    “โธ่ที่รัก...ก็พี่ไม่รู้นี่ คิดว่าคุณเจ้าของที่ดินเขายังหายามกะเช้าคนใหม่ไม่ได้ ก็เลยปล่อยตัวตามสบายไปหน่อย เท่านั้นเอง”

    ดาหลาค้อนขวับ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อลูกค้าคนหนึ่งในร้านเปรยบางอย่างขึ้นมา

    “จริง ๆ แล้ว ไม่เห็นต้องจ้างยามกะเช้าเป็นมนุษย์เลยนะ พวกเราจะได้ไม่ต้องคอยมาระวังตัวอะไรแบบนี้ด้วย”

    “มันก็ถูกของนาย แต่อย่าลืมสิว่า คุณเจ้าของที่ดินรุ่นแรก เขาต้องการให้พวกเราคุ้นเคยกับมนุษย์ และสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เขาถึงได้พยายามเพิ่มประชากรมนุษย์ในหมู่บ้านแห่งนี้ให้มากขึ้น  เฮ้อ! แต่ก็อย่างที่เห็น คนที่รู้ความจริง แล้วรับได้ก็มีแค่ไม่กี่คน แถมยังไม่ใช่คนปกติสักคน”

    เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อม ๆ กันอีกครั้ง ก่อนที่ดาหลาจะเอ่ยต่อ

    “แต่กับเด็กคนนี้ ฉันว่าเขามีอะไรพิเศษแตกต่างออกไปนะ...บางที ถ้าพวกเราบอกความจริง เขาก็อาจจะยอมรับตัวตนของพวกเราก็เป็นได้”

    พอได้ยินคนรักพูดเช่นนั้น ภูผาจึงส่ายหน้าช้า ๆ แล้วแย้งออกไปบ้าง

    “ขนาดคนก่อนโน้นที่ทั้งบ้าเรื่องหนังผี หนังสยองขวัญ หนังสัตว์ประหลาดยังกับอะไรดี พอเจอของจริงเข้าก็เห็นเผ่นไม่ยั้งเลยไม่ใช่หรือ  เฮ้อ! แต่เอาเถอะ ก็ได้แต่หวังว่าคงจะมีมนุษย์ปกติธรรมดาสักคนยอมรับพวกเราได้ เหมือนกับพวกคุณเจ้าของที่ดินบ้างล่ะนะ”

    ภูผาสรุปตัดบท แล้วจึงเลิกคุยเรื่องกีรติและหันมาช่วยงานภรรยาสาวของเขาแทน เนื่องจากพอยิ่งตกค่ำ คนในหมู่บ้านก็ต่างทยอยออกมาใช้บริการร้านอาหารของเขามากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

     

    กีรติกลับไปห้องพักของเขา แต่ก็ยังคงไม่รู้สึกง่วง เนื่องจากตอนทำงานเก่าก่อนหน้านั้น กว่าจะเลิกงานเวลาก็ปาไปสามสี่ทุ่มแล้ว  ดังนั้นเวลาแค่เพียงทุ่มกว่า ๆ จึงทำให้เขายังคงรู้สึกตาสว่าง  ชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะออกไปเรียนรู้งานใหม่ของตน จากรุ่นพี่อย่างแฟนธอมแทน

    “อ้าว...คุณแฟนธอมไม่อยู่แฮะ หืม...สงสัยไปขี่จักรยานตรวจแน่เลย”

    กีรติสังเกตเห็นจักรยานที่จอดไว้หน้าป้อมยามหายไป แล้วจึงสรุปเอาเอง ก่อนจะเข้าไปนั่งประจำป้อม ด้านในนั้นมีจอภาพเล็ก ๆ หลายจอบนผนัง พร้อมแท่นปุ่มกดหลายปุ่มที่ทำให้คนมองต้องทึ่ง

    “โอ้โห! ยังกับห้องในหนังแน่ะ นี่คงเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดสินะ  อ๊ะ...เห็นคุณแฟนธอมด้วยล่ะ”

    กีรติมองภาพจากจอหนึ่งในหมู่บ้าน เห็นแฟนธอมขี่จักรยานผ่านไป เขามองไปแต่ละหน้าจออย่างสนอกสนใจ   

    “เป็นหมู่บ้านที่ทันสมัยจัง เอ...แต่ติดกล้องไว้ตรงไหนกันนะ ตอนเดินดูตอนเย็นก็มองไม่เห็นเลยสักอัน”

    คนพูดนึกอย่างแปลกใจ เขาเคยเห็นแต่กล้องอันโต ๆ ติดไว้ให้โจรได้เห็นสะดวกตามร้านค้า หรือตามป้อมยาม แต่หมู่บ้านนี้กลับติดตั้งกล้องไว้ได้อย่างแนบเนียนมิดชิด แม้แต่ที่ป้อมแห่งนี้เขายังมองไม่ออกเลยว่าตำแหน่งกล้องนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่

    “อืม...ช่างเหอะ ถึงไม่รู้ว่าติดไว้ที่ไหน แต่ขอให้ใช้งานได้ก็พอ ...เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะมาทำงานที่นี่เป็นยามกะเช้า ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ”

      กีรติเอ่ยปากเปรยขึ้นตามความคุ้นเคย เพราะเขามักจะชอบฝากเนื้อฝากตัวกับสถานที่ซึ่งเขาทำงานใหม่เป็นประจำ โดยไม่สนว่าจะถูกใครมองว่าแปลก

    “อืม...ไปเฝ้านอกป้อมดีกว่าแฮะ จะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาตอนคุณแฟนธอมไม่อยู่ได้บ้าง”

    ชายหนุ่มตัดสินใจเดินออกจากป้อมยามไปยืนเฝ้าที่นอกป้อม มีชาวบ้านที่เดินเล่นอยู่แถวนั้นบางรายเข้ามาพูดคุยทักทายเป็นเพื่อนเขา สักพักแฟนธอมก็ขี่รถจักรยานกลับมาที่ป้อม ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับคนตัวเล็กตรงหน้า

    “มาทำไม นี่ไม่ใช่เวลางานของนายสักหน่อย”

    “อ่า...ขอโทษครับ พอดีผมนอนไม่หลับ เลยอยากแวะมาดูสถานที่ทำงานก่อนทำจริงน่ะครับ เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนแล้วกัน ยังไงก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”

    กีรติบอกเสียงสลด จนคนสวมหน้ากากต้องกลืนน้ำลายลงคอ พลางกระแอมค่อย ๆ แล้วเปรยบอกตามมา

    “...ถ้าอยากศึกษาดูงานก่อนทำจริงก็ไม่มีปัญหา แต่อย่าอยู่ดึกเกินไปนัก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำงานไม่ไหวเอา”

    จบคำของอีกฝ่ายก็ทำให้กีรติยิ้มกว้างตอบรับด้วยความดีใจ สร้างความโล่งอกให้คนพูดยิ่งนัก แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น และเมื่อแฟนธอมหันไปเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของชาวบ้านที่มองอยู่แถวนั้น

    “มองอะไรครับ! มีธุระอะไรก็ไปทำกันสิ มาอยู่เกะกะขวางงานคนอื่นเขาอยู่ได้!”

    น้ำเสียงห้วนโพล่งขึ้นอย่างไม่มีเกรงใจ ทำให้กีรติต้องหันไปมองคนพูดตาปริบ ๆ พอเหลือบไปมองพวกชาวบ้าน ก็เห็นต่างพากันยิ้มแย้มบ้างก็หัวเราะ แต่ไม่มีใครโมโหเรื่องที่ถูกลูกจ้างของหมู่บ้านขึ้นเสียงใส่แบบนี้เลยสักคนเดียว

    “โอเค ๆ พวกเราไปก็ได้ ...งั้นไปร้านดาหลาดีกว่า นาน ๆ จะเห็นแฟนธอมใจดีกับคนอื่นแบบนี้ทั้งที อย่างนี้มันต้องกระจายข่าวให้ทั่วถึงเสียแล้ว!”

    หนึ่งในนั้นบอกกับคนอื่นเสียงดัง ทำเอาคนมีชื่ออยู่ในบทสนทนากัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด แต่พอเห็นสายตากังวลของกีรติ เขาก็ถอนหายใจแรง ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่ายให้รับรู้

    “ชาวบ้านที่นี่ก็เป็นแบบนี้ล่ะ ชอบยุ่งจุ้นจ้าน แต่จริง ๆ ก็ไม่มีพิษภัยอะไร ...อีกอย่างฉันเองก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยหมู่บ้านสร้างใหม่ ๆ ก็เลยสนิทสนมกับพวกเขาเป็นพิเศษน่ะ”

    กีรติร้องอ๋อ แล้วพยักหน้าหงึก ๆ รับรู้ทันที

    “มิน่าล่ะครับ ถึงพูดคุยกันเองแบบนั้น …ว่าแต่คนที่นี่ดูดีจังเลยนะครับ เป็นมิตรมาก ๆ เลย”

    “คงงั้นมั้ง”

    แฟนธอมเลี่ยงตอบ เขาเหลือบมองเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ที่กำลังอมยิ้มพร้อมมองไปรอบ ๆ ด้าน  ชายหนุ่มสวมหน้ากากลอบถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง เขานึกอยากจะบอกความจริงออกไปเสียเดี๋ยวนี้ จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่นี่ได้ต่อหรือไม่ เพราะจากการได้พูดคุยกันแม้ไม่มาก แต่ก็ทำให้แฟนธอมเริ่มคิดว่า กีรตินั้นค่อนข้างแตกต่างจากมนุษย์คนก่อนหน้าแต่ละคนอยู่ไม่น้อย

    “อืม...ถามหน่อยสิ นายเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติบ้างไหม”

    คำถามที่จู่ ๆ ก็ถามขึ้นหลังจากเจ้าตัวนิ่งเงียบไปนาน ทำให้กีรติหันมามองอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังคงตอบคำถามนั้นไปแต่โดยดี

    “ก็ไม่เชิงเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ปฏิเสธอะไรหรอกครับ เพราะมีหลายคนเคยเห็น ถ้าผมเห็นบ้างก็คงเชื่อ”

    คำตอบนั้นทำให้แฟนธอมเม้มปากนิด ๆ แล้วจึงถามต่อ

    “ถ้าสมมุติว่ามีจริง แล้วนายเจอเข้า นายจะกลัวไหม ...ยกตัวอย่างเช่น พวกภูตผีปีศาจ อะไรแบบนั้น”

    กีรติทำท่านิ่งคิด พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง

    “ก็อาจจะตกใจบ้างหรือกลัวบ้างนั่นล่ะครับ เพราะผมไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน แต่ถ้ามาดี ไม่มาร้าย ก็คงไม่กลัวเท่าไรนัก”

    คำตอบจริงใจพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ ทำให้แฟนธอมอึ้งไปเล็กน้อย เขานิ่งคิดหนัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจว่า ให้กีรติเจอด้วยตนเองน่าจะดีกว่า แต่ก็ยังไม่วายเปรยเตือนออกไปอยู่ดี

    “อืม...ฉันหวังว่า ถ้านายเจอพวกสิ่งเหนือธรรมชาติด้วยตนเอง นายจะยังคงตั้งสติและยิ้มออกได้อย่างนี้ล่ะนะ”

    กีรติฟังแล้วก็ชวนให้สงสัย เพราะอีกฝ่ายพูดเหมือนว่าเขากำลังจะได้เจอในสิ่งที่ว่าเร็ววันนี้เช่นนั้น

    “ครับ...จะพยายามนะครับ”

    ชายหนุ่มตอบรับคำเบา ๆ ทว่าเจ้าตัวกลับนิ่งเงียบไปสักพัก จนแฟนธอมแปลกใจ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อกีรติทุบมือตามมาคล้ายนึกบางอย่างได้

    “เอ๊ะ! หรือว่าหมู่บ้านนี้จะมี...เอิ่ม แบบว่า ผีสิงอะไรพวกนั้น”

    แฟนธอมมองคนพูดตาปริบ ๆ แล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “จริง ๆ มันยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ ...แต่ก็ราว ๆ ที่นายเข้าใจนั่นล่ะ”

    กีรติขมวดคิ้วยุ่ง เขานิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ จนอีกฝ่ายชักใจเสีย

    “...กลัวหรือ”

    ชายหนุ่มสวมหน้ากากตัดสินใจถาม ซึ่งคนฟังก็ชะงัก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

    “อ๋อ...ก็นิดหน่อยครับ แต่กำลังหนักใจว่า ถ้าหากเจอบ้าง ผมจะทำยังไงดี จะทักทายหรือว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เผื่อบางทีเขาอาจจะอยากไม่ให้ผมไปรบกวนอะไรแบบนั้น”

    คราวนี้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วย้อนถามกลับไปอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า อีกฝ่ายนั้นพูดจริงจากใจหรือไม่

    “แล้วไม่กลัวว่าพวกนั้นจะทำร้ายนายหรือ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์นะ!”

     กีรติอมยิ้มแล้วจึงตอบกลับไปอย่างใจคิด

    “ไม่หรอกครับ ก็ขนาดคุณเองยังอยู่มาได้ จนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่หรือครับ”

    คำตอบที่ได้รับฟัง ทำให้แฟนธอมนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็ต้องเม้มปากน้อย ๆ เมื่อกีรติเอ่ยต่อ

    “ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่า สิ่งเหนือธรรมชาติที่คุณพูดถึงนั้นเป็นแบบไหน ...แต่ถ้าตัวคุณเองยังคงอยู่ที่นี่ได้ ผมคิดว่าสิ่งนั้นก็ไม่น่าจะใช่สิ่งร้ายกาจที่คิดร้ายต่อคนอื่นหรอก...จริงไหมครับ”

    “...มันก็จริงอย่างที่นายว่านั่นล่ะนะ”

    แฟนธอมไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะเขาสัมผัสได้แต่ความจริงใจ จากดวงตาใสซื่อคู่นั้น เขาไม่ได้พบมนุษย์ที่มีแววตาเช่นนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่คนที่เคยช่วยเหลือเขาไว้ได้ตายจากไป

    จากนั้นทั้งคู่ก็อยู่เฝ้ายามกันต่อไปเงียบ ๆ โดยบางครั้งกีรตินึกอะไรออก ก็จะเป็นฝ่ายสอบถามรุ่นพี่ของตน ซึ่งแฟนธอมก็อธิบายในสิ่งที่รู้ให้ฟังทั้งหมดโดยไม่นึกรำคาญ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำงานมาที่เขารู้สึกว่า การที่มีคนจริง ๆ คอยมาพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ มันก็ทำให้รู้สึกดีอยู่มากเหมือนกัน



    หลังจากนั้นพอถึงเวลาใกล้สามทุ่ม แฟนธอมก็ไล่อีกฝ่ายให้ไปพักผ่อน เพราะเกรงว่ากีรติจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเพลินจนนอนตื่นสาย ซึ่งกีรติพอดูเวลาแล้วก็รับคำแต่โดยดี  ทว่าเมื่อลับร่างกีรติไปแล้ว เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาจากลำโพงฝังผนังป้อมซึ่งเป็นสีเดียวกัน ที่ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็จะไม่เห็นเลยว่าตำแหน่งของมันตั้งอยู่ที่ใด

    “จากการประมวลผลทั้งหมด ผมให้ผ่านนะ ...แถมเขายังเป็นคนแรกที่ฝากเนื้อฝากตัวกับผมอย่างสุภาพอีกด้วย  เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้ผมเลยตั้งใจว่าจะลองทักทายเขาดูด้วยล่ะครับ”

    ชายสวมหน้ากากสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับมามองทางป้อมยามด้วยแววตาเคร่งเครียด

    “หยุดเลย อเล็กซ์! นายกำลังจะทำให้เขากลัวนะ!”

    “ไม่มีทาง...เท่าที่ผมรับฟังการสนทนาของพวกคุณมาตลอด ผมมั่นใจว่า เขาต้องไม่กลัวผม  ซ้ำยังต้องทึ่งและคิดว่าผมเป็นเทคโนโลยีระดับสูง ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ”

    น้ำเสียงฟังดูหลงตัวเองนั่น ทำให้แฟนธอมกัดฟันกรอด แล้วบ่นพึมพำเบา ๆ

    “ทั้งคนสร้าง ทั้งคอมพิวเตอร์ นิสัยพอ ๆ กัน ...ไม่สิ เพราะหมอนั่นดันใส่นิสัยตัวเองลงไปนี่ล่ะ เลยทำให้กลายเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่นิสัยงี่เง่าไปเลย!”

    “...คราวหน้าช่วยกรุณานินทาในใจเถอะนะครับคุณแฟนธอม  นี่ดีนะที่เป็นคุณซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของมาสเตอร์  หากเป็นคนอื่นผมเล่นงานไปแล้วล่ะครับ”

    เสียงนั้นดังโต้ตอบขึ้นอีกครั้ง เรียกความหงุดหงิดให้คนฟังยิ่งนัก โดยเฉพาะยามเมื่อหวนคิดถึงใบหน้าของคนสร้างระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะในป้อมแห่งนี้ ก็ยิ่งทวีความหงุดหงิดให้เจ้าตัวมากยิ่งขึ้น

    “หยุดพูดเรื่องชวนให้ชาวบ้านเข้าใจผิดแบบนั้นสักทีได้ไหม!  ไม่อย่างนั้นฉันจะแอบเข้าไปในบ้านมาสเตอร์ของนาย แล้วเอาปูนโบกประตูเข้าออกห้องใต้ดิน ปิดตายไม่ให้หมอนั่นออกมาได้ จากนั้นฉันจะกลับเอาค้อนมาทุบนายให้พัง จนซ่อมไม่ได้อีกเลย คอยดูสิ!”

    เสียงคล้ายถอนหายใจดังขึ้นมาจากลำโพง ทำเอาแฟนธอมเม้มปากน้อย ๆ เพราะรู้สึกว่าคนสร้างเจ้าคอมพิวเตอร์แสนกวน จะพัฒนาระบบการตอบโต้ให้มันแสดงความรู้สึกคล้ายกับมนุษย์มากขึ้นทุกที     

     “ยังไงก็แล้วแต่ ห้ามไปรบกวนกีรติ หรือแกล้งเขาโดยเด็ดขาด...เข้าใจนะ!”

    “ครับ...รับทราบคำสั่ง”

    อเล็กซ์รับคำอย่างว่าง่าย แต่สักพักก็มีเสียงดังขึ้นจากลำโพงอีกครั้ง

      “...แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงเชื่อมั่นในข้อมูลของตัวเองอยู่ดี  เพราะหากปล่อยให้เขาเจอประสบการณ์ตรงกับตัวเอง เขาอาจจะเกิดความกลัว และเสียสติ จนต้องหนีเตลิดไปแบบคนเก่า ๆ ก็ได้นะครับ”

     แฟนธอมชะงัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วพึมพำตอบกลับไป

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ...ฉันก็แค่อยากให้เขาคุ้นเคยกับคนในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยตัวเขาเอง ดีกว่าบอกให้เขารู้ว่าคนในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่มนุษย์แต่แรก เพราะถึงเขาอาจจะยอมรับได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมรับมันมาจากใจ ...และถ้าเกิดเขาแสดงออกให้เห็นถึงความหวาดกลัวหรือรังเกียจในสิ่งที่เขาเอ่ยปากยอมรับขึ้นมาเมื่อไหร่... ตัวฉันเองก็คงจะรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าเดิมเป็นแน่...”

    พอแฟนธอมพูดจบ เสียงจากลำโพงก็เงียบไปสักพัก ก่อนที่น้ำเสียงเดิมนั้นจะดังขึ้นอีกครั้ง

    “…ถึงคุณจะรู้สึกชอบเขามากแค่ไหน  แต่คุณก็ยังคงเชื่อใจมนุษย์คนอื่น นอกจากคนคุ้นเคยในหมู่บ้านนี้ไม่ได้อยู่ดีสินะครับ...”

     ความอ่อนโยนที่แฝงมากับน้ำเสียง ทำให้คนฟังชะงักกึก แล้วจึงขมวดคิ้วยุ่งภายใต้หน้ากาก ก่อนจะโพล่งตอบกลับไปเสียงห้วน

    “นายเปลี่ยนตัวมาอีกแล้วสินะ เจอรัลด์!”

    “หึ ๆ รู้ทันอีกแล้ว ...ทั้งที่ใช้เสียงเดียวกันแท้ ๆ”

    เสียงจากลำโพงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขันแกมชื่นชม ทว่าคนฟังนั้นไม่ได้ขำด้วย ซ้ำยังหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

    “เพราะถึงอเล็กซ์จะกวนโมโหขนาดไหน แต่เขาก็ไม่กวนโมโหเท่านายยังไงล่ะ!  แล้วทีหลังก็เลิกแทรกแซง การสนทนาระหว่างคนอื่นสักที มันเสียมารยาทเข้าใจไหม!”

    เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ  ก่อนที่เจ้าตัวจะตอบกลับมา

    “แหม ๆ ผมชักหึงอเล็กซ์เสียแล้วสิ  คุยกับอเล็กซ์ก็เหมือนคุยกับผมแท้ ๆ คุณก็รู้”

    “อย่างน้อยคอมพิวเตอร์งี่เง่านั่น ก็ยังไม่ยียวนกวนประสาทฉันเท่านายนั่นล่ะ!”

    แฟนธอมสวนกลับทันควัน ทำให้คนฟังที่กำลังทำการแทรกแซงบทสนทนาอยู่ในห้องใต้ดินที่บ้านพักอมยิ้มน้อย ๆ ภาพจากกล้องดาวเทียมของเขา ฉายให้เห็นชายสวมหน้ากากชัดเจนในหลาย ๆ มุม ที่ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้น แต่เจอรัลด์ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายหงุดหงิดขนาดไหน

    “เอาเป็นว่าขอโทษแล้วกันนะครับ ...ถ้าอย่างไงผมจะแก้ตัวโดยการสั่งไม่ให้อเล็กซ์ไปรบกวนเด็กใหม่ ก่อนจะถึงเวลาอันควรดีไหมครับ”

    “สมควรทำแบบนั้นที่สุดแล้วล่ะ ขอบคุณ!”

    แฟนธอมตอบติดประชด ทำให้คนฟังหัวเราะอีกครั้ง  สักพักเสียงเดิมแต่ฟังดูไร้อารมณ์กว่าก็ดังขึ้นตามมา

    “มาสเตอร์ตัดการแทรกแซงไปแล้วครับ  ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมาสเตอร์ต้องยอมคุณอยู่เรื่อย ทั้งที่มาสเตอร์เองก็เก่งกาจกว่าคุณแท้ ๆ”

    แฟนธอมชะงักเล็กน้อย เขาทำเสียงฮึในลำคอ แล้วจึงตอบกลับไปห้วน ๆ

    “เพราะหมอนั่นเป็นซอมบี้พิลึกน่ะสิ  นายใช้ข้อมูลของมนุษย์ทั่วไป กับหมอนั่นไม่ได้หรอก!”

    “อืม...อาจจะเป็นเช่นที่คุณบอกก็ได้ แต่ผมไม่มีข้อมูลพฤติกรรมของผีดิบตนอื่น ๆ ให้เรียนรู้ นอกจากของตัวมาสเตอร์เองนี่ครับ”

    ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะตอบกลับด้วยถ้อยคำที่ทำให้แฟนธอมนึกอยากจะโมโหแต่ก็โมโหไม่ลง เขาจึงหาเรื่องตัดบทสนทนากับอีกฝ่ายแทน

    “ก็เอาไว้ให้มาสเตอร์ของนาย สอนเอาเองแล้วกัน!”

    “นั่นสิครับ...ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด  ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวติดต่อกับมาสเตอร์ก่อนนะครับ ส่วนระบบรักษาความปลอดภัย ผมจะให้ระบบสำรองดูแลไปก่อน  ถ้าคุณมีธุระสำคัญก็ติดต่อเรียกผมแล้วกัน ...ลาก่อนครับ คุณแฟนธอม”

    เมื่อเสียงจากลำโพงเงียบไป เสียงถอนหายใจจากคนสวมหน้ากากที่ยืนอยู่แถวนั้นก็ดังขึ้นแทน  เขาเหลือบมองไฟสัญญาณในป้อม ที่แสดงให้เห็นว่าระบบรักษาความปลอดภัยสำรองกำลังทำงานอยู่   

     สำหรับแฟนธอมแล้ว แค่มีเพียงอเล็กซ์ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยหลักของหมู่บ้าน ก็แทบจะสามารถดูแลทั่วทั้งหมู่บ้าน โดยไม่ต้องพึ่งพายามอย่างเขาก็ได้ ทว่าบางครั้งเมื่อผู้บุกรุกนั้นเกิดเป็นปีศาจหรือมนุษย์ที่มีฝีมือเกินธรรมดาบ้าง พวกเขาก็จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตด้วยกันดูแลอยู่ดี  เนื่องจากอเล็กซ์นั้นถูกเจอรัลด์ซึ่งเป็นผู้สร้าง จำกัดขอบเขตการโจมตีเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในหมู่บ้าน หากระบบของอีกฝ่ายเกิดเสียหายหรือบกพร่องขึ้นมา   

     “หรือบางที นายไปเสียให้พ้นจากหมู่บ้านพิลึกนี่ มันอาจจะดีกับตัวนายแทนก็ได้นะ...กีรติ”

    แฟนธอมเปรยขึ้นเบา ๆ อย่างชักจะไม่ค่อยมั่นใจตนเองแล้วว่า จะปล่อยให้คนใสซื่อมองโลกในแง่ดีอย่างกีรติ ทำงานต่อในหมู่บ้านแห่งนี้ดีหรือไม่ เพราะพวกภูตผีปีศาจที่นี่ แม้จะไม่เคยทำร้ายมนุษย์เลยก็ตาม แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางรายที่เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวาย จนทำให้มนุษย์ธรรมดาที่มาทำหน้าที่เหมือนกับเขา ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยอยู่เสมอ และดูจากนิสัยกระตือรือร้นในการทำงานของกีรติแล้ว แฟนธอมค่อนข้างมั่นใจว่า ชายหนุ่มจะพาตัวเองเข้าไปสู่ความวุ่นวายของคนในหมู่บ้านที่ว่านั้น ไม่ช้าก็เร็วนี้อย่างแน่นอน   


… TBC …


หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 18-09-2013 12:02:30
บทที่ 4
ทำงานวันแรก


 

     วันแรกของการทำงาน กีรติตื่นนอนตั้งแต่เวลาตีห้าครึ่ง พอทำธุระส่วนตัวในยามเช้าเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ออกมาเดินเล่นรอรถกับข้าวนอกสำนักงานหมู่บ้าน  เนื่องจากแฟนธอมบอกว่าร้านของดาหลานั้นเปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น ไปจนเกือบ 8 โมงเช้า จึงจะปิดร้านพักผ่อน  ดังนั้นกีรติซึ่งทำงานกะเช้าและต้องกินมื้อกลางวัน ถ้าไม่ซื้ออาหารของดาหลาแช่เย็นเอาไว้เผื่ออุ่นล่วงหน้า ก็คงต้องตุนกับข้าวสดติดตู้เย็นไว้ทำกินเองบ้างอยู่ดี

    “หือ...คนใหม่อย่างนั้นหรือ”

    ชายตัวสูงใหญ่ หน้าตาน่ากลัว ไว้หนวดเครารุงรัง ซึ่งเป็นเจ้าของรถกับข้าว ออกปากเอ่ยถามคนตัวเล็กตรงหน้า ที่มายืนซื้อของพร้อมกับคนในหมู่บ้านสี่ห้าคนแถวนั้น

    “ใช่แล้วพี่ไกร เขาเป็นยามกะเช้าคนใหม่ของหมู่บ้านเราไงล่ะ เพิ่งมาเมื่อวานนี้สด ๆ ร้อน ๆ เลยนะ”

    คนตัวใหญ่ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจ้องอีกฝ่ายอย่างพิจารณากว่าเดิม

    “ตัวเล็กจังนะ อย่างนี้จะดูแลหมู่บ้านไหวหรือเจ้าหนู”

    กีรติไม่ได้นึกขุ่นเคืองคำพูดที่ต่อว่ารูปร่างเขาแม้แต่น้อย แต่กลับตอบไปด้วยรอยยิ้มจริงใจ

    “ผมจะพยายามทำหน้าที่ให้สุดความสามารถครับ”

    คนอื่น ๆ ที่ได้ยินต่างพากันหัวเราะ แล้วบางคนจึงอธิบายให้หนุ่มร่างใหญ่ ที่หันมามองพวกเขาอย่างงุนงงได้รับฟัง

    “เด็กคนนี้จัดการลี ที่แอบย่องโจมตีเขาจากข้างหลังได้สบาย ๆ เลยนะคุณไกร”

    “จัดการลีได้เชียวงั้นรึ!  อืม...คนเรามองแต่ภายนอกอย่างเดียวไม่ได้เลยแฮะ”

    จากนั้นเจ้าของรถกับข้าวก็แนะนำตัวเองกับกีรติว่าเขาชื่อไกรสร อาศัยอยู่ในที่ห่างไป แต่ก็ไม่ไกลกันมาก และทำการค้าขายกับหมู่บ้านแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้ว   

    “เลือกเก่งนี่ ทำกับข้าวเองประจำหรือ”

     ไกรสรที่มองเห็นว่ากีรติเลือกผัก เนื้อ ได้อย่างคล่องแคล่ว จึงถามกลับไปอย่างสงสัย

    “อ๊ะ...ครับ พอดีผมใช้ชีวิตเองตามลำพัง มาตั้งแต่อายุ 15 น่ะครับ เลยต้องทำเองหมดเกือบทุกอย่าง”

ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ทว่าคนอื่นกลับพากันชะงัก แล้วมองอย่างลังเลว่าจะถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายต่อดีไหม แต่ไกรสรนั้นก็รีบตัดบท พลางถามกีรติเสียก่อนว่าจะซื้ออะไรอีก จึงทำให้บทสนทนาถูกยุติลง และเมื่อกีรติกลับไปแล้ว พวกคนอื่นก็พูดคุยซุบซิบกันต่อ

    “อยู่คนเดียวมา 5 ปี ...พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้วสินะ”

    หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นเบา ๆ อย่างรู้สึกสงสารชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป ทว่าคนที่ยืนอยู่ด้วยกันกับแย้งขัดขึ้น   

    “แต่เขาบอกว่าใช้ชีวิตเองตามลำพังไม่ใช่หรือ ถ้าพ่อแม่เสียก็จะต้องพูดอีกแบบสิ นี่แสดงว่าพ่อแม่ก็น่าจะยังอยู่นะ”

    คนฟังขมวดคิ้ว และก่อนที่จะสนทนากันต่อ หนึ่งในนั้นที่เป็นชายหนุ่มตัวสูง หุ่นผอมบาง หัวกระเซิงไม่ค่อยเป็นทรง สวมแว่นตากรอบดำหนา ก็เอ่ยขัดขึ้นมาบ้าง

    “ฉันคิดว่าพ่อแม่ของเขา คงจะเป็นพวกผีพนัน แล้วหนีหนี้ทิ้งลูกเอาไว้แน่ ...ไม่งั้นอายุ 20 ตัวคงไม่เล็กขนาดนี้หรอก แสดงว่าไม่ค่อยจะมีกินกับเขาเท่าไหร่ ...มิหนำซ้ำ ที่เก่งต่อยตี ก็คงเพราะต้องเอาไว้สู้กับพวกที่มาทวงหนี้ทวงสินอยู่ทุกวันแน่เลย!”

    ขาดคำของชายหนุ่มสวมแว่นกรอบดำ เสียงพึมพำก็ดังขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กัน

    “โถ…น่าสงสารจริงเชียว”

    “เอ่อ...เดี๋ยวก่อนสิพวกนาย มันจะไม่ฟังดูน้ำเน่าไปหน่อยหรือที่ว่ามาน่ะ”

    ไกรสรที่รับฟังอยู่ด้วยขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องที่อีกฝ่ายบอกมาสักเท่าใดนัก

    “ไม่หรอก! สังคมมนุษย์เดี๋ยวนี้ก็แบบนี้ล่ะ เชื่อสิ ฉันว่าต้องเป็นอย่างที่ฉันสันนิษฐานแน่!”

    ชายคนเดิมย้ำด้วยสีหน้าและแววตาหนักแน่นจริงจัง เสียจนชายหนุ่มตัวใหญ่ต้องกลืนน้ำลายลงคอ

    “ง่า...มันจะเป็นอย่างนั้นแน่หรือ”

    “ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารจริง ๆ เลยนะ  ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องดีกับเขากันหน่อยแล้ว”

    เสียงพึมพำของบรรดาขามุงดังขึ้นอีกครั้ง และคำพูดนั้นก็ทำให้คนตั้งต้นทฤษฎี ตบมือดังฉาด พร้อมกับโพล่งขึ้นอย่างถูกอกถูกใจ

    “นั่นสิ! อย่างนี้ต้องไปกระจายข่าวให้พวกเรารู้กันให้ทั่วดีกว่า!”

    “เอ่อ... เดี๋ยวก่อน ถึงอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่นั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขานะ”

    ไกรสรแย้งขึ้นมาอีกครั้ง เพราะรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักจะไปกันใหญ่ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้ไฟแรง จะไม่สนใจฟังคำโต้แย้งของเขาเลยสักนิด

    “ก็อย่าให้เจ้าตัวรู้สิ! อีกอย่างที่ทำไปก็เพราะอยากให้ทุกคนช่วยดูแลเด็กคนนั้น และอย่าเผลอพูดอะไรให้เขาสะเทือนใจด้วยยังไงล่ะ”

    “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่...”

    “งั้นเอาตามนี้นะ  ฉันไปก่อนล่ะ!”

    ชายสวมแว่นกรอบดำเอ่ยตัดบทแล้ววิ่งพรวดพราดจากไปพร้อมถุงกับข้าวในมือ  ทำให้คนอื่น ๆ พากันถอนหายใจ แล้วมีบางคนตบบ่าพ่อค้าตัวโตเบา ๆ

    “นายห้ามปัณณ์เขาทำโน่นนี่ไม่ได้หรอก หมอนั่นน่ะ ถ้าลองปักใจอะไรแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้อยู่ดีนั่นล่ะ”

      “เฮ้อ! เรื่องนั้นฉันก็รู้ดียิ่งกว่าใครอยู่แล้วล่ะน่า หืม...ว่าแต่หมอนั่นจ่ายเงินแล้วหรือยังน่ะ!”

    แต่ละคนมองตาปริบ ๆ พลางส่ายหน้าไปมา ทำเอาไกรสรต้องเอามือตบหน้า แล้วโพล่งออกมาดังลั่นอย่างหงุดหงิด

    “เอาเข้าไป! ฉันก็เข้าใจหรอกนะว่าเขาไม่มีเจตนาโกง แต่ไอ้ที่พอฮึดจะทำอะไรแล้วลืมรอบข้างไปหมดน่ะ ช่วยไปเกิดตอนอื่น ที่ไม่ใช่ตอนมาซื้อของฉันแบบนี้สักทีได้ไหม!”

    ชายหนุ่มร่างใหญ่บ่นอุบ แล้วเอาสมุดมาจดหนี้ของอีกฝ่ายที่ยาวเป็นหางว่าวเพิ่มต่อท้ายไปอีก และแม้จะตามเก็บชำระได้ทุกครั้ง โดยที่เจ้าตัวไม่คิดหนี แต่ก็มักมีเหตุบังเอิญเข้ามา จนทำให้เขาเก็บเงินไม่ได้อยู่เป็นประจำ

     

    หลังจากจัดการข้าวเช้าเฉพาะตัวเรียบร้อย กีรติก็ทำอาหารสำหรับมื้อกลางวันของตัวเองเผื่อแช่เย็นเอาไว้ โดยเขาตั้งใจว่าพอถึงเวลาก็จะแวะมานำอาหารออกอุ่นด้วยเครื่องไมโครเวฟที่มีอีกที

    “คุณแฟนธอมจะกลับมากินหรือเปล่านะ ...ถึงร้านคุณดาหลาจะปิดเกือบแปดโมงก็เถอะ อืม...แต่ถ้าทำเผื่อไว้ให้แล้วไม่ถูกปากคงไม่ดีแน่ เขาเองก็บอกว่าให้หากินตัวใครตัวมันด้วยสิ...เอาไงดีเนี่ย”

    กีรติเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาตั้งโต๊ะที่เป็นเวลาหกโมงครึ่ง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะออกไปถามแฟนธอมที่ใกล้เวลาเลิกงานเสียเลย



    “คุณแฟนธอมจะให้ผมทำอาหารเช้า...เอ่อ อาหารก่อนคุณเข้านอนเผื่อให้ไหมครับ”

    แฟนธอมขมวดคิ้วนิด ๆ ให้กับคำถามของรุ่นน้องผู้แวะมาหาเขาถึงป้อม  ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ

    “ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวฉันกลับไปแล้วก็จะนอนพักเลย สักเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ค่อยตื่นมากิน”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ พลางพึมพำขอโทษที่เขามารบกวน ทว่าแฟนธอมพอได้ยิน ก็รีบบอกอีกฝ่ายออกไปทันที

    “มันก็ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก...เอ่อ ขอบคุณที่เป็นห่วง เพียงแต่ฉันกินแบบนี้จนชินแล้วน่ะ”

    คนฟังชะงักก่อนจะยิ้มกว้างตามมาอย่างโล่งอก แล้วจึงขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อที่จะมารับช่วงงานต่อจากอีกฝ่าย และเมื่อลับร่างกีรติไปแล้ว เสียงจากตู้ลำโพงฝังผนังป้อมยามก็ดังขึ้น

    “โอ...เพิ่งเคยเห็นคุณเป็นแบบนี้ครั้งแรกนะครับคุณแฟนธอม ผมว่ามาสเตอร์เห็นทีจะต้องสนใจเรื่องนี้แน่เลย  ผมรายงานให้มาสเตอร์ทราบดีกว่า...”

    “อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะอเล็กซ์ ถ้านายยังไม่อยากให้ฉันพังนายทิ้งเสียเดี๋ยวนี้น่ะ!”

    แฟนธอมเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นทันควัน จนระบบรักษาความปลอดภัยแสนอัจฉริยะต้องเงียบไปครู่หนึ่ง  เพราะจากการประมวลผลของตน น้ำเสียงเช่นนั้นมีเปอร์เซ็นต์ที่คนพูดจะทำจริง ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

    “ครับ...ผมจะไม่รายงานเรื่องนี้ให้มาสเตอร์ทราบแน่ครับ”

    อเล็กซ์รีบรับคำตามมา ทำให้แฟนธอมสบถเบา ๆ แล้วเลิกให้ความสนใจกับอีกฝ่าย สักพักใหญ่กีรตินั้นก็มาเปลี่ยนเวรยามกะเช้า เนื่องจากเจ้าตัวยังไม่มีเครื่องแบบ จึงเลือกใส่เสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวสุภาพและกางเกงผ้าสีดำแทน พร้อมกับผูกเนคไทสีน้ำเงินมาด้วย

    “แปลกไหมครับ แต่งแบบนี้”

    กีรติถามอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล แฟนธอมชะงักเล็กน้อย ก่อนจะมีรอยยิ้มนิด ๆ ที่ริมฝีปากของเจ้าตัว

    “ไม่แปลกหรอก แต่ดูเหมือนพวกนักศึกษาใหม่มากกว่ายามน่ะ”

    กีรติยิ้มเจื่อน ๆ แล้วก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเป็นกังวลอีกครั้ง จนแฟนธอมนึกขำ แล้วต้องเดินมาตบบ่ารุ่นน้องผู้มาใหม่เบา ๆ

    “อย่าห่วงน่า นายแต่งตัวเรียบร้อยดีมาก ส่วนเรื่องเครื่องแบบ ฉันว่าวันนี้คุณเวธน์ก็คงเอามาส่งให้เองนั่นล่ะ”

    “ครับ! ขอบคุณนะครับ”

    กีรติยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งแฟนธอมก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ แล้วจึงขอตัวกลับไปพักผ่อน บริเวณป้อมยามจึงเหลือแต่เพียงกีรติที่เริ่มต้นทำหน้าที่ของตนด้วยความสดชื่นและเอาจริงเอาจังอย่างเต็มที่

    “อืม...ยืนสักชั่วโมง พอสองโมงเช้าก็ไปขี่จักรยานตรวจตราสักรอบ แล้วก็กลับมาเฝ้าป้อม  เที่ยง ๆ บ่าย ๆ ก็ค่อยขี่จักรยานอีกสักรอบ ...เอาแบบนี้ก็แล้วกัน!”

    กีรติพึมพำตั้งกำหนดการทำงานให้กับตัวเอง เขายืนอยู่สักพัก ก็เริ่มมีคนในหมู่บ้านเดินออกไปทำงานบ้าง เดินเล่นบ้าง  กีรติจึงส่งยิ้มแย้มทักทายคนที่ผ่านไปมาเหล่านั้น  คนที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้รถยนต์ไปทำงานกันเท่าใด แต่จะเดินกันไปแทน มีบ้างที่ขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซด์ แต่เท่าที่มองก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยอยู่ดี

     “สวัสดีครับ เพิ่งมาทำงานเป็นวันแรก สินะครับ”

    เสียงทักทายดังขึ้น จากคนที่เข็นตะกร้าติดล้อรถ ซึ่งบรรจุไม้กวาดและที่ตักขยะมาด้วย ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มวัยน่าจะไม่เกินสามสิบต้น ๆ ไว้ผมสั้นแสกกลางยาวปรกคอ ตาเรียวเล็ก จมูกโด่งคมสัน ผิวพรรณเนียนละเอียด มองดูแล้วไม่ค่อยคล้ายคนไทยสักเท่าใดนัก

    “สวัสดีครับ ผมชื่อกีรติครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

    กีรติยกมือไหว้อีกฝ่ายที่น่าจะดูอายุมากกว่าเขา อีกฝ่ายรีบยกมือรับไหว้ แล้วจึงโค้งศีรษะน้อย ๆ ให้กีรติ

        “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ผมชื่อยูกิมูระ ริว อาศัยอยู่ซอยสองครับ”

    กีรติฟังชื่ออีกฝ่ายแล้วก็ต้องเลิกคิ้วนิด ๆ และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าเขาแปลกใจ จึงได้อธิบายตามมา

    “ผมเป็นคนญี่ปุ่นครับ ด้วยอุบัติเหตุนิดหน่อย เลยทำให้ตัดสินใจทิ้งประเทศมาอยู่ที่นี่แทน ...ผมรักที่นี่มาก ทุกคนเป็นคนดี น่ารักกันทั้งนั้น  คุณเจ้าของที่ดินเองก็เมตตาต่อผมมาก เขาให้ผมทำงานกวาดถนน แถมยังให้ที่พักอาศัยอีกด้วย”

    กีรตินิ่งรับฟัง แล้วจึงยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรให้อีกฝ่าย

    “อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่คุณริวนี่พูดภาษาไทยเก่งจังเลยนะครับ”

    “เพราะอยู่ที่นี่มาจะสามปีแล้วล่ะครับ แถมยังไม่มีใครพูดญี่ปุ่นได้สักคน ผมเลยต้องพยายามเรียนรู้ให้หนัก ไม่อย่างนั้นก็คงสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง”

    ริวบอกออกไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งกีรติก็ยิ้มตอบรับ จากนั้นหนุ่มญี่ปุ่นจึงขอตัวไปทำงานของเขาต่อ ซึ่งกีรติก็เอ่ยลาพร้อมโค้งศีรษะให้ริวน้อย ๆ อันเป็นการเคารพในแบบที่ประเทศของอีกฝ่ายมักจะทำกัน



    “ดูเป็นเด็กใสซื่อไร้เดียงสา อย่างที่ชาวบ้านเล่าให้ฟังจริง ๆ ด้วยล่ะริว!”

    เสียงแหลมเล็กดังขึ้นทันทีที่ริวเดินห่างป้อมยามมาได้สักพัก จากนั้นจึงปรากฏกลุ่มควันลอยอยู่เหนือไหล่ของชายหนุ่ม และพอควันจางลง ก็มีสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กเท่ากระรอก เกาะไหล่ของอีกฝ่ายอยู่ ริวชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตำหนิเสียงค่อย

    “อย่าโผล่มาแบบนี้สิ ชิโระ เดี๋ยวเด็กคนนั้นก็เห็นนายเข้าหรอก”

    “ถ้าเห็นก็บอกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงสิ ไม่เห็นจะยาก”

    จิ้งจอกสีขาวโพลนทั้งตัว สะบัดหางเป็นพวงสวยของตนไปมาขณะตอบ เรียกเสียงถอนหายใจจากคนฟังเบา ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อจิ้งจอกตัวน้อยเริ่มพูดต่อ

     “เมื่อไหร่เด็กนั่นจะรู้ตัวสักทีนะ ว่าตัวเองอยู่ในหมู่บ้านแบบไหน ...ฉันชักอยากรู้แล้วล่ะสิ ริว ว่าเขาจะรับเรื่องราวของทุกคนได้ไหม ...ถ้ารับได้ก็ดีสิเนอะ ริวจะได้มีเพื่อนใหม่เป็นมนุษย์เพิ่มมาอีกไงล่ะ”

     “แค่เพื่อนทุกวันนี้ สำหรับฉันมันก็เพียงพอแล้วล่ะ”     

     ชายหนุ่มเปรยขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาที่ขรึมลง เรียกเสียงถอนหายใจเบา ๆ จากเจ้าจิ้งจอกน้อยให้ดังขึ้นบ้าง

    “ถึงริวจะละทิ้งมนุษย์ด้วยกัน มาอยู่กับพวกเขาแล้วก็จริง แต่อย่าลืมสิว่าตัวริวเองก็เป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเสียหมด...มนุษย์ดี ๆ ก็มีให้เห็น อย่างคุณเจ้าของที่ดิน อย่างคุณเลขา แล้วก็พวกลี ยังไงล่ะ”

     คนฟังชะงัก แล้วจึงหันมาแย้มยิ้มน้อย ๆ อ่อนโยนส่งให้ร่างบนบ่าของตน

    “นั่นสินะ...ขอบคุณนะชิโระ ที่ช่วยเตือนสติ”

    “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่าริวยังไม่ลืมเรื่องในอดีต แต่สักวันมันก็ต้องผ่านไปเองล่ะนะ”

    ริวลูบศีรษะจิ้งจอกตัวน้อยบนไหล่เขา พร้อมกับพึมพำขอบคุณแผ่วเบา จากนั้นจึงตรงไปที่หน้าหมู่บ้าน และจัดการเก็บกวาดใบไม้ใบหญ้า ที่ร่วงหล่นเกะกะพื้นถนนตามหน้าที่ของตนไปตามปกติ

     

    กีรติมองเวลาที่เดินผ่านไปเรื่อย ๆ และเมื่อถึงเวลาขี่จักรยานตรวจตราหมู่บ้าน อย่างที่เขาเคยตั้งใจเอาไว้ ชายหนุ่มก็ตรงไปที่จักรยานซึ่งจอดอยู่ แล้วขี่มันออกไปยังซอยกลางก่อนเป็นซอยแรก

    “อืม...หมู่บ้านนี้มีลมเย็นพัดผ่านเรื่อย ๆ สบายจังเลยแฮะ”

    ชายหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เนื่องจากแถวนี้เป็นดงสวนผลไม้ แถมยังอยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้ามาพอสมควร และเท่าที่ฟังจากแฟนธอม สุดซอยนี้ยังมีลำคลองตัดผ่านอีกด้วย

    “โชคดีจังที่ได้มาทำงานที่นี่ เราต้องตั้งใจทำงานให้เต็ม...ที่”

    กีรติชะงักค้างคำพูดชั่วครู่ด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ เสียงโครมครามก็ดังขึ้นในบ้านที่เขากำลังขี่จักรยานผ่าน พร้อมกับเสียงตะโกนโวยวายของเด็กสาวคนหนึ่ง

    “ว้าย! พ่อตกบันไดค่ะแม่!”

    ประโยคที่ได้ยินทำให้กีรติรีบทิ้งจักรยาน วิ่งผ่านบานประตู้รั้วบ้านที่เปิดแง้ม ๆ เอาไว้ ก่อนจะตรงไปเปิดประตูพรวดพราด หมายจะเข้าไปช่วยคนด้านในนั้น

    “บาดเจ็บหรือเปล่าครับ! ให้ผมช่วยอะไร...ไหม”

    กีรติชะงักค้าง เมื่อเห็นร่างที่กลิ้งตกบันไดจากชั้นบน นอนคว่ำหน้านิ่ง ข้าง ๆ มีร่างโปร่งใสรูปร่างใกล้เคียงกัน ยืนเกาศีรษะด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ

    “เอ่อ...มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

    กีรติถามเสียงแผ่ว พลางกลืนน้ำลายลงคอ ทำเอาร่างโปร่งใสร่างนั้นสะดุ้งโหยง แล้วหันมามองคนพูดด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับภรรยาและลูกสาวที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่บนชั้นสองตรงทางลงบันไดบ้าน

    “ง่า...ช่วยหรือ เอิ่ม...คือว่า ผมแค่ตกบันได แล้ววิญญาณหลุดจากร่างเทียมของตัวเองเท่านั้นเองครับ  จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรต้องให้คุณช่วยหรอก หรือถ้าอยากจะช่วยจริง ๆ ก็ช่วยประคองร่างนั้นขึ้นมานั่งให้หน่อยแล้วกัน...”

    “คุณคะ!”

     เสียงแหลมตวาดขัดขึ้น พร้อมกับแววตาดุของหญิงสาวผู้เป็นภรรยา ทำเอาคนเป็นสามีสะดุ้งโหยงอีกครั้ง

    “ขอโทษนะคะ เอิ่ม...นี่เป็นแค่ภาพสามมิติที่สามีฉันเขาฉายขึ้นเท่านั้นล่ะค่ะ ส่วนเจ้าตัวก็แกล้งทำเป็นสลบหลอกคุณเท่านั้นเอง... จริงไหมคะคุณ!”

    ชายผู้เป็นสามียิ้มแห้ง ๆ กับสายตาคาดคั้นของภรรยา แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ จากนั้นคนเป็นลูกสาวจึงตามลงมาสมทบ แล้วเชิญกีรติออกจากบ้านด้วยรอยยิ้มกึ่งบังคับ

    “ถ้ายังไงคุณช่วยออกไปก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวพวกเราจัดการกันเองได้ค่ะ”

    “เอ่อ...เอางั้นก็ได้ครับ ...ว่าแต่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะครับ”

    “ไม่หรอกค่ะ คุณพ่อเขาก็ชอบแกล้งเพื่อนบ้านแบบนี้ประจำนั่นล่ะค่ะ”

    เด็กสาวรีบตัดบท ซึ่งกีรติมองดูก็รู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาอยู่ต่อ จึงจำต้องขอตัวออกไปอย่างไม่อยากเสียมารยาท แต่ก่อนจะไป เขาเหลือบมองชายร่างโปร่งใส แล้วจึงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอย่างจริงใจ

    “เป็นภาพสามมิติที่สมจริงมากเลยนะครับ ผมเห็นตอนแรกยังตกใจเลย นึกว่าเป็นวิญญาณของจริงเสียอีก”

    “ง่า...ขอบคุณมากครับ”

     เจ้าของบ้านตอบรับพลางยิ้มเจื่อน ๆ และเมื่อกีรติจากไปแล้ว ทั้งหมดต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วฝ่ายสามีจึงเอ่ยขึ้นก่อน

    “เชื่อคนง่าย จนน่าเป็นห่วงอนาคตจังเลยนะ”

    “เฮ้อ! นั่นสิคะ แต่คนดี ๆ มีน้ำใจแบบนี้ ก็อยากให้อยู่กันยาว ๆ ต่ออีกสักหน่อย ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้รู้ความจริงเลย”

     ภรรยาเอ่ยสำทับตามมา ส่วนลูกสาวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงตรงไปช่วยประคองร่างเทียมของบิดาให้นั่งพิงราวบันไดแถวนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง

    “แต่หนูสังหรณ์ใจว่า เขาต้องรู้ความจริงในเร็ว ๆ นี้สักวันเป็นแน่ ...ก็คนในหมู่บ้านเราแต่ละคนน่ะ ระวังเป็นเสียทีไหนล่ะคะ”

    เด็กสาวค้อนให้ร่างโปร่งใสของบิดาเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วแย้งกลับไปบ้าง

    “ก็ถ้าลูกไม่ตะโกนเสียงดังว่าพ่อตกบันได มีหรือเขาจะเข้ามาบ้านเราจนเจอแจ็คพ็อตแบบนั้น”

    ผู้เป็นลูกสาวชะงักเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นค้อนใส่บิดาอีกครั้ง

    “ฮึ! ก็หนูตกใจนี่นา... พ่อนั่นล่ะผิดที่เดินไม่ระวังจนตกบันได  ดีนะที่เป็นร่างเทียม ไม่อย่างนั้นก็คงได้ตายซ้ำสองอีกรอบหนึ่งแน่!”

    ร่างโปร่งใสสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา แล้วจึงลอยกลับเข้าไปในร่างของตนอีกครั้ง เจ้าตัวลืมตาขึ้นพลางกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักใหญ่ แล้วจึงขยับร่างไปมาได้ เขาสำรวจร่างตัวเอง ว่ามีกระดูกหัก หรือข้อต่อหลุดอะไรบ้าง และเมื่อพบว่ามันปกติดี จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก  ก่อนจะหวนนึกขอบคุณผู้สร้างร่างของเขาทั้งสองคน ...ซึ่งคนหนึ่งก็คือนักประดิษฐ์อัจฉริยะ และอีกคนก็คือนักพรตองเมียวผู้เก่งกาจ  ทั้งคู่ช่วยสร้างร่างเทียมให้กับครอบครัววิญญาณเร่ร่อนอย่างพวกเขา จนสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง  ซึ่งทั้งสองคนที่ว่านั้น ก็ล้วนต่างอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยกันทั้งคู่นั่นเอง     



… TBC …


เรื่องนี้จะออกแนวใส ๆ โชเน็นไอนะคะ  เน้นเรื่องราวชีวิตประจำวัน และความสัมพันธ์ของผู้คนและคู่รักในหมู่บ้านเป็นหลัก ส่วนกีรติ ของเราก็แน่นอนว่าน่ารักน่าฟัด ขนาดนั้น ก็ต้องเป็นฝ่ายรับอยู่แล้วเนอะ ^ ^" ส่วนคู่ของหนูกี ก็ลองเดา ๆ กันดูนะคะว่าจะเป็นใครกันค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: loveyous ที่ 18-09-2013 13:36:54
น่ารัก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 18-09-2013 14:59:38
ซื่อดีแท้
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 18-09-2013 15:40:03
ไม่เดา
รออ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 18-09-2013 16:15:44
สนุกมากเรื่องนี้ อ่านแล้วเหมือนอ่านการ์ตูนที่ดังแล้วอ่ะ
พล็อตเรื่องฮาดี ลุ้นด้วยว่ากีรติจะรู้เมื่อไหร่ 55+
น่ารั๊คอ่ะ ใสซื่อ โมเอ้
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 18-09-2013 16:43:04
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: toye ที่ 18-09-2013 17:16:53
มาแล้วนิยายเรื่องใหม่ของพี่ปัด
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 18-09-2013 19:21:55
 :mc4:

อัยยะ  เพิ่งเห็นว่าคุณ Xenonลงเรื่องนี้

อ่านไปถึง4ตอนแล้วชอบมาก  ทั้งหนูกีและแฟนธอม  รวมถึงคนในหมู่บ้านด้วย

แต่เรียกคนไปซะทุกตัวละครก็คงไม่ถูกเนอะ   :laugh:

สรุปชอบมากค่ะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ 

รักตรงนี้ที่จะลงทุกวันวันละสองตอนนี่แหละ

บวกเป็ด +1  ปลื้มจัง

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Magician ที่ 18-09-2013 19:40:35
จิ้มๆ  :z13:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Thyme103 ที่ 18-09-2013 20:02:11
ซื่อมากอะกี
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 18-09-2013 20:15:37
น่ารักค่ะ มีแต่ตัวละครที่ดูใจดีๆทั้งนั้นเลย ส่วนหนูกีก็ต้องคู่กับคุณแฟนท่อมอยู่แล้วสิคะ :D
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 18-09-2013 20:34:31
 :hao7: :hao7: :hao7: :impress2: :heaven :heaven :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 18-09-2013 21:09:52
 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 18-09-2013 22:45:21
หนูกีก็มีประวัติลึกลับเหมือนกันนะ
แอบคิดว่าหนูกีไม่ใช่มนุษย์ร้อยเปอร์เซ็น
แบบอาจเป็นลูกครึ่งมนุษย์กับปีศาจ

 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 18-09-2013 23:27:27
ยังเชื่ออีกหรอเนี่ย มองโลกในแง่ดี ใสซื่อ หรือซื่อบื้อเนี่ย อิอิ แต่น่ารักดี ชอบๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 3 - 4 (18/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: arun ที่ 19-09-2013 17:01:20
 o13 o13 สุดยอด อยากอ่านต่อมาอัพเร็วๆนะคะ
ป.ล. บวกเป็ดให้แล้วนะไม่มาอัพจะงอลค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 19-09-2013 18:02:02
...แวะมาต่อ  ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน รวมถึงทักทายพูดคุยกันนะคะ ^^
edit: เข้ามาแก้ไซส์ข้อความเป็นไซส์ดั้งเดิมของระบบค่ะ

ตอนที่ 5
รู้ความจริง




    กีรติขี่จักรยานวนรอบหมู่บ้านแล้วกลับมาที่ป้อมยามอีกครั้ง เขายืนเฝ้าอยู่ด้านนอกสักพัก แต่พอไม่เห็นมีใครเข้าออกอีก ชายหนุ่มจึงเดินเข้ามาในป้อมยาม เพื่อตรวจสอบดูความเรียบร้อยจากกล้องวงจรปิดแทน

    “ดูกี่ที ๆ ก็เป็นระบบที่สุดยอดจริง ๆ คงจะลงทุนกับระบบกล้องวงจรปิดพวกนี้ไปไม่น้อยเลยสินะ ถึงได้จ้างยามเฝ้าแค่กะละคนเท่านั้น”

    กีรติพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง จากนั้นจึงสำรวจมองจอภาพแต่ละจอ ที่เป็นมุมมองเด่น ๆ ในแต่ละซอยอย่างนึกทึ่ง

    “เหมือนดูภาพจากดาวเทียมแทนกล้องวงจรปิดตามปกติเลยนะนั่น  มีซูมมุมใกล้ไกลด้วย อย่างกับในหนังเลยแฮะ!”   

    ทันทีที่กีรติเอ่ยไปแบบนั้น จอภาพก็เหมือนจะมีสัญญาณสะดุดเล็กน้อย ก่อนที่ภาพจะปรับเป็นมุมเดียวกันทั้งหมด จนเหมือนกับภาพจากกล้องวงจรปิดทั่วไป

    “เอ๋...เหมือนภาพจะเปลี่ยนไปหรือเปล่าเนี่ย  อืม...แปลกจังแฮะ”

    ชายหนุ่มพึมพำ แล้วจ้องจอภาพหลายจอตรงหน้านิ่ง แต่สักพักก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และจึงเลิกใส่ใจในเรื่องที่เขากำลังสงสัย ก่อนจะเฝ้าสังเกตความเรียบร้อยในแต่ละหน้าจอแทน

    “หือ...เด็กนั่น...”

    กีรติมองหน้าจอหนึ่งอย่างสนใจ ภาพในจอนั้นเป็นเด็กผู้ชายอายุไม่น่าเกิน 10 ปี กำลังพยายามหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ชิดกำแพง แต่เมื่อหยิบไม่ได้สักที เจ้าตัวจึงเกาศีรษะคล้ายหงุดหงิดให้ได้เห็น   

     ทางด้านกีรติที่มองอยู่อมยิ้มน้อย ๆ ขณะที่กำลังคิดว่าจะขี่จักรยานออกไปช่วยเด็กคนนั้นหยิบของ ทว่าภาพที่เห็นตามมาก็ทำให้กีรติถึงกับนิ่งอึ้งตกตะลึงตาค้าง เมื่อจู่ ๆ เด็กชายในจอก็มองซ้ายมองขวา แล้วค่อย ๆ ยกรถคันนั้นขึ้นด้วยมือเปล่า ก่อนจะนำไปวางที่ถนนเลนข้าง ๆ แล้วจึงเดินไปเตะลูกบอลให้กลิ้งออกมา จากนั้นจึงยกรถกลับไปวางไว้ที่เดิมอย่างน่าอัศจรรย์

    “ฮะ ๆ เด็กสมัยนี้แข็งแรงจังเลยนะ...”

     กีรติพึมพำเสียงแผ่วอย่างยังคงไม่หายตกใจ ส่วนคอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่ไม่ทันเซนเซอร์ภาพ ก็เริ่มออกอาการลนลาน และสั่งปิดจอภาพทีละจอ เนื่องจากเกรงว่ากีรติจะสังเกตเห็นพฤติกรรมเคยชินของคนในหมู่บ้านมากไปกว่านี้ แล้วถ้ากีรติเกิดทราบความจริงและกลัวจนหนีไป แฟนธอมก็อาจจะพาลมาโทษว่าเป็นเพราะเขาก็ได้

    “อะ...เอ๋...ทำไมจอภาพดับหมดล่ะ ...มือเราไปโดนอะไรหรือเปล่าเนี่ย...ตายล่ะ ดับหมดแล้ว ทำไงดีล่ะ!”

    กีรติเองก็ตกใจที่จู่ ๆ จอภาพทยอยกันดับทีละจอ เขามองซ้ายขวาอย่างลนลาน แล้วลุกขึ้นเตรียมจะไปหาใครบางคนมาช่วย

    “ไปให้คุณแฟนธอมมาช่วยดูให้ดีกว่า!”

    ขาดคำของกีรติ เสียงจากลำโพงก็ดังตะโกนห้ามตามมาทันที

    “อย่านะ! ห้ามไปเรียกเขาเด็ดขาด!”

    กีรติชะงักกึก แล้วจึงค่อย ๆ หันซ้ายหันขวา หาที่มาของเสียงปริศนานั่นอย่างแปลกใจ

    “เสียงใครน่ะ...”

    เงียบกริบไม่มีอะไรดังขึ้นอีกเลย กีรติขมวดคิ้วนิด ๆ และขณะกำลังหันหลังเตรียมจะเดินออกไปเพื่อแจ้งแฟนธอมอย่างที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านั้น  เสียงเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “...เสียงผมเองล่ะ ผมชื่ออเล็กซ์ เป็นระบบดูแลรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านแห่งนี้”

    เสียงจากลำโพงตัดสินใจบอกความจริงออกไป เพราะเท่าที่เขาลองประมวลผลจากพฤติกรรมของกีรติ ดูท่าทางชายหนุ่มน่าจะเป็นคนมีสติมั่นคงอยู่พอสมควร

    “ระบบดูแลรักษาความปลอดภัย  เอ่อ...ไม่ใช่คนหรือครับ”

    กีรติย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้าตกใจกึ่งสงสัย ซึ่งอเล็กซ์ก็ขึ้นตัวอักษรในประโยคที่เขาพูดบนหน้าจอทุกจอให้อีกฝ่ายเห็น

    “ใช่แล้ว ...ผมไม่ใช่คน แต่เป็นระบบ AI อัจฉริยะซึ่งสร้างขึ้นโดยมาสเตอร์เจอรัลด์  มีชื่อว่าอเล็กซ์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณกีรติ”

    กีรตินิ่งอึ้ง เขาเงียบไปอยู่ครู่ใหญ่ จนอเล็กซ์ทักขึ้นอีกครั้ง

    “คุณกีรติได้ยินที่ผมพูดไหม เอ...หรือว่าช็อกไปแล้ว”

    “...สุดยอด”

    เสียงพึมพำดังขึ้นหลังจากอเล็กซ์เอ่ยจบ และจากนั้นกีรติก็มีใบหน้าตื่นเต้น พร้อมกับกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ยโพล่งขึ้นลั่นอย่างลืมตัว

    “สุดยอด! มหัศจรรย์ที่สุดเลยครับ คุณอเล็กซ์!  ผมเพิ่งเคยเห็นระบบคอมพิวเตอร์ที่พูดคุยโต้ตอบกับมนุษย์ได้จริง ๆ เป็นครั้งแรก นอกจากในหนังเลยนะครับเนี่ย!”

    อเล็กซ์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งทั้งแปลกใจและพอใจ เพราะนอกจากจะได้รับการยกย่องจากกีรติ อีกฝ่ายยังเรียกตนว่าคุณอย่างให้เกียรติอีกต่างหาก จึงทำให้ระบบ AI อัจฉริยะที่ถูกใจในตัวกีรติอยู่แล้ว ตัดสินใจเล่าความลับของหมู่บ้านแห่งนี้ให้กีรติฟัง  วัดจากข้อมูลพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ผ่านมานั้น มีเปอร์เซ็นต์ยืนยันสูงเกินครึ่งว่า กีรติจะสามารถเข้าใจและรับรู้ในตัวตนของสมาชิกในหมู่บ้านแห่งนี้ได้ อย่างแน่นอน



    กีรติถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง เมื่ออเล็กซ์เริ่มต้นเล่าว่า ผู้คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่เป็นปีศาจและภูตผีกว่าค่อนหมู่บ้าน  แถมพอเห็นกีรติดูมีสีหน้าไม่เชื่อถือ อเล็กซ์จึงมีภาพประกอบแสดงให้เห็นถึงข้อมูลของสมาชิกแต่ละครอบครัว ผ่านหน้าจออีกต่างหาก โดยเริ่มจากบ้านหลังแรกคือร้านค้าอาหารตามสั่งประจำหมู่บ้านนั่นเอง

    “เอ่อ...นั่นไม่ใช่เทคนิกการเมคอัพหรอกหรือครับ”

    กีรติแย้งขัดเมื่ออเล็กซ์แนะนำว่าทั้งคู่นั้นเป็นมนุษย์หมาป่า ที่สามารถกลายร่างได้ตามใจชอบแล้วแต่ตนต้องการ แถมยังไม่บ้าคลั่งหรือเที่ยวไปอาละวาดไล่กัดแพร่เชื้อใส่ชาวบ้านเหมือนในหนัง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังชอบกินผักผลไม้มากกว่ากินเนื้ออีกด้วย

    “เมคอัพ? มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงเล่าคุณกีรติ เมคอัพที่ไหนจะทำได้เหมือนจริงปานนั้น  ...แต่เขาจะพูดแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก เพราะผมคิดว่าพวกเขาคงชอบคุณ และไม่อยากให้คุณกลัวจนทิ้งที่นี่ไปเสียก่อนน่ะ”

    กีรติชะงักพลางหวนคิดถึงเรื่องแปลก ๆ และคำแก้ตัวของคนในหมู่บ้านที่เขาพบเจอ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ตามมา

    “นั่นสินะครับ ถ้ารู้ความจริงก็คงกลัวบ้าง...แต่ถ้าไม่คิดร้ายกัน ก็คงไม่คิดหนีหรอกครับ”

    คำพูดของกีรติทำให้อเล็กซ์ยิ่งพึงพอใจมากขึ้น เพราะจากการประมวลผลและตรวจสอบด้วยระบบจับเท็จของตน ทำให้อเล็กซ์รู้ว่ากีรติไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใด

    “ดีแล้วที่คุณคิดแบบนั้น  ถ้าอย่างนั้นผมก็จะแนะนำคนอื่น ๆ ถัดมาให้รู้จักแล้วกัน  อะ...เอ๋...มาสเตอร์...เดี๋ยวสิครับ...อย่าเพิ่งแทรกแซงเข้ามาสิครับ...มาสเตอร์...”

    เสียงของอเล็กซ์เงียบหายไป ทำให้กีรติชะงักด้วยความตกใจ เพราะหน้าจอตรงหน้าก็มืดลงไปด้วย

    “คุณอเล็กซ์ครับ! เป็นอะไรไปครับ! ตายล่ะ! ระบบมีปัญหาหรือเปล่าไม่รู้ ...ทำไงดีล่ะ ไปถามคุณแฟนธอมดีกว่า!”

    ทันทีที่กีรติพูดจบและเตรียมจะลุกออกไปจากป้อมยาม เสียงกระแอมก็ดังขึ้นจากลำโพงฝังผนังป้อมอีกครั้ง

    “อะแฮ่ม! ขอโทษนะครับ ถ้าเป็นไปได้ช่วยกรุณาอย่าบอกเรื่องนี้ให้กับคุณแฟนธอมทราบได้ไหมครับ ...ผมขอร้องล่ะ”

    กีรติชะงักกึก แม้จะเป็นเสียงเดียวกัน แต่พอฟังลักษณะการพูดจาแล้ว ราวกับว่าเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น

    “เอ่อ...คุณใช่คุณอเล็กซ์หรือเปล่าครับ ...หรือเป็นคนอื่น”

    คำถามอย่างลังเลทำให้คนอยู่ตรงหน้าจอภาพภายในห้องใต้ดินชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างพึงพอใจตามมา

    “วิเศษจริง ๆ คุณเป็นคนที่สองนะ ที่แยกผมกับอเล็กซ์ได้ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกน่ะ”

    “แสดงว่าคุณก็ไม่ใช่คุณอเล็กซ์หรือครับ?”

    กีรติถามกลับไปอย่างงุนงง เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นก่อน แล้วน้ำเสียงทุ้มนุ่มจึงดังตอบตามมา

    “ครับ ...ผมไม่ใช่อเล็กซ์ แต่ผมเป็นคนสร้างเขาขึ้นมา ผมชื่อเจอรัลด์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณกีรติ”

    กีรตินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ทว่าพอได้สติ เขาก็รีบทักทายตอบอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น

    “สะ...สวัสดีครับ คุณเจอรัลด์  ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้มีโอกาสรู้จักกับนักประดิษฐ์เก่ง ๆ แบบคุณมาก่อน คุณอเล็กซ์เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สุดยอดมากเลยนะครับ!”

    เจอรัลด์หัวเราะเบา ๆ ต่อความใสซื่อเหมือนเด็กของอีกฝ่าย เขาไม่แปลกใจอีกแล้วว่า ทำไมแฟนธอมที่ไม่ชอบคบหาสมาคมกับผู้คน จึงได้สนใจในตัวชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมาได้ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่พบกัน

    “ผมเองก็ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณเช่นกัน ...และที่ต้องเสียมารยาททำการแทรกแซงการพูดคุยของคุณกับอเล็กซ์ เพราะเห็นว่า อเล็กซ์กำลังละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของสมาชิกในหมู่บ้านมาแสดงให้คุณทราบ ...จริงอยู่ที่ผมไม่ได้ตั้งระบบปกปิดเป็นความลับเอาไว้ แต่โดยมารยาทแล้วมันก็ไม่ควรจริงไหมครับ ...ถ้าคุณอยากรู้จักพวกเขา คุณก็ควรเข้าหาสอบถามด้วยตัวเองจะดีกว่า ...ถ้าคุณไม่กลัวจนหนีไปเสียก่อนน่ะนะ”

    ท้ายประโยคเจอรัลด์เอ่ยกระเซ้านิด ๆ แต่แล้วก็ต้องเงียบไป เมื่อมองผ่านจอภาพ แล้วเห็นอีกฝ่ายมีรอยยิ้มและตอบเขากลับมา

    “ไม่หนีหรอกครับ  ทุกคนที่นี่ใจดีและเป็นห่วงความรู้สึกของผมกันทั้งนั้น  พยายามหาข้อแก้ต่างไม่ให้ผมกลัว ...จริง ๆ แล้วผมควรจะขอโทษพวกเขาด้วยซ้ำ ที่ทำให้พวกเขาต้องมาคอยหาเรื่องโกหก เพื่อให้ผมรู้สึกสบายใจแบบนี้”

    เจอรัลด์อมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นมิตร อย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้กับใครมากนัก

    “คุณเป็นคนดีมากคนหนึ่งเลยล่ะคุณกีรติ  หมู่บ้านแห่งนี้เองก็ต้องการมนุษย์จิตใจดีงามอย่างคุณ มาร่วมอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราอยู่นะ... ถึงปีศาจอย่างผมพูดเองแล้วอาจจะดูแปลก แต่ผมก็อยากจะบอกคุณว่า พวกเราภูตผีปีศาจทั้งหลาย ก็มีความคิด ความรู้สึก ความรัก ไม่แตกต่างจากมนุษย์อย่างพวกคุณมีนักหรอก”

    คำพูดของเจอรัลด์ ทำให้คนฟังต้องหลุดยิ้มกว้างออกมา เพราะฟังดูแล้วก็ตีความได้ว่า เจอรัลด์และทุกคนที่นี่ก็อยากให้เขาอยู่ต่อไปเช่นกัน

    “ครับ! ผมเองก็เชื่อแบบนั้น ...อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน แต่เราก็สามารถเป็นมิตรกับเขาได้ ถ้าเราเข้าใจในตัวตนที่เขาเป็นอยู่ และเลือกปฏิบัติตนกับเขาด้วยความพอดี ที่เขาอยากให้เราเป็น ...พ่อของผมเคยสอนเอาไว้เมื่อตอนผมเป็นเด็ก และผมก็ยึดมั่นในคำสอนนั้นมาตลอด ...ผมคิดว่า ผมเองก็น่าจะเป็นมิตรกับทุกคนที่นี่ได้เหมือนกัน”

     เจอรัลด์ยิ้มอยู่หลังไมค์พลางนึกในใจว่า ครอบครัวของกีรติคงจะเลี้ยงดูสั่งสอนชายหนุ่มมาอย่างดี และไม่น่าที่จะเป็นพวกผีพนันเข้าสิงจนต้องทิ้งลูกหนีหนี้ อย่างที่ปัณณ์มาป่าวประกาศให้พวกเขาทราบ แต่ก็นั่นล่ะคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมักจะรู้ดีว่า ปัณณ์นั้นเป็นนักเขียนนิยาย ที่ชอบจินตนาการและคิดไปเองใหญ่โต ดังนั้นหากชายหนุ่มเล่าอะไรให้พวกเขาฟัง แบบไม่มีหลักฐานรับรอง ก็เตรียมฟังหูไว้หูได้เลย

    “ผมดีใจนะ ที่คุณคิดแบบนี้ ...ตอนนี้คุณก็รู้ความจริงแล้ว ผมหวังว่าถ้าเห็นของจริงตรงหน้าอีก คุณก็คงไม่ตกใจมากมายนัก”

    กีรติยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไปโดยไม่มีท่าทางลังเล

    “ครับ! ผมจะพยายามไม่ทำตัวเสียมารยาทกับทุกคนออกไปนะครับ”

    เจอรัลด์รับฟังอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงกำชับว่าอย่าเพิ่งไปบอกแฟนธอมและทุกคนในหมู่บ้านให้รู้เรื่องนี้ เพราะเขาเกรงว่าแต่ละคนจะกรูกันมาแนะนำตัว แสดงตัว จนกีรติอาจจะประสาทแข็งไม่พอจะรับรู้พร้อม ๆ กันในคราเดียวก็เป็นได้

    “จริงอยู่นะครับ ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ไม่ใช่อะไรที่น่าขวัญผวา ขนหัวลุกขนาดนั้น ...แต่ก็นั่นล่ะ ผมเองก็ไม่มีข้อมูลของคุณว่าระดับความกลัวของคุณอยู่ในขีดจำกัดแค่ไหน ดังนั้น ค่อย ๆ ปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็น่าจะดีกว่านะครับ”

    เจอรัลด์เอ่ยย้ำ ซึ่งกีรติก็รับคำอย่างเห็นด้วยตามนั้น ทำให้นักประดิษฐ์หนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์  เพราะจริง ๆ แล้วที่เขายังไม่ให้กีรติบอกเรื่องนี้ หลัก ๆ แล้ว ก็เพราะต้องการเห็นสีหน้าเซอร์ไพรส์ของแต่ละคนในหมู่บ้านยามที่ได้รู้ความจริง โดยเฉพาะกับแฟนธอม เขาคาดว่าใบหน้าใต้หน้ากากนั่น จะต้องแสดงสีหน้าในแบบที่เขาไม่เคยได้เห็นและรับรู้มาก่อนเป็นแน่ทีเดียว



    เมื่อเจอรัลด์ตัดการติดต่อไปแล้ว อเล็กซ์ก็กลับมาทำงานต่อตามปกติ  ระบบ AI อัจฉริยะถึงกับบ่นอุบที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แถมยังโดนสั่งห้ามไม่ให้เปิดเผยข้อมูลของสมาชิกในหมู่บ้านให้กีรติรับทราบอีกด้วย

    “มาสเตอร์บอกว่าให้คุณทำความรู้จัก และเรียนรู้สมาชิกทุกคนที่นี่ด้วยตัวเองจะดีกว่าน่ะครับ”

    กีรติฟังแล้วก็อมยิ้ม แล้วจึงพยักหน้าตามมา

    “ผมก็คิดว่าแบบนั้นน่าจะดีเหมือนกันล่ะครับ  เพราะจะได้เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีต่อกันมากยิ่งขึ้นด้วย”

    อเล็กซ์ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาคิดว่าถ้าได้รู้ข้อมูลก่อนล่วงหน้าก็ย่อมได้เปรียบมากกว่า

    “สำนวนมนุษย์ยังมีคำว่า รู้เขารู้เราเลยไม่ใช่หรือครับ  การรู้ข้อมูลล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวไว้ก่อน มันน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือครับ”

    กีรติรับฟังแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ พลางคิดว่าอเล็กซ์นั้นถึงจะฉลาดเพียงใด แต่ก็ยังมีความคิดไม่ซับซ้อนมากนัก และยังแสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมา ซึ่งจุดนี้ทำให้เขาสามารถแยกอเล็กซ์กับเจอรัลด์ออกได้อย่างไม่ยากนัก

    “ครับ...มันอาจจะดีก็จริง  แต่การค่อย ๆ เรียนรู้ฝั่งตรงข้ามไปทีละน้อยด้วยตนเอง โดยไม่รู้อะไรมาก่อน มันก็สนุกดีนะครับ ถึงอาจจะมีผิดพลาดบ้าง แต่เราก็สามารถแก้ไข ลองผิดลองถูกไปได้เรื่อย ๆ ไม่ใช่หรือครับ”

    อเล็กซ์ฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงของกีรติ ก็ทำให้เขาคิดว่า มันอาจจะเป็นเรื่องดีแล้วก็ได้สำหรับชายหนุ่ม

    “ถ้าคุณคิดว่าดี ทำแล้วพอใจ ผมก็ไม่มีอะไรคัดค้านหรอกครับ อีกอย่างมาสเตอร์ก็ห้ามเอาไว้แล้วด้วย”

    “ครับ...ขอบคุณนะครับ”

    กีรติรับคำพร้อมรอยยิ้ม พวกเขาคุยกันอีกสักพักใหญ่ ๆ  อเล็กซ์ก็เตือนให้กีรติไปพักกินข้าวกลางวัน ส่วนตัวเขาจะดูแลหมู่บ้านให้แทนช่วงนี้เอง  ซึ่งกีรติก็ขอบคุณอีกฝ่ายแล้วตรงไปจัดการมื้อกลางวันของตน เพื่อที่จะได้รีบกลับมาทำงานต่อภายหลังจากนั้น   

     

    ชายหนุ่มเดินเข้าสำนักงานหมู่บ้านทางประตูหลัง ทว่าพอผ่านห้องรับแขกไปทางครัว เขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังยืนชงกาแฟอยู่

    “เอ่อ...คือ... ง่า สวัสดีครับ”

    กีรติเอ่ยทักทายอีกฝ่าย เพราะคิดว่ายังไงก็น่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านนี้แน่  และพอได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้ดาราหรือนายแบบ ก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบกลับมา

    “สวัสดีครับ คุณคงจะเป็นคุณกีรติ ที่มาทำงานเป็น รปภ.กะเช้าของหมู่บ้านสินะครับ”

    กีรติชะงัก แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ ทำให้อีกฝ่ายจ้องมองเขาอย่างพิจารณากว่าเดิม พร้อมกับยิ้มกึ่งขำ

    “เหมือนกับที่คุณเวธน์เล่าไว้ไม่มีผิดเลยครับ  อ้อ! ผมชื่อกรกฎ ทำงานเป็นเลขาคุณเวธน์ และคอยดูแลสำนักงานที่หมู่บ้านนี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

    กีรติรีบยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทำเอากรกฎยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน ก่อนจะบอกกับอีกฝ่ายว่าให้ทำตัวเป็นกันเองก็ได้

    “ไม่ต้องสุภาพกับผมก็ได้ครับ คนกันเองทั้งนั้น ...ว่าแต่เป็นไงครับ ที่หมู่บ้านนี้ ...พอจะอยู่ได้ไหม”

    คำถามแฝงความนัยที่ถ้าก่อนหน้ารู้ความจริง กีรติคงจะแปลกใจ แต่พอเขาได้ล่วงรู้มาแล้ว เจ้าตัวจึงได้แต่ยิ้มน้อย ๆ พลางตอบกลับไป

    “อยู่ได้สิครับ คนที่นี่ใจดีและเป็นมิตรกับผมมาก ...ผมชอบที่นี่ครับ”

    คำพูดพร้อมรอยยิ้มจริงใจทำให้กรกฎอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างเป็นมิตรให้อีกฝ่ายมากกว่าเดิม จากนั้นจึงขอตัวไปทำงานที่ค้างไว้ ซึ่งกีรติเองก็จัดแจงทำอาหารกลางวัน แล้วกินให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบตรงกลับไปทำงานต่อ และพอชายหนุ่มออกไปได้สักครู่ แฟนธอมก็เดินงัวเงียออกมานอกห้อง ชายหนุ่มทำจมูกฟุดฟิดเบา ๆ เพราะได้กลิ่นอาหารหลงเหลืออยู่   

    “หมอนั่นกลับมาแวะกินข้าวหรือครับ”

    แฟนธ่อมหันไปถามคนที่นั่งอยู่แถวนั้น ทางด้านกรกฎเงยหน้ามองชายหนุ่ม แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ส่งให้

    “ใช่ครับคุณแฟนธอม  เขาแวะมาพักทำอาหาร กินอาหาร แล้วรีบไปทำงานต่อแล้ว ขยันน่าดูจริง ๆ อยากให้คุณเวธน์เอาอย่างบ้างจัง”

    คำพูดของกรกฎทำให้แฟนธอมสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา ทั้งกับความไฟแรงของรุ่นน้องร่วมงาน และความไม่ค่อยใส่ใจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของที่ดินคนล่าสุดของหมู่บ้านแห่งนี้

    “นี่...คุณแฟนธอม คุณคิดว่าจะเล่าเรื่องทุกคนในหมู่บ้านให้เขารับรู้ตอนไหนกันครับ ...ผมสังหรณ์ใจว่า ถ้าเป็นคนนี้ ต่อให้เจออะไรก็น่าจะรับได้นะครับ”

    แฟนธอมนิ่วหน้า แล้วจึงตอบเลี่ยง ๆ ออกไป

    “ผมอยากให้เขาคุ้นเคยกับทุกคนมากกว่านี้ ถึงเขาจะเข้ากับคนได้เร็ว แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจว่า ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่คน เขาจะคุ้นเคยได้ด้วยหรือไม่กันแน่”

    กรกฎมองคนพูดอย่างแปลกใจ ก่อนจะชะงัก แล้วหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ จนอีกคนชักเริ่มหงุดหงิด

    “มีอะไรน่าหัวเราะนักหรือไงครับ”

    “หึ ๆ เปล่าครับ  ผมแค่แปลกใจที่เห็นคุณแคร์เขาขนาดนั้น ...และที่ไม่กล้าเล่า เพราะกลัวว่าเขาจะหนีไปจริง ๆ สินะ”

    แฟนธอมสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะทำเสียงฮึในลำคอ เขาไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กลับเดินตรงไปชงกาแฟ หยิบขนมปังในตู้เย็นออกมาปิ้ง แล้วนำทั้งกาแฟและขนมปังเดินตรงกลับเข้าห้องนอนของตนไปแทน ทำให้กรกฎอมยิ้มอย่างนึกขำ แล้วจึงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

    “จะว่าไปแววตาของเด็กคนนั้น มันเหมือนกับว่าจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่างของที่นี่บ้างแล้วล่ะนะ  อืม...โทรแจ้งคุณเวธน์ดีกว่า เผื่อจะสนใจ แล้วจะได้เข้ามาช่วยการช่วยงานกันบ้างด้วย”

    เลขาหนุ่มพึมพำกับตัวเองจบ ก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงโทรหาผู้เป็นนาย แจ้งถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เห็นให้ได้รับรู้  ซึ่งเขาก็เดาไม่ผิดไปจากที่คิด เพราะเวธน์บอกว่าจะแวะเข้ามาที่หมู่บ้านในช่วงบ่าย เพื่อต้องการจะได้เห็นกับตาว่า รปภ.กะเช้าชั่วคราวคนใหม่ของหมู่บ้าน จะสามารถกลายเป็นสมาชิกเต็มตัวของหมู่บ้านแห่งนี้ได้หรือไม่กันแน่




... TBC ...
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 19-09-2013 18:04:11
edit: เข้ามาแก้ไซส์ข้อความเป็นไซส์ดั้งเดิมของระบบค่ะ


ตอนที่ 6
ปรับตัว



    หลังจากพักทานอาหารกลางวันเรียบร้อย กีรติก็กลับมาทำงานต่อ ตอนนี้เขารู้สึกสบายใจกว่าเดิม เนื่องจากมีอเล็กซ์เป็นเพื่อนคุย และยังเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้รับรู้ในขอบเขตที่ไม่เกินเจอรัลด์ห้ามเอาไว้

    “คุณเวธน์ เป็นเจ้าของที่ดินแถวนี้ รุ่นที่สามแล้วหรือครับ”

    ชายหนุ่มถาม AI อัจฉริยะอย่างสนใจ ซึ่งอเล็กซ์ก็ตอบกลับไปตามตรง

    “ใช่ครับ เจ้าของที่ดินแต่ละรุ่นจะส่งโฉนดที่ดินให้รุ่นต่อไปสืบทอด โดยคัดเลือกทายาทที่เหมาะสม และไม่จำเป็นต้องสืบสายเลือดเดียวกัน”

    จากนั้นอเล็กซ์จึงเล่าต่อมาว่า เจ้าของที่ดินแต่ละรุ่นมีหน้าที่สำคัญคือดูแลปกป้องรักษาผืนที่ดินบริเวณนี้ให้คงไว้ เพื่อที่จะได้เป็นที่อยู่อาศัย ของเหล่าภูตผีปีศาจ และมนุษย์ที่สามารถอยู่ร่วมกับพวกเขาได้  เนื่องจากคุณเจ้าของที่ดินรุ่นแรกเชื่อว่า ภูตผีปีศาจเองก็มีชีวิตจิตใจไม่แตกต่างจากมนุษย์เช่นตน และปรารถนาที่จะอยู่อาศัยร่วมกับพวกเขาอย่างมีความสุข โดยไม่มีการแบ่งแยกเกิดขึ้น

    “เป็นคนดีจังเลยนะครับ”

    กีรติเอ่ยชื่นชม เมื่อได้รับรู้ถึงที่มาที่ไปของหมู่บ้านมีสุขที่เขาทำงานอยู่

    “ใช่ครับ เป็นมนุษย์ดี ๆ ที่แทบจะหาได้ยากในสังคมมนุษย์สมัยนี้...แต่เสียดาย ผมเกิดไม่ทันได้พบท่าน แต่มาสเตอร์ก็ป้อนข้อมูลให้ผมได้รับรู้เกี่ยวกับท่านได้มากมายอยู่ล่ะครับ”

    อเล็กซ์บอกกับชายหนุ่ม ซึ่งกีรติก็พยักหน้ารับรู้ จากนั้นพอชำเลืองมองนาฬิกา เขาก็เห็นว่าน่าจะได้เวลาออกไปตรวจตราหมู่บ้านอีกรอบหนึ่งแล้ว กีรติจึงหันไปขอตัวกับอเล็กซ์ที่กำลังคุยด้วยกัน   

    “เชิญครับ ...เดี๋ยวผมดูแลความปลอดภัยบริเวณนี้เองครับ”

    อเล็กซ์รับคำ ซึ่งกีรติก็เอ่ยขอบคุณ แล้วจึงหยิบจักรยานที่จอดไว้มาขี่ตรวจตรารอบหมู่บ้านอีกครั้ง  ชายหนุ่มขี่จักรยานไปได้สักพัก เขาก็เจอเด็กชายคนที่ยกรถด้วยมือเปล่าให้เขาเห็นในจอภาพ กำลังเล่นกับเด็กหญิงผมเปียอยู่  ทั้งคู่วิ่งเล่นปิดตาไล่จับ แต่พอเด็กหญิงโดนไล่ต้อนไปติดกำแพง และใกล้จะโดนจับตัวได้ เธอก็กระโดดหนีขึ้นไปอยู่บนกำแพงสูง ที่เด็กธรรมดาหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ ก็ไม่มีทางกระโดดขึ้นไปได้ในครั้งเดียวแน่

    “อุ๊ย!”

    เสียงอุทานเบา ๆ ของเด็กหญิงคนเดิมดังขึ้นเมื่อเธอหันมาเห็นกีรติเข้าพอดี กีรติที่กำลังมองอยู่จึงชะงัก พลางยิ้มน้อย ๆ แล้วนำนิ้วชี้มาแตะริมฝีปาก เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบไว้  ก่อนที่เขาจะขี่จักรยานผ่านไปเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “มาลี ...เป็นอะไรไป ...ฉันเอาผ้าผูกตาออกได้ไหม”

    เสียงเด็กชายที่เล่นด้วยกันเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “ไม่ต้อง! เราแค่สะดุดพื้นนิดหน่อย นายห้ามโกงนะนายต้น!”

    เด็กหญิงรีบตอบพลางกระโดดจากกำแพงลงมาบนพื้นตามเดิม

    “ฉันไม่โกงแน่ ...แต่เธอนี่สิเผลอทีไรเป็นชอบโกงทุกที  อ้อ...แล้วห้ามหนีขึ้นบนกำแพงหรือบนเสาไฟด้วยนะ”

    “เออ ๆ เรารู้แล้วน่า ...มาจับเราให้ได้สักทีสิ”

    เด็กหญิงตัดบท แล้วแสร้งตบมือล้อเลียน ให้อีกฝ่ายตามเสียงมา แต่ก็ยังคงเหลือบมองไล่หลังกีรติไปอย่างสงสัย เพราะถ้าเป็นคนธรรมดามาเห็นเธอแบบนี้ก็น่าจะตกใจ หรืออาจจะแสดงอาการกลัวให้เห็น มากกว่าที่กีรติเป็นอยู่

    “แต่พี่เขาก็น่ารักดีแฮะ”

    เด็กหญิงผมเปียพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงกระโดดถอยหลังหนี เมื่อหวุดหวิดเกือบถูกเพื่อนชายจับเธอได้อีกครั้ง



     กีรติขี่จักรยานมาถึงซอยแรก เขามองร้านค้าร้านหนึ่งที่จัดร้านเหมือนร้านโชห่วยทั่วไป แต่มีป้ายกระดาษที่เขียนภาษาไทยตัวใหญ่ ๆ ว่า ‘ขายทุกอย่าง’ แปะไว้หน้าร้าน

    “อ้าว! สวัสดี กี  ขี่จักรยานตรวจหมู่บ้านหรือ”

    ชายหนุ่มผมสั้น รูปร่างล่ำสัน เอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  เขาสูงเกือบ 180 เซนติเมตร ตาเรียวเล็กแบบคนจีน ทว่าผิวกับเข้มเหมือนคนไทย ซึ่งกีรตินั้นจำได้ดีว่า อีกฝ่ายเป็นคนที่เคยทดสอบเขาตอนที่เขามาหมู่บ้านนี้ใหม่ ๆ นั่นเอง

    “สวัสดีครับ คุณลี  นี่ร้านของคุณลีหรือครับ”

    กีรติถามอีกฝ่ายอย่างสนใจ ลีพยักหน้าตอบรับ แล้วบอกกับคนตรงหน้าอย่างร่าเริง

    “ใช่แล้ว! ฉันเปิดร้านขายของสารพัด อยากได้อะไรบอกมาได้เลย ฉันมีขายให้ทุกอย่าง แต่ถ้าของหายาก ๆ คงต้องใช้เวลาติดต่อในการซื้อขายสักหน่อย อย่างพวกเครื่องบินรบ หรืออาวุธสงคราม อะไรแบบนั้นน่ะ”

    คำพูดที่เหมือนจะล้อเล่นแต่มองจากนัยน์ตาคนพูดแล้วมีวี่แววเอาจริงไม่น้อย จนคนมองยิ้มเจื่อน ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ

    “ตอนนี้ผมยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้อะไรพวกนั้นหรอกครับ แต่ไว้ถ้ามีอะไรอยากได้ แล้วจะมาซื้อที่ร้านนะครับ”

    ลีเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงหัวเราะดัง ๆ พร้อมกับตบบ่าคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างถูกใจ

    “นายนี่น่าสนใจจริงกี  หวังว่าคงจะอยู่ที่นี่นาน ๆ นะ  อย่าเพิ่งรีบหนีไปก่อนล่ะ!”

    กีรติยิ้มแล้วเอ่ยตอบในสิ่งที่ทำให้คนฟังชะงัก

    “ถ้าทุกคนอยากให้ผมอยู่ที่นี่จริง ๆ ถึงจะเจอเรื่องชวนให้ตกใจยังไง ผมก็ไม่หนีไปไหนง่าย ๆ หรอกครับ”

    จากนั้นกีรติจึงขอตัวไปขี่จักรยานตรวจตราหมู่บ้านต่อ โดยมีลีมองตามไล่หลังไป พร้อมกับเอ่ยพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา

    “รู้อะไรมาบ้างแล้วหรือเปล่านะ เจ้าหนูนั่น... แต่พูดแบบนี้มันถูกใจจังแฮะ หวังว่าคงจะทำได้อย่างที่พูดนะเจ้าหนู!”



    ถัดมาจากร้านของลีไม่กี่หลัง ก็เป็นร้านหนังสือ ที่ขายหนังสือเก่าเสียเป็นส่วนใหญ่ เจ้าของร้านกำลังยกกระถางต้นไม้หน้าบ้านขยับเปลี่ยนมุมอย่างยากลำบาก ทำให้กีรติที่เห็นต้องจอดรถจักรยานและตรงเข้าไปช่วยเหลือทันที

    “ให้ผมช่วยยกนะครับ”

    “เอ๋? อ้าว? คุณกีรตินั่นเอง สวัสดีครับ ผมชื่อปัณณ์ เมื่อเช้าเราก็เจอกัน จำได้ไหมครับ”

    กีรติจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งมีรูปร่างสูงโปร่งผอมบาง ผมกระเซิงไม่ค่อยเป็นทรง สวมแว่นตากรอบดำหนา หน้าตายิ้ม ๆ ดูอารมณ์ดีตลอดเวลา

    “อ้อ...ที่รถขายกับข้าวสินะครับ”

    “ใช่ ๆ คุณก็ความจำดีนะ ...ว่าแต่จะมาช่วยผมยกกระถางหรือครับ”

    ปัณณ์เอ่ยถามอย่างสนใจ ซึ่งกีรติก็พยักหน้าตอบรับ ทำให้คนถามชะงักเล็กน้อย แล้วลอบพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา

    “เฮ้อ...เป็นคนมีน้ำใจเสียจริง พ่อแม่นี่ก็ช่างกระไรเที่ยวสร้างหนี้สร้างสิน แล้วทิ้งลูกที่น่ารักแบบนี้ได้ลงคอ”

    กีรติเหลือบมองคนที่พึมพำบางอย่างไม่ได้ศัพท์อย่างแปลกใจ แต่ก็ทำเป็นไม่สนแล้วถามปัณณ์ต่อ

     “แล้วคุณปัณณ์จะให้ช่วยยกพวกนี้ไปไว้ไหนครับ”

    “อ๊ะ! อ้อ! ย้ายจากตรงนี้ไปไว้แถวริมรั้วหน่อยครับ พอดีหน้านี้แดดส่องมาไม่ถึงด้านใน ผมเลยกลัวต้นไม้จะได้รับแดดไม่เพียงพอ”

    กีรติยิ้มรับแล้วยกกระถางต้นไม้ใหญ่ที่ค่อนข้างหนักไปไว้ในตำแหน่งที่ปัณณ์บอกอย่างไม่ยากลำบากนัก

    “ขอบคุณนะคุณกีรติ ผมเองก็เอาแต่ทำงานใช้สมอง เรี่ยวแรงเลยไม่ค่อยมี ยกเองก็ได้อยู่ แต่ก็เล่นเอาปวดสะโพกไปนานหลายวันทีเดียว”

    ฟังจากที่ปัณณ์บอก ทำให้กีรติคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเป็นมนุษย์ ซึ่งมีจำนวนน้อยในหมู่บ้านนี้ เนื่องจากเขาได้รับฟังจากอเล็กซ์ว่า นอกจากปีศาจแล้ว ยังมีมนุษย์ที่ยอมรับภูตผีปีศาจได้อาศัยอยู่ที่นี่อีกเช่นกัน

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ...แล้วเอ่อ ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณก็ได้นะครับ เรียกกีเฉย ๆ ก็ได้ ...คือ คุณปัณณ์น่าจะอายุมากกว่าผมไม่ใช่หรือครับ”

    ปัณณ์ชะงัก ใบหน้าที่ดูละม้ายคล้ายคนใกล้สามสิบปี มีรอยยิ้มละไมให้เห็น ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยตอบกลับไป

    “อืม...เรื่องอายุมากกว่า มันก็จริงอยู่ล่ะนะครับ ...เอาเป็นว่าถ้าคุณอนุญาต ต่อไปนี้ผมจะพูดกับคุณอย่างเป็นกันเองเหมือนเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านนี้แล้วกันครับ ดีไหม”

    “ดีที่สุดเลยครับ ขอบคุณมากนะครับ!”

    กีรติยิ้มแย้มจริงใจตอบ ยิ่งทำให้ปัณณ์รู้สึกชื่นชอบในตัวอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น และนึกปิ๊งอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้น

    “อืม...คุณกี ไม่สิ...กี ช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งได้ไหม”

     ปัณณ์เอ่ยถามอีกฝ่ายโดยเปลี่ยนสรรพนามระหว่างตนและชายหนุ่มให้ดูสนิทสนมขึ้นเหมือนอย่างที่กีรติเคยขอไว้

    “อะไรหรือครับ”

    “ขอผมเธอให้ฉันสองสามเส้นได้ไหม...ฉันจะเอามาใช้เก็บข้อมูลในการเขียนนิยายสักหน่อย”

    กีรตินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ กับคำขอที่แสนประหลาดนั่น เขาตั้งสตินิ่งคิด ก่อนจะยิ้มแย้มออกไป

    “ก็ได้ครับ แค่เส้นผมหรือครับ”

    “ใช่...เพราะแค่จะเอามาสร้างต้นแบบเท่านั้น ถ้าจะล้วงลึกข้อมูลส่วนตัวลงไป มันต้องใช้พวกเลือด หรือชิ้นเนื้อในร่างกายประกอบด้วย แต่ฉันไม่เอาขนาดนั้นหรอก เพราะฉันต้องการแค่คาแรกเตอร์ของเธอเท่านั้นล่ะ”

    ปัณณ์บอกอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจเลยว่าคำพูดของตนจะทำให้คนฟังรู้สึกตงิด ๆ เพียงใด

    “ง่า...งั้นก็ได้ครับ”

    กีรติบอกแล้วดึงเส้นผมของเขาส่งให้อีกฝ่าย ปัณณ์รับมายิ้ม ๆ แล้วจึงเอ่ยเตือนชายหนุ่มที่ขอตัวกลับไปตรวจตราหมู่บ้านต่อ

    “อ๊ะ! จริงสิ! ขอเตือนไว้ก่อนนะกี ว่าถ้าเป็นคนอื่นนอกหมู่บ้าน หรือใครที่เธอไม่รู้จักและดูไม่ชอบมาพากล มาขออะไรแบบนี้ ก็อย่าให้เขาไปง่าย ๆ นักล่ะ”

     กีรติชะงักเล็กน้อย เขาจ้องอีกฝ่ายอย่างแปลกใจระคนสงสัย ซึ่งปัณณ์ก็ยกยิ้มนิด ๆ แล้วจึงบอกต่อ

    “รู้ไหมกี ว่านอกจากพ่อมดแม่มด ที่สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ มาใช้ประโยชน์และรวมไปถึงบังคับและสาปแช่งอีกฝ่ายได้แล้ว  ...พวกที่ฝึกไสยเวท และอวิชา อาคมต่าง ๆ ก็สามารถทำแบบเดียวกันนี้ได้เช่นกัน... เพียงแต่พวกเขามีโอกาสพลาดและสามารถโดนอีกฝ่ายที่มีอาคมอันแข็งแกร่งกว่าสะท้อนกลับทำร้ายตัวเองได้ ...แต่กับพ่อมดแม่มดที่แท้จริงไม่ใช่แบบนั้น คำสาปแช่งของพ่อมดแม่มดไม่อาจสะท้อนกลับสู่ผู้สาปได้ และมันจะถูกลบล้างได้ก็ต่อเมื่อพ่อมดแม่มดด้วยกันเป็นผู้ลบล้างเท่านั้น”

      ปัณณ์บอกแล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้เช่นเคย แต่คราวนี้มันกลับดูเยียบเย็นจนชวนให้กีรติขนลุก และเมื่ออีกฝ่ายกลับเข้าไปในร้านหนังสือของตน ก็ทำให้กีรติเริ่มนึกสังหรณ์ใจบางอย่างว่า ปัณณ์เองก็อาจจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างที่เขาเคยคิดไว้ก็เป็นได้

 

    จากนั้นสักพัก กีรติจึงขี่จักรยานวนกลับมาที่ป้อมยาม แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าเวธน์นั้นกำลังยืนรอเขาอยู่

    “สวัสดีครับ คุณกีรติ ...หมู่บ้านแห่งนี้เป็นยังไงบ้างครับ พอจะทำงานที่นี่ไหวไหม”

    กีรติยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับตามมา

    “ทำได้สิครับ งานก็ไม่ได้หนักอะไรมากด้วย แถมคนที่นี่ก็ใจดีและเป็นมิตรทั้งนั้น ...อาจจะมีที่แปลก ๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมที่นี่ก็น่าอยู่มากเลยครับ”

    ท้ายประโยคกีรติหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอกับปัณณ์มาเมื่อครู่  ทว่าคำพูดของชายหนุ่มร่างเล็ก ก็ทำให้เวธน์เลิกคิ้วนิด ๆ อย่างสนใจ

    “แปลก ๆ แบบไหนหรือครับ”

    กีรติชะงัก เขานิ่งคิดว่าจะพูดความจริงกับเวธน์ไปเลยดีไหม หรือจะปิดไว้ก่อนดี เพราะคิดถึงคำพูดของเจอรัลด์เรื่องที่ต้องการให้เขาปรับตัว และค่อย ๆ ทำความสนิทสนมกับผู้คนในหมู่บ้านนี้ด้วยตัวเอง

    “อืม...ถ้าหาคำอธิบายไม่ถูกก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี ...แค่รู้สึกว่าแปลก แล้วไม่กลัวตามมาก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับผม”

    เวธน์สรุปตัดบท เขาค่อนข้างมั่นใจว่ากีรติน่าจะได้เจอตัวตนที่แท้จริงของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ไปบ้างแล้ว เพราะแต่ละคนที่นี่ไม่ค่อยจะระวังตัวเองเท่าใด อาจจะร่วมมือกันบ้างในวันแรก ๆ ของคนมาใหม่ แต่พอผ่านไปสักระยะ ก็มักจะเผลอลืมตัวอยู่เป็นประจำ ซึ่งยังไงกีรติก็คงต้องเจอกับของจริงเข้าให้อยู่วันยังค่ำนั่นเอง   

    “จริงสิ…ผมเอาเครื่องแบบของคุณมาให้แล้วนะครับ ฝากคุณแฟนธอมเอาไว้ ยังไงคุณก็ไปทวงกันเองแล้วกันนะ คุณกีรติ”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างลังเล เพราะยังไงเวธน์ก็ถือว่าเป็นนายจ้างของเขาโดยตรง

    “มีอะไรหรือครับ”

    “เอ่อ...คือ ยังไงผมก็เป็นลูกจ้างของคุณเวธน์ แถมยังอายุน้อยกว่ามาก ...ผมว่า คุณเวธน์คงไม่ต้องพูดสุภาพกับผมหรอกครับ”

    เวธน์เลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงหัวเราะเบา ๆ ตามมา

    “ขอโทษที พอดีผมติดนิสัยพูดกับผู้ร่วมงานแบบนี้มานานแล้ว  อันที่จริงก็พูดได้อยู่หรอก แต่อีกฝ่ายต้องเป็นเพื่อนสนิทที่คบหากันนอกเวลางานด้วยล่ะนะ มันถึงจะพูดได้ไม่ติดขัดน่ะ”

    กีรติมีสีหน้ารู้สึกผิดที่คิดไปบังคับให้อีกฝ่ายเรียกตนอย่างเป็นกันเอง เขาพึมพำขอโทษแผ่วเบา ทำให้เวธน์รู้สึกเอ็นดูและนึกสงสาร จึงแสร้งเปรยตอบลอย ๆ

    “แต่ถ้าให้เหลือแค่เรียกชื่อเฉย ๆ ก็โอเคนะ…ได้ไหมล่ะครับ”

    “ได้ครับ! ขอโทษนะครับที่ทำให้ลำบากใจ”

    กีรติรีบตอบพร้อมกับเอ่ยตามมาอย่างเกรงใจ ทำให้เวธน์ยิ่งนึกชอบพอคนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก

    “ผมก็ไม่ได้ลำบากใจอะไรหรอก  มันเป็นเรื่องของความเคยชินเท่านั้นเอง  อืม...จริงสิ วันนี้ผมแวะเข้ามาดูว่าคุณจะเข้ากับงานใหม่ได้ไหม แล้วก็เอาเครื่องแบบมาให้  ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนเลยแล้วกัน ขืนอยู่นานกว่านี้จะถูกกรกฎดึงตัวเอาไว้ช่วยทำบัญชีแน่”

    “ครับ โชคดีครับ”

    เวธน์ยิ้มรับ แล้วหันไปเอ่ยลากับอเล็กซ์อย่างเคยชิน   

    “บายนะอเล็กซ์”

    “ครับ คุณเวธน์ เดินทางปลอดภัยนะครับ”

    อเล็กซ์เองก็ตอบกลับตามปกติ ทว่าไม่ทันไรคนที่กำลังเดินจากไปจู่ ๆ ก็ชะงักฝีเท้า แล้วจึงค่อย ๆ หันมาทางกีรติ พลางจ้องชายหนุ่มร่างเล็กตาปริบ ๆ ด้วยสีหน้าตื่นตกใจนิด ๆ

    “...นี่คุณ”

    “ทำไมหรือครับ”

    กีรติถามอย่างสงสัย ทั้งคู่จ้องตากันอยู่สักพัก กีรติก็สะดุ้งโหยง พลางนึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ ตามมา

    “ง่า...คือผม”

    “อย่าบอกนะกีรติ ...ว่าคุณรู้จักกับอเล็กซ์เรียบร้อยแล้ว”

    กีรติเงียบกริบ เช่นเดียวกับอเล็กซ์ที่ตอนนี้รู้ดีแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เจ้าตัวจึงเงียบตามอีกฝ่ายเช่นกัน

    “อเล็กซ์! ตอบคำถามฉันเดี๋ยวนี้เลย ห้ามปิดบังเด็ดขาด!”

    เวธน์ออกคำสั่ง ซึ่งนอกจากเจอรัลด์ผู้สร้างแล้ว เวธน์ก็ถูกระบุไว้ในข้อมูลของอเล็กซ์ว่า เป็นบุคคลสำคัญที่สามารถสั่งงานอเล็กซ์ได้เช่นเดียวกัน

    “...ครับ  ผมรู้จักและทักทายกับคุณกีรติเรียบร้อยแล้วครับ”

    เวธน์ชะงัก แล้วจึงถอนหายใจแรง ๆ ตามมา ก่อนจะหันไปทางลูกน้องคนใหม่ของเขา

    “แล้วเรื่องคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน...”

    เวธน์ค้างไว้แค่นั้น เพราะไม่มั่นใจว่าอเล็กซ์จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้กีรติฟังแล้วหรือยัง

    “สำหรับเรื่องนั้น...ผมได้รับรู้เท่าขอบเขตที่ทำได้ครับ คุณเจอรัลด์บอกว่า อยากให้ผมทำความรู้จักสมาชิกแต่ละหลัง ในหมู่บ้านนี้ด้วยตนเองน่ะครับ”

    กีรติตัดสินใจตอบตามตรง ทำให้คนฟังนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วจึงถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้ง

    “มีใครในหมู่บ้านที่รู้เรื่องนี้อีกบ้างไหมครับ”

    “คิดว่าไม่น่าจะมีนะครับ เพราะผมเพิ่งบอกคุณเป็นคนแรก”

    กีรติบอกอีกฝ่ายโดยไม่คิดปิดบัง แม้จะไม่ค่อยมั่นใจว่า บรรดาผู้คนที่เขาพบ จะนึกสงสัยว่าเขาล่วงรู้ถึงความลับของหมู่บ้านมากน้อยเพียงใดก็ตาม

    “อืม...งั้นก็ดีแล้ว  เอาเป็นว่า ถ้าคนอื่นยังจับไม่ได้ คุณก็อย่าเผลอไปเล่าให้ใครฟังก่อนก็แล้วกัน ...โดยเฉพาะกับรุ่นพี่ของคุณคนนั้น อย่าเพิ่งบอกเขาเลยจะดีที่สุด”

    เวธน์บอกพร้อมยกยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำเอาอเล็กซ์แอบคิดว่า เวธน์ในเวลาแบบนี้ ช่างเหมือนเจอรัลด์ มาสเตอร์ของเขาไม่มีผิด

    “เอ่อ...จะดีหรือครับ”

    “ดีแท้แน่นอน ...เพราะถ้าเขารู้ว่าคุณรู้ความจริง เขาจะยิ่งกังวลและห่วงคุณมากขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกแล้วรอให้เขารู้เองดีกว่า เขาจะได้สบายใจว่าคุณสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบาย ๆ น่ะ”

    เวธน์เกลี้ยกล่อมคนตรงหน้า แม้กีรติฟังแล้วจะรู้สึกแปลก ๆ และขัดแย้งกันเองในประโยคเหล่านั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายซึ่งเป็นนายจ้างยังไม่อยากให้เขาเปิดเผยความจริงเร็วนัก เขาก็คงต้องยอมทำตามคำสั่ง และคิดว่าคงจะได้มีโอกาสบอกคนอื่นด้วยตนเองในเร็ว ๆ นี้สักวัน


... TBC ...

edit: แวะเข้ามาแก้ไซส์ข้อความเป็นไซส์ดั้งเดิมของระบบค่ะ เนื่องจากคุ้นตามากกว่า ส่วนวิธีปรับอ่านไซส์ฟอนต์หน้าจอให้ใหญ่ขึ้นอยู่ในตอน 7-8 ค่ะ ^^  ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ความเห็นของสมาชิกทุกท่านนะคะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 19-09-2013 18:35:50
เนื้อเรื่องแฟนตาซีแบบนี้  อ่านสนุกจังค่ะ

ชอบกีรติในแง่มองโลกในแง่ดีจังเลย 

ขนาดตัวอักษรไม่มีผลต่อความสนุก  :laugh:

ยังไงก็ได้ค่ะ

บวกเป็ด  รอกีรติและแฟนธอม  :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-09-2013 18:54:49
เรื่องน่าติดตามมากเลยค่ะ
ส่วนฟอนต์ขนาดนี้ก็โอเคนะ
อ่านง่ายดี
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 19-09-2013 19:20:25
รอตอนต่อไปค่ะ(แอบมารอรวมเล่มด้วยนะคะ)

ตัวหนังสือปกติก็ดีค่าถึงจะสายตายาวแต่ตัวหนังสือแบบนี้อ่านไม่มัน(ความเคยชินเดิมๆ)
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 19-09-2013 19:36:47
หนูกีใจดีจังเลย

 o13 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 19-09-2013 20:10:22
กีช่างเป็นคนที่จิตใจดีจริงๆ
รอติดตามว่าใครจะเป็นรายต่อไปที่ กี จะได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง

ฟอนต์แบบเดิมก็ดีนะ แต่เอาแบบไหนก็ได้ไม่มีผลอะไรอยู่แล้วจ้า อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 19-09-2013 20:32:11
ไปอยู่ในมาไม่รู้เพิ่งเห็น  :z3:

เราชอบความใสซื่อของน้องกีจังเลย  :mew1:

ต้องคู่กะพระเอกที่ซึนๆชิมิ อิอิ  :hao6:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 5 - 6 (19/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: netthip ที่ 20-09-2013 19:22:36
จาอ่านต่ออออออออออออออออ :katai1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 20-09-2013 19:50:12
..เท่าที่สังเกตดู พอใส่โค้ดขยายตัวจะดำ ๆ หนา ๆ อ่านลำบาก ดังนั้นจึงจะใช้ฟอนต์ไซส์ดั้งเดิมบอร์ด แต่ถ้าใครอยากอ่านตัวใหญ่ ปัดแนะนำให้กด .....คีย์บอร์ด ปุ่ม Ctrl พร้อมกับ ปุ่มเลข + (บวก) ..... หน้าจออักษรก็จะขยายตัวอักษร ให้อ่านง่ายขึ้น แต่ถ้าจะให้ลด ก็กดปุ่มเลข - (เครื่องหมายลบ) แทน  และถ้ากดเพลิน จนมึนว่ากดไปกี่รอบ จนหน้าจอเพี้ยน ก็ให้กด ปุ่ม Ctrl พร้อมกับ ปุ่มเลข 0(ศูนย์) หน้าจอก็จะกลับมาค่ามาตรฐานของบราวเซอร์ที่เราใช้ค่ะ ^^




ตอนที่ 7
จับโจร




    หลังจากพูดคุยทำความเข้าใจกันเรียบร้อย เวธน์ก็ขอตัวลากลับไปพร้อมความสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะแม้ว่ากีรติจะล่วงรู้ความจริงของหมู่บ้านแห่งนี้ แต่ก็ยังไม่กลัวจนหนีไป ซ้ำยังตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกับทุกคนอีก และถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีอย่างที่เขาคาดไว้ เขาก็คงไม่ต้องลำบากหาพนักงานรักษาความปลอดภัยกะเช้าคนใหม่อีกแล้ว

     “อ๊ะ...ได้เวลาใกล้เปลี่ยนกะแล้วนี่ครับ หือ...คุณแฟนธอมกำลังตรงมาที่ป้อมยามแล้วล่ะครับ”

    อเล็กซ์บอกกับกีรติซึ่งกำลังยืนทำหน้าที่ประจำป้อม  กีรติหันมองไปตามที่อีกฝ่ายบอก แล้วก็ได้เห็นว่าแฟนธอมกำลังเดินตรงมาที่เขายืนอยู่

    “อย่าเผลอทักทายผมตอนกลับแบบคุณเวธน์อีกล่ะครับ คุณกีรติ”

    อเล็กซ์เอ่ยเตือนเบา ๆ ทำให้กีรติสะดุ้ง แล้วจึงตอบกลับค่อย ๆ

    “แหะ ๆ รู้แล้วครับ”

    และเมื่อแฟนธอมเดินมาถึงป้อม เขาก็พิจารณาร่างตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็ยังคงแฝงความเป็นห่วงให้ได้สัมผัสเบาบาง

    “เป็นไง พอจะทำงานนี้ไหวไหม”

    “ไหวครับ ไม่มีปัญหา ทุกคนที่นี่ใจดีมาก ๆ เลยล่ะครับ”

    กีรติตอบพร้อมยิ้มกว้าง ทำให้คนฟังสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขานึกแปลกใจที่กรกฎเรียกเวธน์มาพบ และพอเวธน์คุยกับกีรติเสร็จ ก็ดันแวบหายตัวทิ้งงานหนีไป ทำเอาเขาต้องฟังกรกฎบ่นเรื่องของอีกฝ่ายจนนึกรำคาญเลยทีเดียว

    “ถ้านายสามารถทำงานที่นี่ได้โดยไม่มีปัญหา มันก็ดี...”

    แฟนธอมเอ่ยอย่างคาดหวังนิด ๆ ทำให้คนฟังยิ้มกว้างตอบ

    “แน่นอนครับ ผมจะพยายามทำงานให้เต็มที่ และจะพยายามทำตัวเข้ากับทุกคนที่นี่ให้ได้ครับ”

    แฟนธอมยิ้มตอบรับ ซึ่งกีรติคิดว่าคนตรงหน้าเขาเวลายิ้มก็ดูอ่อนโยนมาก น่าเสียดายที่ใส่หน้ากากแบบนั้น แต่เขาก็ยังคงเชื่อมั่นว่า คงจะมีสักวัน ที่แฟนธอมจะเจอใครสักคนที่ไว้ใจ พอที่จะยอมปลดหน้ากากให้อีกฝ่ายได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงอย่างแน่นอน

    “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวล่ะนะครับ ...เอ่อ ลาล่ะครับ”

    ท้ายประโยคกีรติเหลือบไปที่ป้อมยามแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมายิ้มให้กับแฟนธอมอีกครั้ง ทำให้ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ทักอะไรออกไป และเมื่อลับหลังกีรติไปแล้ว เจ้าตัวจึงเอ่ยถาม AI อัจฉริยะด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “วันนี้เหตุการณ์ปกติดีไหม อเล็กซ์”   

    อเล็กซ์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย แล้วจึงตอบตามที่ได้รับคำสั่งมาก่อนหน้านั้น

    “ก็ปกติดีนี่ครับ”

    “หือ...แน่ใจหรือ”

    แฟนธอมย้ำถามพร้อมกับจ้องเขม็ง อเล็กซ์นึกขอบใจที่เจอรัลด์ไม่ได้สร้างเขาเป็นหุ่นยนต์ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะหลุดอาการเล็กน้อย ให้อีกฝ่ายจับผิดก็เป็นได้

    “แน่ใจครับ คุณกีรติปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาก ไม่เชื่อคุณก็ลองถามคุณเวธน์ดูก็ได้นะครับ เพราะคุณเวธน์มาสอบถามคุณกีรติด้วยตนเองว่า มีปัญหาเรื่องงานไหม ซึ่งคุณกีรติก็ยืนยันว่าตนไม่มีปัญหาครับ”

    แฟนธอมนิ่วหน้า เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เวลาอเล็กซ์ให้ข้อมูลที่บิดเบือนความจริงกับเขา เจ้าตัวก็มักจะยกเหตุผลยืดยาวมารองรับเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

    “เหอะ...เอาเป็นว่าฉันจะเชื่อตามนั้นก็ได้ เพราะยังไงนายก็ขัดคำสั่งมาสเตอร์ของนาย หรือไม่ก็คุณเวธน์ไม่ค่อยได้อยู่แล้วนี่นะ”

    แฟนธอมเปรยตอบอย่างเอือมระอา แม้จะไม่รู้ว่าอเล็กซ์ปิดบังเรื่องอะไร แต่การจะคาดคั้นซักไซ้ให้เจ้าตัวตอบก็คงทำได้ยากอยู่ และอีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของอเล็กซ์โดยตรงด้วย

    “...ยังไงผมก็ขอยืนยันว่า วันนี้คุณกีรติปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี และไม่มีปัญหาจริง ๆ นะครับ”

    อเล็กซ์เอ่ยตามมาอีกอย่างนึกขอบคุณที่แฟนธอมไม่ได้ซักไซ้อะไรตนมาก และที่สำคัญแฟนธอมนั้นเป็นเสมือนเพื่อนคุยกับเขามาตั้งแต่เขาเริ่มปฏิบัติงาน ถ้าไม่มีอีกฝ่ายเขาก็คงจะรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าเหงาอยู่มากไม่น้อย

    “อืม...ได้ยินแบบนั้นฉันก็สบายใจ”

    แฟนธอมเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เข้าประจำหน้าที่ของตน พวกชาวบ้านหลายคนก็ทยอยกลับบ้าน มีบางคนที่เผลอลืมตัวแสดงพฤติกรรมเคยชิน จนต้องโดน รปภ.ประจำป้อมมองเขม็งเขม่นเตือนเข้าให้



    อีกด้านหนึ่งกีรตินั้น พอออกเวรแล้วเขาก็ตรงไปที่ร้านของดาหลา  ร้านอาหารตามสั่งเพิ่งเริ่มจัดของ แต่แม่ค้าสาวก็เชื้อเชิญคนที่ยืนมองห่าง ๆ ให้เข้าไปนั่งรอในร้านได้ก่อนเลย

    “เชิญเลยจ้ะกี เข้ามารอได้เลย เดี๋ยวฉันเตรียมของแป๊บเดียวก็เสร็จแล้วล่ะ”

    ดาหลาเอ่ยทักทายกับอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมมากกว่าเดิม ซึ่งกีรติก็รู้สึกพอใจที่ได้ยินเช่นนั้น

    “ขอบคุณครับ ขอโทษนะครับ ที่มารบกวนไวแบบนี้”

    หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ แล้วโบกไม้โบกมือตอบ

    “ไม่เป็นไร ๆ มีคนมาเข้าร้าน ดีกว่าไม่มีลูกค้า อีกอย่างลูกค้าน่ารัก ๆ ไม่เรื่องมากอย่างกีน่ะมีน้อย ในหมู่บ้านนี้มีแต่พวกตาแก่ขี้เหล้ามานั่งแช่ที่ร้านของฉันทั้งคืนอยู่ประจำนั่นล่ะจ้ะ”

    กีรติยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ และพอดาหลาจัดของเรียบร้อยเขาก็สั่งเมนูอาหารของตน ก่อนจะชะงักเมื่อคิดถึงรุ่นพี่ที่เข้าเวรต่อจากเขา

    “เอ่อ...แล้วคุณแฟนธอม ปกติเขาจะแวะมาทานข้าวเย็นตอนอยู่เวรไหมครับ”

    “หือ แฟนธอมน่ะหรือ รายนั้นบางทีก็สั่งอาหารให้ฉันไปส่ง แต่บางครั้งก็อยู่เวรเพลินไม่กินอะไรกับเขาหรอก คนนั้นเขาไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพตัวเองสักเท่าไร  จริงสิ...ยังไงก็ฝากกีช่วยดูแลด้วยได้ไหม”

    ดาหลาลองเอ่ยปากขอร้อง แล้วลอบพิจารณาดูว่ากีรติจะตอบว่ายังไง

    “ได้สิครับ! เดี๋ยวผมดูแลให้เอง แล้วคุณแฟนธอมเขาทานมื้อเย็นประมาณกี่โมงล่ะครับ ผมจะได้สั่งอาหารแล้วไปส่งเขาให้ คุณดาหลาจะได้ไม่ต้องทิ้งร้านไปส่งยังไงล่ะครับ”

    คนฟังชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหวานตอบอย่างถูกใจ ที่กีรตินั้นเป็นคนดีอย่างที่เธอคิดเอาไว้ไม่มีผิด

    “อืม...ก็ประมาณสักหกโมงเย็นราว ๆ นั้นล่ะจ้ะ ถ้าเจ้าตัวลืมก็ยาวเลยประจำ”

    “งั้นหรือครับ ถ้างั้นเดี๋ยวตอนใกล้หกโมง ผมจะแวะไปสอบถามคุณแฟนธอมให้แล้วกันครับ แล้วจะได้มาสั่งอาหารจากร้านคุณดาหลาไปส่งให้เขา”

    กีรติรับคำพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งดาหลาก็ยิ้มตอบ แล้วลงมือทำอาหารของชายหนุ่มอย่างสุดฝีมือ พออิ่มหนำสำราญดีแล้ว กีรติก็จ่ายค่าอาหาร ก่อนจะออกไปเดินเล่นแถวบริเวณสวนสาธารณะหน้าหมู่บ้านต่อ  ซึ่งแต่ละคนแถวนั้นพอเห็นกีรติก็ต่างทักทายอย่างเป็นกันเองและเป็นมิตร ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกชื่นชอบคนในหมู่บ้านแห่งนี้มากขึ้น แม้จะรู้เต็มอกว่าผู้อาศัยส่วนใหญ่ที่นี่จะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม



    หลังจากที่อาสานำข้าวเย็นไปส่งให้รุ่นพี่ของตน โดยที่อีกฝ่ายไม่ค่อยเต็มใจนักเรียบร้อย กีรติก็นั่งคุยเป็นเพื่อนแฟนธอมจนเกือบสามทุ่ม จากนั้นจึงถูกไล่ให้ไปนอนพักผ่อนอีกตามเคย  ทว่าพอเขาเริ่มเคลิ้มหลับยังไม่ทันไร เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังขึ้น ก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งตื่น และตัดสินใจออกไปข้างนอก เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

    ภาพเบื้องหน้าของกีรติมองดูคล้ายกับว่าเขากำลังชมภาพยนตร์จอยักษ์แนวแฟนตาซีอยู่ไม่มีผิด ต่างกันแค่เพียงว่าภาพที่เห็นตอนนี้ มันคือของจริงแท้แน่นอน

    “ฮะ ๆ ไม่ใช่คนกันจริง ๆ ด้วย ...สุดยอดเลยแฮะ”

    ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความตกตะลึงระคนตื่นเต้น นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนล่วงหน้า เขาก็อาจจะตกใจกลัวบ้าง แต่พอได้รู้ก่อนแบบนี้ก็ทำให้เขาพอจะตั้งสติได้ง่ายกว่าเดิมที่ควรจะเป็น

    “กำลังทำอะไรกันอยู่นะ ถึงได้คืนร่างจริงกัน...หรือว่านี่เป็นเรื่องปกติกันแน่นะ”

    กีรติพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย ก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปสมทบกับคนอื่น ๆ ที่ตอนนี้มีทั้งมนุษย์หมาป่า สุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวโตกว่าเสือโคร่งเต็มวัย  คนตัวสูงใหญ่เกือบสามเมตร  นกยักษ์ที่มีใบหน้าเป็นคน  ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ยืนออกันอยู่บริเวณนั้นเต็มไปหมด

    “เอ่อ...เกิดอะไรขึ้นหรือครับ...คุณภูผา”

    กีรติถามมนุษย์หมาป่าที่เขาจำได้ว่าน่าจะเป็นคนเดียวกับภูผาที่เขาเคยเห็น คำถามนั้นทำเอาเจ้าตัวที่กำลังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่บริเวณนั้นสะดุ้งเฮือก พร้อมกับหันขวับมามอง เบิกตากว้าง แล้วตะโกนออกมาดังลั่นอย่างลืมตัว

    “เฮ้ย! กี! มาได้ยังไงเนี่ย!”

    ขาดคำ ทุกสายตาในบริเวณนั้นต่างหันขวับมามองยังชายหนุ่มเป็นตาเดียว และแม้จะรู้ว่าแต่ละคนไม่น่าจะเป็นอันตรายกับเขา แต่พอถูกรุมจ้องแบบนั้นกีรติก็ชักจะเริ่มหวาด ๆ เข้าให้เหมือนกัน

    “กีรติ! นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!”

    เสียงของแฟนธอมที่ดังขึ้นห่าง ๆ พร้อมกับการปรากฏกายของชายสวมหน้ากากที่แหวกฝูงชนในหมู่บ้านเข้ามาหา และพอเห็นว่าเป็นใคร กีรติก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

    “คุณแฟนธอม...ขอโทษทีครับ คือผมได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ก็เลยออกมาดู แล้วก็เลยถามคุณภูผาเขา ...เอ่อ แต่ไม่คิดว่าเขาจะตกใจที่เห็นผมแบบนี้”

    กีรติบอกไปตามตรง ทำให้หลายคนมองชายหนุ่มตาปริบ ๆ

    “ที่ภูผาตกใจมันก็ไม่น่าแปลกหรอก... แต่ฉันแปลกใจที่ว่า ทำไมเธอถึงไม่ตกใจที่เห็นพวกเรามากกว่าน่ะสิ!”

    เสียงของชายหนุ่มที่มีร่างเป็นนกแต่ศีรษะเป็นมนุษย์เอ่ยขึ้นบ้าง กีรติมองแล้วก็คุ้น ๆ ตา แล้วก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนที่เคยทะเลาะกับลีตอนเขาเจอวันแรกนั่นเอง

    “คือผม...”

    “เฮ้ย! เลิกคุยก่อน ไอ้โจรอีกคนที่เหลือนั่น มันหนีมาทางนี้แล้ว!”

    เสียงหนึ่งขัดการสนทนาขึ้น และประโยคนั้นทำให้หลายคนหันขวับไปอีกทางแทบพร้อมกัน

    “กีรติ! นายไปหลบในป้อมก่อน ทางนี้อันตราย เดี๋ยวพวกเราจะจัดการเอง!”

    แฟนธอมหันมาออกคำสั่ง แต่กีรติแย้งกลับโดยไม่ต้องคิด

    “ให้ผมอยู่ด้วยเถอะครับ ถ้าเกินความสามารถเมื่อไหร่ ผมจะหาที่หลบเอง!”

    “ไม่ต้องห่วงครับคุณแฟนธอม เดี๋ยวผมจะคอยอารักขาคุณกีรติให้เอง”

    เสียงของอเล็กซ์ที่ขัดขึ้นมา ทำให้แฟนธอมชะงัก ก่อนจะกัดฟันกรอดตามมา

    “ก็ได้! ไว้จัดการเรื่องนี้ได้แล้ว เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาวแน่ อเล็กซ์! นายด้วยกีรติ!”

    กีรติชะงักเช่นเดียวกับอเล็กซ์ที่พยายามประมวลหาข้ออ้างเพื่อแก้ตัวไว้ก่อน แต่พอเสียงระเบิดตูมตามดังขึ้น พวกเขาก็ต่างให้ความสนใจกับสิ่งเบื้องหน้าทันที

    “อะไรกันครับคุณอเล็กซ์ โจรเข้าหมู่บ้าน ทำไมมีเสียงระเบิดด้วยล่ะครับ!”

    กีรติสอบถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย ซึ่งอเล็กซ์ก็ตอบคำถามนั้นอย่างไม่คิดปิดบัง

    “ก็โจรพวกนี้ไม่ใช่โจรกระจอกทั่วไปน่ะสิครับ  มันเป็นโจรจากองค์กรลับที่ส่งมาขโมยข้อมูลของมาสเตอร์  ที่สำคัญมันไม่ใช่มนุษย์ครับ มันเป็นหุ่นยนต์สังหาร พวกเราเลยต้องลำบากกันหน่อย”

    กีรตินิ่งอึ้ง มิน่าแฟนธอมถึงเป็นห่วงเขานัก และคนในหมู่บ้านถึงต้องคืนสู่ร่างจริงเช่นนั้น

    “แล้วทุกคนจะเป็นอันตรายไหมครับ ผมจะช่วยอะไรทุกคนได้บ้าง...”

    กีรติถามอย่างร้อนรนด้วยความเป็นห่วงทุกคน และก่อนที่อเล็กซ์จะตอบ ก็มีเสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นใกล้ ๆ เสียก่อน

    “ไม่ต้องห่วง ...ศัตรูระดับนั้นทำอะไรทุกคนไม่ได้หรอกครับ”

    กีรติหันขวับไปทางคนพูด แล้วก็ต้องอุทานเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เมื่อบุคลิกของเจ้าตัวยามนี้ดูแตกต่างจากตอนที่เขาเห็นเมื่อตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง

    “คุณริว...”

    “เดี๋ยวผมกับทุกคนจะรีบจัดการให้เรียบร้อยเองครับ คุณจะได้กลับไปหลับพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้จะได้มาทำงานต่อไหวยังไงล่ะครับ”

    ริวเอ่ยต่อพร้อมรอยยิ้ม ทำให้กีรติชะงักก่อนจะพยักหน้าตอบรับด้วยแววตาจริงจัง

    “ครับ!”

    ริวยิ้มตอบ เขาเดินก้าวเข้าไปสมทบกับทุกคนที่กำลังสกัดไม่ให้หุ่นสังหารรูปร่างมนุษย์ตรงหน้าหนีไปได้

    “ชิโระ! ใช้น้ำแข็งตรึงมันไว้!”

    ขาดคำของริว จิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ที่กำลังช่วยทุกคนล้อมศัตรูอยู่ก็ชะงัก ก่อนจะปฏิบัติตามคำสั่งนั้นทันทีโดยไม่มีข้อแย้ง จิ้งจอกขาวอ้าปากพ่นไอเย็นไปที่เท้าของอีกฝ่ายจนมันจับตัวเป็นน้ำแข็งขยับเขยื้อนไม่ได้

    “หนอย! ไอ้หุ่นกระป๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวช่องเดือดร้อนไปหมด!”

    ลีเดินเข้าไปใกล้ร่างที่ถูกผนึกอย่างหงุดหงิด ส่วนกีรติที่มองอยู่ห่าง ๆ นั้นสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสภาพเหมือนเดิม แสดงว่าเจ้าตัวก็น่าจะเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้แน่

    “เฮ้ย! ระวัง ไอ้หนูลี!”

    เสียงตะโกนจากปีศาจนกดังเตือนขึ้น เมื่อเจ้าหุ่นสังหารที่เหมือนจะขยับไม่ได้ จู่ ๆ ก็ปล่อยหมัดออกจากแขนพุ่งตรงมายังลีที่เดินเข้ามา

    “หนอย! ไอ้หุ่นกระป๋อง!”

    ลีตะโกนด่าพร้อมกับใช้สองมือรับหมัดที่ลอยมา พลางสูดลมหายใจเข้าปอด พร้อมกับดันมันลอยกระเด็นไปอีกทาง

    “โอ๊ย! เจ็บมือชะมัด! หมัดมันแข็งน่าดู!”

    พอจัดการเรียบร้อยเจ้าตัวก็สะบัดมือเร่า ๆ ส่วนกีรติที่กำลังมองอยู่ด้วยความตกใจได้รับการอธิบายจากอเล็กซ์ว่า นั่นเป็นการใช้กำลังภายใน และลีเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะแขนงนั้น แถมลียังเป็นมนุษย์ในหมู่อมนุษย์มากมายในหมู่บ้านแห่งนี้อีกด้วย

    “นอกจากคุณลีแล้ว ก็ยังมีคุณริวอีกคนที่เป็นมนุษย์แท้ ๆ แต่คุณริวเขาเป็นพวกนักพรตองเมียว …สำหรับรายหลังนี้ถ้านับจากความแข็งแกร่ง ผมจัดประเภทให้เขาอยู่ใกล้เคียงกับพวกปีศาจในหมู่บ้านมากกว่ามนุษย์นะครับ”

    อเล็กซ์อธิบายต่อเนื่องให้กีรติได้รับฟัง เพราะยังไงกีรติก็ได้เห็นด้วยตาตนเองแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาไม่ได้ขัดคำสั่งของเจอรัลด์เรื่องการให้ข้อมูลเสริมต่ออีกฝ่ายนั่นเอง

    “และคนนั้น ...รุ่นพี่ของคุณ ก็จัดได้ว่าอยู่ในประเภทของมนุษย์เช่นเดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไปสักหน่อย...”

    อเล็กซ์เอ่ยต่อมา ในขณะเดียวกับที่กีรติกำลังมองแฟนธอมที่เดินตรงไปใกล้เจ้าหุ่นสังหารตรงหน้า พร้อมกับหยิบกระบองที่คาดเอวออกมาถือ ชายหนุ่มกดปุ่มบนกระบอง จากนั้นก็ปรากฏปลายแท่งเหล็กหนาคมกริบยื่นยาวขึ้นมา  ชายสวมหน้ากากมองร่างตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะตวัดปลายแท่งเหล็กไปยังลำคอนั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ศีรษะกับลำตัวหลุดขาดจากกันทันที  ส่งผลให้ร่างหุ่นสังหารหมดฤทธิ์และหยุดแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น

    “แหม...ยังเด็ดขาดเหมือนเดิมเลยนะครับ สมกับที่เคยได้ชื่อว่า ปีศาจในหมู่มนุษย์ เลยนะครับนั่น”

    น้ำเสียงที่คล้ายกับอเล็กซ์ พร้อมเสียงปรบมือเบา ๆ ที่ดังจากเงามืด และพอร่างนั้นปรากฏกายออกมา ก็ทำให้คนถูกเรียกเม้มปากแน่นอย่างไม่สบอารมณ์

    “ทีหลังหัดจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อยหน่อยนะเจอรัลด์! ไม่ใช่ปล่อยให้ศัตรูของนาย เข้ามาสร้างความเดือดร้อนในหมู่บ้านแบบนี้!”

    แฟนธอมตวาดใส่ชายตรงหน้า ซึ่งพอกีรติเพ่งมองดูก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงเพรียว ผมสีน้ำตาลหยักศกลองทรงปรกคอ ดวงตาสีแดงประหลาด จมูกโด่งคมสัน ใบหน้าคมคายสะดุดตาผู้พบเห็น

    “ขออภัยเป็นอย่างสูงครับคุณแฟนธอม และขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ผมประมาทไปหน่อย เลยปล่อยให้พวกมันบางตัว หนีหลุดรอดจากระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านพักไปได้”

    เจอรัลด์โค้งให้คนตรงหน้าอย่างนอบน้อม แล้วหันไปบอกกับคนอื่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้แฟนธอมยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ส่วนคนอื่น ๆ พากันถอนหายใจอย่างเอือมระอา เพราะเรื่องวุ่น ๆ ในหมู่บ้านนี้ ส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากเจอรัลด์เป็นต้นเหตุนี่ล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้บ่นอะไรชายหนุ่มนัก เพราะการได้ออกกำลังไล่ล่าแบบนี้ ก็ทำให้แต่ละรายรู้สึกผ่อนคลายและหายเบื่อได้เป็นอย่างดี  อีกอย่างถ้าเจอรัลด์เอาจริง แค่ตัวคนเดียวผีดิบหนุ่มอัจฉริยะผู้นี้ก็สามารถกำจัดศัตรูได้สบาย ๆ อยู่แล้ว

    “ว่าแต่เหมือนผมจะเห็นสมาชิกเกินมา กว่าที่ควรจะเป็นในคืนนี้อยู่หนึ่งรายไม่ใช่หรือครับ”

    เจอรัลด์ที่หันมาเห็นกีรติเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ ทำให้แต่ละคนนึกขึ้นได้ แล้วหันขวับไปที่กีรติแทบจะพร้อมกันทันที

    “เอ่อ...”

    กีรติอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ มองแต่ละคน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วมองตอบทุกคนนิ่ง พร้อมกับโพล่งออกไป

    “ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนอีกครั้งนะครับ!  ผมหวังว่าทุกคนคงจะยอมรับผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งของที่นี่ได้นะครับ!”

    กีรติบอกออกไปพร้อมกับนิ่งเงียบรับฟังคำตอบด้วยหัวใจเต้นระทึก ทุกคนนิ่งเงียบไปนาน ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะจากบางคนดังขึ้นเบา ๆ แล้วจึงประสานเสียงกันตามมาดังลั่นในแต่ละราย จนคนถูกหัวเราะใส่มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กอย่างตกใจ

    “นายนี่มัน... ประหลาดมนุษย์แท้ ๆ เลยนะ”

    แฟนธอมพึมพำ แล้วจึงเดินตรงมาหากีรติ ก่อนจะตบบ่าอีกฝ่ายค่อย ๆ

    “ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านมีสุขนะกีรติ  ฉันและทุกคนยินดีต้อนรับนายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านนี้อย่างแน่นอน”

    กีรติชะงักก่อนจะยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับรัว จนแฟนธอมอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงหลุดหัวเราะตามมาดังเช่นคนอื่น ๆ

    “หึ ๆ ไม่เสียทีที่ไม่ให้คุณกีรติบอกไปเสียแต่แรก... เก็บภาพไว้ให้หมดนะอเล็กซ์  โดยเฉพาะภาพตอนคุณแฟนธอมหัวเราะน่ะ ฉันขอทุกมุมมองเท่าที่นายจะทำได้เลยนะ”

    เจอรัลด์พึมพำกับเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับ AI ของเขาโดยตรง ซึ่งอเล็กซ์ก็ตอบกลับผ่านเครื่องมือนั้นโดยไม่ให้คนอื่นได้ยินเสียงเช่นกัน

    “ครับ มาสเตอร์ ผมจะเก็บภาพให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยครับ”

    เจอรัลด์ยิ้มรับคำพูดนั้น พร้อมกับจ้องมองภาพเบื้องหน้าที่ล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนในหมู่บ้านประสานกันไป ชายหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปร่วมวงพูดคุยและแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับกีรติดังเช่นคนอื่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง



… TBC …

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 20-09-2013 19:52:25

ตอนที่ 8
นักพรตองเมียว




    กีรติลืมตางัวเงียลุกมากดนาฬิกาปลุกที่เขาตั้งไว้ ปกติเขาจะเป็นคนตื่นเช้า แต่เมื่อคืนนี้สมาชิกในหมู่บ้านฉลองต้อนรับเขาอย่างเป็นทางการ ทำให้กว่าจะได้นอน ก็ปาไปเกือบตีสองเลยทีเดียว

    “งืม...ต้องออกไปจ่ายกับข้าวด้วยสินะ”

    ชายหนุ่มลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นและออกมาดักรอรถกับข้าวเช่นเดียวกับคนอื่น ที่ตอนนี้ล้วนแต่แสดงตัวตนที่แท้จริงอย่างไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป

    “อรุณสวัสดิ์ครับ”

    กีรติทักทายชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทางด้านไกรสรนั้นได้รับฟังเรื่องเล่าจากบางคนในหมู่บ้าน ก็ทำให้เขานึกทึ่งกีรติมากยิ่งขึ้นไปอีก จนถึงกับแถมของซื้อของขายมาให้หลายรายการเลยทีเดียว

    “รู้ไหมกี ว่าฉันเริ่มจะเขียนนิยายที่มีตัวเอกเป็นคาแรกเตอร์ของเธอแล้วล่ะนะ”

    ปัณณ์ที่แวะมาซื้อกับข้าวในตอนเช้าเช่นเดิมเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มร่างเล็ก ซึ่งพอปัณณ์พูดจบคนอื่น ๆ ที่อยู่แถวนั้นก็หันขวับไปทางชายหนุ่มแทบจะพร้อมกัน

    “เพลา ๆ หน่อยนะปัณณ์ เดี๋ยวกีจะทนไม่ไหว ย้ายหนีเอาเข้า คุณเวธน์ก็จะมาบ่นพวกเราเข้าให้อีก อุตสาห์เจอมนุษย์ที่เข้ากับพวกเราเพิ่มขึ้นมาได้ทั้งทีแท้ ๆ”

    หนึ่งในนั้นเอ่ยขอร้อง ทำให้ชายหนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนกีรติมีสีหน้างุนงง

    “อะไรกัน! ทำยังกับฉันจะไปทำอะไรเขาอย่างนั้นนั่นล่ะ ฉันก็แค่เอาคาแรกเตอร์ของเขามาเป็นแบบในการบรรยายตัวเอกในนิยายของฉันแค่นั้นเอง!”

    “ไอ้แค่นั้นของนายน่ะ ทำเอามีคนย้ายหนีเพราะความรำคาญที่ถูกตื๊อไปกี่รายแล้วล่ะ ทีแรกก็เห็นว่าใช้แค่คาแรกเตอร์ แต่หนัก ๆ เข้านี่เล่นสโตกเกอร์ตามติดเจ้าตัวแทบยี่สิบสี่ชั่วโมงประจำเลยไม่ใช่หรือไง”

    ชายคนเดิมเปรยบ่นอย่างเบื่อหน่าย ทำให้ปัณณ์ที่รับถุงกับข้าวและกำลังจ่ายเงินในส่วนที่ค้างไว้ของเมื่อวานด้วยถึงกับหน้าบึ้ง ก่อนจะกระแทกเสียงตอบอย่างหงุดหงิด

    “พวกนายนี่มันหาเรื่องกันชัด ๆ ฉันก็แค่เก็บข้อมูลเขียนนิยายปกติแท้ ๆ  ฮึ! ไปดีกว่า ขี้เกียจพูดกับคนไม่เข้าใจความเซนซิทีฟของนักเขียนแบบพวกนายหรอก!”

    ชายหนุ่มตัดบทแล้วสะบัดหน้าหนี เดินกระแทกเท้ากลับบ้านพักไปทันที ทำเอาไกรสรมองอึ้ง ๆ ก่อนจะชะงักแล้วโพล่งขึ้นตามมา

    “เฮ้ย! หมอนั่นลืมจ่ายเงินอีกแล้ว! พวกนายนี่ก็เหมือนกัน ทีหลังอย่าชวนเขาคุยก่อนจะจ่ายเงินฉันได้ไหม!”

    กีรติมองแต่ละคนตาปริบ ๆ แล้วจึงกระแอมขึ้นเบา ๆ

    “เอ่อ ถ้ายังไงให้ผมจ่ายให้ก่อน แล้วไปตามเก็บจากคุณปัณณ์ทีหลังให้แทนดีไหมครับ”

    ไกรสรหันมามองคนพูด เขานิ่งคิด แล้วจึงสั่นศีรษะปฏิเสธ

    “ไม่เป็นไร ๆ อย่าลำบากเธอเลย อีกอย่างปัณณ์เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะโกงอะไรหรอก เพียงแต่มันต้องมีเหตุให้เขาไม่ได้จ่ายเงินฉันเสียบ่อย ๆ น่ะ  อีกอย่างถ้าจะทวงจริง ๆ ฉันไปทวงที่หน้าบ้านเขาก็ได้”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงขอตัวไปก่อน เพราะนี่ก็ใกล้เวลาทำงานของเขาเข้าไปทุกทีแล้ว

   

    พอได้เวลาทำงาน กีรติก็รีบมาที่ป้อม จนแฟนธอมที่กำลังจะเลิกงานต้องลอบยิ้มต่อความขยันขันแข็ง และตรงต่อเวลาของรุ่นน้องคนใหม่ของเขาคนนี้

    “ถ้าอย่างนั้นฝากหมู่บ้านด้วยนะ แต่ถ้าไม่ไหวก็กลับมานอนแล้วกัน หรือจะแอบงีบก็ไม่มีใครเขาว่าหรอก เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกมากไม่ใช่หรือ”

    กีรติยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนอเล็กซ์ก็รีบเอ่ยแทรกตามมา

    “คุณแฟนธอมทำอย่างนั้นประจำเลยล่ะครับ แต่จะไม่ให้ง่วงได้ยังไงล่ะนะ ตอนที่หมู่บ้านขาดคนทีไร คุณแฟนธอมก็ดันเล่นควงสองกะอยู่บ่อย ๆ  ขนาดมาสเตอร์แอบมาดูตอนหลับใกล้ ๆ ยังไม่ตื่นเลยล่ะครับ”

    แฟนธอมสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับไปที่ป้อมยามทันที

    “หมอนั่นทำอะไรแบบนั้นด้วยหรือ แล้วมาดูอย่างเดียวใช่ไหม คงไม่ได้ทำอะไรทุเรศ ๆ กับฉันหรอกนะ!”

    ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเข้ม ทำเอากีรติสะดุ้งตาม ส่วนอเล็กซ์ที่เผลอหลุดปากรายงานความลับของผู้สร้าง ก็นิ่งคิดสักพัก แล้วจึงเลี่ยงตอบกลับไป

    “ผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ครับ....พอดีช่วงนั้นกำลังตรวจสอบสภาพรอบ ๆ หมู่บ้าน เลยไม่ได้ทันสังเกต”

    แฟนธอมกัดฟันกรอดนิด ๆ ลองอเล็กซ์เลี่ยงตอบแบบนี้ แสดงว่าเจอรัลด์นั้นต้องแอบแกล้งอะไรบางอย่างในตอนที่เขาเผลอหลับไปเป็นแน่

    “ไว้คืนนี้ฉันจะเช็คกล้องวงจรปิดที่ป้อมยามย้อนหลังในคืนที่ฉันเผลอหลับไปแล้วกัน เตรียมข้อมูลให้ดี ๆ ล่ะ แล้วอย่าคิดสร้างหลักฐานเท็จเด็ดขาดนะ...ถ้าจับได้เมื่อไหร่ ฉันจะพังนายให้เละเลยทีเดียว!”

    แฟนธอมทิ้งท้าย แล้วหันไปลากีรติด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวเล็กน้อย ทางด้านกีรติยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้ และเมื่อลับร่างของชายสวมหน้ากากไปแล้ว กีรติจึงหันไปทางป้อมยามแล้วถามอเล็กซ์ด้วยความสงสัย

    “คุณแฟนธอมเขาไม่ถูกกับคุณเจอรัลด์หรือครับ”

    “ก็ไม่เชิงหรอกครับ...เพียงแต่เพราะว่ามาสเตอร์ชอบคุณแฟนธอมมาก ๆ แล้วพอชอบมาก ก็เลยอยากแกล้ง อยากแหย่เรียกร้องความสนใจตามปกติ  แต่คุณแฟนธอมดูเหมือนจะไม่เข้าใจเจตนาดีของมาสเตอร์ ก็เลยไม่ค่อยสบอารมณ์ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้ากันนั่นล่ะครับ”

    กีรตินึกอยากจะแย้งว่า คนที่เป็นฝ่ายถูกแกล้งน้อยคนนักที่จะมองว่าคนแกล้งมีเจตนาดีกับตนเองอย่างอเล็กซ์บอก แต่ขืนเขาพูดไปแบบนั้นก็อาจจะทำให้ AI อัจฉริยะไม่พอใจได้ เพราะยังไงเจอรัลด์ก็เป็นคนสร้างอเล็กซ์ขึ้นมาอยู่ดี

    “ว่าแต่คุณกีรติอยู่ยามไหวไหมครับ จากสภาพดวงตาที่ดูอิดโรยของคุณ ผมแนะนำให้คุณหลับยามอย่างที่คุณแฟนธอมบอกไว้ก็ดีเหมือนกันนะครับ”

    อเล็กซ์บอกตามมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อนใหม่ ทำให้กีรติยกยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับกล่าวขอบคุณตอบไป

    “ขอบคุณนะครับ แต่ผมไม่เป็นไรหรอกครับ โต้รุ่งทำงานก็เคยมาแล้ว แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ จะขอนอนพักสักงีบแล้วกัน”

    คำพูดที่แสดงถึงการยอมรับและไม่ฝืนตัวเอง ทำให้อเล็กซ์พึงพอใจ เพราะอย่างน้อยกีรติก็ไม่ดื้อรั้นจนเกินไปนัก



    กีรตินั่งเฝ้ายามและทักทายคนผ่านไปมาได้สักพัก เวธน์ก็แวะมาพบเขา พร้อมกับกรกฎเลขาสุดหล่อของเจ้าตัว

    “ผมได้รับแจ้งข่าวว่าเกิดเรื่องวุ่นวายเมื่อคืน แถมคุณก็ยังได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของคนในหมู่บ้าน แต่ก็ยังอาสาจะอยู่ที่นี่ต่อสินะครับ”

    เวธน์เอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างถูกใจ ซึ่งกีรติก็ยิ้มน้อย ๆ พลางพยักหน้าตอบรับ

    “ครับ ...เพราะทุกคนที่นี่ใจดีและมีน้ำใจ ผมถึงอยากทำงานที่หมู่บ้านแห่งนี้ต่อไปน่ะครับ”

    เวธน์เลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ 

    “ผมดูคนไม่ผิดจริง ๆ กีรติ ดีใจนะที่ได้คุณมาทำงานด้วย  แล้วอยู่ต่อนาน ๆ ล่ะ ถ้าเงินเดือนไม่พอใช้ยังไงก็บอกผมแล้วกัน”

    เวธน์บอกกับคนตัวเล็กตรงหน้า แล้วทำท่าจะตรงไปที่รถยนต์ของเจ้าตัวที่จอดไว้ใกล้ ๆ ป้อมยาม ทว่ากรกฎนั้นคว้าแขนผู้เป็นนายจ้างเอาไว้เสียก่อน

    “จะรีบไปไหนครับ คุณเวธน์”

    “หือ...อืม...ก็ว่าจะแวะไปตรวจงานที่ร้านสักหน่อย เดี๋ยวก็กลับน่า”

    เวธน์รีบแก้ตัวด้วยใบหน้าที่แสร้งทำเป็นยิ้มแย้ม แต่คนที่ทำงานด้วยกันมานานนั้นรู้ทัน กรกฎยิ้มเยียบเย็นตอบ แล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

    “ถ้าอย่างนั้น ผมจะไปเป็นเพื่อนนะครับ จะได้ช่วยงานคุณทางนั้นให้เสร็จไวขึ้น  แล้วจะได้มาสะสางเอกสารยุ่งยากที่รอการตรวจสอบทางนี้อีกหลาย ๆ อย่าง”

    กรกฎเน้นย้ำคำ ทำให้คนฟังลอบถอนหายใจ ก่อนจะยกมือยอมแพ้ แล้วตามเลขาของตนกลับสำนักงานหมู่บ้านไปแต่โดยดี

    “งานเอกสารในหมู่บ้านมีเยอะขนาดนั้นเลยหรือครับ”

    กีรติถามอเล็กซ์ด้วยความสงสัย ซึ่งอเล็กซ์ก็ให้คำตอบอย่างไม่คิดปิดบัง

    “ถ้าเอกสารเกี่ยวกับงานหมู่บ้านจริง ๆ ก็ไม่มีเท่าไหร่หรอกครับ...แต่ที่เยอะเพราะคุณเวธน์ต้องคอยมาวุ่นวายเรื่องปลอมแปลงเอกสารราชการต่าง ๆ ของแต่ละครอบครัวในหมู่บ้าน ให้เข้ากับยุคสมัยที่เจ้าตัวอยู่ เอกสารเก่า ๆ ที่น่าจะหมดอายุก็ต้องทำลายแล้วสร้างใหม่ ให้พวกเขาเป็นบุคคลตัวตนใหม่ ไม่อย่างนั้น ก็คงวุ่นวายตามมาหลายอย่าง”

    กีรติยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

    “ผมว่าผมเข้าใจเรื่องที่บอกดีทีเดียวล่ะครับ โชคดีที่คุณเวธน์ไม่เรียกตรวจเอกสารอะไรมากมาย ไม่อย่างนั้นผมก็คงต้องยุ่งหัวหมุนเหมือนกัน”

    คำพูดที่ได้ยินทำให้ AI อัจฉริยะรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย แต่แล้วทั้งคู่ ก็ต้องหันไปให้ความสนใจกับอีกทาง เมื่อเห็นใครบางคนแปลกหน้า สวมสูทดำ แว่นตาดำ กำลังเดินตรงมาทางป้อมยาม

    “เอ่อ...สวัสดีครับ จะมาพบใครหรือครับ”

    กีรติสอบถามอีกฝ่าย เพราะอเล็กซ์กระซิบว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนในหมู่บ้านแห่งนี้

    “...ยูกิมูระ  ริว”

    คำตอบที่ได้รับทำให้กีรติชะงัก และก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงอเล็กซ์ตะโกนเตือน

    “ระวังครับ คุณกีรติ! หมอนั่นไม่ใช่มนุษย์!”

    เนื่องจากอเล็กซ์ได้ลอบใช้โปรแกรมแสกนตรวจสอบว่าอีกฝ่ายพกพาอาวุธอันตรายเข้ามาในหมู่บ้านหรือไม่ จึงทำให้ได้พบว่าชายคนนั้นไม่ใช่มนุษย์อย่างที่ควรจะเป็น

    “เดี๋ยวก่อนครับ!”

    กีรติตะโกนห้ามร่างในชุดสูทที่วิ่งผ่านหน้าเขาตรงเข้าไปในซอยกลางหมู่บ้าน ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว จนอเล็กซ์ห้ามไม่ทัน

    “โธ่! คุณกีรติ! ช่วยไม่ได้แล้วนะแบบนี้ ...ระบบป้องกันตัวระดับ 3 ทำงาน!”

    เสียงไซเรนที่ดังขึ้นจากทั่วหมู่บ้านทำให้คนที่กำลังนอนหลับพักผ่อน รวมไปถึงกำลังทำการทำงานสะดุ้งโหยง แล้วต่างรีบพรวดพราดออกมาจากบ้านทันที

    “ระดับ 3 ...พวกอมนุษย์อย่างนั้นหรือ”   

    เจอรัลด์ที่กำลังทดลองสิ่งประดิษฐ์ในห้องใต้ดินขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงออกไปสมทบกับคนอื่น ๆ ที่เหลือในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว

    “หยุดนะครับ! ระเบียบหมู่บ้านไม่ให้คนนอกเข้าออกตามใจชอบนะครับ!”

    กีรติวิ่งไปคว้ามืออีกฝ่ายได้ แล้วก็ต้องหลบวูบเมื่อคนตรงหน้าหันขวับมาชกหมัดตรงใส่เขา และเพราะถูกจู่โจม กีรติจึงโต้ตอบโดยการจับคนในชุดสูทเหวี่ยงข้ามศีรษะในท่าทุ่มแบบยูโดทันที

    “อ๊ะ! ตายละ ลืมตัวอีกแล้ว!”

    คนที่ถูกฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวแทบจะทุกแขนงมาแต่เด็กจนติดในนิสัยอุทานอย่างตกใจ เพราะการทุ่มคนลงบนพื้นปูนมันค่อนข้างอันตรายไม่น้อย

    “ระวัง! หลบเร็ว!”

    เสียงตะโกนเตือนดังไกล ๆ ทำให้กีรติสะดุ้งโหยง เขาหลบวูบโดยสัญชาตญาณ พร้อมกับรู้สึกถึงความชาแปลบที่แขนอีกข้างของตน ส่วนร่างที่โดนทุ่มและเปลี่ยนแขนของตัวเองให้กลายเป็นใบมีดที่ยืดยาวได้นั้น กำลัง จัดการหดแขนของตัวเองกลับมา พร้อมเอียงคอดังกรอบแกรบในองศาที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้แน่นอน

    “มันคือชิกิงามิ ...ถ้าจะเปรียบกับของไทย ก็คงคล้ายกับพวกหุ่นพยนต์นั่นล่ะครับ”

    ริวเข้ามาขวางหน้ากีรติพร้อมอธิบายให้ฟัง ขณะที่ชายในชุดสูทกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงร่างเป็นก้อนดำ ๆ ขยุกขยุย ชวนให้ขนลุกขนพองยิ่งนัก

    “ชิกิงามิ...หุ่นพยนต์...”

    กีรติทวนคำอย่างงุนงง ทำให้คนที่อธิบายชะงักเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วเอ่ยต่อ โดยที่สายตายังคงจับจ้องมองร่างสีดำตรงหน้านิ่ง

    “อืม...ถ้าจะอธิบายง่าย ๆ มันก็คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์ คาถา ยังไงล่ะครับ”

    กีรติอุทานเบา ๆ อย่างนึกทึ่ง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเสียงหนึ่งดังขัดแทรกการสนทนาของพวกเขาขึ้นมา

    “ริว! ทำไมไม่รีบจัดการมันสักที เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนร่างเสร็จหรอก!”

    ชิโระ จิ้งจอกขาว สัตว์อสูรของหนุ่มญี่ปุ่น ปรากฏกายขึ้นในรูปร่างจิ้งจอกตัวน้อย กีรติมองอย่างตกใจในตอนแรก แต่เพียงแค่ชั่วครู่ เขาก็จับจ้องจิ้งจอกน้อยนิ่งด้วยความสนใจแทน

    “ไม่ต้องรีบร้อนหรอกชิโระ ฉันเองก็อยากเห็นร่างจริงของมันเหมือนกัน อยากรู้ว่าคราวนี้ ทางนั้นจะส่งชิกิงามิมีฝีมือขนาดไหนมากันแน่”

    ริวบอกพร้อมเหยียดยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ทำให้ดูเคร่งขรึมเย็นชา ผิดจากใบหน้าใจดียามปกติที่กีรติเคยเห็นก่อนหน้านั้น

    “ริวก็แบบนี้ทุกที แทนที่จะรีบ ๆ จัดการให้เสร็จเรียบร้อย จะได้ไม่ต้องเหนื่อย...อ๊ะ คนอื่น ๆ มากันแล้วล่ะ”

    ชิโระเหลือบไปมองคนในหมู่บ้านที่พากันออกมามุงดู และพอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบางคนก็ยักไหล่ บางคนก็ถอนหายใจ

    “คราวนี้ของริวหรอกหรือ ...ทางโน้นก็ยังตื๊อไม่เลิกเลยนะริว แต่คราวนี้มาน้อยไปหน่อยหรือเปล่านั่น”

    ลีที่ตามมาสมทบเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองซ้ายมองขวาอย่างแปลกใจ เพราะริวนั้นเป็นนักพรตองเมียวที่เก่งกาจมาก ทำให้คนในตระกูลของเจ้าตัวต้องการให้ริวกลับไปเป็นผู้นำตระกูล กระทั่งฝ่ายคู่แข่งร่วมอาชีพ ก็ยังอยากได้ตัวริวมาทำงานด้วยเช่นเดียวกัน

    “คงลดปริมาณแต่เน้นคุณภาพแทนมั้งครับ”

    ริวตอบยิ้ม ๆ เมื่อเห็นก้อนดำขยุกขยุยตรงหน้ากลายร่างเป็นแมงมุมยักษ์แปดขาตัวสูงกว่า 3 เมตร

    “ขอโทษที่รบกวนความสงบของทุกคนนะครับ ...เดี๋ยวผมจะจัดการเจ้านี่เองครับ”

    ริวบอกกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม แต่กีรติยังคงรู้สึกว่าชายหนุ่มในตอนนี้ยังคงดูน่าเกรงขามอยู่ดี   

    “ชิโระ ฝากดูแลคุณกีรติทีนะ”

    ริวออกคำสั่งกับสัตว์อสูรของเขา ชิโระเหลือบมองกีรติ ก่อนจะรับคำตามมา ทางด้านกีรติมองคนตรงหน้าอย่างไม่วางตาด้วยความตื่นตะลึง โดยเฉพาะยามที่ริวหลับตาประสานมือและพึมพำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจ ทว่าเจ้าแมงมุมดำที่กำลังคืบคลานเข้ามากลับมีไฟลุกท่วมตัว และดิ้นทุรนทุรายพร้อมกับเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังไปทั่วหมู่บ้าน

    “ริวของฉัน ยังเท่เหมือนเคยเลยแฮะ”

    ชิโระเอ่ยชมเจ้านายของตน ส่วนกีรติมองร่างที่ค่อย ๆ ไหม้เกรียมตรงหน้าอย่างนึกทึ่ง ทว่าพอริวหันกลับและเดินมาหาเขาเพื่อดูอาการบาดเจ็บก่อนหน้านั้น กีรติก็เห็นร่างที่ไหม้เกรียมขยับน้อย ๆ และพ่นใยพุ่งตรงออกมา โดยเป้าหมายก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั่นเอง

    “คุณริว! ระวังครับ!”

    กีรติรีบวิ่งออกไปขวางทางใยแมงมุมนั้น จนมันหุ้มกายเขามิด ก่อนจะถูกลากเข้าไปหาซากดำเกรียมนั่นอย่างรวดเร็ว

    “กีรติ!”

    แฟนธอมที่ตามมาสมทบตะโกนเรียกรุ่นน้องของเขาอย่างตกใจ แล้วพุ่งตรงเข้าไปหยิบกระบองเหล็กมาฟาดเส้นใยที่กำลังลากร่างของกีรติไปเต็มแรง แต่มันก็กระเด้งออกมาทันที

    “คุณแฟนธอม ระวังครับ!”

    เจอรัลด์ตะโกนบอกพร้อมกับพุ่งรวบร่างของแฟนธอมหลบเส้นใยอีกกลุ่มที่พุ่งตรงมาหมายจะสังหารผู้ขัดขวาง เส้นใยที่พลาดเป้าเจาะทะลุกำแพงอิฐแถวนั้นจนเป็นรู แฟนธอมพึมพำขอบคุณอีกฝ่ายที่ช่วยเขา ส่วนริวนั้นรีบร่ายเวทเพื่อทำลายเส้นใยของชิกิงามิตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จนเส้นใยที่กำลังลากร่างกีรติไปนั้นลุกติดไฟและขาดออกจากกลุ่มก้อนใยที่พันร่างของชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนที่ไฟนั้นจะเริ่มลามลุกไปที่ร่างของแมงมุมดำตรงหน้า เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับที่ร่างนั้นค่อย ๆ สลายกลายเป็นฝุ่นธุลีไปในที่สุด

    “คุณกีรติ! เป็นยังไงบ้าง!”

    ริวรีบตรงไปที่กลุ่มใยซึ่งค่อย ๆ สลายตามแมงมุมดำไปอย่างรวดเร็ว กีรติไอกึ่งหอบด้วยความทรมาน เพราะเมื่อครู่นี้ใยนั้นพันรัดคอเขาแน่นจนเกือบหายใจไม่ออก

     “...มะ ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมไว้”

    กีรติบอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้มอย่างอ่อนแรง พอริวเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับชะงัก แล้วจึงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นแทน

    “ทีหลังอย่างทำแบบนั้นอีกนะครับ บางทีอาจจะไม่โชคดีรอดชีวิตแบบนี้อีกก็ได้”

    บอกแล้วริวก็ช่วยประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วขยับถอยหนีออกไปยืนห่าง ๆ เมื่อคนอื่นพากันมารุมล้อมดูอาการของกีรติอย่างเป็นห่วงเช่นเดียวกัน

    “บ้าระห่ำจริง ๆ ถ้าเมื่อครู่มันคิดจะฆ่าแทนจับตัว ป่านนี้ท้องนายทะลุไปแล้วรู้ไหม!”

    แฟนธอมโพล่งใส่รุ่นน้องอย่างเป็นห่วง คนอื่นพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ทำเอากีรติต้องยิ้มเจื่อน ๆ เข้าไปใหญ่ พลางแก้ตัวเสียงอ่อยตามมา

    “ก็พอเห็นว่ามันจะเล่นงานคุณริว เท้ามันก็ก้าวไปเองนี่ครับ”

    “เอาน่าคุณแฟนธอม คุณกีรติเขาทำไปเพราะหวังดี คุณก็อย่าดุเขาเลยนะครับ”

    เจอรัลด์ช่วยแก้ตัวแทนชายหนุ่มอีกเสียง ทำให้แฟนธอมต้องทำเสียงในลำคออย่างหงุดหงิด จะต่อว่ากลับก็ไม่ได้ เพราะเพิ่งได้อีกฝ่ายช่วยชีวิตเขาเอาไว้เมื่อครู่เช่นเดียวกัน

    “กีรติ นายเลือดออกด้วยนี่”

    แฟนธอมที่ยื่นมือมาฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นสังเกตเห็นรอยแผลที่มีเลือดซึมตรงแขนอีกฝ่าย

    “อ๊ะ...โดนเฉี่ยวนิดหน่อยเองครับ เดี๋ยวเอาน้ำล้าง แปะพลาสเตอร์ก็หาย”

    กีรติบอกแล้วยิ้มกว้าง แต่คนฟังนิ่วหน้า ทว่ายังไม่ทันพูดอะไร ริวก็เดินเข้ามา แล้วเอ่ยขัดเสียก่อน

    “ไปทำแผลที่บ้านผมดีกว่าครับ แผลที่เกิดจากชิกิงามิ อาจจะมีพิษหรือคำสาปแฝงไว้ก็ได้  ผมจะทำพิธีปัดเป่าให้เอง”

    แฟนธอมเหลือบมองริว แล้วก็นึกแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายดูเคร่งขรึมกว่าปกติ แต่ก็ยังคงเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

    “ถ้าอย่างนั้นผมฝากเขาด้วยแล้วกันนะคุณริว”

    “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะช่วยดูแลเอง”

    ริวตอบพร้อมยิ้มน้อย ๆ จากนั้นเขาก็เข้ามาช่วยประคองกีรติให้เดินไปด้วยกัน แม้กีรติจะปฏิเสธเพราะความเกรงใจ แต่พอลองเดินเองเขากลับเดินเซ ๆ จนริวต้องเข้ามาช่วยพยุงอีกครั้ง และเพราะสีหน้าเคร่งขรึมของหนุ่มญี่ปุ่น ทำให้กีรติไม่กล้าปฏิเสธ  ส่วนคนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็พากันแยกย้ายกลับบ้านของตัวเองไปคนละทาง

    “หือ....แบบนั้นก็ดีเหมือนกันแฮะ”

    เจอรัลด์มองกีรติที่เดินไปพร้อมริว แล้วยกยิ้มนิด ๆ อย่างถูกใจ จนแฟนธอมที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ต้องหันไปถามอย่างสงสัย

    “อะไรที่ว่าดี”

    “ก็ถ้าคู่นั้นปิ๊งกัน  ผมก็จีบคุณได้ โดยไร้คู่แข่งน่ะสิครับ”

    เจอรัลด์ตอบพร้อมยิ้มกว้าง ทว่าคำพูดของเขานั้นกลับทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง

    “จีบบ้าบออะไร  ใช้สมองทำงานมากจนเพี้ยนรึ!”

    เจอรัลด์หัวเราะเบา ๆ แล้วยกสองมือคล้ายยอมแพ้ ทำให้คนสวมหน้ากาก ทำเสียงในลำคออย่างหงุดหงิดที่ถูกแกล้งเข้าให้อีกหน จากนั้นจึงแยกกลับที่พักดังเช่นคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน โดยที่เจอรัลด์ได้แต่มองตามไล่หลัง แล้วจึงหลุดยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนส่งให้ อันเป็นจังหวะเดียวกับที่แฟนธอมหันกลับมาพอดี เพราะรู้สึกคล้ายกับกำลังมีใครมองเขาอยู่

    “คุณแฟนธอม...”

    เจอรัลด์ชะงักเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าแฟนธอมจะหันกลับมา ทางด้านแฟนธอมหลังจากเห็นรอยยิ้มของเจอรัลด์ เขาก็นิ่งเงียบไปสักครู่ จากนั้นจึงเริ่มรู้สึกตัว ชายหนุ่มหันกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะเดินต่อไปเงียบ ๆ โดยไม่หันกลับมามองคนข้างหลัง จนกระทั่งลับสายตาอีกฝ่ายไป 

    “เฮ้อ...นึกว่าจะรู้แล้วเสียอีก”

    เจอรัลด์บ่นพึมพำกับตัวเอง ทั้งโล่งอกและเสียดายไปในคราวเดียว  จากนั้นนักประดิษฐ์หนุ่มจึงตรงกลับเข้าบ้านพักของตนบ้าง เช่นเดียวกับสมาชิกร่วมหมู่บ้านคนอื่น ๆ พวกเขาไม่คิดสนใจตรวจสอบเรื่องศัตรูที่อาจจะหลงเหลืออยู่  เพราะต่างมั่นใจว่าคนที่ส่งชิกิงามิมาเล่นงานริว คงไม่โง่พอที่จะบุกเข้าหมู่บ้าน เพื่อให้ถูกจัดการอีกครั้งอย่างแน่นอน



… TBC …

ว่าไงคะ ? เริ่มจับคู่กันได้หรือยังเอ่ย ?  เรื่องนี้มีหลายคู่ หลายตัวละครอยู่นะคะ แต่จะเฉลี่ยบทกันไปคนละนิดละหน่อย ยกเว้นตัวละครประจำก็จะโผล่มาแจมกันเรื่อย ๆ นั่นล่ะค่ะ  หวังว่าคงจะไม่มึนงง ตัวละครกันนะคะ ^^"
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-09-2013 20:12:08
เดาใจคุณแฟนทอมไม่ออกว่าจะคู่กับกีรึมาสเตอร์
แต่อยากให้คู่กับมาสเตอร์มากกว่า
ส่วนกีคู่กับใครดี เปิดตัวละครใหม่อีกตัวได้ปะ ฮ่าๆ
เพราะว่ามองว่าทั้งกีทั้งริวเคะทัั้งคู่เลย
คุณเวธก็คงคู่กับคุณเลขาเนาะ เดาเอา 5555
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 20-09-2013 20:44:43
 :-[ :-[ :-[ :-[ :heaven :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Thyme103 ที่ 20-09-2013 20:58:19
มีหลายคู่นะเนี่ย รออ่านตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 20-09-2013 21:06:32
อ้าว แฟนท่อมไม่ได้คู่กับกีหรอนี่ เห็นออกมาบ่อยๆจนเราจิ้นเป็นพระเอกไปซะละ 5555

แต่ไม่เป็นไรค่ะ หนุ่มๆคนอื่นก็น่ารักไม่แพ้กัน จะจับคู่กับใครก็น่าอ่านไปหมดค่ะ :)
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 20-09-2013 21:35:50
กีต้องคู่กับแฟนธอมอยู่แล้ว

แต่มาสเตอร์นี่สิ  อาจจะคู่กับริวก็ได้เนอะ

ส่วนคุณเจ้าของที่ดินก็ต้องคู่กับคุณเลขาแน่ๆ

ชอบจังมีหลายคู่ให้ลุ้น 

รอตอนต่อไปนะคะ  บวกเป็ด

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 20-09-2013 22:24:59
มีหลายคู่จับคู่ไม่ถูกชอบหมดอ่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 20-09-2013 22:32:02
อ้าว คิดว่ากีคู่กะแฟนธอมซะอีก แฟนธอมออกจะห่วงใยกีน้า
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: arun ที่ 20-09-2013 22:38:01
 :o8: So cool
Have many cute  :-[
I wait... for read a next lesson
I wait..wait..wait..wait..
Please coming soon :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: toye ที่ 20-09-2013 23:16:13
สนุกมากกกกกๆเลย
ชอบแนวนี้มากเลยค่ะ แฟนตาซีบนโลกเสมือนจริง :hao5:
อยากให้กีคู่กะแฟนธอม คิดว่าสองคนนี้คู่กันมาตลอด
แต่พออ่านตอนนี้รัศมีเคะของแฟนธอมเริ่มแผ่ยังไงไม่รุ้แหะ
ผีดิบหนุ่มก็หล่อเชียว หุๆๆ เชียร์ไม่ถูก :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 21-09-2013 01:00:30
จริงๆอยากให้แฟนธอมคู่กับกีนะ แต่คุณผีดิบก็น่าสนใจอยู่หรอก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 21-09-2013 09:58:36
คุณแฟนธ่อมต้องคู่กับกีสิ แต่เจอรัลด์ล่ะ เอาไงดีๆ
คุญเจ้าของที่ดินกับคุณเลขาชัวร์ๆ

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 7 - 8 (20/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-09-2013 11:56:08
สนุกสุดๆ เลย
ยังกะอ่านแฮรี่ พอตเตอร์
นึกถึงเรื่องม่านราตรี แต่ที่นี่สมาชิกเยอะกว่า เพี้ยนกว่า 55
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 21-09-2013 20:25:25

ตอนที่ 9
เปิดใจ




    ริวพากีรติมาบ้านของเขาซึ่งตั้งอยู่ในซอยสอง กีรติเหลือบมองสวนหน้าบ้านของอีกฝ่ายซึ่งเป็นสวนหินกรวด มีต้นไม้เขียวเล็ก ๆ ปลูกแซม และมีอ่างน้ำใบย่อมวางอยู่กลางสวน 

    “สวนสวยดีนะครับ เรียบ ๆ แต่ดูแล้วชวนให้ใจสงบดี”

    กีรติเอ่ยชม ทำให้เจ้าของบ้านชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ ทางด้านชิโระที่เกาะบ่าของริวมาตลอด ก็กระโดดลงพื้นแล้วกลายร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ เดินนำหน้าไปยังห้องนั่งเล่นของบ้าน ที่ดูแล้วโล่งสบายตา แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรตั้งเกะกะ นอกจากโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก และเบาะรองนั่งสองเบาะกลางห้อง นอกจากนี้ยังสามารถเปิดประตูกระจกบานใหญ่ในห้อง แล้วนั่งชมสวนหินหน้าบ้านได้อีกด้วย

    “นั่งตรงนี้ก่อนนะครับ...ชิโระไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาที”

    ชิโระพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงเดินหายไป สักพักสุนัขจิ้งจอกสีขาวก็คาบกล่องปฐมพยาบาลมาส่งให้ริวที่ห้องนั้น

    “โชคดีที่แผลไม่ลึกมาก ...คราวหลังอย่าประมาทแบบนี้อีกนะครับ ถ้ามีสัญญาณไซเรนดังขึ้นเมื่อไหร่ แสดงว่าผู้บุกรุกนั้นไม่ใช่มนุษย์แน่นอน หรือถ้าใช่ก็เป็นมนุษย์ที่ร้ายกาจมาก พวกนั้นไม่ใช่คู่มือที่มนุษย์ธรรมดาอย่างคุณจะต่อสู้ได้ ถึงคุณจะมีความสามารถด้านการต่อสู้มาบ้างก็ตาม”

    ริวบอกเสียงขรึมระหว่างทำแผล และเมื่อเขาพันผ้าสีขาวบนแขนนั้นเสร็จ กีรติก็มองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ

    “เอ่อ...เสร็จแล้วหรือครับ”

    “ครับ ก็แค่ทำแผล ไม่ได้ใช้เวลานานนักหรอกครับ”

    ริวตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทำให้กีรติยิ้มเจื่อน ๆ

    “แล้วเรื่องพิษหรือคำสาปที่คุณริวว่าต้องทำพิธี...”

    “ผมโกหกน่ะครับ แค่อยากจะหาโอกาสเตือนคุณเรื่องพวกนี้โดยตรง เลยพามาที่บ้านแทน”

    หนุ่มญี่ปุ่นเอ่ยขัดก่อนที่กีรติจะพูดจบ แถมยังคงแสดงท่าทีเฉยชา ทำให้ชิโระต้องหันไปลอบถอนหายใจ ส่วนกีรตินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ตามมา

    “ผมเข้าใจแล้วครับ...ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณริวต้องเสียเวลาแบบนี้”

    ริวมองคนพูดที่หน้าสลดเล็กน้อยด้วยใบหน้านิ่งเฉยชั่วครู่ ส่วนชิโระนั้นคอยดูว่าเจ้านายของตนจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นริวเป็นห่วงใคร และโมโหใส่ใครขนาดนี้มานานมากแล้ว

    “เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นผมไม่อยู่รบกวนคุณริวดีกว่าครับ อีกอย่างผมทิ้งป้อมยามมาได้สักพักแล้ว ผมคงจะต้องกลับไปทำงานตามเดิมแล้วล่ะครับ”

    กีรติที่ไม่อยากอยู่สร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายรีบบอก ทว่าพอเขาลุกขึ้นจะเดินออกไป ริวก็คว้าข้อมือชายหนุ่มเอาไว้ก่อน

    “เดี๋ยวผมไปส่งให้ที่ป้อมยาม... ผมอยากจะไปตรวจสอบดูสักหน่อย ว่ายังมีพวกนั้นหลงเหลืออีกบ้างไหม”

    ริวอธิบายตามมา ทำให้กีรติไม่มีทางเลือกและยอมให้อีกฝ่ายเดินไปส่งเขาอย่างที่เจ้าตัวต้องการ



    ทั้งสองเดินกันไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนนัก ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แต่พอใกล้จะถึงป้อมยาม ริวก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

    “จริง ๆ แล้วคุณก็ไม่ได้ผิดอะไรมากนักหรอก ...ผมก็แค่หงุดหงิดที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้คุณบาดเจ็บ และเป็นห่วงคุณที่ชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนั้น ถึงแม้จะทำเพื่อช่วยใครสักคนก็ตามเถอะ”

    กีรติหยุดชะงักฝีเท้า แล้วจึงหันมามองคนพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจกึ่งตกใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ มีรอยยิ้มอย่างยินดีปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น

    “ค่อยยังชั่ว ...ผมคิดว่าจะถูกคุณริวเกลียดเข้าให้แล้วเสียอีก”

    ริวเงียบกริบ เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทว่าในใจของเขากลับเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด หลังจากได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสาของอีกฝ่ายที่มีให้กับเขา

    “คราวหน้าผมจะระวังตัวกว่านี้นะครับ แล้วจะตัดสินใจให้รอบคอบ ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวจนคุณต้องเป็นห่วงอีกแล้วล่ะครับ!”

    กีรติบอกพร้อมรอยยิ้มแล้วโค้งศีรษะน้อย ๆ ให้คนที่มาส่งเขา ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ป้อมยามอย่างอารมณ์ดีกว่าเดิม เจ้าตัวเอ่ยทักทายอเล็กซ์ แล้วหัวเราะเจื่อน ๆ เมื่อถูกอเล็กซ์บ่นว่าเขาใจร้อนเกินเหตุ จนเกือบทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้

    “...ประหลาดคนจริง ๆ นั่นล่ะนะ”

    ริวพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา และยังคงยืนมองกีรติที่พูดคุยกับอเล็กซ์อยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันหลังเดินตรงกลับบ้านพักของเขาเงียบ ๆ ไปตามลำพัง

 

     เช้าวันถัดมากีรติก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อคนที่ยิ้มแย้มและพูดคุยกับเขาในวันแรกของการทำงาน ในวันนี้กลับเพียงแค่พยักหน้าทักทายเขาและเดินผ่านไปเท่านั้น

    “หือ...วันนี้คุณริวดูแปลก ๆ ไปนะครับ”

    อเล็กซ์เอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย เพราะปกติแล้วริวจะมีมนุษยสัมพันธ์มากกว่านี้ ถึงแม้จะไม่มีใครเฝ้าป้อมอยู่เลย  อเล็กซ์ก็ยังมักจะได้รับการทักทายพูดคุยด้วยเสมอแท้ ๆ   

     “คงจะเป็นเพราะผมล่ะมั้งครับ ...การที่คนอย่างผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของคุณริวเมื่อวาน แล้วช่วยอะไรเขาไม่ได้ แถมยังเกือบแย่อีกด้วย ก็คงทำให้คุณริวลำบากใจ จนไม่อยากเข้าใกล้ผมอีกก็ได้”

    กีรติพึมพำตอบ ซึ่งพออเล็กซ์ได้ฟัง เจ้าตัวก็เอ่ยตามมาในสิ่งที่ทำให้กีรติสะดุ้ง

    “นั่นสิครับ คนธรรมดาอย่างคุณ ขืนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนั้น ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเสียมากกว่า”

    “ฮะ ๆ นั่นสิครับ”

    กีรติรับคำเสียงแผ่ว ด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม อเล็กซ์เงียบไปสักครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

    “แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกห่วงใยและต้องการช่วยปกป้องผู้คนที่นี่จากใจจริงของคุณ มันก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนเกลียดคุณไม่ใช่หรือครับ  สำหรับคุณริว ผมคาดเดาว่า เขาคงพยายามตีตัวออกห่าง เพราะไม่อยากให้คุณต้องมาโดนลูกหลงหรือเสี่ยงอันตราย เพราะเขาเป็นต้นเหตุมากกว่า”

    กีรตินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงมีรอยยิ้มแจ่มใสให้ได้เห็นอีกครั้ง

    “ขอบคุณนะครับ คุณอเล็กซ์!”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่พูดตามข้อมูลที่มีเท่านั้น”

    อเล็กซ์ตอบไปตามตรง แต่สำหรับกีรติแล้วแม้จะไม่มีชีวิต หรือเป็นเพียงแค่ข้อมูลสังเคราะห์ขึ้นมา ทว่าอเล็กซ์ก็เปรียบเสมือนเพื่อนของเขาคนหนึ่งเลยทีเดียว

    “แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณ คุณอเล็กซ์อยู่ดี ถ้าไม่มีคุณคอยอยู่เป็นเพื่อนคุย ผมคงจะเหงาแย่เลย”

    อเล็กซ์เงียบกริบไปสักพัก แล้วจึงทำเป็นคุยเรื่องลมฟ้าอากาศแทน ปฏิกิริยาของ AI อัจฉริยะ ถ้าเป็นมนุษย์ กีรติก็คงคิดได้อย่างเดียวว่าอีกฝ่ายคงเขินอยู่นั่นเอง

    จากนั้นพอริวกลับมาจากเก็บกวาดหน้าหมู่บ้านเรียบร้อย เจ้าตัวก็เดินเงียบ ๆ ผ่านป้อมยามของกีรติไปเช่นตอนขาออกมา ทว่าชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อกีรตินั้นตะโกนเรียกชื่อเขาดังลั่น

    “คุณริวครับ!”

    หนุ่มญี่ปุ่นหันไปมองคนที่เรียกเขาอย่างแปลกใจ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นกีรติยิ้มกว้างให้เขา พร้อมกับทักทายตามมา

    “อรุณสวัสดิ์ครับ!”

     “เอ่อ...อรุณสวัสดิ์”

    ริวตอบรับอย่างงุนงง ชายหนุ่มร่างเล็กยิ้มพร้อมกับโค้งให้เขา แล้วจึงหันไปยืนยามต่อ แต่ใบหน้าน่ารักนั่นก็แดงระเรื่อนิด ๆ ให้พอสังเกตเห็นได้อยู่ดี

    “ริว...อย่าเพิ่งรีบตัดรอนกันเลยนะ ริวก็เห็นไม่ใช่หรือว่า กีรติเขายังกล้าที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาริวก่อน ทั้งที่ริวแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขาแท้ ๆ น่ะ”

    ชิโระสัตว์อสูรของหนุ่มญี่ปุ่น ปรากฏกายกระซิบบอกขณะที่ริวกำลังคิดจะเดินตรงกลับบ้านพักของเขา และนั่นจึงทำให้ริวนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจตามมาค่อย ๆ แล้วหันไปทางกีรติ พลางบอกกับชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

    “ตั้งใจทำงานนะครับ คุณกีรติ”

    กีรติสะดุ้งโหยง พลางรีบหันมามองคนพูด และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของริว ชายหนุ่มร่างเล็กจึงมีรอยยิ้มกว้างสดใสกว่าเดิม ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักตอบรับจนริวนึกขำ จากนั้นหนุ่มญี่ปุ่นจึงขอตัวกลับบ้าน ส่วนจิ้งจอกขาวก็อมยิ้มอย่างยินดี ที่เห็นเจ้านายของตนเริ่มเปิดใจคบหามนุษย์คนอื่น เพิ่มขึ้นมาอีกคนเช่นนี้

     “ดีจังเลย คุณริวไม่ได้รำคาญผมจริง ๆ ด้วยล่ะครับ คุณอเล็กซ์!”

    “ผมก็บอกแล้วไงครับ ว่าไม่มีใครในหมู่บ้านนี้รังเกียจ หรือรำคาญ คนที่ปรารถนาดีกับพวกเขาจากใจจริงหรอกครับ”

    กีรติยิ้มรับถ้อยคำนั้น แล้วจึงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งเสียยิ่งกว่าเดิม จนอเล็กซ์ต้องบอกให้เจ้าตัวหาเวลานั่งพักผ่อนเสียบ้าง เพราะถ้าว่างจากตรวจตรารอบหมู่บ้าน กีรติก็เอาแต่ยืนยามไม่ยอมนั่งพักจนเกือบทั้งวันเลยทีเดียว

   

    ตกบ่ายคล้อยใกล้เย็น คนที่ต้องทำงานกะดึกก็ลืมตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย เนื่องจากตั้งแต่เมื่อวานที่เกิดเรื่อง เขาก็ยังไม่ได้นอนหลับเลยสักนิด และพอเพลียจนเคลิ้มหลับมาได้เกือบชั่วโมง นาฬิกาปลุกที่เขาตั้งเวลาไว้ก็ดังขัดจังหวะการนอนเสียก่อน ชายหนุ่มควานหานาฬิกาบนหัวเตียงที่วางใกล้กับหน้ากากที่เขามักจะถอดออกยามนอนเสมอ ก่อนจะกดปิดเสียงปลุกที่ดังขึ้นต่อเนื่องนั่นลง

    “เจ้าซอมบี้งี่เง่านั่น  เพราะนายคนเดียว ทำเอาฉันนอนไม่หลับเลยนะ...เจ้าบ้า”

    แฟนธอมพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องหวนคิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมีให้เขา และถ้าตอนนั้นเขาไม่บังเอิญหันกลับไปมอง เขาก็คงไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายเก็บงำซ่อนเอาไว้เป็นแน่ 

    ‘ทุกทีก็ชอบทำเป็นคอยหาเรื่องแกล้งกวนประสาทชาวบ้านตลอด ด่าว่าอะไรก็ทำเป็นหน้าด้านหน้าทนเสมอ ...แล้วทีกับเรื่องนี้ ดันไม่กล้าพูดตรง ๆ นี่นะ ...งี่เง่าชะมัด!’

    แฟนธอมคิดในใจระหว่างที่ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ เขาชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ได้สวมหน้ากากของตนเองสะท้อนกับกระจกติดผนัง ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ

    “นายมันบ้า...เจอรัลด์ ...แถมยังรสนิยมแย่อีกด้วย”

    แฟนธอมลูบไล้เงาสะท้อนบนกระจก ที่เป็นแผลเป็นจากไฟไหม้แผลใหญ่บนซีกหน้าข้างขวาของเขา ชายหนุ่มหลับตาแล้วหันหลังให้กระจก ก่อนจะจัดการทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย และออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมหน้ากากที่วางไว้บนหัวเตียง เพื่อรอทำงานกะดึกต่อจากกีรติ แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกเพลียและเวียนหัวอยู่มากก็ตาม

   

    กีรติมองคนที่เดินโงนเงนมาเปลี่ยนเวรกับเขาอย่างเป็นห่วง เพราะสังเกตเห็นสภาพอิดโรยจากดวงตาของอีกฝ่าย แต่แฟนธอมก็ยังคงยืนกรานจะทำงานต่อ และบอกให้รุ่นน้องของเขาคลายกังวลว่าหากไม่ไหว จะนอนพักในป้อมเอง

    “ห่วงไม่เข้าเรื่องจริง ๆ เลยนะ...”

    แฟนธอมพึมพำเมื่อเห็นกีรติเดินไปพลางเหลียวกลับมามองเขาไปพลางจนกระทั่งลับตาไป

    “แต่วันนี้ดูคุณอาการแย่ผิดปกตินะครับคุณแฟนธอม นอนพักผ่อนไม่เพียงพอหรือครับ”

    เสียงอเล็กซ์ถามขึ้น ทำให้แฟนธอมสะดุ้งโหยง เพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้น เหมือนกับคนที่ทำให้เขากังวลจนนอนไม่หลับนั่นเอง

    “เปล่าสักหน่อย! นายอย่ามายุ่งกับฉันนักเลยน่า!”

    แฟนธอมหันมาโวยวายใส่ แล้วก็ชะงักอย่างตั้งสติได้ ก่อนจะเอ่ยพึมพำตามมาอย่างสำนึกผิด

    “ขอโทษทีนะอเล็กซ์ ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านายหรอก  นั่นสิ...ฉันคงอาการแย่จริง ๆ  เพราะตั้งแต่เมื่อวานมา ฉันเพิ่งได้หลับไม่ถึงสองชั่วโมงดีเลยด้วยซ้ำน่ะ”

    “ผมเข้าใจครับ พอร่างกายไม่ปกติ สภาพจิตใจก็จะแย่ไปด้วย ...คุณควรกลับไปพักผ่อนนะครับ คุณแฟนธอม ที่ป้อมนี่ผมดูแลเองได้อยู่แล้ว”

    อเล็กซ์บอกตามมาอย่างไม่ถือสา แม้จะแปลกใจท่าทางของอีกฝ่ายในตอนแรกนักก็ตาม

    “ไม่ดีกว่า...ขืนกลับห้อง เดี๋ยวกีรติก็จะเป็นห่วงเอา  ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ฉันก็จะหลับในป้อมแทนแล้วกัน”

    แฟนธอมบอกกับ AI ประจำป้อม ซึ่งอเล็กซ์แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เมื่ออีกฝ่ายยืนกรานเช่นนั้น เขาก็คงจะห้ามไม่ได้อยู่ดี อีกทั้งตอนนี้แฟนธอมก็ยังไม่ได้มีอาการผิดปกติจนน่าห่วงสักเท่าใดนักด้วย 


  แฟนธอมยืนยามอยู่เกือบชั่วโมง ก่อนจะฝืนกินข้าวที่กีรติมาส่งให้เมื่อครู่นี้ไปได้ไม่กี่คำ เขาก็ต้องหยุดกิน เพราะรู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมา จนต้องอาศัยป้อมยามเป็นที่นั่งพักชั่วครู่

    “คุณเป็นไข้แล้วล่ะคุณแฟนธอม อุณหภูมิร่างกายคุณตอนนี้สูงเกือบสี่สิบองศาทีเดียว  ผมว่าผมแจ้งมาสเตอร์ให้ทราบดีกว่าครับ”

    อเล็กซ์บอกกับชายหนุ่ม ทว่าคำพูดนั้นทำให้แฟนธอมหน้าร้อนวาบ แล้วรีบปฏิเสธออกไปอย่างลืมตัว

    “ห้ามบอกหมอนั่นนะ!”

    อเล็กซ์รู้สึกแปลกใจต่อพฤติกรรมของแฟนธอมในวันนี้ แต่ก็ยังคงเลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เพราะเขาถูกตั้งโปรแกรมให้เชื่อฟังแฟนธอม รองจากเจอรัลด์และเวธน์นั่นเอง ทว่าหากไข้ของอีกฝ่ายขึ้นสูงกว่านี้อีกสัก 1 หรือ 2 องศา เขาก็คงจำต้องยอมขัดคำสั่งของแฟนธอมแล้วแจ้งเจอรัลด์ให้ทราบในเรื่องนี้เสียแล้ว 

    “เอ่อ...พักสักครู่ก็ไข้ลดเองนั่นล่ะ... ให้ตายสิ นี่ฉันไม่ได้ป่วยมานานขนาดไหนแล้วนะ”

    แฟนธอมพึมพำเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะกังวลที่เขาหลุดแสดงอาการแปลก ๆ ออกไปเช่นกัน ซึ่งพอได้ยินแฟนธอมพูดดังนั้น อเล็กซ์ก็ดึงข้อมูลที่บันทึกไว้มาตอบอย่างฉะฉาน

    “ครั้งสุดท้ายที่คุณป่วยก็ตอนที่คุณควงกะเช้าค่ำ ติดกันสามวันเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนั้นพอมาสเตอร์ได้รับรายงานจากผม ก็รีบอุ้มคุณไปหาหมอเพชรถึงบ้านของเขาเลยนะครับ แถมยังถีบประตูบ้านหมอเพชรพังเพราะเรียกแล้วเขาไม่ยอมตื่นอีกด้วย”

    แฟนธอมสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

    “ไม่เห็นหมอเพชรเคยบอกเลยว่าเจ้าซอมบี้...เอ่อ เจอรัลด์เป็นคนพาฉันไปหาเขาน่ะ”

    “หืม...สงสัยคงเพราะหมอเพชรจะโมโหที่มาสเตอร์ทำประตูบ้านเขาพังล่ะมั้งครับ เลยไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้คุณทราบ”

    อเล็กซ์ตอบอย่างคาดเดา ซึ่งแฟนธอมก็นิ่วหน้าน้อย ๆ พลางหวนคิดถึงเรื่องเมื่อสองเดือนก่อนที่พอจะจำได้ลาง ๆ  เขาถามหมอเพชรว่าเขามาที่บ้านอีกฝ่ายได้ยังไง หมอเพชรที่ทำเหมือนจะตอบก็กลับชะงักเงียบไปชั่วครู่ แล้วบอกว่าคนในหมู่บ้านแถวนั้นที่ผ่านมาช่วยพามาส่ง แถมยังยิ้มแปลก ๆ ให้เขาอีก  พอวันรุ่งขึ้นที่เขาค่อยยังชั่ว เจอรัลด์ก็เริ่มมาวุ่นวายป้วนเปี้ยนใกล้เขา แต่พอเขาไล่ไปด้วยความรำคาญ เจ้าตัวก็มีสีหน้าผิดหวังแปลก ๆ ให้เห็น

    “บ้าจริง...อะไรของหมอนั่นกันนะ จะพูดตรง ๆ ชัด ๆ ให้มันรู้เรื่องไปเลยไม่ได้หรือไง...เอาแต่ทำทีเล่นทีจริงแบบนั้น ใครมันจะไปเข้าใจได้เล่า...”

    แฟนธอมพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด เขารู้สึกเหมือนไข้ของตนจะขึ้นสูงกว่าเดิม จนภาพเบื้องหน้าเขาเริ่มเบลอไปหมด

    “คุณแฟนธอม! คุณแฟนธอมครับ! แย่ละ สงสัยต้องติดต่อมาสเตอร์ด่วนแล้ว!”

    แฟนธอมที่ได้ยินคำพูดนั้นของอเล็กซ์ พยายามจะเอ่ยปากห้าม แต่ก็แทบไม่มีเสียงเล็ดรอดออกจากปากของเขา สักพักเขาก็ได้ยินเสียงเดิมที่ใกล้เคียงกันดังขึ้น ทว่าเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใยแกมหวั่นวิตก ซึ่งแตกต่างจาก AI ประจำป้อมหลายเท่านัก

    “คุณแฟนธอม! ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ! เดี๋ยวผมจะพาคุณไปหาหมอเอง!”

    เจอรัลด์บอกพลางประคองร่างที่เป็นลมล้มพับไปกับพื้นเพราะพิษไข้ไว้แนบอก และช้อนร่างนั้นอุ้มออกจากป้อม เร่งฝีเท้าเดินไปยังสถานที่พักของหมอประจำหมู่บ้าน ที่มีฝีมือในการรักษาได้ทั้งมนุษย์ธรรมดาและพวกปีศาจด้วยกันเอง

    “เจอรัลด์...”

    แฟนธอมที่รู้สึกตัวคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น เรียกชื่อคนที่กำลังอุ้มเขาเดินไปหาหมอแผ่วเบา ทำให้เจอรัลด์ชะงักแล้วก้มมองคนในอ้อมกอดของตน

    “เป็นอะไรไปหรือครับคุณแฟนธอม...ทรมานมากไหม รอเดี๋ยวนะครับ อีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านหมอแล้ว”

    เจอรัลด์บอกกับคนในอ้อมกอดแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ยังคงแฝงความเป็นห่วงและกังวลให้ได้เห็นอยู่ดี

     “อือ...ไม่ต้องรีบนักหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก...”

    แฟนธอมพึมพำเสียงแหบ แม้จะรู้สึกทรมานเพราะพิษไข้ แต่อ้อมกอดของคนที่อุ้มเขาก็อบอุ่นเสียจนทำให้เขารู้สึกสบายใจได้เช่นกัน

    “ไม่มากอะไรกันครับ...อเล็กซ์นี่ก็แย่จริงเชียว ควรจะแจ้งผมทราบตั้งแต่ตอนที่คุณเริ่มมีอาการไม่ดีให้เห็นแล้วด้วยซ้ำ!”

    เจอรัลด์บ่นแล้วพาลไปถึงสิ่งประดิษฐ์ของเขา ทำให้แฟนธอมต้องยกมือแตะหน้าอีกฝ่ายค่อย ๆ เพื่อต้องการให้ชายหนุ่มใจเย็นลงกว่านี้

    “ไม่ใช่ความผิดของอเล็กซ์สักหน่อย ...ฉันห้ามไม่ให้เขาบอกนายเองต่างหาก...เพราะฉัน...”

    แฟนธอมบอกแล้วก็เงียบไป ก่อนจะหลุบตาหลบไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย  ทางด้านเจอรัลด์ชะงักนิ่ง ชายหนุ่มจ้องมองคนในอ้อมกอดอย่างพยายามค้นคว้าหาคำตอบ ถึงการกระทำและคำพูดอันแตกต่างจากยามปกติ ที่อีกฝ่ายมีต่อเขา

    “เฮ้! นั่นจะพาคนไข้มาให้ฉันรักษาใช่ไหมเจอรัลด์ ถ้าอย่างนั้นก็พามาได้แล้ว ฉันขี้เกียจซ่อมประตูบ้านเองทีหลังอีก!”

    เสียงตะโกนที่ดังขัดขึ้นทำให้เจอรัลด์และแฟนธอมสะดุ้ง ทางด้านเจอรัลด์นั้นพอรู้สึกตัวว่าเขากำลังจะพาแฟนธอมมารักษาตัว ชายหนุ่มก็รีบเร่งฝีเท้าเดินไปหาชายหนุ่มตรงหน้าเขาทันที

    “หมอเพชร! คุณแฟนธอมมีไข้สูงมากครับ! ช่วยรักษาเขาเร็ว ๆ เข้าเถอะ!”

    ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหมอเพชร เป็นชายรูปร่างผอม และสูงพอ ๆ กับเจอรัลด์ ไว้ผมดำสั้นรองทรงปรกคอ และมีนัยน์ตาสองสีประหลาดเป็นสีทองข้างซ้ายและดำข้างขวา ใบหน้าเรียวได้รูป จัดว่าเป็นชายที่มีใบหน้าสวยเสียยิ่งกว่าผู้หญิงจริง ๆ ด้วยซ้ำ

    “เออ! รู้แล้วน่า อเล็กซ์แจ้งมาก่อนล่วงหน้าแล้ว นายอุ้มเขาเข้ามาดี ๆ เหอะ อย่ามาถีบประตูบ้านฉันพังอีกล่ะ!”

    คนเป็นหมอบอกอย่างหงุดหงิด เพราะกำลังนั่งพักผ่อนสบาย ๆ อยู่ดี ๆ อเล็กซ์ก็ส่งสัญญาณฉุกเฉินเข้ามาในบ้านของเขา แล้วบอกว่าเจอรัลด์กำลังพาแฟนธอมที่ไม่สบายไปหา ทำเอาเขาต้องรีบวิ่งพรวดพราดมาเปิดประตูบ้านไว้รอล่วงหน้า เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะใจร้อน จนถีบประตูบ้านเขาพังอย่างคราวก่อนอีกครั้ง

    “เอาล่ะ! นายออกไปรอนอกห้องโน่น ฉันจะรักษาเขาให้เอง ขืนมายืนกดดันกันแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็หยิบยาผิดยาถูกกันพอดี!”

    หมอเพชรไล่ให้เจอรัลด์ออกไปรอนอกห้องรักษา แม้ว่าผีดิบหนุ่มจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะแกล้งไม่รักษาแฟนธอมเข้าให้จริง ๆ จึงจำต้องยอมทำตามคำสั่งนั้นแต่โดยดี

    “หึ! หมอนั่นจะยอมเชื่อฟังกันก็เฉพาะเวลาที่มีคุณอยู่ด้วยเท่านั้นล่ะนะแฟนธอม”

    หมอหนุ่มเอ่ยกระเซ้าคนที่นอนไข้ขึ้นสูง ใบหน้าใต้หน้ากากนั้นร้อนวูบวาบหลังจากได้ฟัง ซึ่งแฟนธอมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะพิษไข้ หรือเพราะความรู้สึกประหลาด ๆ ที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นในตอนนี้

    “คราวก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว ...อ้อ ผมไม่ได้บอกคุณสินะ ว่าเขาอุ้มคุณมาส่งที่นี่ตอนคุณป่วยเมื่อสองเดือนก่อนน่ะ”

    หมอเพชรเปรยบอกระหว่างที่เปิดตู้ยา หายาฉีดลดไข้ให้กับอีกฝ่าย

    “เอ่อ...เรื่องนั้น อเล็กซ์เพิ่งบอกให้ผมรู้...เมื่อก่อนหน้านี้สักพักเอง”

    หมอหนุ่มชะงักมือของตน เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ้ำอึ้งของแฟนธอม แล้วจึงเหลือบมามองคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างประหลาดใจ เจ้าตัวค่อย ๆ จัดการถอดหน้ากากของอีกฝ่ายออก โดยที่แฟนธอมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพราะคนที่เคยรักษาเขายามร่างกายบอบช้ำ อ่อนแรง และเต็มไปด้วยบาดแผล เมื่อครั้งที่มาหมู่บ้านนี้ใหม่ ๆ ก็คือหมอเพชรคนนี้นี่เอง

    “เป็นปฏิกิริยาที่ค่อนข้างเกินคาดนะ...ถ้าอย่างนั้นก็คงใกล้ถึงเวลาที่คุณจะยอมเปิดเผยใบหน้าใต้หน้ากากนี่ ให้เขาเห็นได้แล้วล่ะสิ”

    แฟนธอมหน้าแดงหนักขึ้น แล้วพยายามหลบสายตาของอีกฝ่าย ทำให้หมอหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบยาลดไข้มาฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่ต้นแขนของอีกฝ่าย แล้วชวนคนไข้ของเขาคุยไปด้วย

    “คุณเองก็อยู่มานานจนน่าจะมองออกว่าใครคิดยังไงกับคุณ  ผมเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความรักของใครนักหรอก ...แต่ก็อยากให้คำแนะนำอะไรบางอย่าง ในฐานะที่พวกเราเป็น ‘มนุษย์’ ที่ค่อนข้างคล้ายกันอยู่มาก”

    หมอเพชรหยุดพูดชั่วครู่ แล้วใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดที่ต้นแขนของชายหนุ่มหลังจากฉีดยาเสร็จ จากนั้นเขาก็ลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ พลางยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน

    “ชีวิตอมตะไม่แก่ไม่ตายที่พวกเราได้รับมาโดยไม่รู้ตัว บางทีก็ใช่ว่ามันจะอยู่กับเราไปได้ตลอดกาล... ในเมื่อวันหนึ่งเราเป็นแบบนี้ได้ ก็อาจจะมีสักวันที่เวลาซึ่งหยุดนิ่งเริ่มเดินอีกครั้ง ...ผมอยากให้คุณใช้ชีวิตที่ไม่แน่นอนนี้ ให้คุ้มค่ามากที่สุด และการมีใครสักคนที่เรารักและรักเราอยู่เคียงข้าง ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนแต่ปรารถนาไม่ใช่หรือ”

    แฟนธอมจ้องมองหมอหนุ่มที่เขานับถือเสมือนพี่ชายคนหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าเขินอายอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน  ทำให้หมอเพชรต้องหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู  ทว่าพอได้ยินเสียงกรอกแกรกคล้ายฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ประตู เขาก็ลอบยิ้มน้อย ๆ พลางแกล้งทำเป็นชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ จนใบหน้าของเขาเกือบแนบชิดกับใบหน้าของคนนอนอยู่   

    “คุณหมอ...”

    แฟนธอมพึมพำอย่างตกใจและแปลกใจ แต่หมอเพชรนั้นทำเสียงเบา ๆ ให้อีกฝ่ายเงียบ  สักพักก็มีเสียงคล้ายประตูเลื่อนของห้องรักษาถูกเปิดออกค่อย ๆ แต่พอสายตาของคนเปิดมองเห็นภาพที่เกิดในนั้น ประตูก็ถูกเลื่อนผลักออกไปโดยแรง พร้อมกับร่างที่ก้าวพรวดเข้ามาอย่างโมโห

    “หมอเพชรจะทำอะไรคุณแฟนธอมน่ะ!”

    หมอหนุ่มอมยิ้มนิด ๆ ส่วนแฟนธอมที่กำลังตกใจชะงักกึก แล้วพอเขาตั้งสติได้ว่าตนยังไม่ได้สวมหน้ากาก ชายหนุ่มก็รีบยกมือปิดบังใบหน้าของตนไม่ให้เจอรัลด์ได้เห็นทันที

    “คุณแฟนธอม...”

    เจอรัลด์เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตกใจ เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาตอบรับของคนที่นอนอยู่  ซึ่งแฟนธอมก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะตะโกนไล่คนที่เข้ามาเสียงดังลั่น

    “ออกไปนะ...ออกไปให้พ้น!”

    หมอเพชรถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเหลือบมองเจอรัลด์ที่มีใบหน้าซีดเผือด เพราะกลัวว่าแฟนธอมจะเกลียดตนเข้าให้จริง ๆ

    “นายออกไปก่อนเจอรัลด์...เดี๋ยวให้แฟนธอมเขานอนพักที่ห้องนี้ต่ออีกสักหน่อย พอค่อยยังชั่วนายค่อยพาเขากลับบ้าน”

    เจอรัลด์มองคนที่นอนปิดหน้าอย่างลังเล แต่ก็ต้องยอมทำตามนั้น ทว่าก่อนจะออกไป ชายหนุ่มก็พึมพำบางอย่างขึ้นแผ่วเบา

    “ผมขอโทษนะครับคุณแฟนธอม ที่เข้ามากะทันหันแบบนี้... แต่ขอร้องล่ะ... ได้โปรดอย่าเกลียดผมเลยนะครับ”

    เสียงประตูปิดลง พร้อมกับเสียงถอนหายใจของคนที่ยืนอยู่ในห้อง เจ้าตัวมองคนนอนปิดหน้า ที่ยังคงไม่ยอมเปิดใบหน้าออกให้เขาเห็น แต่นั่นไม่ใช่เพราะโกรธหรือขุ่นเคืองแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะว่าใบหน้านั้นเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ไม่แพ้กับตอนที่มีไข้ขึ้นสูงก่อนหน้าแม้แต่น้อย

    “เอ้า...หน้ากากของคุณ  แล้วก็ขอโทษที่ผมแกล้งพวกคุณหนักมากไปสักหน่อย... แต่เท่านี้คุณก็น่าจะรู้แล้วนะแฟนธอม ว่าเขาไม่ได้รังเกียจบาดแผลบนใบหน้าของคุณอย่างที่คุณเป็นกังวลสักนิด... แต่สิ่งที่เขากลัวที่สุดคืออะไร คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”

    แฟนธอมยอมเปิดหน้าหลังฟังจบ พลางหยิบหน้ากากที่หมอหนุ่มวางไว้บนอกของเขามากำแน่น และมองไล่หลังคนที่ยิ้มอ่อนโยนให้เขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไป แล้วทิ้งให้คนป่วยนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงตามลำพัง



… TBC …


อ่านถึงตอนนี้ อาจจะมีหลายคนเหวอ หุๆ  ...แต่คู่นี้ ปัดก็ตั้งใจให้เค้าคู่กันแต่แรกแล้วล่ะค่ะ ^^"
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 21-09-2013 20:28:48


ตอนที่ 10
สารภาพ



    แฟนธอมที่หลับไปสักพักใหญ่เพราะฤทธิ์ยา ปรือตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย เขาเหลือบมองนาฬิกาติดผนังในห้องตรวจ ก่อนจะขมวดคิ้วยุ่ง เพราะเข็มนาฬิกาชี้ให้เห็นว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว  ชายหนุ่มยันกายลุกจากเตียง ถึงจะยังมึนงงอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าอาการของเขาดีกว่าตอนหัวค่ำมากเลยทีเดียว

     “กลับป้อมดีกว่า...”

    แฟนธอมพึมพำ พลางเปิดประตูเลื่อนของห้องตรวจออกมา แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าเจอรัลด์กำลังนั่งหลับรอเขาบนเก้าอี้รับแขกแถวนั้น

    “ผมไล่เขากลับไปตั้งแต่ตอนจะห้าทุ่มแล้ว เพราะคิดว่าคุณน่าจะหลับยาว เลยกะจะให้คุณนอนพักที่นี่เสียเลย แต่หมอนั่นก็ยืนกรานจะอยู่เฝ้าจนกว่าคุณจะตื่นน่ะ”

    เสียงของหมอเพชรดังขึ้นจากมุมหนึ่งของบ้าน แฟนธอมหันไปมองก็เห็นว่าหมอหนุ่มกำลังออกจากห้องครัว มาพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือ ก่อนจะเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเจ้าตัวซึ่งตั้งอยู่ที่มุมห้อง

    “คุณค่อยยังชั่วแล้วหรือแฟนธอม ถ้ายังไงจะนอนพักที่นี่ก็ได้นะ หรือถ้านอนบนเตียงตรวจลำบาก ก็ไปนอนที่เตียงบนห้องผมก็ได้”

    แฟนธอมยิ้มให้อีกฝ่าย เพราะรู้ดีว่าหมอหนุ่มอนุญาตเช่นนั้นจริง ไม่ใช่แค่เพียงเชื้อเชิญไปตามมารยาทเท่านั้น

    “ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากรบกวนคุณหมอมากเกินไป อีกอย่างผมอาการดีขึ้นแล้ว เลยตั้งใจจะไปทำงานต่อ เดี๋ยวคุณเวธน์จะตำหนิเอาได้ ว่าทำงานไม่คุ้มเงินเดือน”

    หมอเพชรสั่นศีรษะพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ด้วยสีหน้าเอือมระอาต่อความขยันเสียเหลือเกินของอีกฝ่าย  ทว่าระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน เจอรัลด์ก็งัวเงียตื่นขึ้นมาพอดี และพอเห็นแฟนธอมยืนอยู่แถวนั้น เขาก็แทบจะตาสว่าง พลางรีบลุกมาถามไถ่อาการของชายหนุ่มอย่างเป็นห่วงทันที

    “คุณแฟนธอม! ตื่นแล้วหรือครับ เป็นไงบ้างครับ อาการดีขึ้นหรือยัง!”

     แฟนธอมสะดุ้งโหยง แต่พอหันไปเห็นสายตาห่วงใยของอีกฝ่าย เขาก็ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทำให้เจอรัลด์ใจหายวาบ เพราะเกรงว่าแฟนธอมจะยังไม่หายโกรธเขา หากแต่หมอเพชรที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรลอบยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกขำ  จริง ๆ เขาก็อยากแกล้งเจอรัลด์ให้มากกว่านี้ แต่ก็อดสงสารผีดิบหนุ่มไม่ได้ จึงขัดจังหวะทั้งคู่ด้วยการชวนสนทนาแทน

    “แฟนธอมบอกว่าเขาจะกลับไปทำงานต่อน่ะ  ยังไงก็วานนายไปส่งถึงห้องเขาหน่อยแล้วกัน...”

    คำพูดของหมอเพชรทำให้แฟนธอมสะดุ้งแล้วรีบหันมาเตรียมแย้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายขัดขึ้นเสียก่อน

     “ไม่ต้องแย้งเลยนะแฟนธอม นี่เป็นคำสั่งของหมอรู้ไหม และถ้าหากคุณเวธน์จะหักเงินเดือนคุณเมื่อไหร่ ก็มาเอาใบรับรองจากผมไปยื่นให้เขาว่าคุณป่วยจริงก็แล้วกัน”

    ท้ายประโยคหมอหนุ่มหยอกคนฟังที่เตรียมจะประท้วง ทำเอาแฟนธอมต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงยอมกลับไปพักผ่อนตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี ส่วนเจอรัลด์ลอบมองทั้งคู่อย่างนึกอิจฉา ที่เห็นแฟนธอมมักจะเชื่อฟังและว่าง่ายกับหมอเพชรอยู่เสมอ

    “ถ้าอย่างนั้นผมกลับเลยแล้วกันนะครับ...ขอบคุณคุณหมอมากที่ช่วยดูแล  เอ่อ...แล้วเรื่องค่าใช้จ่าย...”

    แฟนธอมถามเจ้าของบ้านที่เดินออกมาส่งเขา ทว่ายังไม่ทันพูดจบดี ก็ถูกอีกฝ่ายใช้หลังมือเขกศีรษะเจ้าตัวค่อย ๆ จนคนถูกเขกสะดุ้งอย่างตกใจ

    “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือแฟนธอม ว่าไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องค่ารักษาเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้  ไว้คุณป่วยหนักหรือบาดเจ็บเฉียดตาย ชนิดผมต้องใช้แรงกายรักษา หรือสิ้นเปลืองยาเปลืองวัสดุอุปกรณ์เมื่อไหร่ ตอนนั้นค่อยคิดค่าเสียหายกันทีหลังก็ได้”

    แฟนธอมมองคนตรงหน้าอย่างเกรงใจ แต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้เพราะรู้นิสัยหมอหนุ่มดีว่าค่อนข้างขี้รำคาญเพียงใด เผลอ ๆ หากเขาตื๊อมากเข้า อีกฝ่ายจะพาลโกรธเขาให้เสียอีก

    “เหอะ ๆ ทีตอนผม มาขอซื้อพวกวิตามินไปให้คุณแฟนธอมกินบำรุงร่างกาย คุณหมอยังขูดรีดซะราคาสองสามเท่าของราคายาด้วยซ้ำนะครับ”

     หมอเพชรหันมามองคนที่ค่อนขอดเขา แล้วจึงซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ก่อนจะหันไปพูดกับแฟนธอมแทน

    “เห็นไหมล่ะ เพราะอย่างนี้ผมถึงบอกว่าคุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะผมเอามันไปบวกกับส่วนที่หมอนี่ต้องจ่ายเป็นประจำอยู่แล้ว”

    แฟนธอมพยักหน้าตอบรับหมอหนุ่มค่อย ๆ ก่อนจะเหลือบมองคนที่บ่นอุบอิบกับตัวเองอย่างนึกสงสารและรู้สึกผิด ที่ก่อนหน้านั้นเขามักจะชอบบ่นรำคาญเวลาที่เจอรัลด์เอาวิตามินพวกนี้มาฝากเขาเสมอ แถมเขายังกินบ้างไม่กินบ้างเป็นประจำ แต่พอรู้แบบนี้ เห็นทีกลับไปเขาคงต้องไปรื้อวิตามินพวกนั้นมากินใหม่เสียแล้ว...ถ้าหากมันยังไม่หมดอายุเสียก่อนล่ะนะ 



     หลังจากขอบคุณและสนทนาต่ออีกสักครู่ แฟนธอมกับเจอรัลด์ก็ขอตัวล่ำลาหมอหนุ่ม  พวกเขาเดินกลับสำนักงานหมู่บ้านด้วยกันอย่างไม่รีบร้อนนัก โดยที่เจอรัลด์นั้นคอยเดินตามประกบติดอีกฝ่ายไม่ให้ห่าง ด้วยเกรงว่าแฟนธอมอาจจะยังไม่หายดี และเป็นลมล้มลงได้ทุกเมื่อ

    “นี่...สำนักงานหมู่บ้าน เดินไปอีกหน่อยก็ถึง แต่บ้านนายอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือไง กลับเข้าบ้านนายไปเถอะ เดี๋ยวฉันไปต่อเองก็ได้”

      แฟนธอมหันมาบอกคนข้าง ๆ เมื่อพวกเขาเดินผ่านบ้านสองชั้นซึ่งปลูกต้นไม้รกครึ้มเต็มหน้าบ้านหลังหนึ่ง ทางด้านเจอรัลด์ขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วรีบปฏิเสธไปทันที

    “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากไปส่งคุณก่อนนี่ ...หมอเพชรเองก็กำชับให้ผมส่งคุณให้ถึงห้องด้วยนะครับ”

    เจอรัลด์จำเป็นต้องอ้างชื่อหมอหนุ่มมาขู่ ทำให้คนฟังชะงักนิด ๆ และถึงแม้เจอรัลด์จะไม่เห็นสีหน้าภายใต้หน้ากากนั่น แต่เขาก็คาดเดาได้เลยว่า แฟนธอมนั้นจะต้องหงุดหงิดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

    “ผมไม่ได้อยากแกล้งคุณนะครับ...ผมแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นเอง”

    เจอรัลด์เสียงอ่อยตามมา เมื่อคนข้างกายเขาเตรียมจะเดินต่อโดยไม่พูดจาหรือโวยวายใส่เขาอย่างที่เคยเป็น ส่วนแฟนธอมพอได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักฝีเท้า แล้วจึงพึมพำบอกแผ่วเบาโดยไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย

    “รู้แล้วล่ะน่า...เอ่อ...แล้วก็ขอบคุณนะ ที่พาฉันมาหาหมอน่ะ”

    เจอรัลด์นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง  ถ้าเขาฟังไม่ผิด จากที่ได้ยินน้ำเสียงนั้น แฟนธอมน่าจะมีอาการเขินอายต่อเขา  หากแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะเมื่อตอนที่แฟนธอมถูกเขาเห็นใบหน้าแท้จริง อีกฝ่ายยังโกรธจนไล่เขาออกนอกห้องมาแล้ว

    “หือ... เป็นอะไรไป เจอรัลด์”

    แฟนธอมที่เดินไปได้สักพักหันกลับมามอง เพราะคนที่อาสาตามไปส่งเขา ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ซ้ำยังมีใบหน้าครุ่นคิดกังวลหนักอีกด้วย

    “คุณแฟนธอม ไม่ได้โกรธที่... เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ เราไปต่อกันเถอะครับ”

    เจอรัลด์ที่ตั้งใจจะถามบางอย่าง ตัดบทเปลี่ยนเรื่องพูดกลางคัน แต่คนฟังก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายอยากจะถามเขาถึงเรื่องใด แถมยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ ที่เห็นเจอรัลด์ไม่กล้าพูดตรง ๆ กับเขาแบบนี้อีกด้วย

    “อืม...ก็ดี ฉันเริ่มเพลียขึ้นมาอีกรอบแล้ว ไปนอนพักสักหน่อยก็คงดีเหมือนกัน”

    แฟนธอมเปรยตอบเสียงเรียบ โดยทำเป็นเมินไม่สนใจแววตาห่วงใยระคนตกใจของอีกฝ่าย และพอเจอรัลด์เดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ทำเป็นเร่งฝีเท้าเดินให้ห่างออกไป จนเจอรัลด์เริ่มรู้สึกตัว เขาจึงชะลอฝีเท้าลงเป็นเดินห่าง ๆ เพื่อไม่ต้องการให้แฟนธอมออกแรงเดินมากไปกว่านี้

    “...งี่เง่า”

    แฟนธอมพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา พอเห็นความห่วงใยของอีกฝ่าย เขาก็โกรธเจ้าตัวไม่ลง และจึงหยุดฝีเท้ายืนรอ จนเจอรัลด์ต้องเดินเข้ามาหาอย่างแปลกใจ

    “มีอะไรหรือครับ คุณแฟนธอม”

    แฟนธอมเงียบไปชั่วครู่อย่างลังเล ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วคว้าแขนอีกฝ่ายมาคล้อง พร้อมกับบอกโดยไม่ยอมมองหน้า 

    “ฉันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย...ก็เลยอยากจะยืมแขนนายเกาะเดินไปน่ะ...”

    เจอรัลด์เงียบกริบพูดอะไรไม่ออก เขายืนอึ้งไปนานจนแฟนธอมใจเสีย และค่อย ๆ คลายมือที่คล้องแขนอีกฝ่ายลง

    “ขอโทษนะ...ที่ทำให้เสียความรู้สึก”

    พอพูดจบชายสวมหน้ากากก็ก้มหน้าเดินจากไป แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อคนที่ยืนนิ่งอยู่แถวนั้น โผเข้ากอดเขาแน่นจากด้านหลัง

    “เจอรัลด์! ทำบ้าอะไรของนายน่ะ!”

    แฟนธอมโวยวายอย่างตกใจ ทว่าเจอรัลด์ก็ยังคงกอดแน่นแล้วพึมพำบอกตามมา

    “ขอโทษครับ...ผมไม่ได้เสียความรู้สึกหรือไม่ชอบนะครับ...ผมแค่ตกใจและก็ดีใจมากเท่านั้นเอง...คุณแฟนธอมอย่าเข้าใจผิดนะครับ”

    แฟนธอมหน้าร้อนวาบด้วยความอาย เพราะเจอรัลด์ไม่เพียงจะขอโทษเขา แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ซบอยู่ใกล้ ๆ ซอกคอเขาด้วย

    “...ไม่เห็นต้องมาดีใจหรือตกใจอะไรเลย...ไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันแบบนั้นสักหน่อย ไม่ใช่หรือไง”

    แฟนธอมบอกเสียงแผ่ว ลองเขาเปิดโอกาสให้ขนาดนี้ แต่หากเจอรัลด์ยังไม่กล้าสารภาพออกมาตามตรง เขาก็อาจจะต้องทำเป็นแกล้งไม่รับรู้ความรู้สึกของชายหนุ่มต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ  ทั้งที่ตัวเขาเองก็เริ่มมีความรู้สึกดี ๆ กับอีกฝ่ายแล้วก็ตาม

    “คุณแฟนธอม...ผม...ให้ตายเถอะ นี่ผมกำลังฝันอยู่ใช่ไหมครับ”

    เจอรัลด์กอดรัดร่างตรงหน้าแน่นขึ้นอย่างตื่นเต้น มือของชายหนุ่มสั่นเทาจนแฟนธอมสังเกตเห็น ชายสวมหน้ากากยกมือของตนมากุมมือของอีกฝ่ายที่กอดเขาอยู่ แล้วจึงพึมพำตอบกลับไป

    “แล้วถ้ามันเป็นความฝันของนายจริง ๆ ล่ะ ...นายจะกล้าพูดในสิ่งที่นายเก็บซ่อนมันเอาไว้มานานไม่ให้ฉันได้รับรู้ ต่อหน้าฉันไหม”

    พอแฟนธอมพูดจบ ทางด้านเจอรัลด์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ คลายอ้อมกอดของตน แล้วพลิกร่างของอีกฝ่ายให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา มือใหญ่เอื้อมไปที่หน้ากากเตรียมจะปลดมันออก ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเจ้าของหน้ากากนั้นสะดุ้งนิด ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเบือนหน้าไปอีกทาง ริมฝีปากได้รูปนั้นเม้มน้อย ๆ คล้ายกำลังสับสนอย่างหนัก

    “คุณแฟนธอมครับ...ให้ผมได้มีโอกาสสารภาพต่อหน้าตัวตนที่แท้จริงของคุณจะได้ไหมครับ...ผมอยากจะเป็นคนหนึ่งที่คุณมอบความไว้วางใจทั้งหมดให้บ้าง...นะครับ”

    แฟนธอมนิ่งเงียบรับฟังถ้อยคำขอร้องของอีกฝ่ายอยู่สักพัก เขาจึงค่อย ๆ หันกลับมาประสานสายตากับเจอรัลด์อีกครั้ง ทางด้านผีดิบหนุ่มแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างยินดี ก่อนจะเอื้อมมือไปปลดหน้ากากของคนตรงหน้าออกอย่างแผ่วเบา พร้อมกับจ้องมองด้วยแววตาเปี่ยมรักดังเดิม

    “ผมรักคุณครับ คุณแฟนธอม ...รักมานานแล้ว... ผมตกหลุมรักคุณมาตลอดตั้งแต่วันที่ผมได้พบกับคุณเป็นครั้งแรก และผมก็ยิ่งรักคุณมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่พวกเราได้ทำความรู้จักพูดคุยกัน...  ต่อให้วันนี้ผมจะถูกคุณปฏิเสธก็ตาม แต่ความรู้สึกรักของผมที่มีต่อคุณ มันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน”

    แฟนธอมนิ่งอึ้งต่อคำสารภาพนั้น ชายหนุ่มพูดอะไรแทบไม่ออก เขาจ้องตาอีกฝ่ายที่มันแสดงถึงความรัก โดยไม่มีความรังเกียจใด ๆ ให้เห็นแม้แต่น้อย  และแม้จะรู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าเจอรัลด์นั้นมีใจให้เขา แถมตัวเขาเองก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่ออีกฝ่ายเช่นกัน  ทว่าพอได้รับรู้ถึงความรักอันมั่นคงและยาวนานที่ชายหนุ่มมีต่อเขา แฟนธอมก็เริ่มที่จะหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง

    “...ฉัน...คนอย่างฉันจะดีพอสำหรับนายแน่หรือเจอรัลด์...ฉันมันเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย...คอยแต่จะโวยวายบ่นใส่นายเสมอ...ซ้ำยัง...ยังมีหน้าตาอัปลักษณ์แบบนี้อีก”

    ท้ายประโยคชายหนุ่มเอ่ยติดขัดด้วยน้ำเสียงขมขื่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบใบหน้าซีกขวา ก่อนจะเผลอออกแรงจิกน้อย ๆ อย่างลืมตัว จนเจอรัลด์ต้องรีบดึงมือข้างนั้นมากุมไว้

    “คุณแฟนธอม อย่าทำร้ายตัวเองแบบนั้นสิครับ ...ผมรักทุก ๆ อย่างที่เป็นคุณนะครับ...แผลเป็นนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณไม่ใช่หรือครับ...”

    เจอรัลด์ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับชะโงกหน้าไปจูบที่หน้าผากของอีกฝ่ายแผ่วเบา 

     “สำหรับผมแล้ว คุณงดงามยิ่งกว่าใครทั้งหมด...คำพูด การกระทำ และความอ่อนโยนที่คุณมี ...มันส่งผลให้ตัวตนของคุณมีคุณค่าและงดงามเสมอ ในสายตาของคนที่เห็นค่าของคุณ”

    แฟนธอมนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อย ๆ ซบใบหน้าลงกับอกกว้างของอีกฝ่าย แล้วพึมพำขอบคุณแผ่วเบา แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเจอรัลด์ดันตัวเขาออกไปให้ห่างเล็กน้อย และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย เจ้าตัวก็จับคางเขาเชยไว้ พร้อมกับโน้มใบหน้าเข้าหาเขาช้า ๆ ทำเอาแฟนธอมสะดุ้งเฮือก ก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกไปแรง ๆ อย่างตกใจ

    “โอ๊ย! อะไรกันครับคุณแฟนธอม ผลักผมทำไมกัน!”

    เจอรัลด์ร้องโอดครวญประท้วงในสภาพที่หงายลงไปนั่งกองกับพื้น  หลังจากไม่ทันระวังตัวและไม่คิดว่าจะโดนอีกฝ่ายผลักกระเด็นเต็มแรงเช่นนี้

    “ก็ใครใช้ให้เอาหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นกันล่ะ! คิดจะทำอะไรกับฉันกันฮึ!”

    แฟนธอมตวาดเถียงกลับไปด้วยความอาย ใบหน้าแดงระเรื่อที่ได้เห็นทำให้คนที่นั่งอยู่กับพื้นชะงัก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ตามมา

    “ก็จูบไงครับ...ก็เราใจตรงกันแล้วนี่นา”

     แฟนธอมหน้าแดงหนักยิ่งกว่าเดิม เขาเดินจ้ำพรวดมากระชากหน้ากากในมือของเจอรัลด์คืน ก่อนจะสวมปิดบังใบหน้าของตนอีกครั้ง แล้วตวาดใส่เสียงดัง

    “ไอ้ซอมบี้งี่เง่า! อย่ามามัดมือชกกันนะ! ฉันไม่ได้พูดสักคำ ว่าฉันตกลงจะคบกับนายน่ะ!”

    ตวาดจบแฟนธอมก็เดินหนีกลับสำนักงานหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ทำเอาเจอรัลด์ถึงกับหน้าซีด แล้วรีบลุกเดินตามชายหนุ่มไปทันที โดยไม่ได้สนใจรับรู้เลยว่า พวกเขากำลังตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาชาวบ้านในซอยนั้นที่แอบดูอยู่ ซึ่งแต่ละคนพอได้เห็นฉากสารภาพรักอันร้อนแรงของทั้งคู่ ก็ต่างพากันชอบอกชอบใจกันยกใหญ่ จนถึงขั้นโทรศัพท์ไปบอกข่าวกับเพื่อนร่วมหมู่บ้านที่อยู่ซอยอื่น ให้ได้รับรู้กันถ้วนหน้าเลยทีเดียว

     

    แฟนธอมเดินเร่งฝีเท้าผ่านหน้าป้อมยาม โดยไม่สนทักทายตอบอเล็กซ์ที่ทักเขา ทว่าพอเดินพ้นผ่านป้อมไปได้ไม่กี่ก้าว เจอรัลด์ก็ตามมาทัน แล้วรวบร่างของอีกฝ่ายกอดรั้งเอาไว้เสียก่อน

    “คุณแฟนธอม! โกรธหรือครับ...ขอโทษนะครับ ผมเห็นคุณเขินแล้วน่ารักมาก ก็เลยอยากจะแกล้งแหย่ให้คุณเขินมากกว่านี้ ...อย่าโกรธผมเลยนะครับ”

    คำสารภาพตามตรงของเจอรัลด์ ทำให้แฟนธอมหน้าแดงด้วยความอายอีกครั้ง ชายหนุ่มรู้สึกโชคดีที่เขาสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องอับอายหนัก หากเจอรัลด์ได้ล่วงรู้ว่าเขารู้สึกเขินกับคำพูดนั้นเพียงใด

    “รู้แล้วน่า...ไม่โกรธก็ได้...ปล่อยฉันได้แล้ว”

    แฟนธอมบอกออกไปไม่เต็มเสียงนัก เขารู้สึกทั้งอายและอบอุ่นเมื่ออยู่ภายใต้อ้อมกอดของอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้นเขาก็เกรงว่าจะมีใครผ่านมาเห็นเข้า เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ของที่นี่ มักจะออกมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ พบปะสังสรรค์กันในช่วงเวลาดึกดื่น ราว ๆ นี้เสมอ

    “เอ่อ...แล้วเรื่องคำสารภาพรักของผมล่ะครับ...คุณมีคำตอบให้ผมหรือยังครับ”

    เจอรัลด์ที่ยังไม่ยอมคลายอ้อมกอดเอ่ยถามต่อแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก เพราะเกรงว่าแฟนธอมจะโมโหเขาอีกครั้ง ทว่าคำถามนั้นกลับทำให้ร่างในอ้อมกอดสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะขืนร่างนิ่งตามมา จนเจอรัลด์ใจหายวาบ ต้องรีบปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระทันที

    “คุณแฟนธอม...เอ่อ...ขอโทษนะครับ”

    เจอรัลด์เอ่ยขอโทษตามมาเสียงค่อย แล้วยืนก้มหน้าสลดอยู่กับที่ แต่ก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนที่อยู่ตรงหน้าเขา

    “ฉันไม่ได้โกรธนายหรอกนะเจอรัลด์ เอ่อ...เพียงแต่ฉันอยากจะขอเวลาอีกสักนิด ในการให้คำตอบน่ะ...นายคิดว่าจะรอได้ไหมล่ะ”

     เจอรัลด์เงยหน้าขึ้นจ้องประสานสายตากับแฟนธอมอยู่สักครู่ แล้วจึงมีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลานั้น

    “รอได้สิครับ ...ก็รอมาตั้งนานแล้วยังรอได้เลย อีกอย่างแค่คุณให้โอกาสผมสารภาพ แล้วยังมีคำตอบที่ต้องกลั่นกรองคิดให้กับผมแบบนี้ ผมก็ต้องรอได้อยู่แล้ว...แหะ ๆ พูดตามตรงนะครับ ผมนึกว่าจะโดนปฏิเสธทันทีเสียอีกด้วยซ้ำ”

    แฟนธอมยิ้มน้อย ๆ กับคำตอบนั้น รอยยิ้มของชายหนุ่มทำให้เจอรัลด์ที่ได้เห็น แทบอยากจะดึงร่างตรงหน้ามากอด แล้วหอมแก้มซ้ายขวาเสียเดี๋ยวนี้ แต่หากขืนทำลงไป เขาคงได้รับคำตอบที่อีกฝ่ายว่าจะขอเวลาคิดในทันทีตอนนั้น แถมมันยังอาจจะเป็นคำตอบที่เขาไม่อยากฟังเป็นแน่เลยทีเดียว

    “นายมันพิลึกจริง ๆ เลยนะเจอรัลด์...แถมยังรสนิยมแย่อีกด้วย”

    แฟนธอมเปรยขึ้นค่อย ๆ ทว่าคำพูดในครั้งนี้กลับไม่ใช่คำพูดดูถูกตัวเองเหมือนก่อนหน้านั้น หากแต่เป็นคำพูดที่เปี่ยมสุข เช่นเดียวกับใบหน้าที่ระบายด้วยรอยยิ้มชวนมองนั่น

    “ฉันกลับไปนอนพักดีกว่า...”

    แฟนธอมรีบเปลี่ยนเรื่องพูด เพราะรู้สึกเขินเมื่อเห็นสายตาเปี่ยมรักที่อีกฝ่ายมีต่อเขา แต่พอเดินไปได้สองสามก้าว เจ้าตัวก็หยุดฝีเท้า แล้วหันมามองคนที่ยังคงยืนตกตะลึงอยู่แถวนั้น

    “แล้วตกลง นายจะตามไปส่งฉันที่ห้องด้วยไหมน่ะ”

    คำถามนั้น ทำให้คนที่ยืนอึ้งได้สติ แล้วรีบพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินไปประกบเคียงข้าง แถมยังส่งมือให้ชายหนุ่มสวมหน้ากากจับอีกด้วย แฟนธอมมองมือนั้นอย่างลังเลชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ยอมจับมืออีกฝ่ายเดินไปด้วยกันในที่สุด



    “อืม...มาสเตอร์สารภาพรักกับคุณแฟนธอมอย่างนั้นหรือ …แต่ทั้งคู่เป็นเพศเดียวกันนี่นะ ...สงสัยเราคงต้องศึกษาเพิ่มเติมให้มากกว่านี้เสียแล้ว เผื่อมีใครมาปรึกษาเรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกัน  เราจะได้ให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับเขาได้”

    เสียงพึมพำดังขึ้นจากป้อมยาม หลังจากที่ลับร่างของเจอรัลด์กับแฟนธอมไปได้สักพัก  จากนั้น AI อัจฉริยะประจำป้อม ก็เริ่มลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องรักร่วมเพศอย่างจริงจัง

    “หือ...สาววาย? Yaoi? มันคืออะไรกันน่ะ น่าสนใจแฮะ”

    อเล็กซ์ที่กำลังค้นหาเรื่องเกี่ยวกับความรักร่วมเพศ โดยเฉพาะเพศชายเหมือนกัน สะดุดกับคำศัพท์แปลก ๆ เหล่านั้น และจึงเริ่มเข้าไปค้นคว้าศึกษาหาข้อมูลตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง  ส่วนเรื่องเฝ้ายามเจ้าตัวก็ได้จัดการเปิดระบบรักษาความปลอดภัยสำรองไว้ทำงานแทน 

     AI ประจำป้อมง่วนอยู่กับการคัดกรองเก็บข้อมูลเรื่องนี้ตลอดทั้งคืน จนกระทั่งยามเช้าของวันใหม่มาถึง เจ้าตัวก็ได้ข้อมูลประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว มาเก็บไว้ในฐานข้อมูลระบบของเขาจำนวนหนึ่ง

     “เพิ่งจะเก็บได้แค่ราว ๆ 10 TB เท่านั้นเองแฮะ... เรื่องรักร่วมเพศเดียวกันนี่ช่างลึกซึ้งนัก ดูท่าทางเราจะต้องศึกษาจากข้อมูลจริง ๆ ประกอบด้วยเสียแล้ว  เอ...คุณแฟนธอมจะยอมช่วยตอบแบบสอบถาม ที่เตรียมไว้ให้หรือเปล่ากันนะ หรือว่าจะลองปรึกษากับคุณกีรติแทนดี...อืม”

    AI ประจำป้อมบ่นพึมพำกับตนเองอย่างครุ่นคิด  ถึงแฟนธอมจะไม่ยอมตอบคำถามเขาก็ตาม แต่ยังไงเขาก็ยังมีกีรติคอยให้คำปรึกษาอยู่อีกคน หรือถ้าหากกีรติไม่เคยทราบข้อมูลประเภทนี้มาก่อน บางทีเขาอาจจะลองให้ชายหนุ่มทดสอบจากประสบการณ์ตรง กับใครสักคนในหมู่บ้านแห่งนี้ดูก็ได้  เพราะหากถามเรื่องส่วนตัวจากกีรติ ก็คงจะได้รับความร่วมมือมากกว่าถามเอาจากแฟนธอมล่ะนะ!



... TBC ...


ไปกันด้วยดีแล้ว 1 คู่  แต่ยังเหลือคู่อื่นให้ลุ้น ๆ กันอยู่นะคะ ^^ ส่วนคู่หลัก ก็ค่อย ๆ สานสัมพันธ์กันไปเรื่อย ๆ นั่นล่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-09-2013 21:01:18
โอ๊ยเขิล คุณแฟนทอมเคะกระจาย
น่ารักมาก อ่านไปยิ้มไป
ถ้าเรื่องนี้ไม่มีอเล็กนี่แย่เลยนะเนี่ย 5555
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 21-09-2013 21:31:19
อัยยะ.  o22. ผิดคาด. แต่ก็ชอบนะ. กับบรรยากาศสารภาพรัก
ของคนที่แอบรักมานาน

ส่วนกีน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านี้. และน่าจะคู่กับริวด้วย(มั้ง)

รอเฉลยดีกว่า  :laugh:

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: toye ที่ 21-09-2013 22:12:47
อ่อยยยยย พออ่านตอนนี้แล้วรุ้เลยว่าคุณแฟนธอมท่านเคะกระจาย :hao5: :hao6:
หนูกีก็คู่กะคุณริวไปก้แล้วกานเนอะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 21-09-2013 22:19:05
โอ๊ยเข้าสารภาพรักกันแล้ว

ว่าแต่อเล็กซ์จะเป็นสาววายหรอ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 21-09-2013 22:26:03
เง้อ ตอนแรก แฟนธอมเข้มเชียว

ตอนนี้ ซึนเดเระซะง้านนน  :ling3:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 21-09-2013 22:35:03
แล้วอเล็กซ์จะเป็นอะไรเคะหรือเมะ :katai5:
แต่คุณแฟนท่อมเขินโหดอ้ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-09-2013 22:42:07
10TB!!! Alex ตาแฉะแน่
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 9 - 10 (21/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 22-09-2013 10:07:44
โอ๊ยยยย คุณแฟนธ่อมทำไมเคะแตกขนาดนี้เนี่ยยยย ฮ่าาาาา
คุณแฟนธ่อมน่ารักอ่ะ

อเล็กซ์รอถามประสบการณ์ตรงกับกีล่ะกันเนอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-09-2013 21:56:06
หลายคนอาจจะช็อกที่แฟนธอม กลายเป็นเคะ แถมออกอาการสาวแตกเล็กน้อย(เร้อ!) ขนาดนั้น

แต่ก็มีนักอ่านบางคนเห็นแววเคะของพี่แกมาแต่แรกแล้วล่ะนะคะ  .... จริง ๆ ส่วนตัวแล้ว ปัดเขียนผู้ชายแมน ๆ ไม่ค่อยเก่งน่ะค่ะ จะเขียนได้ก็จริง แต่ความแมนนั้นต้องมีสกิลหื่น พ่วงด้วยเสมอ --" เวลาเขียนหนุ่ม ๆ หุ่นดี ๆ ที่ไม่หื่น.......ส่วนใหญ่ปัดจับทำเคะหมด เพราะความชอบเฉพาะตัว ฮ่า ๆ

 ว่าแต่หลัง ๆ นี่ชักนึกอยากเขียนแนวเคะกล้ามล่ำ แถมติดสกิลสาวแตกเล็กน้อย กับเมะรูปร่างบอบบางกว่าหลายเท่า ....ซึ่งคาดว่าถ้าเขียนออกมาจริง คงจะเหลือผู้ติดตามไม่กี่คนแน่ หุๆ 

...เวิ่นเว้อเกิน  มาตามอ่านตอนที่  11 - 12 กันต่อดีกว่าค่ะ สำหรับตอน 11 ก็จะคาบเกี่ยวกับคู่ก่อนหน้านั้นนิดหน่อย ส่วนตอน 12 จะเริ่มของอีกคู่ค่ะ ^^



ตอนที่ 11
หึงหวง



กีรติตื่นขึ้นแต่เช้าตามปกติ เขาเหลือบมองดูที่ห้องของแฟนธอมอย่างเป็นกังวล เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมานอนพักที่ห้อง หรือยังคงอยู่ฝืนเฝ้ายามต่อกันแน่

“คุณแฟนธอมครับ...”

กีรติลองเคาะประตูห้องเบา ๆ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบอะไร เขาจึงเข้าใจว่าแฟนธอมน่าจะอยู่ที่ป้อม  ในขณะที่กีรติกำลังตัดสินใจเข้าเวรเช้าให้ไวกว่าเดิม เขาก็ได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้น จากนั้นประตูห้องจึงถูกเปิดออก พร้อมกับชายสวมหน้ากากที่เดินออกมามองอย่างแปลกใจ

“มีอะไรหรือกีรติ”

กีรติมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ เพราะนึกว่าไม่มีใครอยู่ในห้องเสียอีก     

“คุณแฟนธอม...แสดงว่าเมื่อคืนกลับมานอนพักสินะครับ”

แฟนธอมชะงัก แล้วเบือนหน้ามองไปอีกทาง ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบค่อย ๆ อย่างรู้สึกผิด

“พอดีฉันไข้ขึ้น เลยไปหาหมอ แล้วก็ถูกสั่งให้มาพักน่ะ ...ขอโทษทีแล้วกันที่โดดเวร ไว้วันนี้ฉันจะเปลี่ยนกะให้ไวกว่าเดิมชดเชยแล้วกันนะ”

กีรติสะดุ้งโหยง แล้วจึงรีบตอบอีกฝ่ายโดยไว เพราะกลัวว่าแฟนธอมจะเข้าใจเขาผิด

“ไม่ใช่นะครับ! ที่ผมถามเพราะเป็นห่วงคุณต่างหาก  นี่ผมก็มาเคาะประตูเผื่อเอาไว้ เพราะไม่แน่ใจว่าคุณจะยอมกลับมานอนพักหรือเปล่า กะว่าถ้าคุณไม่อยู่ที่ห้อง ผมก็จะรีบออกไปเปลี่ยนเวรให้คุณกลับมาพักไวกว่าเดิมน่ะครับ!”

แฟนธอมชะงักเล็กน้อย พอเห็นสีหน้าและแววตาห่วงใยจริงจังของกีรติ ก็ทำให้เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มให้

“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง...เอ่อ แล้วก็ขอโทษ ที่เข้าใจนายผิด”

กีรติถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงตอบออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจคุณดี คุณอเล็กซ์เล่าให้ผมฟังว่าคุณแฟนธอมเป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่มาก สำหรับเมื่อวานนี้ผมเห็นด้วยเลยล่ะครับ ที่คุณกลับมาพัก ...แต่จริง ๆ แล้วควรมาพักตั้งแต่ก่อนที่ไข้จะขึ้นนะครับ”

ท้ายประโยคกีรติติงด้วยสีหน้าเกรงใจนิด ๆ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็อายุมากกว่าเขาหลายเท่านัก

“อืม...ไว้คราวหน้าถ้าฉันอาการไม่ดีอีก จะกลับมาพักไม่ฝืนทำงานแล้วกัน ... แต่นั่นก็หมายถึงนายด้วยนะกีรติ คราวก่อนก็ฝืนทำงานเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

กีรติสะดุ้งโหยง แล้วหัวเราะแห้ง ๆ ทำให้คนมองนึกขำขึ้นมานิด ๆ

“สงสัยพวกเราจะบ่นกันเองเรื่องนี้ลำบากแล้วล่ะ... ถ้าจะยกหน้าที่ให้ใครเป็นคนบ่น ก็คงหนีไม่พ้นเจ้า AI ขี้บ่นนั่นล่ะนะ”

คำพูดของแฟนธอม ทำให้กีรติยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ พลางคิดว่าหากอเล็กซ์ได้ยินเข้า คงจะไม่ชอบใจที่ถูกเรียกเช่นนี้สักเท่าใดนัก

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวเข้าเวรก่อนนะครับ คุณแฟนธอมก็ไปพักต่อเถอะครับ ขอโทษที่รบกวนจนต้องตื่นขึ้นมานะครับ”

แฟนธอมแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบกลับไป

“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันนอนเต็มอิ่มเสียจนนอนหลับไม่ลงแล้วล่ะ  หึ...ไม่ต้องมองแบบนั้นหรอกน่า ถึงหลับไม่ลงยังไง แต่ก็จะยอมฝืนเอนหลังพักผ่อนให้เต็มที่นั่นล่ะ”

แฟนธอมเอ่ยดักคออีกฝ่าย เพราะเห็นสายตาของกีรติก็รู้แล้วว่า ชายหนุ่มเป็นห่วงว่าเขาจะเผลอฝืนเกินตัวจนไข้กลับอีกรอบนั่นเอง

“เอ่อ...ครับ  ถ้ายังไงกลางวันนี้ ผมจะแวะมาทำอาหารกลางวันเผื่อนะครับ”

กีรติบอกออกไปแล้วก็ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธไหม แต่พอเห็นแฟนธอมพยักหน้าตอบรับเขา ชายหนุ่มก็มีรอยยิ้มกว้างแล้วจึงรีบขอตัวออกไปซื้อกับข้าวเพื่อมาเตรียมมื้อกลางวันทันที

“เป็นเด็กที่ประหลาดจริง ๆ เลยนะ”   

    แฟนธอมพึมพำไล่หลัง แล้วแอบอมยิ้มน้อย ๆ เพราะตั้งแต่ที่กีรติมาทำงานที่นี่ ความสดใส ร่าเริง และมองโลกในแง่ดีของชายหนุ่ม ก็ทำให้คนที่อยู่ร่วมกันรู้สึกสบายใจไปด้วย

“...ช่วยไม่ได้ ไปพักต่ออีกหน่อยแล้วกัน”

ชายสวมหน้ากากเปรยกับตัวเองเบา ๆ เพราะไม่อยากให้กีรติต้องเป็นห่วง และไม่ต้องการหยุดงานต่ออีกวัน แถมถ้าเขาไม่หายดี ก็จะมีใครบางคนมาป้วนเปี้ยนคอยเป็นห่วงเขาเสียจนน่าหมั่นไส้อีกด้วย

แฟนธอมยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองเมื่อหวนคิดถึงคนที่มาส่งเขาถึงห้องเมื่อคืนวาน ก่อนจะสะดุ้งแล้วหน้าแดงนิด ๆ พลางมองซ้ายขวาแถวนั้น พอไม่เห็นว่ามีใครอยู่เจ้าตัวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และพยายามบอกตัวเองว่าไม่ให้เผลอลืมตัวเช่นนี้อีก โดยเฉพาะกับคนที่เขากำลังคิดถึง ขืนเขาเผลอหลุดอาการอย่างที่เป็นอยู่ให้เห็น รับรองว่าเขาคงจะเลี่ยงยืดคำตอบที่อีกฝ่ายรอคอยอยู่ ให้นานออกไปกว่านี้ไม่ได้แน่

‘ก็ไม่ได้อยากจะเล่นตัวอะไรนักหรอกนะ…แต่จะให้คบกันแบบจริงจัง มันก็รู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้... ขอโทษนะเจอรัลด์ ขอเวลาฉันเตรียมตัวเตรียมใจอีกสักพักแล้วกัน’

แฟนธอมนิ่งคิดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วกลับเข้าไปในห้องนอนของเขา เพื่อที่จะพักผ่อนต่อให้หายสนิท แม้จะทำได้ค่อนข้างยาก เพราะเขาไม่รู้สึกถึงความง่วงในตอนนี้เลยสักนิดเดียว



กีรติรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อสมาชิกหมู่บ้านที่มาซื้อกับข้าวของไกรสร ต่างเล่าเรื่องการสารภาพรักระหว่างเจอรัลด์กับแฟนธอมเมื่อคืนที่ผ่านมาให้เขาฟัง ส่วนปัณณ์ที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ถึงกับโวยวายต่อว่ายกใหญ่ ที่ไม่มีใครโทรมาเล่าให้เขาฟังเมื่อคืนสักคน

“ฉันโทรไปแล้วนา แต่นายดันปิดเครื่องเองนี่”

หนึ่งในคนที่ยืนอยู่แถวนั้นรีบบอก ทำให้ปัณณ์ชะงักแล้วนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนตนใช้สมาธิเขียนนิยาย จึงตัดขาดการติดต่อสื่อสารทุกอย่างที่มีทั้งหมด

“ไม่ได้การ คนอื่นรู้เรื่องก่อน แต่ฉันรู้เรื่องทีหลังนี่นะ...แถมบางคนก็ยังได้เห็นเหตุการณ์กับตาตัวเองเสียอีก...ในฐานะผู้กระจายข่าวประจำหมู่บ้าน ฉันรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยเลยล่ะ”

ปัณณ์เปรยบ่นกับตัวเอง ทว่าแต่ละคนที่ได้ฟังพากันกระพริบตาปริบ ๆ กับฉายาที่อีกฝ่ายพูดมา   

“เฮ้! ปัณณ์ นายคงไม่คิดจะไปถามพวกนั้นหรอกใช่ไหม...กับเจอรัลด์ยังพอว่า แต่อย่าไปถามแฟนธอมเชียวนา”

เพื่อนบ้านคนหนึ่งเอ่ยเตือน ทำเอาคนข้าง ๆ สะดุ้งเฮือกแล้วรีบหันไปดุอีกฝ่ายทันที

“บ้ารึ! พูดแบบนั้นมันชี้โพรงให้กระรอกชัด ๆ”

    พออีกฝ่ายพูดจบก็เหลือบไปมองปัณณ์ที่ตอนนี้มีสีหน้ายิ้มแย้มผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ

“นั่นสิ! ฟังจากที่พวกนายเล่า แฟนธอมเขาก็ยังไม่ได้ตอบรับเป็นแฟนกับเจอรัลด์ใช่ไหมล่ะ แล้วถ้าฉันรู้คำตอบนั้นก่อน ฉันก็จะเป็นคนแรกที่จะกระจายข่าวเด็ดให้ทุกคนได้รู้ ชื่อเสียงในฐานะนักกระจายข่าวอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน ก็จะกลับมาสู่ฉันอีกครั้ง  อ้อ! ขอบใจนายมากนะ ที่ช่วยเสนอไอเดียน่ะ!”

ปัณณ์พูดพล่ามกับตัวเอง แล้วหันไปขอบใจเพื่อนบ้านของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ พูดอะไรไม่ออก ส่วนปัณณ์ตอนนี้จ้ำอ้าวไปที่สำนักงานหมู่บ้าน โดยไม่คิดอยู่รอฟังเสียงทัดทานจากใครในที่นั้น

“ปลงเสียเถอะพวกนาย...แฟนธอมไม่มีทางบอกเขาแน่ และสุดท้ายเจอรัลด์ก็จะโดนลูกหลงถูกแฟนธอมโมโหใส่  ส่วนพวกนาย...  เฮ้อ! ยังไงก็อวยพรให้โชคดีแล้วกัน”

ไกรสรพ่อค้ารถกับข้าว บอกทุกคนที่ยืนคอตกหมดแรงแถวนั้น ทำเอากีรติที่ตามเรื่องราวไม่ค่อยทันหันไปถามอย่างสงสัย

“ทำไมหรือครับ ถ้าคุณแฟนธอมโกรธคุณเจอรัลด์ แล้วทุกคนจะเดือดร้อนหรือครับ”

คนอื่น ๆ ต่างหันมามองสมาชิกใหม่ร่วมหมู่บ้าน แล้วจึงถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน

“แน่นอน...ถ้าแฟนธอมโกรธเจอรัลด์ เพราะพวกคนในหมู่บ้านเป็นต้นเหตุ เจอรัลด์ก็จะพาลใส่พวกเราทั้งหมด ด้วยการกลั่นแกล้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสนจะน่ารำคาญนั่น เพราะเขาเป็นคนควบคุมระบบสื่อสารทุกอย่างในหมู่บ้านนี้ยังไงล่ะ”

ชายคนหนึ่งบอกอย่างอ่อนใจ ส่วนเพื่อนของเจ้าตัวที่ยืนอยู่ใกล้กันก็ช่วยเสริมตามมา

“ใช่...มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งรุนแรงก็จริง แต่มันน่ารำคาญมาก ๆ ทีเดียว  ยกตัวอย่างเช่น หากเธออยากพักผ่อนดูรายการทีวีที่ถูกใจ แต่เปิดไปดันกลับกลายเป็นหน้าของเจอรัลด์ คอยง้อขอโทษให้แฟนธอมหายโกรธ ...ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างแฟนธอมเขาไม่สนใจรายการโทรทัศน์อยู่แล้วก็ย่อมไม่มีปัญหา แต่พวกฉันที่ต้องมาคอยดูหน้าหมอนั่นอ้อนขอโทษเขาในทีวีทุกช่องนี่สิ มันเดือดร้อนขนาดไหนเธอก็น่าจะเดาได้นะ”

    กีรติกลืนน้ำลายลงคอ เขาก็รู้อยู่ว่าเจอรัลด์นั้นเป็นอัจฉริยะ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกผูกใจเจ็บ แถมยังมีวิธีแกล้งคนแบบพิลึกอีกด้วย

   “...ไม่ใช่มีแค่นั้นนะ อย่างเวลาจะเล่นเน็ตเปิดเว็บไซต์ ก็ดันถูกดึงไปเข้าหน้าเว็บที่มีแต่คำว่าขอโทษแดงเถือกพิมพ์เต็มไปหมด คลิกเข้าหน้าอื่นก็ไม่ได้สักหน้า  แถมขนาดจะใช้โทรศัพท์ไม่ว่ากดรับหรือโทรออก ก็ยังได้ยินเสียงคลื่นแทรกเป็นเสียงขอโทษของหมอนั่นดังแทรกมาตลอดเวลา จนพวกฉันแทบจะบ้าไปตาม ๆ กัน  ต้องไปรวมตัวช่วยขอร้องให้แฟนธอมยกโทษให้เขา เจอรัลด์ถึงจะยอมหยุดได้นั่นล่ะ”

สมาชิกอีกคนช่วยเสริม ทำให้กีรติยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนไกรสรถอนหายใจอย่างนึกเอือมระอาแทนคนในหมู่บ้านแห่งนี้

“ถ้าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แฟนธอมก็โมโหไม่นานหรอก...แต่เรื่องนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เห็นภายนอกเย็นชาแบบนั้น แต่เขาค่อนข้างขี้อายอยู่นะ”

ชายอีกคนกล่าวสรุป ซึ่งคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยเสริมตามมา ทำให้กีรติที่ฟังอยู่เผลอยิ้มออกมาน้อย ๆ เพราะเขาเองก็รู้สึกอย่างทุกคนที่นี่เช่นเดียวกันว่า แฟนธอมที่ดูเหมือนเป็นคนเย็นชาคนนั้น จริง ๆ แล้วเป็นคนใจดี และอ่อนโยนมากคนหนึ่งทีเดียว

“เอาเป็นว่าถ้าคุณแฟนธอมโมโห ผมจะช่วยกล่อมให้คุณแฟนธอมใจเย็น ๆ แล้วกันนะครับ”   

กีรติรับอาสาเจรจาเพื่อให้คนอื่นคลายกังวล ซึ่งพอได้ฟังดังนั้น ทุกคนต่างก็ฝากความหวังไว้ที่ชายหนุ่มร่างเล็กกันถ้วนหน้า แล้วพากันขอร้องกึ่งกดดันให้กีรติรีบไปเตรียมห้ามทัพแฟนธอมในตอนนี้เสียเลย ส่วนพวกเขาเองก็เกาะกลุ่มตามติดไปให้กำลังใจชายหนุ่มด้วย ทำเอากีรติต้องลอบถอนหายใจ เพราะลองเป็นแบบนี้เขาก็คงต้องพยายามเต็มที่ไม่ให้ทุกคนผิดหวังเสียแล้ว



เมื่อมาถึงสำนักงานหมู่บ้าน กีรติและคนอื่น ๆ ก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ที่เห็นแฟนธอมจ้ำพรวด ๆ เปิดประตูสำนักงานออกมาด้วยอาการโกรธจัด เห็นดังนั้นสมาชิกร่วมหมู่บ้านแต่ละคนก็รีบบอกให้กีรติไปแก้สถานการณ์โดยด่วน เพราะแฟนธอมเตรียมจะตรงไปที่ซอยสอง ซึ่งเป็นซอยที่ตั้งของบ้านพักเจอรัลด์นั่นเอง

“คุณแฟนธอมครับ! ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ!”

กีรติรีบวิ่งตามรุ่นพี่ของเขาไปอย่างเร่งรีบ แฟนธอมชะงักแล้วหันขวับมามองคนห้ามอย่างประหลาดใจ

“มีอะไรหรือกีรติ!”

แม้น้ำเสียงจะห้วนเพราะยังคงหงุดหงิดเรื่องอื่นอยู่ แต่แฟนธอมก็ไม่ได้ระบายอารมณ์ใส่อีกฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องในเรื่องที่เขาโมโห ทำให้กีรติค่อนข้างใจชื้นขึ้นกว่าเดิม แล้วจึงตัดสินใจลงมือเจรจากับอีกฝ่ายทันที

“คนในหมู่บ้านให้ผมมาช่วยปรามคุณน่ะครับ บอกว่าถ้าคุณไปอาละวาดใส่คุณเจอรัลด์ เดี๋ยวคุณเจอรัลด์จะน้อยใจจน...เอ่อ พาลใส่พวกเขาน่ะครับ”

กีรติบอกอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะสิ่งที่เขาพูดก็เหมือนกับต่อว่าเจอรัลด์กลาย ๆ นั่นเอง

“...นี่นายเองก็รู้เรื่องเมื่อคืนด้วยหรือ!”

แฟนธอมที่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ถามอีกฝ่ายอย่างพยายามข่มอารมณ์โกรธเต็มที่ ทำให้กีรติต้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วตอบออกไปตามตรง

“คือ...จริง ๆ แล้ว ผมก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี่ล่ะครับ แต่คาดว่าเมื่อคืนนี้คงรู้กันไปเกือบครึ่งค่อนหมู่บ้านแล้ว...เหวอ! อย่าเพิ่งโมโหสิครับ คุณแฟนธอม!”

กีรติรีบจับมือคนตรงหน้ารั้งไว้ เมื่อเห็นว่าแฟนธอมเม้มปากแน่น แล้วเตรียมจะพุ่งตรงไปหาเป้าหมายเดิมก่อนหน้านั้น

“เดี๋ยวสิครับคุณแฟนธอม! เรื่องนี้ผมว่าไม่ใช่ความผิดของคุณเจอรัลด์เลยสักนิดนะครับ!”

แฟนธอมชะงัก เขาพยามระงับโทสะของตนอย่างเต็มที่ ส่วนกีรติก็ยังไม่กล้าปล่อยมืออีกฝ่าย เพราะเกรงว่ารุ่นพี่ของเขาจะตรงไปเล่นงานเจอรัลด์เข้าให้อีก

“ฉันเข้าใจอยู่หรอกว่าหมอนั่นไม่ผิด...แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี นายลองคิดดูแล้วกันนะ ถ้าจู่ ๆ มีคนมาถามนายว่า หลังจากคบกันแล้ว นายคิดจะอยู่บนหรือล่าง นายจะยังยิ้มรับฟังโดยไม่โมโหได้ไหมล่ะ!”

กีรติสะดุ้งโหยงที่แฟนธอมหลุดโพล่งเสียงดังใส่เขาในประโยคท้าย ๆ ชายหนุ่มนิ่งคิดทบทวนถ้อยคำของอีกฝ่ายอยู่สักพัก ก่อนจะหน้าแดงวาบเมื่อนึกออกในที่สุดว่ามันหมายถึงเรื่องอะไร

“เรื่องแบบนั้นมัน เอ่อ...ถ้าถูกถามเข้าก็ไม่ค่อยพอใจนักหรอกครับ... อ๊ะ! อย่าบอกนะครับ ว่าคุณปัณณ์ถามคุณถึงขั้นนั้นเลยน่ะครับ!”

กีรตินึกขึ้นได้ตามมา แล้วโพล่งถามไปอย่างตกใจ ซึ่งแฟนธอมก็กัดฟันกรอดนิด ๆ แม้จะนึกอายที่หลุดปากบอกคนตรงหน้าไปก็ตาม ทว่าความโมโหนั้นมันมีมากกว่าหลายเท่านัก

“ผมไม่แปลกใจแล้วครับที่คุณแฟนธอมโกรธ...แต่ถึงยังไงก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับคุณเจอรัลด์อยู่ดีไม่ใช่หรือครับ”

กีรติแย้งต่อ มาถึงตอนนี้เขาคิดว่าแฟนธอมน่าจะหงุดหงิดใส่ปัณณ์มากกว่า แต่ก็คงเกรงใจปัณณ์และคิดว่าต่อให้เถียงไปหรือโมโหใส่อีกฝ่าย ก็คงไร้ประโยชน์ จึงเบนความโมโหไปหาเจอรัลด์แทน  เพราะเท่าที่เขาได้รับรู้มาจากอเล็กซ์  ปัณณ์นั้นมีอายุยืนยาวมานานหลายร้อยปี ซ้ำชายหนุ่มยังมีตรรกะความคิดและการแสดงออกค่อนข้างแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป แถมยังมีเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ มารองรับมากมาย เสียจนคนโต้เถียงด้วยอ่อนใจไปตาม ๆ กัน

“มันก็ใช่...แต่ถ้าหมอนั่นไม่สารภาพรักกลางแจ้งแบบนั้น...ฉันก็คงไม่ต้องมาหงุดหงิดแบบนี้หรอก”

แฟนธอมบอกตามมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะแต่แรกก็เป็นเพราะเขานี่ล่ะ ที่บังคับให้เจอรัลด์แสดงความรู้สึกแท้จริงให้เขารับรู้ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่คิดว่าจะมีคนแอบมองอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่คาดคั้นให้เจอรัลด์สารภาพออกมาแน่


..
...
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-09-2013 21:57:18
..
..

ทั้งกีรติและแฟนธอมต่างยืนนิ่งเงียบด้วยความอายกันทั้งคู่ สำหรับกีรตินั้นรู้สึกเขินเรื่องที่อีกฝ่ายพูดให้ฟัง ส่วนแฟนธอมเขินเพราะดันไปคิดถึงเรื่องเมื่อคืนระหว่างเขากับเจอรัลด์เข้าให้ อาการขัดเขินของทั้งสองคน รวมไปถึงเรื่องที่กีรติยังคงจับข้อมือของแฟนธอมไม่ยอมปล่อย ทำให้คนที่รีบเดินออกมาจากบ้านหยุดชะงัก แล้วขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์แทน

“ว่าแล้วเชียว คุณกีรติต้องสนใจคุณแฟนธอมเหมือนกัน...คุณริวนะคุณริว แทนที่จะจัดการรวบหัวรวบหางให้เรียบร้อย ก็ดันทำไม่ได้ มัวแต่เก๊กเล่นตัวอยู่นั่นล่ะ!”

เจอรัลด์บ่นกับตัวเองอย่างหงุดหงิด เพราะอเล็กซ์แจ้งเขามาว่าเห็นกีรติไล่กวดแฟนธอมผ่านป้อมยาม เขาจึงรีบออกมาดูเพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องอันตรายขึ้น เลยได้ทันเห็นภาพบาดตาบาดใจเข้าพอดี  ทว่าคำพูดของเจอรัลด์นั้น ทำให้คนบ้านใกล้เรือนเคียง ซึ่งเตรียมจะออกมาซื้อกับข้าวที่หน้าหมู่บ้านและทันได้ยินคำบ่นนั่น ถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะเปรยขึ้นดัง ๆ ด้วยความไม่สบอารมณ์พอกัน

“นี่เจอรัลด์...คุณจะหึงหวงคุณแฟนธอมยังไงก็ตามใจคุณ แต่ขอร้องล่ะ อย่าลากชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยจะได้ไหม เดี๋ยวใครได้ยินเข้า ผมกับคุณกีรติก็เสียหายกันพอดี”

เจอรัลด์สะดุ้งโหยง แล้วเหลือบไปมองหนุ่มญี่ปุ่นที่มีใบหน้าบึ้งตึงใส่เขา ผีดิบหนุ่มยิ้มเจื่อน ๆ เพราะเขาเผลอพาลลากอีกฝ่ายเข้ามามีเอี่ยวในเรื่องส่วนตัวของเขาอย่างที่ริวพูดจริง ๆ

“แหะ ๆ ขอโทษครับคุณริว... แต่คุณดูสิ มันน่าโมโหไหมล่ะครับ! ยืนจับมือถือแขน ทำหน้าตาเอียงอายกันแบบนั้นได้สักพักแล้วนะครับนั่น!”

เจอรัลด์รีบบอกตามมาเพื่อให้ริวเห็นด้วยกับเขา  ริวจึงเดินออกมานอกรั้วบ้านแล้วมองไปตามที่ชายหนุ่มบอก ก่อนจะขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อเห็นกีรติจับข้อมือของแฟนธอมแถมยังยืนนิ่งเงียบกันอยู่ที่หน้าปากซอย  เขาสายตาไม่ดีเท่าเจอรัลด์ จึงมองไม่ถนัดว่าสองคนนั้นมีอาการเขินอายอย่างที่ผีดิบหนุ่มบอกหรือไม่  แต่เท่าที่ได้เห็นตอนนี้ ก็ทำให้เขาชักเริ่มรู้สึกขัดใจขึ้นมาบ้างอยู่เหมือนกัน

ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น หลังจากที่แฟนธอมพยายามระงับความอายของตนได้แล้ว เขาก็เบือนหน้าหันไปทางด้านในซอยแทน และก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นเจอรัลด์จ้องมาทางนี้เขม็ง ทางด้านกีรติเห็นอาการของรุ่นพี่ร่วมงานก็นึกแปลกใจและหันมองตามบ้าง ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าทำไมเจอรัลด์ถึงจ้องพวกเขานิ่งแบบนั้น แถมริวที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังจ้องพวกเขานิ่งไม่แพ้กัน  กีรติคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงสะดุ้งโหยงขึ้นบ้าง ก่อนจะรีบปล่อยมือของแฟนธอมทันที

“อ๊ะ! ขอโทษครับ ...ตายล่ะ ผมจะโดนคุณเจอรัลด์เข้าใจผิดไหมครับคุณแฟนธอม”

กีรติถามอีกฝ่ายอย่างกังวล ทำให้แฟนธอมทั้งฉุนทั้งเขิน เพราะเท่าที่เห็นอาการจ้องไม่วางตาของเจอรัลด์ ก็ทำให้เขาเข้าใจไม่แตกต่างจากกีรตินักว่า เจอรัลด์นั้นคงกำลังหึงหวงเขาอยู่เป็นแน่   

“อยากเข้าใจผิดก็ช่างเขาสิ! อีกอย่างฉันยังไม่ได้ตอบรับเป็นแฟนหมอนั่นสักหน่อย!”

แฟนธอมทำเป็นโพล่งใส่แก้เขิน มาถึงตอนนี้ชายหนุ่มชักไม่อยากไปอาละวาดใส่เจอรัลด์อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกเสียแล้ว เขามองอย่างลังเลก่อนจะหันไปทางกีรติ พลางเอ่ยปากอ้อมแอ้มชวนอีกฝ่าย

“ฉันว่าพวกเรากลับดีกว่า...ขืนไปหาหมอนั่นตอนนี้ เดี๋ยวได้ถูกลือแปลก ๆ เข้าให้พอดี”

กีรติมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังคงพยักหน้าตอบรับคำชวนนั้น เพราะแต่แรกที่เขาตามมา ก็เพื่อจะห้ามไม่ให้แฟนธอมไปหาเรื่องกับเจอรัลด์อยู่แล้ว

“เอ้า! กลับกันได้แล้วกีรติ!”

แฟนธอมเป็นฝ่ายจูงมือรุ่นน้องกลับสำนักงาน เมื่อเห็นเจอรัลด์เตรียมจะเดินมาหาพวกเขา และนั่นยิ่งทำให้เจอรัลด์เข้าใจผิดไปยกใหญ่ เจ้าตัวกัดฟันกรอดนิด ๆ เตรียมจะตามทั้งคู่ไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นริวเดินตามมาด้วยกัน

“คุณริวจะไปแย่งคุณกีรติ คืนมาเหมือนกันหรือครับ!”

คำถามของเจอรัลด์ ทำให้หนุ่มญี่ปุ่นนึกอยากจะกลับเข้าบ้านไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่เขาก็เลือกที่จะทำหน้าเฉย พร้อมกับตอบไปเรียบ ๆ คล้ายไม่ใส่ใจ

“ผมจะไปซื้อกับข้าวต่างหาก”

“ฮึ...เราก็นึกว่าจะไปช่วยแยกสองคนนั่นด้วยกันสักหน่อย ไม่ช่วยเหลือกันบ้างเลย เพื่อนบ้านกันแท้ ๆ”

เจอรัลด์บ่นเบา ๆ กับตัวเอง แต่ริวก็ยังได้ยินอยู่ดี ทว่าเขากลับเลือกทำเป็นเฉยเมย แม้ในใจจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ เมื่อคิดว่ากีรติอาจจะชอบแฟนธอมในแบบลึกซึ้งจริง ๆ ขึ้นมาก็ได้




อีกด้านหนึ่งพวกขามุงที่ลุ้นเอาใจช่วยกีรติ เกลี้ยกล่อมแฟนธอมให้หายโมโห ต่างพากันโล่งอกเมื่อเห็นแฟนธอมเดินกลับมาพร้อมกับกีรติด้วย แม้จะแปลกใจอยู่มากก็ตามที่เห็นอีกฝ่ายจูงมือคนที่ตามไปห้ามกลับมาแทน

“แล้วไหงถึงสลับตัวกันแบบนั้นล่ะ จริง ๆ กีรติเขาน่าจะเป็นคนดึงแฟนธอมกลับมามากกว่าไม่ใช่หรือ”

ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย ซึ่งคนอื่น ๆ ก็คิดเหมือนกัน และมีบางคนนึกโล่งอกที่ช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ปัณณ์กลับไปก่อน  ไม่อย่างนั้นขืนปัณณ์อยู่คงเผลอหลุดถามบางอย่าง ที่ทำให้แฟนธอมอารมณ์เสียขึ้นมาอีกรอบก็เป็นได้

“กลับมาสักที พวกเราขอโทษแทนปัณณ์ด้วยนะแฟนธอม เขาคงไม่ได้คิดอะไรไม่ดีกับนายหรอก แต่ถามโน่นนี่มากไปเพราะสนใจในแบบของเขาก็เท่านั้น”

ขามุงคนหนึ่งบอกกับแฟนธอมทันทีที่เจ้าตัวมาถึง ซึ่งแฟนธอมก็เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วพยักหน้ารับรู้ตามมา

“ผมเข้าใจธรรมชาติของคุณปัณณ์เขาดีอยู่หรอก.. .แต่บางครั้งมันก็เหลืออดจริง ๆ ...แน่นอนว่าผมไม่ได้โกรธเขา แต่มันพาลจะโกรธถึงตัวต้นเหตุแทนเสียได้  ทำไมถึงเป็นแบบนี้เสมอก็ไม่รู้!”

    แฟนธอมบ่นอุบตามมา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสายตาของบางรายจ้องมองมือของเขาที่จับมือของกีรติอยู่

“...คงไม่ได้คิดอะไรแปลก ๆ กันหรอกนะครับ”

แฟนธอมถามด้วยน้ำเสียงกึ่งเย็นชากึ่งหงุดหงิด เพราะแต่ละคนในที่นี้ก็เป็นตัวปล่อยข่าวเรื่องเมื่อคืนด้วยกันทั้งนั้น

“แหม! ใครจะกล้าคิดอะไรแปลก ๆ กันเล่า”

คนถูกจ้องใส่รีบแก้ตัว ทำให้แฟนธอมต้องทำเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้เมื่อได้ยินคำตอบ เขาปล่อยมือจากกีรติ และก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเห็นคนที่คุยด้วยมองไปอีกทางด้านหลังเขา แฟนธอมจึงหันกลับไปมองตาม ทำให้เขาได้เห็นริวกับเจอรัลด์กำลังเดินตรงมายังที่พวกเขายืนอยู่ โดยที่สีหน้าของเจอรัลด์นั้นดูไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดทีเดียว

“มาทำไมกันน่ะเจอรัลด์! แฟนธอมอุตสาห์หายโกรธแล้วเชียวนะ!”

ยังไม่ทันที่แฟนธอมหรือเจอรัลด์จะพูดอะไร หนึ่งในขามุงก็โอดครวญโวยวายขึ้นมาเสียก่อน ทำเอาคนที่กำลังหึงหวงหยุดชะงัก ส่วนแฟนธอมถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา เพราะพอจะเข้าใจสถานการณ์ดีว่าเจอรัลด์กำลังเข้าใจเขาผิดอยู่นั่นเอง ส่วนกีรติก็แอบแปลกใจว่าทำไมริวถึงมาพร้อมกันกับเจอรัลด์ด้วย

“เอ๋...โกรธ... นี่คุณแฟนธอมโกรธผมอยู่หรือครับ”

เจอรัลด์หันไปถามแฟนธอมอย่างงุนงง ซึ่งแฟนธอมก็เหลือบมองขามุงที่ทำเป็นสนอกสนใจออกนอกหน้าว่าเขาจะตอบอย่างไร ชายหนุ่มสวมหน้ากากเม้มปากนิด ๆ แล้วจึงจับมือเจอรัลด์พร้อมกับใช้สายตาบังคับให้เจ้าตัวหยุดถาม แถมยังเผื่อแผ่สายตาเย็นชานั้นให้คนอื่น ๆ จนบรรดาคนที่อยากรู้อยากเห็น ต้องยิ้มเจื่อน ๆ แล้วสลายตัวกันไปอย่างรวดเร็ว ส่วนแฟนธอมก็ดึงเจอรัลด์ให้ไปคุยกันในสำนักงาน เหลือแต่เพียงกีรติที่ยืนงุนงงอยู่สักครู่ ก่อนจะสะดุ้งนิด ๆ เมื่อหันกลับมาเห็นริวที่ยังคงยืนอยู่แถวนั้น

“ง่า...คุณริว มีธุระกับคุณแฟนธอมด้วยหรือครับ”

กีรติตัดสินใจถามออกไป ทำให้หนุ่มญี่ปุ่นชะงักเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เปล่า...ผมแค่ออกมาซื้อกับข้าวตามปกติ”

“อ้อ...อย่างนั้นหรือครับ”

กีรติพูดได้แค่นั้นแล้วก็ต้องเงียบต่อ เพราะบรรยากาศยามนี้ช่างแสนจะอึมครึม เนื่องจากริวนั้นดูขรึมผิดจากเช้าเมื่อวานเป็นคนละคน ทีแรกกีรติก็เผลอคิดว่าหนุ่มญี่ปุ่นจะทิ้งระยะห่างกับเขาอีกครั้ง แต่เท่าที่สังเกตเหมือนกับริวจะโมโหอะไรบางอย่างอยู่เสียมากกว่า

“แล้วเมื่อครู่นี้ มีอะไรหรือเปล่า...ผมเห็นคุณตามคุณแฟนธอมไปที่ซอยสองด้วยน่ะ...”

ริวคิดจะถามเรื่องที่กีรติจับมือของแฟนธอมอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป ส่วนทางด้านกีรติพอได้ยินคำถามนั้น เขาจึงตอบไปตามตรง อย่างไม่ได้นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายถามเขาทำไม

“คือตอนนั้นผมไปตามคุณแฟนธอมน่ะครับ คนอื่น ๆ เขาขอร้องมา เพราะคุณแฟนธอมโมโหที่ถูกแซว...เอ่อ ถูกแซวเรื่องที่คุณเจอรัลด์สารภาพรักกับเขาเมื่อคืนนี้... คนอื่น ๆ เขากลัวคุณเจอรัลด์จะน้อยใจแล้วพาลหาเรื่องทุกคนในหมู่บ้าน หากเขาถูกคุณแฟนธอมโมโหใส่น่ะครับ”

พอได้ฟังที่กีรติบอก ริวก็เงียบไปชั่วครู่ พอเขาลองปะติดปะต่อเรื่องดูก็เห็นได้ว่า มันไม่น่าใช่เรื่องรักใคร่อย่างที่เจอรัลด์พูดกรอกหูเขาสักนิด หนุ่มญี่ปุ่นเบือนหน้าไปมองอีกทางอย่างนึกอายเล็กน้อย เพราะที่เขาแสดงออกถึงความไม่พอใจอยู่ตอนนี้ มันก็เหมือนกับว่าเขากำลังนึกหึงกีรติอยู่นั่นเอง

“คุณริว...เป็นอะไรหรือครับ”

กีรติถามอีกฝ่าย เพราะแปลกใจที่เห็นริวเงียบไป แถมเหมือนจะหลบหน้าเขาอีก

“หือ...เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก  ผมก็แค่กำลังคิดว่าจะซื้อกับข้าวอะไรดี...ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ริวบอกแล้วก็เดินจากไป กีรติมองตามอีกฝ่ายอย่างยังคงนึกแปลกใจไม่หาย แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่า เมื่อครู่นี้เขายังไม่ได้ซื้อกับข้าวกลับมาเลยสักอย่าง

“คุณริวครับ! รอด้วยครับ ผมไปด้วยคน ผมก็ยังไม่ได้ซื้อกับข้าวเลย เมื่อครู่มัวแต่ยุ่ง ๆ เรื่องมาห้ามคุณแฟนธอมน่ะครับ”

กีรติตะโกนบอกพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินตาม ทางด้านริวพอได้ยินจึงชะลอฝีเท้าเพื่อรออีกฝ่าย กีรติเห็นดังนั้นจึงยิ้มหวานให้กับหนุ่มญี่ปุ่นในตอนที่เขาเดินมาทัน

“ไม่ค่อยได้ออกมาซื้อกับข้าวพร้อมคุณริวเลย ปกติคุณออกมาเวลานี้ประจำหรือครับ”

ริวลังเลที่จะตอบชั่วครู่ แต่พอเห็นสายตาใสซื่อบริสุทธ์ของอีกฝ่ายเขาก็ลอบถอนหายใจ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบรับ

“ใช่ครับ ผมจะออกมาช่วงนี้ประจำ”

“หรือครับ มิน่าล่ะถึงไม่ค่อยเจอคุณริว เพราะส่วนใหญ่ผมจะออกมาก่อนหน้านั้นน่ะครับ  อืม...ไว้คราวหน้าผมออกสายสักหน่อยดีกว่า จะได้เจอคุณริวด้วย”

กีรติบอกแล้วก็ยิ้มแย้มไร้เดียงสาอย่างไม่คิดอะไรมาก ทว่าคนฟังนั้นชะงักเล็กน้อย แต่พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มมีสีหน้ากังวล เพราะกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ หนุ่มญี่ปุ่นจึงยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้า

“ดีเหมือนกันครับ ผมจะได้ปรึกษาเรื่องเมนูอาหารจากคุณบ้าง เพราะเห็นคุณไกรสรบอกว่า คุณกีรติเก่งเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรือครับ”

กีรติหน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขินที่ถูกชม แล้วจึงอุบอิบตอบกลับไป

“ก็ไม่เก่งนักหรอกครับ แค่ทำพอกินได้ อีกอย่างก็ไม่แน่ใจว่าทำแล้วจะถูกปากคนอื่นไหม เพราะผมมักจะทำเองกินเองมาคนเดียวตลอดน่ะครับ”

ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูเศร้าซึมนิด ๆ หลังพูดจบ ทำให้คนฟังอึ้งไปเล็กน้อย เพราะถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเชื่อในเรื่องที่ปัณณ์เคยโม้ให้คนในหมู่บ้านฟังว่า พ่อแม่ของกีรติหนีหนี้พนันแล้วทิ้งอีกฝ่ายไว้ก็ตาม  แต่เท่าที่เขาทราบมาจากไกรสร เรื่องที่กีรติอยู่คนเดียวลำพังมาตั้งแต่อายุ 15 นั่น เป็นความจริงจากปากของชายหนุ่มร่างเล็กอย่างแน่นอน

 “ถ้าไม่รังเกียจ เวลาคุณพัก เรามาทานอาหารกลางวันด้วยกันไหมครับ ผมจะได้ช่วยชิมฝีมือคุณ แล้วบอกได้ว่ามันอร่อยหรือไม่ยังไงล่ะครับ”

กีรติมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตกใจในทีแรก ก่อนจะแย้มยิ้มกว้างตามมาด้วยความยินดีอย่างเห็นได้ชัด

“ครับ! ถ้าอย่างนั้นผมจะทำอาหารเผื่อคุณริวด้วยดีไหมครับ!”

ริวมองคนตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู แล้วจึงตอบกลับไป

“ขอบคุณครับ แต่ผมว่าเราต่างคนต่างทำแล้วมาแลกกันชิมดีกว่าไหมครับ คุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำเผื่อผมด้วย”

หนุ่มญี่ปุ่นยิ้มแย้มอ่อนโยนให้หลังพูดจบ โดยกีรติได้ฟังแล้วเขาก็พยักหน้าตอบรับอย่างเห็นดีด้วย  จากนั้นทั้งคู่จึงเดินไปคุยไปจนกระทั่งถึงรถกับข้าว โดยคนอื่น ๆ ที่มาซื้อกับข้าวในเวลานั้น ต่างก็ลอบมองริวอย่างนึกแปลกใจ เพราะถึงแม้ริวจะมีมนุษยสัมพันธ์ดีกับทุกคนในหมู่บ้าน แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นริวให้ความสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายกำลังแสดงออกต่อกีรติในตอนนี้



... TBC …
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-09-2013 22:00:26

ตอนที่ 12
เจ้าของที่ดิน



   แฟนธอมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นั่งมองคนที่อมยิ้มนอนเอนกายข้างเขาบนเตียงไม่ยอมกลับบ้านตัวเอง ส่วนตัวเขาจะออกปากไล่ก็ทำไม่ได้ เพราะดันเผลออนุญาตให้เจ้าตัวอยู่ต่อไปก่อนหน้านั้น เนื่องจากเจอรัลด์ออกอาการตัดพ้อน้อยใจ ในเรื่องที่เขาคิดจะไปอาละวาดใส่ก่อนหน้า ทั้งที่เจ้าตัวไม่ผิดเลยสักนิด

“เลิกยิ้มได้แล้วน่า! อยากนอนก็นอนไป แต่ห้ามรุ่มร่ามกับฉันด้วยล่ะ!”

“ครับ ๆ แค่ได้สูดกลิ่นคุณใกล้ ๆ แบบนี้ ผมก็ดีใจมากแล้ว”

แฟนธอมหน้าแดงวาบเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

“โรคจิต!”

“นาทีนี้ให้เป็นอะไรก็ยอมทั้งนั้นละครับ”

เจอรัลด์ตอบอย่างไม่ขุ่นเคือง ทำให้แฟนธอมยิ่งเขินหนักขึ้น ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเจอรัลด์เอื้อมมือมาปลดหน้ากากเขา

“เวลาอยู่กับผมสองต่อสอง ไม่ต้องสวมหน้ากากก็ได้ครับ”

เจอรัลด์บอกกับแฟนธอมที่เหมือนจะเบี่ยงใบหน้าหลบเขาอย่างลังเล จนอีกฝ่ายต้องชะงัก แล้วจำยอมให้ชายหนุ่มถอดหน้ากากออกจนได้   

“คุณแฟนธอมน่ารักจริง ๆ นี่อายอยู่สินะครับ”

ผีดิบหนุ่มเอ่ยแซว แล้วก็ต้องรีบขอโทษขอโพยตามมายกใหญ่ เมื่ออีกฝ่ายออกอาการงอนให้เห็น

“ฮะ ๆ ขอโทษทีครับ ไม่พูดแหย่ให้คุณเขินแล้วล่ะ ...แต่ตอนนี้ผมยังง่วงอยู่เลย เมื่อเช้าก็ตกใจนึกว่าคุณเป็นอันตรายอะไรไปเสียอีก ...ที่ไหนได้ เฮ้อ!”

แฟนธอมสะดุ้งเล็กน้อยที่อีกฝ่ายวกกลับมาพูดเรื่องเดิมเมื่อเช้าอีกครั้ง ชายหนุ่มดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าคนพูด แล้วแกล้งทำเป็นบ่นตามมา

    “ง่วงนักก็นอนไปสิ! แต่ถ้ายังจะคุยต่อ ก็ออกไปนั่งคุยนอกห้องแทนแล้วกัน!”

“อะ...งั้นเลิกบ่นก็ได้...เห็นแก่ที่คุณทำตัวน่ารักสุด ๆ ในวันนี้เลยนะครับเนี่ย โอ๊ย! ขอโทษครับ คุณแฟนธอม!”

เจอรัลด์ยกไม้ยกมือห้ามประท้วง เพราะแฟนธอมที่กำลังฉุนปนเขินลงมือทุบเขาเสียเต็มแรง จนเขาชักจะเริ่มเจ็บเข้าให้จริง ๆ เหมือนกัน

    “อูย...พอเถอะนะครับ ผมยอมแล้ว ...จะไม่ปากเสียอีกแล้ว ยกโทษให้ผมนะครับ”

       นักประดิษฐ์หนุ่มอ้อนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า แถมยังจับข้อมือทั้งสองที่กำลังทุบเขาไว้เสียอีก ทำให้แฟนธอมที่เผลอหันมาสบตาตอบต้องรีบเบือนหน้าไปอีกทางด้วยความอาย ทว่าสุดท้ายก็ยอมอยู่นิ่งเลิกอาละวาด  ทำให้เจอรัลด์หลุดยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับรวบมือทั้งสองข้างของคนที่ตนหลงรักมาจูบแผ่วเบา

“นอนเป็นเพื่อนกันนะครับ สัญญาว่าจะแค่กอดอย่างเดียว ไม่ทำอะไรล่วงเกินแน่”

แฟนธอมชะงัก แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ  ทำให้เจอรัลด์ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความดีใจ ก่อนจะรั้งร่างตรงหน้าให้เอนกายนอนไปพร้อมเขาอย่างอ่อนโยน ทว่าพอผ่านไปได้ครู่ใหญ่  คนที่รับปากว่าจะขอแค่นอนกอด ก็เริ่มจะระงับใจตนเองเอาไว้ไม่ไหว จากกอดเฉย ๆ ก็เลยเริ่มขยับมือแตะนิดแตะหน่อยพอเนียนเป็นพัก ๆ จนคนยอมให้กอดต้องนิ่วหน้า และมาแน่ใจชัดเจนว่าไม่ใช่การบังเอิญ ก็ตอนที่เจอรัลด์นั้นล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อนอนของตน

“หยุดเลยนะเจ้าซอมบี้หื่นกาม! หนอย! ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ ด้วย!”

แฟนธอมดันตัวออกห่างและเตรียมจะลุกหนี แต่เจอรัลด์ก็รีบตามมากอดไว้แน่น  เสียงทุ้มพึมพำกระซิบใกล้หูทำให้คนฟังถึงกับขนลุกซู่ทั่วกาย

“คุณแฟนธอม...ขอโทษนะครับ  แต่ผมทนไม่ไหวจริง ๆ ตอนนี้นอกจากจะกอดแล้ว... ผมยังอยากจูบคุณให้ทั่วทั้งตัวเลยล่ะครับ”

คำสารภาพจริงใจด้วยน้ำเสียงอ้อน ๆ นั่น ทำเอาแฟนธอมเกือบจะใจอ่อน หากแต่ความอายที่มีมากกว่าก็ยังทำให้เขาฝืนใจแข็งเอ่ยปฏิเสธออกไปในที่สุด

“ไม่มีทาง! ฉันยังไม่ได้ตอบรับคบกับนายเลยนะ  จริง ๆ นายก็ไม่มีสิทธิจะทำถึงขั้นนี้เลยด้วยซ้ำ!”

เจอรัลด์ตีหน้าสลดแถมยังส่งสายตาเศร้า ๆ มองมา ทำเอาแฟนธอมใจอ่อนอีกรอบ จากที่เคยปฏิเสธเสียงแข็งก็เลยกลายเป็นเสียงแผ่วลงอย่างยอมอ่อนข้อให้บ้าง

“อุตสาห์อดทนรอมาได้ตั้งนาน...รอต่ออีกสักหน่อยจะไม่ได้เลยหรือ ฉันก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอะไรสักหน่อย”

เจอรัลด์ชะงักกับคำพูดนั้น แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย

“ก็ได้ครับ...คุณแฟนธอมอุตสาห์ยอมอ่อนข้อให้ผมขนาดนี้ ผมจะยังงอแงทำให้คุณเดือดร้อนได้ยังไงจริงไหมครับ”

แฟนธอมเบือนหน้าหลบมองทางอื่นด้วยความเขิน ทำให้เจอรัลด์ที่ได้เห็นต้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเตรียมจะฉวยโอกาสนี้หอมแก้มอีกฝ่ายให้สมอยาก ทว่าเสียงเคาะประตูที่ดังขัดขึ้น ก็ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งโหยงเสียก่อน

“คุณแฟนธอมครับ อาหารเช้าเสร็จแล้วนะครับ จะทานเลย หรือจะให้ผมเก็บไว้ให้ก่อนดีครับ”

พอได้ยินเสียงกีรติมาตาม แฟนธอมก็รีบตะโกนตอบกลับไปทันที

“เดี๋ยวฉันตามไปเลยแล้วกัน รอแป๊บนึงนะ!”

    พอบอกจบชายหนุ่มก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียง พลางหยิบหน้ากากที่ถูกถอดวางไว้แถวนั้นมาใส่อย่างรีบร้อน ส่วนเจอรัลด์เมื่อเห็นว่ายังไงแฟนธอมก็คงไม่กลับมาจู๋จี๋กับเขาต่อเป็นแน่ ชายหนุ่มจึงยันกายขึ้นนั่ง และลุกตามออกไปด้วยอีกคนอย่างนึกเซ็งไม่น้อยเลยทีเดียว



“นายกลับไปหากินที่บ้านนายโน่น! กีรติเขาไม่ได้ทำเผื่อนายหรอก!”

แฟนธอมตะโกนไล่คนที่เดินตามเขามาเพื่อแก้เขิน และกลัวกีรติเข้าใจผิดว่าเขาเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เจอรัลด์มานอนร่วมห้องด้วยเช่นนี้

“อ๋อ! ไม่เป็นไรครับ เพราะผมทำเผื่อคุณเจอรัลด์ไว้ด้วย พอดีผมเห็นรองเท้าถอดวางไว้ด้านหน้า ก็เลยคิดว่าคุณเจอรัลด์น่าจะอยู่กับคุณแฟนธอม  ก็เลยตัดสินใจทำเผื่อไว้ก่อนน่ะครับ”

แฟนธอมชะงักเมื่อได้ยิน ส่วนเจอรัลด์ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ เขาหันไปขอบคุณกีรติ และเริ่มหายหงุดหงิดเรื่องที่ถูกขัดจังหวะเมื่อครู่นี้

“ผมเห็นว่าคุณแฟนธอมเพิ่งฟื้นไข้ ก็เลยทำอาหารอ่อน ๆ แทน ...แต่ถ้าไม่ถูกปากพวกคุณ จะไม่ทานก็ได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจผมก็ได้”

กีรติรีบออกปากดักไว้ก่อนด้วยความกังวล ทำให้คนฟังทั้งสองอมยิ้ม สักพักชายหนุ่มจึงยกหม้อข้าวต้มหมูสับที่ทำไว้ มาตักแบ่งเป็นสามถ้วย แถมยังมีเครื่องเคียงเป็นเต้าหู้ผัดถั่วงอกให้อีก 1 จานด้วย

“ว้าว! น่ากินชะมัด นี่คุณทำเองจริง ๆ หรือเนี่ย คุณกีรติ”

เจอรัลด์มองอาหารตรงหน้าอย่างประหลาดใจเล็กน้อย และยิ่งพอได้ลองชิมเจ้าตัวก็ยิ่งทึ่งในความสามารถของคนตัวเล็กเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า

“ผมว่าคุณลาออกจากยาม มาเปิดร้านแข่งกับคุณดาหลาดีกว่านะครับ”

เจอรัลด์พูดกึ่งเล่นกึ่งจริง จนกีรติต้องยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนแฟนธอมนั้นก็รู้สึกไม่แตกต่างจากนักประดิษฐ์หนุ่มเท่าใดนัก และเพียงไม่นานทั้งข้าวต้มและผัดเต้าหู้ก็ถูกกินจนหมดเกลี้ยง สร้างความยินดีให้กับผู้ที่ทำอาหารเป็นยิ่งนัก

“ค่อยยังชั่ว อย่างนี้ผมค่อยมั่นใจสำหรับมื้อกลางวันหน่อย เกิดคุณริวทานแล้วไม่ถูกปากขึ้นมาคงแย่”

คำพูดคล้ายเปรยกับตัวเองทำให้เจอรัลด์และแฟนธอมชะงัก จากนั้นจึงปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นที่มุมปากของนักประดิษฐ์หนุ่มอย่างถูกใจ จนแฟนธอมที่หันไปเห็นนึกหมั่นไส้ยิ่งนัก เนื่องจากพอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวเข้างานก่อนนะครับ คุณแฟนธอมก็พักผ่อนให้มาก ๆ นะครับ”

กีรติที่เหลือบมองเวลาหันมาบอกกับรุ่นพี่ร่วมงานของเขา อย่างไม่ได้ทันรู้สึกตัวเลยว่ากำลังถูกใครบางคนคิดจับคู่เขาให้กับผู้ชายด้วยกันเรียบร้อย

“อือ...นายเองก็อย่าหักโหมนักล่ะ”

แฟนธอมบอกกับรุ่นน้องพร้อมรอยยิ้ม และเมื่อกีรติหายเข้าไปในห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย เขาก็เตรียมเดินกลับห้องของตนบ้าง ทว่าก็ต้องหยุดฝีเท้าเอาไว้ก่อนจะก้าวเข้าไปในนั้น

“อ้าว! ไม่เข้าห้องหรือครับคุณแฟนธอม หรือลืมอะไรไว้ข้างนอก”

เจอรัลด์เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ทำเป็นสงสัย หากแต่คนสวมหน้ากากนั้นพอจะมองออกดีว่าเจ้าตัวเสแสร้งแกล้งทำไปเช่นนั้นเองต่างหาก

“กลับบ้านนายไปได้แล้ว นี่มันเช้าแล้วนะ!”

แฟนธอมโพล่งบอกด้วยความอาย เพราะเมื่อครู่นี้หากกีรติไม่มาขัดจังหวะ เขาก็คงใจอ่อนยอมให้เจอรัลด์เอาเปรียบไปแล้ว

“เอ๋! แต่ก่อนหน้านั้น คุณอนุญาตให้ผมนอนที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือครับ”

เจอรัลด์รีบประท้วงแล้วส่งสายตาอ้อนมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้แฟนธอมไม่ยอมใจอ่อนเหมือนเดิม

“อยากนอนต่อก็ได้ แต่หลังจากตื่นขึ้นมา ก็เตรียมรับฟังคำปฏิเสธจากฉันเรื่องขอคบกันไว้ได้เลย!”

คนฟังกลืนน้ำลายลงคอเมื่อถูกยื่นคำขาด และเมื่อเห็นว่ายังไงแฟนธอมก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ เขาจึงยอมล่าถอยแล้วเดินคอตกกลับออกไป ทำให้คนที่มองอยู่นึกสงสาร จึงแสร้งทำเป็นเปรยอ้อมแอ้มให้ได้ยิน

“คืนนี้ตอนฉันเข้าเวร ถ้านายยังอยากจะมาคุยด้วยอีก... ก็แวะมาแล้วกัน”

เจอรัลด์สะดุ้งโหยงแล้วรีบหันขวับกลับมามองคนพูด ทว่าก็ทันได้เห็นเพียงแผ่นหลังของเจ้าตัวที่รีบเข้าห้องนอนพร้อมกับปิดประตูดังลั่นตามมา ชายหนุ่มอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกำมือแน่นด้วยความยินดี เพราะลองแฟนธอมพูดแบบนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายยังไม่คิดตัดเยื่อใย แถมถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปนัก แฟนธอมก็เหมือนจะมีใจให้เขาไปแล้วกว่าครึ่งด้วยซ้ำ

    “อยากให้ถึงกลางคืนไว ๆ จังเลยแฮะ”

เจอรัลด์พึมพำพร้อมฮัมเพลงเดินออกจากสำนักงานหมู่บ้านไปอย่างอารมณ์ดีผิดกับตอนขาเข้ามาลิบลับ ส่วนแฟนธอมที่อยู่ในห้องก็กำลังบ่นตัวเองที่ดันเผลอใจอ่อนจนพูดในสิ่งที่เขามั่นใจว่าจะทำให้เจอรัลด์นั้นได้ใจยิ่งกว่าเดิมแน่นอน

“เฮ้อ...ทำไงได้ ...ถือว่าเป็นการตอบแทนที่นายมองแต่ฉันคนเดียวมาตลอดแล้วกัน”

แฟนธอมถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก เพราะต่อให้เขาจะพูดหรือไม่พูดในสถานการณ์เช่นนั้น เขาก็ยังเชื่อว่าเจอรัลด์คงจะไม่เปลี่ยนใจไปจากเขาง่าย ๆ  และเพราะชายหนุ่มเป็นคนเช่นนั้น แฟนธอมจึงคิดว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาคงจะยอมใจอ่อนเอ่ยปากตอบรับรักอย่างที่เจอรัลด์ต้องการในเร็ววันนี้เป็นแน่



    ในเวลาต่อมา หลังจากที่กีรติเข้าเวรกะเช้าได้สักพัก ชายหนุ่มก็ได้เห็นรถสปอร์ตสีเงินคันหรูเลี้ยวเข้ามาในเขตหมู่บ้าน คนขับนั้นลดบานกระจกลงให้กีรติเห็นใบหน้า ซึ่งพอเห็นว่าเป็นใคร กีรติก็รีบทักทายสวัสดีพร้อมยกไม้กั้นรถขึ้น แล้วปล่อยให้รถสปอร์ตคันนั้นขับเข้าไปด้านใน และเมื่อรถจอดสนิทในโรงรถข้างสำนักงานหมู่บ้านเรียบร้อย คนที่ลงจากรถก็หันมามองที่ป้อมยามชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทำงานด้านในตามปกติ

    “เพิ่งเคยเห็นคุณกรกฎขับรถมาวันนี้นี่ล่ะครับ ทุกทีผมเห็นเขาเดินเข้ามาในหมู่บ้านเอง ก็นึกว่าบ้านอยู่ละแวกนี้เสียอีก”

กีรติเปรยกับอเล็กซ์ด้วยความแปลกใจ และถ้าเขาจำไม่ผิด รถรุ่นที่กรกฎใช้อยู่ ราคามันเฉียด 30 ล้านบาทเลยด้วยซ้ำ

“บ้านพักของคุณกรกฎน่ะหรือครับ ก็ไม่ไกลจากแถวนี้นักหรอกครับ ห่างออกไปราวสิบกิโลเมตรได้ เท่าที่ผมทราบปกติเขาจะให้คนที่บ้านขับรถมาส่งหน้าปากทางเข้าแล้วเดินออกกำลังกายมาเรื่อย ๆ เอง แต่วันนี้อาจจะตื่นสาย หรือมีธุระต้องใช้รถในตอนเย็นต่อ เลยนำรถมาด้วยก็ได้ล่ะมั้งครับ”

อเล็กซ์อธิบายตามปกติโดยไม่นึกสนใจราคารถสปอร์ตคันหรูของกรกฎเลยสักนิด ซึ่งก็ทำให้กีรติคิดว่าบางทีกรกฎเองก็อาจจะไม่ใช่เลขานุการธรรมดาอย่างที่เห็นเบื้องหน้าก็เป็นได้

“อย่างนั้นหรือครับ...จริง ๆ เดินทางไกลมีรถขับไปไหนมาไหนเอง ก็สะดวกดีนั่นล่ะครับ”

กีรติตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไรมากเช่นเดียวกัน จากนั้นชายหนุ่มก็ยืนอยู่ยามต่อตามปกติ จนทำให้คนที่เดินออกมาจากสำนักงานหมู่บ้าน และแอบมองอยู่ห่าง ๆ ต้องอมยิ้ม เพราะทีแรกกรกฎนึกว่าเขาจะถูกตามซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเรื่องรถที่เขาใช้ เหมือนดังเช่นยามกะเช้าคนอื่น ๆ ก่อนหน้านั้นเสียอีก

“อืม...ปฏิกิริยาตอบรับค่อนข้างแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอยู่มากเลยแฮะ... แถมประวัติส่วนตัวที่คลุมเครือนั่นก็น่าสนใจใช่เล่นอีกด้วย”

กรกฎพึมพำกับตัวเอง พลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ ที่มุมปาก เพราะเมื่อเขาได้ตรวจสอบประวัติของกีรติโดยละเอียด ก็ทำให้พอจะรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นปลอมแปลงเอกสารราชการ รวมถึงประวัติส่วนตัวก่อนหน้าอายุ 15 ปี ทั้งหมด ในจุดนี้เขายังไม่ได้บอกเวธน์  เพราะเท่าที่สังเกต กีรตินั้นเป็นคนดีจริง ๆ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด และไม่น่าสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้แน่

‘เอาเถอะ...เรื่องของคุณกีรติคงต้องเอาไว้ทีหลัง ปัญหาก็คือเย็นนี้ต่างหาก หวังว่าคุณเวธน์จะอู้งานตามปกตินะ ไม่อย่างนั้นเราคงแก้ตัวเรื่องขอกลับไวลำบากแน่ เฮ้อ!’

กรกฏคิดในใจอย่างเอือมระอา เพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมา  ลูกพี่ลูกน้องของเขาซึ่งอาศัยอยู่ต่างประเทศ ได้โทรให้เขาไปรอรับที่สนามบินในตอนบ่ายของวันนี้ โดยกำชับให้ปิดเป็นความลับกับเวธน์ เพราะต้องการทำเซอร์ไพรส์ที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่กรกฎนั้นรู้ดีว่าที่จริงแล้วอีกฝ่ายกลัวเวธน์จะหนีไปเสียก่อน หากได้รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเจอกับเจ้าตัวนั่นเอง



พอใกล้เวลาสองโมงเช้า กรกฎก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาจ้องมองคนที่เดินยิ้มร่าเริงตรงเข้ามาในสำนักงานด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นขนาดเขาพยายามขอร้องให้อีกฝ่ายมาทำงาน เวธน์ก็ยังคอยแต่จะหาข้ออ้างปฏิเสธ แต่ในวันนี้เขาไม่อยากให้เจ้าตัวมาแท้ ๆ เวธน์ก็ดันมาทำงานเสียอย่างนั้น

“ไง! กรกฎ วันนี้นึกอะไรขึ้นมา ถึงได้เอารถคันโปรดออกมาใช้แบบนี้น่ะ ปกติถ้าไม่ให้คนขับรถมาส่ง นายก็ใช้แค่รถยนต์ธรรมดาคันละไม่กี่ล้านมาทำงานไม่ใช่เหรอ เอ...หรือว่าจงใจขับมาอวดใคร...แล้วเป็นไง เขาสนใจหรือเปล่าล่ะ”

กรกฎเลิกคิ้วนิด ๆ เพราะเวธน์เดาเจตนาของเขาได้ถูกครึ่งหนึ่ง เรื่องที่เขาจงใจใช้รถสปอร์ตคันหรู เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของกีรติ ทว่าอีกครึ่งหนึ่งนั้น กรกฎยังคงมั่นใจว่า เวธน์จะยังไม่รู้ตัวแน่

“ก็แค่มองเฉย ๆ แล้วก็ทำงานต่อนั่นล่ะครับ”

เลขาหนุ่มตอบกลับไปตามตรง ซึ่งเวธน์ก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างถูกใจ   

“ว่าแล้วเชียว  อืม...หรือบางทีเขาอาจจะไม่รู้ราคาของมันก็ได้นะ ว่ามันแพงมากขนาดไหน”

“ผมก็คิดเผื่อไว้ว่าอาจจะเป็นแบบนั้น ...หรือไม่เขาก็อาจจะไม่ใส่ใจเลยก็ได้”

เวธน์พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงทำเป็นเดินไปมา ก่อนจะชะโงกหน้าไปดูหน้าประตูห้องนอนส่วนตัวของยามกะดึกอีกคน จนกรกฎต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

“มีธุระอะไรกับคุณแฟนธอมหรือครับคุณเวธน์”

เวธน์สะดุ้งเล็กน้อย แล้วหันมายิ้มแปลก ๆ ให้อีกฝ่าย

“หึ ๆ นายไม่รู้เรื่องนี้สินะ...”

    เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเลขาหนุ่ม เวธน์ก็หัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยต่อ

“ฉันได้รับรายงานข่าวเด็ดข่าวดัง มาจากคนในหมู่บ้านเมื่อเช้า เรื่องที่เจอรัลด์สารภาพรักกับคุณแฟนธอมไปเรียบร้อยแล้วไงล่ะ วันนี้ก็เลยอยากมาดูด้วยตาตัวเอง หรือจะให้พูดตรง ๆ ก็คือ อยากจะมาแซวคุณแฟนธอมเขาสักหน่อยน่ะ!”

เมื่อได้ฟังเจตนารมณ์ของชายหนุ่ม ก็ทำให้กรกฎต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นิสัยชอบแหย่ชอบแกล้งคนที่ถูกใจของเวธน์ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนไปสักที   

    ทางด้านเวธน์นั้นหัวเราะเบา ๆ หลังจากเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างเป็นการเป็นงานกว่าเดิม

     “นี่ กรกฎ ฉันว่าจะขยายพื้นที่หมู่บ้านออกไปทางด้านหลังเพิ่มอีกสักหน่อย  นายคิดว่ายังไงล่ะ”

กรกฎขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วย้อนถามกลับไป

“จะมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีกหรือครับ”

เวธน์ยิ้มนิด ๆ ก่อนจะตอบกลับไปตามตรง

“ยังไม่มีหรอก...แต่ฉันเริ่มคิดเรื่องนี้ หลังจากกีรติมาทำงานที่หมู่บ้าน... ฉันคิดว่ามนุษย์ที่พร้อมจะยอมรับปีศาจอย่างง่ายดายก็น่าจะมีอยู่อีกมาก และถ้าพวกเขาเหล่านั้นได้มาอยู่อาศัยร่วมกันที่หมู่บ้านมีสุขแห่งนี้เพิ่มขึ้น ก็คงจะเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยล่ะนะ”

กรกฎมองคนตรงหน้านิ่งสักพัก แล้วจึงมีรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้

“คุณอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ  ก็คุณเป็นเจ้าของที่ดินรุ่นที่ 3 ไม่ใช่หรือครับ”

    เวธน์จ้องมองตอบแล้วมีรอยยิ้มให้อีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

“ฉันมันเป็นได้แค่ตัวแทน ตัวจริงมันควรจะเป็นนายต่างหาก เมื่อไหร่ถึงจะยอมรับตำแหน่งนี้แทนฉันเสียทีล่ะ กรกฎ”

กรกฎหัวเราะในลำคอเบา ๆ  จริงอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้นึกรังเกียจทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ความเป็นผู้นำ การแก้ปัญหาความขัดแย้งเฉพาะหน้า รวมไปถึงความมีมนุษยสัมพันธ์อันดีเลิศ  เวธน์นั้นเหนือกว่าเขาทุกอย่างและเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งได้รับมาเป็นที่สุด  ถึงแม้ว่าเขาจะได้ชื่อว่าเป็นหลานชายแท้ ๆ ของเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองก็ตาม



เมื่อหวนนึกถึงอาของตน ก็ทำให้กรกฎต้องย้อนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งอดีต เกี่ยวกับ ‘กอบพล’ น้องชายคนเล็กของบิดาเขา ซึ่งเป็นลูกหลงของปู่กับย่าที่เกิดตอนพวกท่านอายุค่อนข้างมากแล้ว กอบพลอายุมากกว่าเขาเกือบสิบปี และเป็นรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกับเวธน์  กรกฎจึงได้รู้จักเวธน์ผ่านการแนะนำของผู้เป็นอา พวกเขาสนิทคุ้นเคยไปมาหาสู่กันดี และเริ่มเหินห่างไปเมื่อเขาตัดสินใจไปเรียนต่อที่เมืองนอก

    ทว่าในปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเรียนจบ กอบพลก็มาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน เขาบินกลับมาเมืองไทยเพื่อร่วมงานศพของผู้เป็นอา และเวธน์ก็ได้มอบโฉนดที่ดินผืนใหญ่ รวมถึงเล่าเรื่องราวของหมู่บ้านมีสุขให้เขาฟัง พร้อมบอกกับเขาว่าเขาเหมาะสมที่จะสืบทอดต่อจากกอบพลมากที่สุด ทว่าในตอนนั้นเขายังคงสับสนกับสิ่งที่ได้รับรู้ จึงได้ฝากให้เวธน์ช่วยดูแลแทนเขาไปก่อน ซึ่งก็เหมือนเวธน์จะเข้าใจว่าเขายังคงทำใจไม่ได้ ชายหนุ่มจึงยอมรับฝากทั้งที่ดินและตำแหน่งเจ้าของที่ดินจนกว่าเขาจะพร้อมกลับมารับช่วงแทน



“กรกฎ เฮ้! เป็นอะไรของนายน่ะ จู่ ๆ ก็เงียบไปเสียอย่างนั้น”

เวธน์เอ่ยทัก เพราะคนที่หัวเราะยิ้มรับคำเขา จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบตกอยู่ในภวังค์ตัวเองเสียนานอย่างน่าแปลก

“อะ...ขอโทษด้วยครับคุณเวธน์ ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย”

คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

“เฮ้อ! ฉันรู้นะ ว่าฉันอาจจะพูดจาเอาแต่ใจเกินไป ...แต่นายก็เห็นไม่ใช่หรือกรกฎ ว่าคนไร้ความรับผิดชอบและรักอิสระอย่างฉัน มันดูแลที่นี่ให้ดีไม่ได้ อย่างนายต่างหากถึงจะเหมาะสมกับที่นี่มากกว่า...เพราะว่านายน่ะเป็นหลานของผู้ชายซึ่งรักที่นี่จากใจจริงยิ่งกว่าใคร ยังไงล่ะ”

กรกฎจ้องมองคนที่มีสีหน้าเศร้าซึมลงสักพัก แล้วจึงหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา

“...ผมซึ่งเคยหันหลังให้ที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้นหรอกครับ”

“ตอนนั้นนายก็ยังแค่ทำใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง!”

เวธน์รีบแย้ง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ดูคล้ายกับกอบพลไม่มีผิด

“ผมเชื่อนะครับคุณเวธน์ ว่าถ้าอายังมีชีวิตอยู่ คนที่เขาจะขอร้องให้รับช่วงสืบทอดต่อ ก็คือคุณ...ไม่ใช่ผม”

เวธน์เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะสะดุ้งนิด ๆ เมื่อเสียงเปิดประตูจากบางห้องดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นว่าแฟนธอมกำลังเดินออกมาจากห้องของอีกฝ่าย แถมยังไม่มีท่าทางจะสนใจพวกเขาเสียอีก  ชายหนุ่มตรงไปชงกาแฟสำหรับตัวเอง และเดินถือแก้วกลับไปเงียบ ๆ ทว่าก่อนที่จะก้าวเข้าห้อง แฟนธอมก็หยุดฝีเท้าลง แล้วเปรยขึ้นค่อนข้างดัง

“ก่อนหน้าคุณเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองจะเสียชีวิตราวเดือนกว่า เขาเคยมาปรึกษากับผมว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเกิดทำหน้าที่นี้ต่อไม่ได้  ผมจะรับได้ไหม...ถ้าคุณเจ้าของที่ดินคนใหม่จะเป็นผู้ชายที่ชอบกวนโมโห คอยหาเรื่องแหย่แกล้งชาวบ้าน โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจน่ะ”

เวธน์ชะงักกึก พลางจ้องมองแฟนธอมอย่างตกตะลึง เพราะเขาไม่คิดว่ากอบพลจะอยากให้เขารับช่วงสืบทอดต่อ แต่เขาก็มั่นใจว่าแฟนธอมไม่น่าจะพูดโกหก เพราะเท่าที่เขาเห็นมา กอบพลเองก็สนิทสนมและให้ความไว้วางใจกับแฟนธอมมากกว่าใคร ๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้

“ผมเองก็ไม่คิดว่าเรื่องที่คุณกอบพลกังวล มันจะเกิดขึ้นไวขนาดนั้น ...แต่ผมและทุกคนที่หมู่บ้านมีสุข ดีใจนะ ที่คุณเจ้าของที่ดินรุ่นที่สามของพวกเราคือคุณน่ะ...คุณเวธน์”

แฟนธอมเอ่ยปิดท้ายพลางหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับเวธน์ แล้วเดินกลับเข้าห้อง ทางด้านกรกฎเองก็มีรอยยิ้มเช่นเดียวกัน เมื่อได้เห็นสีหน้าในยามนี้ของคนใกล้ตัว

“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม คุณเวธน์ ว่าคนที่อาเลือกน่ะไม่ใช่ผม...”

เวธน์ชะงักพลางหันมามองอีกฝ่าย แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งไม่แพ้ก่อนหน้านั้น เมื่อได้รับฟังในสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยต่อมา

       “ที่ผมยอมทิ้งฐานะหน้าตาในสังคมมารับงานเลขาให้คุณ ไม่ใช่เพราะผมต้องการปรับตัว หรืออยากจะรับช่วงต่ออะไรนั่นหรอก...ผมก็แค่อยากทำงานกับผู้ชายที่อาของผม และทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ยอมรับ ก็เท่านั้นเอง”

เวธน์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหันไปทางอื่นเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น ซึ่งก็ดูเหมือนกรกฎจะรู้ดี เลขาหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ และเดินไปชงกาแฟสำหรับเขาและเวธน์ตามปกติแทน



อีกด้านหนึ่ง แฟนธอมซึ่งเลี่ยงเข้าห้องมาก่อนหน้านั้นต้องถอนหายใจเบา ๆ  อย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงด้านนอกเงียบไป  ในตอนที่เวธน์เพิ่งมาถึงสำนักงาน ตอนนั้นเขาไม่ได้หลับ และได้ยินชัดเจนดีว่าเวธน์มาด้วยจุดประสงค์อะไร ชายหนุ่มจึงตั้งใจว่ายังไงก็จะไม่ออกไปนอกห้องเด็ดขาด หากแต่พอเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างเวธน์กับกรกฎ แฟนธอมจึงตัดสินใจว่า ตนคงต้องออกไปบอกถ้อยคำที่ได้รับฝากฝังมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้สักที

“ปกติก็ชอบทำตัวยิ้มแย้มร่าเริงตลอด... แล้วใครจะรู้เล่าว่าคุณกังวลเรื่องอะไรอยู่  ไม่อย่างนั้นก็คงบอกออกไปนานแล้วล่ะนะ”

แฟนธอมพึมพำพร้อมกับสั่นศีรษะด้วยความระอา แต่ถึงกระนั้นริมฝีปากได้รูปก็ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับ ยามหวนคิดถึงเมื่อครั้งอดีตสมัยที่กอบพลยังมีชีวิตอยู่ ในตอนนั้นสำหรับเขาและทุกคนที่นี่ ต่างรู้สึกตรงกันว่า ผู้ชายซึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนวุ่นวายในหมู่บ้านพร้อมกับกอบพล ดูน่าคบหาและสามารถเป็นที่พึ่งพาให้พวกเขาได้ดี ไม่แพ้กับคนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในรุ่นนั้นเลยทีเดียว


 
… TBC …

ช่วงนี้ก็เฉลี่ยบทกันไปค่ะ แล้วจะค่อย ๆ ทยอยเข้าสู่บทของคู่พระเอก นายเอก คู่หลัก หลังจากนี้ค่ะ  ^^ ตอนนี้ก็อยากจะเขียนอีกหลายคู่มากมาย แต่อาจจะออกมาในลักษณะของตอนพิเศษหลังจบแทนค่ะ ซึ่งสำหรับตอนพิเศษของตัวละคนเด่น ๆ นอกจากคู่หลัก ก็จะนำมาลงบอร์ดให้อ่านเช่นกันค่ะ

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-09-2013 22:53:37
กีริว จริงอ้ะๆๆๆๆ
แต่ตอนนี้อยากรู้เรื่องคุณเจ้าของที่ดินสุดละ 5555
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Thyme103 ที่ 22-09-2013 23:02:29
อยากเห็นกีกันริวหวานกันเร็วๆ จัง
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 22-09-2013 23:07:53
อ่านเรื่องนี้เต็มอิ่มทุกวันเลย  ภาษาง่ายอ่านสบายมากเลยค่ะ  :mew1:

ให้อารมณ์เหมือนอ่านเรื่อง "คุณตำรวจยอดรัก" แม้จะคนละแนวก็เถอะ  :mew2:

ชอบจังเลย  มาอีกหลายๆคู่ได้เลยนะคะ  555

แต่แอบสงสัยว่าใครคือคนที่กรกฏจะไปรับ  แล้วเกี่ยวไรกับเวธน์น้า

บวกเป็ด

รอพรุ่งนี้  :heaven
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 22-09-2013 23:21:48
ตามมาติดๆ งั้นคุณเลขาก็ไม่ใช่คู่ของเจ้าของที่ดินรุ่นที่สามสินะ :ruready
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 23-09-2013 09:19:55
กีริว เรารอเทออยู่
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 23-09-2013 13:00:57
ทำไมเหมือนว่าจะแอบจับคู่ผิดอีกแล้วสิ
เราอุตส่าห์แอบเชียร์เจ้าของที่ดินกับคุณเลขาง่าาา
คนที่จะมาเย็นนี้คือใครหว่า???



หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 11 - 12 (22/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: netthip ที่ 23-09-2013 21:51:50
แม้ง่วงแค่ไหนก็จะลอจนกว่าจะได้อ่านนนนน :jul1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-09-2013 23:21:07
มาแปะแล้วค่ะ ช้าไปหน่อยเกือบข้ามวัน ขออภัยด้วยนะคะ  :o8: :o8:


ตอนที่ 13
ลูกพี่ลูกน้อง



   

กรกฎเหลือบมองคนที่กำลังนั่งตรวจตราเอกสารด้วยสายตาเป็นกังวล เพราะวันนี้ดูเหมือนว่าเวธน์จะตั้งใจทำงานเป็นพิเศษ ขนาดพอถึงเวลาอาหารกลางวันที่ชายหนุ่มมักจะหาเรื่องแวบออกไปกินแล้วหายตัวยาวจนถึงเวลาเลิกงานอยู่เสมอ แต่วันนี้กลับสั่งอาหารจากข้างนอกให้มาส่งแทน แถมยังไปเบียดเบียน ‘เต้าหู้ทรงเครื่อง’ ที่กีรติแวะมาทำตอนพักอีกด้วย

    “ถ้าฉันจะขอให้กีรติเขาทำอาหารกลางวันเผื่อด้วยทุกมื้อ มันจะน่าเกลียดไหมกรกฎ”

เวธน์ที่จัดการกินมื้อกลางวันของตนเรียบร้อย เปรยลอย ๆ ถามเลขาคนสนิท ซึ่งกรกฏก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปทำงานต่อพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “น่าเกลียดครับ แต่ถ้าคุณเพิ่มเงินเดือนให้เขา หรือซื้อกับข้าวให้พร้อมจ้างเขาทำอาหารให้คุณต่างหากก็คงพอไหว แต่เชื่อเถอะครับว่าขืนลองยื่นข้อเสนอแบบนั้นไป เจ้าตัวก็ต้องบอกว่าเต็มใจทำให้ฟรี ๆ อยู่ดี”

เวธน์หัวเราะเบา ๆ กับคำตอบของอีกฝ่ายที่ค่อนข้างตรงกับความคิดของเขา   

“ว่าแต่...วันนี้ขยันจังนะครับ ไม่รีบกลับไปพักผ่อน หรือไปคุมงานที่บริษัทของคุณเหมือนเคยหรือครับ”

กรกฎแสร้งทำเป็นเปรยประชดถาม ทว่าอีกคนนั้นกลับเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วยักไหล่ตามมา

“ไม่ล่ะ วันนี้ตั้งใจจะทำตัวเป็น ‘คุณเจ้าของที่ดิน’ ผู้น่านับถือสักวัน จะได้เป็นการไถ่โทษที่คอยเอาแต่อู้งาน แล้วให้นายเหนื่อยคนเดียวอยู่เรื่อยน่ะ”

กรกฎหลุดยิ้มเจื่อนออกมา พลางคิดในใจว่าถ้าหากวันนี้เขาไม่ต้องไปรับลูกพี่ลูกน้องตัวปัญหาโดยไม่ทำให้เวธน์รู้ตัวล่วงหน้าล่ะก็ เขาคงรู้สึกดีใจและตื้นตันมิใช่น้อย ที่เวธน์เริ่มขยันเอาการเอางานช่วยแบ่งเบาภาระเขาบ้าง

“ดูเหมือนนายจะไม่ค่อยดีใจเลยนะ”

เวธน์ที่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มเจื่อนและสีหน้าเป็นกังวลของเลขาหนุ่มเอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย ทำเอากรกฎสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงแสร้งตอบแก้ตัวกลับไป

“ไม่หรอกครับ ผมดีใจนะ...แต่กลัวว่าคุณจะขยันแค่วันนี้วันเดียว แล้วพรุ่งนี้ผมจะต้องทำงานต่อคนเดียวเหมือนเดิมต่างหาก”

เวธน์ชะงักก่อนจะหลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างนึกขำ

“แหม ๆ สงสัยฉันจะอู้งานบ่อยเกินไป จนนายไม่กล้าไว้วางใจเลยสินะ ...เอาน่า ๆ ต่อไปนี้จะขยันมาที่นี่บ่อยขึ้น หรือจะมาอยู่ประจำเลยก็ได้นะ”

กรกฎชะงัก ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“แล้วบริษัทเฟอร์นิเจอร์ของคุณล่ะครับ จะให้ใครดูแล”

เลขาหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะสีหน้าและแววตาของเวธน์ดูไม่เหมือนกับคนพูดเล่นหรือพูดแกล้งเอาใจเขาแม้แต่น้อย

“บริษัทฉันน่ะหรือ...ก็ตั้งใจจะขายกิจการต่อให้ลูกชายของลุงน่ะ เขาเพิ่งจบมาใหม่ ๆ แล้วอยากลงทุนเกี่ยวกับงานประเภทนี้  ลุงเขาก็เลยมาปรึกษากับฉัน ว่าจะพอแนะนำอะไรได้บ้าง ฉันก็เลยบอกไปว่างั้นก็ให้ลูกชายของลุงเซ้งบริษัทต่อจากฉันไปเลยแล้วกัน เพราะจะว่าไปฉันก็ไม่ชอบพวกงานค้าขายพวกนี้นักหรอก”

กรกฎนิ่วหน้ากับสิ่งที่ได้ยินแล้วถามต่อ

“คุยเรื่องนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

เวธน์มองหน้าอีกฝ่ายพลางยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

“ก็สองวันก่อนนั่นล่ะ...ทีแรกฉันก็ตั้งใจจะยกตำแหน่งเจ้าของที่ดินคืนนาย จากนั้นก็ว่าจะขอให้นายขยายพื้นที่หมู่บ้าน แบ่งพื้นที่ให้ฉันปลูกบ้านสักหลัง  อืม...จะว่าไปก็คงเป็นเพราะได้อิทธิพลมาจากเด็กคนนั้นล่ะนะ  ถึงทำให้ฉันเริ่มคิดว่า ตัวเองควรจะย้ายมาอยู่เป็นสมาชิกของที่นี่เต็มตัวสักที”

กรกฎมองใบหน้าระบายยิ้มของอีกฝ่าย ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างไม่ได้   

“โชคดีของผมนะครับ ที่ไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินรุ่นต่อไป เพราะขืนได้มาดูแลลูกบ้านเจ้าปัญหาที่จะเพิ่มมาอีกคน ผมคงจะปวดหัวพิลึก”

เวธน์ชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วสั่นศีรษะไปมา

“นายนี่มันจริง ๆ เลยนะ เห็นแบบนี้ฉันก็รู้จักคิดอยู่นา”

กรกฎยิ้มตอบ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบมาดูเบอร์แล้วก็หลุดหน้านิ่วคิ้วขมวดให้เวธน์ที่เห็นต้องประหลาดใจ

“เอ่อ... ผมขอตัวไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกสักครู่นะครับ”

กรกฎบอกกับคนที่มองอยู่ ซึ่งเวธน์ก็พยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังคงมองไล่หลังเลขาหนุ่มไปอย่างสงสัยไม่หาย เพราะน้อยครั้งนักที่กรกฎจะมีพฤติกรรมหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้ให้เขาเห็น  ทั้งที่ปกติแล้วไม่ว่ามีใครโทรศัพท์มาหา เจ้าตัวก็มักจะรับคุยต่อหน้าเขาโดยไม่คิดปิดบัง แถมยิ่งถ้าอยู่ในเวลางานด้วยแล้ว ส่วนใหญ่ชายหนุ่มก็มักจะเป็นฝ่ายตัดบทวางสายเอง อย่างไม่คิดจะใส่ใจธุระของปลายสายด้วยซ้ำไป



กรกฎเลี่ยงเดินไปแถวลานหน้าสำนักงานหมู่บ้านเพื่อไม่ต้องการให้เสียงคุยของตนกับปลายสายเล็ดรอดไปถึงหูของเวธน์

“นายอยู่ไหนน่ะกาย! นี่ฉันลงจากเครื่องมาแล้ว แต่ไม่เห็นเจอนายเลย!”

คนฟังถอนหายใจแล้วเปรยบอกออกไปตามตรง

“อยู่กับคุณเวธน์ จะให้บอกเขาไหมล่ะ ว่านายมาเมืองไทย ขออนุญาตออกไปรับหน่อยน่ะ”

ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเสียงงึมงำเบา ๆ จะดังขึ้นให้ได้ยิน แล้วจากนั้นจึงมีเสียงพูดตามมา

“ก็ไหนนายบอกว่าเขาชอบโดดงานประจำไงล่ะ แล้วทำไมวันนี้ถึงเข้างานได้ล่ะ”

กรกฎถอนหายใจ ก่อนจะตอบกลับไป

“ใครจะรู้ได้เล่า ฉันก็เซอร์ไพรส์ไม่ได้ต่างจากนาย ...และที่สำคัญหลังจากนี้ เขาคงมาทำงานทุกวันแล้วล่ะ ดูเหมือนจะติดใจคนในหมู่บ้านบางคนเข้าให้แล้วนี่”

เลขาหนุ่มพูดไปอย่างนั้นโดยไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ปลายสายถึงกับสะดุ้ง แล้วรีบโพล่งตามมา

“ติดใจ! คุณเวธน์ติดใจใครกัน! ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง!”

กรกฎชะงักแล้วนิ่งทบทวนคำพูดของตัวเองเมื่อครู่ ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง

“ผู้ชาย...แต่เขาเป็น...เฮ้ย! ปาล เดี๋ยวก่อนสิ บ้าชะมัด! ตัดสายไปเสียแล้วไอ้คนใจร้อนเอ๊ย!”

กรกฎบ่นอุบแล้วพยายามต่อสายเข้าหาลูกพี่ลูกน้องของเขาอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสายจนกรกฎต้องยอมแพ้ไปเอง

“คงกำลังมาที่นี่...เอาไงดี ถ้าบอกคุณเวธน์ เจ้าตัวคงจะหาเรื่องหลบหน้าแน่ แต่ขืนเป็นแบบนั้น ไอ้คนขี้หึงงี่เง่านั่นก็คงเข้าใจผิดไปกันใหญ่”

เลขาหนุ่มพึมพำกับตัวเอง แล้วลงท้ายจึงตัดสินใจปล่อยเรื่องราวไปตามยถากรรม ถึงแม้ว่าอยากจะช่วยลุ้นให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาสมหวังก็ตาม แต่หากเวธน์ไม่เล่นด้วย เขาก็คงไม่คิดจะฝืนใจชายหนุ่มที่เป็นเสมือนทั้งเพื่อนและพี่ชายของเขาเช่นกัน



กรกฎกลับเข้ามาทำงานต่อตามปกติ โดยไม่ได้แสดงท่าทางอะไรให้ผิดสังเกตสักนิด ทำให้เวธน์ที่ตั้งใจจะซักถามก็จำต้องเก็บงำคำถามของตนเอาไว้ก่อน พวกเขาทำงานกันต่อไปเรื่อย ๆ จนเวลาล่วงสู่บ่ายเกือบเย็น เวธน์ก็ลุกขึ้นบิดกายเล็กน้อย แล้วเปรยขึ้นกับคนที่ทำงานอยู่ด้วยกัน

“ฉันขอตัวกลับก่อนนะกรกฎ เพราะว่าจะไปเคลียร์เรื่องบริษัทกับลุงให้เรียบร้อยไปเลยน่ะ”

กรกฎชะงักก่อนจะเหลือบมองภายนอกที่ยังไม่เห็นวี่แววว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาจะมาถึง

“คุณแฟนธอมนี่ก็จริง ๆ เลยนะ  วันนี้นอกจากตอนเช้าแล้วก็เก็บตัวเงียบในห้องทั้งวัน ขนาดฉันลองไปเคาะประตูห้องเรียก ก็ยังไม่ยอมเปิดแท้ ๆ กลัวโดนล้อไปได้”

เวธน์พึมพำบ่นต่อพร้อมกับมองห้องนอนของยามกะดึกประจำหมู่บ้าน ทำให้ไม่ทันได้สังเกตสายตาเป็นกังวลของกรกฎยามที่มองออกไปด้านนอก

“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตกลับพร้อมคุณด้วยได้ไหมครับคุณเวธน์ ผมรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย อยากกลับไปพักผ่อนน่ะครับ”

เวธน์หันมามองเลขาของเขา แล้วเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงแสดงออกถึงความเป็นห่วงคนตรงหน้าอยู่เช่นเคย

“ปวดหัวอย่างนั้นหรือ  อืม...ก็ได้ งานช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรมากนักนี่นะ ว่าแต่ขับรถไหวไหมล่ะ จะให้ฉันขับไปส่งบ้าน แล้วให้คนที่บ้านนายมาเอารถกลับไปแทนไหม”

กรกฎมองคนที่ห่วงใยเขาอย่างรู้สึกผิด แล้วจึงตัดสินใจสารภาพความจริงออกไป

“คุณเวธน์ครับ จริง ๆ แล้ววันนี้น่ะ...”

คนพูดต้องชะงักคำพูดค้างไว้ เมื่อได้ยินเสียงรถเลี้ยวมาจอดหน้าสำนักงานหมู่บ้าน

“ใครมาน่ะ คนรู้จักนายหรือกรกฎ”

เวธน์มองรถแท็กซี่ด้านนอกอย่างแปลกใจ เพราะถ้าไม่ใช่คนในหมู่บ้าน หรือคนที่ได้รับการรับรองให้เข้ามาในหมู่บ้านได้ ปกติอเล็กซ์ก็มักจะไม่ปล่อยให้เข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยเช่นนี้

“ยิ่งกว่ารู้จักอีกครับ... ที่สำคัญคุณเองก็รู้จักเขาเป็นอย่างดีด้วยนะครับ”

เวธน์มองเลขาหนุ่มตาปริบ ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ เขารีบหันขวับไปมองคนที่ลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทางใบย่อม อีกฝ่ายเป็นชายตัวสูงหุ่นนักกีฬา ไว้ผมค่อนข้างสั้นจนเกือบเกรียน สวมใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลำลองสีฟ้าอ่อนและกางเกงยีนส์สีเข้ม และถึงแม้เจ้าตัวจะสวมแว่นกันแดดสีดำ แต่เวธน์มองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด

“มิน่า...นายถึงได้ทำตัวแปลก ๆ แต่เช้า”

เวธน์หันมาทางกรกฎ แล้วขมวดคิ้วยุ่งด้วยสีหน้าขรึมลง ทำให้คนถูกจ้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วตอบออกไปเสียงค่อย

“ขอโทษจริง ๆ ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอก... แถมทีแรกก็คิดว่าคุณจะไม่มาทำงานในวันนี้ด้วยซ้ำไป”

“เฮ้อ! อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันก่อน จะได้แวบหลบทันบ้าง!”

เวธน์ที่เห็นสีหน้าสำนึกผิดของอีกฝ่ายก็อดสงสารไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ชอบที่จะเจอหน้าลูกพี่ลูกน้องของเลขาหนุ่มอยู่ดี

“ถ้าคุณไม่ชอบเขาจริง ก็ลองปฏิเสธตรง ๆ แรง ๆ ดูสักครั้งสิครับ หมอนั่นจะได้เลิกยุ่งกับคุณสักที”

กรกฎบอกกับคนที่มีสีหน้าหงุดหงิดข้างกาย ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง

“ฉันก็เคยปฏิเสธเขาหลายครั้งแล้วนะ ไม่ใช่ไม่เคย แต่หมอนั่นก็ยังตื๊อไม่เลิกเองนี่นา”

กรกฎมองคนพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงตอบเขา แล้วจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจที่คุณทำเสมอนั่นมันไม่เจ็บนี่ครับ ...ยิ่งหมอนั่นเป็นพวกช่างตื๊ออยู่แล้ว รับรองไม่เลิกราง่าย ๆ หรอกครับ”

เวธน์เม้มปากน้อย ๆ อย่างลำบากใจ จริง ๆ เขาก็อยากทำตามที่กรกฎแนะนำอยู่หรอก แต่พอเห็นใบหน้าแบบนั้นมันก็ทำรุนแรงไม่ลงสักที

    “สวัสดีครับคุณเวธน์ ...คิดถึงคุณจัง ไม่ได้เจอกันตั้งสามเดือนเลยนะครับ คิดถึงผมบ้างไหม”

แขกผู้มาเยือนเปิดประตูเข้ามา แล้วเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม เจ้าตัววางกระเป๋าเดินทางพร้อมกับถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาซึ่งคล้ายคลึงกับคนที่เวธน์แอบหลงรักข้างเดียวมานานจนบัดนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเสียชีวิตไปหลายปีแล้วก็ตาม

 “จริง ๆ นายน่าจะหายไปสักสามปีนะปาลิน เผื่อฉันจะได้รู้สึกถึงคำว่าคิดถึงได้บ้าง”

เวธน์บอกพร้อมกับทำเป็นเมินไปทางอื่น เพราะไม่อยากสบตากับอีกฝ่ายโดยตรงนั่นเอง

“ใจร้ายจังนะครับ ผมหรือสู้คิดถึงคุณทุกวัน...ขนาดเวลาว่าง ยังเอารูปคุณมานั่งมอง แล้วก็...”

ปาลินหยุดคำพูดเอาไว้แค่นั้นแล้วยกยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอากรกฎขมวดคิ้ว ส่วนเวธน์หันกลับมาจ้องอีกฝ่าย พร้อมกับมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่พอใจเรื่องที่ชายหนุ่มนั้นหน้าเหมือนกอบพล แต่กลับชอบทำตัวเจ้าเล่ห์แถมชอบลวนลามใส่เขาทั้งวาจาและการกระทำอยู่เสมอ

    “คุณเวธน์จะรีบกลับไปเจรจาธุรกิจสำคัญไม่ใช่หรือครับ ถ้าไปช้าจะไม่ดีต่อคู่ค้านะครับ”

กรกฎที่ฟังอยู่เอ่ยแทรกขัดขึ้นมา เพื่อไม่ต้องการให้เกิดการทะเลาะโต้เถียงกันขึ้น  ซึ่งเวธน์ก็ชะงัก ก่อนจะหันไปพึมพำขอบคุณเลขาหนุ่มที่ช่วยหาเรื่องให้เขาปลีกตัวหนีห่างปาลินได้  ทว่ากลับทำให้อีกคนขมวดคิ้วยุ่ง แล้วหันไปทำตาดุใส่ญาติผู้น้องที่อายุห่างกันเพียงแค่หนึ่งเดือน หากแต่กรกฎนั้นมิได้นึกกลัวปาลินแต่อย่างใด เพียงแค่รู้สึกว่าหลังจากที่เวธน์ไปแล้ว เขาคงต้องทนรำคาญฟังคำบ่นโวยวายจากคนตรงหน้านี้อีกนานเป็นแน่

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนล่ะนะ”

เวธน์ตัดบทแล้วเตรียมเดินจากไป ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อถูกดึงข้อมือเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อน! ผมอยากรู้ว่า คุณมีคนที่ชอบคนใหม่จริง ๆ หรือ  แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่!”

ปาลินตะคอกถามเสียงดังเพราะรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกอีกฝ่ายเมินใส่ เพราะขนาดตอนบอกลา เวธน์ยังมองแค่กรกฎแล้วเมินไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ

“ฉันจะชอบใครมันก็ไม่เกี่ยวกับนายไม่ใช่หรือไง!”

เวธน์บอกเสียงห้วน เพราะไม่พอใจที่ถูกอีกฝ่ายขึ้นเสียงและยังใช้กำลังบังคับเขาที่มีอายุมากกว่าหลายปี น้ำเสียงและสีหน้าขุ่นเคืองของชายหนุ่มทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดถึงกับชะงักงัน

“คุณเวธน์...”

ปาลินที่รู้สึกตัว เรียกชื่อชายหนุ่มแผ่วเบา ก่อนจะปล่อยมือข้างนั้นออก แล้วพึมพำขอโทษด้วยใบหน้าสลดลง ทำให้เวธน์ต้องเม้มปากน้อย ๆ แล้วเมินมองไปอีกทาง  สักพักชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินออกจากสำนักงานหมู่บ้านไป ทว่าระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูออกไปอยู่นั้น น้ำเสียงเศร้า ๆ ของปาลินก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา

“ผมรักคุณนะคุณเวธน์ ...ผมหลงรักคุณตั้งแต่ตอนเจอคุณที่งานศพของอากอบเป็นครั้งแรก ...รักทั้งที่รู้ว่าคุณชอบอากอบ และพยายามหลบหน้าผมที่คล้ายกับอามาก ...ผมรอคุณได้เสมอ ถ้าคุณยังไม่ลืมอากอบและไม่พร้อมที่จะมีรักใหม่ ...แต่ผมยอมไม่ได้ ถ้าคนที่คุณจะมีความรักใหม่ด้วยนั่น ไม่ใช่ตัวผม”

คำสารภาพที่ฟังมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง และมันก็ทำให้เวธน์เกลียดปาลินไม่ลง จนไม่กล้าที่จะปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเพื่อตัดความสัมพันธ์ออกไป   

    ทว่าต่อให้ปาลินดีกับเขามากเพียงใด เขาก็ยังคงไม่สามารถตอบรับความรักของอีกฝ่ายได้ เพราะเขานั้นยังไม่อาจจะลืมคนที่เขาเคยรัก และเขาก็ไม่ต้องการให้ปาลินเป็นตัวแทนของกอบพลด้วย   

    ปาลินนั้นอายุยังน้อย หน้าตาดี ฐานะร่ำรวย การศึกษาสูง เป็นผู้ชายที่สมควรจะมีคนรักเป็นผู้หญิงดี ๆ สักคน และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นต่อไปในอนาคต มากกว่าที่จะมาจมปรักกับเขาที่ไม่อาจจะลืมคนในอดีตลงได้สักที

“ฉันไม่รู้ว่านายเข้าใจผิดอะไรมานะปาลิน แต่ฉันไม่ได้มีใครใหม่ หรือชอบใครใหม่ทั้งนั้น...”

เวธน์เว้นวรรคไว้ชั่วครู่ จ้องมองใบหน้าของคนที่ดูตกใจและเริ่มมีรอยยิ้มอย่างคาดหวังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบางประโยคที่เขาไม่กล้าจะพูดต่อหน้าอีกฝ่ายมาตลอดออกไปในที่สุด

“เพราะคนที่ฉันจะรักตราบชั่วชีวิตนี้จะมีแต่พี่กอบคนเดียว...และถึงแม้ว่าใบหน้าของนายจะเหมือนพี่กอบขนาดไหน  แต่สำหรับฉันแล้ว นายก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี”

บอกจบเวธน์ก็เปิดประตูเดินจากไป ทิ้งให้ปาลินมองตามไปเงียบ ๆ ส่วนกรกฎนั้นกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าเวธน์จะไม่ได้พูดจาตะคอกโวยวายรุนแรง แต่ก็แสดงถึงความเด็ดขาดชนิดไม่หลงเหลือเยื่อใยแห่งความหวังให้กับญาติผู้พี่ของเขา

“ตัดใจเถอะปาล คุณเวธน์เขารักอากอบมากเลยนะ”

ปาลินหันมามองหน้าญาติผู้น้อง แล้วจึงตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มเศร้า ๆ

       “ไม่ได้หรอกนะกาย ถ้าฉันตัดใจ คุณเวธน์ก็น่าสงสารแย่น่ะสิ”

    กรกฎชะงักก่อนจะเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่อยากให้เวธน์ปิดหัวใจเลิกรักใครเช่นกัน  เพราะต่อให้เวธน์รู้สึกมั่นคงกับกอบพลแค่ไหน อาของเขาก็ไม่มีวันจะกลับคืนมาอยู่เคียงข้างชายหนุ่มได้อีกแล้ว

“อีกอย่าง ถ้าฉันไม่คิดไปเอง คุณเวธน์อาจจะชอบฉันเข้าให้แล้วก็ได้...แต่คงเพราะคิดว่าตัวเขาชอบฉันเพราะฉันหน้าเหมือนอากอบ เลยไม่กล้ายอมรับความจริงเรื่องนี้ต่างหาก”

คำพูดถัดมาของชายหนุ่มทำให้กรกฎขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอหวนคิดถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ปาลินเริ่มสารภาพรักและตามตื๊อเวธน์ ก็อดทำให้เขาเห็นด้วยกับคำพูดของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่ได้ เพราะเวธน์นั้นแม้จะแสดงให้เห็นว่าเบื่อหน่าย หงุดหงิด แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจปาลินอย่างออกหน้าออกตาเลยสักครั้งเดียว

   “ฉันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก  ฉันจะทำให้เขายอมเปิดรับฉันเข้าไปในหัวใจของเขาบ้างให้ได้!”

ปาลินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง จนกรกฎนึกทึ่งที่อีกฝ่ายมีรักมั่นคงกับเวธน์ถึงขนาดนี้

“ถ้านายเอาจริง ฉันก็จะเอาใจช่วยแล้วกัน”

กรกฎบอกกับญาติผู้พี่ของเขา ซึ่งคนฟังก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมพึมพำขอบคุณตามมา ทว่าจู่ ๆ ปาลินก็เหมือนจะนึกอะไรได้ เจ้าตัวขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไปเสียงห้วน

“แล้วคนที่นายบอกว่าคุณเวธน์เขาติดใจคือใครกัน!”

แม้จะพอมั่นใจว่าเวธน์คงไม่คิดจะเปิดใจรับรักใครอีก แต่แค่เพียงมีคนที่ชายหนุ่มเริ่มให้ความสนใจเป็นพิเศษปรากฏกายขึ้น ปาลินก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใครทั้งนั้น ขนาดเขาเห็นเวธน์ครั้งแรกเขายังตกหลุมรักชายหนุ่มได้ในทันทีด้วยซ้ำ

“หือ...เรื่องนั้นน่ะหรือ เฮ้อ! ก็จะอธิบายตั้งแต่แรกทางโทรศัพท์แล้ว นายก็งี่เง่าตัดสายไปก่อน ...คนที่เขาติดใจน่ะ อายุน้อยกว่าพวกเราไม่กี่ปี เพิ่งมาทำงานเป็นยามกะเช้าที่นี่ได้ไม่กี่วัน เขาเป็นเด็กดี นิสัยร่าเริง คุณเวธน์ก็เลยถูกชะตาด้วย ...ว่าแต่ตอนนั่งแท็กซี่เข้ามาไม่ได้เจอหรือไง”

ปาลินนิ่วหน้าแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ พอได้ฟังแบบนี้เขาก็ค่อนข้างเบาใจลงหน่อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังประมาทไม่ได้อยู่ดี

    “สงสัยจะไปขี่จักรยานตรวจตรารอบ ๆ หมู่บ้าน  คุณกีรติเขาเป็นคนขยันเอาการเอางานและมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับทุกคนที่นี่ได้ตั้งแต่วันแรกที่มาทำงาน แถมพอรู้ตัวจริงของพวกคนในหมู่บ้านก็ยังไม่กลัวเลยสักนิด  ซ้ำยังยอมรับทุกคนได้ง่าย ๆ อีก คุณเวธน์ก็เลยยิ่งติดใจไปใหญ่  อ้อ! ไม่ต้องทำหน้าหงิกอย่างนั้นหรอก ความรู้สึกที่คุณเวธน์มีต่อเขาไม่ใช่อย่างที่นายคิดแน่ ถ้านายได้เจอเขา นายก็จะรู้เองนั่นล่ะว่าทำไม”

ปาลินสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงตัดสินใจออกไปรอพบกีรติที่ป้อมยาม ทำให้กรกฎต้องขอตามไปด้วยอีกคน เพราะเท่าที่เขาเคยสังเกตและได้ยินข่าวลือมา กีรตินั้นดูจะซื่อและหัวช้าในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แถมอเล็กซ์ก็มักชอบให้ข้อมูลที่ชวนให้คนฟังเข้าใจผิดอยู่เสมอ ขืนปล่อยให้ 1 คน กับอีก 1 สมองกล ได้พบกับปาลินตามลำพัง โดยไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย กรกฎค่อนข้างมั่นใจว่าญาติผู้พี่ของเขาคงไม่แคล้วเข้าใจเรื่องของกีรติและเวธน์ผิดเอาง่าย ๆ เป็นแน่



         
… TBC …


หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-09-2013 23:24:19
ตอนที่ 14
ยอมรับ




พอกีรติกลับมาจากการขี่จักรยานตรวจตรารอบหมู่บ้านในช่วงบ่าย  เขาก็ได้พบว่ามีชายแปลกหน้ายืนรอเขาอยู่พร้อมกับกรกฎ ซึ่งชายคนนั้นมีใบหน้าค่อนข้างคล้ายคลึงกับเลขาหนุ่มอยู่มากทีเดียว

“สวัสดีครับ ผมชื่อปาลินเป็นญาติกับกรกฎ... คุณคือคุณกีรติสินะ”

ชายแปลกหน้าเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน ทางด้านกีรติพยักหน้ารับรู้แล้วตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่ครับ ผมชื่อกีรติ เพิ่งจะมาทำงานยามกะเช้าที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณปาลิน”

 ปาลินมองชายหนุ่มตัวเล็กหน้าเด็กตรงหน้าอย่างพิจารณายิ่งกว่าเดิม อีกฝ่ายมีใบหน้าหวานน่ารัก นี่ถ้ากรกฎไม่บอกเขาล่วงหน้าว่ากีรติอายุเท่าใด เขาก็คงนึกว่าเวธน์นั้นจ้างเด็กอายุไม่ถึง 18 ปี มาทำงานเป็นแน่

“คุณกีรติมีคนรักหรือยังครับ”

คำถามแรกของปาลิน ทำเอากรกฎสะดุ้งโหยง ส่วนกีรตินั้นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพราะไม่คิดว่าจะถูกคนแปลกหน้าถามเรื่องส่วนตัวเข้าให้

“เอ่อ...ยังไม่มีครับ”

“ใช่ครับ ยังไม่มี แต่คนสนใจนี่หลายคนอยู่”

เสียงอเล็กซ์เสริมมาหลังจากที่กีรติพูดจบ ทำเอากีรติสะดุ้งแล้วหันขวับไปที่ป้อมยาม แต่ที่เขาตกใจไม่ใช่เรื่องที่ว่ามีคนสนใจตน แต่เป็นเพราะเรื่องที่อเล็กซ์พูดกับคนอื่นนอกหมู่บ้านต่างหาก

“หลายคน...หวังว่าคงไม่รวมคุณเวธน์เข้าไปด้วยนะ”

ปาลินมองไปที่ป้อมยามพร้อมกับถามต่อ ส่วนกรกฎลอบถอนหายใจ เพราะสิ่งที่เขาคิดเอาไว้มันแทบจะไม่ผิดสักนิด

“เอ๋? คุณปาลินรู้จักคุณอเล็กซ์ด้วยหรือครับ”

คำถามของกีรติทำให้อเล็กซ์ที่กำลังจะตอบเงียบไป เช่นเดียวกับกรกฎแล้วก็ปาลิน

“อ๊ะ...ขอโทษทีครับ ผมลืมบอกคุณไป ปาลเขารู้เรื่องในหมู่บ้านแห่งนี้ดีพอ ๆ กับผมและคุณเวธน์นั่นล่ะครับ”

กีรติพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ต่อคำตอบของกรกฎ แล้วก็ยืนเฉยตามมารอว่าจะมีใครพูดอะไรต่อ ทำเอาปาลินต้องขมวดคิ้ว เพราะอีกฝ่ายไม่คิดจะแก้ตัวเรื่องเวธน์เลยสักนิด   

“ตกลงคุณกีรติคิดยังไงกับคุณเวธน์กันแน่”

ปาลินถามอีกฝ่ายอย่างต้องการจะได้คำตอบให้แน่ชัด ทำให้กีรติมีสีหน้างุนงงชั่วครู่ ส่วนกรกฎหันไปลอบถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อญาติผู้พี่ของเขายังไม่ยอมเลิกราสักที

“กับคุณเวธน์หรือครับ...ก็เป็นเจ้านายที่ดี มีมนุษยสัมพันธ์แล้วก็ใจกว้าง เป็นคนดีมากคนหนึ่งน่ะครับ”

กีรติตอบพร้อมยิ้มแย้มจริงใจ เสียจนคนมองต้องกลืนน้ำลายลงคอ ต่อความใสซื่อบริสุทธิ์ที่ฉายอยู่ในแววตาคู่นั้น เขาพอจะโล่งใจขึ้นมาบ้างที่อย่างน้อยกีรติก็ไม่ได้คิดในแง่นั้นกับเวธน์  ส่วนเวธน์ก็คงจะรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายอย่างที่กรกฎเคยบอก เพราะจะว่าไปกีรตินั้นก็ให้ความรู้สึกชวนเอ็นดูต่อคนที่ได้พบเห็นอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“อ๊ะ! จริงสิ นึกยังไงคุณถึงมาทำงานเป็นยามล่ะครับ หน้าตาอย่างคุณน่ะ ไปทำงานสบาย ๆ กว่านี้ รายได้ดีกว่านี้ได้ตั้งหลายงานแท้ ๆ”

ปาลินทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยหลังจากได้รับรู้ในสิ่งที่ตนคาใจเรียบร้อย ทว่ากรกฎที่ฟังอยู่ด้วยถึงกับสะดุ้งแล้วโพล่งตำหนิญาติผู้พี่ของตนทันที

“ปาล! เสียมารยาทนะ!”

ปาลินสะดุ้ง พอ ๆ กับกีรติที่ตกใจเพราะไม่เคยเห็นกรกฎขึ้นเสียงเช่นนี้มาก่อน   

“เอ๋!? ฉันพูดผิดตรงไหนหรือ ฉันก็พูดออกไปตามที่เห็นเท่านั้นเอง!”

ปาลินหันไปบอกกับลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างงุนงง ทำให้กรกฎต้องถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอาอีกครั้งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะเอ่ยปากบอก เสียงของอเล็กซ์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าให้ผมเดา ผมคิดว่า คุณกรกฎโมโหก็เพราะสิ่งที่คุณปาลินพูดกับคุณกีรติ มันเหมือนกับบอกให้คุณกีรติไปทำงานประเภทขายหน้าตาแทนความสามารถน่าจะดีกว่าน่ะครับ  ซึ่งงานประเภทนั้นถ้าจะให้จำแนกแล้ว มันก็มีงานบางประเภท ที่มีภาพพจน์ออกเชิงลบในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปอยู่ด้วยน่ะครับ”

คำอธิบายของอเล็กซ์ทำให้ปาลินนิ่งคิดตาม แล้วจึงสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบหันขวับไปทางกีรติทันที

“โอ๊ย! ตายล่ะ! ผมต้องขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดสื่อไปถึงแบบนั้นจริง ๆ ผมแค่จะพูดถึงพวกงาน นายแบบ นักร้อง ดารา หรืออะไรก็ได้ที่หน้าตาและบุคลิกภาพมีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ น่ะ!”

กรกฎสั่นศีรษะอย่างระอาแล้วจึงขอโทษกับกีรติเช่นกัน

“ผมก็ต้องขอโทษแทนปาลเขาด้วยนะครับคุณกีรติ”

กีรติมองทั้งคู่อย่างงุนงง เพราะตอนนี้เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่า คนอื่นนั้นขอโทษเขาทำไม และอาชีพอะไรที่ทำให้ทุกคนมีปฏิกิริยาเช่นนี้

“เอ่อ...ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ เพราะผมคิดว่าจะอาชีพไหน ๆ ก็ต้องใช้ความรู้ ประสบการณ์ และความเพียรพยายามด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ผมไม่คิดอะไรมากนักหรอกครับ”

กีรติตอบออกไปแล้วยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ ทำเอาอีกสองคนมองตาปริบ ๆ โดยเฉพาะกรกฎนั้นเริ่มคิดว่า บางทีอีกฝ่ายอาจจะนึกตามไม่ทันก็ได้ว่า พวกเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่

“นั่นสิครับ ผมก็เห็นด้วยกับคุณกีรติ อย่างอาชีพที่ว่ามาก็ต้องใช้ความสามารถในการชักจูงเจรจาต่อรอง และยังต้องใช้จิตวิทยาในการทำให้ลูกค้าพึงพอใจ ซ้ำยังต้องฝึกฝนปฏิบัติและศึกษาเรียนรู้ถึงความชอบพอของลูกค้าในแต่ละประเภท เพื่อเพิ่มคุณค่าของตนไว้แข่งขันกับคู่แข่งคนอื่นอีก  อืม...จะว่าไปก็ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ เลยนะครับ”

อเล็กซ์เอ่ยเสริมตามมาด้วยคำพูดที่ทำให้กรกฎและปาลินสะดุ้งโหยง ส่วนกีรติก็กำลังนิ่งคิดว่าอาชีพที่ทุกคนพูดกันคืออะไรกันแน่ ทว่าระหว่างที่กรกฎกำลังคิดเปลี่ยนเรื่องสนทนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของกีรติ เสียงโทรศัพท์มือถือของปาลินก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“อ้าว...หมอนั่นโทรมาทำไมกัน ขอโทษทีนะกาย ขอคุยโทรศัพท์แป๊บนึง”

ปาลินดูเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วหันไปบอกกับกรกฎ พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงขอตัวกับกีรติ ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตอบรับ แล้วจึงมองปาลินที่กดรับโทรศัพท์และเริ่มต้นบทสนทนาเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างสนอกสนใจ

“ปาลเขาลงทุนเปิดร้านอาหารไทยร่วมกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสของเขาที่ปารีสน่ะครับ ร้านเปิดมาได้เกือบสองปีแล้ว หมอนี่รับผิดชอบเรื่องสูตรอาหารกับวัตถุดิบที่จะใช้  ส่วนเรื่องบริหารดูแลร้านก็ยกให้เพื่อนเขาไปนั่นล่ะครับ”

กรกฎเล่าให้กีรติฟังถึงหน้าที่การงานของญาติผู้พี่ ซึ่งกีรติก็หันไปจ้องมองปาลินด้วยสีหน้าทึ่ง เพราะหุ่นนักกีฬาอย่างอีกฝ่าย ดูแล้วแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีความสนใจและชำนาญในด้านสูตรอาหารไทยกับเขาด้วยเช่นกัน

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกครับคุณกีรติ หมอนั่นถามสูตรจากคนอื่นเขาทั้งนั้นล่ะครับ ให้ทำเองไม่ค่อยรอดหรอก เพราะเขาเป็นคนใจร้อนและไม่ค่อยละเอียดอ่อนเท่าไหร่นัก”

กรกฎขัดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย ทำเอากีรติสะดุ้งโหยงพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้อีกฝ่ายที่เดาความคิดเขาออก ทำเอากรกฎต้องอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ

“แต่ถึงยังไงปาลเขาก็ยังมีดีอยู่ล่ะนะครับ เพราะลิ้นของหมอนั่นเป็นลิ้นระดับนักชิมแถวหน้าเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแค่ชิมก็แยกแยะเครื่องปรุงได้เลยนั่นล่ะครับ”

กีรติยิ่งนึกทึ่งกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก เพราะแม้แต่คนทำอาหารเป็นบางคน ก็ยังไม่สามารถแยกแยะวัตถุดิบในการทำได้จากการชิมด้วยซ้ำ

“หือ...ดูเหมือนว่าจะมีปัญหานะครับ”

กีรติที่มองอยู่ชะงักแล้วเอ่ยขึ้น ทำให้กรกฎหันไปมองญาติผู้พี่ ที่ตอนนี้กำลังขมวดคิ้วรับฟังปลายสาย พลางเผลอบ่นกับตัวเองเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างเคยชิน ซึ่งกรกฎนั้นก็พอจะฟังออกเล็กน้อยว่าปาลินกำลังมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับร้านอาหารของเจ้าตัว   

    “ปาลมีอะไรให้ช่วย...”

ยังไม่ทันที่กรกฎจะพูดจบ กีรติที่ฟังอยู่ก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ผมว่าเพิ่มพวกผัดหมี่กะทิ หรือไม่ก็ผัดหมี่กรอบทรงเครื่องลงไปดีไหมครับคุณปาลิน รสชาติน่าจะถูกปากชาวต่างชาตินะครับ”

ปาลินเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ แล้วรีบพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะพูดกับปลายสายต่ออย่างรวดเร็ว และเมื่อวางสายลงเจ้าตัวก็หันมายิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณกับคนที่เสนอไอเดียให้กับเขา

“ขอบคุณจริง ๆ นะครับคุณกีรติ ถ้าไม่ได้คุณช่วยผมคงต้องงมคิดเองอีกนานเลย เรื่องเร่งด่วนเสียด้วย อ้อ! ทางร้านผมรับจัดอาหารสำหรับงานเลี้ยงด้วยน่ะครับ แล้วทีนี้ลูกค้าดันรีเควสรายการพวกเส้นเพิ่มเสียเกือบจวนตัว เพื่อนของผมก็เลยต้องรีบโทรมาปรึกษานี่ล่ะครับ”

กีรติยิ้มตอบรับ ทว่ากรกฎที่มองอยู่ขมวดคิ้วยุ่ง พลางจ้องกีรติเขม็งเสียจนปาลินที่หันมาเห็นแปลกใจ

“นายเป็นอะไรไปกาย ไหงจ้องคุณกีรติเขาแบบนั้นล่ะ”

กรกฎหันไปมองหน้าญาติผู้พี่ ก่อนจะหันกลับมามองกีรติที่ทำหน้างุนงงไม่แพ้กัน

“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณกีรติฟังภาษาฝรั่งเศสออกด้วยนะครับ”

กรกฎบอกพร้อมรอยยิ้มแปลก ๆ ทำให้คนฟังชะงักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงจ้องเขาแบบนั้น

“เอ่อ...คือ แบบว่า...”

ระหว่างที่กีรติกำลังหาข้อแก้ตัว เสียงอเล็กซ์ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“คุณกีรติรู้ภาษาฝรั่งเศสด้วยหรือครับนั่น นี่ถ้ารวมไทย อังกฤษ กับญี่ปุ่นไปด้วย คุณก็อ่านออกเขียนได้ถึง 4 ภาษาเลยทีเดียวนะครับ”

กีรติยิ้มเจื่อน เพราะคำพูดของอเล็กซ์นั้นปิดโอกาสแก้ตัวของเขาจนหมดสิ้น คงต้องโทษที่เขาเกิดสนใจเรื่องเกี่ยวกับอาชีพที่ริวเคยทำ อเล็กซ์ก็เลยค้นหาข้อมูลให้เขา ซึ่งเจ้าตัวก็ดันหามาให้แต่ข้อมูลที่เป็นภาษาญี่ปุ่นกับอังกฤษแทบทั้งนั้น แล้วพอนึกขึ้นได้อีกฝ่ายก็อาสาจะแปลเป็นไทยให้ แต่เขาดันเผลอค้านด้วยความเกรงใจพร้อมบอกออกไปว่า เขานั้นอ่านออกทั้งอังกฤษและญี่ปุ่น ก็เลยทำให้ความลับบางส่วนของเขาถูกล่วงรู้จนได้

“เอ่อ...คือ ...ความจำของผมค่อนข้างดีน่ะครับ”

กีรติเลี่ยงตอบโดยอิงความจริงบางส่วน เนื่องจากเขาทราบมาว่า อเล็กซ์นั้นมีเครื่องจับเท็จติดตั้งอยู่ด้วย ขืนโกหกออกไปก็คงโดนจับได้แน่

“สำหรับผมเรียกว่าดีมากเลยนะนั่น ขนาดผมเรียนจนจบโทยังพูดได้แค่สองสามภาษาเท่านั้นเอง”

ปาลินบอกไปอย่างนึกทึ่ง ซึ่งกรกฎก็พิจารณาชายหนุ่มร่างเล็กอีกครั้ง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ

“เอาเถอะครับ...สมาชิกในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่ ก็เป็นพวกมีความลับปิดบังเรื่องก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่กันคนละอย่างสองอย่างอยู่แล้ว ถ้าคุณจะมีกับเขาบ้าง มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ”

กีรติมองกรกฎอย่างรู้สึกผิดนิด ๆ แต่เพราะคำมั่นที่ให้ไว้กับบิดา เรื่องที่จะไม่เปิดเผยความลับชาติกำเนิดของเขาให้ใครรู้ จนกว่าจะถึงเวลาที่เขาได้กลับบ้านเกิดมาถึง จึงทำให้เขาต้องเก็บงำความลับนี้ไว้กับตัว นี่ถ้าหากเขาไม่ได้ให้คำมั่นสัญญากับบิดาเอาไว้ล่ะก็ เขาก็พร้อมจะบอกทุกอย่างให้กับทุกคนที่นี่ได้รู้โดยไม่คิดปิดบังอะไรอยู่แล้ว

“ขอบคุณครับที่ไม่บังคับกัน”

กีรติบอกพึมพำกับกรกฎซึ่งเลขาหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงหันไปทางป้อมยามแล้วเอ่ยบางอย่างดักคอเอาไว้ก่อน

“ผมหวังว่าคงไม่เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกันขึ้นมาหลังจากผมกลับไปแล้วนะครับ ...ถ้าคุณเป็นสมองกลที่อัจฉริยะผู้นั้นสร้างขึ้น ก็คงแยกแยะได้ใช่ไหมครับ...อเล็กซ์”

พอกรกฎพูดจบ ความเงียบก็เข้ามาครอบงำบริเวณนั้นทันที ทางด้านปาลินมองญาติผู้น้องด้วยสายตาขยาดเล็กน้อย ส่วนกีรติยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว เพราะไม่คิดว่าคนสุภาพยิ้มง่ายและดูเป็นมิตรที่เขารู้จัก จะเป็นคนน่ากลัวที่รู้เท่าทันความคิดคนอื่นไปเสียหมด แม้กระทั่งระบบสมองกลอย่างอเล็กซ์ ยังถูกอ่านออกได้อย่างง่ายดายเลยด้วยซ้ำ

“ว่ายังไงล่ะครับ อเล็กซ์  ...ผมยังไม่ได้คำตอบเลยนะครับ”

กรกฎย้ำตามมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปนาน และพอได้ยินดังนั้น เสียงตอบรับฉะฉานก็ดังขึ้นทันที

“รับทราบ และจะปฏิบัติตามนั้นครับ!”

“หึ ๆ ดีมากครับ ...ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับคุณกีรติ  ...กลับกันได้แล้วปาล รบกวนเวลางานคุณกีรติเขามานานแล้ว”

กรกฎบอกกับอเล็กซ์ แล้วหันมาขอร้องกึ่งสั่งญาติผู้พี่ของตน ซึ่งปาลินก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี ส่วนกีรติก็ได้แต่มองตามไล่หลังพวกเลขาหนุ่มไปเงียบ ๆ และเมื่อลับร่างทั้งคู่จากสายตาไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้แถวนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

“เกือบไปแล้วเรา คราวหน้าคงต้องระวังเรื่องความเคยชินสักหน่อยแล้ว”

กีรติพึมพำกับตัวเอง จะว่าไปก่อนหน้านั้นเขาก็เกือบเผลอพูดภาษาจีนตอบลีไปหน โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ทันเอะใจ เขาก็เลยรอดตัวจากการโดนซักไปเช่นกัน

‘นี่ถ้ารู้ว่าจริง ๆ แล้ว เราอ่านเขียนได้หลายภาษากว่านี้ เห็นทีคงจะถูกสงสัยอีกรอบแน่’

กีรตินิ่งคิดแล้วจึงเผลอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำเอาอเล็กซ์เกิดอาการสนใจทันที แต่พอหวนนึกถึงคำเตือนของกรกฎ ก็ทำให้เจ้าตัวเลิกคิดถาม แล้วอยู่เงียบ ๆ ไปแทน เพราะถึงแม้กรกฎจะไม่น่ากลัวเท่ากับแฟนธอมเวลาโมโหก็จริง แต่จากข้อมูลที่เขามี มนุษย์อย่างกรกฎเวลาโกรธขึ้นมาดูจะยิ่งน่ากลัวกว่าแฟนธอมยามโกรธหลายเท่าเลยทีเดียว

  ..
..
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-09-2013 23:24:35



อีกด้านหนึ่งทางฝั่งของเวธน์ หลังจากที่ชายหนุ่มกลับมาจากการเจรจาโอนถ่ายกรรมสิทธิ์บริษัทเฟอร์นิเจอร์ของตนกับผู้เป็นลุงแล้ว เขาก็ตรงกลับห้องพักในคอนโดซึ่งตั้งไม่ห่างจากบริษัทเท่าใดนัก

“เด็กบ้านั่น จะตัดใจได้สักทีไหมนะ”

เวธน์พึมพำกับตนเองหลังทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างทั้งชุดทำงานแบบนั้น

“ถ้าเด็กนั่นตัดใจได้จริง ๆ ก็คงดี...”

เวธน์หลับตาหวนคิดถึงภาพปาลิน ยามที่อีกฝ่ายมีหญิงสาวคนรักและลูกเล็ก ๆ เคียงข้าง มันช่างดูเป็นครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น หากแต่หัวใจของเขากลับเจ็บแปลบขึ้นมาแทน  เวธน์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลางแค่นหัวเราะออกมาแผ่วเบา เพราะในที่สุดเขาก็เริ่มรู้สึกตัวสักทีว่า เขาเองก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่ออีกฝ่ายบ้างแล้วเช่นกัน

“...ทั้งที่เด็กนั่นนิสัยไม่เหมือนกับพี่กอบเลยแท้ ๆ ทั้งช่างตื๊อ ทั้งเจ้าเล่ห์ หัวดื้อ ...จะหาความเป็นสุภาพบุรุษอ่อนโยนแบบพี่กอบสักนิดก็ไม่มี”

เวธน์พึมพำอย่างไม่เข้าใจตนเอง ว่าเหตุใดจึงยอมรับปาลินได้เช่นนี้ แต่เขาก็กลัวว่า บางทีที่เขาชอบชายหนุ่ม มันอาจจะเป็นเพราะว่าใบหน้าที่เหมือนกอบพลนั่นก็ได้ และถ้าปาลินรู้เข้า ชายหนุ่มก็คงต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ที่ถูกเขามองว่าเป็นตัวแทนของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว

“ไม่ได้...จะต้องตัดใจเสียแต่เนิ่น ๆ จะต้องไม่ถลำลึกไปมากกว่านี้”

เวธน์บอกกับตัวเอง ก่อนจะหลับตาลงหลังจากนั้น และหลับสนิทตามมาในเวลาไม่นานด้วยความอ่อนเพลีย อันเกิดจากความเครียดที่ก่อตัวขึ้น นับตั้งแต่ได้พบเจอกับปาลินอีกครั้ง



เช้าวันถัดมาเวธน์ไม่ต้องไปทำงาน เพราะถึงแม้จะยังไม่ได้ส่งมอบบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เขาก็อยากให้ลูกชายของลุงได้เรียนรู้งานบริหารและทำความรู้จักพนักงานของเขาเอาไว้เนิ่น ๆ และเป็นที่โชคดีของพนักงานทุกคน ที่ญาติผู้น้องของเขาคนนี้เป็นคนดี สุภาพ และค่อนข้างเปิดใจรับฟังความคิดคนอื่น ซึ่งเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะได้รับการร่วมมือจากพนักงานในบริษัทเป็นอย่างดีเหมือนดังเช่นเมื่อครั้งที่เขาเคยเป็นมา

    “ว่างแบบนี้ แวะเข้าไปหมู่บ้านดีไหมนะ”

เวธน์พึมพำกับตนเอง แล้วจึงตัดสินใจเดินทางออกจากห้องที่คอนโด ตรงไปหมู่บ้านมีสุข เพราะอย่างน้อยที่นั่นก็ยังมีกรกฎ และพวกกีรติเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา โดยไม่ทันได้นึกถึงว่ายังมีอีกคนที่อาจจะมาดักรอคอยเขาอยู่ที่แห่งนั้นก็ได้



เวธน์เม้มปากน้อย ๆ อย่างนึกสังหรณ์ใจบางอย่าง เพราะระหว่างที่ชะลอรถเพื่อทักทายกีรติ  เขาก็เหลือบไปเห็นรถของกรกฎจอดในโรงจอดรถข้างสำนักงานหมู่บ้านลิบ ๆ เขาจึงได้หันไปถามกีรติที่ยืนยามอยู่   

“วันนี้มีใครมากับกรกฎด้วยหรือเปล่าน่ะ”

    กีรติสะดุ้งโหยงแล้วมีทีท่าอึกอักผิดเคย ทั้งนี้เพราะชายหนุ่มนั้นถูกปาลินกำชับเอาไว้ไม่ให้บอกเวธน์ว่าเจ้าตัวแอบตามมาด้วย

“อย่างนั้นหรือ...หมอนั่นมาสินะ”

เวธน์พึมพำแผ่วเบา มองจากปฏิกิริยาตอบรับที่กีรติมี ก็ทำให้เขาพอจะคาดเดาคำตอบได้เองโดยที่กีรติไม่ต้องบอก และแม้จะรู้สึกลำบากใจเพียงใด แต่ลึก ๆ เขาก็ยินดีที่ปาลินนั้นยังไม่คิดเลิกรักเขา แต่เพราะตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะตัดใจ เวธน์จึงจำต้องหลีกหนีหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนดีกว่า ฝากบอกกรกฎด้วยนะ ว่าวันนี้ผมไม่เข้างาน แต่ถ้ามีเอกสารด่วนจะให้เซ็น ก็ส่งแฟกซ์ไปให้ที่คอนโดผมก็แล้วกัน”

“เอ่อ...ลองคุยกันสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือครับ ถ้าหนีหน้าแบบนี้ อีกฝ่ายก็คงไม่เลิกราง่าย ๆ หรอกครับ”

กีรติแย้งเสียงอ่อยอย่างเกรงใจเพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเวธน์ แต่เขาก็ไม่อยากเห็นเวธน์หนีความจริง เพราะจากที่ฟังคนในหมู่บ้านซึ่งมาจ่ายตลาดพร้อมเขาเล่าให้ฟังเรื่องปาลิน ก็ทำให้กีรติได้รับรู้ว่า ปาลินนั้นคอยตามตื๊อจีบเวธน์อย่างเปิดเผยมาหลายปี นับตั้งแต่กอบพลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองเสียชีวิตไปแล้ว

    “รู้จากใครกัน...มีคนเล่าให้คุณฟังหรือ”

เวธน์ถามอย่างไม่ค่อยแปลกใจนัก เพราะเรื่องที่ปาลินตามจีบเขา คนอื่นในหมู่บ้านนี้ก็รู้กันเกือบทั้งหมด เพราะปาลินนั้นแสดงออกทั้งการกระทำและคำพูดอย่างไม่คิดจะปิดบังใคร แถมบางคนที่นี่ก็ยังรู้ดีว่า เขานั้นมีใจให้กอบพลมานานแล้วอีกด้วย

“เอ่อ...ขอโทษนะครับที่ผมก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณเวธน์แบบนี้”

กีรติบอกเสียงค่อยอย่างรู้สึกผิด แต่คนที่มองอยู่นั้นยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ได้นึกขุ่นเคืองด้วยซ้ำ   

“หึ ๆ ไม่เป็นไรหรอก ถึงไม่มีใครบอก แต่เดี๋ยวคุณก็คงรู้ได้เองอยู่ดี ...ก็พอหมอนั่นกลับไทยทีไร ก็คอยตามตื๊อผมแบบนี้อยู่ประจำ”

เวธน์บอกแล้วก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยใบหน้าที่แสดงถึงการตัดสินใจ

“นั่นสิ...ถูกของคุณ บางทีคงต้องพูดกันให้ตรง ๆ สักที ว่าผมคิดอะไรอยู่กันแน่”

เวธน์พึมพำแผ่วเบาแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้กับกีรติ ก่อนจะปิดกระจกรถ และขับตรงไปที่โรงจอดรถของสำนักงานหมู่บ้าน  โดยมีสายตาของกีรติมองตามไปอย่างกังวล และภาวนาให้พวกเขาทั้งสองเข้าใจกันด้วยดี เพราะถึงยังไงกีรติก็อยากให้เวธน์นั้นมีความสุข และไม่อยากให้ถูกอดีตผูกมัด จนปิดโอกาสและหัวใจเอาไว้เช่นทุกวันนี้



กรกฎเงยหน้าขึ้นจากงาน พลางจ้องมองคนที่เพิ่งมาถึงด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ทว่าเวธน์กับยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ พร้อมเอ่ยถาม

“แล้วหมอนั่นล่ะ มาด้วยกันไม่ใช่หรือ”

กรกฎกลืนน้ำลายลงคอ แล้วพยักหน้าค่อย ๆ สักพักปาลินที่ซ่อนตัวอยู่ก็เดินออกมา พร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย

“รู้ว่าผมมาแต่ไม่หนีกลับก่อน แสดงว่าใจอ่อนแล้วสินะครับ”

ปาลินแกล้งเอ่ยแซวแม้จะนึกแปลกใจที่เวธน์ยอมมาพบเขาก็ตาม

“อือ...ฉันคิดว่าคงต้องคุยกับนายเรื่องความรู้สึกที่แท้จริงของฉันสักที เลยไม่อยากหนีอีกแล้วน่ะ”

เวธน์ตอบออกไปตามตรง เรียกสีหน้าตกใจได้ทั้งปาลินและกรกฎ ทางด้านปาลินนั้นรู้สึกทั้งคาดหวังและหวาดหวั่นไปพร้อมกัน แต่เขาก็พยายามตั้งสติให้มั่น เพื่อรับฟังคำพูดที่ชายหนุ่มจะบอกกับตน และต่อให้มันจะเลวร้ายสักแค่ไหนก็ตาม เขาก็จะอดทนและแสดงให้เวธน์ได้เห็นว่า เขานั้นรักชายหนุ่มมากเพียงใด

    “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวออกไปเดินเล่นรอข้างนอกก่อนนะครับ”

กรกฎบอกกับเวธน์เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดและลำบากใจ ซึ่งเวธน์ก็พยักหน้ารับรู้ และเมื่อเลขาหนุ่มเดินออกไปแล้ว เวธน์ก็เหลือบไปมองทางห้องของแฟนธอมอย่างลังเลเล็กน้อย แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อปาลินเอ่ยขึ้นคล้ายจะรู้ทันความคิดของเขา

“คุณแฟนธอมไม่อยู่ในห้องหรอกครับ เมื่อเช้าพอเขาได้ยินเสียงผมที่มาพร้อมกาย เขาก็ขอลี้ภัยไปอาศัยบ้านคุณเจอรัลด์หลับพักผ่อนต่อเรียบร้อย แถมยังฝากผมมาบอกคุณอีกนะครับว่า ถ้าจะเถียงจะโวยวายอะไร ก็ให้หัดเกรงใจชาวบ้านบ้างน่ะครับ”

ปาลินพูดตามที่ได้ยินมาทุกคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกึ่งขำ ซึ่งพอได้ยินเวธน์ก็อดยิ้มตามไม่ได้

“ดีจัง ...นาน ๆ จะได้เห็นคุณเวธน์ยิ้มให้เห็นสักครั้ง”

ปาลินเอ่ยขึ้นเบา ๆ ทำให้คนกำลังยิ้มชะงัก แล้วเปลี่ยนเป็นขรึม จนคนมองต้องถอนหายใจ แต่แล้วก็ต้องเงียบกริบ และมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

“ปาลิน...ปาล นายคิดยังไงกับฉัน ยังชอบฉันอยู่อีกไหม”

ปาลินที่เพิ่งเคยถูกเวธน์เรียกชื่อเล่นของเขาเป็นครั้งแรก จ้องมองคนถามอย่างค้นคว้าพิจารณาว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน ทว่าเมื่อเห็นแววตาจริงจังของชายหนุ่ม เขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง พร้อมกับตอบออกไปตามตรง

“ครับ...ผมยังชอบคุณไม่เปลี่ยน ถึงต่อให้ถูกปฏิเสธอีกสักกี่ครั้ง ผมก็ยังรักคุณอยู่ดี”

เวธน์นิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นใบหน้าเคร่งขรึมจึงแปรเปลี่ยนไปเป็นเศร้า ชายหนุ่มหลุบตาลงสักพัก แล้วจึงค่อย ๆ ช้อนสายตาสบกับคนอ่อนวัยกว่า พลางเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

“ปาล...ฉันคิดว่าฉันคงชอบนายเข้าให้แล้วเหมือนกัน”

ปาลินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ขณะที่เขาเตรียมจะย้ำถามให้แน่ใจ เวธน์ก็เอ่ยตามมาเสียก่อน

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ฉันไม่มั่นใจหรอกนะว่า ที่ฉันชอบนาย มันจะเป็นเพราะความรักที่นายมีให้กับฉัน ...หรือว่าเป็นเพราะหน้าตาของนายที่มันคล้ายกับพี่กอบกันแน่... ถึงจะเป็นแบบนี้ นายก็ยังจะรักฉันต่อได้อีกอย่างนั้นหรือ”

ปาลินได้ฟังแล้วก็ถึงกับเงียบกริบ เขาปิดตาลงสักพัก จนเวธน์ใจเสีย แต่ก็ยังคงเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรออกไป และภาวนาให้ปาลินเลิกรักเขาสักที แม้ว่าเขาจะเจ็บปวดเจียนขาดใจหากมันจะต้องเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

“เฮ้อ...ผมคิดแล้วไม่มีผิด ว่าเรื่องมันจะต้องเป็นแบบนี้”

ปาลินที่ลืมตาขึ้นถอนหายใจพร้อมเปรยแผ่วเบา ทว่าก็ยังคงมีรอยยิ้มและแววตาเปี่ยมรักซื่อตรงส่งให้กับคนตรงหน้าเช่นเคย

“ถ้าผมบอกว่าผมไม่แคร์ ไม่ว่าคุณจะคิดกับผมเป็นแค่เพียงตัวแทนอากอบเท่านั้น ...คุณจะว่ายังไงล่ะครับคุณเวธน์  ถ้าผมยอมรับได้จริง แล้วคุณล่ะ จะรับรักผมตอบไหม”

เวธน์นิ่งอึ้ง ก่อนจะรีบแย้งตามมาหลังตั้งสติได้

“คิดดี ๆ นะปาล! นายจะต้องทนเป็นตัวแทนคนอื่นไปตลอด ทั้งคำพูด รอยยิ้ม และความรู้สึกดี ๆ ที่ฉันจะมีให้ มันไม่ได้ให้กับนาย แต่มีให้กับพี่กอบที่ฉันมองผ่านนายต่างหาก นายจะทนได้หรือปาล!”

    ปาลินยังคงยิ้ม และจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแน่วแน่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปร ทำให้เวธน์ยิ่งรู้สึกเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาคิดว่าจะเสียชายหนุ่มไปให้กับคนอื่นเสียอีก

       “…ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ไปพยายามหาคนที่เพียบพร้อมและคู่ควรกับความรักของนาย...คนที่เขาจะให้นายทั้งหัวใจ...ให้ความรักกับนาย...มองแค่นายคนเดียวเท่านั้น”

ปาลินมองคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างรู้สึกสงสาร และจึงตัดสินใจรั้งร่างของอีกฝ่ายมากอด  ทางด้านเวธน์นั้นตกใจในทีแรก แต่พอสัมผัสได้ถึงความห่วงใยและอบอุ่นจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม เขาก็ค่อย ๆ สงบลง และยอมซบใบหน้ากับอกกว้าง ยืนนิ่งให้ปาลินกอดอยู่เช่นนั้น

“คุณเวธน์... คุณจำได้ไหม คุณเคยบอกกับผมว่า คุณรักอากอบ และไม่มีใครแทนที่เขาได้ ...ผมก็เหมือนกัน ผมรักคุณ ต่อให้คุณจะคิดกับผมเป็นแค่ตัวแทนของอากอบ ผมก็ยอม”

    “ปาล นายมันโง่... รู้ไหมว่าการหลงรักคนที่เขาไม่อาจจะตอบรับรักเราได้ตลอดไปน่ะ มันโง่แค่ไหน...”

เวธน์พึมพำต่อว่าทั้งอีกฝ่ายและตนเอง หากแต่ปาลินก็ยังคงยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับกอดร่างในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมเช่นเดิม

“ผมรู้ดีว่าผมคงสู้กับอากอบในหัวใจของคุณไม่ได้ แต่ผมก็ยังหวังว่า หากเราอยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ ...สักวันหนึ่ง คุณก็คงจะมีพื้นที่เล็ก ๆ ให้ผมเข้าไปอยู่ในใจของคุณบ้างเหมือนกัน”

เวธน์พูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกตื้อไปหมด ชายหนุ่มทำได้เพียงกอดร่างสูงกว่าตนกลับไปแน่นเท่านั้น ทั้งคู่ยืนกอดกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งปาลินเป็นฝ่ายคลายอ้อมแขนของตนก่อน

“หากกอดกันนานกว่านี้ ผมอาจจะอยากทำยิ่งกว่ากอดก็ได้นะครับ  แต่ขืนทำลงไปโดยที่ยังไม่รู้คำตอบจากคุณแน่ชัด ผมคิดว่าคงไม่ดีแน่ล่ะนะ”

ปาลินบอกพร้อมยิ้มแหย่น้อย ๆ เมื่อเห็นเวธน์ที่ยามนี้ตั้งสติได้แล้ว กำลังมีใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย   

“...ก็ลองทำสิ จะชกให้คว่ำจริง ๆ ด้วย”

เวธน์อุบอิบตอบ แล้วจึงทำทีจะเดินออกนอกสำนักงานไป ทำให้ปาลินสะดุ้งโหยง พลางรีบตามไปดึงมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

“คุณเวธน์ครับ! แล้วตกลงเรื่องของผมจะว่ายังไงล่ะครับ!”

เวธน์หันไปมองคนที่ดึงมือเขาเอาไว้ อีกฝ่ายนั้นมีแววตาเว้าวอนและคาดหวังเต็มที่ เสียจนเขาไม่กล้าพูดตัดรอนออกไป ชายหนุ่มอ้ำอึ้งอยู่เล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับเสียงแผ่ว

“จะลองให้โอกาสคบกันไปก่อนสักพักก็ได้...แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว ฉันยังคิดว่านายเป็นตัวแทนของพี่กอบไม่เปลี่ยน...ฉันก็อยากให้นายลองพิจารณาดูอีกครั้ง ...ตกลงไหม”

ปาลินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาค่อย ๆ ปล่อยมือออกจนเวธน์ใจหายวาบ เพราะคิดว่าชายหนุ่มนั้นโกรธที่เขายังคงย้ำเรื่องที่มองอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวแทนของกอบพล ทว่าวินาทีถัดมาเวธน์ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่ปล่อยมือเขาขยับเข้ามาใกล้แล้วสวมกอดเขาแน่นยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้านั้นหลายเท่า

“คุณเวธน์...ผมดีใจจริง ๆ ...ดีใจที่สุด ...ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผม...ขอบคุณมาก”

ปาลินพึมพำบอกซ้ำ ๆ ไปเช่นนั้น โดยไม่ลดแรงกอดลง ถึงแม้จะรู้สึกดีและอายแต่เวธน์ก็อึดอัดไม่แพ้กัน ทว่าปาลินก็ยังไม่ยอมปล่อย เวธน์จึงตัดสินใจหยิกเอวอีกฝ่ายแรง ๆ จนคนถูกหยิกสะดุ้งเฮือก คลายแรงกอดลงแล้วมองหน้าคนในอ้อมกอดของเขาอย่างงุนงงแทน

    “มองทำไม! ไม่รู้ตัวหรือไงว่าจะฆ่าฉันอยู่แล้ว!  ฮึ...กอดเสียแน่น กะฆ่ากันให้ตายเลยสินะ”

ท้ายประโยคเวธน์บ่นอุบอิบด้วยความฉุนปนอาย ทำให้ปาลินที่ได้คำตอบถึงกับหลุดหัวเราะเบา ๆ ตามมา แต่ชายหนุ่มก็ยังคงไม่ยอมคลายอ้อมกอด แม้จะผ่อนแรงลงเหลือเพียงกอดแค่หลวม ๆ เท่านั้นก็ตาม

“ปล่อยได้แล้วน่า...ไม่หนีไปไหนหรอก”

เวธน์บ่นอุบอิบ เพราะไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายนานขนาดนี้มาก่อน

“เราเป็นแฟนกันแล้วนี่ครับ ขอกอดให้ชื่นใจอีกสักนิดไม่ได้หรือครับ”

ปาลินเริ่มอ้อน ทำให้เวธน์ทั้งเขินทั้งหมั่นไส้ แต่พอใบหน้าหล่อเหลาเริ่มโน้มลงมาใกล้อย่างไม่น่าไว้ใจ เขาก็รีบดันตัวออกห่างจนหลุดจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวได้ในที่สุด

“หยุดเลย! ถึงจะยอมเป็นแฟนด้วย แต่ใช่ว่าฉันจะยอมให้ล่วงเกินง่าย ๆ หรอกนะ!”

ปาลินหรี่ตามองคนตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจอย่างเอือมระอาตามมา

“ทำไมล่ะครับ ขนาดเด็กอนุบาลคบกัน ยังมีหอมแก้มกันได้เลยนะครับ แล้วผมกับคุณนี่รุ่นใหญ่แท้ ๆ หอมนิดหอมหน่อยจะเป็นอะไรไป  อืม...หรือว่าผมจะบอกพ่อแม่ให้มาสู่ขอคุณ แล้วเข้าห้องหอตามประเพณีให้เรียบร้อยก่อนดี...ถ้าทำแบบนั้นคุณคงโอเคสินะครับ”

ปาลินทำเหมือนจะพูดเล่น ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับดูจริงจัง ผิดกับใบหน้ายิ้มแย้มนั่นลิบลับ จนเวธน์ชักนึกหวาดว่าอีกฝ่ายจะไปบอกพ่อแม่ของเจ้าตัวให้มาสู่ขอเขาจริง ๆ

    “บ้ารึ! ฉันก็แค่ไม่อยากทำตัวให้มันดูใจง่ายนักก็เท่านั้นเอง!”

    ปาลินถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเปรยตอบอีกฝ่ายด้วยใบหน้าระบายยิ้ม

“เอาเถอะครับ...ถ้าคุณไม่ชอบ ผมก็จะไม่ทำ เพราะแค่คุณตอบรับความรู้สึกผม แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้ว”

เวธน์มองคนที่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้อย่างลังเล และเมื่อปาลินชวนให้ออกไปตามกรกฎด้วยกัน ชายหนุ่มจึงฉวยโอกาสที่ปาลินหันหลังให้เดินตามไปข้าง ๆ พร้อมกับชะโงกหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มหนึ่งฟอด ก่อนจะรีบเปิดประตูสำนักงานจ้ำพรวดหนีออกไปข้างนอกทันที ทิ้งให้คนที่ยืนตกใจมองตามไปตาปริบ ๆ ทว่าพอตั้งสติได้เจ้าตัวก็มีรอยยิ้มกว้าง แล้วจึงรีบเดินตามคนที่ออกไปก่อนหน้านั้นอย่างว่องไวไม่แพ้กัน   


         

... TBC …


แฮปปี้เอนดิ้งไปอีก 1 คู่ ตอนหน้าจะเข้าเรื่องราว ของริว กับ กีรติ บ้างแล้วค่ะ  นอกจากนี้ก็จะยังมีตัวละครใหม่ทยอยมาเรื่อย ๆ สำหรับเรื่องนี้ค่ะ ^^" บทเฉลี่ย ๆ กันไปเนาะ
 
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 23-09-2013 23:24:58
มานั่งมอง

----------------------------------------------
คู่เย๊อะ~เยอะ ก็ดีนะที่เขาแฮ็ปปี้กัน กลัวดราม่ากันอีก
แถมความลับของหนูกีก็ยังไม่หมดซะด้วย ยังรออ่านอยู่นะ
ว่าหนูกีเขามีอดีตอะไรกันแน่ อ่านไปก็ลุ้นไป :mew3:

ดีไม่หลับซะก่อน เกือบไม่ได้อ่านก่อนนอนแล้ว ฮิๆ
 :katai5:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-09-2013 23:44:42
เวธน์กับกรกฏได้คู่กันมั้ยเนี่ย อิอิ มีแต่หนุ่มๆทั้งน้านน  :katai3:

เว้นตอน ที่ ตอน 13,14 ยังไม่มา!

เผลอแป๊บเดียวมาอีกหนึ่งคู่ละ ผู้สืบทอดที่ดินเรามีหนุ่มหล่อกล้ามใหญ่มาพยุงหัวใจซะปว้ว

เหลือน้องกีผู้ลึกลับนี่แหละ ใสซื่อต่อไป อิอิ :z2:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 23-09-2013 23:50:46
 :mc4: :mc4: :mc4:คุณเลขาๆๆๆๆๆๆๆหาคู่มาให้ทีเต้อะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 24-09-2013 00:00:41
คู่นี้น่ารักน่าหยิก

รอคู่ต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 24-09-2013 00:02:55
สนุกจังเลยค่ะ น้องกีน่ารักโอบอ้อมอารีสุดๆ แต่แอบอยากรู้ปูมหลังน้องกีเหมือนกันน้า
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 24-09-2013 00:05:47
ปาลกับเวธน์  แฮปปี้อีกหนึ่งคู่จริงๆด้วย

รอคู่ต่อไป  ไม่รู้จะมีของกรกฏมั้ยน้า  ให้อารมณ์เคะราชินีไงไม่รู้  :laugh:

ก็เดาไป  แต่ก็ผิดประจำ  นั่งรอลุ้นดีกว่า

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 24-09-2013 02:36:01
ทุกตัวละครความลับเยอะจังเลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-09-2013 06:31:21
หนูกีเป็นใครกันน๊า
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 24-09-2013 13:53:26
ตอนแรกนึกว่าคุณเจ้าของที่ดินจะคู่กับคุณเลขาซะอีก
แต่ดันได้คู่กับคนที่หน้าตาคล้ายกับคุณเจ้าของที่ดินคนก่อน
แต่ที่อึ้งก็คงเป็นคุณเจ้าของที่ดินเป็นเคะนี่แหละ
โอ้ม้ายยยย! ประชากรเมะกระล่อนเราหายไปแล้วหนึ่ง
ตอนนี้ต้องมาลุ้นคุณเลขาว่าจะได้คู่กับใคร
แล้วก็กีกับริวอีกว่าจะลงเอยกันหรือไม่
แต่ที่อยากรู้ที่สุดก็คงเป็น กีเป็นครายยยย
รอลุ้น รอลุ้นค่าาาา  :mew1: :mew3:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 13 - 14 (23/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 24-09-2013 16:44:10
อร๊ายยย คู่นี้น่ารักอ่ะ ฮ่าาาา
เหลือคุณเลขาสินะ ที่ยังไม่มีคู่

ว่าเริ่มสงสัยหนูกี เป็นใครมาจากไหนน้าาา
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 24-09-2013 20:22:55
มาโพสแล้วค่ะ  ถ้าลงถึงตอนที่ 20 แล้ว อาจจะทิ้งช่วงไม่โพสต่อเนื่องทุกวันเหมือนเดิมนะคะ แต่จะพยายามไม่ทิ้งห่างค่ะ ^^"



บทที่ 15
คนพิเศษ




         กีรติเหลือบมองเวธน์และปาลินที่แวะมาตามกรกฎซึ่งอยู่คุยกับเขาที่ป้อมยาม เพื่อรอให้ทั้งคู่ตกลงเรื่องส่วนตัวกันให้เรียบร้อย ทว่าดูจากสีหน้าของทั้งเวธน์และปาลินแล้ว กีรติก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องส่วนตัวของพวกเขาสองคนนั้น คงจะลงเอยกันได้ด้วยดีแน่นอน

         “ยินดีด้วยนะปาล”

        กรกฎบอกกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างตอบเสียจนน่าหมั่นไส้ เลขาหนุ่มสั่นศีรษะอย่างระอา แล้วจึงหันไปทางเวธน์บ้าง

        “ถ้าคบกันแล้ว ระวังหน่อยก็ดีนะครับคุณเวธน์ ...ก่อนจะมาเจอคุณนี่ก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ เปลี่ยนตุ๊กตาหน้ารถไม่เคยซ้ำกันเลยแต่ละวัน”

        ปาลินสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันขวับไปทางกรกฎด้วยสายตาขุ่นเคือง  แต่พอจะหันมาแก้ตัวกับเวธน์ เขาก็ต้องสะดุ้งซ้ำสองเมื่อเห็นนัยน์ตาวาววับของอีกฝ่ายจ้องเขาเขม็ง

        “อืม...จริงสิ พอจะนึกออกแล้ว ก่อนหน้านั้นพี่กอบเคยเล่าให้ฟังว่า ลูกของพี่ชายอีกคนเจ้าชู้ใช่เล่น ...คนนั้นน่ะ นายเองสินะ”

        “นั่นมันเมื่อก่อนต่างหากล่ะครับ! ตอนนี้ผมเลิกเจ้าชู้ ตั้งแต่ตกหลุมรักคุณแล้วล่ะครับ เชื่อเถอะนะครับคุณเวธน์”

        ปาลินรีบอ้อน ทำให้เวธน์ทั้งฉุนทั้งเขิน เพราะดันหันไปเห็นกีรติที่กำลังจ้องพวกเขาคุยกันตาแป๋ว และพอพวกเขาสบตากัน อีกฝ่ายก็เขินหน้าแดงแล้วรีบหลบตาทันที

         “กลับไปทำงานกันได้แล้วกรกฎ! ส่วนนายก็กลับบ้านนายไปได้แล้วปาล อยู่ก็เกะกะคนจะทำงาน!”

        เวธน์โพล่งไล่เสียงเข้มเพื่อแก้เขิน แต่นั่นก็ทำให้คนฟังสะดุ้งแล้วรีบอ้อนชายหนุ่มยกใหญ่

        “โธ่! คุณเวธน์ ให้ผมอยู่ด้วยเถอะครับ ผมช่วยงานคุณได้นะ ...นี่กาย ช่วยพูดให้ฉันอยู่ด้วยหน่อยสิ ฉันช่วยงานเอกสารนายด้วยก็ได้นะ”

        กรกฎมองญาติผู้พี่ของเขาอย่างนึกขำ จริง ๆ ก็อยากหาเรื่องแกล้งปาลินต่อ แต่ก็เห็นแก่ที่อีกฝ่ายยอมอดทนรอมานานกว่าจะสมหวัง เขาจึงยอมช่วยตามที่ชายหนุ่มขอร้องโดยไม่เกี่ยงงอนอันใด

        “ให้เขาอยู่ด้วยก็ดีนะครับคุณเวธน์ ผมว่าจะจัดแฟ้มสำเนาเอกสารต่าง ๆ ให้มันเป็นหมวดหมู่ค้นง่ายกว่านี้มาตั้งนานแล้ว แต่ถ้าขืนมัวไปจัด งานอื่นก็ไม่ได้ทำพอดี  ยังไงก็อุตสาห์มีคนอาสาเหนื่อยแทนให้ทั้งที เราก็ควรจะยอมรับข้อเสนอของเขานะครับ”

        เวธน์ฟังเลขาของเขาพูด แล้วก็ต้องอมยิ้มน้อย ๆ เพราะงานที่ว่ามันทั้งน่าเบื่อและชวนปวดหัวอยู่มากทีเดียว ดูจากสีหน้าลังเลของปาลินตอนนี้ ก็ทำให้เขานึกอยากหาเรื่องแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างเช่นเดียวกัน

        “งั้นก็ได้...ตกลงนายจะอยู่ช่วยงานพวกฉันสินะปาล”

        ปาลินยิ้มเจื่อน ๆ แต่พอเห็นใบหน้ายิ้มของเวธน์เริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เขาก็รีบรับคำตามมาทันที

        “ครับ! ผมจะช่วยเต็มที่เลยครับ!”

        เวธน์ที่กำลังหน้าบึ้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นอมยิ้มน้อย ๆ ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าโดนแกล้งเข้าให้แล้ว แต่ถึงเป็นเช่นนั้นปาลินเองก็รู้สึกยินดีไม่น้อย เพราะกรกฎเคยบอกกับเขาว่า ถ้าเวธน์ชอบพอหรือถูกใจใครมาก ๆ ก็มักจะหาเรื่องกลั่นแกล้งคนนั้นอยู่เสมอนั่นเอง

        “ถ้าอย่างนั้นก็ขอตัวก่อนนะกีรติ ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำเมื่อเช้า”

        เวธน์บอกกับลูกจ้างของเขา ซึ่งกีรติก็ยิ้มรับพร้อมพยักหน้านิด ๆ ทางด้านกรกฎและปาลินก็เอ่ยขอตัวลากับอีกฝ่ายสั้น ๆ แล้วจึงเดินตามเวธน์กลับสำนักงานหมู่บ้านไปด้วยกัน

        “อย่างนี้คู่รักชายกับชายของหมู่บ้านเราก็เพิ่มขึ้นอีกคู่แล้วสินะครับ...คุณกีรติไม่คิดจะมองผู้ชายโสดในหมู่บ้านนี้บ้างสักคนหรือครับ แต่ละรายก็เป็นคนดีและดูดีทั้งนั้นนะครับ”

        คำพูดของอเล็กซ์ทำให้กีรติที่มองตามไล่หลังทั้งสามคนไปสะดุ้งโหยง แล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ให้กับป้อมยามตรงหน้า

        “เอ่อ...ผมทราบครับว่าทุกคนเป็นคนดี แต่ตอนนี้ผมยังไม่คิดจะมีความรักหรอกนะครับ”

        เสียงบ่นงึมงำดังมาจาก AI ประจำป้อมหลังจากกีรติพูดจบ ทำเอาชายหนุ่มร่างเล็กต้องหันไปลอบถอนหายใจ แต่พอลองนึกถึงคนดี ๆ ที่อเล็กซ์ว่ามา ใบหน้าของริวก็ดันปรากฏขึ้นในความคิดของเขาเสียอย่างนั้น

        ‘บ้าจริง...คิดอะไรกันนะเรา ขืนคุณริวรู้คงโกรธเข้าให้แน่ แค่ทุกวันนี้ก็ยังสนิทด้วยยากแท้ ๆ’

        กีรติพยายามลืมเรื่องที่เขาเผลอคิดถึงริวในแง่พิเศษอย่างเต็มที่ เพราะถึงแม้พวกเขาจะสนิทกันมากกว่าเดิม แต่ริวก็ยังคงทิ้งระยะห่างกับเขาในบางครั้งอยู่ดี   

         “เอ...วันนี้คุณริวก็จะมาทานอาหารกลางวันที่ป้อมยามด้วยอีกสินะครับ”

        เพราะเสียงถอนหายใจและสีหน้าซึม ๆ ของกีรติ ทำให้อเล็กซ์ต้องเปลี่ยนเรื่องสนทนา ซึ่งพอกีรติได้ยินเช่นนั้น เขาก็สะดุ้งโหยง ทำหน้าเลิ่กลั่ก ทำให้อเล็กซ์มองปฏิกิริยานั้นอย่างรู้สึกสงสัย ทว่าพอเห็นใบหน้านั้นคลายซึมเศร้าลง  AI ประจำป้อมจึงรู้สึกว่า สถานการณ์ยามนี้น่าจะดีกว่าเดิม เจ้าตัวเลยชวนกีรติคุยต่อไปอีก

        “แล้ววันนี้จะทานอะไรกันล่ะครับ คงไม่ใช่อาหารประเภทเต้าหู้อีกหรอกนะครับ”

        พอได้ยินคำถามถัดมา กีรติก็ชะงักแล้วหันมาให้ความสนใจกับการสนทนาโต้ตอบกับฝ่ายตรงข้ามแทน

        “อ๊ะ...นั่นก็อยากทำอีกหรอกครับ เพราะคุณชิโระติดใจน่าดู แต่ก็ถูกคุณริวเบรกเอาไว้ก่อน ว่าอย่าตามใจให้มากนัก แต่ก็คิดว่าจะหาโอกาสทำเผื่อสักครั้งเหมือนกันน่ะครับ”

         “แสดงว่าข้อมูลทางเว็บที่บอกว่าจิ้งจอกญี่ปุ่นชอบเต้าหู้อะไรนั่นก็เรื่องจริงสิครับ”

        อเล็กซ์เอ่ยเสริมตามมา ซึ่งกีรติก็ยิ้มรับ เพราะตอนที่ได้กินเต้าหู้ทรงเครื่องของเขา ชิโระนั้นถึงกับบอกว่าให้เขาลองทำเต้าหู้ญี่ปุ่นทอดให้กินบ้าง และนั่นจึงทำให้สัตว์อสูรถูกริวซึ่งเป็นเจ้านายตำหนิเอาไปตามระเบียบ แถมยังย้ำไม่ให้เขาตามใจอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

        “เห็นว่าเต้าหู้ญี่ปุ่นในไทยก็หาซื้อง่ายอยู่ ผมฝากคุณไกรสรสั่งมาให้แล้ว แต่คงต้องแอบไปเอาทีหลัง ขืนคุณริวรู้ผมคงถูกดุเข้าให้ด้วยแน่”

        กีรติบอกแล้วก็ยิ้มเจื่อน ๆ เพราะนับตั้งแต่มีโอกาสได้คุยกับริวมากขึ้น เขาจึงได้รับรู้ว่า จริง ๆ แล้ว ริวนั้นเป็นคนเจ้าระเบียบจริงจังและเข้าหายากกว่าที่คิดไว้ ท่าทางที่เจ้าตัวยิ้มแย้มทักทายเขาแต่แรก ก็เป็นเพียงมารยาทที่ชายหนุ่มมีต่อคนแปลกหน้าเท่านั้นเอง

        “แต่คุณริวก็ค่อนข้างเปิดใจให้คุณอยู่มากนะครับ กับคนอื่นในหมู่บ้านก็สนทนาด้วยดีหรอก  แต่ที่มานั่งคุย นั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้ ตั้งแต่เขาย้ายเข้ามาในหมู่บ้าน ผมก็เพิ่งได้เห็นนี่ล่ะครับ”

        คำพูดของอเล็กซ์ทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย แล้วแอบนึกดีใจที่ตัวเองนั้นเป็นคนพิเศษกว่าใครสำหรับริว ทว่าพอรู้สึกตัวเขาก็ต้องควบคุมความคิดไม่ให้เลยเถิดอีกครั้ง และพยายามบอกกับตัวเองว่า การที่เผลอใจเต้นเมื่อนึกถึงอีกฝ่ายนั้น คงไม่ใช่เพราะเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่างที่อเล็กซ์เคยพูดไว้หรอก

         

        จากนั้นไม่นาน กีรติก็ขอตัวไปขี่จักรยานตรวจตรารอบหมู่บ้านในรอบเช้า ทว่าพอชายหนุ่มขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านริว เขาก็เผลอชะลอจอดและมองเข้าไปในบ้าน ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อคนที่เขากำลังคิดถึง เปิดประตูบานกระจกเลื่อนของห้องรับแขกชั้นล่างออกมาพอดี

        “อ๊ะ...เอ่อ สวัสดีครับคุณริว”

        กีรติเอ่ยทักทายตะกุกตะกัก เพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอริวเช่นนี้

        “สวัสดีครับคุณกีรติ ขี่จักรยานตรวจตราหมู่บ้านหรือครับ”

         ริวทักตอบไปด้วยใบหน้าที่ทำเป็นนิ่งเฉย แม้จะรู้สึกตกใจไม่แพ้กันที่พอเปิดบานประตูเลื่อนออกมาเพื่อรับลมภายนอก แต่กลับเจอกีรติอยู่หน้าบ้านของตน

        “เอ่อ...ครับ”

        กีรติบอกแล้วก็เงียบไป นึกคำพูดต่อไม่ถูกเอาดื้อ ๆ ท่าทางลำบากใจของอีกฝ่ายทำให้ริวเข้าใจผิด และคิดว่ากีรตินั้นคงอึดอัดที่จะคุยด้วย หลังจากได้รับรู้นิสัยแท้จริงของเขา เพราะขนาดชิโระสัตว์อสูรของเขาเอง ยังเคยบ่นใส่บ่อย ๆ เลยว่า เขาเป็นคนจริงจังจู้จี้เกินกว่าเหตุด้วยซ้ำ   

        “ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ผมคงต้องขอตัวก่อนแล้วกันครับ เพราะผมคงจะรบกวนเวลาทำงานของคุณมามากแล้ว”

        ริวบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเตรียมจะเดินกลับเข้าไปด้านใน ทำเอากีรติหน้าเสียและรีบตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลืมตัว

        “เดี๋ยวก่อนครับ คุณริว!”

        ริวชะงักก่อนหันไปมองคนที่ทิ้งจักรยานมายืนเกาะรั้วบ้านของเขาอย่างตกใจ

        “ขอโทษนะครับ! ผมไม่รู้ว่าเผลอทำอะไรให้คุณไม่พอใจไปหรือเปล่า แต่ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ!”

        ริวนิ่งอึ้ง พลางจ้องมองกีรติซึ่งยามนี้มีสีหน้าวิตกกังวลผิดเคย และนั่นจึงทำให้หนุ่มญี่ปุ่นต้องถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินผ่านสวนหน้าบ้านตรงไปที่รั้ว พร้อมกับยื่นมือของตนไปเกาะกุมมือของอีกฝ่าย ทำเอากีรติชะงักแล้วเงยหน้ามองอย่างงุนงง

        “คุณไม่ต้องขอโทษหรอกนะ กีรติ ...ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษคุณมากกว่า”

        กีรติจ้องมองชายตรงหน้าอย่างตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เพราะริวนั้นเพิ่งจะเคยเรียกชื่อของเขาโดยไม่มีคำว่าคุณนำหน้าเป็นครั้งแรก   

        “กีรติ เป็นอะไรไปน่ะ ...คุณได้ยินผมพูดหรือเปล่า”

        ริวย้ำถามเพราะเห็นอีกฝ่ายจ้องเขานิ่งจนน่าแปลกใจ

        “อ๊ะ! ดะ...ได้ยินครับ เอ่อ...คุณริวไม่ได้โกรธผมสินะครับ”

        กีรติที่รู้สึกตัวบอกเสียงอุบอิบ พลางหลุบตาหลบเพราะรู้สึกอายเวลาถูกอีกฝ่ายจ้องตาตอบ   

        “ใช่...ผมไม่ได้โกรธคุณหรอก เอ่อ...ผมก็แค่คิดว่า คุณอาจจะรู้สึกอึดอัดเวลาคุยกับผมก็แค่นั้นเอง”

        กีรติเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าริวคิดยังไง แล้วจึงรีบแก้ตัวออกไปทันที

        “ไม่หรอกครับ! ผมไม่เคยอึดอัดเวลาอยู่กับคุณเลยนะครับ! อ๊ะ...เอ่อ...ผมก็แค่กังวลว่าคุณริวอาจจะเบื่อหรือไม่ชอบที่ผมมาคอยรบกวน ก็เลยไม่รู้จะชวนคุยอะไรดีน่ะครับ”

        กีรติหน้าแดงนิด ๆ เพราะเมื่อลองคิดดูดี ๆ แล้ว ทั้งเขาและริวต่างเข้าใจผิดกันทั้งคู่ และนั่นก็แสดงว่าหนุ่มญี่ปุ่นเองไม่ได้นึกรังเกียจหรือไม่พอใจเวลาอยู่กับเขานั่นเอง

        “เป็นอย่างนั้นเองหรอกหรือ  อืม...ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมว่าผมขอตัวก่อนแล้วกันนะ”

        ริวบอกเรียบ ๆ แล้วปล่อยมือของตนที่เผลอกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นจึงหันกลับเตรียมเดินเข้าบ้านพัก ทำเอากีรติงุนงงแกมตระหนก เพราะคิดว่าริวจะไม่พอใจอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันพูดอะไร หนุ่มญี่ปุ่นก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

        “ไว้กลางวันนี้ เจอกันเวลาเดิมนะ...”

        บอกจบริวก็เดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมา เพราะไม่อยากให้กีรติได้เห็นสีหน้าของตนยามนี้ ส่วนกีรตินั้นยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงกำแพงสักพัก แล้วจึงมีรอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์ เพราะแม้ริวจะไม่พูดจาอ่อนโยนหรือยิ้มแย้มกับเขา ทว่าคำพูดทิ้งท้ายนั่น แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้รังเกียจในการคบหาพูดคุยกับเขาแต่อย่างใด

        “ครับ คุณริว...แล้วเจอกันกลางวันนี้”

        กีรติพึมพำ ก่อนจะตรงไปที่รถจักรยานแล้วขี่มันตรวจตรารอบหมู่บ้านต่ออย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษกว่าทุกวัน

         

         ภาพการสนทนาของริวและกีรติ ถูกฉายให้เห็นผ่านลูกแก้วสีขุ่นทึบซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เจ้าตัวโบกมือสะบัดผ่านหน้าลูกแก้วเบา ๆ ภาพในนั้นก็เลือนหายไป  ใบหน้าคมเข้มละม้ายคล้ายกับริวหากแต่อ่อนเยาว์กว่าปรากฏรอยยิ้มตรงมุมปากน้อย ๆ เมื่อในที่สุดเขาก็คิดวิธีที่จะนำตัว ยูกิมูระ ริว กลับญี่ปุ่นไปด้วยกัน โดยที่อีกฝ่ายจะไม่กล้าคิดขัดขืนเขาเช่นที่เคยผ่านมาได้อีก   

         “ไม่น่าเชื่อว่าคนเย็นชาไร้หัวใจอย่างคุณ ก็ยังอุตสาห์มีคนพิเศษกับเขาได้เหมือนกันนะ...คุณริว”

           ร่างสูงผอมบางพึมพำกับตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยใบหน้ายิ้มหยัน เจ้าตัวลุกจากโซฟาราคาแพง แล้วเดินไปที่หน้าต่างห้องซึ่งเป็นกระจกใสบานใหญ่ พลางมองเหม่อไปยังทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครจากชั้น 20 ของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง มือที่สัมผัสผ้าม่านผืนสวยค่อย ๆ ขยุ้มจิกด้วยแรงอารมณ์ เมื่อหวนคิดถึงคนที่เขาเฝ้าเพียรพยายามจะนำตัวกลับไปญี่ปุ่น เพื่อรับตำแหน่งผู้นำตระกูลยูกิมูระอีกครั้ง

        “ผมจะต้องพาคุณกลับไปญี่ปุ่นด้วยกันให้ได้ คุณริว...ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีสกปรกเพียงใดก็ตาม!”


           

… TBC …
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 24-09-2013 20:25:41
ตอนที่ 16
พี่น้อง



            กีรติเดินฮัมเพลงหิ้วปิ่นโตใส่อาหารกลางวันที่เขาเพิ่งทำเสร็จออกมาจากสำนักงานหมู่บ้านอย่างอารมณ์ดี พอมาถึงป้อมยามเขาก็ทักทายอเล็กซ์ตามปกติ แล้วเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาติดผนังป้อมยาม ที่ตอนนี้บอกเวลาใกล้เที่ยงเต็มที

        “เดี๋ยวคุณริวก็คงตามมาล่ะครับ เมื่อวานก็เห็นมาตอนเที่ยงสิบนาทีไม่ใช่หรือครับ”

        เสียงอเล็กซ์ที่ขัดขึ้นทำเอากีรติสะดุ้งโหยง แล้วเผลอโพล่งปฏิเสธออกไปด้วยความลืมตัว

        “เปล่านะครับ! ผมไม่ได้กำลังคิดถึงคุณริวอยู่นะครับ!”

        อเล็กซ์เงียบไปชั่วครู่  ก่อนจะมีเสียงตอบดังขึ้น

        “หรือครับ...สงสัยเครื่องจับเท็จของผมจะเสียนะครับ เหมือนผลที่มันออกมามันจะตรงข้ามกับคำพูดของคุณอยู่พอสมควรทีเดียวล่ะ”

        แม้จะพูดตามปกติ แต่ถ้าชายหนุ่มฟังไม่ผิดน้ำเสียงของอเล็กซ์ดูแปร่ง ๆ ไปจากเดิม มันฟังเหมือนเสียงพูดที่คล้ายจะกลั้นหัวเราะไปด้วย  กีรติขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะชะงักตามมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น   

        “คุณเจอรัลด์สินะครับ!”

        “หึ ๆ ยังความรู้สึกไวเหมือนเดิมนะครับคุณกีรติ ...โอ๊ย! เจ็บนะครับ คุณแฟนธอม! ขอโทษครับ! จะไม่ทำอีกแล้วครับ!”

        เสียงโหวกเหวกโวยวายจู่ ๆ ก็เงียบหายไป กีรติมองป้อมยามตรงหน้าอย่างงุนงง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งนิด ๆ เมื่อเสียงของอเล็กซ์กลับมาดังตามเดิมอีกครั้ง

        “ขอโทษทีครับ จู่ ๆ ก็โดนมาสเตอร์แทรกแซงเอาเองอีกแล้ว”

        เสียงสังเคราะห์แข็ง ๆ แบบเดิมที่ดังขึ้น ทำให้กีรติลอบถอนหายใจ แล้วจึงถามต่ออย่างสงสัย

        “ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือครับ ผมว่าผมได้ยินคุณเจอรัลด์เรียกชื่อคุณแฟนธอมด้วยนะครับนั่น”

        “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่มาสเตอร์พาคุณแฟนธอมลงมาดูห้องทำงานที่ใต้ดิน แล้วมาสเตอร์ก็เข้ามาแทรกแซงระหว่างผมคุยกับคุณ ก็เลยโดนคุณแฟนธอมเล่นงานเข้าให้ ตอนนี้เท่าที่เห็นจากกล้องวงจรที่นั่น มาสเตอร์โดนคุณแฟนธอมลากกลับขึ้นไปบนบ้านพักแล้วล่ะครับ”

        อเล็กซ์ตอบคำถามของกีรติอย่างละเอียด ทำเอาคนถามต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ ต่อพฤติกรรมป่วน ๆ ของเจอรัลด์ และความโหดของรุ่นพี่ร่วมงานของเขา

         

        ทว่าระหว่างที่กำลังสนทนากับอเล็กซ์ กีรติก็ต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เมื่อเหลือบไปเห็นรถยนต์สีดำติดฟิลม์ทึบคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาในเขตหมู่บ้าน เขาจัดการเอาไม้กั้นลงขวางทางเข้า แล้วจึงเดินตรงไปหารถยนต์ซึ่งแล่นมาชะลอจอดตรงป้อมยามที่เขายืนอยู่

        “เอ่อ...สวัสดีครับ มาพบใครครับ นัดไว้หรือเปล่าครับ”

        กีรติถามคนขับที่ลดบานกระจกลง อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มวัยทำงาน สวมสูทสีดำและใส่แว่นตาดำปกปิดใบหน้า เจ้าตัวเหลือบไปมองคนที่นั่งเบาะหลังเมื่อได้ยินคำถาม ซึ่งคนที่นั่งอยู่ก็พยักหน้าค่อย ๆ จากนั้นคนขับจึงหันไปบอกกีรติเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงปร่าแปร่ง

        “พวกเรามาพบคุณ ยูกิมูระ ริว ครับ”

        กีรติสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อของริว ส่วนอเล็กซ์นั้นลังเลว่าจะเปิดสัญญาณเตือนภัยดีไหม เพราะทั้งคนขับและคนนั่งด้านหลัง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์ทั้งคู่

        “เอ่อ...ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องอะไรกับคุณริวหรือครับ”

        กีรติถามต่ออย่างอดนึกสงสัยไม่ได้ แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนนั่งเบาะหลังเปิดประตูลงมา

      “ไปรอฉันแถวทางเข้าก่อน”

        ชายหนุ่มที่ก้าวลงจากรถมา มีรูปร่างสูงโปร่ง เขาสวมเสื้อลำลองสีขาวแขนยาวและกางเกงสแลคสีดำ ใบหน้านั้นค่อนข้างคล้ายกับริว จนกีรติมั่นใจว่าทั้งคู่จะต้องเกี่ยวพันกันทางสายเลือดอย่างแน่นอน

       “ครับ ท่านผู้นำ”

        คนขับรถเองก็ตอบกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นเช่นเดียวกับอีกฝ่าย แล้วจึงถอยรถห่างออกไป ส่วนกีรติที่ฟังออกนั้นขมวดคิ้วน้อย ๆ กับตำแหน่งที่ได้ยิน เพราะพอจะรู้มาบ้างว่าก่อนหน้าที่ริวจะมาญี่ปุ่น ชายหนุ่มนั้นเคยเป็นผู้นำตระกูลยูกิมูระมาก่อน

        “ผมเป็นน้องชายของเขาชื่อ ยูกิมูระ เรน”

        ชายผู้มาเยือนแนะนำตัวเป็นภาษาไทยต่อกีรติ แม้สำเนียงจะไม่ชัดเท่าคนไทย แต่ก็ถือว่าชัดถ้อยชัดคำผิดจากคนต่างชาติที่หัดพูดทั่วไป

        “...น้องชายของคุณริว”

        กีรติพึมพำอย่างตกตะลึง เพราะริวนั้นไม่เคยเล่าเรื่องญาติพี่น้องให้เขาฟังมาก่อน แต่เท่าที่ดูใบหน้าของเรน ก็คล้ายคลึงกันกับริวอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว   

        “คุณ...กีรติ สินะ”

        เรนอ่านป้ายชื่อซึ่งอีกฝ่ายแขวนคอเอาไว้ ทำเอากีรติสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าตอบรับ แต่ก็ยังคงนึกทึ่งที่อีกฝ่ายนอกจากจะพูดภาษาไทยได้แล้ว ยังสามารถอ่านออกอีกด้วย

        “ยินดีที่รู้จักนะครับ”

        เรนบอกพร้อมยิ้มน้อย ๆ และยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย กีรติพอเห็นเช่นนั้นก็รีบยื่นมือของตนไปสัมผัสบ้าง

        “เช่นกันครับ ...อ๊ะ!”

        ชายหนุ่มร่างเล็กหลุดอุทานแผ่วเบา เพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ปลายนิ้วก้อยของตน

        “มีอะไรหรือครับ”

        เรนถามด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกตาขณะปล่อยมือออก ทางด้านกีรติลอบสังเกตที่นิ้วของอีกฝ่าย ก็เห็นว่าแหวนที่เรนสวมตรงนิ้วก้อย เป็นลายงูสีดำขดพันนิ้วอยู่ ซึ่งกีรติก็คิดว่าที่เขารู้สึกเจ็บขึ้นมา คงจะเป็นเพราะถูกพื้นผิวที่ดูคล้ายกับเกล็ดละเอียดเหมือนเกล็ดงูจริง ๆ นั่น ขีดข่วนเอาก็เป็นได้   

        “...คุณกีรติคงจะเป็นคนสำคัญของเขาสินะครับ”

        คำถามถัดมาของเรน ทำเอากีรติชะงักพลางขมวดคิ้วนิ่งคิดทบทวนในสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมาเมื่อนึกถึงความหมายของคำถามนั้นออกในที่สุด

        “มะ..ไม่ใช่นะครับ! เราเป็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านกันแค่นั้นเองครับ!”

        กีรติปฏิเสธด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ทำให้คนมองยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ตัวอีกฝ่ายมากขึ้น

        “ถ้าคุณไม่ใช่คนสำคัญของเขาก็แย่น่ะสิครับ...เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมก็คงพาเขากลับไปด้วยไม่ได้แน่”

        เรนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ทว่านัยน์ตาสีดำว่างเปล่ากลับฉายแวววาวโรจน์ขึ้นมาชั่วครู่ จนคนถูกจ้องเสียวสันหลังวาบ



       “กีรติ! ถอยห่างออกมาจากผู้ชายคนนั้นซะ!”

        เสียงตะโกนที่แทรกขัดเข้ามาทำเอากีรติสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับไปมองยังต้นเสียงทันที

        “คุณริว!”

        กีรติเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตกใจ ส่วนเรนพอได้เห็นริวเขาก็ชะงักในทีแรก แต่ก็มีสีหน้าและท่าทางสงบนิ่งเฉยตามมาหลังจากนั้น

        “กีรติ! ผมบอกให้ถอยออกมาไงล่ะ!”

        ริวย้ำเสียงเข้ม และนั่นจึงทำให้อเล็กซ์ตัดสินใจถามเพื่อความแน่ใจ เพราะสถานะของอีกฝ่ายนั้นคือน้องชายของริว ซึ่งตามฐานข้อมูลมนุษย์ของเขาถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญรองมาจากบิดามารดาผู้ให้กำเนิดนั่นเอง

        “ตกลงคุณริวจะให้ผมเปิดสัญญาณเตือนภัยไหมครับ”

        ริวชะงักเมื่อได้ยินคำถามของอเล็กซ์ แต่ก็ยังคงจ้องเขม็งไปที่กีรติและเรนไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยตอบ AI ประจำป้อมไปเสียงห้วน

        “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมจัดการเอง!”

        อเล็กซ์รับทราบคำสั่งนั้น แต่ก็ยังคงลอบรายงานสถานการณ์ให้เจอรัลด์รับรู้ เพื่อที่มาสเตอร์ของเขาจะได้คอยเตรียมรับมืออยู่ห่าง ๆ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นนั่นเอง

        “คุณเรน จะมาบังคับให้คุณริวกลับไปด้วยกันหรือครับ...”

        กีรติที่ยังคงไม่ถอยออกมาเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างลังเล เขาเห็นความหวั่นไหววูบหนึ่งในดวงตาสีดำเข้มนั่น ทว่าเพียงชั่วครู่มันก็กลับมาเป็นเย็นชาตามเดิม

        “ถ้าผมจะทำแบบนั้น คุณจะว่ายังไงล่ะ...คุณกีรติ”

        เรนบอกพร้อมกับขยับกายเข้ามาประชิดร่างของกีรติจนริวที่มองอยู่กัดฟันกรอด พร้อมกับร่ายอาคมเตรียมจู่โจมอีกฝ่าย ทว่าก็ต้องชะงัก เมื่อกีรติขยับมาขวางหน้าของเรนเอาไว้

        “คุณทำบ้าอะไรน่ะกีรติ!”

        ริวเผลอตวาดใส่ด้วยความหงุดหงิด ทว่ากีรตินั้นกลับมีสีหน้าซีดเผือด ชายหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบตั้งแต่บริเวณนิ้วซ้ายที่เจ็บตอนจับมือกับเรน และค่อย ๆ เริ่มลามขึ้นมาจนทั่วร่าง   

        “มะ..ไม่ใช่นะครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะขวางทาง แต่ขามันขยับไปเอง”

        คำพูดและสีหน้าของอีกฝ่าย ทำให้ริวถึงกับนิ่งอึ้ง ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ก่อนจะตวัดสายตาไปยังอีกคนที่อยู่ข้างหลังกีรติ แล้วตะคอกใส่อีกฝ่ายเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยความฉุนเฉียวอย่างลืมตัว

       “นายใช้อาคมบังคับเขาอย่างนั้นหรือเรน!”   

        เรนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยตอบพี่ชายของเขาด้วยน้ำเสียงอันดังชัดเจน ในภาษาเดียวกัน

       “ถูกแล้วครับ ผมฉีดพิษของ ‘คุไร’ เข้าไปในตัวเขา ...ตอนนี้เขากลายเป็นหุ่นเชิดของผมเรียบร้อย ...คุณคงเข้าใจความหมายนั่นดีสินะ คุณริว”

        ริวกำหมัดแน่นตัวสั่นเทิ้ม เขาโกรธทั้งเรนที่จับตัวกีรติเป็นตัวประกัน และโกรธตัวเขาเองที่เผลอประมาทให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ว่ากีรตินั้นเป็นคนพิเศษ   ชายหนุ่มมั่นใจว่าเรนจะต้องลอบส่งชิกิงามิขนาดเล็กเข้ามาในหมู่บ้านนี้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว  เพราะถึงแม้ฝีมือเรื่องต่อสู้ของเรนจะแพ้เขาก็จริง ทว่าเรื่องการสอดแนมหาข่าวนั้น เรนเหนือกว่าเขาและทุกคนในตระกูลมากนัก

     “หึ! คงโกรธเกลียดผมมากสินะคุณริว ...แต่เพราะคุณนั่นล่ะที่บังคับให้ผมต้องเลือกวิธีนี้เอง”     

        เสียงพึมพำซึ่งดังจากด้านหลังทำให้กีรติชะงัก เขาไม่อาจล่วงรู้ได้ว่านิสัยใจคอของเรนเป็นเช่นไร ทว่าน้ำเสียงที่เขาได้ยินนั้นกลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอย่างน่าประหลาด

       “ชิโระ! ออกมา!”

        ขาดคำของริว จิ้งจอกสีขาวตัวขนาดพอกับเสือโคร่งโตเต็มวัย ซึ่งมีบรรยากาศดุดันผิดจากที่กีรติเคยได้เห็น ก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าของริว โดยชายหนุ่มนั้นตั้งใจให้สัตว์อสูรของเขาชิงตัวกีรติกลับมา ส่วนตัวเขาก็คิดจะสู้ตัดสินกับน้องชายต่างมารดา ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเสียที

       “ชิโระอย่างนั้นหรือ ช่วยไม่ได้นะ...ฝากด้วยแล้วกัน คุไร!”

        เรนเอ่ยพร้อมยกมือข้างที่สวมแหวนขึ้น ฉับพลันแหวนงูดำก็เริ่มคลายเกลียวออกพร้อมกับพุ่งไปด้านหน้า พลางขยายร่างกลายเป็นงูยักษ์ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวร่วมเมตร และมีความยาวถึงสิบกว่าเมตรเลยทีเดียว

       “เฮอะ! ไม่ได้เจอกันนานนะเจ้างูน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำตามเจ้านาย จนถึงกับใช้วิธีสกปรกจับคนเป็นตัวประกันได้แบบนี้!”

        จิ้งจอกขาวตวาดใส่งูยักษ์ตรงหน้าแล้วยังพาดพิงไปถึงเรนที่อยู่ด้านหลังคุไรอีกด้วย

      “หึ...สกปรกอย่างนั้นหรือ”

        งูยักษ์สีดำคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ นัยน์ตาสีแดงเลือดวาวโรจน์ด้วยความโกรธ พร้อมกับสะบัดหางฟาดไปยังตำแหน่งที่จิ้งจอกขาวยืนอยู่

       “คนที่ทิ้งภาระทุกอย่างไว้ให้เรนแบกรับ แล้วหนีมาอยู่อย่างสุขสบายอย่างพวกแก ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์การกระทำของเรนหรอกนะ เจ้าจิ้งจอกเฒ่า!”

        ชิโระกระโดดหลบได้อย่างหวุดหวิด ส่วนริวนั้นชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน เขามองไปทางเรนก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเจ็บปวดให้เห็นวูบหนึ่ง แล้วจึงกลับมาเป็นเย็นชาอีกครั้ง

        “ผมไม่คิดสู้ตัดสินกับคุณอย่างที่คุณต้องการทำหรอกนะคุณริว ...เพราะผมรู้ตัวดีว่าต่อให้สู้ไป ก็ไม่มีทางชนะคุณได้แน่”

        เรนบอกพร้อมกับเดินเข้ามายืนใกล้กับกีรติ แล้วจึงร่ายอาคมเสกอาวุธเป็นมีดน้ำแข็งเล่มหนึ่งส่งให้ ซึ่งคนที่ถูกควบคุมร่างก็รับมันมาจ่อที่คอของตนเองเอาไว้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

       “ผมจะให้คุณได้เลือก ระหว่างชีวิตของผู้ชายคนนี้ และการกลับไปเป็นผู้นำตระกูลยูกิมูระอีกครั้ง!”

        เรนบอกกับพี่ชายต่างมารดาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ส่วนริวนั้นพอได้ยินก็ต้องกัดฟันกรอดกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ทางด้านชิโระที่ตั้งใจจะไปช่วยกีรติก็ถูกคุไรขวางทางเอาไว้   

        “เอ๋...เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ เฮ้ย! กีรติ ไหงเอามีดจี้คอตัวเองแบบนั้นน่ะ!”

        ลีที่วิ่งออกจากบ้านตามเสียงโครมครามมา ถึงกับเบิกตากว้างและโพล่งดังลั่นอย่างตกใจ ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่กับบ้านในช่วงกลางวันก็ต่างเริ่มออกทยอยมาล้อมรอบดูอยู่ห่าง ๆ กันบ้างแล้ว

      “บอกพวกนั้นด้วยนะครับคุณริว ว่าถ้าไม่อยากให้มนุษย์คนนี้เป็นอะไรไป ก็อย่าได้คิดเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างพวกเราเด็ดขาด”

        เรนยังคงใจเย็นไม่ได้ตื่นตระหนกอันใด ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่า แต่ละคนในหมู่บ้านนี้ล้วนแล้วแต่เป็นภูตผีปีศาจ หรือไม่ก็คนที่มีฝีมือไม่ธรรมดากันแทบทั้งนั้น

        “ปล่อยกีรติเดี๋ยวนี้นะ! ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นน้องชายของริว พวกเราก็ไม่ไว้หน้าแน่!”

        เสียงของแฟนธอมที่แหวกฝูงชนเข้ามาดังลั่นขึ้น แม้จะไร้พลังพิเศษดังเช่นปีศาจทั่วไป ทว่าบรรยากาศดุดันยามเจ้าตัวโกรธ ก็ทำให้ปีศาจแถวนั้นบางตน ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเลยทีเดียว

        “ผมปล่อยเขาแน่...ถ้าคุณริวยอมทำตามเงื่อนไขที่ผมเสนอไปล่ะนะ”

        เรนบอกกับแฟนธอมเป็นภาษาไทยด้วยใบหน้านิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน ทำให้คนฟังกัดฟันกรอดและเตรียมจะเดินเข้ามาหาด้วยความโมโห โดยที่เจอรัลด์ซึ่งตามหลังแฟนธอมมาติด ๆ ต้องรีบคว้าแขนของชายหนุ่มห้ามเอาไว้ เพราะเห็นกีรติเริ่มขยับมีดที่จ่อคอ ให้ปลายแหลมกดลงหนักขึ้น จนเลือดสีแดงนั้นไหลซึมออกมาเล็กน้อย

       “หยุดนะเรน! พอได้แล้ว! ถ้าแค้นนักก็มาลงที่ฉันสิ ดึงคนอื่นมาเกี่ยวข้องทำไมกันเล่า!”

        ริวตวาดลั่นด้วยความโมโหที่ตนไม่สามารถช่วยเหลือกีรติในยามนี้ได้เลย

      “แค้นอย่างนั้นหรือ...คุณนี่มันไม่เคยเข้าใจอะไรเลยนะคุณริว”

        เรนพึมพำแผ่วเบา สีหน้าเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดให้เห็น จนริวถึงกับชะงัก ส่วนคุไรที่เหลือบมามองเจ้านายของตน หันขวับไปทางริว แล้วคำรามขู่ลั่นด้วยความโมโหแทนอีกฝ่าย

       “คุณริว! นอกจากจะเห็นแก่ตัวแล้ว คุณยังใจดำเหลือเกิน...ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันที่ญี่ปุ่น คุณไม่เคยได้รับรู้เลยสินะว่าเรนคิดยังไงกับคุณกันแน่ ...เรนน่ะหวังดีกับคุณยิ่งกว่าใครที่นั่นทั้งนั้น!”

       “หยุดพูดได้แล้ว คุไร!”

        เรนตวาดลั่นด้วยความลืมตัว ก่อนจะชะงักและพยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติดังเดิม

      “เลิกพูดไร้สาระกันได้แล้ว...ผมให้เวลาคุณหนึ่งนาที เลือกเอาระหว่างชีวิตของเขากับอิสระของคุณ!”

        เรนตัดบทแล้วยืนประกบติดกับกีรติชนิดไม่ยอมเปิดโอกาสให้ใครหน้าไหนเข้ามาช่วยชายหนุ่มได้ทั้งนั้น

      “ริว! อย่ายอมนะ! กีรติน่ะ ฉันจะช่วยให้ได้เอง!”

        ชิโระตะโกนลั่นแล้วเตรียมจะพุ่งไปหากีรติทว่าก็ถูกคุไรพุ่งฉกมารัดร่างของเขาเอาไว้เสียก่อน หากแต่จิ้งจอกขาวก็ไม่ยอมแพ้และอ้าปากขย้ำฝังเขี้ยวลึกเอาไว้ที่ลำตัวของงูยักษ์สีดำเต็มแรง แล้วจึงกระชากเนื้ออีกฝ่ายขึ้นมา

      “ถ้านายไม่ปล่อย ฉันจะกัดให้ตัวนายขาดสองท่อนเลยทีเดียว คุไร!”

        จิ้งจอกขาวคำรามลั่น หากแต่งูยักษ์ก็ไม่ยอมคลายรัดออก แม้ว่าอีกฝ่ายจะกัดขย้ำย้ำแผลเดิมลงไปอีกครั้งก็ตาม

      “ไม่มีวัน...ต่อให้ตายก็ไม่มีทางให้ใครทำอะไรเรนได้เด็ดขาด!”

        ความภักดีของคุไร ทำให้จิ้งจอกขาวต้องชะงักการโจมตีด้วยความสับสน  เพราะจริง ๆ แล้วแม้ว่าเขาและอีกฝ่ายจะถือเป็นคู่ปรับกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่ญี่ปุ่น หากแต่ก็เพียงแค่การปะทะคารมเล็กน้อยและประลองฝีมือกันนิดหน่อย โดยต่างไม่เคยคิดเข่นฆ่าทำลายกันเลยสักนิด เพราะล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์ทายาทของตระกูลยูกิมูระเช่นเดียวกันนั่นเอง

       “พอเถอะชิโระ...หยุดสักที ไม่ต้องสู้กันอีกแล้ว”

           ริวบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง คำพูดของคุไรเรียกสติเขากลับคืนมา และทำให้ได้สำนึกว่า ตลอดเวลาที่เขาทำหน้าที่ผู้นำแทนบิดาซึ่งล่วงลับไปแล้ว คนเดียวที่คอยเป็นห่วงและช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของเขามาตลอดโดยไม่เคยปริปากบ่น ก็คือน้องชายต่างมารดาผู้นี้  และเป็นเขาเองที่ไม่เคยใส่ใจต่อความห่วงใยนั้นแม้แต่น้อย หนำซ้ำเพราะความโกรธเกลียดและผิดหวังในตัวผู้คนรอบด้าน ทำให้เขาเผลอเหมารวมเรนเป็นพวกเดียวกับคนอื่น ๆ ในตระกูล ที่ต่างเห็นเขาเป็นเพียงเครื่องมือหาเงินและสร้างชื่อเสียงให้พวกตนเท่านั้นอีกด้วย 

      “ฉันจะกลับไปพร้อมนายเองเรน...เพราะฉะนั้นนายก็ปล่อยกีรติได้แล้วล่ะ”

        สีหน้าและแววตาของริวยามนี้ ทำให้เรนถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาควรจะยินดีที่จะได้รับอิสระจากภาระซึ่งต้องแบกรับแทนมานานสักที หากแต่ความรู้สึกที่เขากำลังสัมผัสอยู่ กลับกลายเป็นความเจ็บปวดราวใจสลาย ยิ่งกว่าตอนที่ได้รู้ว่าริวทิ้งตำแหน่งหนีจากตระกูลไปโดยไม่บอกเขาเสียอีก



        “ไม่เข้าใจเลย...ทั้ง ๆ ที่คุณริวไม่ต้องการเป็นผู้นำตระกูล จนต้องหนีจากญี่ปุ่นมา...ส่วนคุณเรนเองก็ไม่ได้นึกอยากเป็นผู้นำของตระกูลเลยสักนิด ...แล้วทำไมทั้งคู่ถึงต้องกลับไปที่นั่นอีกด้วยล่ะ... ที่นั่นมีความสำคัญกับพวกคุณขนาดนั้นเลยหรือครับ...สถานที่ซึ่งทำให้คุณริวมีสีหน้าเจ็บปวดขนาดนั้น และทำให้คุณเรนต้องมีน้ำเสียงที่เจ็บปวดถึงเพียงนี้น่ะ…”

         คำพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของกีรติที่ยังคงถูกควบคุมร่าง ทำให้สองพี่น้องชะงักนิ่ง ส่วนสัตว์อสูรทั้งสองเองก็ไร้ซึ่งคำพูดโต้ตอบ คุไรคลายรัดของตนให้ชิโระเป็นอิสระ แล้วจึงหันไปทางผู้เป็นเจ้านายของเขา

        “เรน...ถูกของเด็กคนนั้น ถ้ายังไงเรนหนีมาหลบอยู่กับริวที่นี่...”

        “ไม่มีทาง! ไม่ว่ายังไงก็หนีพวกนั้นไม่พ้นแน่...พวกนั้นจะตามรังควานเราไปทุกที่...ถึงต่อให้ป้องกันตัวเองได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันคนสำคัญได้หมดทุกคนหรอกนะ...”

        เรนโพล่งขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ทำให้แต่ละคนในที่นั้นเงียบกริบ แม้บางคนจะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่พวกเขาสนทนากัน แต่จากสีหน้าที่เจ็บปวดของเรนและคำพูดเมื่อครู่ของกีรติ ก็เพียงพอที่จะทำให้รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ในยามนี้เป็นอย่างดี

        “ตระกูลยูกิมูระของพวกคุณ มีอิทธิพลมากขนาดไหนหรือครับ”         

        เสียงที่จู่ ๆ ก็ดังขัดขึ้น นั่นคือเสียงของเวธน์ที่เดินแหวกฝูงชนเข้ามาหาพร้อมกรกฎและปาลิน  ชายหนุ่มนั้นอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ดี จึงเข้าใจในสิ่งที่เรนพูดมาเมื่อครู่ทั้งหมด

        “คุณเวธน์...”

        ริวเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างแปลกใจต่อคำถามนั้น ก่อนจะชะงักตามมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเองก็ค่อนข้างมาจากตระกูลใหญ่โตและมีอิทธิพลในประเทศไทยเช่นกัน

        “ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ...ต่อให้ทางบ้านของคุณและคุณกรกฎรวมตัวกันข่มขู่ ก็คงห้ามปรามไม่ให้ทางนั้นยุ่งได้ลำบาก เพราะพวกเขาไม่ได้ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศกับทางไทย ...หรือถึงจะขัดขวางไม่ให้เข้ามายุ่งวุ่นวายในไทยได้บ้าง ...แต่ทางนั้นคงไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ และคงจะหาวิธีนอกกฎหมายมาจู่โจมเรื่อย ๆ แน่นอนครับ”

        คำตอบของริวที่พอจะคาดเดาเจตนาของเวธน์ได้ ทำให้คนฟังต้องถอนหายใจยาว ส่วนกรกฎและปาลินก็นิ่งคิดทบทวนว่า พอจะมีญาติพี่น้องคนใดรู้จักกับผู้มีอิทธิพลของทางญี่ปุ่นบ้าง

        “ขอบคุณนะครับที่เต็มใจช่วย ...แต่ผมตัดสินใจลงไปแล้วล่ะครับ”

        ริวพึมพำด้วยความตื้นตันใจ เพราะไม่เพียงแค่พวกเวธน์ แต่ชาวบ้านแต่ละคนก็พากันหันหน้าปรึกษา ว่าจะช่วยเหลือพวกเขาพี่น้องได้อย่างไรบ้าง

        “ผมจะกลับไปที่นั่น เพื่อชดเชยเรื่องที่ผมเห็นแก่ตัว และทำให้น้องชายคนเดียวต้องมาลำบากเพราะผมเป็นต้นเหตุ...”

        เรนยังคงยืนนิ่งเงียบ ทว่าหยาดน้ำใสที่ไหลรินออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองข้าง ก็ทำให้ทุกคนที่มองอยู่นึกเวทนา และเมื่อริวเดินเข้ามาใกล้ เรนนั้นกลับไม่ได้โต้ตอบอะไร หากแต่ยอมอยู่เฉยให้ริวสลายมีดอาคมที่เขาสร้างขึ้น และช่วยเหลือกีรติให้มีอิสระดังเดิม

        “ขอโทษนะกีรติ ที่ผมมีส่วนดึงคุณเข้ามาให้พบกับเรื่องอันตรายแบบนี้อีกครั้งจนได้”

        ริวยิ้มเศร้า ๆ ให้ชายหนุ่ม แล้วเดินผ่านร่างของกีรติไปบีบบ่าของเรนแผ่วเบาอย่างปลอบโยน

       “ฉันจะกลับไปที่นั่นเอง...นายกับคุไรก็อยู่เสียซะที่นี่เถอะนะ”

        เรนชะงักแล้วจึงสั่นศีรษะปฏิเสธทันที

        “ไม่ครับ ผมจะไปกับคุณด้วย ...ผมจะไม่ปล่อยให้คุณไปเผชิญกับความเห็นแก่ตัวของคนที่นั่นคนเดียวหรอกครับ”

        ริวจ้องมองคนตรงหน้าอย่างรู้สึกผิดยิ่งขึ้น เพราะความที่เขากำพร้ามารดามาแต่เล็ก และยังถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและอยู่เหนือทุกคนในตระกูล จึงทำให้เขาเก็บซ่อนความอ่อนโยน และเลือกที่จะสวมหน้ากากเย็นชาเผชิญหน้ากับทุกคนในตระกูลเสมอ

         ทว่าถึงแม้เขาจะเป็นเช่นนั้น แต่เรนซึ่งเกิดจากภรรยาคนที่สองของบิดา ก็ยังคงให้ความเคารพและเชื่อฟังเขาเสมอมา หากแต่เขากลับไม่เคยแสดงออกถึงความรักแบบพี่น้องต่ออีกฝ่ายเลยสักครั้ง แม้กระทั่งตอนที่มารดาของเรนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เขาก็ไม่สามารถปลอบโยนให้อีกฝ่ายคลายเศร้าได้  ทว่าแม้เขาจะทำตัวเย็นชาโหดร้ายไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากเรนก็ยังคงมีแต่ความหวังดีและพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม

       “ฉัน...ไม่สิ...พี่ขอโทษนะเรน...ขอโทษในทุก ๆ สิ่งที่ผ่านมา”

        เรนนิ่งอึ้งมองคนตรงหน้าเขาอย่างตกตะลึง และก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อผู้เป็นพี่โอบกอดเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

        “คุณริว...พี่ครับ”

        เรนสะอื้นพลางกอดอีกฝ่ายตอบ ความสัมพันธ์ของพี่น้องทำให้คนมองทั้งยินดีและสะเทือนใจคละเคล้ากันไป เพราะถึงแม้จะเข้าใจกันได้แล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังคงต้องกลับไปยังสถานที่ซึ่งพวกเขาไม่ปรารถนาจะอาศัยอยู่แม้แต่น้อย

        “ถ้าเป็นผู้มีอิทธิพลในญี่ปุ่นเป็นคนช่วยเหลือโดยตรง ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาสินะครับ”

        เสียงพึมพำที่ดังขึ้น ทำให้แต่ละคนต่างหันไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว

        “กีรติ...”

        ริวหลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบาอย่างประหลาดใจ เพราะกีรติยามนี้มีสีหน้าเคร่งขรึมผิดเคย แววตาของชายหนุ่มแสดงถึงความมุ่งมั่นในการตัดสินใจกระทำบางอย่างให้คนมองสัมผัสได้ จากนั้นกีรติจึงเดินผ่านสองพี่น้องยูกิมูระเข้าไปในป้อมยามโดยไม่พูดจาอะไรอีก ท่ามกลางสายตางุนงงของแต่ละคนในหมู่บ้านที่ไล่มองตามหลังของอีกฝ่ายไปอย่างไม่วางตา




...TBC...


ความลับใกล้เปิดเผยแล้วนะคะ อาจจะเริ่มเดากันได้แล้วมั้ง หุ ๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 24-09-2013 20:29:38
เอาแล้วไง กีรติของเราจะทำยังไงล่ะเนี่ย
พ่อหรือคนรู้จักเป็นผู้มีอิทธิพลที่ญี่ปุ่นงั้น
ไม่อยากจะเดามาก เดี๋ยวมันผิด อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 24-09-2013 20:43:13
อยากรู้จังว่ากีรติเป็นใคร
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Thyme103 ที่ 24-09-2013 21:03:45
กี ความลับเยอะนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 24-09-2013 21:07:23
ความลับของกีรติจะเปิดเผยแล้วสินะ

ลุ้นตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 24-09-2013 21:11:12
กีรติ นายเป็นใครกันแน่ๆๆๆๆๆ   :a5:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-09-2013 21:15:54
สรุปว่าปีศาจทั้งหลายในหมู่บ้าน ดูเป็นคนปกติไปเลยเมื่อเทียบคนจริงๆ ในเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-09-2013 21:39:02
หนูกีเป็นลูกเจ้าพ่อเรอะะะะะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: netthip ที่ 24-09-2013 21:45:22
อยากอ่านต่ออออออออ
มันแน่นอกกก :ling1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 24-09-2013 22:41:55
กีรติอาจจะเป็นทายาทขององค์กรณ์ใหญ่ที่ลึกลับมาก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 24-09-2013 22:56:35
อ่านๆไป  จิ้นคู่พี่น้องริวเรนได้ไงไม่รู้  555

รออ่านว่าผูู้มีอิทธิพลในญี่ปุ่นที่จะช่วยเรนริวได้

เกี่ยวข้องกับหนูกียังไง

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 25-09-2013 00:19:12
กีรติจะออกโรงแล้ว
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 25-09-2013 10:39:06
เรื่องนี้ หนูกีจะออกโรงเองแล้วจ้าาาา

ทำไมแอบจิ้นริวเรียว แต่เค้าเป็นพี่น้องกันนะ ฮ่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 15 - 16 (24/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 25-09-2013 12:26:12
น้องกี เป็นคนสำคัญที่ต้องปกป้องใช่ไหม???
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 25-09-2013 18:43:12
ใกล้แล้ว...ใกล้ทันต้นฉบับแล้ว และนั่นก็หมายถึงว่า จะโพสติด ๆ กันแบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ  :mew2:

ยังไงก็พยายามจะปั่นตอนปัจจุบันให้ขยับก้าวหน้าไปให้ไวที่สุด แต่ช่วงนี้เครียดโน่นนี่หลายอย่าง เลยเขียนไม่ได้ดั่งใจ เขียนไป ลบไป เป็นตอน ๆ ไม่ได้คืบหน้าสักที -- (แต่ตอนนี้เริ่มขยับก้าวหน้าไปหน่อยแล้วล่ะค่ะ)

ยังไงก็จะพยายามนะคะ เพื่อนักอ่านที่รออ่านอยู่ สู้ ๆ  :katai4:



บทที่ 17
คลี่คลาย



        เมื่อเข้ามาด้านในป้อมยาม กีรติก็ถอนหายใจอีกครั้ง เขาทรุดกายลงนั่งกับพื้นเพื่อหลบสายตาของคนด้านนอก พลางหยิบโทรศัพท์มือถือที่แทบไม่เคยได้ใช้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเปิดเบอร์หนึ่งขึ้นมา เจ้าตัวเม้มปากน้อย ๆ ก่อนตัดสินใจติดต่อกับเบอร์นั้นในที่สุด

       “...คี! เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม! อาดีใจที่หลานโทรมานะ…คี? ทำไมเงียบไปล่ะ หลานยังฟังอยู่ใช่ไหม”

        ภาษาท้องถิ่นซึ่งแสนคุ้นเคย ทำให้กีรติที่ยังคงเงียบอยู่มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ชั่วครู่ แล้วจึงพยายามข่มความคิดถึงที่มี ก่อนพูดคุยกับปลายสายอย่างตรงประเด็นทันที

       “ท่านอาไรอัน... ผมต้องการความช่วยเหลือจากท่านอาครับ...นอกจากท่านอาแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งพาใครได้อีก”

        พอได้ฟังดังนั้น คนที่อยู่ปลายสายก็พลันชะงัก พลางเอ่ยตามมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างขรึมผิดจากก่อนหน้า

      “เกิดอะไรขึ้นหรือคี...หรือว่ามีคนที่นั่นรู้ตัวจริงของหลานแล้ว”

        กีรติเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงตอบกลับไปเสียงแผ่ว

      “ยังไม่มีหรอกครับ แต่หลังจากนี้อาจจะมีแล้วก็เป็นได้...แต่ผมไม่สนหรอกครับว่าอนาคตข้างหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ผมต้องการช่วยเหลือคนสำคัญของผมครับ... ผมไม่ต้องการเห็นใบหน้าเศร้า ๆ แบบนั้นของเขาอีกแล้ว”

           ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง จนกีรติเป็นกังวล ทว่าพอจะเรียกชื่อผู้เป็นอาอีกครั้ง ทางนั้นก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

      “เรื่องอะไรล่ะที่หลานอยากให้อาช่วย แล้วเร่งด่วนมากหรือเปล่า”

        กีรติลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงเริ่มเล่าเรื่องของสองพี่น้องตระกูลยูกิมูระอย่างคร่าว ๆ ให้ปลายสายรับรู้  ส่วนอเล็กซ์ที่ฟังอยู่เงียบ ๆ นั้น ตอนนี้ก็กำลังเทียบภาษาท้องถิ่นที่กีรติใช้สนทนากับฐานข้อมูลของเขา และตรวจพบได้ว่ามันตรงกับภาษาประจำชาติที่ประเทศเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใช้อยู่

        “...ผมจำได้ว่าสมัยผมยังเด็ก ท่านอาเคยเชิญเพื่อนชาวญี่ปุ่นมาเที่ยวที่ประเทศของพวกเรา และบอกกับผมว่าเขามีอิทธิพลในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ...ผมอยากทราบว่าคน ๆ นั้นในตอนนี้ จะยังสามารถช่วยเหลือพวกคุณริวได้อยู่อีกไหมน่ะครับ”

        พอฟังหลานชายพูดจบ ไรอันก็ชะงักแล้วเผลอหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมา พลางคิดในใจว่าหากเพื่อนสนิทของเขามาได้ยินคำถามนี้เข้า คงจะหลุดทำหน้าแปลก ๆ ให้ได้เห็นเป็นแน่

       “เขาก็ต้องช่วยได้อยู่แล้วล่ะ...รู้ไหมคีโอ ตอนที่หลานเจอเขา หมอนั่นยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลสืบทอดต่อจากพ่อของเขาเลยด้วยซ้ำ แต่แค่ตอนนั้นลำพังตัวเขาก็สามารถทำให้นักการเมืองบางคน หรือพวกแก๊งยากูซ่าใหญ่ ๆ บางแก๊งยอมก้มหัวให้ง่าย ๆ ได้แล้ว”

        คำยืนยันของผู้เป็นอาทำให้กีรติมีรอยยิ้มยินดีปรากฏบนสีหน้าอ่อนเยาว์นั่น ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดช้า ๆ พลางเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าทุกครั้ง

        “ท่านอาครับ...ผมต้องการช่วยพวกเขาสองพี่น้อง ให้เป็นอิสระจากพันธนาการของตระกูลยูกิมูระ นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปครับ!”

        ไรอันยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองอย่างพึงพอใจ ที่หลานชายผู้อ่อนโยนและสุภาพอยู่เสมอ แสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง อย่างที่น้อยครั้งจะมีให้เขาได้เห็น

       “ไม่ต้องห่วงนะคี...อาจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลานและคนสำคัญของหลานเตรียมรอฟังข่าวดีได้เลย”

        กีรติมีรอยยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น พลางเอ่ยขอบคุณปลายสายซ้ำไปมาหลายรอบ และก่อนที่เขาจะตัดการสนทนา ไรอันก็พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้กีรติสะดุ้ง

        “อ้อ! เกือบลืมไป...ไว้หลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อย อาจะหาเวลาว่าง ๆ โทรกลับไปฟังเรื่องคนสำคัญของหลานสักหน่อย...หวังว่าหลานคงยินดีที่จะคุยกับอาด้วยนะ...คีโอ”

        พอฝากข้อความที่ต้องการจบแล้ว ไรอันก็เป็นฝ่ายตัดสายไปก่อน ส่วนกีรตินั้นจ้องมองหน้าจอมือถือด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ เมื่อหวนนึกถึงถ้อยคำที่เขาใช้เรียกริวก่อนหน้านั้น   

        “คนสำคัญอย่างนั้นหรือ...ช่วยไม่ได้นี่นะ...ถ้าไม่อ้างแบบนี้จะช่วยพวกคุณริวได้ยังไงกันล่ะ”

        กีรติพึมพำแก้ต่างให้กับตัวเอง เขาเก็บมือถือเข้ากระเป๋าเสื้อ พลางยันกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะชะงักแล้วส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับหน้าจอนับสิบเบื้องหน้าเขา

        “คุณอเล็กซ์... เอ่อ...จริง ๆ แล้วผมน่ะ ไม่ได้มีสัญชาติไทยหรอกครับ...และผมคิดว่าเท่าที่คุณได้ยินผมพูด คุณเองก็คงรู้แล้วสินะครับ ว่าผมมาจากที่ไหน”

        อเล็กซ์เงียบกริบไปครู่ใหญ่ สักพักเสียงของ AI ประจำป้อมจึงดังขึ้น ทว่ากลับไม่ใช่เสียงสนทนาที่ผ่านจากลำโพงนอกป้อมยามตามปกติ หากแต่เป็นเสียงที่ดังผ่านลำโพงภายในป้อม ซึ่งจะทำให้คนที่อยู่ข้างนอกไม่มีโอกาสได้ยินเสียงสนทนาโต้ตอบของพวกเขา

         “ครับ...ผมทราบได้จากการเทียบบทสนทนาของคุณกับข้อมูลภาษาที่ผมมี ... แต่ผมตัดสินใจแล้วว่า หากไม่ใช่คำสั่งของมาสเตอร์โดยตรง ผมก็จะไม่เปิดเผยข้อมูลนี้กับใครอย่างแน่นอน”         

         กีรติชะงักและรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกไปชั่วครู่ จากนั้นสักพักชายหนุ่มจึงเริ่มปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ และเอ่ยตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยใบหน้าระบายยิ้มเปี่ยมสุข

        “ขอบคุณมากนะครับ คุณอเล็กซ์”         

        จากนั้นกีรติจึงหันไปมองด้านนอกอย่างลังเล และเหมือนอเล็กซ์จะเข้าใจถึงความกังวลของกีรติเป็นอย่างดี   AI ประจำป้อมจึงพูดให้กำลังใจอีกฝ่าย โดยทำทีเป็นเสนอความคิดเห็นของตนบ้าง

        “ผมขอเสนอให้คุณรีบออกไปชี้แจงในสิ่งที่พอจะอธิบายได้ให้คนด้านนอกรับฟังไว้ดีกว่าครับ ...ผมมั่นใจว่า ถ้าคุณไม่พร้อมจะบอก ทุกคนในที่นี้ก็คงไม่มีใครเคี่ยวเข็ญให้คุณบอกหรอกครับ”

        กีรตินิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้าค่อย ๆ จากนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจเปิดประตูป้อมยามออกไปด้านนอก  แต่พอเขาได้เห็นสายตาสงสัยระคนพิศวงของทุกคนที่จ้องมองมา ชายหนุ่มก็ต้องชะงักมือค้างไว้และมีสีหน้าในแบบที่ทำให้คนมองมาพากันนิ่งอึ้ง ทว่าหลังจากนั้นไม่นานนัก กีรติก็ต้องพบกับความแปลกใจ เมื่อแต่ละคนที่มองมายังเขา ล้วนแล้วแต่มีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏให้เห็นกันถ้วนหน้า   

        “ได้ความว่ายังไงบ้างล่ะกี! เห็นว่าจะหาคนช่วยพวกริวไม่ใช่หรือ แล้วช่วยได้หรือยังล่ะ!”

        เสียงของลีโพล่งขึ้นอย่างร่าเริงเป็นคนแรก จากนั้นคนอื่น ๆ จึงต่างเข้ามารุมล้อมสอบถามกันยกใหญ่ ทว่าระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน ไม่มีใครเลยที่จะคาดคั้นเรื่องส่วนตัวลึก ๆ ให้กีรติเกิดความไม่สบายใจ  ทำเอาชายหนุ่มร่างเล็กรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน จนพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ

 

        อีกด้านหนึ่ง เจอรัลด์ซึ่งยืนอยู่ห่างออกไป กำลังเฝ้ามองเพื่อนร่วมหมู่บ้านที่รุมล้อมกีรติ แล้วจึงหันมาบอกกับชายสวมหน้ากากข้างกายเขา ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และไม่ได้มีวี่แววขุ่นเคืองให้เห็นแต่อย่างใด

        “คุณแฟนธอม รู้ไหมครับว่านี่เป็นครั้งแรก ที่อเล็กซ์ไม่ยอมรายงานผม ทั้งที่น่าจะรู้เรื่องทุกอย่างในป้อมยามนั่นดีแล้วน่ะ”

        “อเล็กซ์คงถูกใจกีรติพอสมควรนั่นล่ะ...เจ้าคอมพิวเตอร์ต๊องนั่น นับวันก็ยิ่งเหมือนมนุษย์ขึ้นไปทุกทีล่ะนะ”

        แฟนธอมพึมพำตอบด้วยน้ำเสียงซึ่งแสดงถึงความเอ็นดูในตัว AI ประจำป้อม ทำเอาคนที่สนทนาด้วยถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง แล้วเอ่ยโพล่งตามมาด้วยความหึงหวง

        “ไม่ได้นะครับ! ถึงนิสัยจะคล้ายกับผมแค่ไหน แต่อเล็กซ์ก็ไม่ใช่ผมสักหน่อย ดังนั้นคุณแฟนธอมห้ามไปตกหลุมรักเขานะครับ!”

        แฟนธอมชะงัก แล้วหันขวับไปมองคนขี้หึงข้าง ๆ อย่างนึกฉุนปนเขินเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันจะพูดอะไร เขาก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงพึมพำคุ้นเคยจากด้านหลังของเขาเสียก่อน

        “แหม ๆ หึงหวงกันแบบนี้ แสดงว่าคบกันแล้วสินะ...ยังไม่มีใครรู้ข่าวใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันก็เป็นคนแรกล่ะสิ”

        แฟนธอมรีบหันกลับไปมอง พร้อมกับตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลืมตัวด้วยความตกใจ

        “คุณปัณณ์!”

        เสียงของแฟนธอมนั้นดังไม่ใช่น้อย ทำเอาแต่ละคนที่รุมล้อมกีรติต่างหันขวับมาสนใจอีกด้านแทน ปัณณ์จึงถือโอกาสนี้ตะโกนบอกในสิ่งที่เขาอยากให้ทุกคนรับรู้ทันที

        “นี่พวกเรา! ฉันมีข่าวดี ข่าวเด็ดมาบอก! ตอนนี้แฟนธอมกับเจอรัลด์ตัดสินใจคบกันเรียบร้อยแล้วนะ!  อ๊ะ! จริงสิ! ตกลงนายอยู่บนหรือล่างล่ะแฟนธอม?”

        ขาดคำของปัณณ์ทุกคนในที่นั้น ยกเว้นเรน ริว และพวกเวธน์ ต่างพากันสะดุ้งเฮือก แล้วตะโกนห้ามขึ้นแทบจะเป็นเสียงเดียว

         “เฮ้ย! หยุดนะปัณณ์!”

        แน่นอนว่าคำห้ามนั้นมันหาได้ก่อเกิดประโยชน์อันใดเลยสักนิด เพราะยามนี้แฟนธอมรู้สึกอับอายและโมโหมากเป็นที่สุด เขาหันขวับไปทางเจอรัลด์แล้วเตรียมจะพูดบางอย่างที่อีกฝ่ายคาดเดาได้ว่ามันต้องไม่น่าใช่เรื่องดีแน่ นักประดิษฐ์หนุ่มจึงรีบคุกเข่าลงแล้วก้มหัวขอโทษตัดหน้าเสียก่อนอย่างรวดเร็ว

        “ขอโทษนะครับคุณแฟนธอม!  อย่าโกรธผมเลยนะครับ! อภัยให้ผมเถอะนะครับ!”

        พอเจอแบบนี้ แฟนธอมก็ถึงกับยืนอึ้ง เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ สักพักใบหน้าใต้หน้ากากนั้นก็ยิ่งแดงหนักด้วยความอายมากกว่าเดิม ทว่าความฉุนเฉียวที่มีกลับลดลง เจ้าตัวทำเป็นกระแอมเบา ๆ แก้เขิน แล้วโพล่งใส่เสียงห้วนแทน

        “เฮอะ! งี่เง่าน่า! ฉันไม่ใช่คนใจแคบที่จะโกรธใครด้วยเรื่องพวกนี้สักหน่อย...แล้วเรื่องคบหากันก็เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย ทำไมฉันจะต้องอายด้วยล่ะ!”

        คนอื่นในหมู่บ้านต่างพากันอมยิ้ม เมื่อเห็นแฟนธอมนั้นเอ่ยปากยอมรับด้วยตัวเอง ทั้งที่เจ้าตัวเขินหนักจนหูขาว ๆ นั่นแดงก่ำจนทุกคนเห็นได้ชัดก็ตาม

        “เห็นไหมล่ะ! ข่าวของฉันถูกต้องจริง ๆ ใช่ไหม!  อ๊ะ! แล้วเรื่องอยู่บนหรือ...”

        สมาชิกหมู่บ้านสามสี่คนที่อยู่ใกล้ปัณณ์ ต่างรีบตะครุบปิดปากไม่ให้นักเขียนหนุ่มพูดต่อ แล้วจึงช่วยกันลากอีกฝ่ายไปให้ห่าง ๆ พวกแฟนธอมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สร้างความโล่งอกให้คนอื่นที่เหลือกันถ้วนหน้า

        “คุณแฟนธอมไม่โกรธผมจริง ๆ นะครับ”

        เจอรัลด์เงยหน้ามองคนที่เขาหลงรักหมดหัวใจด้วยสายตาออดอ้อน  ทำเอาแฟนธอมยิ่งเขินเข้าไปใหญ่  แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงหลุดหัวเราะจากใครบางคนดังแว่วเข้าหู

        “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนล่ะ!”

        แฟนธอมกระแทกเสียงใส่อย่างฉุนปนเขิน เพราะพอหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ก็เห็นเวธน์กำลังกลั้นหัวเราะอยู่ด้านหลังกรกฎ  แต่พอหันกลับมาเห็นเจอรัลด์ที่หน้าเสียเพราะกลัวว่าจะถูกโกรธอีกรอบ ชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วตัดสินใจยื่นมือส่งไปให้อีกฝ่าย

        “ลุกได้แล้ว! ฉันไปนอนพักบ้านนายดีกว่า ขืนนอนที่สำนักงานนั่น เดี๋ยวจะมีนายจ้างโรคจิตคอยตามมาแกล้งแหย่เข้าให้อีก!”

        แฟนธอมแกล้งพูดประชดเวธน์ ทว่าเจอรัลด์พอได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเบิกตากว้าง พลางรีบจับมืออีกฝ่ายหมับและยันกายขึ้นลุกยืน จูงกึ่งลากแฟนธอมกลับบ้านพักของเขา เนื่องจากกลัวเจ้าตัวเปลี่ยนใจนั่นเอง



         อีกด้านหนึ่ง ริวที่มองเหตุการณ์วุ่นวายของคู่รักคู่ใหม่ประจำหมู่บ้าน ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับบนใบหน้าคมคายนั่น ทำให้เรนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ และหันมาเห็นเข้าพอดีหลุดชะงักเล็กน้อย พลางก้มลงมองพื้นด้วยความรู้สึกผิด ที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยคิดจะพรากความสุขในชีวิตไปจากพี่ชายของเขา

        “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเรน ...ทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดีแน่ ผมให้สัญญา”

        กีรติซึ่งมองทั้งคู่อยู่เอ่ยปลอบโยนพร้อมรอยยิ้ม ทำให้เรนเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างนึกสงสัย เพราะทั้งเขาและทุกคนก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบจากกีรติอย่างชัดเจน เกี่ยวกับเรื่องที่ชายหนุ่มเสนอตัวช่วยก่อนหน้านั้น

        “คนรู้จักของคุณที่อยู่ญี่ปุ่น คือใครกันหรือครับ”

        คำถามของเรน เรียกความสนใจของทุกคนกลับมาที่กีรติอีกครั้ง ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจแผ่วเบา แล้วจึงยิ้มเจื่อนส่งให้คนถาม

        “อย่าเรียกว่าคนรู้จักของผมเลยครับ เรียกว่าเป็นคนรู้จักของอาผมจะถูกกว่า ...พวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียน และเท่าที่ผมเคยได้ยินมา อาบอกว่าตระกูลของผู้ชายคนนั้น ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อประเทศญี่ปุ่นอยู่มากทีเดียว”

        คำตอบของกีรติยิ่งสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับแต่ละคนที่ฟังอยู่ยิ่งนัก พวกเขาไม่ได้ซักถามต่อ หากแต่ส่งสายตากดดันจนชายหนุ่มร่างเล็กต้องถอนหายใจรอบสอง ทว่าพอจะเล่าให้ทุกคนฟัง เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

        “หือ...”

        กีรติหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเบอร์ที่โทรเข้า ขมวดคิ้วยุ่งอย่างนึกแปลกใจ เพราะเบอร์ที่โชว์บนจอมือถือนั้น ดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย

        “เอ่อ... Hello, this is Kirati speaking.”

        ชายหนุ่มตัดสินใจพูดรับสายเป็นภาษาอังกฤษ แต่นั่นกลับทำให้คนอื่นที่ไม่รู้ว่าเขาพูดได้หลายภาษา จ้องมองอย่างประหลาดใจไปตาม ๆ กัน

       “สวัสดี...คี นี่คงจะอยู่ในสถานการณ์ที่ทักทายด้วยภาษาประจำชาติไม่ได้อย่างนั้นสินะ”

        เสียงตอบจากปลายสายกลับกลายเป็นเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายที่เขาไม่คุ้นเคย แถมยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกต่างหาก  ทำเอากีรติต้องขมวดคิ้วยุ่ง ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเบิกตากว้าง และเผลอทักอีกฝ่ายกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน

         “อ๊ะ...หรือว่าจะเป็น...คุณคาโอรุ!”

        เสียงหัวเราะจากปลายสายดังขึ้นแผ่วเบา แล้วจึงสนทนาต่ออย่างอารมณ์ดีกว่าเดิม

       “ดีใจจังที่ยังจำชื่อกันได้อยู่ ไม่ได้เจอตั้งหลายปี เธอยังคงตัวเล็กน่ารักอยู่เหมือนเดิมไหม”

        “ตัวผมก็ยังไม่สูงไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่นั่นล่ะครับ อ๊ะ...แต่ทำไมคุณถึงเป็นฝ่ายโทรมาเองล่ะครับ...หรือว่าจะช่วยทำตามที่ขอไว้ไม่ได้!”

        กีรติถามกลับไปอย่างตื่นตระหนก โดยไม่ทันสังเกตสายตาสงสัยแกมประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมจากสมาชิกร่วมหมู่บ้าน เมื่อได้เห็นคนเป็นยาม ซึ่งมีประวัติการศึกษาจบเพียงชั้นมัธยมต้น แต่กลับพูดได้หลายภาษาเช่นนี้

         “ฮะ ๆ ใจร้ายจังเลยคี...ทีแรกก็นึกว่าไรอันพูดเล่นเสียอีก เรื่องที่ว่าคีไม่ไว้ใจว่าฉันจะช่วยเหลือเธอได้น่ะ”

        ปลายสายบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทำเอากีรติเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

     “งั้นก็แสดงว่า...”

        “แน่นอน! ระดับผู้นำตระกูลชิรากิอย่างฉันออกโรงเองแบบนี้ ถ้าพลาดก็เสียหน้าแย่น่ะสิ”

        คำพูดที่แว่วออกมาจากมือถือ ทำให้สองพี่น้องยูกิมูระเบิกตากว้าง เพราะคนที่กีรติกำลังสนทนาด้วยนั้น ก็คือ ชิรากิ คาโอรุ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลชิรากิ  ตระกูลผู้มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

       “ทำไมชิรากิ คาโอรุ ถึงได้...”

        เรนพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง หากแต่เขาก็ต้องตกตะลึงซ้ำสอง เมื่อคนขับรถที่มาพร้อมกับเขา เดินแหวกฝ่าฝูงชนในหมู่บ้านเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกไม่แพ้กัน

      “ท่านผู้นำครับ! ท่านชิบาตะต้องการสนทนากับท่านครับ!”

        ชายใส่สูทดำรีบนำมือถือของตนยื่นส่งให้อีกฝ่าย เนื่องจากเรนไม่นิยมพกโทรศัพท์ไว้กับตัว เพราะไม่ต้องการให้ใครมาวุ่นวายโทรตาม และที่สำคัญสมาชิกในตระกูลยูกิมูระนั้น มักจะถนัดฝากข้อความหรือไม่ก็สนทนากัน โดยผ่านการใช้อาคมแทนมากกว่า   

        “ผมเรนพูด ...ชิบาตะซังมีธุระอะไรหรือครับ”

        เรนเอ่ยถามผู้อาวุโสของตระกูล ซึ่งอีกฝ่ายนั้นมีศักดิ์เป็นน้องชายของปู่พวกเขา ทว่าทางด้านปลายสายกลับนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงมีเสียงตอบกลับมาอย่างขุ่นเคือง ทว่าก็ยังแฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่นให้รู้สึกได้อยู่เช่นกัน

       “พวกเจ้าสองพี่น้องไม่ต้องกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว ...พวกเราขอตัดขาดความเป็นตระกูลยูกิมูระกับพวกเจ้า ...ไม่ใช่แค่เพียงตระกูลยูกิมูระเท่านั้น...ตระกูลองเมียวทุกตระกูลในญี่ปุ่นนี่ จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับพวกเจ้าอีกต่อไป ...ฉันต้องการพูดให้พวกเจ้ารับรู้เพียงเท่านี้ล่ะ!”

        เรนยังคงนิ่งอึ้งถือโทรศัพท์ค้างอยู่ครู่ใหญ่ เช่นเดียวกับริวที่มองน้องชายของเขาอย่างตกตะลึง ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่เขาได้รับรู้อยู่นี้เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่

       “เรียบร้อยแล้วจริง ๆ ล่ะครับ คุณคาโอรุ! ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ! บุญคุณครั้งนี้ผมจะต้องตอบแทนแน่นอนครับ!”

        กีรติที่ได้ยินเสียงสนทนาจากโทรศัพท์ของเรน รีบบอกกับปลายสายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี  ทำเอาคนฟังหัวเราะเบา ๆ ก่อนแกล้งพูดหยอกกลับไป

       “หึ ๆ จะตอบแทนอย่างนั้นหรือ งั้นถ้าฉันขอของตอบแทนเป็นริมฝีปากนุ่ม ๆ ของเธอล่ะ จะได้ไหม  หือ...สายเรียกซ้อน ...ไรอันหรอกหรือ...เหอะ! ความรู้สึกไวชะมัด”

         เสียงบ่นพึมพำอย่างเอือมระอาดังขึ้นให้ได้ยิน ก่อนที่เจ้าของเสียงบ่นจะเอ่ยตัดบทการสนทนาตามมา

        “ฉันขอตัวไปคุยกับอาของเธอก่อนดีกว่านะคีโอ ขืนรับช้ากว่านี้ มีหวังโดนซักไม่เลิก ว่าเผลอไปพูดลวนลามอะไรหลานชายของเขาเข้าหรือเปล่ากันแน่น่ะ”

        กีรติยิ้มเจื่อน ๆ แล้วจึงเอ่ยลาพร้อมกับขอบคุณทิ้งท้ายอีกครั้งก่อนจะตัดสายไป  จากนั้นชายหนุ่มจึงหันมามองริวและเรน พลางส่งยิ้มยินดีจากใจจริงให้ทั้งคู่

      “ดีใจด้วยนะครับ ต่อไปนี้พวกคุณก็จะได้มีอิสระ สมกับที่พวกคุณปรารถนามาตลอดสักที”

        ริวเม้มปากแน่นและพยายามควบคุมอารมณ์บางอย่างซึ่งกำลังเกิดขึ้น ทว่าพอเห็นกีรติมีสีหน้าสงสัยและเริ่มกังวลคล้ายเกรงว่าเขาจะไม่พอใจ ชายหนุ่มก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป  จากนั้นริวจึงเลือกทำตามใจปรารถนา เดินตรงเข้ามาสวมกอดกีรติด้วยความตื้นตัน ทำเอาคนถูกกอดสะดุ้งโหยง หน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินแกมตกใจ ทว่าพอเขาได้ยินคำกระซิบขอบคุณจากอีกฝ่าย กีรติก็พลันชะงักเล็กน้อยแล้วจึงมีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนสีหน้าอ่อนเยาว์นั้นแทน

  ...
...
...




หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 25-09-2013 18:43:33
..
..
..
         ภาพเหตุการณ์ที่ริวตรงเข้าสวมกอดกีรติ ทำให้คนอื่นซึ่งอยู่แถวนั้นตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ทว่าสักพักพวกเขาก็เริ่มหลุดยิ้มออกมา หลังจากได้เห็นสีหน้าของคนทั้งสอง ที่ยามนี้ตกอยู่ในภวังค์ส่วนตัวไม่คิดสนใจใครรอบด้าน  บรรดาผู้คนที่อยู่แถวนั้นจึงตัดสินใจแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน คงเหลือแต่เพียงริว กีรติ เรน  สัตว์อสูรทั้งสอง และคนของเรนที่มาจากญี่ปุ่นอีกคนเท่านั้น

       “นายคงได้ยินที่ชิบาตะซังบอกแล้วสินะ”

        เรนส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้อดีตลูกน้องของตน ซึ่งอีกฝ่ายก็รับคืนมาพลางจ้องมองคนตรงหน้าอย่างลังเล

      “ตะ...แต่ ถ้าไม่มีท่านผู้นำแล้ว ตระกูลยูกิมูระก็คง...”

        “...ฉันขอโทษนะที่เห็นแก่ตัวแบบนี้  แต่ฉันอยากอยู่ที่นี่ พร้อมกับพี่ชายคนเดียวของฉันน่ะ”

        เรนตอบคนของเขา แล้วจึงหันไปมองริวซึ่งตอนนี้ได้ผละออกจากคนที่กอดและกำลังยืนเขิน ๆ เช่นเดียวกับกีรติ  ภาพนั้นทำให้เรนหลุดรอยยิ้มอ่อนโยนที่ไม่เคยมีใครในตระกูลยูกิมูระได้เห็นมาก่อน

        “ท่านผู้นำ...”

        ชายในสูทดำพึมพำ ก่อนจะตัดสินใจยืนเท้าชิด แล้วโค้งศีรษะทำความเคารพอีกฝ่าย

     “ผมขอให้ท่านโชคดีนะครับ!”

        เรนหันมายิ้มให้คนตรงหน้าเขา พร้อมเอ่ยตอบขอบคุณ จากนั้นก็ยืนมองส่งอดีตลูกน้องขับรถออกจากหมู่บ้านไปจนพ้นสายตา

       “ดีใจด้วยนะเรน”

        คุไรเลื้อยเข้ามาหา โดยมีชิโระเดินตามมาติด ๆ

       “ขอโทษด้วยนะเรน ที่พูดไม่ดีกับเรน ...แล้วยังทำให้งูน้อยบาดเจ็บอีก”

        จิ้งจอกขาวบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งคุไรก็ชะงักแล้วหันขวับมามอง พลางขู่ฟ่ออย่างไม่สบอารมณ์

       “เลิกเรียกว่างูน้อยสักที! แค่เกิดก่อนไม่กี่ร้อยปี อย่ามาอวดเบ่งใส่นักเลยน่า!”

        “เหอะ ๆ ก็มีแต่เด็กเท่านั้นล่ะนะที่จะโมโหกับเรื่องแค่นี้  อืม...ริว ช่วยรักษาคุไรให้หน่อยสิ”

        ชิโระเปรยตอบพลางหันไปขอร้องริวอย่างไม่ใส่ใจอาการหงุดหงิดของงูยักษ์สีดำแม้แต่น้อย ส่วนเรนที่มองอยู่ก็อมยิ้มนิด ๆ เพราะไม่ได้เห็นภาพการทะเลาะหยอกล้อของสัตว์อสูรทั้งสองมานานมากแล้วนั่นเอง

        “ก็แล้วทำไมไม่ใช้พลังของนายช่วยเขาเองล่ะชิโระ ในเมื่อคนทำเขาบาดเจ็บน่ะมันนายแท้ ๆ”

        ริวแสร้งตอบกลับหน้าตาเฉย ทำเอาชิโระสะดุ้งโหยง ส่วนคุไรค้อนขวับใส่ด้วยความงอนที่เห็นจิ้งจอกขาวทำเหมือนไม่เต็มใจจะรักษาตน  ทางด้านกีรติเองนั้นก็กำลังจ้องสัตว์อสูรทั้งสองอย่างสนอกสนใจ เพราะภาพงูยักษ์งอนใส่สุนัขจิ้งจอกตัวเท่าเสือโคร่ง ไม่ใช่ภาพที่จะหาดูกันได้ง่าย ๆ สักเท่าใดนัก

          “เอาเถอะคุไร เดี๋ยวฉันจะรักษานายให้เอง ไม่ต้องไปรบกวนชิโระกับคุณริวเขาหรอก”
 
        เรนบอกกับสัตว์อสูรของเขาโดยไม่มีเจตนาประชดประชันแต่อย่างใด ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนที่ฟังอยู่ถอนหายใจเบา ๆ

       “ไม่ใช่คุณริว แต่เป็นพี่ริวต่างหาก...หัดไว้ให้ชินหน่อยนะเรน”
 
        ริวบอกกับน้องชายต่างมารดาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำเอาเรนถึงกับหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน  ทางด้านกีรตินั้นพอได้เห็นภาพพี่น้องรักใคร่กันดี ก็ทำเอาเขารู้สึกคิดถึงน้องชายและน้องสาวของเขาขึ้นมาบ้าง  ทว่าภาพสีหน้าเศร้า ๆ ของกีรติก็ทำให้อเล็กซ์ที่มองอยู่เข้าใจผิด แล้วจึงโพล่งขึ้นขัดจังหวะบรรยากาศซาบซึ้งระหว่างพี่น้องทันที

        “ผมว่าคุณริวกับคุณเรน คงไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งในเชิงนั้นหรอกนะครับคุณกีรติ ผมว่าคุณอย่ากังวลไปเลยครับ”

        กีรติสะดุ้งโหยง เช่นเดียวกับริวและเรน สองพี่น้องต่างหันไปสบตากับกีรติ แล้วจึงเป็นเรนที่รู้สึกตัวก่อน เลยรีบพูดแก้ตัวขึ้นเป็นคนแรก

        “อ๊ะ! ไม่ใช่นะครับ ถึงผมจะเคารพพี่ริวมากก็ตาม แต่ผมไม่ได้คิดในแง่อื่นเลยนะครับ!”

        กีรติหน้าแดงวาบ และรีบแก้ข้อเข้าใจผิดกลับไปอย่างรวดเร็ว

        “เปล่านะครับ! ผมไม่ได้กังวลหรือหึงหวงอะไรเลยนะครับ! พอเห็นพวกคุณแล้ว ผมก็เลยคิดถึงน้องชายกับน้องสาวที่บ้านเกิดบ้างก็แค่นั้นเอง!”

        ทางด้านริวที่มองทั้งสองแก้ตัว หลุดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะสะดุ้งซ้ำสองเมื่ออเล็กซ์พูดขึ้นอีกครั้ง

        “อ้าว! เป็นอย่างนั้นเองหรือครับ...ผมเห็นคุณกีรติให้ความสำคัญกับคุณริวมากกว่าทุกคนในหมู่บ้านนี้ ก็เลยคิดว่าคุณจะน้อยใจที่เห็นคุณริวสนิทกับน้องชายมากกว่าตัวเองน่ะครับ”

        กีรติหน้าแดงหนักขึ้นด้วยความอับอาย ยิ่งริวหันมามองเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง เขาก็ยิ่งเขินมากขึ้น จนทำอะไรแทบไม่ถูก

        “ผะ...ผม คือว่า...”

        กีรติมองซ้ายมองขวา แล้วก็พลันเหลือบไปเห็นข้าวกล่องของตนที่วางอยู่บนเก้าอี้นอกป้อมยาม ชายหนุ่มจึงรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาทั้งที่ใบหน้านั้นยังคงแดงก่ำไปหมด

        “พวกเรามากินข้าวกลางวันกันดีกว่าไหมครับ!”

        คราวนี้ทั้งริว เรน รวมถึงสัตว์อสูรทั้งสองถึงกับพากันเงียบกริบ และเป็นริวที่กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว ต้องเผลอหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขันแกมเอ็นดู เพราะคนตัวเล็กตรงหน้าเขานั้นช่างแสนจะน่ารักมากมายชนิดถ้าไม่เกรงใจเรนล่ะก็ เขาคงไปดึงกีรติมากอดอีกสักรอบเป็นแน่

        “ดีเหมือนกันนะ กินข้าวกลางวันกันก็ดี ...หือ ว่าแต่ข้าวกลางวันของพวกเราล่ะ ชิโระ”

        ริวหันไปสอบถามสัตว์อสูรของเขาหลังจากที่ควบคุมตนเองได้บ้างแล้ว ซึ่งพอได้ยินดังนั้นจิ้งจอกขาวก็ถอนหายใจเบา ๆ พลางกวัดแกว่งพวงหางไหวไปมา

        “ก็ถูกริวเขวี้ยงทิ้งไว้แถวหน้าบ้าน ตั้งแต่ตกใจที่เห็นกีรติอยู่กับเรนยังไงล่ะ”

        คำตอบของชิโระทำเอาริวสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่จะแสร้งทำเป็นกระแอมค่อย ๆ ด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทว่าพอถูกคนหน้าแดงจ้องหน้าเขาหนักเข้า เจ้าตัวก็ทำเป็นเฉไฉมองไปทางอื่น เพราะเกรงว่าจะหลุดเขินตอบอีกฝ่ายนั่นเอง   

        “ดีจังเลยนะเรน ที่เรื่องราวมันกลับกลายมาเป็นแบบนี้ได้”

        คุไรบอกกับเจ้านายของตนด้วยน้ำเสียงยินดีดังคำพูด ซึ่งเรนเองก็ส่งยิ้มให้กับสัตว์อสูรของเขา  ชายหนุ่มหันกลับไปมองคนสองคนที่ต่างฝ่ายต่างเขินอย่างนึกขำ และสุดท้ายจึงตัดสินใจเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์ในครั้งนี้ เพราะจากที่เขายืนมองมาร่วมกว่าสิบนาที ก็ทำให้เรนค่อนข้างแน่ใจว่า หากไม่มีใครเข้าไปขัดจังหวะ สองคนนั้นก็คงจะยืนเขินกันต่อไปอีกพักใหญ่ ๆ ได้เลยทีเดียว


         

… TBC …
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 25-09-2013 18:46:09


บทที่ 18
บอกรัก



หลังจากเหตุการณ์ช่วยเหลือพี่น้องตระกูลยูกิมูระผ่านพ้นไป ความสงบสุขของหมู่บ้านก็กลับมาเยือนได้เพียงไม่นาน เพราะวันนี้บรรดาผู้คนในหมู่บ้านต่างก็พากันวิ่งไล่จับแขกไม่ได้รับเชิญของเจอรัลด์ เสียอลหม่านวุ่นวายสับสนกันยกใหญ่

         ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเจ้าหุ่นยนต์โจรกรรมในครั้งนี้ ถูกส่งมาในรูปแบบสุนัขและแมวที่แสนจะน่ารักน่าชังราวกับของจริงนับสิบตัว แถมพอจะโดนจับหรือโจมตีเข้าให้ อีกฝ่ายก็ยังทำตาใส ๆ ตัวสั่นเทาด้วยอาการหวาดกลัว จนแทบจะไม่มีใครกล้าลงมือรุนแรงใส่เลยสักราย

      “เคยได้เห็นร่างจริงของแต่ละคนก็แลดูน่ากลัวกันทั้งนั้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นพวกโหดแต่เปลือกกันสินะ”

        คุไรบ่นให้เรนซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ตนฟัง ตอนนี้สัตว์อสูรนั้นอยู่ในร่างมนุษย์ เพราะนี่เป็นเวลากลางวันแสก ๆ การจะโผล่มาในร่างงูยักษ์กลางหมู่บ้าน หากมีคนนอกหลงเข้ามา คงจะได้กลายเป็นข่าวแตกตื่นกันเป็นแน่

       “พวกนั้นก็แบบนี้ล่ะ จิตใจดีเสียยิ่งกว่ามนุษย์สมัยนี้ทั่วไปซะอีก... ว่าแต่ทำไมนายถึงล่อแต่งดำเสียทั้งตัวแบบนี้ล่ะคุไร ไม่ร้อนบ้างหรือนั่น”

        ชิโระซึ่งอยู่ในร่างจิ้งจอกตัวเล็กเท่ากระรอกและเกาะอยู่บนไหล่เรนหันไปถามด้วยน้ำเสียงแกมระอา เพราะคุไรในร่างมนุษย์นั้นสวมเสื้อยืดแขนยาวและกางเกงผ้าสีดำทั้งชุด ชนิดที่จิ้งจอกขาวมองแล้วรู้สึกอึดอัดแทน เพราะอากาศเมืองไทยนั้นไม่ค่อยจะเหมาะกับเสื้อผ้าสีทึบมิดชิดสักเท่าใดนัก   

       “ก็ฉันชอบสีดำนี่  มีปัญหาหรือไง”

        คุไรบอกคล้ายไม่ใส่ใจ แม้จริง ๆ แล้วจะแอบคิดว่าอากาศเมืองไทยแสนจะร้อนยิ่งกว่าญี่ปุ่นหลายเท่านักก็ตาม

       “เหอะ ๆ ก็ตามใจ ...กลายเป็นงูตากแห้งขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่ามาหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน”

        ชิโระประชดใส่ ทำเอาอสรพิษหนุ่มหันขวับมามองอย่างไม่สบอารมณ์ นัยน์ตาสีแดงเพลิงจับจ้องมองจิ้งจอกขาวเขม็ง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเรนหันมาลูบเส้นผมดำยาวสลวยของตน อย่างเอือมระอาแกมเอ็นดู

      “ไม่เอาน่าคุไร อย่าอารมณ์ร้อนสิ ชิโระก็แค่หวังดีกลัวนายเป็นลมไปก็เท่านั้นเอง เขาอยู่ที่นี่มานานกว่า ก็ต้องรู้จักที่นี่ดีจริงไหมล่ะ ...ที่สำคัญวันนี้ฟ้าโปร่งแดดแรงทีเดียวล่ะนะ”

        พอบอกจบ เรนก็ยกมือป้องหน้าผากหรี่ตามองท้องฟ้าสีสดใสที่แทบจะไร้ก้อนเมฆให้เห็น ส่วนชิโระนั้นทำเสียงในลำคอเบา ๆ แต่ก็สะบัดหางเป็นพวงไปมา แล้วเสแสร้งมองไปทางอื่น เนื่องจากรู้สึกเขินที่ถูกเรนอ่านความคิดของเขาออกนั่นเอง

      “ฮึ! ถ้าอย่างนั้นเตือนดี ๆ กันก็ได้”

        คุไรบ่นกึ่งเขิน ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อหันไปเห็นหุ่นยนต์สุนัขตัวเล็กน่ารักกำลังวิ่งตรงมายังเขา โดยมีกีรติวิ่งตามจับมาติด ๆ

        “คุณคุไรครับ! จับเจ้าตัวนั้นไว้ทีครับ!”

        “หา! อะไรนะ  ฉันน่ะเหรอ ...”

        ยังไม่ทันคุไรจะพูดจบ เจ้าสุนัขตัวเล็กก็วิ่งรอดขาอีกฝ่ายไปอย่างง่ายดาย   

        “อ๋า! หนีไปได้อีกแล้ว!”

        กีรติอุทานอย่างนึกเสียดาย แต่ก็ยังคงวิ่งตามจับต่อ ทำเอาพวกเรนต้องมองตามไปอย่างนึกขำแกมเอือมระอา

       “ก็รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหุ่นยนต์ กับอีแค่น่ารักนิด ๆ หน่อย ๆ ทำเป็นลงมือจู่โจมไม่ได้ เชอะ! ฉันน่ารักกว่าตั้งเยอะแท้ ๆ”

        ชิโระบ่นอุบอย่างนึกงอน เนื่องจากจิ้งจอกขาวโดนริวสั่งให้มาอยู่กับเรน หลังเจ้าตัวพ่นน้ำแข็งจู่โจมใส่หุ่นยนต์สุนัขตนหนึ่งจนมันคอขาดกระเด็น และรู้สึกว่าภาพนั้นจะสะเทือนใจชาวหมู่บ้านรวมไปถึงกีรติเป็นอย่างมาก  จึงทำให้จิ้งจอกขาวถูกปลดออกจากการไล่จับหุ่นยนต์โจรกรรม มาเฝ้าอยู่วงนอกพร้อมกับเรนที่แพ้อากาศร้อน จนถูกริวสั่งให้ยืนมองเฉย ๆ อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

       “เจ้าหมาขี้อิจฉา...”

        คุไรทำเป็นพึมพำคล้ายบ่นกับตนเอง แต่จริง ๆ แล้วจงใจพูดกระทบให้คนใกล้ ๆ ได้ยิน

       “งูปากเสีย...ระวังเถอะจะกัดปากให้เลือดกลบสักวัน”

        ชิโระพึมพำในลำคออย่างหงุดหงิด แต่ไม่กล้าบ่นโวยวายอะไรมาก เพราะยังไงคุไรก็เป็นสัตว์อสูรของเรน และหากเรนไม่สบอารมณ์เข้า เขาก็จะโดนคนเขม่นเพิ่มขึ้นมาอีกคนเป็นแน่

         

        ภาพชาวบ้านวิ่งกันวุ่นวายไล่จับหุ่นยนต์สัตว์โจรกรรมข้อมูลของตน ทำให้เจอรัลด์ถึงกับอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี และเมื่อเห็นบางคนเริ่มเหนื่อยและชักจะหมดความอดทน เขาจึงตัดสินใจตะโกนกระตุ้นเพิ่มกำลังใจกันสักเล็กน้อย

        “ถ้าหากจับเป็นได้ทั้งหมด ผมจะช่วยแก้ไขโปรแกรมให้พวกนี้มาเป็นสัตว์เลี้ยงประจำหมู่บ้านของเรานะครับ!”

        คำพูดนั้นทำให้หลายคนหันขวับไปมองคนพูด แล้วยิ่งมุ่งมั่นในการไล่จับมากขึ้น แถมมีการตะโกนห้ามพวกที่กำลังจะคืนกลับร่างแท้จริง เพราะเกรงว่าจะเผลอหนักมือทำให้หุ่นยนต์สัตว์พวกนี้เสียหายได้

        “เอ๋? ทำไมดูจริงจังกันจังเลยล่ะครับ”

        กีรติที่ยืนพักเหนื่อยหันไปถามริวที่อยู่ใกล้กับเขา   

        “อ๋อ...คงเพราะพวกเขาไม่สามารถเลี้ยงสัตว์จริง ๆ ได้น่ะ”

          ริวตอบคำถามของกีรติอย่างเป็นกันเองยิ่งกว่าเดิม ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านมา ชายหนุ่มก็เริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนทีละน้อย และไม่ใช่เฉพาะกับกีรติเท่านั้น ทว่าทุกคนในหมู่บ้านก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย และต่างพากันลงความเห็นว่า ริวที่เป็นตัวของตัวเอง ดูน่าสนใจและคบหาง่ายยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ

        “ก็พวกสัตว์ทั่วไปมักจะความรู้สึกไวเป็นพิเศษใช่ไหมล่ะ ...ถึงทุกคนที่นี่จะใจดียังไง แต่เพราะสัญชาตญาณการป้องกันตัว ก็ทำให้ไม่มีสัตว์ตนไหนกล้าเข้าใกล้พวกเขา ...และถึงจะมีบางตัวยอมเข้าใกล้ แต่การเลี้ยงสัตว์จริง ๆ มันก็ค่อนข้างยุ่งยากอยู่  ที่สำคัญอายุขัยของสัตว์เลี้ยงก็ไม่ยืนยาวเท่าไหร่  ถ้ายิ่งสนิทกันมาก ๆ แล้วมาตายจากไปก่อนมันก็น่าเศร้าจริงไหม คนที่นี่เลยไม่มีใครกล้าเลี้ยงสัตว์กันนักยังไงล่ะ ...แต่ถ้าเป็นหุ่นยนต์ก็จะอยู่ร่วมกันไปได้อีกนานและพวกมันก็จะไม่กลัวพวกเขาด้วย”

        กีรติพยักหน้ารับรู้อย่างพอจะเข้าใจ เขาเหลือบไปมองใบหน้ายินดีของบางรายที่จับเจ้าหุ่นยนต์สัตว์โจรกรรมได้สำเร็จ ก่อนจะหลุดยิ้มเศร้า ๆ ตามมา

        “ผมเคยคิดนะครับ ว่าการที่สามารถมีอายุยืนยาวได้ มันช่างแสนวิเศษจริง ๆ  ...แต่ผมคงจะคิดตื้นเกินไป บางทีพวกเขาอาจจะอยากเป็นแบบคนธรรมดาทั่วไป ...ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่รัก และหมดอายุขัยลงไปในเวลาไล่เลี่ยกันก็เป็นได้”

        ริวเหลือบมองคนพูดแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน ทางด้านกีรตินั้นพอพูดจบเขาก็แปลกใจที่ริวเงียบไป ชายหนุ่มจึงหันไปมองอีกฝ่าย แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนซึ่งกำลังใช้สายตาจับจ้องเขาอยู่

        “คุณริว...”

        ริวจ้องมองใบหน้าแดงระเรื่อและนัยน์ตาใสซื่อของอีกฝ่ายอยู่สักครู่ ก่อนจะตัดสินใจบอกความรู้สึกบางอย่างของตนออกไป

         “กีรติ...ผมน่ะคิดกับ...”

        ทว่ายังไม่ทันพูดจบประโยคดี เสียงบางเสียงก็ดังโพล่งขัดขึ้นเสียก่อน

        “โอ๊ย! สองคนนั้นน่ะ เลิกหวานกันชั่วคราวได้ไหม! แล้วช่วยจับเจ้าแมวดำที่มันกำลังวิ่งตรงไปที่พวกเธอหน่อยเถอะ!”

        เสียงปัณณ์ตะโกนขัดจังหวะลั่น ทำให้หลายคนก่อนหน้านั้นที่กำลังหยุดยืนจ้องมองกีรติกับริวอย่างนึกลุ้น ถึงกับถอนหายใจแทบจะพร้อมกันอย่างนึกเสียดายแทนริว แล้วต่างหันมาเขม่นใส่ปัณณ์เป็นการใหญ่

        “อ๊ะ! มันเข้าไปใกล้แล้วนั่น!”

        แต่ดูเหมือนว่าปัณณ์จะไม่สนใจสายตาทิ่มแทงของแต่ละคนเลยแม้แต่น้อย เขายังคงตะโกนพลางชี้มือไปยังเจ้าแมวน้อยที่วิ่งเข้าไปใกล้พวกริวเข้าทุกที

        “วะ...เหวอ! หยุดนะเจ้าเหมียว! อย่ากระโดดหนีขึ้นกำแพงสิ!”

        กีรติที่เห็นดังนั้นก็รีบผละจากริวแล้วพยายามตามไล่จับเจ้าแมวดำที่แสนจะซุกซนอย่างเต็มที่ และนั่นจึงทำให้อดีตนักพรตองเมียว เริ่มหมดความอดทนขึ้นทุกขณะ

       “หวา! ริวกำลังฟิวส์ขาดแล้วล่ะ!”

        ชิโระโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น สีหน้าดูเหมือนจะดีใจมากกว่ากังวล จนคุไรที่มองอยู่ต้องค้อนขวับให้อย่างหมั่นไส้

        “...แค่จับเป็นก็พอสินะ”

        ริวพึมพำแล้วจึงประสานมือร่ายอาคม ฉับพลันก็เกิดไอเย็นยะเยือกมองคล้ายเป็นหมอกควันหมุนวนขึ้นเบื้องหน้าเขา จากนั้นกลุ่มหมอกควันก็เริ่มแยกแตกกระจายเป็นหลายสาย พุ่งตรงผ่านชาวหมู่บ้าน ไปลอยล้อมรอบบรรดาหุ่นยนต์สัตว์โจรกรรมแต่ละตน ก่อนจะเริ่มจับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง แช่แข็งหุ่นยนต์เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้อีก

        “...ที่เหลือก็จัดการให้เรียบร้อยเองแล้วกันเจอรัลด์ และถ้าสามารถหาข้อมูลองค์กรที่ส่งเจ้าตัวพวกนี้มาได้ ก็อย่าลืมเอามาบอกผมด้วยล่ะ”

        ริวบอกกับนักประดิษฐ์หนุ่มด้วยสีหน้าเย็นชาจนคนมองต้องยิ้มเจื่อน ๆ เพราะดูเหมือนว่าการถูกขัดจังหวะครั้งนี้ จะทำให้ริวหงุดหงิดเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

        “โห! จับแช่แข็งเลยหรือริว!  อืม...แต่ก็เข้าท่าดีนะ รู้งี้ฉันใช้วิธีนี้บ้างแต่แรกแล้วล่ะ มัวแต่วิ่งเสียเหนื่อยเลย!”

        ปัณณ์ที่ดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้ถึงบรรยากาศมาคุโดยรอบโพล่งขึ้นอย่างร่าเริง ทำเอาริวเม้มปากเล็กน้อย พยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้โมโหมากไปกว่านี้ เพราะรู้ดีว่าปัณณ์นั้นเป็นคนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่แล้ว ทว่าเนื้อแท้ของอีกฝ่ายก็ไม่มีอะไรเลวร้าย เพียงแค่ค่อนข้างจะปากกับใจตรงกันและพูดไม่ค่อยรู้จักคิดก็เท่านั้น

        “ฉันอยากได้แมวไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวมานานแล้ว ฉันขอเจ้าเหมียวสีดำตัวนี้นะ อย่าลืมเขียนโปรแกรมให้มันเชื่อง ๆ ว่าง่ายกับฉันด้วยล่ะ เจอรัลด์!”

        ปัณณ์รีบจับจองหุ่นยนต์แมวที่ตนหมายตาเอาไว้ แถมยังมัดมือชกเจอรัลด์ให้ทำตามใจเขาอีกต่างหาก และแม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก แต่ก็ไม่มีใครในหมู่บ้านคิดจะยุ่งกับชายคนนี้ เพราะหากทำให้ปัณณ์ไม่พอใจ ชายหนุ่มก็พร้อมจะสร้างความรำคาญให้พวกเขา ได้ไม่แพ้กับที่เจอรัลด์เคยทำเอาไว้เลยทีเดียว

        “แล้วเรื่องละลายน้ำแข็ง...”

        เจอรัลด์หันไปถามริวที่ทำท่าเหมือนจะเดินกลับบ้านพักของเจ้าตัว ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อริวหันขวับกลับมาจ้องเขาเขม็ง ทว่าหนุ่มญี่ปุ่นก็ไม่ได้หาเรื่องพาลอะไร แต่ก็ยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างห้วนกว่าปกติอยู่ดี

        “ทิ้งไว้สักไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็กลับเป็นปกติแล้ว คุณกับคนอื่นก็แซะพวกนั้นจากพื้นถนนเอาไปขังรวมไว้ก่อนก็แล้วกัน ...แล้วกรุณาอย่าทำให้มันหลุดออกมาอีกครั้งด้วยนะ”

        เจอรัลด์ส่งยิ้มเจื่อนให้คนพูด แล้วหันไปลอบถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นแฟนธอมยืนจด ๆ จ้อง ๆ สุนัขแช่แข็งแถวนั้นอย่างสนอกสนใจ

        “คุณแฟนธอมอยากได้สัตว์เลี้ยงสักตัวไหมครับ เดี๋ยวผมสร้างให้เป็นพิเศษเลย เอาแบบให้สามารถฉายภาพผมผ่านดวงตาได้ หรือจะเอาแบบติดต่อสื่อสารกับผมแทนมือถือก็ยังได้นะครับ”

        นักประดิษฐ์หนุ่มรีบบอกอย่างประจบ ทว่าคุณสมบัติที่ได้รับฟังก็ทำให้แฟนธอมตัดสินใจปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องคิดนาน

        “จะเอาสัตว์เลี้ยงหรือหุ่นยนต์โรคจิตมาให้ฉันกันแน่ล่ะนั่น...ไม่เอาล่ะ แค่อเล็กซ์ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว”

        เจอรัลด์มองคนพูดตาปริบ ๆ แล้วนึกสงสารแทน AI อัจฉริยะที่ถูกคนรักของเขามองไม่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงประจำหมู่บ้านสักเท่าใดนัก

                 

        อีกด้านหนึ่งกีรติที่ยืนอยู่ห่าง ๆ จ้องมองไล่ตามหลังริวไปอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินหงุดหงิดกลับเข้าบ้านพักไปโดยไม่คิดหันมาล่ำลาคนอื่น ทว่าพอเขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ปัณณ์จะเข้ามาแทรก ชายหนุ่มก็ต้องหน้าแดงวาบ เพราะสีหน้าของริวยามนั้นดูผิดจากยามปกติอยู่มาก และดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังจะบอกบางอย่างกับเขา หากแต่ก็โดนขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

        “หือ...เป็นอะไรไปน่ะกี หน้าแดงเชียว”

        ปัณณ์เอ่ยถามอย่างแปลกใจ  นักเขียนหนุ่มนั้นเตรียมจะตรงกลับบ้านพักบ้างเช่นกัน แต่พอเดินผ่านกีรติก็สังเกตเห็นใบหน้าแดง ๆ ของยามกะเช้าประจำหมู่บ้านเข้าให้เสียก่อน

         “อ๊ะ! ผม...คือ...”

        กีรติที่ไม่คิดว่าจะถูกคนอื่นเห็นสีหน้ายามนี้ พยายามคิดหาคำแก้ตัวด้วยความอาย ส่วนปัณณ์นั้นก็ยิ่งจ้องคนตรงหน้าเขม็ง ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะทุบมือตามมาแล้วโพล่งดังลั่น

        “อ้อ! จริงสิ เมื่อครู่ฉันขัดจังหวะสารภาพรักของพวกเธอใช่ไหมล่ะ! ขอโทษ ๆ เผอิญมัวแต่อยากจับแมวมาเลี้ยงมากไปหน่อยน่ะ!”

        เสียงของปัณณ์นั้นไม่ค่อยเอาเสียเลย และนั่นจึงทำให้ทุกคนที่กำลังแยกย้ายกลับบ้านพักหยุดชะงักฝีเท้า และต่างหันขวับกลับมามองทั้งคู่เป็นตาเดียวด้วยความสนใจ

        “สะ...สารภาพรัก..หรือครับ”

        กีรติถามกลับเสียงสั่น ซึ่งปัณณ์ก็ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี

        “ก็ใช่น่ะสิ ท่าทางแบบนั้นใครดูก็รู้!”

        บรรดาคนมุงทั้งหลายพอได้ยิน ต่างก็กระพริบตาปริบ ๆ กันเป็นแถว เพราะคนพูดนั้นทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขากำลังสารภาพรักกันอยู่ ก็ดันไปขัดจังหวะเขาเสียอย่างนั้น แถมถึงจะพูดขอโทษ แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้มีความสำนึกผิดอย่างคำพูดแม้แต่น้อย

         “อืม...งั้นฉันคงต้องขอแก้ตัวไถ่โทษ โดยที่ฉันจะช่วยเป็นคิวปิดสานรักให้พวกเธอแทนแล้วกันนะ!”

        พอปัณณ์พูดจบ เจ้าตัวก็ไม่คิดรอคำแย้งหรือตอบรับของกีรติแต่อย่างใด ชายหนุ่มยกมือขึ้นอังหน้าผากของอีกฝ่าย ท่ามกลางสีหน้าและสายตาตื่นตระหนกปนตกใจของชาวหมู่บ้านที่มองมา

        “เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนปัณณ์!”

        เสียงใครคนหนึ่งตะโกนห้าม ทว่าไม่ทันแล้ว ฝ่ามือของปัณณ์มีแสงสีขาวเรืองรองเกิดขึ้น นัยน์ตาสีดำก็กลับกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มขึ้นอย่างน่าประหลาด

        “อะ...คุณปัณณ์...จะทำอะไร...หรือ...ครับ”

        กีรติถามติดขัด รู้สึกว่าหนังตาหนักขึ้นทุกที เขายืนโงนเงนจนคนที่มองอยู่รอบ ๆ นึกเป็นห่วงและเตรียมจะเข้ามาช่วย หากแต่ปัณณ์นั้นก็ประคองร่างเล็กเอาไว้เองเสียก่อน

        “ก็จะช่วยให้ความรักของพวกเธอสมหวังไว ๆ แบบโรแมนติก เหมือนในนิทานยังไงล่ะ”

        ปัณณ์บอกพร้อมรอยยิ้ม ทว่ากีรติก็เห็นสีหน้านั้นเพียงเลือนราง และไม่นานนักชายหนุ่มก็สติดับวูบ หลับลงในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ทำเอาเรนที่ยังไม่ได้ตามริวเข้าบ้านพักไปก่อนหน้านั้น รีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมคุไรอย่างตกใจ

        “คุณทำอะไรเขาน่ะ!”

        เรนตวาดใส่ปัณณ์อย่างโมโห หากแต่ปัณณ์นั้นกลับยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ทว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวของปัณณ์กลับทำให้คุไรในร่างมนุษย์ขนลุกซู่ เช่นเดียวกับชิโระซึ่งนาน ๆ จะมีโอกาสได้เห็นอีกฝ่ายในร่างที่ใกล้เคียงกับตัวตนที่แท้จริงของเจ้าตัวสักที

        “ใจเย็น ๆ หนุ่มน้อย...ฉันก็แค่จะช่วยเป็นพ่อสื่อให้พี่ชายเธอกับกีเขา แทนคำขอโทษที่ฉันขัดจังหวะเรื่องเมื่อครู่ก็แค่นั้นเอง”

        ปัณณ์ตอบคำถามอย่างใจเย็น เขายื่นร่างกีรติส่งให้เรนรับไปประคอง นัยน์ตาสีน้ำเงินที่เปล่งประกายวาววับก็ค่อย ๆ กลับคืนเป็นสีดำดังเดิม

        “ฉันร่ายเวทมนต์สาปให้เขาหลับแบบเจ้าหญิงนิทราน่ะ แน่นอนว่าคนที่จะมาปลุกให้เขาตื่นได้ ก็ต้องแก้คำสาปแบบเจ้าชายในนิทานล่ะนะ ...อ้อ! แล้วถ้าไม่ใช่คนที่มีใจตรงกับเขา ถึงจูบให้ตายก็ไม่ตื่นหรอก!”

        คนที่ได้ยินคำพูดประโยคหลังนั้นล้วนพากันเงียบกริบ มีบางคนที่แสนจะสงสัย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป ด้วยเกรงกลัวว่าคำตอบนั้นจะทำให้ทุกคนเครียดหนักยิ่งกว่าเดิมเสียก่อน   

         ซึ่งนั่นก็คือคำถามที่ว่า หากแท้จริงแล้วเมื่อครู่ ริวไม่ได้กำลังสารภาพรักกับกีรติ และทั้งสองไม่ได้ต่างชอบพอกันล่ะก็ มันยังจะมีวิธีแก้คำสาปนี้คืนได้หรือไม่กันแน่ นั่นเอง



       
... TBC …

ทิ้งท้ายไว้ให้ค้างเล่น...หุ ๆ   พรุ่งนี้มืด ๆ ค่ำ ๆ เจอกันค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 25-09-2013 19:33:17
ใครก็ได้หาคนมาแทงตูดไอ้คุณปัณณ์ที
ชอบสร้างเรื่อง! ชอบขัดจังหวะ! ชอบโพทนา! ชอบคิดเองเออเอง! เอาตัวเองเป็นใหญ่!
มันน่าโดนผู้ชายสักคนสวนก้นจริงๆ
ต้องมาตามลุ้นแล้วว่าทีนี้คำสาปจะแก้ได้หรือเปล่า
ว่าแต่ชิโรกับคุไรนี่มันยังไงกันน่าาาาาา
แต่ขอเถอะเอาไอ้คุณปัณณ์ออกจากหมู่บ้านที~~~
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 25-09-2013 20:07:51
อ้ากกกก อยากอ่านฉากหวาน
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-09-2013 20:14:44
โอ๊ยยย คุณปัณณ์
ชื่อปัณณ์นี่แสบเหมือนกันทุกเรื่องรึป่าว 55555
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-09-2013 21:03:54
ใจตรงกันสิแหม่ ขี้เกียจเดาละใครพระเอก  :laugh:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 25-09-2013 21:07:33
จูบเลยจูบเลย!!!
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 25-09-2013 22:25:14
ปัณณ์ คู่ เรน

ชิโระ  คู่ คุไร

ช่ายป่าว มั่วแระเรา
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 25-09-2013 22:39:07
อดีตนู๋กีน่าสนใจจริง ๆ  เริ่มคลีคลายมาทีละนิดแล้ว

คุณริวต้องจูบหนูกีนะ ไม่งั้นหนูกีไม่ฟื้นล่ะแย่เลย


 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 25-09-2013 22:46:57
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 26-09-2013 00:06:43
อัยยะ. ปัณน์ช่วยกีกับริวชิมิ  :laugh:

ลุ้นให้เจ้าชายริวจูบปลุกเจ้าหญิงกี

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 26-09-2013 10:50:05
คุณปัณณ์นี่ตัวอันตรายสำหรับทุกคนในหมู่บ้านจริงๆนะ ฮ่าาาา
รอดูฉากปลุก ริวจะทำไงน้าาา อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 26-09-2013 18:14:27
อิตาปัณณ์นี่แหละ ตัวอันตรายสุดๆของหมู่บ้านเลย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 26-09-2013 21:32:56
แล้วหนูกีจะตื่นไหมเนี้ยยนน อ๊ากกกปัณณ์ ทำอะไรลงไปป
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 26-09-2013 22:27:24
เอิ่ม...  หาคู่ให้ปัณณ์ที เอาแบบปราบให้สงบเลยนะ 5555
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 17 - 18 (25/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 27-09-2013 02:20:22
ปัณณ์ตลกดีนะ  ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-09-2013 12:12:36
ลงช้าไปวันขออภัยด้วยนะคะ พอดีเมื่อวานหัวมึน ๆ นอนดึกหลายคืน เลยเบลอ นึกว่าลงไปแล้ว --" วันนี้มาลงให้แล้วค่ะ
แล้วก็ต้องขอแจ้งว่า จะทันต้นฉบับแล้วนะคะ ดังนั้น ต่อจาก 20 เป็นต้นไปนี้คงไม่ได้โพสทุกวันแล้วค่ะ  แต่จะพยายามไม่ให้ทิ้งช่วงหายห่างนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่าน รวมไปถึงท่านที่แสดงความเห็นทุกท่านค่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งมากเลยทีเดียว
 :pig4:


บทที่ 19
เจ้าหญิงนิทรา


 

            กรกฎที่ได้รับแจ้งเรื่องกีรติถอนหายใจยาวอย่างระอา เคราะห์ดีที่เวธน์ไม่มาทำงานวันนี้ เพราะต้องไปร่วมงานเลี้ยงส่งที่บริษัทเก่า ส่วนปาลินก็ตามไปประกบอีกฝ่ายไม่ให้คลาดสายตาด้วยความหึงตามปกติ   

            “ขืนคนนั้นอยู่ด้วย เผลอ ๆ จะยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าเดิมไปอีก”

            กรกฎบ่นพึมพำอย่างพอจะรู้นิสัยชอบก่อเรื่องวุ่นวายของนายจ้างเป็นอย่างดี

            “คุณปัณณ์ก็เหลือเกิน จะช่วยดี ๆ ก็ไม่ได้”

            เลขาหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงตัวปัญหาระดับต้น ๆ ของหมู่บ้าน ถึงปัณณ์จะไม่ได้มีส่วนดึงคนนอกเข้ามาวุ่นวายภายในสถานที่แห่งนี้ เหมือนกับริวและเจอรัลด์ก็ตาม ทว่าแค่ด้วยเพียงตัวชายหนุ่มเอง ก็สามารถสร้างความกลัดกลุ้มให้กับสมาชิกร่วมหมู่บ้าน ได้เสียยิ่งกว่าต้องไปตามสู้รบปรบมือกับพวกคนนอกเสียอีก

            “ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ก็เป็นถึงพ่อมดตัวจริงเสียงจริงนี่นา”

            กรกฎเปรยบ่นพร้อมยิ้มอย่างเอือมระอา แล้วจึงกลับไปทำงานต่อ ส่วนคำสาปของปัณณ์นั้น เขามั่นใจว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เพราะเท่าที่เขาเห็น ทั้งริวและกีรติเองก็ต่างมีความรู้สึกพิเศษให้แก่กันพอสมควร ยกเว้นแต่ว่าปัณณ์จะไม่ร่ายเวทมนต์ผิดบท หรือมีผลแทรกซ้อนแอบแฝงไว้ด้วยนั่นล่ะ

             

            ริวนั่งหน้าเครียดมองกีรติซึ่งหลับบนเบาะนอนที่ปูไว้ในห้องรับแขก ท่ามกลางสายตาสนอกสนใจของชาวหมู่บ้านซึ่งพากันลุ้นว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไรต่อไป และนอกจากภายในห้องรับแขกซึ่งมีผู้คนนั่งบ้างยืนบ้างจนแทบเต็มพื้นที่หมดแล้ว นอกบ้านก็ยังมีอีกหลายรายที่ยืนเรียงเกาะรั้วอยู่ ขาดแต่เพียงคนก่อเรื่องที่ตอนนี้กลับบ้านไปพักผ่อนเรียบร้อย

            “พี่ริวจะทำยังไงต่อดีครับ...”

            เรนถามเสียงค่อย เพราะมองดูก็รู้ว่าพี่ชายกำลังโมโหขนาดไหน

            “จะจูบใช่ไหมริว! จูบเลยสิ กีรติจะได้ฟื้นสักที!”

            ชิโระเชียร์ออกนอกหน้า ทว่าก็ต้องสะดุ้งโหยง แล้วรีบกระโดดไปหลบหลังเรนอย่างลืมตัว เพราะสายตาคมกริบของผู้เป็นนายนั้นจับจ้องมายังตนเขม็ง

            “แล้วคุณจะทำยังไงต่อไปล่ะริว จะ..เอ่อ จะทำแบบที่คุณปัณณ์บอกไว้ไหมน่ะ”

            แฟนธอมเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงนักด้วยความเกรงใจ และนั่นจึงทำให้ริวชะงัก ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าจริงจัง

            “ผมว่าจะลองแก้คำสาปด้วยตัวเองก่อนน่ะครับ”

            คนอื่นพากันลอบถอนหายใจ แต่เสียงถอนหายใจเบา ๆ ของหลายคนก็กลายเป็นเสียงดังได้เหมือนกัน  ทว่าแม้จะรู้สึกแปลก ๆ แต่ริวก็ยังคงทำเป็นนิ่งขรึมไม่ใส่ใจรอบด้าน  ส่วนคนอื่น ๆ แม้จะรู้สึกเสียดายก็ตาม ทว่าพวกเขาต่างแอบคิดเผื่อไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ริวนั้นคงจะไม่ยอมเล่นตามเกมของปัณณ์ง่าย ๆ  แล้วยิ่งมีพวกเขานั่งรายล้อมกันขนาดนี้ ต่อให้บังคับเพียงใด หนุ่มญี่ปุ่นก็ไม่มีทางกล้าจูบกีรติได้แน่

           

            ริวใช้เวลาในการแก้คำสาปต่อเนื่องอยู่พักใหญ่ หากแต่ไม่ว่าเขาจะลองร่ายอาคมบทไหน ก็ไม่อาจจะถอนคำสาปของปัณณ์ได้สำเร็จสักที

            “สมกับที่เคยบอกว่าเป็นพ่อมดของจริงเลยแฮะ นึกว่าจะดีแต่โม้ไปวัน ๆ เสียอีก”

            เจอรัลด์บ่นพึมพำกับตัวเอง ทำให้แฟนธอมซึ่งยืนอยู่ด้วยกันแถวนั้น เหลือบมามอง พลางเปรยตอบอีกฝ่ายเสียงเรียบ

            “ถึงคุณปัณณ์จะดูเป็นตัวป่วน ปากไว แถมพึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่ที่จริงแล้วก็ถือเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่งล่ะนะ ...ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบแสดงออกให้ใครเห็น เพราะความที่เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้วก็เถอะ”

            คำพูดที่คล้ายจะเป็นคำชม ทำเอาคนฟังทำตาปริบ ๆ  เพราะหากเขาเป็นปัณณ์ และมาได้ยินคำชมแบบนี้เข้า คงจะรู้สึกดีใจไม่ออกเป็นแน่

            “อย่างกรณีนี้ เห็นที ริวอาจจะต้องยอมทำตามที่เขาอยากให้ทำก็เป็นได้นะ”

            แฟนธอมพึมพำตามมา เมื่อเห็นกีรตินั้นยังคงหลับลึกไม่ฟื้นดังเดิม ทว่าก็ดูเหมือนริวยังคงไม่ยอมถอดใจ ยังพยายามงัดอาคมต่าง ๆ มาเพื่อช่วยอีกฝ่ายอย่างเต็มที่  แถมพวกชาวบ้านที่เฝ้ามองอยู่ก็พากันลุ้นไม่ยอมแยกย้ายกลับ และมีบางรายคอยยุให้ริวยอมจูบกีรติเป็นระยะอีกด้วย

           
...

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-09-2013 12:13:14
..

            “ริวนี่หัวแข็งชะมัด แล้วถ้าเกิดหาอาคมถอนคำสาปไม่ได้ ก็ตั้งใจจะให้กีรติหลับแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือไงนะ!”

            คำบ่นประชดของชิโระที่ดังขึ้น แว่วเข้าหูคนที่เริ่มจะจนหนทางในการถอนคำสาปเข้าทุกที ริวเหลือบมองสัตว์อสูรของเขา แต่เมื่อเห็นชิโระค้อนให้ด้วยความงอน ชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

            “ถ้าถึงที่สุดแล้วยังทำอะไรไม่ได้ ฉันก็จะใช้วิธีแบบที่คุณปัณณ์อยากให้ทำ...แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากช่วยกีรติให้ฟื้นด้วยมือฉันเองมากกว่า”

            ริวพึมพำตอบกลับทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตา เพราะมั่นใจว่าหากเขาเงยหน้าขึ้นมองคนอื่น ๆ ตอนนี้ ไม่คนใดก็คนหนึ่งคงจะต้องยิ้มล้อเลียนเขาอย่างแน่นอน

            “โรแมนติกชะมัด แบบนี้ถ้าคุณกีรติฟื้นมาได้ยิน คงเขินแย่...”

            เจอรัลด์ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ พึมพำกับตัวเอง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงมือถือของเขาดังขึ้น

            “หือ...ใครโทรมา...เอ๋ คุณปัณณ์นี่นา!”

            เสียงอุทานของเจอรัลด์ทำให้ทุกคนในที่นั้นหันขวับมามองนักประดิษฐ์หนุ่มเป็นตาเดียว จนคนถูกมองต้องยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะกดรับสายคนโทรเข้ามาและเปิดเสียงออกลำโพงให้ทุกคนได้ยินกันถ้วนหน้า

            “ไง! เจอรัลด์  กีฟื้นหรือยังล่ะ ริวยอมจูบเขาไหม!”

            คำพูดนั้นทำให้ริวชะงักแล้วเม้มปากอย่างหงุดหงิด จนเจอรัลด์ต้องรีบตอบกลับไป

            “ยะ...ยังเลยครับ คุณริวกำลังช่วยแก้คำสาปด้วยตัวเองอยู่น่ะครับ”

            ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะลั่นตามมาพักใหญ่

            “ฮะ ๆ คิดไว้แล้วไม่ผิด แต่ฝากบอกเขาด้วยนะ ว่าต่อให้ใช้อาคมทุกบทที่เขาเล่าเรียนมา ยังไงก็ไม่มีทางล้างคำสาปของฉันได้หรอก! คำสาปของพ่อมดตัวจริงเสียงจริงน่ะ มันไม่ใช่อะไรที่แก้กันได้ง่าย ๆ นา!”

            เจอรัลด์กลืนน้ำลายลงคอ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในที่นั้น ส่วนริวกำหมัดน้อย ๆ ไม่พูดไม่จา ทว่าทุกคนก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุรอบตัวของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี

            “อ๊ะ! จริงสิ ฉันว่าจะโทรมาเตือนนี่นา ยังไงก็ฝากนายไปบอกริวเขาด้วยล่ะ ว่าอย่ามัวแต่เล่นตัวมากนัก  เพราะคำสาปฉันไม่ใช่คำสาปกิ๊กก๊อกทั่วไป แต่เป็นคำสาปที่มีระยะเวลากำหนดด้วยล่ะนะ!”

            “ระยะเวลา! หมายความว่ายังไงครับ!”

            เสียงของริวที่ตะโกนแทรกขึ้นมาหลังปัณณ์พูดจบ ทำให้คนปลายสายชะงักเล็กน้อย ก่อนเอ่ยทักทายตามมาอย่างอารมณ์ดี

            “นายก็อยู่ด้วยหรือริว  งั้นบอกให้ฟังเลยก็ได้ อืม...นี่กี่โมงแล้วนะ”

            ริวและทุกคนนิ่งเงียบรับฟังอย่างพยามอดทนอดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัวเต็มที่ เพราะปัณณ์นั้นเหมือนจะเงียบหายไปจากสายพักหนึ่ง แต่ก่อนที่จะมีใครเรียกย้ำให้ปลายสายพูดมาสักที เสียงของพ่อมดหนุ่มก็ดังขึ้นเสียก่อน

            “ฮะ ๆ ขอโทษที มัวแต่ไปหานาฬิกามาดูเวลา แต่ดันจำไม่ได้ว่าตอนใช้คำสาปนั่นเป็นเวลาเท่าไหร่  แต่คิดว่าน่าจะยังทันอยู่มั้ง!”

            “หมายความว่ายังไงครับ! แล้วเกี่ยวอะไรกับเวลาที่ว่าด้วย!”

            ริวที่ใจร้อนและสังหรณ์ใจไม่ดี โพล่งขัดขึ้นอย่างหมดความอดทน ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีจากปลายสายแทน ก่อนที่เจ้าของเสียงหัวเราะจะอธิบายตามมาหลังจากนั้น

            “มันเกี่ยวกันตรงที่ว่า ถ้าพ้นสามสิบนาที นับจากคำสาปเริ่มทำงานไปแล้ว ทีนี้ต่อให้นายจะทำยิ่งกว่าจูบ มันก็จะไม่เกิดผลอะไรเลยน่ะสิ  กีก็จะหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราของจริงไปเรื่อย ๆ ล่ะนะ... หือ? ใครมากดออดหน้าบ้านหว่า...อ๊ะ! งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ ขอให้โชคดีในการแก้คำสาปนะ บาย!”

            ปัณณ์ตัดบทพร้อมกดวางสาย ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคนในที่นั้น  ทางด้านริวถึงกับหน้าถอดสีเพราะไม่คิดว่าคำสาปของปัณณ์จะมีกำหนดระยะเวลาแบบนี้ด้วย ส่วนเจอรัลด์ที่ตกใจไม่แพ้กันเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อนใคร นักประดิษฐ์หนุ่มกดปุ่มที่ต่างหูข้างซ้าย แล้วติดต่อกับ AI ของเขาทันที

            “อเล็กซ์! ช่วยเช็คบันทึกเวลานับตั้งแต่ตอนที่คุณปัณณ์ใช้คำสาปกับคุณกีรติ จนถึงตอนนี้ให้ด้วย ด่วนเลยนะ!”

            คำสนทนากับอเล็กซ์ทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันได้สติ และต่างหันขวับมามองเจอรัลด์เป็นตาเดียว   

            “ได้ข้อมูลมาแล้วครับมาสเตอร์...เวลาที่คุณปัณณ์เริ่มใช้คำสาป คือเวลา 11.15 นาฬิกา ...เวลาที่คุณกีรติเริ่มหลับไปเพราะคำสาป คือเวลา 11.18 นาฬิกา  และเวลาปัจจุบันนี้ก็คือ 11.46 นาฬิกาครับ”

            อเล็กซ์ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการตรวจสอบ แต่การรายงานผลผ่านลำโพงเล็ก ๆ ซึ่งเป็นเข็มกลัดติดปกเสื้อเชิ้ตของเจอรัลด์นั้น ก็ทำให้ทุกคนใจหายวาบ เพราะเวลาตอนใช้คำสาปคือเวลา 11.15 นาฬิกา หากนับเพิ่มไปอีกสามสิบนาทีมันควรจะเป็นเวลา 11.45 นาฬิกา ที่บัดนี้ได้เกินเวลาไปเสียแล้ว

            “เดี๋ยวก่อนสิครับ! อย่าเพิ่งถอดใจ! เมื่อครู่นี้คุณปัณณ์บอกไม่ใช่หรือครับว่า นับตั้งแต่ตอนคำสาปเริ่มทำงาน นั่นก็น่าจะเป็นเวลาที่คุณกีรติหลับมากกว่า!”

            เรนที่ฟังอยู่และนึกขึ้นได้รีบโพล่งแย้งขึ้นมา ทำให้คนอื่น ๆ ต่างพากันชะงัก จากนั้นนักประดิษฐ์หนุ่มจึงรีบเช็คเวลากับ AI ของเขาอย่างรวดเร็ว

            “ถ้านับจากตอนนั้นจะเหลือเวลาอีกเท่าไรกันอเล็กซ์!”

            “ถ้านับจากเวลา 11.18 นาฬิกา แล้วบวกเพิ่มไปอีกสามสิบนาที เวลาที่เหลือก็... 30 วินาทีครับ!”

            ขาดคำของอเล็กซ์ ทางด้านริวก็ไม่คิดจะซักถามอะไรใครอีก เขาประคองร่างของกีรติมาไว้ในอ้อมกอด พลางโน้มใบหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากบางได้รูปนั้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่มองอยู่ แต่พอริวถอนริมฝีปากออกมา ต่างคนก็ต่างพากันลุ้นเอาใจช่วยให้กีรติฟื้นอย่างเต็มที่ โดยไม่มีใครคิดเรื่องล้อเลียนทั้งคู่ในยามนี้เลยแม้แต่คนเดียว

            “กีรติ...ฟื้นสิ...ทำไมล่ะ เวลายังเหลือใช่ไหม อเล็กซ์”

            ริวหันไปถามทางเจอรัลด์อย่างตกใจ ซึ่งนักประดิษฐ์หนุ่มก็รีบติดต่อกับสิ่งประดิษฐ์ของเขา และอเล็กซ์ก็รายงานกลับไปตามตรง

            “ยังเหลืออีกห้าวินาทีครับ... 5 4 3 2 1 ครบสามสิบนาทีพอดีครับ”

            แต่ละคนเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก ริวนั้นหันกลับมามองคนในอ้อมกอด พลางกระซิบเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

            “กีรติ...ได้โปรด ฟื้นขึ้นมาทีเถอะ อย่าหลับแบบนี้เลย ...ผมรักคุณนะ กีรติ”

            เรนที่มองอยู่สงสารพี่ชายจับใจ คนอื่น ๆ ก็พากันเงียบกริบ และต่างเตรียมทยอยแยกย้ายจากไป เพื่อเปิดโอกาสให้ริวอยู่กับกีรติตามลำพัง ทว่าเดินกันไปแค่ก้าวสองก้าว พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงครางเบา ๆ จากลำคอคล้ายคนละเมอ ดังจากร่างเล็กที่หลับอยู่

            “อือ...”

            “กีรติ! คุณฟื้นแล้วสินะ!”

            ริวเรียกชื่อคนในอ้อมกอดอย่างตื่นเต้น ส่วนคนอื่น ๆ ก็พากันกรูมารุมล้อม และพอกีรติลืมตาขึ้น ชายหนุ่มก็ต้องพบกับความตกใจแกมประหลาดใจ เมื่อเห็นทุกคนพากันจับจ้องมองมายังเขา แถมแต่ละคนก็ล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มยินดีด้วยกันทั้งสิ้น

            “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ... อ๊ะ...คุณริว...ทำไมผมถึง...”

            กีรติพึมพำด้วยความเขิน เพราะเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมกอดของริวขณะนี้ แถมยังถูกทุกคนจ้องมองเขม็งเข้าให้ด้วยอีกต่างหาก

            “กีรติ...”

            ริวเรียกชื่อคนในอ้อมกอดเสียงแผ่วแล้วกระชับร่างนั้นมาแนบอก จนกีรติสะดุ้งโหยง และแม้จะงุนงงเพียงใดก็ตาม ทว่าความอบอุ่นและอ่อนโยนที่ริวแสดงออก ก็ทำให้เขาไม่คิดจะขัดขืนดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นจากอ้อมกอดนี้แต่อย่างใด

            “ฮะ ๆ ดีจริง ๆ พ้นเคราะห์กันเสียที”

            เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นอย่างโล่งอก จากนั้นแขกไม่ได้รับเชิญแต่ละรายก็ตัดสินใจแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พวกเขาแยกกันไปด้วยความสุขผิดจากก่อนหน้านั้นลิบลับ แต่ยังไม่ทันจะพ้นเขตห้องรับแขก เสียงโทรศัพท์ของเจอรัลด์ที่ดังขึ้นอีกครั้งก็ทำให้ทุกคนหยุดชะงักเท้ากันเสียก่อน

            “ง่า...คุณปัณณ์โทรมาอีกรอบแล้วล่ะครับ”

            เจอรัลด์บอกไม่เต็มเสียง แม้จะรู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ ก่อนมองเบอร์อยู่บ้างก็ตาม

            “ไง! ตกลงช่วยได้ทันเวลาไหมล่ะ! เมื่อครู่ว่าจะบอกแล้ว แต่พอดีเจอคนมาทวงค่ากับข้าวเสียก่อน เลยไม่ได้บอกน่ะ ฮะ ๆ”

            เสียงปัณณ์ดังขึ้นผ่านลำโพงมือถืออย่างร่าเริง ทำเอาแต่ละรายในที่นั้นยกเว้นกีรติ เริ่มไม่สบอารมณ์ปนหมั่นไส้ขึ้นมาเล็กน้อย

            “อ๊ะ! มัวแต่คุยเดี๋ยวจะลืมอีก ฉันจะโทรมาบอกว่า ถ้าไม่ทันเวลาจริง ๆ ก็ไม่ต้องซีเรียสอะไรหรอกนะ เดี๋ยวฉันไปถอนคำสาปให้เอง สาปได้ก็ถอนได้อยู่แล้ว  อ้อ! จะมาบอกแค่นี้ล่ะ!”

             บอกจบปัณณ์ก็ตัดสายทิ้งไปโดยไม่คิดสนทนาต่อ ทำเอาเจ้าของโทรศัพท์อย่างเจอรัลด์ถึงกับกระพริบตาปริบ ๆ ส่วนบรรดาคนที่เครียดกันไปก่อนหน้านั้น ออกอาการนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่เลยทีเดียว

            “เอ่อ...ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือครับ”

            และแม้จะหงุดหงิดปวดหัวกันสักเพียงใด ทว่าคำถามด้วยสีหน้างุนงงของกีรติ ก็เรียกทุกคนกลับมาจากภวังค์จนได้ จากนั้นเสียงหัวเราะจึงดังประสานกันไปทั่วบ้านไม่เว้นกระทั่งริวเองก็ตาม โดยที่กีรติก็ได้แต่มองคนโน้นทีคนนี้ที อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอยู่ดีนั่นเอง

 

            หลังจากเหตุการณ์ทั้งหลายผ่านพ้นไปด้วยดี แฟนธอมก็หันไปบอกลาริวและรุ่นน้องของเขา

            “ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อนนะริว... ส่วนนายอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักก็ได้กีรติ เดี๋ยวฉันไปอยู่ยามช่วงบ่ายให้แทน เพราะถ้าจะให้นอนตอนนี้ก็หลับไม่ลงแล้วล่ะ”

            เจอรัลด์พอได้ยิน ก็รีบอาสาตามไปอยู่ยามด้วยคน แต่ก็ถูกชายหนุ่มสั่งห้ามทันที

            “ไม่ได้! นายน่ะกลับไปซ่อมหุ่นยนต์หมาแมวนั่นให้เสร็จก่อนเถอะ!”

            เจอรัลด์ชะงักกึก พลางส่งยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างที่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมไปเสียสนิท

            “เอ่อ...ผมว่าบางทีพวกมันคงจะไม่อยู่รอให้ผมซ่อมแล้วล่ะครับ”

            คนอื่นที่ยังเดินไม่พ้นเขตบ้านพักพากันสะดุ้งโหยง เพราะมัวแต่ตกใจเรื่องของกีรติ ทุกคนจึงนำหุ่นยนต์แช่แข็งนั่นมากองรวมกันไว้หน้าบ้านพักของเจอรัลด์ ซึ่งดูจากเวลาที่ริวเคยบอก น้ำแข็งที่ขังแต่ละตัวเอาไว้ก็น่าจะละลายกลับเป็นปกติเรียบร้อยหมดแล้ว

            “เจอรัลด์... อย่าบอกนะว่าก่อนจะมาที่นี่ นายยังไม่ได้จับพวกนั้นขังกรงไว้ก่อนน่ะ”

            แฟนธอมถามด้วยสายตาคาดคั้น ทำเอาเจอรัลด์ต้องแก้ตัวกลับไปเสียงอ่อย

            “กะ...ก็ ผมคิดว่าคุณริวไม่น่าจะใช้เวลาจูบกับคุณกีรตินานเท่าไรนัก ผมก็เลยไม่ได้จับพวกมันขังเอาไว้น่ะครับ”

            คำตอบของเจอรัลด์ ทำเอาริวถึงกับทำตาปริบ ๆ ส่วนกีรติพอได้ยินคำว่าจูบ ชายหนุ่มก็หน้าแดงวาบ แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ตาม

            “ให้ตายเถอะ! ป่านนี้หนีออกจากหมู่บ้านกันไปหมดแล้วมั้ง! อเล็กซ์ พวกนั้นหนีกันไปนานแล้วหรือยังน่ะ! แล้วทำไมนายถึงไม่แจ้งให้พวกเราทราบเลยหา!”

            แฟนธอมหันมาโวยใส่คนรักและสิ่งประดิษฐ์ของเจ้าตัวในคราเดียวกัน ทำเอาเจอรัลด์ต้องกลืนน้ำลายลงคอ ส่วนอเล็กซ์รีบชี้แจงตามมา ก่อนจะโดนแฟนธอมบ่นใส่หนักยิ่งกว่านี้

            “ผมเห็นทุกคนกำลังเป็นห่วงเรื่องของคุณกีรติ จึงยังไม่ได้แจ้งน่ะครับ อีกอย่างข้อมูลที่ถูกโจรกรรมก็มีเพียงข้อมูลงานทดลองตัวล่าสุดที่มาสเตอร์คิดค้นมาแค่ไฟล์เดียวเท่านั้นเองครับ!”

            เจอรัลด์นิ่งคิดพลางทำเสียงฮึมฮำในลำคอ แล้วสักพักจึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าตัว   

            “ถ้าเป็นไฟล์นั้นไฟล์เดียว ผมว่าไม่ต้องซีเรียสกันหรอกครับ ข้อมูลที่ถูกขโมยไป เป็นแค่ข้อมูลของอาวุธชีวภาพที่ผมคิดค้นขึ้นมา มันก็แค่เชื้อไวรัสธรรมดาที่สามารถเปลี่ยนคนให้กลายสภาพเป็นเหมือนซอมบี้ได้เท่านั้นเอง”

            คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ทุกคนเงียบกริบไปชั่วขณะ แล้วจึงโพล่งขึ้นตามมาแทบจะพร้อม ๆ กัน   

            “แบบนั้นมันธรรมดาตรงไหนกัน หา!”

            เสียงประสานลั่นห้องทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง แล้วจึงรีบอธิบายให้ทุกคนฟังยกใหญ่

            “ธรรมดาจริง ๆ นะครับ! ก็ถ้าฉีดวัคซีนเข้าไปแล้ว คนถูกฉีดก็จะเป็นเหมือนซอมบี้ ไม่กิน ไม่นอน ไม่มีความรู้สึก  ไม่ได้เป็นแบบในหนังที่เที่ยวไปไล่กัดแพร่เชื้อใครหรอกนะครับ…ที่สำคัญมันมีผลแค่ 24 ชั่วโมงเอง และหากไม่มีวัตถุดิบหลักที่เป็นเลือดของผม ก็ไม่มีทางสร้างได้เองหรอกครับ!”

            คนฟังบางคนทำเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ยังมีหลายคนขมวดคิ้วงุนงง ว่าเจอรัลด์จะทำของพวกนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร

            “ผมสร้างเอาไว้ก่อนหน้านั้นสักพักแล้วล่ะครับ ลำพังศัตรูที่เป็นหุ่นยนต์ก็ลงมือกำจัดได้ไม่ลำบากนัก แต่ถ้าเป็นพวกสิ่งมีชีวิต ต่อให้เป็นอมนุษย์ก็เถอะ จะให้เข่นฆ่ากันในเขตหมู่บ้านก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ ผมเลยคิดค้นไวรัสตัวนี้ขึ้น โดยตั้งใจจะให้แต่ละคนเก็บไว้ หากเจอศัตรูร้าย ๆ ที่จำต้องลงมือรุนแรงใส่ ก็จะได้ฉีดเข้าร่างอีกฝ่ายเพื่อสตาฟเอาไว้ชั่วคราว  แล้วจะจัดการยังไงต่อไปก็ค่อยว่ากันทีหลัง ...พวกคุณก็รู้ไม่ใช่หรือครับ ว่าผมเป็นพวกนักสันตินิยมน่ะ!”

            หลังเจอรัลด์พูดจบเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทว่าครั้งนี้แต่ละคนคนก็ล้วนมีรอยยิ้มแตกต่างจากก่อนหน้านั้น พวกเขาพากันแยกย้ายกลับไปพักผ่อน แม้จะรู้สึกเสียดายเรื่องสัตว์เลี้ยงมากก็ตามที

            “แล้วอย่างนี้ผมจะไปอยู่ยามเป็นเพื่อนคุณแฟนธอมได้หรือยังครับ”

            เจอรัลด์ที่เดินออกจากบ้านริวพูดอ้อนคนที่เดินมาข้าง ๆ เขา ทางด้านแฟนธอมค้อนให้นิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอันใด ทว่าใบหูขาวที่บัดนี้แดงระเรื่อน้อย ๆ ก็ทำให้เจอรัลด์ยิ้มกว้าง แล้วจึงเดินตามชายหนุ่มไปเงียบ ๆ โดยไม่ซักไซ้ต่อให้แฟนธอมต้องเขินมากไปกว่านี้

           

            เมื่อแขกไม่ได้รับเชิญทยอยออกจากบ้านกันไปหมดแล้ว เรนก็เหลือบมองพี่ชายและคนในอ้อมกอดของพี่ตน ด้วยใบหน้าระบายยิ้ม ก่อนจะแสร้งเปรยขึ้นบ้าง

            “คุไร! ชิโระ! พวกเราไปเตรียมมื้อกลางวันกันเถอะ!”

            สัตว์อสูรทั้งสองฟังแล้วก็หันไปเหลือบมองพวกริว ทั้งคู่ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงทำเป็นขานรับคำและเดินตามเรนไปติด ๆ และเมื่อทั้งห้องเหลือเพียงกีรติกับริว ทางด้านหนุ่มญี่ปุ่นจึงลอบถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยร่างในอ้อมกอดของเขาให้เป็นอิสระอยู่ดี

            “เอ่อ...คุณริวครับ ปล่อยผมก่อนดีไหมครับ”

            กีรติอ้ำอึ้งบอกด้วยใบหน้าเขินอาย ทำให้คนมองยิ่งนึกอยากแกล้งให้เจ้าตัวอายหนักมากขึ้นไปอีก

            “ไม่ได้หรอก...เกิดผมปล่อยแล้วคุณหลับไปอีกครั้ง คงจะไม่ดีแน่”

            น้ำเสียงกระซิบอ่อนโยนใกล้หู ทำให้คนฟังรู้สึกจั๊กจี้ปนเขิน ก่อนจะตอบกลับอุบอิบอย่างไม่เต็มเสียงนัก

            “เอ่อ...ผมยังไม่ง่วงตอนนี้หรอกครับ... คงไม่หลับง่าย ๆ หรอก...”

            กีรติบอกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ทำเอาริวนึกขำที่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ผ่านมาอยู่ดี ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าตัวฟัง ซึ่งกีรติก็มีสีหน้าหลากหลายให้คนเล่าได้อมยิ้มไปตลอดจนเล่าจบ

            “ถะ...ถ้างั้น คุณริวกับผมก็...จะ...จูบกันแล้วหรือครับ”

            กีรติบอกเสียงสั่น ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักขึ้นไปอีก

            “ใช่...แถมผมก็สารภาพรักกับคุณไปแล้วด้วยนะ แต่ตอนนั้นคุณยังหลับไม่รู้เรื่องอยู่  ผมก็เลยตั้งใจจะสารภาพให้คุณฟังใหม่อีกรอบ...อยากฟังไหมล่ะครับ...กี”

            ริวจงใจเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายทำเอาคนถูกเรียกหน้าแดงหนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า

            “ว่ายังไงล่ะครับ กี...อยากฟังคำสารภาพของผมอีกครั้งไหม...หรือว่าไม่อยากฟัง”

            ท้ายประโยคนั้นหนุ่มญี่ปุ่นแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้า จนคนมองสะดุ้งโหยง จึงรีบจับเสื้อของอีกฝ่ายแล้วบอกละล่ำละลักตามมา

            “ยะ...อยากฟังสิครับ...อยากฟังมากที่สุดเลยล่ะครับ!”

            พอพูดจบกีรติก็ชะงักกึกหน้าแดงก่ำ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าเผลอพูดเรื่องน่าอายออกไป ส่วนริวที่ทำเป็นแกล้งเศร้า กำลังมีสีหน้าตกตะลึงต่อคำพูดจริงจังของคนตัวเล็กในอ้อมกอด แต่สักพักชายหนุ่มก็กลับมีรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วเอ่ยสารภาพออกไปอีกครั้ง

            “ผมรักคุณนะกี...แล้วคุณล่ะ รักผมเหมือนกันไหม”

            แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่า หากกีรติไม่มีใจให้เขา ก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาจากคำสาปของปัณณ์ ทว่าริวก็ยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้อยู่ดี จนกว่าจะได้ยินจากปากของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

            “ผะ..ผม ก็คิดว่าตัวเอง เอ่อ...รักคุณนะครับ...คุณริว”

            ริวขมวดคิ้วกับคำสารภาพที่ดูลังเลนั่น แต่พอเห็นอาการหลุบตาหลบด้วยความเขินอายของกีรติยามนี้ ก็ทำให้เขาหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา พลางหวนระลึกได้ว่ากีรติเองก็ยังไร้ประสบการณ์ด้านความรัก และเวลาที่พวกเขารู้จักกันมันก็ช่างสั้น จนอีกฝ่ายอาจจะยังไม่แน่ใจเรื่องความรักที่มีต่อเขา

            “เอ่อ...คุณริวไม่พอใจหรือเปล่าครับ...ที่ผมไม่พูดให้ชัดเจนไปเลย”

            กีรติที่เห็นริวเงียบไป เงยหน้ามองอย่างรู้สึกผิด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา

            “ไม่หรอก...ผมดีใจนะ ที่ไม่ถูกกีปฏิเสธน่ะ”

            กีรติหน้าแดงวาบพลางก้มหน้าหงึกหงักตอบรับ ถึงจะยังไม่ชินเวลาได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นของเขาเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มก็อดยอมรับไม่ได้ว่า มันช่างฟังดูอบอุ่นและสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับเขายิ่งนัก

 

            “เอ่อ...ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ แต่พอดีคุณแฟนธอมโทรมาจากป้อมยาม บอกว่ามีคนมาขอพบคุณกีรติ และตอนนี้กำลังรออยู่ที่ป้อมน่ะครับ”

            พอได้ยินเสียงของเรน กีรติกับริวก็สะดุ้งโหยงพลางแยกห่างจากกันแทบทันที และเมื่อชายหนุ่มร่างเล็กเริ่มระงับอาการเขินอายได้แล้ว เขาจึงทบทวนในสิ่งที่เรนพูดมาอีกครั้ง

            “มีคนมาพบผม? ใครหรือครับ?”

            เรนนิ่งนึกชื่อที่ได้ยินเมื่อครู่ แล้วจึงบอกให้อีกฝ่ายรับรู้

            “เอ...เท่าที่ฟังคุณแฟนธอมบอกมา รู้สึกว่าเขาจะชื่อ โนอา น่ะครับ”

            กีรติสะดุ้งเฮือกกับชื่อที่ได้ยิน พลางเอ่ยทวนชื่อที่ได้ยินซ้ำอย่างลืมตัว

            “นะ..โนอา มาที่นี่หรือ ...มาได้ยังไงกัน”       

            กีรติพึมพำด้วยใบหน้าตื่นตระหนก อย่างที่ริวไม่เคยได้เห็นมาก่อน ทว่ายังไม่ทันที่หนุ่มญี่ปุ่นจะซักถามอะไร อีกฝ่ายก็หันขวับมามอง แล้วพูดขึ้นเร็วปรื๋อ

            “คุณริวครับ! ผมขอตัวสักครู่นะครับ!”

            กีรติบอกจบก็รีบวิ่งผลุนผลันออกจากบ้านพักของริว มุ่งตรงไปที่ป้อมยามทันที ส่วนริวนั้นหลังจากตั้งสติได้ เขาก็รีบเร่งฝีเท้าตามมาติด ๆ ก่อนจะหยุดชะงักเล็กน้อย เมื่อได้เห็นแขกของกีรติถนัดตา

            คนซึ่งมาขอพบกีรตินั้น เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมสูทสีเทาตัดเย็บประณีตทั้งชุด ดูจากใบหน้าแล้วยังอ่อนเยาว์และมีวัยใกล้เคียงกับกีรติ เส้นผมสีทองซึ่งถูกไว้ยาวปรกคอและนัยน์ตาสีฟ้าสดใสนั่น บ่งบอกถึงความเป็นชาวต่างชาติอย่างชัดเจน แถมเจ้าตัวยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตามากคนหนึ่งทีเดียว

 

            อีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มผมทองที่กำลังยืนเหม่อมองชมวิวในหมู่บ้าน รีบหันขวับกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้าใกล้ตน และพอเห็นว่าเป็นกีรติ  เด็กหนุ่มก็เบิกตากว้างด้วยความยินดี พลางวิ่งตรงไปสวมกอดร่างเล็กนั่น โดยไม่สนสายตาของคนอื่นที่ยืนอยู่ด้วยแถวนั้นแม้แต่น้อย

            “คี! ในที่สุดก็ได้เจอกัน! ผมคิดถึงคีมากเลยรู้ไหม!”

            แม้จะแปลกใจอยู่บ้างในเรื่องที่เด็กหนุ่มผมทองสามารถทักทายเป็นภาษาไทยได้อย่างชัดเจน ทว่าภาพที่อีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มของคนที่เขาเพิ่งจะสารภาพรักด้วยมาหมาด ๆ  ก็ทำเอาริวนั้นชักจะเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย     

            “เดี๋ยว...ปล่อยก่อน...เรามีเรื่องต้องคุยกันก่อนนะ โนอา!”

            กีรติดันร่างของคนตัวสูงกว่าเขาเกือบยี่สิบเซนติเมตรให้ออกห่าง พร้อมกับขมวดคิ้วยุ่งใส่ ทว่าอีกคนก็ยังคงมีรอยยิ้มตอบเช่นเดิม

            “เขาเป็นใครหรือกี...”

            ริวที่เดินตามมาเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่นั่นกลับทำให้กีรติสะดุ้งโหยง เพราะดูจากสีหน้าและแววตาของหนุ่มญี่ปุ่นแล้ว เหมือนริวจะไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่มากทีเดียว  ทว่ายังไม่ทันที่กีรติจะตอบอะไร เด็กหนุ่มผมทองก็เดินเข้ามาทางด้านหลังของคนตัวเล็ก พลางโอบคอกอดพร้อมกับหอมแก้มของกีรติอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าเผชิญกับริว พร้อมยิ้มที่มุมปากนิด ๆ ก่อนจะตอบคำถามนั้นแทนคนที่ตนกอดอยู่

            “ผมน่ะหรือ...ผมก็เป็นคนสำคัญที่สุดของคีน่ะสิ!”       

 

... TBC ...
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-09-2013 12:16:28

บทที่ 20
ชาติกำเนิด

 

        ริวถึงกับเงียบกริบหลังจากโนอาพูดจบ แต่ก็ยังคงพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ เพราะเขาพอจะมองออกว่า โนอาจงใจพูดเพื่อที่จะท้าทายเขาเรื่องกีรติโดยตรง   

        “หรือครับ...เพิ่งจะเคยได้ยินนะครับ ว่าคุณกีรติเขามีคนสำคัญขนาดนี้อยู่ด้วย...จะไม่แนะนำให้ผมรู้จักเขาสักหน่อยหรือครับ คุณกีรติ”

        ริวยิ้มพร้อมตอบกลับไปอย่างสุภาพ  ทว่าคนที่คุ้นเคยกันดีต่างพอจะมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังโมโหอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกีรติถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ที่หนุ่มญี่ปุ่นจงใจกลับมาเรียกชื่อเขาเต็มยศแถมใส่คุณนำหน้าให้ตามเดิมเช่นนั้น     

        “คี! ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน! คงไม่ใช่คนสำคัญที่คีเคยขอให้ท่านอาไรอันช่วยเขาใช่ไหม!”

        โนอาพลิกร่างของคนตัวเล็กให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา แล้วคาดคั้นด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะดูจากสายตาของริวแล้ว นอกจากจะฉายแววไม่พอใจในตัวเขา มันยังมีความหึงหวงปะปนมาให้เห็นอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

       “เอ๋!  ทำไมถามแบบนั้นล่ะ! อย่าบอกนะว่าท่านอาไรอันเล่าเรื่องนั้นให้ฟังน่ะ!”

        กีรติย้อนถามกลับไปอย่างตกใจ ทว่าคนอื่น ๆ ที่ฟังอยู่พากันชะงัก เพราะคนตัวเล็กนั้นเผลอถามกลับไปด้วยภาษาท้องถิ่นอย่างลืมตัวนั่นเอง

       “ผมจะรู้มาจากไหน คีไม่ต้องสนหรอก! ตอบคำถามของผมก่อนหน้านั้นมาดีกว่า!”

        เจอรัลด์ที่มองทั้งคู่สนทนาภาษาไม่คุ้นหู ขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อย แล้วจึงตัดสินใจเปรยถาม AI ประจำป้อมขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังเท่าใดนัก   

        “นายคิดว่าเด็กผมทองคนนั่นเกี่ยวข้องกับคุณกีรติยังไงหรืออเล็กซ์”

        “ผมคิดว่าน่าจะเป็นน้องชายของคุณกีรติเขาน่ะครับ ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาประจำชาติเดียวกัน อีกอย่างคุณกีรติเองก็เคยบอกไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า มีน้องชายกับน้องสาวอย่างละคนน่ะครับ”

        คำตอบของอเล็กซ์ที่ค่อนข้างมีเสียงดังตามปกติ ทำให้แต่ละคนที่ได้ยินพากันชะงักด้วยอาการซึ่งแตกต่างออกไป

        “ฮึ! น้องชายแล้วยังไงล่ะ ถึงยังไงผมก็ยังเป็นคนสำคัญที่สุดของคีอยู่ดีนั่นล่ะ!”

        โนอาที่ได้ยินคำตอบของอเล็กซ์และเข้าใจว่าเป็นเสียงพูดของเจอรัลด์ หันขวับกลับมาบอกอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะที่เขาไม่แนะนำตัวเองแต่แรกก็เพื่อต้องการให้คนอื่นเข้าใจผิดเรื่องของเขากับพี่ชายนั่นเอง

        “...ช่างสมกับเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ นอกจากจะมีน้องชายเหมือนกันแล้ว คนเป็นน้องก็ยังเป็นพวกบราค่อนทั้งคู่อีกต่างหาก”

        เจอรัลด์พึมพำ เพราะเกรงว่ากีรติกับโนอาจะไม่พอใจ นอกจากนี้เขาก็ยังกลัวว่าถ้าเรนรู้เข้า เขาจะถูกเขม่นเข้าให้อีกด้วย

        “บราค่อนหรือครับมาสเตอร์ นั่นหมายถึงพวกที่รักพี่ชายน้องชายตัวเองจนผิดปกติใช่ไหมครับ!”

        อเล็กซ์ที่มีระบบตรวจสอบอ่านริมฝีปากคนอื่นได้ โพล่งถามขึ้นเสียงดัง และนั่นก็ทำให้โนอานิ่งอึ้ง ไม่ใช่เพราะเนื้อความจากประโยคดังกล่าว หากแต่เป็นเพราะเสียงไร้ที่ไปที่มานั่นต่างหาก เนื่องจากทีแรกนั้นเขาคิดว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของเจอรัลด์ แม้จะแปลกใจอยู่บ้างว่าเสียงนั้นค่อนข้างแปลกกว่าเสียงพูดทั่วไปไม่น้อย ทว่าครั้งนี้เขาได้ยินและได้เห็นเต็มตาว่า ตอนที่เสียงนั้นดังขึ้น เจอรัลด์ไม่ได้ขยับปากพูดเลยสักนิดเดียว   

        “อเล็กซ์...นายนี่นะ”

        แฟนธอมพึมพำอย่างหงุดหงิด เพราะหากอเล็กซ์ไม่เผลอโพล่งเสียงดังออกมา ก็คงไม่ถูกโนอาจับผิดได้เช่นนี้

        “คี! นี่มันอะไรกันน่ะ!”

        เด็กหนุ่มหันไปถามผู้เป็นพี่อย่างคาดคั้น ทำให้กีรติต้องถอนหายใจยาว และเหลือบมองพวกเจอรัลด์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยักไหล่นิด ๆ พร้อมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้เขาพูดได้

        “ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักหรอก แค่ที่หมู่บ้านนี้มีคุณเจอรัลด์ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ที่เก่งมาก ๆ เขาประดิษฐ์คุณอเล็กซ์ หรือก็คือระบบสมองกลอัจฉริยะที่สามารถคิดและตัดสินใจได้เองเหมือนกับมนุษย์เรา โดยหน้าที่หลักของคุณอเล็กซ์ก็คือ ดูแลรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านยังไงล่ะ”

        เจอรัลด์อมยิ้มเมื่อได้ยินกีรติอธิบายเหมือนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ส่วนแฟนธอมกับริวถอนหายใจไล่เลี่ยกัน และอเล็กซ์นั้นรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย เพราะกีรติแนะนำเขาให้น้องชายรู้จักในนามของสมองกลอัจฉริยะนั่นเอง

        “...เทคโนโลยีที่ไทยนี่ก้าวหน้าไปถึงขนาดนี้แล้วหรือ รู้งี้ผมขอท่านพ่อมาเรียนต่อที่นี่แทนอเมริกาดีกว่า”

        โนอาพึมพำและเชื่อสนิทว่าอเล็กซ์นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกของที่นี่ อย่างที่กีรติพูดมา ทำเอาคนอื่นนอกจากกีรติถึงกับทำตาปริบ ๆ และเริ่มได้คิดว่า บางทีความใสซื่อหัวอ่อนนี้ อาจจะถ่ายทอดกันมาผ่านกรรมพันธุ์ก็เป็นได้

          “ว่าแต่น้องยังไม่ได้ตอบคำถามของพี่เลยนะโนอา ว่าน้องมาที่นี่ได้ยังไงกัน!”

        กีรติคาดคั้นแล้วจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ขมวดคิ้วยุ่ง พร้อมทำตาดุใส่ ทำให้ริวที่ได้เห็นต้องรีบหันไปกลั้นยิ้ม เพราะสีหน้าแบบนั้นมันช่างดูน่ารักมากกว่าน่ากลัวนั่นเอง

        “ฮะ ๆ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับคุณแฟนธอม ว่าอย่างคุณกีรติจะทำตัวเป็นพี่ชายกับเขาได้ด้วย ดูหน้าตาตอนดุน้องนั่นสิครับ น่ารักจริงเชียว”

        เจอรัลด์ที่รู้สึกไม่ต่างจากริวแต่ไม่คิดเก็บไว้ในใจ บอกกับคนข้างกายอย่างนึกขำ ทำเอากีรติสะดุ้งแล้วหันมากระพริบตามองคนพูดปริบ ๆ ส่วนโนอาขมวดคิ้วยุ่งพลางจ้องเจอรัลด์เขม็งเพราะเกรงว่าเจอรัลด์จะแอบสนใจกีรติเข้าให้อีกคนนั่นเอง

         ทางด้านแฟนธอมพอเห็นสายตาของแต่ละคน เขาก็ต้องหลุดยิ้มเจื่อนให้ จากนั้นจึงใช้ศอกกระทุ้งเอวคนรักอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะตัดสินใจลากตัวเจอรัลด์ออกไปห่าง ๆ ป้อมยาม เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องได้คุยกันเป็นการส่วนตัวนั่นเอง



        “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวด้วยเหมือนกัน...”

        ริวแสร้งเปรยขึ้นบ้างแล้วดูท่าทีของกีรติ ทว่าพอได้เห็นใบหน้าลังเลและลำบากใจนั่น ก็ทำให้เขานึกน้อยใจและตัดสินใจเดินกลับที่พักจริง ๆ เพราะแม้ว่าเขาจะอยากอยู่รับฟังเพียงใด แต่ในเมื่อกีรติยังไม่พร้อมเล่าเรื่องส่วนตัวให้เขารับรู้ เขาก็ไม่ควรจะอยู่ต่อให้เสียมารยาทยิ่งไปกว่านี้

        “ดะ...เดี๋ยวก่อนครับคุณริว!”

        กีรติรีบเรียกชื่อคนที่กำลังหันหลังเดินกลับบ้านพักอย่างลืมตัว แล้วก็ต้องหลุดอาการสับสนอีกครั้งเมื่อริวหันกลับมา จนโนอาที่มองอยู่ขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะไม่เคยเห็นพี่ชายแคร์ใครขนาดนี้มาก่อน

        “ถ้าไม่มีธุระอะไรสำคัญ ผมคงต้องขอตัวก่อน ...เพราะถ้าขืนผมยังยืนอยู่ที่นี่ต่อ คุณก็คงจะลำบากใจในการสนทนาเรื่องส่วนตัวกับน้องชายของคุณไม่ใช่หรือครับ...คุณกีรติ”

        ริวฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย แล้วหันกลับเดินจากไปโดยไม่คิดสนใจรอฟังว่ากีรติจะตอบอะไรเขา คำสุภาพเกินจำเป็นและท่าทางเหินห่างนั่นทำให้กีรติใจหายวาบ แล้วจึงวิ่งไล่ตามอีกฝ่ายไป โดยลืมว่ายังมีโนอายืนอยู่ตรงนั้นอีกคน

        “คุณริว! ขอโทษนะครับ...ผมขอโทษ”

        กีรติโผเข้ากอดอีกฝ่ายจากด้านหลังแน่น เพราะกลัวว่าริวจะโกรธและเลิกรักเขา แต่แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อมือใหญ่เลื่อนมาเกาะกุมมือของตนซึ่งโอบร่างของอีกฝ่ายอยู่ ก่อนที่เจ้าของมือจะเอ่ยตามมาแผ่วเบา

        “คุณไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ...คุณไม่ได้ทำผิดอะไรสักนิด คนที่ผิดคือผมเองต่างหาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคุณคงมีความจำเป็น แต่ก็ยังทำให้คุณต้องลำบากใจแบบนี้อีก...”

        กีรติสั่นศีรษะไปมา โดยไม่ยอมคลายอ้อมกอดของเขา ก่อนจะตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น

        “ผะ...ผม อยากบอกเรื่องทั้งหมดของผม ให้คุณริวได้รู้จริง ๆ นะครับ ...ผมไม่อยากปกปิดอะไรไว้เลย...ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญากับพ่อของผมไว้...ผมก็พร้อมจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวผม...ให้คุณริวได้รู้เป็นคนแรกเลยล่ะครับ”

          ริวนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ ชายหนุ่มมั่นใจเหลือเกินว่า กีรตินั้นไม่ได้ต้องการพูดประจบเอาใจเขา เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์ ซื่อตรงเพียงใด ยิ่งเมื่อหวนคิดถึงถ้อยคำที่เจ้าตัวย้ำว่าอยากให้เขารับรู้เรื่องส่วนตัวทั้งหมด และอยากบอกให้เขารู้เป็นคนแรก ก็ทำให้ริวรู้สึกยินดีเป็นที่สุด   



         หนุ่มญี่ปุ่นจัดการบรรจงแกะมือของกีรติที่กอดเขาอยู่ออก เพื่อตั้งใจจะหันกลับไปสวมกอดอีกฝ่ายเป็นการแสดงความรักและแทนคำขอบคุณที่กีรติใส่ใจความรู้สึกเขาเสมอมา  ทว่ากีรติที่กำลังเสียใจและสับสน ถึงกับชะงักอย่างตกใจ และเผลอคิดเอาเองว่าริวนั้นต้องการให้เขาปล่อยมือ เพราะยังคงโกรธและไม่พอใจเขาอยู่

        “ไม่นะ...ผมไม่ปล่อยหรอก...ฮึก...ถ้าคุณริวยังไม่หายโกรธ...ผมก็จะไม่ยอมปล่อยคุณหรอกครับ...”

        กีรติก้มหน้าบอกเจือสะอื้น ทำเอาริวสะดุ้งเฮือก และกำลังจะอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เริ่มต้นพูดอะไรสักคำ โนอาที่ยืนมองอยู่ไม่ห่างก็เดินตรงดิ่งมาหาคนทั้งสอง เด็กหนุ่มดึงแขนกีรติออกมาให้ห่างริว พร้อมกับโพล่งใส่ด้วยความโมโหอย่างลืมตัว

        “คุณกล้าดียังไงที่คิดจะทิ้งขว้างพี่ชายผม! คนเพียบพร้อมทั้งนิสัย หน้าตาและความรู้อย่างคีน่ะ ต่อให้คุณพลิกแผ่นดินหาให้ตายก็หาไม่ได้อีกแล้วรู้ไหม!”

        ริวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่านอกจากจะถูกกีรติเข้าใจผิดแล้วน้องชายของเจ้าตัวก็ยังเข้าใจเขาผิดอีกต่างหาก

        “เอ่อ...ทั้งสองคน รบกวนช่วยใจเย็น ๆ ฟังผมพูดก่อน...”

        ริวพยายามจะอธิบายให้ฟัง แต่โนอานั้นโมโหจัด จนไม่คิดฟังคำแก้ตัวใด ๆ อีก

        “กลับกันเถอะคี! อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย! ผู้ชายที่ไม่เห็นคุณค่าของคีแบบเขา ไม่คู่ควรกับความรักของเจ้าชายรัชทายาทแห่งลาซาอย่างคีหรอกนะ!”

        ขาดคำของโนอา กีรติและริว รวมไปถึงผู้พูดเอง ก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพราะจู่ ๆ ก็เกิดเสียงประสานจากแต่ละบ้านละแวกนั้น ดังขึ้นแทบจะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

        “อะไรนะ! เจ้าชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ!”

        กีรติซึ่งกำลังอยู่ในความเศร้าถึงกับเงียบกริบ แล้วจึงค่อย ๆ หันไปมองที่ป้อมยาม พลางกระพริบตาปริบ ๆ อย่างนึกสังหรณ์ใจบางอย่าง ทางด้านอเล็กซ์เห็นแบบนั้น จึงชิงอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยฉะฉาน เหมือนดังเดิมเท่าใดนัก

        “ผมก็แค่ต้องการถ่ายทอดสด สถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อความรักของพวกคุณให้แต่ละบ้านรับรู้เท่านั้นล่ะครับ...เกิดมีปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ทุกคนจะได้มาร่วมมือช่วยแก้ไขปัญหา แหม...ก็ทุกคนที่นี่อยู่กันแบบครอบครัวไม่ใช่หรือครับ”

        กีรติถอนหายใจแผ่วเบา แล้วจึงฝืนยิ้มให้กับ AI ประจำป้อม ส่วนโนอานั้นยังคงยืนงุนงงด้วยความสับสน ตั้งแต่ตอนได้ยินเสียงตะโกนประสานเสียงไปทั่วหมู่บ้านนั่นแล้ว

        “เรื่องตัวตนที่แท้จริงของคุณน่ะช่างมันก่อนเถอะกีรติ ...แต่คุณกับน้องชายกำลังเข้าใจผมผิดเรื่องเมื่อครู่นี้รู้ไหม!”

        แม้จะตกใจเรื่องชาติกำเนิดของกีรติขนาดไหน แต่ริวก็ยังไม่มีเวลาจะไปคิดมากเรื่องนั้น เพราะตอนนี้เขาต้องการอธิบายให้กีรติเข้าใจตนเสียก่อน   

        “เอ่อ...แล้วคุณริวไม่โกรธที่ผมปิดบังเรื่องฐานะของผมหรือครับ”

        กีรติที่ตกใจจนลืมความเศร้าก่อนหน้านั้นเสียสนิท เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อริวส่งยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับเดินเข้ามาโอบกอดร่างของเขาไว้แนบอก   

        “ไม่โกรธหรอก แต่น้อยใจมากกว่า เพราะดันเผลอคิดเข้าข้างตัวเองว่า หลังจากวันที่กีช่วยเรื่องของผมกับเรนผ่านไปแล้ว คุณอาจจะแอบมาบอกผมเรื่องของคุณแค่คนเดียวเท่านั้นก็ได้”

        ริวบอกพร้อมรอยยิ้มที่ไม่สดใสนัก ทำเอากีรติยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ เมื่อเห็นดังนั้นหนุ่มญี่ปุ่นจึงสั่นศีรษะคล้ายระอา แล้วชะโงกหน้ามาจูบแก้มของคนตัวเล็กเบา ๆ ทำเอาคนที่มีใบหน้าเศร้าเปลี่ยนมาเป็นหน้าแดงแทน

         “เดี๋ยวก่อนสิ! ตกลงคุณคิดยังไงกับพี่ชายของผมกันแน่! เมื่อครู่นี้คุณกำลังจะทิ้งคีไม่ใช่หรือไง!”

        เสียงของโนอาผู้หวงพี่ชายโพล่งขัดบรรยากาศสวีทหวานที่เริ่มก่อตัวของคู่รักคู่ใหม่ ทำเอาริวต้องถอนหายใจยาวอย่างระอา เพราะไม่ใช่เพียงแต่โนอาจะยังไม่หายเข้าใจผิดเท่านั้น คนที่กำลังหน้าแดงในอ้อมกอดของเขา ก็มีแววตาสงสัยในตัวเขาไม่แพ้ผู้เป็นน้องชายเช่นกัน

        “ก็นี่ล่ะที่จะอธิบายให้ฟังเมื่อครู่ แต่ดันโดนขัดจังหวะอะไรหลาย ๆ อย่างเสียก่อน”

        ริวพยายามอธิบายอย่างใจเย็นโดยไม่ให้หลุดสีหน้าหงุดหงิดออกไป เนื่องจากตอนนี้ชาวหมู่บ้านแต่ละคนต่างทยอยกันออกมาเกาะรั้วบ้านตัวเองบ้าง เดินจากซอยอื่นมามุงดูอยู่ห่าง ๆ บ้าง ด้วยความสนอกสนใจเป็นพิเศษ

        “เมื่อครู่นี้น่ะ ผมตั้งใจจะหันกลับมากอดคุณ เพราะรู้สึกดีใจในสิ่งที่คุณพูดต่างหาก ไม่ได้อยากให้คุณปล่อยเพราะยังโกรธคุณอยู่ อย่างที่คุณเข้าใจผิดไปเองหรอกนะ”

        ริวพยายามทำเป็นไม่สนสายตาอยากรู้อยากเห็นของสมาชิกร่วมหมู่บ้าน ชายหนุ่มอธิบายอย่างตรงไปตรงมา เพราะหากขืนเขาอธิบายอ้อมค้อมไม่ชัดเจนออกไป ทั้งกีรติและโนอาก็อาจจะเข้าใจผิดอีกรอบก็เป็นได้

        “เมื่อครู่นี้...คุณริวตั้งใจจะ...กอดผม...หรอกหรือครับ”

        กีรติทวนคำติดขัดด้วยความอายที่เข้าใจผิดไปเอง ส่วนโนอานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เด็กหนุ่มลองคิดทบทวนดู ก็เห็นเหมือนว่าริวนั้นพยายามแก้ตัวให้พวกเขาฟังจริง ๆ

        “...ผมต้องขอโทษคุณด้วย เรื่องที่ผมเข้าใจคุณผิดเมื่อครู่นี้”

        โนอาโค้งศีรษะให้ริวพร้อมคำขอโทษ ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านแอบอมยิ้ม เพราะแม้จะค่อนข้างเอะอะโวยวายไปสักหน่อย แต่โนอาก็ถือได้ว่าเป็นเด็กดีไม่แพ้กับกีรติผู้เป็นพี่เช่นกัน

        “อ๊ะ! ผมก็ต้องขอโทษคุณริวเหมือนกันนะครับ ที่ดันคิดเองเออเองไปใหญ่โตแบบนั้น!”

        กีรติซึ่งนึกขึ้นได้ ก็รีบโค้งขอโทษหนุ่มญี่ปุ่นเช่นเดียวกับน้องชายของตน แล้วจึงเงยขึ้นสบตากับคนตรงหน้าอย่างยังคงเขินอายไม่หาย

        “ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมก็ผิดเองที่ปากหนักไปหน่อย”

        ริวบอกกับคนทั้งคู่พร้อมรอยยิ้ม และแม้โนอาจะไม่สบอารมณ์ที่พี่ชายถูกแย่งไป แต่เท่าที่เขาได้เห็นเองกับตา กีรตินั้นรักริวจริง ๆ ส่วนริวเองก็ให้ความสำคัญกับพี่ชายของเขาแทบไม่แตกต่างกันนัก

        “ฮึ! ปกติก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาอยู่แล้ว ลองมีคนรักแบบนี้ ก็คงไม่คิดจะกลับลาซาเลยสินะ!”

        โนอาบ่นประชดอย่างนึกงอน ทำให้กีรติต้องรีบหันกลับมาปลอบน้องชายของตน ก่อนที่โนอาจะงอนมากไปยิ่งกว่านี้         

         “น้องก็รู้ว่าพี่จำเป็น...เพราะพี่ต้องรักษาสัญญากับท่านพ่อนี่นา”

        โนอาทำหน้ามุ่ย แล้วจึงบ่นอุบอิบถึงบิดาของตน

        “ฮึ! ท่านพ่อก็เหมือนกัน ...เข้าใจหรอกนะว่าคนที่เป็นเจ้าชายรัชทายาทในทุกรุ่นจะต้องออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกจนกว่าจะอายุครบ 25 ปี แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องมาตกระกำลำบากแบบที่คีเป็นอยู่เลยนี่นา…ดูสิ ก่อนออกจากประเทศตัวเล็กยังไง ตอนนี้ก็ยังตัวไม่โตไปกว่าเดิมเลย ...คงอดมื้อกินมื้อทุกวันสินะคี”

        โนอาบอกอย่างนึกสงสารพี่ชายจากใจจริง ทว่านั่นกลับทำให้คนฟังชะงักแล้วส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้คนเป็นน้อง ส่วนพวกชาวบ้านก็ต่างพากันอมยิ้มด้วยความเอ็นดูแกมขบขัน  เนื่องจากก่อนหน้านั้นเคยมีบางคนถามกีรติคล้าย ๆ กับที่โนอาสงสัย แต่ก็ได้รับคำตอบยืนยันหนักแน่นจากเจ้าตัวว่า ได้กินข้าวครบสามมื้อทุกวัน แถมยังกินผักผลไม้และนมบำรุงตามปกติ ทว่าส่วนสูงที่มีก็ไม่ค่อยเพิ่มขึ้นสักเท่าใดอยู่ดีนั่นเอง   

 

... TBC ...


ตอนหลังจากนี้คงไม่ได้โพสต่อเนื่องเหมือนเคยแล้วนะคะ และเรื่องหลัง ๆ จะเป็นเรื่องของทางกีรติและริวเป็นหลัก แต่ก็ยังมีตัวละครอื่นแจม ๆ เรื่อย ๆ สำหรับคู่อื่น ๆ หรือรายอื่น ๆ ที่ยังไม่มีคู่ จะจับไปเขียนเป็นลักษณะตอนพิเศษหลังจบภาคหลักแทนค่ะ  อยากอ่านใคร คู่ใคร ก็เล็ง ๆ แล้วบอกไว้ได้นะคะ คู่ไหนป๊อบมาก ๆ และน่าจะเป็นไปได้ จะหยิบมาเขียนค่ะ  ^^
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-09-2013 12:35:39
แบบนี้ก็แฮปปี้ดีน๊า
แล้วโนอากับเรนจะเจอกันมั้ย จะได้เพิ่มคู่รักอีก1คู่ 55555
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 27-09-2013 13:52:35
ตอนนี้ต้องลุ้นว่าเหลือคู่ไหนอีก
กีกับริวเข้าใจกันแล้ว แต่หวังว่าคงไม่ต้องพรากจากกันหรอกนะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 27-09-2013 14:20:15
กีเป็นรัชทายาทซะด้วย
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 27-09-2013 14:50:42
กีรติเป็นหนุ่มน้อยรัชทยาทนี่เองแล้วจะมีอุปสรคคเรื่องชนชั้นมั้ยนะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Thyme103 ที่ 27-09-2013 17:29:18
เป็นเจ้าชายรัชทายาทด้วยอ่ะ

แล้วงี้แล้วริวเราต้องฝ่าด่านอะไรรึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 27-09-2013 17:33:19
ความเป็นรัชทายาทของกีรติคงไม่ทำให้ความรักของทั้งคู่วุ่นวายใช่มั้ย  o18

อยากอ่านคู่โนอากะเรนค่ะ

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 27-09-2013 18:15:05
โอ้ววววว คีน่ารักกก ชอบ แล้วจะเป็นไงหนอ
รักระหว่างรัชทายาทกับองเมียว
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 27-09-2013 20:11:35
สนุกมา ชอบกี ชอบแฟนธอม ตอนแรกนึกว่าจะคู่กัน
ที่ไหนได้ เคะทั้งคู่ อิอิ
แต่น่ารักเนอะ มีอีกหลายๆคู่ใช่มั้ย
รอๆๆๆ

ปล.ให้น้องชายคู่กับน้องชายได้มั้ยยย
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 27-09-2013 20:39:26
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 27-09-2013 21:08:37
ขอคู่โนอาเรนๆๆๆๆๆ :mc4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 27-09-2013 21:10:34
อ้าวเป็นเจ้าชายไปซะละ งี้ก็ต้องกลับประเทศดิ

แต่แอบชอบคุณลีอะ จะมีคู่กับเค้าไมหนออ :katai1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 19-20 (27/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: KhunToOk ที่ 28-09-2013 00:28:54
เพิ่งเข้ามาอ่าน ......... ไปมุดหัวอยู่ไหนมาน้อเรา  :z3:

เรื่องนี้โดนใจมากเลยค่ะ น่ารักกันทุกคนเลย อิอิ

รอตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้าา  :L2:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-09-2013 15:18:47
พอดีปัดเพิ่งปั่นตอน 23 เสร็จ เลยเอา 21 - 22 มาโพสให้อ่านกันต่อเนื่องไปก่อนค่ะ  หลัง ๆ คงจะได้ทยอยลงทีละตอนแล้วนะคะ ^^ จะได้อ่านทันปัจจุบันกันไปเลยล่ะนะคะ 



บทที่ 21
พูดคุย



          ริวมองคนรักของเขาที่กำลังส่งยิ้มเจื่อนเรื่องส่วนสูงของเจ้าตัวอย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยตัดบทขึ้นเสียก่อนที่สองพี่น้องจะยึดถนนกลางซอยเป็นที่ยืนคุยกันต่อไปเรื่อย ๆ ดังเช่นที่เป็นอยู่

        “ผมว่าพวกคุณสองคน ไปหาที่นั่งคุยสบาย ๆ กันดีกว่านะครับ ...ยืนอยู่ตรงนี้นอกจากจะอากาศร้อนแล้ว ยังไม่ค่อยสะดวกอะไรอยู่หลาย ๆ อย่างด้วย”

        กีรติและโนอาฟังที่ริวบอก ก่อนจะชะงักเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าแต่ละคนกำลังจ้องพวกเขาเขม็งด้วยสายตาสนอกสนใจเป็นพิเศษ

        “เฮ้อ...ไปบ้านผมดีไหม อ้อ...เฉพาะกีกับคุณโนอาเท่านั้นนะครับ ไหน ๆ พวกคุณก็มีอเล็กซ์คอยถ่ายทอดสดให้ดูถึงบ้านแล้วนี่ครับ ...คงไม่จำเป็นจะต้องตามไปแออัดยัดเยียดในบ้านของผมอีก…จริงไหมครับ”

        ริวบอกพลางยิ้มเยียบเย็นปรามพวกชาวหมู่บ้านที่เตรียมตัวจะออกเดินทางไปบ้านเขา ทำเอากีรติที่กำลังจะตอบตกลงชะงักกึก ส่วนโนอาลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะเพิ่งเคยได้เห็นโฉมหน้าในอีกรูปแบบของริวเป็นครั้งแรก

        “ไม่ต้องห่วงนะครับคุณริว! ผมจะถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียง ให้ทุกคนได้รับรู้ อย่างที่คุณต้องการเองครับ!”

        เสียงอเล็กซ์ดังโพล่งขัดบรรยากาศอึมครึมที่เริ่มก่อตัว ทำให้แต่ละคนสะดุ้งโหยงและมีรอยยิ้มเจื่อนประดับบนใบหน้า ก่อนจะตัดสินใจแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน เพราะดูเหมือนว่าริวนั้นจะเริ่มหงุดหงิดให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

        “หึ ๆ สมแล้วกับที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของฉัน นายเข้าใจเลือกวิธีสลายการชุมนุมได้อย่างสันติวิธีและรวดเร็วใช้ได้ทีเดียวนะอเล็กซ์”

        เจอรัลด์ออกปากเอ่ยชม ทว่าแฟนธอมที่อยู่ข้าง ๆ เหลือบมามองด้วยหางตาอย่างหมั่นไส้ เพราะเขามั่นใจว่าอเล็กซ์นั้นไม่ได้คิดไปไกลอย่างที่เจอรัลด์พูดมาแน่นอน

        “ไปกันเถอะกี...”

        ริวหันไปชวนกีรติเพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับทั้งเจอรัลด์และอเล็กซ์ ที่ล้วนแล้วแต่กวนโมโหพอ ๆ กันทั้งคู่

        “อะ...ครับ!”

        กีรติรับคำแล้วเตรียมจะเดินตามริวไป ทว่าพอเห็นโนอายังคงลังเล ชายหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ พลางยื่นมือส่งให้กับน้องชายของตน         

        “ไปกันเถอะโนอา”

        โนอาชะงักชั่วครู่ ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้าตอบรับ และยื่นมือของเขาส่งให้พี่ชาย พร้อมกับก้าวเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างว่าง่าย จนอีกสองคนที่อยู่แถวนั้นและไม่ได้ตามไปด้วยถึงกับอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตัดสินใจไปนั่งติดตามสถานการณ์หลังจากนี้ที่ป้อมยามตามเดิม

         

        ทางด้านเรนที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดผ่านการถ่ายทอดสดทางทีวีโดยฝีมืออเล็กซ์  ได้ออกมายืนรอต้อนรับกีรติและโนอาอยู่ทางเข้าบ้านพัก  ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ให้สองพี่น้อง ไม่นึกแปลกใจแล้วว่าทำไมญาติของกีรติถึงได้รู้จักคนใหญ่โตอย่าง ชิรากิ คาโอรุ ได้

        “เชิญครับ...”

        เรนพาทุกคนไปที่ห้องรับแขก ในบ้านนั้นอากาศเย็นสบายกว่าด้านนอกมากนัก แม้จะไม่เปิดแอร์ก็ตาม

        “อากาศเย็นจังเลยครับ ...ออกจะหนาวนิด ๆ ด้วยซ้ำ เอ่อ...ไม่ได้เปิดแอร์ไม่ใช่หรือครับ”

        กีรติถามเรนอย่างแปลกใจ เพราะประตูบานกระจกห้องรับแขกที่เปิดออกไปยังระเบียงติดสวนหน้าบ้าน ก็ถูกเปิดอ้าอยู่ จึงไม่น่าจะมีอากาศเย็นสบายขนาดนี้

        “ไม่ได้เปิดหรอกครับ แต่พอดีที่นี่มีจิ้งจอกหิมะ เอาไว้ช่วยทำความเย็นแทนน่ะครับ”

        เรนบอกพร้อมรอยยิ้มกึ่งขำ และคำตอบนั้นทำให้กีรตินิ่งอึ้งชั่วครู่ ก่อนจะมีรอยยิ้มน้อย ๆ ตามมา ส่วนโนอาขมวดคิ้วอย่างงุนงง พลางสะกิดพี่ชายของตน แล้วจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาตั้งคำถาม

        “อ้าว...นึกว่ารู้แล้วเสียอีก ท่านอาไม่ได้บอกหรือว่า คุณริวกับคุณเรนเป็นใครน่ะ”

        กีรติเป็นฝ่ายถามน้องชายของเขาบ้าง ทำให้โนอาถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง เขามองตามไล่หลังเรนที่ขอตัวไปนำเครื่องดื่มมาเลี้ยงแขก จากนั้นจึงหันกลับมามองกีรติ ก่อนจะตอบคำถามพี่ชายไปตามตรง

        “ผมแอบไปได้ยินท่านอาคุยโทรศัพท์กับคุณคาโอรุเรื่องคีน่ะ ก็เลยคาดคั้นถามจากท่านอา เลยได้ความว่าคีขอแรงให้คุณคาโอรุช่วยคนสำคัญให้หน่อย แต่ท่านอาก็ไม่ได้อธิบายละเอียดมากนัก...อีกอย่างตอนนั้นผมคิดแต่อยากจะมาที่ไทยเพื่อเจอคนสำคัญของคี จนไม่สนอะไรแล้วด้วย”

        กีรติมองน้องชายที่นั่งขัดสมาธิ พร้อมทำหน้ายุ่งใส่ริวที่นั่งฝั่งตรงข้าม  ชายหนุ่มร่างเล็กแย้มยิ้มแกมระอา เพราะแม้จะเติบโตสูงใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อห้าปีก่อนมากเพียงใด แต่โนอาก็ยังคงเป็นน้องชายที่น่ารักและค่อนข้างติดเขาแจเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

        “โตแล้วนะเรา ทำอะไรก็ให้รู้จักคิดสักหน่อย นี่ถ้าท่านพ่อจับได้ว่าแอบมา ระวังจะถูกทำโทษเข้าให้นะ”

        กีรติปรามเตือน ทำให้โนอาสะดุ้งแล้วอุบอิบตอบไม่เต็มเสียงนัก

        “รู้แล้วน่า ผมไม่ทำให้ท่านพ่อจับผิดได้ง่าย ๆ หรอก...อีกอย่างท่านอาก็มีส่วนช่วยเรื่องนี้ด้วย ท่านบอกให้ผมแวะมาเช็คคนสำคัญของคีว่าเป็นคนแบบไหน แล้วให้กลับไปรายงานให้ท่านทราบด้วยน่ะ”

        ท้ายประโยคโนอาเหลือบมองริวพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนริวนั้นชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่งยิ้มเป็นมิตรให้อีกฝ่าย ทำให้โนอาเม้มปากแล้วสะบัดหน้าเบือนหนีไปมองอีกทางด้วยความไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้คอยพูดจาหาเรื่องหรือตั้งตัวเป็นอริดังเช่นก่อนหน้านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้กีรติที่สังเกตทั้งคู่หลุดยิ้มน้อย ๆ อย่างยินดีให้ได้เห็น

        “น้ำชามาแล้วครับ แต่ถ้าไม่ชอบชาญี่ปุ่น จะรับเป็นน้ำเปล่าแทนก็ได้นะครับ”

        เรนนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟคนในห้องรับแขก โดยคุไรในร่างมนุษย์ก็ช่วยแบกโต๊ะญี่ปุ่นตัวย่อมมาไว้กลางห้อง ส่วนชิโระในร่างจิ้งจอกตัวเล็กก็เดินตามมาแอบมองห่าง ๆ อย่างสนใจ

        “จิ้งจอก...เลี้ยงสุนัขจิ้งจอกด้วยหรือครับ!”

        โนอาที่หันไปเห็นชิโระที่แอบอยู่ตรงทางเข้าห้อง หันไปถามริวอย่างสนใจด้วยความลืมตัว เห็นได้จากคำลงท้ายสุภาพอย่างที่ไม่เคยใช้กับอีกฝ่ายก่อนหน้านั้น

        “หือ...ชิโระ...”

        ริวหันตามไปมอง แล้วหรี่ตาดุใส่สัตว์อสูรของเขา จนชิโระสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบวิ่งหนีไป ทำให้โนอาเผลอหลุดอุทานด้วยความเสียดายอย่างลืมตัว จนริวที่ได้ยินต้องหันมามอง

        “ชอบหรือครับ?”

        ริวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งโนอาก็ชะงัก และทำท่าลังเลว่าจะยอมญาติดีกับอีกฝ่ายดีไหม เด็กหนุ่มเงียบไปสักพัก แล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ เป็นการยอมรับในที่สุด

        “โนอาเขาชอบพวกสัตว์ทุกชนิดน่ะครับ โดยเฉพาะพวกที่แปลก ๆ หาดูได้ยาก แต่เขาไม่ได้เลี้ยงไว้เอง เพราะไม่อยากจะพรากพวกมันจากถิ่นอาศัยให้มาเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านน่ะครับ”

        กีรติเอ่ยเสริมตามมาพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ทั้งเรนและริวต่างได้รับรู้ว่า เด็กหนุ่มผมทองเองก็เป็นคนมีจิตใจดีและมีด้านที่น่ารักอยู่ไม่น้อยทีเดียว

        “บังเอิญชิโระของผมไม่ใช่สัตว์เลี้ยงธรรมดาเสียด้วยสิครับ...แต่ถ้าคุณรับได้ ผมจะเรียกเขามาให้ก็ได้นะครับ”

        ริวบอกพร้อมรอยยิ้มแปลก ๆ ทำเอากีรติลอบถอนหายใจ แล้วจึงหันไปบอกกับโนอา ซึ่งกำลังมีแววตาสงสัยในสิ่งที่ริวพูดอย่างเห็นได้ชัด

        “คุณริวกับคุณเรนเคยอยู่ในตระกูลองเมียวมาก่อนน่ะ แล้วคุณชิโระก็เป็นสัตว์อสูรที่คุณริวทำสัญญาด้วย ร่างจริงของเขาเป็นสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่และสง่างามมากทีเดียวเลยล่ะ”

        คำพูดของกีรติสร้างความงุนงงแกมประหลาดใจให้กับโนอายิ่งนัก เด็กหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งแล้วหันไปจ้องเรนกับริวอย่างพิจารณายิ่งขึ้นกว่าเดิม

        “คีกำลังจะบอกผมว่า คนรักของคีกับน้องชายของเขาเป็นพวกนักพรตองเมียวเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น ส่วนจิ้งจอกน่ารักตัวนั้นเป็นอสูร ไม่ใช่จิ้งจอกจริง ๆ อย่างนั้นหรือ!”

        คำถามของโนอาทำให้เรนอมยิ้ม ส่วนริวนั้นค่อนข้างแปลกใจเรื่องที่เจ้าชายอย่างอีกฝ่ายติดการ์ตูนของประเทศเขาด้วยเหมือนกัน   

        “อืม...ก็ประมาณนั้นล่ะ”

        กีรติตอบง่าย ๆ โดยไม่ได้ใส่ใจที่มาของข้อมูล ที่น้องชายของตนหลุดปากออกมาแม้แต่น้อย

        “ว้าว! นึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนเท่านั้นเสียอีก เอ่อ...ว่าแต่จะช่วยลองแสดงอะไรที่มันเหนือธรรมชาติให้ดูสักหน่อยจะได้ไหมครับ”

        โนอาหันไปทางริวและอ้อมแอ้มขอร้องอย่างสุภาพ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงผิดเคย ทำเอาริวถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อแววตาของอีกฝ่ายนั้นแสดงถึงความสนอกสนใจอย่างไม่คิดปิดบังเลยสักนิด

        “ลองดูสิครับพี่ ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่หรือครับ”

        เรนหันไปช่วยพูดให้อีกเสียง ทำให้ริวลอบถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหันมาฝืนยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนที่มองอยู่

        “ก็ได้ครับ...”

        ริวรับคำแล้วประสานมือแสดงสัญลักษณ์ร่ายอาคมตามที่ได้เล่าเรียนมา ฉับพลันหมอกหนาก็พลันก่อตัวรอบห้องรับแขก และบังเกิดเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากเพดานห้อง ทำให้โนอาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อชิโระวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องพร้อมกับส่งเสียงโวยวายยกใหญ่

        “ริวแสดงวิชางั้นรึ! อย่างนั้นฉันก็เปิดเผยตัวได้แล้วล่ะสิ!”

        เจ้าจิ้งจอกน้อยสีขาวขี้กลัวเมื่อสักครู่ มาบัดนี้กลับพูดฉอด ๆ ต่อหน้าต่อตาของเขา แม้โนอาจะเตรียมใจรับความตกตะลึงมาแล้วล่วงหน้า ทว่าพอเห็นจัง ๆ แบบนี้ เขาก็อดนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ไม่ได้

        “ชิโระ...นายนี่มัน...”

        ริวหันไปขมวดคิ้วยุ่งใส่สัตว์อสูรของตน ทำเอาชิโระต้องสะดุ้งโหยง แต่ก็ยังคงทำเสียงสั่นเถียงสู้กลับไปอยู่ดี

        “กะ...ก็ ฉันเห็นริวใช้วิชาองเมียว ...ก็เลยคิดว่าจะเผยตัวได้แล้วน่ะสิ ...ขนาดคุไรยังมีส่วนร่วมได้ แล้วทำไมฉันจะต้องอยู่วงนอกคนเดียวด้วยล่ะ!”

        ชิโระบอกอย่างน้อยใจ ทำให้คุไรที่นั่งอยู่ระเบียงด้านนอกขมวดคิ้วยุ่ง แล้วเหลือบมามองจิ้งจอกขาวครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทาง เพราะไม่อยากโต้เถียงด้วยนั่นเอง

        “เอ่อ...ขอโทษนะครับ เห็นคีบอกว่าคุณแปลงร่างได้...ช่วยแปลงร่างให้ดูหน่อยจะได้ไหมครับ”

        โนอาที่พอจะหายตกใจบ้างแล้ว บอกกับชิโระด้วยน้ำเสียงสุภาพอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ซึ่งพอได้ยินดังนั้น ชิโระก็หันมายิ้มเยาะให้เจ้านายของตน ก่อนจะหันไปทางโนอาพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

        “ได้เลย! อ้อ...เห็นน่ารักแบบนี้ แต่ฉันอยู่มากว่าห้าร้อยปีแล้วนา รู้ไหม!”

        ชิโระซึ่งได้ที รีบพูดจาข่มเรื่องอายุยกใหญ่ ทำเอาริวนั้นนึกหมั่นไส้สัตว์อสูรของตนเต็มทน จึงแสร้งเปรยลอย ๆ ขึ้นมาบ้าง

        “ถ้ายังไม่คิดจะคืนร่างให้เขาดูก็ถอยไป จะได้ให้คุไรคืนร่างให้ดูแทน จะว่าไปร่างงูยักษ์ของคุไรก็น่าสนใจกว่าจิ้งจอกธรรมดาแถวนี้ตั้งเยอะ”

        ชิโระสะดุ้ง แล้วค้อนขวับใส่ริว แต่พอเห็นโนอาเริ่มหันไปมองทางคุไรแทนด้วยความสนอกสนใจยิ่งกว่าเดิม เขาก็รีบกลับคืนสู่ร่างอันแท้จริงอย่างรวดเร็ว ทำเอาโนอาที่หันกลับมาถึงกับหลุดอุทานอย่างตกตะลึง

        “โห! วิเศษไปเลย คีเจอเรื่องแบบนี้ตลอดทุกวันเลยหรือเนี่ย!”

        “แค่นี้ยังปกตินะ คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านยังมีแปลกกว่านี้อีก!”

        คนตอบคำถามไม่ใช่กีรติ แต่เป็นตัวชิโระในร่างจิ้งจอกยักษ์ ทำเอาริวต้องถอนหายใจ ก่อนจะทำการผนึกไม่ให้สัตว์อสูรของตนพูดได้ชั่วครู่ ทำเอาชิโระที่อ้าปากพะงาบ ๆ เกิดอาการงอน แล้วหันมานอนหมอบหลบอยู่ด้านหลังกีรติแทน

        “ไว้ถ้าน้องยังพอจะมีเวลา เดี๋ยวพี่พาไปทัศนศึกษารอบหมู่บ้านนี้ทีหลังก็ได้”

        กีรติบอกกับน้องชายของเขา แต่นั่นกลับทำให้ริวขมวดคิ้วนิด ๆ ซึ่งหนุ่มญี่ปุ่นนั้นเชื่อว่าพวกชาวหมู่บ้านที่ติดตามการสนทนาของพวกตนอยู่ยามนี้ คงจะออกอาการร่าเริงยินดี แล้วเตรียมวางแผนการต้อนรับการทัศนศึกษาครั้งนี้ของโนอาอย่างเต็มที่เป็นแน่

        “จริงหรือครับ!”

        “แน่นอน พี่จะหลอกน้องทำไมกันล่ะ”

        กีรติตอบพร้อมแย้มยิ้มอ่อนโยน ทำให้คนมองชะงัก แล้วจึงก้มหน้าหลบตาอีกฝ่าย เมื่อหวนคิดถึงเหตุผลหลักที่เขาตั้งใจจะมาที่นี่

        “จริง ๆ แล้ว ผมน่ะตั้งใจจะมาพาคีกลับไปด้วยกันอยู่หรอกนะ แต่ว่าตอนนี้...”

        โนอาเหลือบมองริว แล้วก็ต้องรีบหลบตาเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมาสบตากับตน จากนั้นเด็กหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นโพล่งขึ้นเสียงห้วนเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงของเขา

        “...เพราะผมเห็นว่าคีดูมีความสุขเวลาอยู่ที่นี่หรอกนะ ไม่อย่างนั้นผมพากลับไปด้วยกันแล้วล่ะ!”

          กีรติยิ้มน้อย ๆ ต่อท่าทีของน้องชาย แล้วจึงขยับไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู แม้ว่าจะต้องเอื้อมจนสุดมือของตนก็ตาม

         “อีกตั้งห้าปีเลยนะคี...กว่าเราจะได้เจอกันอีกน่ะ”         

        โนอาพึมพำด้วยใบหน้าที่ซึมลง ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ริวขมวดคิ้วเล็กน้อย

        “ห้าปี...”

        กีรติหันกลับไปมองริวอย่างลำบากใจ ทำให้โนอาเม้มปากชั่วครู่ แล้วจึงตัดสินใจบอกคนตรงหน้าไปตามตรง

        “ตามกฎของตระกูลเรา เจ้าชายรัชทายาทของลาซาจะต้องออกไปใช้ชีวิตนอกประเทศ จนกว่าจะอายุครบ 25 ปี โดยต้องไม่เปิดเผยตัวตนให้ใครได้รู้เด็ดขาด”   

         ริวกับเรนเงียบกริบ และเป็นเรนที่ย้อนถามกลับไปแทน

        “แล้วถ้ามีคนรู้ล่ะครับ”

        โนอาเหลือบมองพี่ชายของเขา ก่อนจะหันไปตอบคำถามของเรน

        “ก็ต้องดูว่าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน ถ้าไม่กระจายเป็นข่าวก็ยังอนุโลมได้ แต่ถ้าเป็นข่าวใหญ่โตจนปิดข่าวลำบาก ก็จะให้พาตัวกลับประเทศทันที และอาจจะมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมในฐานะรัชทายาทอีกครั้ง ว่าเรื่องที่ความลับเปิดเผยเกี่ยวกับความประมาทเลินเล่อของเจ้าตัวหรือไม่ ...แต่จากเท่าที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ของตระกูลเรา ก็ยังไม่เคยเจอกรณีนี้มาก่อนล่ะนะครับ”

        ริวกับเรนพอฟังแล้วก็ถอนหายใจแผ่วเบาอย่างโล่งอก เพราะพวกเขามั่นใจว่า แม้ทุกคนในหมู่บ้านจะรู้ถึงชาติกำเนิดและฐานะที่แท้จริงของกีรติก็ตาม แต่คงไม่มีใครในที่นี้ จะเอาความลับนั้นไปโพทะนาให้คนนอกหมู่บ้านได้รับรู้จนทำให้กีรติต้องลำบากตามมาอย่างแน่นอน

        “จริง ๆ ผมก็อยากให้ความแตกเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมไปเลยล่ะนะ ...แต่ถ้าคีต้องถูกพาตัวกลับแล้วโดนทำโทษ มันก็ไม่ดีเท่าไหร่  อีกอย่างก็อยากช่วยให้คีชนะพนันกับท่านพ่อด้วยนั่นล่ะ”

        “ชนะพนัน?”

        ริวทวนคำอย่างแปลกใจในคำพูดของโนอา ส่วนกีรตินั้นสะกิดไหล่แย้งน้องชายค่อย ๆ

        “ไม่ใช่พนันสักหน่อย สัญญาต่างหาก”

        “ฮึ! มันก็คล้ายกันล่ะครับ จะสัญญาหรือพนัน พลาดขึ้นมาก็ลงเอยแบบเดียวกันไม่ใช่หรือไง”

        โนอาเถียงอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงหันไปเล่าให้ริวกับเรนฟังต่อ

        “ตามปกติแล้ว แม้ว่ารัชทายาทจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ภายนอกประเทศก็จริง แต่ไม่ใช่มาอยู่ลำบากอย่างที่คีเป็น  ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตในประเทศที่ตนเลือกในลักษณะนักศึกษาแลกเปลี่ยนเหมือนกับเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ที่พออายุครบ 18 ก็จะสามารถเลือกทำการศึกษาต่อต่างประเทศได้ เพียงแต่รัชทายาทนั้นจะแตกต่างกันไปสักหน่อยก็คือ จะไม่สามารถกลับประเทศได้จนกว่าจะอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์...”

        เล่าถึงตรงนี้โนอาก็เหลือบมองพี่ชายของตนอย่างนึกงอน แล้วจึงเล่าให้ริวกับเรนฟังต่อ โดยไม่สนอาการถอนหายใจของกีรติแม้แต่น้อย

        “แต่คีกลับเลือกจะขอมาใช้ชีวิตอย่างสามัญชน หาเช้ากินค่ำในประเทศไทยนี้แทน โดยจะไม่ขอรับความช่วยเหลือใด ๆ จากลาซาทั้งสิ้น ...แน่นอนว่าเรื่องนี้ทางญาติพี่น้องก็ไม่มีใครเห็นด้วย ยกเว้นท่านพ่อที่ดันตกลงยอมรับเงื่อนไขของคีเสียอย่างนั้น โดยท่านพ่อพนันกับคีไว้... ฮึ! รู้แล้วน่า ยอมเรียกว่าสัญญาก็ได้!”

        โนอาทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะ เนื่องจากกีรตินั้นสะกิดเตือนยิก ๆ เพราะอยากจะให้น้องชายเปลี่ยนมาใช้คำพูดให้ถูกต้องสักทีนั่นเอง

         “...ท่านพ่อให้คีสัญญาต่อหน้าทุกคนว่า จะไม่เปิดเผยเรื่องตัวตนที่แท้จริงกับใครเด็ดขาด หากผิดคำสัญญาจนทำให้ท่านพ่อรู้เรื่องเข้า ไม่ว่าจะปิดข่าวได้หรือไม่ก็ตาม คีก็ต้องออกจากประเทศไทยทันทีเหมือนกัน”

         ขาดคำของโนอา เสียงถอนหายใจของกีรติก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ส่วนริวและเรนก็พากันนิ่งอึ้ง เช่นเดียวกับทุกคนที่ร่วมติดตามรับชมและรับฟังการถ่ายทอดจาก AI ประจำหมู่บ้าน

         “...คนอะไรก็ไม่รู้ มีแต่คนอื่นเขาอยากจะใช้ชีวิตสบาย แต่คีดันอยากจะใช้ชีวิตลำบากตรากตรำแทนเสียอย่างนั้น”

        โนอาบ่นอุบอิบใส่พี่ชายของเขา ทำเอาคนถูกบ่นต้องยิ้มเจื่อน ๆ ให้

        “ก็พี่อยากจะลองไปสัมผัสชีวิตแบบที่ท่านย่าเคยเป็นมาก่อนนี่นา”

        กีรติพึมพำและหวนคิดถึงคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก ส่วนริวพอได้ยินดังนั้นก็ย้อนถามกลับไปบ้าง

        “แสดงว่าคุณย่าของคุณเป็นคนไทยหรือกี”

        “ใช่ครับ...ท่านย่าของผมเป็นคนไทยตั้งแต่กำเนิด ท่านมีอาชีพเป็นแม่ค้าขายผลไม้ในตลาดสด และได้พบรักกับท่านปู่ที่เลือกมาใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่เมืองไทย เพราะท่านสนใจในวัฒนธรรมประเพณีของประเทศนี้ที่ค่อนข้างคล้ายกับทางลาซาน่ะครับ”

        กีรติตอบริวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งโนอาที่ฟังอยู่ก็เสริมตามมา

        “ชื่อกีรติของคี เป็นชื่อแบบไทยที่ท่านย่าตั้งให้...น่าเสียดายที่ท่านเสียก่อนผมจะเกิด ไม่อย่างนั้นผมก็คงมีชื่อไทยกับเขาบ้างเหมือนกัน”

        ริวชะงักเล็กน้อยหลังจากได้ฟัง แล้วจึงเอ่ยกับสองพี่น้องด้วยสีหน้าขรึมลง

        “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”

        โนอาจ้องมองริวชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นรู้สึกดังเช่นที่พูดจริง ส่วนกีรติไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรมากนัก และกลับส่งยิ้มให้คนรักของเขาแทน   

        “ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันก็นานมามากแล้ว...อีกอย่างผมก็ดีใจมาก ที่ตัดสินใจมาอยู่เมืองไทยนี่ คนไทยน่ารักและมีน้ำใจเหมือนอย่างที่ท่านย่าเล่าให้ฟังไม่มีผิด ...คนไม่ดีก็มีบ้าง แต่โดยรวมแล้วความประทับใจมันมีมากเสียยิ่งกว่าน่ะครับ”

        “แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องออกมาจากประเทศตั้งแต่อายุ 15 เลยนี่...ยังดีนะที่คนที่นี่เขาไม่แปลกใจ ว่าทำไมเด็กตัวเล็กนิดเดียวถึงมาอาศัยอยู่ตามลำพังแบบนั้น”

        โนอาบ่นพึมพำขัด ทำให้กีรติหันมายิ้มเจื่อน ๆ ให้กับน้องชาย ส่วนเรนนั้นหันมาเอ่ยถามกีรติอย่างนึกสงสัยบางอย่าง

        “แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายเบื้องต้น เรื่องที่อยู่อาศัย กับเรื่องเอกสารสิทธิ์ต่าง ๆ ล่ะครับ คุณจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยตัวคนเดียวยังไงหรือครับ”

        กีรติหันมามองเรน ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไปตามตรง

        “จริง ๆ ก็ได้ท่านพ่อแอบช่วยน่ะครับ ท่านพ่อฝากฝังเพื่อนของท่านที่ไทยจัดการเรื่องสำคัญเบื้องต้นให้ทุกอย่าง พอผ่านไปสักเดือนสองเดือน ก็เริ่มปรับตัวได้ จนกระทั่งหางานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เอง ก็โดนปล่อยเกาะอย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะครับ”

        ขาดคำของกีรติโนอาก็หันขวับมาทางพี่ชายพร้อมกับโพล่งขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ

        “อะไรกัน! ไม่เห็นท่านพ่อจะเคยบอกเลย! ขนาดโดนผมโวยวายใส่ตอนนั้น ท่านก็ได้แต่เงียบไม่ยอมโต้ตอบสักนิด ทำเอาผมงอนไม่ยอมพูดกับท่านเป็นเป็นเดือน ๆ  ฮึ...นี่ถ้ารู้แต่แรก ผมก็คงไม่พูดจาไม่ดีใส่ท่านพ่อแบบนั้นหรอก”

        ท้ายประโยคเจ้าตัวลดเสียงและมีสีหน้าสลดลงอย่างรู้สึกผิด ทำให้ผู้เป็นพี่เอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องชายปลอบโยนอีกครั้งด้วยความเอ็นดู

        “ท่านพ่อคงเข้าใจน้องดีอยู่แล้วล่ะโนอา และที่ไม่ยอมบอกกับน้องเพราะท่านเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นด้วยกับความเอาแต่ใจของพี่  ขืนปล่อยให้น้องรู้ว่าตัวท่านมีส่วนช่วยพี่แบบนี้ ก็อาจจะโดนน้องบ่นได้ว่า ท่านก็ไม่น่ายอมรับข้อเสนอของพี่ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องเสียมากกว่า”

        โนอาพยักหน้าหงึกหงักแล้วจึงมีสีหน้าดีขึ้นมากกว่าเดิม และนั่นจึงทำให้ริวกับเรนที่มองอยู่แอบลอบยิ้ม โดยเฉพาะริวนั้นถึงกับคิดว่า บางทีเขาคงจะต้องศึกษาการวางตัวเป็นพี่ชายที่ดีมาจากกีรติเสียบ้างแล้ว



... TBC ...

เห็นหลายคนจับโนอาจิ้นกับเรน ...... จึงมาแจ้งไว้ดับฝันว่า คู่นี้ไม่ได้คู่กันแน่ค่ะ ส่วนเหตุผลเพราะอะไร เดี๋ยวรออ่านได้ตอนหลัง ๆ ค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-09-2013 15:26:31
บทที่ 22
เหงา



          หลังจากได้พูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตก่อนจะมาเมืองไทยของกีรติ รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของสองพี่น้องแห่งลาซากันได้สักพัก เสียงท้องร้องของโนอาที่ดังขึ้น ก็ทำให้การสนทนาหยุดชะงัก และเรนจึงชักชวนให้ทุกคนทานมื้อกลางวันที่เตรียมไว้ร่วมกันที่นี่เสียเลย

        “ผมถนัดทำแต่อาหารง่าย ๆ อาจจะไม่ค่อยถูกปากนัก  ถ้าไม่ชอบก็บอกได้นะครับ”

        เรนบอกกับโนอาและกีรติ ซึ่งสองพี่น้องก็ยิ้มตอบ โดยเฉพาะโนอานั้นหลังจากที่ได้สนทนากับทั้งริวและเรนมาสักพัก ประกอบกับความชื่นชมและสนใจในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติที่มี ก็ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มที่จะลดอคติส่วนตัวลงไปได้ในที่สุด

        “ไม่เลยครับ อร่อยมาก ๆ ได้รสชาติดั้งเดิมทีเดียว ตอนผมไปกินอาหารตามร้านอาหารญี่ปุ่นในอเมริกาที่มีเชฟจากญี่ปุ่นปรุงเอง ก็รสอร่อยราว ๆ นี้ล่ะครับ”

        คำชมของโนอา ทำให้กีรตินั้นอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ ที่เห็นน้องชายเริ่มปรับตัวยอมรับคนอื่น ๆ รอบตัวเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น

        “ขอบคุณครับ แต่จริง ๆ แล้วผมยังสู้พี่ริวไม่ได้หรอกครับ...สำหรับฝีมือของพี่ริว ถามคุณกีรติดูน่าจะได้คำตอบแน่ชัดกว่านะครับ”

        คำพูดของเรนทำให้กีรติกับริวสะดุ้งโหยง ส่วนโนอานั้นหันขวับไปมองทั้งคู่สลับไปมาด้วยความหวงพี่ชายอีกครั้ง  ทางด้านชิโระที่ริวยอมปลดผนึกอาคมให้แล้ว ก็เงยหน้าจากชามเต้าหู้ทอดของโปรดของตน แล้วเอ่ยถามขึ้นบ้าง   

        “หือ...เรนก็หวงริวเหมือนกันหรือ  เอ...จะว่าไป โนอาเองก็หวงพี่ชายน่าดูเลยนี่นะ”

        คำถามนั้นทำให้มนุษย์แต่ละคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ต่างเงียบกริบ โดยเฉพาะริวถึงกับเขม่นมองมายังสัตว์อสูรของเขานิ่ง และเกิดนึกอยากจะใช้อาคมผนึกเสียงพูดของอีกฝ่ายไปตลอดกาลเลยทีเดียว

        “เรนเขาจะหวงริวไปทำไม ในเมื่อเรนเป็นผู้ใหญ่และแยกแยะได้แล้วว่า ถึงพี่ชายจะมีคนรัก แต่ก็ใช่ว่าจะละความสำคัญของความเป็นพี่น้องเสียเลยเมื่อไหร่ ... อีกอย่างฉันก็ไม่เห็นว่าโนอาเขาจะหวงพี่ชายของเขาจนเกินไปตรงไหน ปกติคนที่เป็นน้องก็มักจะเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”

        คุไรที่ไม่ได้ร่วมวงกินข้าวกลางวันกับคนอื่นเปรยขัดขึ้นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศแต่อย่างใด และแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวนั้นคิดอย่างที่พูดมาจริง ๆ

        “อะ...อืม ก็นั่นสินะ น้องชายบ้านอื่น ส่วนใหญ่เขาก็เป็นราว ๆ นี้นั่นล่ะเนอะ...ใช่ไหมครับคุณเรน”

         โนอาที่เริ่มร้อนตัวเกรงว่าจะถูกมองเป็นเด็กติดพี่รีบหาผู้สนับสนุน ซึ่งเรนก็ยิ้มเจื่อนแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนริวก็ลอบถอนหายใจก่อนจะช่วยเสริมตามมา

        “ชิโระก็แบบนี้ล่ะครับ เขาชอบเข้าใจผิดอะไรง่าย ๆ ผมว่าพวกเราอย่าไปใส่ใจเลย กินกันต่อเถอะครับ”

        แต่ละคนต่างพยักหน้าหงึกหงักคนละที แล้วลงมือกินข้าวกลางวันกันต่อด้วยความเงียบ ทำเอาชิโระต้องค้อนขวับยกใหญ่ด้วยความหมั่นไส้ เพราะเขามองออกทะลุปรุโปร่งดีว่า โนอานั้นเป็นพวกหวงพี่ชายเกินเหตุ ส่วนเรนก็ใช่ย่อย หากแต่เรนไม่แสดงออกมากเท่าโนอานัก ชายหนุ่มเลือกที่จะพูดประชดแหย่เป็นระยะให้ริวกับกีรติลำบากใจเล่นเพียงแค่นั้น  แต่ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรก็คงจะเป็นงูยักษ์ตนเดียวนี่ล่ะ   

         แต่ถึงกระนั้น ชิโระก็ไม่ค่อยจะแปลกใจเท่าใดนัก เพราะคุไรเป็นพวกสนใจแต่คำสั่งของผู้เป็นนายอย่างเดียวเท่านั้น น้อยครั้งที่ปีศาจงูจะแสดงถึงความสนใจเรื่องความเป็นไปในทางโลกให้เห็น ดังนั้นเจ้าตัวจึงอาจจะเข้าใจไปเองว่า การแสดงถึงความเป็นห่วงและติดพี่ชายมากเกินไป เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเป็นน้องชายทำกัน เนื่องจากยึดเอาตัวเรนเป็นหลักนั่นเอง



        เมื่อทานมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว กีรติก็ชวนโนอาไปเดินเยี่ยมชมหมู่บ้านตามสัญญา โดยที่สองพี่น้องยูกิมูระและสัตว์อสูรรับใช้ก็อาสาตามไปด้วยเช่นกัน และนอกจากริวที่เป็นห่วงว่าพวกชาวหมู่บ้านจะทำการเปิดตัวต้อนรับโนอาอย่างเอิกเกริกแล้ว เรนที่ตามมาก็เห็นเพียงว่านี่เป็นการเดินผ่อนคลายย่อยอาหาร ส่วนชิโระนั้นนึกสนุกอยากเห็นสิ่งที่ริวกังวลให้เกิดขึ้นจริง ๆ และคุไรก็แค่ไม่อยากอยู่เฝ้าบ้านเพียงลำพังเท่านั้นเอง

        “นอกจากพวกคุณริวกับคุณเรนที่เป็นนักพรตองเมียวแล้ว ยังมีพวกที่ประหลาดกว่านี้อีกไหมคี”

        โนอาเอ่ยถามพี่ชายอย่างสนใจ ทำให้กีรติขมวดคิ้วแล้วจึงแก้คำพูดของอีกฝ่ายเสียใหม่

         “อย่าเรียกว่าประหลาดสิ มันฟังไม่ดีเลย พวกเขาไม่ใช่ของโชว์หรือแปลกแยกจากพวกเรานะ พวกเขาก็เป็นมนุษย์...เอ่อ พี่หมายถึงเป็นเผ่าพันธุ์อีกรูปแบบหนึ่งในโลกนี้ เหมือนกับมนุษย์เรานั่นล่ะ เพียงแต่ต่างเผ่าออกไป ก็จะมีลักษณะแตกต่างกัน ก็เหมือนพวกเชื้อชาตินั่นล่ะ ถ้าต่างเชื้อชาติรูปลักษณ์ก็จะแตกต่างกันไปจริงไหม”

        โนอาพยักหน้าหงึกหงักแล้วพึมพำขอโทษพี่ชายแผ่วเบา ส่วนริวนั้นอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นกีรติสั่งสอนน้องชายด้วยถ้อยคำที่ถ้าหากคนในหมู่บ้านนี้มาได้ยินเข้า ก็คงจะดีใจกันไม่น้อยทีเดียว

        “แสดงว่าคนหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่มนุษย์สินะ”

        โนอาสรุปตรงประเด็นซึ่งกีรติก็ชะงักเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงนิสัยน้องชายแล้ว เขาก็ยิ้มตามมา

        “อืม...ใช่ แต่เป็นความลับนะ ห้ามบอกใคร สัญญากับพี่ได้ไหม”

        โนอาขมวดคิ้วยุ่ง จริง ๆ เขาอยากนำเรื่องพวกริวไปเล่าอวดเพื่อนซึ่งชอบการ์ตูนญี่ปุ่นด้วยกันที่อเมริกาในช่วงเปิดเทอมที่จะมาถึง แต่หากพี่ชายขอร้องแบบนี้ เขาก็คงจะปฏิเสธลำบาก

        “ก็ได้ครับ...”

        “ดีมาก เด็กดี”

        กีรติบอกพลางเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่าย ซึ่งโนอาก็ก้มลงมาให้พี่ชายลูบศีรษะง่าย ๆ อย่างไม่เกี่ยงงอน แถมดูเหมือนจะชอบเป็นพิเศษอีกด้วย

        “เอ่อ...นี่คี ปีนี้ผมก็ 16 แล้วนะ”

        โนอาเปรยกับพี่ชายเบา ๆ หลังจากกีรติลดมือลง เพราะถึงแม้จะชอบให้อีกฝ่ายทำแบบนั้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อยากให้กีรติเรียกตนว่าเด็กอยู่ดี

        “หือ? เพิ่ง 16 เองหรือ ไหนโนอาบอกว่าเรียนมหาวิทยาลัยปี  3 แล้วไม่ใช่หรือไง”

        ชิโระถามด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่รู้มาส่วนใหญ่คนเรียนมหาวิทยาลัยน่าจะอายุราว 18 ปีขึ้นไป ส่วนริวกับเรนนั้นยิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่ เพราะทีแรกที่ฟังว่าเจ้าตัวกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 เขาก็ว่าโนอานั้นเรียนเร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว เพราะยังไงเด็กหนุ่มซึ่งเป็นน้องชายของกีรติที่อายุ 20 ปี ก็คงไม่มีทางที่จะอายุเกิน 20 เป็นแน่ อีกอย่างถ้าไม่นับส่วนสูงที่โตเกินวัยไปหน่อยนั่น เจ้าตัวก็หน้าตายังอ่อนเยาว์อยู่ ถึงจะหน้าไม่เด็กได้เทียบเท่าขนาดกีรติก็ตามที

        “ของผมน่ะถือว่าธรรมดานะ ยังสู้คีไม่ได้หรอก ก่อนจะออกจากประเทศตอนอายุ 15 คีก็สอบวัดระดับความรู้ขั้นพื้นฐานของปริญญาตรีผ่านหมดทุกวิชา ขนาดโปรเฟรสเซอร์ที่ทางวังเชิญมาสอนให้คี ยังนึกเสียดายไม่หายที่คีไม่ยอมเรียนต่อ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ก็ได้จบดอกเตอร์ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 แล้วล่ะ”

        คนอื่น ๆ หันมามองกีรติด้วยสายตาที่ทึ่งกว่าเดิม เพราะตอนที่เห็นชายหนุ่มพูดได้หลายภาษาครั้งก่อน พวกเขาก็ว่าประหลาดใจแล้ว พอมาได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นอัจฉริยะตัวจริงเสียงจริง

        “ก็แค่ความจำดีกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง อีกอย่างถ้าใครมีความจำดีเหมือนกับพี่ ก็สามารถท่องจำตำราพวกนั้นได้เหมือนกันนั่นล่ะ ไม่ใช่เรื่องน่ายกย่องอะไรสักนิด”

        กีรติแย้งน้องชายกลับไปอย่างไม่ใส่ใจเรื่องที่อีกฝ่ายพูดนัก ทำเอาแต่ละคนยกเว้นโนอา ถึงกับมองคนพูดตาปริบ ๆ

        “คีก็แบบนี้ทุกทีนั่นล่ะ ถึงคีจะบอกว่าธรรมดายังไง แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนความจำดีเหมือนคีเยอะแยะนี่นา ...อีกอย่างมาอยู่เมืองไทย ก็เรียนต่อมหาวิทยาลัยไปด้วย ทำงานไปด้วยก็ได้นี่  แต่คีเล่นทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างเดียวเลยไม่ใช่หรือไง น่าเสียดายออก”

        โนอาบ่นตามมาอย่างนึกเสียดายแทนพี่ชายไม่หาย เพราะก่อนหน้าที่นั่งคุยกันในบ้านของริวนั้น กีรติได้เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาให้เขาฟังคร่าว ๆ  ซึ่งก็มีแต่เรื่องชีวิตการทำงานแทบทั้งนั้น แถมงานแต่ละงานก็เป็นงานเงินเดือนน้อยแต่งานหนักด้วยกันทั้งสิ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะอายุของกีรติยังอยู่ในช่วงวัยเรียนนั่นเอง จึงไม่สามารถเลือกงานเงินเดือนดี ๆ ได้ นอกจากนั้นกีรติเองก็ยังปิดบังความสามารถพิเศษของตนไม่ให้ใครได้รู้อีกต่างหาก

        “ไม่เห็นน่าเสียดายเลย...สำหรับพี่แล้วความรู้ในตำราน่ะจะศึกษาเพิ่มเติมตอนไหนก็ได้ แต่ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมานี่สิ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ นะ ...ถึงแม้จะลำบากและเหนื่อยขนาดไหน แต่พี่ก็ภูมิใจที่สามารถมีเงินเก็บจากน้ำพักน้ำแรงของพี่เองได้  ถึงมันจะไม่มากมายเหมือนสมบัติที่บ้านเรามีอยู่  แต่สำหรับพี่แล้วค่าของมันไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน ...เพราะถึงจะมีเงินมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถซื้อรอยยิ้ม มิตรภาพ และความทรงจำอันแสนสุข จากบรรดาผู้คนที่พี่ได้รู้จักใกล้ชิด ตลอดระยะเวลาห้าปีนั่นได้หรอก”

        โนอานิ่งเงียบรับฟัง ก่อนจะถอนหายใจยาวตามมา แล้วจึงส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับพี่ชายของเขา

        “ถึงจะผ่านมาห้าปีแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังสู้คีไม่ได้อยู่ดี ทั้งความคิดและการกระทำ คีอยู่เหนือผมตลอดเสมอเลยนะ”

        แม้คำพูดจะเหมือนน้อยใจ แต่น้ำเสียงและสีหน้าของเด็กหนุ่มบ่งบอกถึงความภาคภูมิใจในตัวของพี่ชายคนนี้เป็นอย่างมาก และนั่นจึงทำให้เรนที่ฟังอยู่เหลือบมองพี่ชายซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะลอบอมยิ้มน้อย ๆ เพราะสำหรับตัวเขาเองถึงอาจจะเคยอิจฉาในความสามารถของริวอยู่บ้าง ทว่าความเคารพรักชื่นชมในตัวริวที่เขามี มันก็มากมายเหนือกว่าความอิจฉาหลายเท่านัก

        “ไม่หรอกน่าโนอา! อย่างน้อยเรื่องส่วนสูง นายก็ชนะกีรติเขาขาดลอยเลยนะ!”

        เสียงโพล่งของชิโระที่ดังขึ้น ขัดจังหวะบรรยากาศชวนซาบซึ้งระหว่างพี่น้องได้ชะงัด สายตาทุกคู่หันขวับมาจ้องจิ้งจอกขาวตัวจ้อยแทบจะพร้อมกัน และก็เป็นโนอาที่ขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะหันมาหากีรติอีกครั้ง

        “นั่นสิ...คีไม่สูงขึ้นสักเท่าไรเลยนะ  อืม...จะว่าไป เอวานี่ก็สูงพอ ๆ กับคีได้แล้วนะเนี่ย”

        “เอวา?”

        ริวพึมพำทวนคำเพราะไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากปากของทั้งคู่มาก่อน

        “ชื่อน้องสาวคนเล็กของผมเองน่ะครับ ตอนผมออกจากบ้านมาเธอเพิ่งจะ 8 ขวบเท่านั้นเอง”

        “ว่าแต่น้องสาวของพวกคุณเป็นคนยังไงครับ หน้าตาเหมือนกับคุณกีรติไหม”

        เรนหันไปถามโนอาบ้าง เพราะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว กีรติกับโนอาก็ไม่ค่อยจะเหมือนพี่น้องกันสักเท่าใดนัก

        “หือ...เอวากับคีน่ะหรือ ไม่เหมือนหรอก รายนั้นน่ะเหมือนท่านแม่ ส่วนผมก็เหมือนท่านพ่อยังไงล่ะ”

        โนอาตอบกลับไปตามตรง ซึ่งคำตอบนั้นก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจไปตาม ๆ กัน

        “ตัวผมดันไปเหมือนท่านย่าน่ะครับ...ทั้งสีผม สีตา เอ่อ...และดูเหมือนน่าจะรวมไปถึงส่วนสูงด้วยล่ะมั้งครับ”

        กีรติอธิบายแทนน้องชายอย่างไม่เต็มเสียงนัก และนั่นจึงทำให้ทั้งริวและเรนกระจ่างในเรื่องที่รูปลักษณ์ภายนอกของโนอากับกีรติไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นคิ้วเรียวได้รูปทรงและขนตายาวหนาเป็นแพของทั้งคู่ก็ค่อนข้างคล้ายกันอยู่มากทีเดียว

        “งั้นก็แสดงว่า คุณพ่อของพวกคุณก็คล้ายกับทางคุณปู่สินะครับ”

        เรนหันมาถามกีรติ เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายความกังวลเรื่องส่วนสูงที่โดนตอกย้ำถึงอยู่บ่อย ๆ

        “ใช่ครับ...ทั้งท่านพ่อ และท่านอาไรอัน เหมือนท่านปู่ทั้งคู่ พอผมเกิดมาท่านย่าเลยดีใจมาก ที่หลานชายคล้ายกับท่านบ้างน่ะครับ”

        กีรติบอกพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุขเมื่อเอ่ยถึงย่าที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก และเป็นคนสอนภาษาไทยรวมถึงเล่าเรื่องราวสมัยอยู่เมืองไทยให้ฟังเสมอ จนเขาตัดสินใจว่าจะต้องมาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และดำเนินชีวิตในแบบที่ย่าของเขาเคยสัมผัสให้ได้ในสักวันหนึ่ง         

        “จะว่าไป ที่ผมมาไทยนี่ไม่ได้บอกกับเอวาเลยนะ ว่าจะแอบมาหาคี นี่ถ้ารู้ทีหลังสงสัยคงจะรีบแจ้นตามมาเลยมั้ง ...เด็กนั่นติดคีออกจะตาย”

        คนอื่น ๆ ยกเว้นกีรติและคุไร ต่างหันไปมองโนอาเป็นตาเดียว พลางคิดในใจว่าคนพูดเองก็ทำตัวติดพี่ไม่แตกต่างกันนักหรอก

        ทางด้านกีรติพอได้ฟังที่โนอาพูดเรื่องน้องสาวอีกครั้ง เขาก็นึกถึงเรื่องที่น้องชายบอกให้ฟังก่อนหน้านั้น แล้วจึงหลุดพึมพำถึงน้องสาวคนเล็กในความทรงจำของเขา ด้วยใบหน้าที่ซึมเศร้าลงเล็กน้อย   

        “เอวา...เด็กที่เหมือนตุ๊กตาคนนั้น ตอนนี้กลับตัวสูงเท่าเราแล้วอย่างนั้นหรือ...”

        “ถ้าคิดถึงก็โทรไปหาสิครับ แค่โทรกลับบ้านคุยกับคนในครอบครัว มันคงไม่ผิดกฎอะไรไม่ใช่หรือ"

        ริวที่ได้ยินคำพูดพึมพำนั่น บอกกับอีกฝ่ายอย่างเห็นใจ ทำเอากีรติถึงกับชะงักและมีทีท่าลังเลพอสมควร ซึ่งพอโนอาได้เห็นพี่ชายเป็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงตัดพ้อออกมาบ้างอย่างน้อยใจ

        “...จริง ๆ ท่านพ่อก็ไม่ได้ห้ามเรื่องโทรกลับมาประเทศจริงจังสักหน่อย ท่านพูดแค่ว่าหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโทรกลับประเทศมาบ่อยนักต่างหาก แต่คีเองนั่นล่ะที่ใจร้าย ไม่ยอมติดต่อกลับมาเลยสักครั้ง ...นี่ผมก็เพิ่งจะรู้จากท่านอาไรอันก่อนมานี่ล่ะ ว่าท่านอาเอาโทรศัพท์ของท่านให้คีไว้ เผื่อติดต่อเรื่องฉุกเฉิน... ถ้าผมรู้เบอร์คีแต่แรก ป่านนี้ก็เป็นฝ่ายโทรไปหาเองแทนแล้ว ...เพราะขืนรอให้คีโทรมาเอง ก็คงต้องรอเก้ออยู่ดี”

        กีรตินิ่งเงียบรับฟังน้องชายของตนตัดพ้อต่อว่า แล้วจึงมีสีหน้าซึมเศร้าลง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อริวเดินมาจับบ่าของเขาบีบเบา ๆ

        “มีเหตุจำเป็นอะไรหรือครับกี ที่ทำให้ไม่กล้าโทรกลับไปหาครอบครัวแบบนั้น”

        เพราะมั่นใจว่ากีรตินั้นรักครอบครัวมาก ยิ่งดูจากที่โนอาแสดงออกกับกีรติก็ยิ่งยืนยันความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี  ริวจึงเชื่อว่าที่กีรติไม่เลือกที่จะติดต่อกับทางครอบครัวเลยสักครั้ง มันต้องมีเหตุผลบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่

        “คุณริว...”

        กีรติหันมามองหน้าคนรักของเขา และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของอีกฝ่าย ก็ทำให้เขาหลุบตาลง แล้วจึงตัดสินใจสารภาพความจริงออกไปในที่สุด

        “จริง ๆ แล้วที่พี่ไม่โทรกลับไป...เพราะพี่กลัวน่ะ”

        โนอาชะงักกับคำตอบนั้น แล้วจึงย้อนถามกลับไปอย่างงุนงง

        “กลัว? คีกลัวอะไรอย่างนั้นหรือ”

        กีรติเงยหน้าจ้องน้องชายแล้วยิ้มเศร้า ๆ ให้กับอีกฝ่าย

        “ก็ถ้าโนอาหรือเอวา ใครคนใดคนหนึ่ง เกิดขอร้องให้พี่กลับบ้านขึ้นมา...พี่ก็คงจะได้ผิดสัญญากับท่านพ่อน่ะสิ”

        โนอานิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เพราะเขานั้นหลงคิดว่า ตลอดเวลาห้าปีที่กีรติไม่ยอมติดต่อมา คงเป็นเพราะอีกฝ่ายสนุกกับชีวิตนอกประเทศ จนลืมน้องชายอย่างเขาไปเสียแล้ว

        “จริง ๆ แล้วพี่คิดถึงทุกคนที่ลาซาเสมอ... ถึงพี่จะเหงาที่ต้องมาอยู่คนเดียวตามลำพัง แต่ในเมื่อพี่เป็นคนเลือกทางนี้เอง จะให้แสดงความอ่อนแอออกไปก็คงไม่ดีนัก ...  แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หากพี่โทรกลับไปบ้าน แล้วมีใครสักคนขอร้องให้พี่กลับไป ...พี่ก็คงจะทนเหงาต่อไปอีกไม่ไหว และคงจะตัดสินใจรีบกลับไปหาทุกคนเสียเดี๋ยวนั้นเป็นแน่...”

        คนที่รับฟังต่างพากันเงียบกริบต่อคำสารภาพจากใจของอีกฝ่าย โดยเฉพาะริวนั้นเพิ่งจะเคยได้เห็นตัวตนอีกด้านของคนรักที่มักจะมีรอยยิ้มให้เขาได้เห็นอยู่เสมอ จนตัวเขาเผลอลืมไปว่า การที่กีรติต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดลำพังห้าปีเช่นนั้น มันจะเหงามากสักเพียงใด  ขนาดตัวเขาที่เลือกตัดขาดทิ้งญาติพี่น้องเอาไว้เบื้องหลังและมาอยู่ที่นี่ ในบางครั้งเองก็ยังรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะมีชิโระอยู่เป็นเพื่อนด้วยก็ตาม

         “จริง ๆ แล้วไม่อยากให้น้องรู้เรื่องนี้เลยนะโนอา...”

        กีรติพึมพำขึ้นแผ่วเบา หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันมาได้สักพักหนึ่ง

        “ไม่อยากให้ผมรู้? ...ทำไมล่ะคี”

        โนอาตั้งคำถามอย่างแปลกใจ และก็ต้องนิ่งอึ้งตามมาเมื่อเห็นพี่ชายยิ้มเศร้า ๆ ให้เขา

        “ก็น้องมักจะเห็นว่าพี่เข้มแข็ง และเป็นผู้นำมาเสมอไม่ใช่หรือ... พี่กลัวโนอาจะผิดหวัง หากรู้ว่าจริง ๆ แล้ว พี่เป็นคนอ่อนแอขนาดนี้น่ะ”

        โนอาเม้มปากกัดฟันอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับพยายามอดทนบางสิ่ง แต่แล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจโผเข้ากอดร่างเล็กตรงหน้าเต็มแรง จนกีรติแทบจะเซล้ม เคราะห์ดีที่ริวไหวตัวทันและช่วยรับอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน ทว่าโนอาก็ไม่ได้สนใจทั้งคู่ เด็กหนุ่มกอดพี่ชายแน่นพร้อมกับโพล่งใส่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

        “คีบ้า! บ้าที่สุด! การที่เหงาเพราะต้องอยู่คนเดียว มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือไง! มันเกี่ยวกับเรื่องอ่อนแออะไรตรงไหนกัน!”

        ทีแรกกีรตินั้นรู้สึกตกใจที่ถูกโผเข้ากอด แต่พอน้องชายตะโกนใส่เขาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้แบบนั้น ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ เอื้อมมือไปลูบหลังอีกฝ่ายปลอบโยนอย่างแผ่วเบา จนโนอาเริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้บ้าง

        “...สำหรับผมน่ะ ต่อให้คีทนเหงาไม่ไหว แล้วกลับมาที่ลาซาก่อนครบกำหนดสัญญาก็ตาม ...แต่ถึงยังไงคีก็ยังคงเป็นพี่ชายที่เข้มแข็ง และเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งของผมอยู่ดีล่ะนะ...”

        โนอาพึมพำแล้วจึงคลายอ้อมกอดของเขา พลางขยับกายออกมาเผชิญหน้ากับพี่ชาย ด้วยแววตามุ่งมั่นจริงจังดังเช่นคำพูดต่อจากนี้

          “...คีน่ะเข้มแข็งที่สุด ตั้งแต่ตอนที่คีกล้ายืนกรานต่อหน้าท่านพ่อว่าจะมาอยู่เมืองไทยเพียงลำพังให้ได้นั่นแล้วล่ะ”

        กีรตินิ่งอึ้งแล้วจึงหลุดยิ้มอ่อนโยนตอบรับผู้เป็นน้องชาย ซึ่งโนอาพอเห็นพี่ชายของตนยิ้มออก เขาจึงมีรอยยิ้มขึ้นบ้าง จากนั้นสักพักเจ้าตัวก็เอ่ยขึ้นตามมาด้วยน้ำเสียงติดขัดเล็กน้อย

        “เอ่อ...แล้วหลังจากนี้ ...คีจะโทรมาหาผมบางครั้งบ้างได้ไหม... อ้อ! รับรองเลยนะ ว่าผมจะไม่อ้อนขอให้คีกลับมาอยู่ด้วยกันจนทำให้คีลำบากใจแน่!”

        ท้ายประโยคโนอารีบยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนกีรติถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดู จากนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้าและตอบรับกลับไป

        “ก็ได้ ...แล้วพี่จะหาเวลาโทรไปคุยกับน้องบ่อย ๆ นะ”

        โนอาเบิกตากว้างแล้วพุ่งเข้ากอดคนตัวเล็กกว่าตนแน่นอีกครั้งด้วยความดีใจ แต่กีรติเหมือนจะรู้ตัวก่อนแล้วว่าจะเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจึงยืนปักหลักรับการโผกอดนั่นอย่างมั่นคงกว่าครั้งที่แล้ว จนริวที่เตรียมจะรอประคองต้องแอบยื่นมือค้างไปเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นเก๊กเฉยตามมาโดยไว แต่ถึงกระนั้นก็ยังตวัดสายตาดุไปมองชิโระที่หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ จนสัตว์อสูรถึงกับสะดุ้งเฮือก แล้วแสร้งทำเป็นเมินมองไปทางอื่น โดยไม่คิดพูดแซวเจ้านายอย่างที่เคยนึกไว้แม้แต่คำเดียว



... TBC ...

แต่งตอนหลัง ๆ นี่แอบบิวส์อารมณ์ด้วยเพลงประเภทแนวคู่ไม่ควร พลัดพราก อะไรราว ๆ นี้ ... อืม ได้อารมณ์ขึ้นเยอะ ฮ่าๆ  ...แต่เรื่องนี้จบแฮปปี้นะเอ้อ  (บอกไว้ก่อน เดี๋ยวจะโดนนักอ่านเขวี้ยงหมอนใส่ อิ ๆ)

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 28-09-2013 15:55:14
โนอาน่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: beamintron ที่ 28-09-2013 15:57:01
น่ารักจังเลยยย โนอาติดพี่แจเลยสินะ

ชอบคู่แฟนทอม :oo1:

 สุดๆเลย ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-09-2013 19:07:55
เด็กติดพี่สองคนไม่ได้คู่กันหรอ เสียดาย 5555
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 28-09-2013 20:28:24
โนอานี่ก็น่ารักไม่แพ้กับกีเลยนะเนี่ย
สรุปในบรรดาพี่น้องกีตัวเตี้ยสุดใช่ไหมเนี่ย 55+
ทีนี้ก็ลองมาตามลุ้นดูว่าใครจะคู่กับใคร
กระซิบ//แอบจิ้นคุณอาของกีกับเพื่อนสนิทญี่ปุ่นคนที่ช่วยเหลือริวกับเรน อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 28-09-2013 20:43:14
น้องชายกีน่ารักน่ากด อ๊ากกกกก  :z1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 28-09-2013 21:06:55
โนอาเนี้ยยย น่ารักเนอะ หุหุ คุณริวก็น่ารักก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 28-09-2013 21:08:50
รับรู้ได้ถึงความรักความอบอุ่นของพี่น้องเลยล่ะ  :กอด1:

รออ่านตอนต่อไปค่า

บวกเป็ด

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 28-09-2013 22:10:23
ชอบชิโระ   :laugh:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 21-22 (28/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 28-09-2013 22:22:14
เป็นคู่พี่น้องที่น่ารัก


 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-09-2013 17:12:22
นี่คือตอนปัจจุบันล่าสุด ดังนั้น ต่อจากนี้ไป ก็จะโพสแบบปั่นเสร็จก็แปะค่ะ  จะพยายามปั่นไม่หายไปนานเหมือนอีกเรื่องนะคะ (จริง ๆ อีกเรื่องก็จะจบตอนอยู่แล้ว แต่ไม่อยากให้ค้างเลยว่า จะปั่นเรื่องนี้ให้จบก่อนล่ะนะคะ)

 สู้ตายค่ะ!!  :katai4:


บทที่ 23
หวั่นไหว


           เมื่อกีรติเริ่มต้นพาน้องชายของเขาเดินเที่ยวชมในแต่ละซอย  เหล่าบรรดาผู้คนที่ไม่ได้ไปทำงาน ต่างก็ทยอยออกมาจากบ้านพัก และพูดคุยแนะนำตัวเองกับโนอาด้วยความเป็นมิตร บางคนนั้นถึงกับยอมแสดงร่างจริงให้เด็กหนุ่มได้เห็นตามที่เจ้าตัวขอร้อง  ซึ่งโนอาเองก็ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวหรือรังเกียจแต่อย่างใด ถึงแม้จะแสดงท่าทีตกใจให้เห็นอยู่บ้าง แต่สักพักก็มักจะตามมาด้วยอาการตื่นเต้นสนอกสนใจอย่างออกนอกหน้าเสียทุกครั้ง ซึ่งก็สร้างความเอ็นดูแก่เหล่าผู้ใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนี้ยิ่งนัก

        “หึ ๆ ดูเหมือนว่าพวกชาวบ้านจะได้ของเล่นชิ้นใหม่กันแล้วล่ะนะครับ”

        เจอรัลด์ที่มองอยู่วงนอก บอกกับแฟนธอมซึ่งยืนอยู่ข้างกัน ทำเอากีรติที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นแว่ว ๆ ถึงกับหลุดยิ้มเจื่อน แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นโนอาแหวกบรรดาฝูงชนตรงมาหาเขาด้วยท่าทางกระตือรือร้นผิดเคย

        “คี! ทุกคนเขาชวนผมค้างคืนที่หมู่บ้าน และจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ด้วยน่ะ ผมเลยมาขออนุญาตคีก่อน คีให้ผมค้างที่นี่นะครับ!”

        กีรติจ้องตอบแววตาอ้อนวอนคู่นั้นพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงพยักหน้าตกลงค่อย ๆ

        “ถ้าน้องไม่ต้องรีบกลับลาซา ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก... ว่าแต่มาที่นี่คนเดียวใช่ไหม มีใครมาเป็นเพื่อนด้วยหรือเปล่า”

        กีรติถามต่อเพื่อความแน่ใจ ซึ่งคำถามนั่นก็ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย แล้วจึงตอบออกไปตามตรง

        “ก็มีคนขับกับบอดี้การ์ดที่ท่านอาให้ตามมาด้วยอีกสองคนน่ะครับ ผมให้พวกเขารออยู่ที่รถ  อืม...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมบอกให้พวกนั้นกลับไปรอที่โรงแรมดีกว่า”

        โนอาบอกจบก็ทำท่าจะเดินตรงไปบอกผู้ติดตามที่มาด้วยกัน ทว่ากีรติก็เอ่ยขัดเอาไว้ก่อน

         “พี่ว่าถามความสมัครใจเขาก่อนจะดีกว่านะ ถ้าท่านอาไรอันสั่งพวกเขาให้คอยอารักขาน้อง การที่จะให้เขาอยู่ห่าง ก็อาจสร้างความลำบากใจกับพวกเขานะ”

        แต่ละคนพอได้ยินคำพูดนั้น ก็พากันอมยิ้มน้อย ๆ เพราะแม้แต่ผู้ที่มีฐานะเป็นลูกน้อง กีรติก็ยังคงให้ความใส่ใจเรื่องความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

        “อืม... งั้นผมไปถามพวกเขาก่อนก็ได้”

        โนอารับคำโดยไม่เกี่ยงงอน ซึ่งก็ทำให้แต่ละคนอมยิ้มด้วยความเอ็นดู ต่อความเคารพนับถือในตัวพี่ชายที่เด็กหนุ่มมี ส่วนกีรตินั้นยิ้มให้น้องชาย แล้วจึงตัดสินใจตามไปด้วย เพราะอยากถามถึงกำหนดการอยู่ในไทยของโนอา เนื่องจากเขาเกรงว่าโนอาจะแกล้งหาเรื่องอยู่ที่นี่นานเกินไป จนทางบิดาของพวกเขาอาจจะสงสัยเอาได้

         

        ทางด้านริวนั้นมองตามสองพี่น้องไปเงียบ ๆ ยิ่งพอเห็นชายในสูทดำทั้งสองที่รออยู่แถวรถยนต์ราคาแพง ทำความเคารพต่อกีรติโดยการยกมือขวาวางทาบบนอกแล้วโค้งให้อย่างนอบน้อม เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างเขากับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น

        “พี่ครับ...เป็นอะไรไปหรือครับ”

        เรนที่สังเกตเห็นสีหน้าหมอง ๆ ของพี่ชายเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ซึ่งริวก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมาฝืนยิ้มให้กับน้องชาย และขอตัวกลับไปพักผ่อนรองานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้นในช่วงเย็นแทน ซึ่งเรนเองก็รีบขอตามไปด้วย เพราะยังคงนึกเป็นห่วงเรื่องสีหน้าเมื่อครู่อยู่ไม่หาย


หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-09-2013 17:12:57
   
..
..
    ทางด้านแฟนธอมกับเจอรัลด์ที่เห็นสีหน้าของริวก่อนหน้านั้นเข้าพอดี ก็ทำให้ทั้งคู่พอจะคาดเดาได้ถึงความกังวลที่หนุ่มญี่ปุ่นเป็นอยู่   

        “ถึงจะบอกว่าไม่ต้องคิดมาก แต่เจอแบบนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องคิดอยู่ดีนั่นล่ะนะครับ”

        เจอรัลด์เปรยอย่างนึกเห็นใจ ซึ่งแฟนธอมก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ก่อนจะเหลือบมองคนข้างกาย แล้วก็ต้องรีบหลบตาเมื่อเจอรัลด์หันมาทางตนพอดี

        “มีอะไรหรือครับคุณแฟนธอม”

        “เอ่อ...เปล่า”

        แฟนธอมรีบปฏิเสธ แต่ก็ดูเหมือนว่าเจอรัลด์นั้นจะไม่เชื่อคำพูดนั้นเอาเสียเลย ทำให้ชายหนุ่มจำต้องยอมบอกออกไปตามตรง

        “ฉันก็แค่คิดว่า ถ้าเกิดฉันเป็นแบบกีรติบ้าง...นายจะทำอย่างไรน่ะ”

        พอบอกจบคนพูดก็เบือนหน้าไปอีกทางด้วยความอาย และนั่นทำให้เจอรัลด์อมยิ้ม ชายหนุ่มอยากจะกอดอีกฝ่ายแล้วจับถอดหน้ากากหอมแก้มทั้งสองข้างเสียให้หนำใจ แต่ขืนทำแบบนั้นกลางหมู่บ้าน เขาคงโดนแฟนธอมเล่นงานปางตายเป็นแน่

        “ถ้าผมอยู่ในฐานะเดียวกับคุณริว... แล้วทางบ้านของคุณแฟนธอมไม่ยอมรับ ผมก็คงไปฉุดคุณหนีมาอยู่ด้วยกัน หรือไม่ก็หาทางบีบบังคับยึดประเทศคุณมาปกครองเสียเอง จะได้ไม่มีใครขัดขวางเราได้ยังไงล่ะครับ”

        เจอรัลด์ตอบพร้อมยิ้มหวาน ทว่าคนฟังนั้นถึงกับเงียบกริบ ก่อนจะหลุดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

        “ฉันว่าดีแล้วที่ริวไม่เหมือนนาย...ไม่อย่างนั้นกีรติคงน่าสงสารแย่”

        แฟนธอมพึมพำอย่างเอือมระอา แต่ลึก ๆ ในใจแล้วก็รู้สึกยินดีที่เจอรัลด์เห็นเพียงเขาเท่านั้นที่สำคัญที่สุดสำหรับชายหนุ่ม

         “เอ๋...คุณแฟนธอมไม่ชอบแบบนั้นหรือครับ...เอ หรือจะให้ผมแปลงเพศเป็นหญิงแทน... ถ้าคุณต้องการผมก็ทำได้อยู่หรอกนะครับ แต่ก็ยังเสียดาย ที่จะไม่ได้เป็นฝ่ายจับคุณกดก็เท่านั้น...โอ๊ย!!”

        เสียงตะโกนด้วยความเจ็บของเจอรัลด์ทำให้พวกชาวหมู่บ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันหันขวับมาทางทั้งคู่ และได้เห็นเจอรัลด์ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นถนนมือกุมคางเอาไว้อย่างมึนงง  เมื่อแฟนธอมเห็นสายตาของคนอื่นที่ย้ายมามองเขา ชายหนุ่มจึงกระแทกเสียงห้วนขึ้นดัง ๆ บอกกับทุกคน   

        “ก็แค่จัดการคนปากเสียให้รู้จักจำว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด ก็เท่านั้นเองล่ะครับ! ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนักหรอก!”

        บอกจบแฟนธอมก็เดินดุ่ม ๆ กลับไปสำนักงานหมู่บ้านแทน เพราะลองคนในหมู่บ้านออกมาจับกลุ่มยืนคุยกันด้านนอกแบบนี้ เขาก็คงไม่ต้องเฝ้ายามแทนกีรติต่อแล้ว

        “เดี๋ยวก่อนครับคุณแฟนธอม! รอผมด้วย!”

        เจอรัลด์ที่หายมึนหลังจากโดนหมัดเสยคาง รีบวิ่งตามไป ส่วนคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วยุ่งอย่างนึกแปลกใจ แต่พอเห็นพวกกีรติตามมาสมทบ พร้อมกับชายในสูทดำอีกสองคน พวกเขาก็หันมาให้ความสนใจกับทางด้านนี้แทน

        “สรุปว่าคืนนี้โนอาจะค้างที่ห้องผมนะครับ เอ่อ...แต่สองคนนี้ เขาจะค้างด้วย ทีแรกเขาบอกว่านอนในรถก็ได้ แต่ผมเห็นว่าไม่ค่อยเหมาะนัก ...ถ้าบ้านใครพอจะมีห้องว่าง ผมอยากฝากทั้งคู่ให้ค้างสักคืน พวกเขาฟังและพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย แต่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีน่ะครับ”

        แต่ละคนหันมาปรึกษากัน ซึ่งลีก็เป็นคนแรกที่เสนอตัว

        “ถ้าอย่างนั้นนอนบ้านฉันก็ได้นะ ถ้าไม่รังเกียจความรกของบ้านน่ะ!”

        กีรติแย้มยิ้มอย่างยินดี และเตรียมจะเอ่ยขอบคุณ หากแต่ก็มีเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน

        “อย่าเลยกี บ้านหมอนี่ไม่ใช่แค่รกธรรมดานา แต่อภิมหารกเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังวางของอันตรายไว้เกลื่อนกลาด ระเบิดมือเอย ดินปืนเอย ฉันละกลัวมันจะระเบิดแล้วไฟไหม้ลามมาแถวบ้านฉันสักวันจริง ๆ”

        สกล ชายวัยกลางคนไม้เบื่อไม้เมากับหนุ่มจีนเปรยขัดขึ้นด้วยสีหน้าเอือมระอา และไม่เพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้น คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกันแทบทั้งสิ้น

        “ท่านคีโอขอรับ พวกผมนอนในรถ หรือในห้องรับแขกของสำนักงานหมู่บ้านที่ท่านอาศัยอยู่ก็ได้ขอรับ”

        หนึ่งในบอดี้การ์ดของโนอาบอกกับกีรติด้วยภาษาลาซาอย่างเกรงใจ เพราะแม้จะฟังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนว่าบ้านของผู้ชายที่ดูคล้ายชาวจีนคนนั้น จะไม่สะดวกให้เขากับเพื่อนค้างในคืนนี้นัก ซึ่งกีรติก็มีสีหน้าลังเล เพราะห้องรับแขกก็มีโซฟายาวเพียงแค่ตัวเดียวเสียด้วย ทว่ายังไม่ทันที่จะมีใครเสนอตัวต่อจากลี เสียงจากลำโพงป้อมยามก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

        “ผมขออนุญาตเสนอความเห็นสักหน่อยได้ไหมครับ!”

        เสียงของอเล็กซ์ทำให้แต่ละคนหันไปมอง ส่วนบอดี้การ์ดทั้งสองต่างเข้าใจไปเองว่าเสียงนั้นน่าจะดังมาจากสมาชิกคนใดคนหนึ่งของในหมู่บ้าน พูดผ่านไมค์ขยายเสียงออกมานั่นเอง

        “อะไรหรือครับคุณอเล็กซ์”

        อเล็กซ์เงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงตัดสินใจตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนของโนอาฟังออกด้วย ทำเอาปีศาจบางตนที่ร้างลาการใช้ภาษาอังกฤษมานานต้องขมวดคิ้วยุ่ง ร้อนถึงคนที่รู้ภาษาก็ต้องกระซิบแปลอธิบายให้เพื่อนบ้านเข้าใจแทน

        “ผมมั่นใจว่า แทบทุกคนที่นี่เต็มใจให้พวกคุณค้างคืนกับเขา แต่ก็นั่นล่ะครับ นอกจากคุณลีที่เป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนแล้ว คนอื่น ๆ ก็เป็นพวกชอบเผลอลืมตัวแสดงร่างจริงอยู่บ่อย ๆ ผมเกรงจะเกิดกรณีหนึ่งในพวกคุณลุกเข้ามาห้องน้ำดึก ๆ ดื่น ๆ แล้วจ๊ะเอ๋กันเข้า... คราวนี้ล่ะครับ คงไม่ต้องหลับต้องนอนกันต่อแล้วล่ะ”

        กีรติพอได้ฟังก็หลุดยิ้มเจื่อน ๆ เพราะเขายังไม่ได้อธิบายถึงเรื่องสมาชิกในหมู่บ้านให้คนของเขาได้รับรู้เลยสักนิด ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไร โนอาก็หันไปบอกกับบอดี้การ์ดทั้งคู่เสียก่อน

        “ทุกคนในหมู่บ้านนี้มีหลากหลายเผ่าพันธุ์น่ะ อืม...ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ เป็นแฟนตาซีวิลเลจยังไงล่ะ!”

        ชายทั้งสองกลืนน้ำลายลงคอ แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก หากแต่ถ้าผู้เป็นเจ้านายรับได้ พวกเขาก็คงจำต้องยอมรับแบบงง ๆ ไปก่อนอยู่ดี

        “เข้าใจแล้วขอรับ...คิดว่านะขอรับ”

        หนึ่งในนั้นพึมพำตอบ ซึ่งโนอาก็พยักหน้ารับรู้อย่างพอใจ แล้วจึงหันไปทางพี่ชายของเขา   

        “เรียบร้อยแล้วล่ะคี  อืม...ส่วนเรื่องที่พัก ถ้าคีไม่อยากให้พวกเขานอนในรถ เราไปขอยืมหมอนกับผ้าห่มของบ้านอื่น แล้วนอนรวมกันที่ห้องคีก็ได้มั้ง”

        โนอาบอกอย่างไม่คิดถือสาว่าอีกฝ่ายเป็นลูกน้อง ทำให้กีรติอมยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าบอดี้การ์ดทั้งสองนั้นสะดุ้งโหยง เพราะถึงแม้จะได้รับอนุญาตก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่กล้าอยู่ดี

        “เฮ้! ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ ถึงพวกฉันจะชอบเผลอตัว แต่ส่วนใหญ่ก็จะระวังล่ะนะ  อ๊ะ...เอางี้ไหมล่ะ ถ้ายังไงก็นอนบ้านริวกับเรนก็ได้ สองคนนั่นยังไงก็เป็นมนุษย์เหมือน ๆ กันด้วย”

        สกลลองเสนอดูบ้าง ซึ่งแต่ละคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย ทว่าลีที่โดนอีกฝ่ายขัดในทีแรก ก็รีบแย้งกลับไปเช่นเดียวกัน

        “บ้านสองคนนั้นน่ะหรือ เผลอ ๆ จะยิ่งแย่กว่าบ้านฉันอีก  ลำพังสองพี่น้องนั่นไม่เท่าไรหรอก แต่เจ้างูยักษ์กับเจ้าจิ้งจอกขาวนั่นไว้ใจได้เมื่อไหร่ บางคืนก็ดันลุกมาตีกันกลางดึกเสียอย่างนั้น เสียงดังลั่นข้ามซอยมาถึงบ้านฉันเลยทีเดียวล่ะนะ”

        พอลีพูดจบหลายคนก็ชะงัก เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริงนั่นเอง

        “สรุปว่าทุกคนในหมู่บ้านนี้ยินดีต้อนรับให้พวกคุณค้างบ้านเขา เพียงแต่ด้วยเหตุจำเป็น จึงทำให้พวกเขาไม่กล้าจะให้คุณค้างด้วย เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดนะครับ”

        อเล็กซ์สรุปเป็นภาษาอังกฤษปิดท้าย เมื่อเห็นคนของโนอาทั้งสองเริ่มมีสีหน้ากังวลแกมเกรงใจให้เห็นอีกครั้ง

        “ก็บอกแล้วไงว่านอนรวมกันที่ห้องก็ได้ เนอะคี”

        โนอายังยืนยันความเห็นเดิม ซึ่งกีรติก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นดีด้วย

        “นั่นสิ แป๊บ ๆ ก็เช้าแล้ว แถมในห้องก็มีแอร์ ไม่ต้องกลัวยุงกัดด้วย อ๊ะ! ถ้านอนพื้นลำบาก ทั้งสองคนจะนอนบนเตียงแทนก็ได้”

        กีรติบอกแล้วยิ้มหวาน แต่นั่นก็ทำให้ชายสองคนยิ้มตอบไม่ออก ส่วนโนอาก็รีบโพล่งขัดขึ้นทันที

        “ถ้าคีนอนพื้น ผมขอนอนด้วยคนนะ!”

        “หือ...ก็ได้นี่”

        กีรติบอกอย่างไม่คิดมากอะไร ส่วนบอดี้การ์ดทั้งสองเริ่มหันหน้าปรึกษากัน ว่าพวกตนจะอยู่อารักขาเจ้าชายทั้งสองต่อ หรือจะกลับไปนอนโรงแรมเพื่อตัดปัญหาลำบากใจทั้งหมดนี่ดี ทว่าคุยกันยังไม่ทันไร เสียงเนือย ๆ จากใครบางคนก็ดังโพล่งขึ้นขัดมาเสียก่อน

        “อ้าว ๆ ไหงมามุงกันอยู่แถวนี้ล่ะ ฉันดูทีวีเห็นถ่ายทอดสดถูกตัดไปตั้งแต่ตอนพวกกีออกมาเดินเที่ยวหมู่บ้าน ก็เลยตั้งใจจะออกมาแจมสักหน่อย ...แล้วนี่คุยอะไรกัน ทำหน้าเครียดเชียว มีอะไรให้ฉันช่วยไหมนั่น”

        แต่ละคนพอได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยนั่นก็ต่างรีบหันขวับไปเป็นตาเดียว  ทางด้านปัณณ์นั้นเมื่อเห็นสายตาตกใจกึ่งไม่ไว้วางใจของแต่ละคนที่มองมายังตน ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก

        “อะไร...สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง เหมือนว่าไม่อยากให้ฉันมีส่วนร่วมด้วยเลยนะ!”

        บรรดาคนฟังพากันสะดุ้งโหยง และก่อนจะมีใครพูดแก้ตัว คนตัวสูงใหญ่ที่เดินมาด้วยกันกับปัณณ์ ก็ถอนหายใจยาว แล้วใช้แขนข้างหนึ่งล็อกคออีกฝ่ายรั้งห่างออกมาเสียก่อน

        “เอาน่า ๆ ยังไม่มีใครพูดอะไรสักคน อย่าเพิ่งคิดแง่ลบไปเองเลย วันนี้มีงานเลี้ยงแท้ ๆ นา  อย่าอารมณ์เสียสิ เดี๋ยวงานก็กร่อยก่อนหรอก”

        ปัณณ์เหลือบมองคนที่ห้ามตน แล้วทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์เท่าใด  แต่ก็ยอมอยู่นิ่งเฉยไม่อาละวาดต่อ จนแต่ละคนพากันนึกทึ่ง ยกเว้นบางคนที่รู้จักไกรสรและปัณณ์มานานแล้ว  ก็ไม่ค่อยจะแปลกใจเท่าใด เพราะแม้คำพูดของไกรสรจะไม่สามารถทำให้ปัณณ์สงบและยอมรับในทันทีได้เท่ากับเจ้าของที่ดินรุ่นแรกก็ตาม ทว่าพ่อค้ากับข้าวคนนี้ก็เป็นอีกคนที่ปัณณ์ยอมลงให้มากกว่าใครในหมู่บ้านมีสุขนี่

        “แล้วตกลงพวกนายมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าน่ะ”

        ไกรสรถามชาวหมู่บ้านแต่ละคน ซึ่งกีรติก็เป็นฝ่ายเล่าให้พ่อค้ากับข้าวฟังแทน

        “พวกเขากำลังหาบ้านพักให้คนของโนอาครับ แต่ดูเหมือนว่าแต่ละบ้านจะไม่สะดวก  เอ่อ...คือจริง ๆ ก็สะดวกให้พักหรอกครับ แต่พวกเขาเกรงว่าอาจจะทำให้สองคนนี้ตกใจเข้าให้ก็ได้ ผมก็เลยตั้งใจจะให้ทุกคนมานอนค้างห้องเดียวกันให้หมดน่ะครับ”

         ไกรสรรับฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายอย่างพอจะเข้าใจ และพอเหลือบไปมองคนของโนอาทั้งคู่ ก็พอจะแน่ใจว่าสองคนนั้นคงไม่กล้านอนร่วมห้องกับเจ้าชายทั้งสองอย่างแน่นอน

        “อะไรกัน เรื่องแค่นี้ก็แก้ปัญหากันไม่ได้  ก็ไหน ๆ จะมีงานเลี้ยงอยู่แล้ว ก็ตั้งแคมป์กางเต็นท์นอนกันไปเลยก็สิ้นเรื่อง  เรื่องยุงไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวฉันเอาต้นไม้กินแมลงที่บ้านมาตั้งไว้ให้ก็ได้...”

        “เอิ่ม...คือที่บ้านฉันมีเครื่องไล่ยุงที่เจอรัลด์สร้างให้อยู่ ฉันว่าน่าจะสะดวกกว่าให้นายยกต้นไม้กินคน เอ๊ย! กินแมลงนั่นมาเยอะ กระถางมันหนักมากไม่ใช่หรือไง”

        เพื่อนบ้านที่อยู่ซอยเดียวกัน และรู้ซึ้งถึงเจ้าต้นไม้พันธุ์ประหลาดที่ปัณณ์เป็นคนปลูกดีรีบห้าม ซึ่งคนอื่น ๆ ที่เคยเห็นฤทธิ์เจ้าต้นไม้ตัวแสบมาก่อนก็ต่างพยักหน้าเห็นดีด้วย ส่วนรายที่ไม่เคยเจอก็พากันออกอาการสนอกสนใจให้เห็น โดยเฉพาะโนอากับกีรติ ที่เตรียมจะอ้าปากถาม ทว่าก็ถูกคนบางคนที่ตาไว พูดดักเปลี่ยนเรื่องขึ้นเสียก่อน

        “อ๊ะ! ลี! ร้านนายมีเต็นท์ใหญ่ ๆ เก็บไว้ใช่ไหม มีหลายหลังหรือเปล่า ขอยืมด้วยแล้วกัน เพราะคืนนี้ฉันว่าจะออกมานอนชมดาวนอกบ้านเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเหมือนกันน่ะ เดี๋ยวพวกฟูกหมอนอะไรนั่น พวกฉันขนมาเองได้!”

        ลีนิ่งคิดทบทวน แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ต่อคำขอของอีกฝ่าย

        “ได้สิ ฉันมีเต็นท์ขนาด สิบคนนอน อยู่สองสามหลังน่ะ สั่งมาติดไว้อย่างนั้นล่ะ เอาไปใช้ได้ตามสบายเลย”

        ลีบอกพร้อมยิ้มกว้าง ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงไกรสรกำลังบ่นปัณณ์เรื่องต้นไม้ที่เจ้าตัวปลูกไว้

        “ฉันนึกว่านายเผามันทิ้งไปแล้วเสียอีก คราวก่อนมันก็เกือบจับบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งจดหมายในหมู่บ้านกินไปหนแล้วไม่ใช่หรือไง!”

        ปัณณ์ยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเปรยตอบกลับไปคล้ายไม่ใส่ใจมากนัก

          “มันก็แค่แหย่เล่นนิด ๆ หน่อย ๆ ฉันปลูกต้นไม้กินแมลงนะ ไม่ใช่ต้นไม้กินคน มันจะไปกินคนได้ยังไงกัน  อีกอย่างตอนนี้ฉันก็ทำให้มันย่อส่วนลงเหลือต้นนิดเดียว แล้วเลี้ยงด้วยเนื้อหมูวันละชิ้นแทน แค่นั้นมันก็อิ่มจนไม่ต้องไปหาอะไรกินเพิ่มแล้วล่ะ”

        คนอื่นที่ได้ยินพากันทำตาปริบ ๆ โดยเฉพาะคนที่พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ถึงกับลอบถอนหายใจ เมื่อความพยายามของตนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง

        “หือ...มองอะไรกัน อยากเห็นหนูเดซี่ของฉันขนาดนั้นเลยหรือ”

        ปัณณ์หันมาถามแต่ละคนที่กำลังจ้องมองมายังเขา และคำถามนั้นก็ทำเอาคนที่ไม่เคยเห็นต้นไม้ที่ว่ามาก่อนพากันขมวดคิ้วยกใหญ่

        “หนูเดซี่?”

        “ใช่แล้ว! ต้นไม้กินแมลงที่แสนจะน่ารักของฉันยังไงล่ะ..  อ๊ะ! จะทำอะไรน่ะไกร! ปล่อยฉันสิ ไอ้พ่อค้างี่เง่านี่!”

        พ่อมดหนุ่มหลุดโวยวายเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกคนที่ยืนใกล้ใช้แขนคล้องคอลากเขาให้ออกห่างจากผู้คนอีกรอบ

        “ฉันก็จะไปเช็คว่านายเก็บเจ้าต้นไม้อันตรายของนายนั่นดีขนาดไหนน่ะสิ  อ้อ! ฝากพวกนายจัดการเรื่องงานเลี้ยงด้วยนะ ไปเอาของเหลือที่รถของฉันไปทำก็ได้ ฉันเลี้ยงเอง ถึงไม่มากมายอะไรนักก็เถอะ!”

        ไกรสรบอกกับคนอื่น ๆ แล้วลากปัณณ์กลับบ้านพักอีกฝ่ายพร้อมกับเขา ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในตัวของชาวหมู่บ้านที่เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้กินแมลงที่ปัณณ์เลี้ยงไว้นั่นเอง

         

        “ว้า! น่าเสียดายจัง  ผมก็อยากเห็นต้นไม้กินคนเหมือนกันนะ ...ถ้ายังไงคืนนี้เราลองขอให้เขาเอามาให้ดูด้วยดีไหมคี!”

        โนอาหันมาบอกกับพี่ชายด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ซึ่งกีรติก็ยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ เพราะดูจากปฏิกิริยาของคนที่คอยห้าม เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าต้นไม้ของปัณณ์นั้น คงจะอันตรายไม่น้อยทีเดียว

        “อ๊ะ...เอ๋? แล้วคุณริวไปไหนล่ะครับ...อ้าว พวกคุณเรนกับคุณชิโระแล้วก็คุณคุไรก็ไม่อยู่ด้วยแฮะ”

        กีรติที่เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพวกริวหายไป เอ่ยถามคนแถวนั้นอย่างแปลกใจ

        “อ้อ! เห็นว่าจะขอกลับไปพักผ่อนก่อนจะถึงงานเลี้ยงน่ะ”

        เจ้าตัวบอกกับกีรติแล้วจึงหันไปทางคนอื่น ๆ ที่ยังคงยืนออกันอยู่

         “อืม...ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เตรียมแบ่งงานกันแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า ดาหลาเป็นฝ่ายอาหารนะ แล้วเดี๋ยวจะหาลูกมือเพิ่มให้”

        “ได้เลยจ้ะ! งั้นฉันโทรไปบอกให้ที่รักของฉันกลับไวหน่อยดีกว่า จะได้มาช่วยกันอีกแรง”

        ดาหลารับคำพร้อมยิ้มหวาน แล้วรีบหยิบมือถือโทรไปหาภูผาทันที และนั่นก็ทำให้มีใครบางคนนึกขึ้นได้ว่า พวกเขายังขาดสมาชิกคนสำคัญไปอีกราย

        “เฮ้! มีใครโทรไปบอกคุณเวธน์หรือยังน่ะ!”

        “คุณกรกฎคงโทรไปเรียบร้อยแล้วล่ะ ...อ้าว! พูดยังไม่ทันขาดคำ นั่นรถคุณเวธน์สินะ”

        ลีบอกอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นรถยนต์สีดำคุ้นตา เลี้ยวเข้ามาจอดในเขตหมู่บ้าน แต่แล้วหนุ่มจีนก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อกีรติเอ่ยขัดขึ้นเบา ๆ

        “เอ่อ...ผมขอตัวไปหาคุณริวสักครู่ได้ไหมครับ เดี๋ยวจะรีบกลับมาช่วยทางนี้ทีหลัง”

        “ตามสบาย ๆ ยังมีเวลาเตรียมงานอีกเยอะ ไหนจะต้องรอพวกคนที่ไปทำงานกลับมาก่อนอีกด้วยล่ะนะ”

        ลีตอบพร้อมยิ้มกว้างอย่างไม่ถือสา ซึ่งกีรติก็พยักหน้าพร้อมกล่าวขอบคุณ และเดินตรงดิ่งไปบ้านริวทันที  ส่วนทางด้านโนอานั้นไม่ได้ตามกีรติไป เพราะมัวแต่ตื่นเต้นเรื่องการเตรียมงานเลี้ยง และที่สำคัญเขาก็เริ่มไว้ใจในตัวริว จนสามารถปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่กับพี่ชายของตนได้อย่างวางใจบ้างแล้ว

         ทางด้านบอดี้การ์ดทั้งสองของโนอา เมื่อเห็นว่าแต่ละคนเริ่มแยกย้ายกันไปทำงาน พวกเขาจึงอาสาตัวช่วยเหลือทุกคนบ้างเช่นกัน ซึ่งภาษาไทยที่พวกเขาใช้ แม้จะฟังไม่ค่อยชัดแต่ก็ยังพอฟังออกอยู่บ้าง   

        “ได้เลยครับ! งั้นพวกคุณไปช่วยผมขนเต็นท์นอนของพวกคุณดีกว่า เดี๋ยวผมแถมถุงนอนให้ด้วยเลยแล้วกัน!”

        ลีตอบรับด้วยน้ำเสียงดังร่าเริง แต่ก็มีบางคนขัดแทรกขึ้นมา

        “แค่นั้นจะนอนสบายอะไร เดี๋ยวฉันขนฟูกหมอนแล้วก็ผ้าห่มมาเพิ่มให้ด้วยดีกว่า”

        “งั้นผมช่วยขนด้วยคนนะครับ!”

        โนอารีบอาสาตัวเอง แต่ก็ทำให้หนึ่งในบอดี้การ์ดทั้งสองรีบแย้งขัดขึ้นอย่างตกใจ

        “อ๊ะ! ท่านโนอา เดี๋ยวผมทำให้...”

        ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบดี โนอาก็เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเสียก่อน

        “ที่นี่ไม่ใช่ลาซา เพราะฉะนั้นทุกคนก็ถือว่าเท่าเทียมกันหมด ...เข้าใจนะ”   

        “...ขอรับ”

        ชายทั้งสองจำต้องรับคำอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งโนอาก็ยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ แล้วจึงตามไปช่วยขนฟูกจากบ้านหลังหนึ่ง ส่วนคนติดตามของเขาก็แยกไปช่วยลีขนเต็นท์เช่นเดียวกัน

 

         อีกด้านหนึ่งที่บ้านของหนุ่มญี่ปุ่นเองนั้น  ทั้งเรน ชิโระและคุไรต่างก็พากันยืนห่าง ๆ เฝ้ามองคนที่นั่งเหม่อลอยอยู่ตามลำพังในห้องรับแขก  ซึ่งก่อนหน้านั้นพอพวกเขาซักถามอะไรออกไป ริวก็ยิ้มเศร้า ๆ แล้วปฏิเสธไม่ยอมบอก จากนั้นก็เอ่ยปากขออยู่คนเดียวเงียบ ๆ ทำให้ทั้งสามไม่กล้าที่จะเซ้าซี้ให้ชายหนุ่มต้องแสดงสีหน้าลำบากใจไปกว่านี้

        “หือ...เสียงกดออด ใครมาน่ะ”

        เรนพึมพำแล้วเดินออกไปดูที่หน้าบ้าน ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นกีรติยืนรออยู่

        “เชิญครับคุณกีรติ มาหาพี่หรือครับ”

        เรนเปิดประตูรั้วต้อนรับ ซึ่งกีรติก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยตอบ

        “ใช่ครับ...พอดีได้ยินว่าพวกคุณขอตัวมาพักผ่อนก่อน ผมก็เลยแวะมาดูน่ะครับ...เอ่อ คือจริง ๆ ก็เป็นห่วงน่ะครับ กลัวว่าจะมีใครไม่สบายอะไรด้วยหรือเปล่า”

        ท้ายประโยคกีรติอ้อมแอ้มตอบด้วยสีหน้าขัดเขินเล็กน้อย และนั่นจึงทำให้เรนอมยิ้มอย่างเอ็นดู  จากนั้นเขาจึงเชื้อเชิญคนที่ยืนอยู่นอกรั้วเข้าไปในบ้าน แล้วบอกกับอีกฝ่ายตามตรง

        “อันที่จริงตอนนี้พวกผมเองก็กำลังกังวลอยู่เหมือนกัน  เพราะพี่ริวเขาจู่ ๆ ก็ดูแปลกไปน่ะครับ”

        “เอ๋? เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

        เรนหันมามองคนถาม แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะฝืนยิ้มให้คนข้างกายตน

        “ไว้คุณกีรติลองไปถามดูเองดีกว่าครับ ... บางทีพี่อาจจะยอมเล่าให้คุณฟังก็ได้”

        กีรติชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ตามมา เพราะเชื่อว่าริวคงมีปัญหาจริง ๆ ไม่เช่นนั้นเรนคงจะไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ให้เขาเห็นแน่



         และเมื่อกีรติเดินตามเรนไปจนถึงห้องรับแขก  ชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นริวนั่งเหม่ออยู่ในห้องที่ค่อนข้างมืด เพราะเจ้าของห้องนั้นจัดการปิดผ้าม่านบานประตูกระจกผืนใหญ่ จนทำให้แสงจากหน้าบ้านไม่ส่องผ่านเข้ามา มิหนำซ้ำยังไม่ยอมเปิดไฟในห้องอีกต่างหาก

        “เอ่อ...คุณริวครับ”

        กีรติเรียกชื่ออีกฝ่าย ซึ่งก็ทำให้ร่างนั้นชะงักแล้วหันมามองคนเรียกอย่างตกใจ

        “กี...มาได้ยังไงน่ะ”

        “คือผมเห็นว่าคุณริวไม่อยู่ เลยแวะมาหาน่ะครับ  เอ่อ...คือผมเป็นห่วงว่าคุณอาจจะไม่สบาย...  อ๊ะ! แล้วก็ตั้งใจว่าจะชวนคุณไปช่วยคุณดาหลาเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้ด้วยน่ะครับ!”

        ประโยคหลัง ๆ นั้นกีรติรีบแก้ตัวตามมา เพราะรู้สึกเขินที่จะบอกว่า จริง ๆ แล้วที่มาหาก็เพราะเป็นห่วงริวเพียงเท่านั้น   

        “ขอบคุณที่เป็นห่วง ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก...ก็แค่รู้สึกเพลียนิดหน่อยเท่านั้น  อืม...ส่วนเรื่องเตรียมอาหาร เดี๋ยวสักพักผมจะตามไปช่วยทีหลังนะ”

        ริวยิ้มน้อย ๆ ตอบ ทว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย และนั่นจึงทำให้กีรติต้องขมวดคิ้วยุ่ง เขายืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหา พลางนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ อีกฝ่าย

        “มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับคุณริว ...เล่าให้ผมฟังได้ไหม”

        ริวชะงักเล็กน้อย แล้วจึงประสานสายตาของตนสบกับนัยน์ตาสีดำที่แฝงความห่วงใยคู่นั้น ทว่าเมื่อหวนคิดถึงเรื่องที่เขาเป็นกังวล ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ หลุบตาลง พลางตอบกลับไปเสียงแผ่ว   

        “ไม่มีอะไรมากหรอก...ผมก็แค่กำลังคิดถึงในสิ่งที่ผมลืมคิดไปก็เท่านั้นเอง”

        กีรติมองริวอย่างแปลกใจ ซึ่งริวก็เม้มปากน้อย ๆ สักพักเขาจึงยันกายลุกขึ้นยืน พร้อมบอกกับคนตรงหน้า   

        “ผมว่าผมไปช่วยคุณดาหลาเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงตอนนี้เลยดีกว่านะ”

        “คุณริว...”

        กีรติพึมพำเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสับสน เพราะทันได้สังเกตเห็นแววตาเจ็บปวดของริวก่อนที่จะลุกไป แผ่นหลังที่ดูอมทุกข์นั่นทำให้คนมองต้องเม้มปากน้อย ๆ  แล้วจึงตัดสินใจแน่วแน่ลุกขึ้นตามไปฉุดข้อมือของชายหนุ่มรั้งเอาไว้เสียก่อน

        “อย่าเพิ่งไปครับ!”

        ริวหันมามองอย่างตกใจ และพอได้เห็นแววตาจริงจังของอีกฝ่าย เขาก็ต้องหลุดเรียกชื่อของชายหนุ่มร่างเล็กออกมาแผ่วเบา

        “กีรติ...”

         “คุณริว ...พวกเราเป็นคนรักกันแล้วใช่ไหมครับ...ถ้าอย่างนั้นโปรดบอกผมเถอะครับ ว่าคุณทุกข์ใจอะไรอยู่... ให้ผมได้รับฟังความทุกข์ของคุณ และแบ่งปันมันร่วมกับคุณ...นะครับ”

        กีรติบอกกับชายหนุ่มและจ้องตาเจ้าตัวนิ่งโดยไม่หวั่นไหว  ทางด้านริวเองนั้นก็จ้องตอบแววตาจริงใจที่มีให้เขาเสมอมาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าที่เคยหม่นหมองก็เริ่มมีรอยยิ้มที่แจ่มใสกว่าก่อนหน้านั้นให้กีรติได้เห็น

        “ขอบใจนะกี ... ผมนี่มันแย่จริง ๆ เอาแต่คิดกลัวไปเองฝ่ายเดียว จนเกือบทำตัวซ้ำรอยเมื่อก่อนอีกจนได้”

        ริวบอกพร้อมกับโอบกอดคนตัวเล็กที่ตอนนี้มีสีหน้างุนงงกึ่งโล่งใจยามได้เห็นคนรักกลับมายิ้มได้แบบเดิมอีกครั้ง  ส่วนทางด้านเรนที่แอบดูอยู่นอกห้องหลุดยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงสะกิดสัตว์อสูรทั้งสองให้ออกไปนอกบ้านเพื่อช่วยคนอื่น ๆ เตรียมงานแทน  เพื่อให้ริวกับกีรติได้ปรับความเข้าใจกันต่อ โดยไม่มีคนอื่นรบกวนตามลำพังนั่นเอง



... TBC ...


ฝากข่าวนิดนึง สำหรับคนเคยอ่าน my angel ของปัด เนื่องด้วย  แฟนเพจของปัด (https://www.facebook.com/NovelPat)ได้ like เลขสวย 500 และใกล้กับวันเกิดของปัดเข้ามาทุกที ดังนั้นปัดจะลงตอนพิเศษของหนูไค ให้อ่าน เฉพาะในแฟนเพจเท่านั้นนะคะ เพื่อเป็นการขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันค่ะ ใครสนใจก็แวะเวียนไปเยี่ยมดูได้นะคะ จะลงตั้งแต่30กย เป็นต้นไปค่ะ(ก็ไม่มากมายหลายหน้าอะไรหรอกค่ะ ราวๆ  30 หน้าเอสี่เท่านั้นเอง)
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 29-09-2013 19:17:25
อร๊ากกกก ริวงุ้งงิ้งใส่ กีด้วย  :-[  น่าร๊ากกกกอร่า

ปล.เอ่อเค้าไปสมัครบอร์ดแล้วนะ แต่มันเข้าไปอ่านไม่ได้อ่ะ บอกเค้าหน่อยสิ ว่า ต้องทำยังไงหลอ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-09-2013 19:27:38
คู่เมนนี่เค้าน่ารักจริงๆ อร๊ายยย เขิลแทน
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 29-09-2013 21:08:00
ความรักคือความเข้าใจและไว้ใจซึ่งกันและกัน
เชื่อเลยว่าทั้งริวและกีจะต้องผ่านอุปสรรค์ทุกๆ อุปสรรค์ไปได้แน่ๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 29-09-2013 21:20:54
ริวคิดมากโคตรๆ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าน่ารักนะ ฮ่ะๆ

ไกรสรกับปัณณ์นี่ซัมธิงรองใช่ป้ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 29-09-2013 21:24:25
น่ารักจริงเลยคู่นี้

งานเลี้ยงท่าจะสนุกนะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 06-10-2013 10:06:18
มายังเอ่ยยยย


ปัณกับ ไกร นิยังๆ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 23 (29/9/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 06-10-2013 21:32:23
ความรักทำให้คนเราอ่อนไหวเนอะ  แต่รักก็ทำให้คนเราเข้มแข็งได้อย่างที่สุดเหมือนกัน
หากมีคนที่รักอยู่เคียงข้าง  :mew1:

ปัณฑ์กับพ่อค้าคนนั้นต้องเป็นอีกคู่แน่ๆ

รอตอนต่อไปค่ะ

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 15-10-2013 18:06:59
  :sad4:  ขออภัยนะคะ ที่หายหน้าไปนาน พอดีหวัดกิน + ที่บ้านใกล้จัดงานบวช
เลยต้องตะลอนทัวร์ออกนอกบ้านไปเรื่อย ๆ   ช่วงนี้พอจะว่า เลยได้มาปั่นต่อแล้วค่ะ


บทที่ 24
คืนงานเลี้ยง (1)



   เวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ กีรติและริวก็ตามมาสมทบกับทุกคนในหมู่บ้าน  ริวนั้นมีสีหน้าดีขึ้นผิดจากเดิมมาก จนเจอรัลด์และแฟนธอมที่ออกมาช่วยคนอื่นเตรียมงาน ถึงกับนึกแปลกใจ แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มพูดคุยกับกีรติระหว่างช่วยดาหลาเตรียมอาหาร พวกเขาจึงคิดตรงกันว่า น่าจะเป็นเพราะคนตัวเล็กที่อยู่ข้าง ๆ หนุ่มญี่ปุ่นมีส่วนช่วยเอาไว้เป็นแน่

   “กีรตินี่มหัศจรรย์ดีนะ แค่ได้คุยกับเขา ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มนั่น ก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้ว”

   แฟนธอมเปรยขึ้นเบา ๆ แต่นั่นกลับทำให้คนขี้หึงที่อยู่ใกล้ ๆ เริ่มชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์อีกรอบ

   “ถึงจะชอบแค่ไหน แต่ก็ห้ามหลงรักนะครับ ไม่งั้นผมไม่ยอมจริง ๆ ด้วย”

   เจอรัลด์กระซิบขู่ ทำให้คนฟังหันมามองอย่างเอือมระอา เพราะคนข้างกายเขานั้นช่างขี้หึงเสียเหลือเกิน

   “นายนี่ก็นะ หัดมองความจริงบ้างสิ กีรติเขาก็มีริวเป็นแฟนอยู่แล้ว ที่สำคัญคนแบบฉัน ใครเขาจะคิดมาชอบกัน นอกจากคนโรคจิตแบบนายนี่ล่ะ”

   แฟนธอมเปรยบ่น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคุ้นหูจากด้านหลังของเขา

   “อย่าตีค่าตัวเองต่ำแบบนั้นสิแฟนธอม ... เพราะนอกจากเจอรัลด์แล้ว ก็มีคนอื่นเขามอง ๆ คุณอยู่เหมือนกันล่ะ เพียงแต่ไม่อยากเสี่ยงโดนคนโรคจิตบางคนคอยรังควานชีวิตเข้าให้ล่ะนะ”

   “หมอเพชร!”

   แฟนธอมเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตกใจ เพราะไม่ทันรู้สึกตัวว่าชายหนุ่มแอบย่องเข้ามาใกล้ตนในตอนไหน  ส่วนทางด้านเจอรัลด์นั้นยิ่งหน้าหงิกมากขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดที่หมอเพชรบอกเมื่อครู่

   “หวังว่าคนอื่นนั่น คงจะไม่ใช่คนใกล้ตัวแถวนี้หรอกนะครับคุณหมอ”

   หมอหนุ่มแย้มยิ้มที่มุมปากนิด ๆ เขาไม่ใส่ใจสิ่งที่เจอรัลด์พูด แต่กลับหันไปหาแฟนธอมแทน

   “ผมว่าเราไปช่วยเขาเตรียมงานทางด้านนั้นดีไหมแฟนธอม ...จะว่าไปช่วงนี้หมู่บ้านคึกคักดีจังเลยนะ ผมเลยพลอยสบายได้กินฟรีไปด้วยบ่อย ๆ ประหยัดทรัพย์ไปเยอะเลยทีเดียว ช่วงนี้ยิ่งทรัพย์จางอยู่ด้วยสิ”

   “ก็คุณหมอไม่ค่อยจะชอบเก็บเงินค่ายาคนในหมู่บ้านนี่ครับ แล้วจะให้รวยกับเขาได้ยังไง”

   แฟนธอมตอบพร้อมส่งยิ้มในแบบที่เจอรัลด์ยิ่งมองก็ยิ่งหึงหวงหนัก พลางคิดว่าแทนที่จะไปมัวกังวลเรื่องกีรติ เขาควรจะต้องระวังคนกันเองในหมู่บ้านอย่างหมอเพชรเสียมากกว่า

    “สงสัยหลังจากนี้ เวลาผมจะคุยกับคุณคงต้องโดนกันท่าน่าดูล่ะนะ ...มีแฟนขี้หึงแบบนี้เบื่อไหม ถ้ายังไงจะเปลี่ยนเป็นคนใจเย็น เป็นผู้ใหญ่กว่าอย่างผมแทนไหมล่ะ”

   หมอเพชรที่สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของเจอรัลด์แกล้งแหย่ซ้ำ ซึ่งก็ทำให้แฟนธอมสะดุ้งโหยง ทว่ายังไม่ทันเอ่ยตอบอะไร เขาก็โดนเจอรัลด์กอดแน่นจากด้านหลัง ซ้ำคนที่กอดก็ยังโพล่งใส่หมอหนุ่มดังลั่นอย่างไม่สนใจว่าจะมีใครมาได้ยิน

   “ไม่มีวันเสียล่ะ! ยังไงผมก็ไม่มีวันยกคุณแฟนธอมให้หมอหรอก!”

   แฟนธอมซึ่งตกใจในทีแรก พอได้ยินเจอรัลด์พูดแบบนั้น เขาก็รู้สึกอายแกมฉุน ที่นักประดิษฐ์หนุ่มชอบทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ขายหน้าเสมอ ทว่าการที่เจอรัลด์มักแสดงออกว่ารักเขาทั้งต่อหน้าและลับหลังคนอื่น ก็ทำให้แฟนธอมรู้สึกปลื้มใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

   “อะไร ๆ ใครไม่ยอมยกใครให้ใครกัน!”

   เสียงแว่ว ๆ ที่แทรกขัดมา ทำให้แต่ละคนหันขวับไปมองเป็นตาเดียว ซึ่งคนถูกมองก็ขมวดคิ้วยุ่งทันที

   “อีกแล้ว! นายดูสิไกร จ้องฉันเสียยังกับเป็นตัวประหลาดอย่างนั้นล่ะ! ก่อนหน้านั่นก็ทีนึงละ คนหมู่บ้านนี้เป็นอะไรของเขากันเนี่ย! ระวังเถอะ จะจับกรอกยาเสน่ห์ให้ตกเป็นทาสทั้งหมู่บ้านเสียเลย!”

   ปัณณ์บ่นอย่างงอน ๆ ทว่าบางคนที่ได้ยิน ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะคิดทำอย่างที่พูดจริงหรือไม่กันแน่

   “...ไม่เอาน่า ถ้าพวกนี้เป็นทาสนายกันหมด เดี๋ยวก็น่าเบื่อเหมือนหมู่บ้านก่อนหน้านั้นที่จากมาหรอก จริงไหม”

   ไกรสรที่มาด้วยกันพยายามปรามคนข้างกาย แต่นั่นกลับยิ่งทำให้คนอื่นที่ได้ยินทำตาปริบ ๆ ยกเว้นหมอเพชรที่หัวเราะในลำคอเบา ๆ 

   “คุณปัณณ์นี่ร่าเริงเสมอเลยนะครับ แล้วเมื่อไหร่จะมีเวลาว่างช่วยปรุงยาดี ๆ ให้ผมไว้ขายหาเงินใช้บ้างล่ะครับ”

   ปัณณ์หันขวับมาทางคนพูด แล้วจึงเปลี่ยนจากอารมณ์เสียเป็นยิ้มแย้มร่าเริงแทน

   “ก็มีแต่หมอเพชรคนเดียวนี่ล่ะ ที่เห็นข้อดีของผม  ส่วนเรื่องยาพวกนั้น ไว้ผมเขียนนิยายเรื่องล่าสุดจบเมื่อไหร่ จะจัดให้ชุดใหญ่เลยทีเดียว อยากได้แบบไหนบอกได้เลย ทั้งยาช่วยคน ยาฆ่าคน ผมปรุงได้ทั้งนั้นล่ะ!”

    หมอเพชรเอ่ยขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม แต่นั่นกลับทำให้ชาวหมู่บ้านซึ่งอยู่ละแวกนั้นหันมาสบตากัน แล้วตัดสินใจแยกย้ายเลี่ยงกันไปคนละทางสองทาง  โดยเฉพาะเจอรัลด์นั้นรีบดึงตัวแฟนธอมให้ออกห่างทั้งคู่ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเกรงว่าทั้งปัณณ์และหมอเพชรจะหันมาร่วมมือกัน แล้วจับแฟนธอมเป็นหนูทดลองยาแปลก ๆ เพื่อแกล้งเขานั่นเอง



   “ไปเสียแล้ว...ยังแกล้งไม่สนุกเท่าไหร่เลย”

   หมอเพชรพึมพำเมื่อเห็นเจอรัลด์พาแฟนธอมออกห่างพวกเขา ส่วนปัณณ์หัวเราะเบา ๆ อย่างพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้บ้าง

   “ช่วยไม่ได้ ก็เจอรัลด์ทั้งรักทั้งหลงแฟนธอมจะตายไป มองดูก็รู้แล้ว แต่ผมละแปลกใจที่คนหัวช้าและไม่ค่อยสนเรื่องคนอื่นอย่างแฟนธอมกลับยอมรับรักเขาได้นี่ล่ะ ตอนที่รู้ข่าวผมตกใจมากเลยนา”

   “คงเพราะมีกีรติเป็นตัวเร่งเชื้อไฟกระมังครับ เจอรัลด์ถึงได้แสดงออกให้แฟนธอมได้เห็นชัดเจนกว่าก่อนหน้านั้น  ขนาดตอนนี้คบกันแล้ว ผมยังเห็นหมอนั่นหึงแฟนธอมกับกีรติอยู่เลยด้วยซ้ำ”

   หมอเพชรตอบอย่างนึกขำ ซึ่งก็ทำให้คนฟังที่ได้ยินแว่ว ๆ ก่อนหน้านั้น ร้องอ๋อตามมา

   “อ๋อ! มิน่าล่ะ เมื่อครู่นี้ที่เจอรัลด์โวยวายนั่นก็ฝีมือหมอเองหรอกหรือ อืม... แต่ไม่แปลกหรอกที่เจอรัลด์จะหึงหวงหนักมากกว่าเดิม เพราะแฟนธอมกับคุณสนิทกันมากอยู่นี่นะ”

     คนฟังยิ้มตอบ ทว่าคนที่ยืนอยู่อีกคนกลับถอนหายใจหนัก ๆ จนทั้งเขาและปัณณ์หันไปมอง

   “เป็นอะไรของนายอีกล่ะไกร ถอนหายใจทำไม”

   “ไม่มีอะไร...ฉันแค่รู้สึกสงสารเจอรัลด์ขึ้นมาเฉย ๆ ก็แค่นั้นเอง”

   พ่อค้ากับข้าวตอบด้วยน้ำเสียงเอือมระอา ซึ่งนั่นก็ทำให้ปัณณ์ขมวดคิ้ว ส่วนหมอเพชรอมยิ้มน้อย ๆ อย่างเข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อเป็นอย่างดี

   “หึ ๆ ผมว่า พวกเราไปสมทบกับพวกคุณเวธน์ดีกว่า เพราะถ้าเป็นเรื่องอาหารผมก็คงไปเกะกะเขาเปล่า ๆ ส่วนเรื่องขนย้ายของ แค่ลีกับคุณสกลก็เหลือแหล่แล้ว”

   หมอหนุ่มตัดบทแล้วชักชวนทั้งคู่ให้ไปหาพวกเวธน์ที่จับกลุ่มนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ลานกว้างหน้าหมู่บ้าน ซึ่งปัณณ์นั้นก็พยักหน้าตกลงทันที ส่วนไกรสรถอนหายใจเบา ๆ ใจจริงก็อยากไปช่วยเรื่องเตรียมอาหาร แต่ขืนปล่อยให้ปัณณ์อยู่ตามลำพังกับหมอเพชร มีหวังคงชวนกันก่อเรื่องวุ่นวายให้แต่ละคนในหมู่บ้านปวดหัวหนักเป็นแน่



   ตกเย็น บรรดาผู้คนที่ไปทำงานต่างเริ่มทยอยกลับ และพอตะวันลับขอบฟ้า งานเลี้ยงต้อนรับโนอาจึงเริ่มต้นขึ้น ณ บริเวณลานกว้างหน้าหมู่บ้าน ซึ่งมีเต็นท์นอนหลายหลังกางเรียงกันไป ทั้งจากที่ยืมลีมาและของชาวหมู่บ้านเอง จนมองดูคล้ายเป็นแคมป์ขนาดย่อม ๆ เลยทีเดียว

   “ดูครึกครื้นแทบไม่แตกต่างกับตอนเลี้ยงต้อนรับเรนเลยนะ”

    คุไรในร่างมนุษย์ซึ่งเกาะติดอยู่กับเรนเปรยขึ้น พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ลานกว้าง ซึ่งตอนนี้แต่ละคนก็พากันจับกลุ่มสนทนา ดื่มกินสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ดังไปทั่วบริเวณนั้น อย่างไม่มีใครคิดเกรงใจใคร

   “ตอนพี่ริวมาถึงหมู่บ้านนี้ใหม่ ๆ ทุกคนที่นี่ก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาแบบนี้หรือเปล่าน่ะ”

   เรนหันไปถามจิ้งจอกขาวซึ่งจับกลุ่มอยู่กับพวกเขา และพอชิโระได้ยินคำถาม เจ้าตัวก็รีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันที

   “แน่นอน! แถมพวกนั้นเป็นมิตรเสียจนริวทำตัวไม่ถูกเลยล่ะ  อีกอย่างตอนนั้นภาษาไทยริวก็ยังพูดไม่ค่อยจะได้ ดีนะที่คุณเวธน์ช่วยเป็นล่ามให้ แต่ถึงตอนนั้นพวกเราจะคุยกันคนละภาษา แต่ก็ยังสนุกและอบอุ่นไม่แพ้กับงานเลี้ยงของที่นี่ทุก ๆ ครั้งนั่นล่ะ”

   ชิโระนึกถึงอดีตแล้วจึงแกว่งพวงหางไปมาอย่างอารมณ์ดี ซึ่งเรนกับคุไรเองก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่จิ้งจอกขาวบอก เพราะพวกเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจและไมตรีจิตของผู้คนในสถานที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

   “เป็นหมู่บ้านที่ดีจังเลยนะ โชคดีของพวกเราเหลือเกิน ที่มีโอกาสได้มาอยู่ที่นี่น่ะ”

   เรนพึมพำแผ่วเบา พวกเขานั่งมองรอบด้านเงียบ ๆ อยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ต้องหลุดอมยิ้มนิด ๆ เมื่อหันไปเห็นคุไรทำหัวผงกหงึก ๆ เพราะความง่วง เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาเข้านอนของอีกฝ่ายนั่นเอง

   “ถ้าง่วงนัก จะให้ยืมตัวแทนหมอนก็ได้นะ”   

   จิ้งจอกขาวที่หันไปเห็นเข้าเหมือนกันเปรยบอก พลางกลับคืนสู่ร่างเดิม ทางด้านคุไรเหลือบไปมองอีกฝ่าย แล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ อย่างลังเล

   “ถ้าง่วงก็ไม่ต้องฝืนหรอกคุไร  อืม...หรือจะกลับไปนอนที่บ้านแทนก็ได้นะ”

   ปีศาจงูยักษ์เม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงตัดสินใจยืมร่างนุ่ม ๆ ที่เต็มไปด้วยขนฟูฟ่องของจิ้งจอกขาวนอนต่างหมอน เพราะไม่อยากกลับไปนอนคนเดียวที่บ้าน ซึ่งชิโระก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดแหย่ให้อีกฝ่ายโมโหจนงอนตามปกติ เพราะเข้าใจดีว่าคุไรนั้นอยากมีส่วนร่วมกับงานเลี้ยงครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นการหลับไปฟังคนอื่นคุยไปก็ตาม

   “ยังหลับง่ายเหมือนเคยนะ เจ้างูน้อยนี่”

   ชิโระพึมพำ มองร่างที่นอนหนุนตัวเขาหลับอย่างเอ็นดู ส่วนเรนที่มองทั้งคู่ หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพราะแม้จะทะเลาะกันอยู่เสมอ แต่จิ้งจอกขาวกับปีศาจงูยักษ์ก็ยังสนิทสนมกันดี ยิ่งหลังจากพวกเขามาอยู่เมืองไทย ทั้งคู่ก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้นไปอีก

   

   อีกด้านหนึ่ง ริวนั้นนั่งรวมกลุ่มกับกีรติและโนอา ฟังพี่น้องสนทนาถึงครั้งอดีตสมัยอยู่ลาซา แล้วลอบอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อรับรู้ว่ากีรติในสมัยก่อนหรือตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าใดนัก

   “ผมอยากอยู่ที่นี่กับคีต่ออีกสองสามวันจัง...แต่ถ้าทำแบบนั้นคงต้องโดนท่านพ่อจับได้แน่”

   โนอาบ่นเบา ๆ ทำให้กีรตินึกสงสารน้องชาย แต่เขาก็เห็นด้วยกับเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมา เพราะจะว่าไปแล้ว ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ไรอันช่วยอีกแรง โนอาก็คงจะหาข้ออ้างออกนอกประเทศ โดยไม่ให้บิดาของพวกเขาสงสัยได้อย่างลำบากแน่นอน

   “ไว้พี่จะโทรไปหาบ่อย ๆ แทนแล้วกันนะ”

   กีรติเอ่ยปลอบ ซึ่งโนอาก็เงยหน้ามองแล้วอ้อนต่อ

   “คุยแบบเห็นหน้าด้วยนะครับ”

   “ฮะ ๆ รู้แล้วน่า”

   กีรติบอกพร้อมกับเอื้อมมือลูบศีรษะของอีกฝ่าย ทำให้โนอายิ้มกว้างอย่างยินดี สักพักเด็กหนุ่มก็ขอตัวไปสนทนากับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านต่อ  จึงเหลือแต่ริวกับกีรตินั่งอยู่ด้วยกันสองคนแถวนั้นตามลำพัง

    “ถ้าผมต้องห่างกับกีจนสามารถทำได้แค่เพียงเห็นหน้าและได้ยินแค่เสียง ผมคงจะเหงาแย่เลยเชียวล่ะ”

   ริวพึมพำเบา ๆ ทำให้กีรติชะงักแล้วหันไปมองคนพูด อีกฝ่ายดูมีสีหน้าซึมลง แต่ก็ไม่ได้เศร้าจนน่าเป็นห่วงเหมือนเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา

   “แต่ตอนนี้พวกเราก็ยังอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือครับ”

   กีรติตอบพร้อมกับเอนกายพิงไหล่ของอีกฝ่าย ซึ่งริวก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไปแผ่วเบา

   “นั่นสินะ...”

   จากนั้นแม้ระหว่างทั้งคู่จะมีเพียงแต่ความเงียบ ไร้ซึ่งเสียงสนทนา แต่กีรติก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นผ่านมือของริวที่เลื่อนมาเกาะกุมมือของเขาเอาไว้  เวลาผ่านไปสักพักเมื่อริวเห็นว่าโนอากำลังจะลุกจากวงสนทนา เพื่อกลับมาหาพี่ชาย  หนุ่มญี่ปุ่นจึงหันไปมองคนข้างกายเขา พร้อมกับก้มหน้าลงไปหอมที่แก้มเนียนนั้นแผ่วเบา จนคนถูกหอมสะดุ้งโหยง

   “คุณริว!”

   กีรติอุทานไม่ดังนักอย่างตกใจ ใบหน้าขาวแดงระเรื่อแม้จะเห็นได้จากแสงไฟเลือนรางก็ตาม 

   “จริง ๆ ก็อยากจูบมากกว่าแก้มหรอกนะ ...แต่ขืนทำแบบนั้น คงถูกน้องชายคุณกลับมากีดกันเข้าให้อีกรอบแน่...ว่างั้นไหม”

   ริวบอกพร้อมยกยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ จนกีรติต้องหน้าร้อนวาบอีกครั้ง เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คนขรึม ๆ ไม่ค่อยพูดจาเช่นริว จะมีด้านที่ดูขี้เล่นเช่นนี้เหมือนกัน


… TBC …


แปะก่อน// มาบอกว่าเขียนเดือนผิดค่ะ นี้เดือน10แล้วค่าาาา

อ๊าย อับอาย ๆ  ขอบคุณมากเลยค่ะ ที่ช่วยสังเกตให้ ... เขียน เดือน 5 แทนเดือน 10 เฉยเลย ^  ^"
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/5/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 15-10-2013 18:18:38
แปะก่อน// มาบอกว่าเขียนเดือนผิดค่ะ นี้เดือน10แล้วค่าาาา
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/5/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 15-10-2013 18:22:56
เย้~มาอัพแล้ว

ยังน่ารักทุกคนเหมือนเดิมเลยอ่าอิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/5/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 15-10-2013 18:47:58
อ๊ะ มีคืบหน้า หอมแก้มกันดั้ว  :-[
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 15-10-2013 19:11:08
ดีใจจังได้อ่านตอนใหม่แล้ว

ตอนนี้เรียบเรื่อยสบายๆเนอะ  แต่ยังน่าติดตามเหมือนเดิม

รอตอนต่อไปค่ะ

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 15-10-2013 20:05:01
เรียบๆเรื่อยๆไปก่อน ขอแบบนี้อีกสักพักนะคะ ยังไม่พร้อมเจอเรื่องระทึกค่ะ ฮ่ะๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 15-10-2013 21:38:59
แต่ละคนมีที่มาที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-10-2013 22:59:23
น่ารักเชียว คุณริวอย่าเพิ่งคิดอะไร เพราะกีร์บอกแล้ว
ว่าตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกัน เขิลประโยคนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: beamintron ที่ 16-10-2013 07:25:09
ว้ายยยยมาต่อแล้ว รอซะนาน(มั้ง)
ชอบชิโระกับคุไร มันคู่กันได้ป่าวเนื่ย55555+

อยากลองนอนบนชิโระอ่าาาาา (พูดแล้วคิดถึง ท่านเซ็ตโชมารุ รู้จักกันไหมเนื่ย ฮ่าา)
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 24 (15/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 16-10-2013 12:09:14
น่ารักมากๆๆ :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 18-10-2013 23:04:00
บทที่ 25
คืนงานเลี้ยง (2)



         เจ้าของที่ดินรุ่นปัจจุบันนั่งจิบเครื่องดื่มในมือขณะมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น บรรดาสมาชิกหมู่บ้านแต่ละคนล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้คนมองอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

        “เป็นหมู่บ้านที่ดีจังเลยนะครับคุณเวธน์”

        ปาลินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บอกกับชายหนุ่ม ซึ่งเวธน์ก็หันมายิ้มหวานให้แทนคำตอบ แต่นั่นกลับทำให้คนที่มองอยู่ชะงัก เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอ พลางชะโงกหน้าไปกระซิบบอกบางอย่างแผ่วเบา แต่นั่นกลับทำให้คนฟังหน้าแดงวาบ พร้อมกับผลักคนพูดออกไปทันที

        “ไปนั่งห่าง ๆ ฉันเลยไป!”

        ทางด้านกรกฎเหลือบมองนายจ้างกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าระหว่างทั้งคู่นั้นเกิดอะไรขึ้น

        “ปาล...มานี่สักครู่ซิ”

        กรกฎเรียกญาติของเขาให้มาหา ซึ่งปาลินก็เดินหน้ามุ่ยเข้ามา เนื่องจากเวธน์นั้นงอนจนไม่ยอมให้เขานั่งใกล้ แม้ว่าเขาจะง้องอนขอโทษเจ้าตัวสักเพียงใดก็ตาม

        “นายก็น่าจะรู้นิสัยเขาดีไม่ใช่หรือ ยิ่งมีคนอื่นนั่งกันเต็มหมู่บ้านแบบนี้ เขาไม่ต่อยหน้านายเข้าให้ก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะ”

        “ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา...นาน ๆ คุณเวธน์จะยอมยิ้มแบบนั้นให้ฉันสักทีนี่”

        ปาลินแก้ตัวเขิน ๆ เมื่อเห็นว่ากรกฎคาดเดาในสิ่งที่เขาบอกกับเวธน์ได้ง่ายดายแบบนี้

        “...ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกล่ะนะ แต่ก็ต้องดูกาลเทศะด้วยสิ”

        กรกฎย้ำด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากใครบางคนด้านหลังตน

        “หมอเพชร...”

        หมอหนุ่มยิ้มให้คนที่เรียกชื่อเขา แล้วเอ่ยทักทายตอบกลับไป

        “สวัสดีครับ เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะครับคุณกรกฎ ขนาดงานเลี้ยงต้อนรับคุณเรนคราวก่อน ผมก็ยังไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวเท่าไหร่เลย”

        “เอ่อ...ครับ”

        กรกฎตอบรับสั้น ๆ แล้วก้มหน้าไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย ทำเอาปาลินนึกประหลาดใจ เพราะไม่เคยเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขามีท่าทางเช่นนี้กับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่ารู้จักกันมาก่อน

        หมอเพชรอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาตอบรับจากอีกฝ่ายที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด จากนั้นหมอหนุ่มจึงหันไปทักทายปาลินแทน

        “สวัสดีครับ คุณปาลิน งวดนี้เห็นทีคงจะกลับมาอยู่เมืองไทยนานเลยสินะครับ”

        “เอ่อ...ครับ ก็คิดว่าจะอยู่ต่ออีกสักสองสามเดือนถึงกลับไปช่วยงานที่ฝรั่งเศสสักรอบ ขืนไม่กลับไปเลยทางนั้นจะบ่นเอาได้”

        ปาลินทักตอบ แม้จริง ๆ แล้วตัวเขานั้นจะไม่ค่อยสนิทหรือได้พูดคุยกับอีกฝ่ายเท่าใดนัก เนื่องจากหมอหนุ่มนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในบ้านพักตลอดเวลา ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับใคร  ยกเว้นก็แต่จะมีงานสังสรรค์รวมผู้คนเช่นนี้ จึงจะยอมออกมาให้เห็นหน้ากันบ้าง

         “อืม... แล้วปล่อยคุณเวธน์เอาไว้ที่นี่แบบนี้ ไม่กลัวใครบางคน จะฉกไปเสียก่อนหรือครับ”

         ปาลินขมวดคิ้วยุ่งกับคำพูดนั้น ซึ่งหมอหนุ่มก็ซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ก่อนจะแสร้งทำเป็นนึกขึ้นได้ตามมา

        “อ๊ะ! ผมลืมไปเสียสนิท คุณกับคุณเวธน์ลงเอยกันด้วยดีแล้วนี่นะครับ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก ...ใช่ไหมครับคุณกรกฎ”

        กรกฎชะงักเล็กน้อย ส่วนปาลินรู้สึกสะกิดใจต่อคำพูดของหมอหนุ่ม จึงหันขวับมามองญาติของเขาพร้อมตั้งคำถาม

        “หมายความว่ายังไงกาย มีใครนอกจากฉันมาจีบคุณเวธน์ด้วยอย่างนั้นรึ!”

        “...จะแปลกอะไรเล่า ก็คุณเวธน์เค้าทั้งหล่อทั้งรวยทั้งเก่งเรื่องการงาน ใคร ๆ ก็อยากยกลูกสาวใส่พานให้เจ้าตัวทั้งนั้น...นายเองก็รู้เรื่องนี้ดีไม่ใช่หรือไง”

        กรกฎเปรยบอกคล้ายกับเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ยังคงตวัดสายตามองหมอหนุ่มอย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่ง ซึ่งคนถูกมองเองก็รู้ตัวดี จึงส่งยิ้มติดเจ้าเล่ห์นิด ๆ กลับไป ทำให้กรกฎต้องเม้มปากน้อย ๆ อย่างหงุดหงิด แล้วจึงหันกลับมามองญาติของเขาที่ยังคงมีสีหน้าคลางแคลงใจอยู่ไม่น้อย   

        “ปาล ...แทนที่นายจะมาหึงหวงกับเรื่องราวในอดีตไร้สาระพวกนี้ นายควรจะกลับไปง้อคุณเวธน์ต่อจะดีกว่า  แค่นายบอกขอโทษเขา แล้วก็ทำตัวเงียบ ๆ สงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาไว้ไม่ต้องตื๊อมาก เดี๋ยวเขาก็ใจอ่อนเองนั่นล่ะ... และถ้าขืนนายยังคงใส่ใจเรื่องอดีตของเขา มากกว่าเรื่องปัจจุบันและอนาคตที่นายกับเขาจะมีร่วมกัน ฉันว่านายก็ควรจะพิจารณาเรื่องระหว่างนายกับเขาเสียใหม่ดีกว่านะ”

        ปาลินนิ่งอึ้งต่อคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้คนตรงหน้า

        “ขอบใจนายมากเลยนะกาย ที่ช่วยเตือนสติฉันน่ะ”

        “อย่าให้ต้องเตือนบ่อยก็แล้วกัน บ่นมาก ๆ บางทีมันก็น่าเบื่อ”

        กรกฎบอกอย่างไม่ถือสาอะไรนัก ซึ่งปาลินก็ยิ้มตอบ แล้วขอตัวไปง้อเวธน์ต่อ โดยที่กรกฎได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา เมื่อเห็นเวธน์ยอมให้ปาลินนั่งใกล้ได้ดังเดิม



        “ทำไมไม่บอกญาติของคุณไปล่ะครับ ว่าคนที่เขาสงสัย ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเขาสักเท่าไรน่ะ”

        หมอเพชรที่เดินมายืนอยู่ด้านหลังกรกฎโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว ชะโงกหน้ามากระซิบข้างหู ทำเอาเลขาหนุ่มสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันขวับไปมองคนข้างหลังเขาทันที

        “คุณไปพูดแบบนั้นกับปาลเขาได้ยังไง! ทั้ง ๆ ที่คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณเวธน์แบบนั้นสักหน่อย!”

        กรกฎเค้นเสียงตำหนิอีกฝ่ายไม่ดังมากนัก ซึ่งหมอเพชรก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอก่อนจะตอบออกไป

        “หึ ๆ ไม่คิดแน่หรือครับ ..แล้วคืนนั้นใครกันที่...”

        “คุณหมอ!”

        เลขาหนุ่มตวาดใส่อีกฝ่ายเสียงดังอย่างลืมตัว ทำให้คนอื่น ๆ หันมามองอย่างประหลาดใจ กรกฎชะงักนิ่งพยายามนึกหาคำพูดแก้ตัว แต่พอเห็นสายตาสงสัยของเวธน์และปาลิน เขาก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก

        “ฮะ ๆ ขอโทษทีครับ พอดีเผลอไปแซวเรื่องส่วนตัวของคุณเลขาเขาเข้า ก็เลยโดนดุเอาเลย ...ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ ที่เผลอไปถามเรื่องแบบนั้นเข้าให้”

        หมอเพชรบอกกับกรกฎ พลางแสร้งโค้งศีรษะเล็กน้อยทำทีเป็นขอโทษ ทำเอาหลายคนที่ได้ยินคำพูดนั้นถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะเริ่มมีรอยยิ้มแปลก ๆ ตามมา สักพักแต่ละคนจึงต่างหันกลับไปพูดคุยจับกลุ่มกันต่อ ซึ่งพอเห็นดังนั้นหมอหนุ่มก็อมยิ้มน้อย ๆ พลางตัดสินใจปลีกตัวกลับไปพักผ่อนที่บ้านของตนแทน

        “เดี๋ยวครับหมอ!”

        กรกฎเรียกรั้งคนที่กำลังเดินไปให้หยุดฝีเท้า ซึ่งอีกฝ่ายก็หันกลับมามองอย่างแปลกใจ

        “เอ่อ...ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอไปนั่งดื่มกาแฟที่บ้านของคุณจะได้ไหม...”

        หมอเพชรแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับพร้อมกับยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย

        “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”

        “ผมเดินเองได้หรอก...”

        กรกฎบอกอย่างไม่ค่อยพอใจที่เหมือนจะถูกแกล้งเข้าให้อีกครั้ง ซึ่งหมอหนุ่มเองก็ยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ถือสาอะไรที่อีกฝ่ายเดินผ่านหน้าไปโดยไม่ยอมจับมือของตน จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินตามหลังของกรกฎไปเงียบ ๆ ไม่ได้พูดแซวหรือชวนคุยอันใดเช่นเดียวกับคนที่เดินนำหน้าเขาไปแล้วก่อนนั้น

         

        “สองคนนั่นสนิทกันดีนะ แปลกจริง ทั้ง ๆ ที่เจอหน้าพูดคุยกันแค่ไม่กี่หนแท้ ๆ”

        เวธน์มองตามไล่หลังเลขาของเขาไปอย่างประหลาดใจ เช่นเดียวกับปาลินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

        “นั่นน่ะสิครับ ไม่ค่อยได้เห็นกายเล่าอะไรเกี่ยวกับหมอเพชรให้ฟังสักเท่าไหร่เลย แต่ถ้าลองพวกเขาแยกไปคุยส่วนตัวกันได้แบบนี้ ก็ดูน่าจะสนิทสนมคุ้นเคยกันพอสมควรนะครับ”

        เวธน์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะจากที่รู้จักคุ้นเคยกันมาหลายปี แม้กรกฎจะมีท่าทางสุภาพกับทุกคน แต่หากไม่ใช่คนที่เจ้าตัวยอมรับ กรกฎก็มักจะทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายเสมอ การที่ชายหนุ่มตามหมอเพชรไปที่บ้านพักเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลก สำหรับคนที่เคยพูดคุยกันไม่กี่ครั้งอย่างทั้งคู่

        “อืม...ไม่แน่ว่าบางทีพวกเขาอาจจะคุยถูกคอกันในงานเลี้ยงของหมู่บ้านงานใดงานหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวทีหลังก็ได้ล่ะมั้ง”

        เวธน์ลองคาดเดา เพราะจะว่าไปก่อนหน้านั้นเขาก็อู้งานอยู่บ่อยครั้ง  ถ้าเกิดหมอเพชรจะมาพูดคุยกับกรกฎ โดยเขาไม่ล่วงรู้ก็คงไม่น่าแปลกอะไรนัก

        “อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้นะครับ เพราะก่อนหน้านั้นคุณก็โดดงานไม่เข้าหมู่บ้านออกจะบ่อยนี่ครับ...อ๊ะ! อย่ามองแบบนั้นสิครับ! กายเขาเล่าให้ผมฟังต่างหาก ผมไม่ได้ว่าคุณสักหน่อยนะครับ!”

        ปาลินรีบแก้ตัวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลุดปากเผลอพูดบางอย่างที่ทำให้คนข้าง ๆ ไม่พอใจออกไป

        “ฮึ! เล่ากันแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้นล่ะนะพวกนายน่ะ!”

        เวธน์บอกพร้อมกับมีสีหน้าบึ้งตึงอีกรอบ ทำให้ปาลินต้องรีบง้อยกใหญ่ ซึ่งก็เพียงไม่นานชายหนุ่มก็ยอมอภัยให้ แล้วนั่งคุยกันต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนปาลินชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นโมโหเขาจริงหรือแกล้งทำกันแน่

         

        อีกด้านหนึ่ง กีรติเองก็เหลือบมองคนที่นั่งพิงไหล่เขาพลางผงกหัวหงึก ๆ เคลิ้มหลับอยู่ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจปลุกน้องชายให้ไปนอนพักผ่อนเสียแทนที่จะมานั่งหลับอยู่เช่นนี้

        “โนอา...ตื่นก่อน ไปนอนสบาย ๆ ในห้องดีกว่านะ”

        “งืม...ง่วง...ขี้เกียจเดิน ... ขอนอนแถวนี้ก็แล้วกัน...”

         โนอาบอกงึมงำทั้งที่ยังหลับตา ทำให้กีรติสั่นศีรษะน้อย ๆ แล้วจึงเหลือบไปมององครักษ์ของโนอาที่ต่างก็พากันสะดุ้งโหยงทันทีที่เห็นสายตา เจ้าชายรัชทายาทของพวกตน

        “ถ้าอย่างนั้นก็ขอฝากโนอา...”

        “อย่าเลยกี เต็นท์ของพวกเขาเป็นเต็นท์นอนแบบสองคนไม่ใช่หรือ  ถ้าโนอาไปเพิ่มอีกคนก็เบียดพวกเขาให้นอนลำบากแย่น่ะสิ”

        ริวเอ่ยขัดอย่างพอจะคาดเดาจากสีหน้าลำบากใจขององครักษ์ทั้งสองได้ ซึ่งกีรติก็คิดตามแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สร้างความโล่งอกให้กับคนฟังทั้งคู่ยิ่งนัก

        “ถ้าอย่างนั้นก็เดินเอาหน่อยนะ ไม่ไกลหรอกโนอา”

        กีรติหันมาบอกน้องชายที่ตอนนี้ง่วงจนหลับไปแล้วอีกรอบ ทางด้านริวเห็นเช่นนั้นจึงอาสาอุ้มอีกฝ่ายไปเองโดยที่องครักษ์ของโนอายังไม่ทันจะเสนอตัวด้วยซ้ำ

        “เอ่อ ...ขอบคุณครับ พวกผมฝากเจ้าชายด้วยนะครับ”

        หนึ่งในสองคนบอกกับริวเป็นภาษาไทย เพราะถึงแม้ริวจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกตน แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักของกีรติ และโนอาเองก็มอบความไว้วางใจในระดับหนึ่งต่อชายหนุ่ม พวกเขาจึงยอมปล่อยให้ริวเข้าใกล้คนที่พวกเขาจะต้องคอยคุ้มครองดูแลใกล้ชิด อย่างไม่นึกลำบากใจอันใดนัก

        “ครับ...ไม่ต้องกังวลอะไรนะครับ พักผ่อนกันตามสบาย รับรองว่าพวกคุณและโนอาจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น หากยังอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้”

         ริวรับคำและพูดเสริมให้คนฟังสบายใจ ซึ่งกีรติก็พยักหน้ารับรองคำพูดของคนรัก จากนั้นริวจึงอุ้มโนอาที่ง่วงจนหลับไม่รู้เรื่องราวเดินไปพร้อมกับกีรติ ตรงไปยังสำนักงานหมู่บ้าน เพื่อให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนบนเตียงอย่างที่ควรจะเป็น

         

         เมื่อริวนำโนอามาส่งถึงห้องเรียบร้อย เขาและกีรติจึงออกมานั่งคุยกันที่ห้องรับแขกของสำนักงาน เพราะกีรตินั้นยังคงไม่รู้สึกง่วงนอนเท่าใดนัก

        “ขอบคุณคุณริวมากนะครับ ที่ช่วยพาโนอามาส่งแบบนี้”

        กีรติบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งริวก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไป

        “ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก น้องของกีก็เหมือนกับเป็นน้องของผมด้วยนั่นล่ะ”

        กีรติยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะหลุดอุทานแผ่วเบา เมื่อจู่ ๆ ริวก็รั้งร่างของเขามานั่งบนตักของเจ้าตัว พร้อมกับซบใบหน้าลงบนบ่าเล็กบอบบางนั่น

        “คุณริว...มีอะไรไม่สบายใจหรือครับ”

        กีรติถามอย่างสงสัยต่อพฤติกรรมที่แปลกไปของอีกฝ่าย ซึ่งริวพอได้ยินก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วขยับให้ชายหนุ่มหันมาเห็นหน้ากัน โดยยังคงโอบกอดร่างเล็กนั้นหลวม ๆ และบังคับให้นั่งบนตักของตนอยู่ตามเดิม

        “ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่อยากใช้เวลาอยู่ร่วมกับกี แบบคนรักกันบ้างก็เท่านั้นเอง”

        ริวบอกพร้อมก้มลงหอมแก้มอีกฝ่ายซ้ายขวา ทำเอากีรติหน้าแดงวาบ พยายามจะดันตัวออกห่างด้วยความเขิน ทว่าริวก็ไม่ยอมปล่อยให้หนีง่าย ๆ   และเมื่อชายหนุ่มแกล้งจูบหลาย ๆ ครั้งจนใบหน้าและลำคอขาวเนียนนั่นแดงก่ำจนทั่วแล้ว เขาจึงยอมปล่อยให้ร่างเล็กเป็นอิสระ โดยการคลายอ้อมกอดออก ทว่ากีรตินั้นกลับยังไม่ขยับไปไหน

        “ทำไมหรือกี...ลุกไม่ไหวหรือไง...”

        ริวชะโงกหน้าไปถามอย่างสงสัย ทว่าก็ต้องชะงักค้างเมื่อคนตัวเล็กหันมายกแขนโอบคล้องคอตน พร้อมกับรั้งศีรษะของเขาลงมาใกล้จนริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันแผ่วเบา

        “กี...”

        ริวเรียกชื่ออีกฝ่ายพึมพำแทบไม่พ้นลำคออย่างไม่อยากเชื่อตัวเอง ทว่าพอเห็นนัยน์ตาปรือปรอยที่จ้องมองมา ชายหนุ่มก็สลัดความสงสัยทั้งปวงทิ้งไป แล้วจึงใช้มือรั้งศีรษะของร่างเล็กยึดเอาไว้ พวกเขาต่างกระชับริมฝีปากบดเบียดเข้าหากันอย่างหยอกเย้าสลับหนักแน่น จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ต่างฝ่ายจึงต่างถอนริมฝีปากผละออกมา พลางจ้องมองสบตากันอยู่สักพัก กีรติจึงเป็นฝ่ายหลุบตาหลบไปก่อน

        “เอ่อ...ผมคิดว่า ผมน่าจะเข้านอนได้แล้ว...เดี๋ยวโนอาตื่นมาไม่เจอใครแล้วจะงอแงเอา”

        กีรติที่รู้สึกตัวได้สติ พยายามหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวหนีไปด้วยความอับอาย ซึ่งพอริวได้เห็นใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่าย ก็ทำให้เขานึกอยากแกล้งให้คนรักได้อายยิ่งกว่าเดิม แต่ก็เกรงว่าหลังจากนี้อาจจะทำให้กีรติหลบหน้าเขาแทน จึงยอมตัดใจปล่อยให้อีกฝ่ายกลับเข้าห้องไปโดยไม่ขัดขวางอะไร ทว่าก็ยังคงเดินตามมาส่งหน้าห้องของเจ้าตัวอยู่ดี

        “ราตรีสวัสดิ์...หลับฝันดีนะครับกี”

        ริวบอกพร้อมกับก้มลงมาจูบหน้าผากอีกฝ่าย ซึ่งกีรติก็หน้าแดงวาบ แต่ก็ยังคงจับเสื้อของริวเอาไว้ แล้วก้มหน้าอุบอิบตอบแผ่วเบา

        “คุณริวก็เหมือนกันนะครับ...”

        ริวยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ และเมื่อกีรติกลับเข้าห้องไปแล้ว ชายหนุ่มก็เดินออกจากสำนักงานไปด้วยอารมณ์อันแจ่มใสยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงกังวลถึงเรื่องสถานภาพและเรื่องที่สักวันกีรติจะต้องกลับประเทศอยู่ก็ตาม ทว่าความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นระหว่างพวกเขา ก็ทำให้ริวเกิดความหวังว่า คงจะมีหนทางที่จะช่วยทำให้ทั้งเขาและกีรติ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในอนาคตข้างหน้าได้ รอคอยอยู่สักหนทางหนึ่งเป็นแน่


… TBC…



มีนักอ่านบางท่านคอมเมนต์บอกว่าอย่าเพิ่งรีบจบ ..เช่นนั้น ก็จัดหวานให้ต่ออีกสักตอนอย่างไม่รวบรัดก็แล้วกันค่ะ   

 ส่วนคู่คุณหมอกับคุณเลขา...ที่หลายท่านอาจจะสงสัยว่าคู่นี้เขามีความลับอะไรกัน ปัดตั้งใจว่าจะจับไปโยนในตอนพิเศษ เช่นเดียวกับคู่ คุณพ่อค้ากับข้าวและพ่อมดจอมป่วนประจำหมู่บ้าน  ซึ่งก็เอาไว้รออ่านกันได้นะคะ สำหรับสองคู่นี้ ตั้งใจลงให้อ่านในบอร์ดแน่นอนค่ะ ^^


หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 18-10-2013 23:07:56
^
^
^
มาแว้วๆ
จิ้มๆ ก่อน อิอิ

........................

ว้าวๆ ในที่สุดพ่อมดจอมป่วนของเราก็มีคนมารับเลี้ยง เอ้ย! ดูแล ไกรจัดให้หนักๆ เลยนะ~
ส่วนคุณเลขากับคุณหมอ คึคึ ความลับอะไรกันหว่า
จะรอดูนะคะ~
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 18-10-2013 23:27:33
ใจกล้านะลูกชายชั้น  จูบไปแล้วหลายรอบด้วย :ling1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-10-2013 23:49:51
ริวกี ความหวานกินขาดมากกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 18-10-2013 23:54:33
วายกันทั้งหมูบ้านยกเว้นแม่ค้าขายอาหารตามสั่งใช่มั้ย  :laugh: (ชอบนะชอบ อิอิ   :hao7:)
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: beamintron ที่ 19-10-2013 03:39:07
^
^
^
^
คิดว่าใช่นะ กร๊ากกกกก :laugh:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 19-10-2013 09:02:35
สนุกๆๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 19-10-2013 09:03:09
หวานซะมดขึ้นจอ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 19-10-2013 12:32:50
หวานเกิ๊นนนน
 :mew3:
รอตอนพิเศษสองคู่นั้น อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 19-10-2013 12:45:39
 o13

กีใจกล้ามีจูบก่อนด้วย.  o18

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 19-10-2013 19:33:21
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด เรื่องนี้เป็นอะไรที่ฟินมาก!!
ตอนแรกเรากะว่าจะไม่เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่องทำใจอยู่นาน...
แต่พอเข้ามาอ่านตอนแรกเท่านั้นแหละ เกิดอาการถอนตัวไม่ขึ้นค่ะ
คนเขียนขุดหลุมลึกนะเนี่ย เราตามอ่านวันเดียวรวดเลย แบบจุใจ
ตอนแรกที่เข้ามาอ่านกีน่ารักมากค่ะ ใสๆ นึกว่าพระอกจะเป็นแฟนธอมซะแล้ว
เราไม่คิดว่าเข้ามาอ่านเรื่องนี้แล้วจะติดขนาดนี้ แล้วยังเป็นนิยายแฟนตาซีอีก ติดเลยค่ะ!!
เราอ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นกับทุกฉากทุตอน ลุ้นมากตอนที่คนในหมู่บ้านยังไม่เผยตัว
แถมพ่อหนุ่มซอมบี้(จำชื่อได้แต่กลัวเขียนผิด ฮ่าๆ) ยังเก่งขนาดนี้ ถามว่าชอบอะไรในเรื่องที่สุด บอกได้เลยค่ะว่าชอบอเล็กซ์มากๆ
เราเป็นคนที่ชอบสมองคนที่พูดได้ (ติดมาจากไอรอนแมน ฮ่าๆ) ตอนแรกแอบเชียร์โนอากับเรน แต่พอไปๆมาๆ เอาคู่อื่นจะดีกว่า ฮ่าๆ
น้องกีเป็นถึงเจ้าชายรัชทายาท แล้วริว(ของกี)จะท้อไม่ได้นะสู้ต่อไป ... กีเก่งมากค่ะ ประทับใจ ใสๆ แบบน่ารัก

ปล.เป็นเม้นแรกที่พิมพ์ยาวขนาดนี้ จะรออ่านต่อไค่ะ ติดเรื่องนี้ซะแล้ว ฮ่าๆ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 25 (18/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 20-10-2013 06:04:41
อยากรู้ๆๆๆๆๆๆ รออ่านกีต่อ หวานเกินนน 5555 เขินน
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 21-10-2013 15:49:40
 :L2:



บทที่ 26
เค้าลาง



         เช้าตรู่วันถัดมา บรรดาผู้คนในหมู่บ้านมีสุข ต่างตื่นมารวมตัวกัน เพื่อส่งโนอากลับประเทศ และแม้จะไม่ได้ตามไปส่งกันถึงสนามบิน หากแต่โนอากับผู้ติดตามทั้งสอง ก็รู้สึกซาบซึ้งถึงน้ำใจไมตรีของทุกคนที่นี่เป็นอย่างมาก

        “คี...ต้องโทรมานะ แล้วเวลาผมโทรมาก็ต้องรับแล้วคุยด้วยนะ”

        โนอาบอกเสียงเจือสะอื้นขณะกอดพี่ชายของตน ซึ่งกีรติก็ตบหลังอีกฝ่ายปลอบค่อย ๆ อย่างอ่อนโยน

        “รู้แล้วน่า ...ตั้งใจเรียนนะโนอา แล้วเป็นเด็กดีของท่านพ่อท่านแม่ด้วยนะ”

         “อือ...ผมจะตั้งใจเรียน แล้วจะเป็นเด็กดีด้วย...คีเองก็เหมือนกัน กินให้เยอะ ๆ พักผ่อนให้มาก ๆ นะ... ตัวจะได้โตกว่านี้”

        โนอาตอบพี่ชาย แต่นั่นกลับทำให้คนฟังชะงักและหลุดยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ ส่วนคนอื่น ๆ พากันเงียบกริบ แล้วทำเป็นแสร้งมองไปคนละทาง ทว่ากลับพยายามกลั้นยิ้มและหัวเราะกันอย่างเต็มที่

        “ท่านโนอาขอรับ ใกล้ได้เวลาเดินทางแล้วนะขอรับ”

        หนึ่งในคนติดตามบอกกับผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งโนอาก็หันมาพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงผละออกจากพี่ชาย พร้อมกับบอกด้วยสีหน้าจริงจังกว่าเดิม

        “ผมไปแล้วนะคี ...ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ล่ะ”

        “อืม...น้องก็เหมือนกันนะโนอา”

        กีรติตอบพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งโนอาก็มีสีหน้าคล้ายอยากจะร้องไห้อีกรอบ แต่ก็ต้องอดทนไว้ เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงหันมาทางริวที่ยืนอยู่แถวนั้น ก่อนจะโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับหนุ่มญี่ปุ่น ซึ่งก็สร้างความตกใจให้คนอื่นที่มองอยู่กันไม่น้อย

        “ผมขอฝากพี่ชายไว้กับคุณด้วยนะครับ คุณริว”

        “ครับ...ผมจะดูแลกีรติเป็นอย่างดี และจะไม่ยอมให้มีอันตรายใด ๆ มาทำร้ายเขาได้อย่างเด็ดขาด... รับประกันด้วยชีวิตของผมเลยครับ”

        ริวตอบอย่างหนักแน่นจริงจังทั้งสีหน้าและแววตา สร้างความพึงพอใจให้กับโนอายิ่งนัก

        “ขอบคุณครับ”

        โนอาตอบรับสั้น ๆ แล้วจึงหันไปมองกีรติแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถโดยไม่พูดอะไรอีก แต่กีรติเองก็รู้ดีว่าที่เป็นเช่นนั้น เพราะน้องชายกลัวจะตัดใจจากไปลำบาก เช่นเดียวกับเขาที่อยากให้เจ้าตัวอยู่ต่ออีกสักพักเช่นกัน

        “โชคดีนะโนอา”

        กีรติบอกก่อนที่ประตูรถจะปิดลง ซึ่งโนอาก็ชะงัก แล้วจึงพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้หันมามองพี่ชาย จนกระทั่งรถยนต์คันหรูแล่นออกจากหมู่บ้านไปลับตาในที่สุด

        “...เอาน่า ถ้าเหงาเมื่อไหร่ก็โทรคุยกันได้ตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

         ริวปลอบคนรัก ซึ่งกีรติก็เงยหน้ามายิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย

        “นั่นสิครับ...ขืนไม่โทร หรือไม่ยอมรับสาย คราวนี้คงกลับมาโวยวายถึงหมู่บ้านอีกรอบแน่”

        กีรติตอบแล้วลอบถอนหายใจ โดยริวที่สังเกตเห็นก็พอจะคาดเดาออกว่าอีกฝ่ายนั้นรู้สึกเช่นไร ชายหนุ่มจึงลูบศีรษะคนรักเบา ๆ แทนคำปลอบโยน ซึ่งกีรติก็ชะงักแล้วก้มหน้าเขิน ๆ ไม่กล้าสบตาคนข้างกาย แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากใครบางคนดังขึ้น

        “อะแฮ่ม! หวานกันจริ๊ง! หวานเสียจนน่าอิจฉา... จริงสิ! คุณแฟนธอมครับ พวกเราสองคนก็มาทำแบบนี้บ้างดีไหมครับ...”

        เจอรัลด์ที่มองดูอยู่โพล่งขึ้น พลางหันไปถามคนซึ่งอยู่ข้างกาย ทว่ากลับได้รับสายตาคมกริบส่งให้ ทำเอาคนพูดหัวเราะแห้ง ๆ แทน ก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยจากบางคนดังขึ้น

        “แฟนธอมหงุดหงิดแบบนี้ แสดงว่าเมื่อคืนนายไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะสินะเจอรัลด์”

        หมอเพชรขยับเดินมายืนข้าง ๆ ชายสวมหน้ากาก พร้อมกับยกยิ้มน้อย ๆ อย่างรู้ทัน 

        เจอรัลด์สะดุ้งอีกรอบเพราะคำพูดแทงใจดำนั้น ก่อนจะรีบแย้งกลับไปทันที

        “อย่าใส่ร้ายกันสิครับหมอ!”

        “หึ ๆ อย่างนั้นหรอกหรือ...”

        หมอเพชรทำเหมือนจะไม่เชื่อสิ่งที่เจอรัลด์พูดสักนิด ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ พลางแย้งสวนกลับมาด้วยสีหน้าซึ่งแฝงไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

          “เรื่องของผมน่ะช่างเถอะ แต่เมื่อคืนนี้ผมจำได้ว่า คุณกรกฎเขาแวะไปคุยกับหมอไม่ใช่หรือครับ แล้วไหงป่านนี้รถเขายังจอดอยู่อีกล่ะ ...แถมอเล็กซ์ยังรายงานผมอีกนะครับว่า คุณกรกฎไม่ได้ออกจากหมู่บ้านเมื่อคืนด้วย”

        คำพูดของเจอรัลด์เรียกความสนใจจากแต่ละคนบริเวณนั้นเป็นอย่างดี ทั้งหมดหันมามองหมอเพชรเป็นตาเดียว ซึ่งก็สร้างความสะใจให้นักประดิษฐ์หนุ่มยิ่งนัก เพราะตั้งแต่โต้เถียงกันมา เขาก็เพิ่งได้มีโอกาสเอาคืนอีกฝ่ายแบบนี้เป็นครั้งแรกนั่นเอง

        “หือ...นึกว่าจะถามเรื่องอะไร เรื่องนั้นเองหรอกหรือ”

        หมอเพชรบอกพลางยกยิ้มนิด ๆ อย่างนึกขำ เพราะไม่คิดว่าเจอรัลด์จะถึงกับลงทุนสอบถามอเล็กซ์เรื่องของกรกฎเช่นนี้ ถึงแม้ตัวเขาเองก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะมีใครสักคน นึกสงสัยเรื่องที่รถของเลขาหนุ่มยังจอดอยู่ที่เดิมนั่นบ้างก็ตาม

        “ก็เมื่อคืนคุณกรกฎเขาขับรถกลับบ้านไม่ไหว ฉันก็เลยให้เขานอนค้างที่บ้านฉัน  อืม...เขานอนบนเตียงฉัน เผื่อนายอยากจะรู้เพิ่มเติมว่าเขานอนที่ไหนล่ะนะ”

         ไม่เฉพาะแค่เจอรัลด์ แต่กับคนอื่น ๆ ที่ได้ฟัง พากันนิ่งอึ้ง อ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน แม้กระทั่งกีรติก็ยังถึงกับหน้าแดงด้วยความอาย แม้จะผ่านการใช้เวลาคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ ว่าทำไมกรกฎถึงต้องไปนอนบนเตียงของอีกฝ่ายก็ตาม

        “คะ..คุณหมอ...หมายความว่า...คุณกับคุณกรกฎ..”

        หมอหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเมื่อได้เห็นสีหน้าของเจอรัลด์และบรรดาสมาชิกร่วมหมู่บ้าน แล้วจึงเฉลยความจริงกับทุกคนตามมา

        “เมื่อคืนผมกับเขาไปดื่มกันต่อที่บ้าน ...แล้วทีนี้คุณกรกฎดันเผลอหยิบแก้วผิด ไปดื่มเหล้าแก้วผมเข้าให้ ก็เลยน็อกเมาหลับไม่รู้เรื่องจนป่านนี้เลยล่ะครับ... อ้อ! ก็เหล้าต้มเองแบบเดียวกับที่นายเคยมาขอซื้อฉัน เพื่อหวังจะเอาไปมอมเหล้าแฟนธอมให้เขาเมาแล้วจะได้ปล้ำเขาทีหลังนั่นล่ะ”

        ท้ายประโยคหมอเพชรหันมาทางเจอรัลด์ หากแต่คำพูดนั้นกลับทำให้เจ้าตัวสะดุ้งเฮือก แล้วก็ยิ่งเสียวสันหลังวาบเมื่อคนข้างกายเขาหันมามองพร้อมกับย้ำถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

        “...จริงอย่างที่คุณหมอบอกหรือเปล่าเจอรัลด์”

        “ไม่จริงนะครับ! หมอก็พูดอะไรไม่รู้ อยากให้ผมกับคุณแฟนธอมทะเลาะกันนักหรือไงครับ!”

        เจอรัลด์รีบปฏิเสธแล้วหันไปโวยวายใส่หมอเพชร ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ แล้วไม่ได้โต้เถียงอะไร นั่นจึงทำให้แฟนธอมไม่คิดซักไซ้เจอรัลด์ต่อ ทว่าก็ยังคงส่งสายตาไม่ไว้วางใจให้คนรักอยู่ไม่เลิก

        “ก็อย่างที่บอกให้ทุกคนฟังนั่นล่ะครับ...แล้วก็อย่าคิดไปล้อคุณกรกฎเขาล่ะ คนนั้นน่ะไม่ใช่คนใจเย็นแบบผมหรอก เกิดโมโหขึ้นมาเดี๋ยวคุณเจ้าของที่ดินของพวกเรา ก็จะไม่มีคนช่วยงานเข้าให้นะครับ”

        หมอเพชรสรุปตัดบท ซึ่งก็ทำให้แต่ละคนเงียบกริบ แล้วพยักหน้าหงึกหงักไปตาม ๆ กัน เพราะจะว่าไปแล้วกรกฎนั้นคอยช่วยเหลือพวกเขาให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ทั่วไปตามปกติในแทบทุกด้าน  เผลอ ๆ จะมีส่วนช่วยเสียยิ่งกว่าเวธน์ที่ขยันโดดงานเสมอนั่นอีก

        “ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวคุณกรกฎตื่นมาแล้วไม่เห็นผมเข้า...จะงอนเอา”

        หมอเพชรย้ำเน้นทิ้งท้ายพร้อมกับยกยิ้มมุมปากติดเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแยกกลับบ้านพักไป ท่ามกลางสายตาสงสัยและหวาดระแวงของแต่ละคน ที่ชักไม่แน่ใจว่าทั้งคู่นั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรแน่



        “โชคดีนะที่ปัณณ์ไม่ตื่นมาส่งโนอาด้วย ไม่อย่างนั้นคงเข้าไปวุ่นวายถามคุณเลขาเข้าให้แล้วล่ะ”

        ใครคนหนึ่งเปรยเบา ๆ ทำให้อีกหลายคนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย แต่ดาหลาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พอได้ยินชื่อปัณณ์เธอก็บ่นตามมาทันที

        “มันก็ดีที่เขาไม่ได้ยินเรื่องนี้ แต่มันไม่ดีตรงที่เขาดันทำให้คุณไกรมาขายกับข้าวให้พวกเราในเช้านี้ไม่ได้น่ะสิ ...ฉันกำลังกลุ้มอยู่เลยนะ ว่าจะเอาอะไรทำขายเย็นนี้น่ะ!”

        ขาดคำของดาหลา ก็ทำให้หลายคนที่ไม่ได้อยู่จนงานเลิก ต่างหันไปมองคนพูดอย่างสงสัย

        “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือดาหลา”

        “นั่นสิ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”

        ดาหลาถอนหายใจเบา ๆ เธอเหลือบมองคนรักแล้วส่งสายตาให้เจ้าตัวเล่าแทน ซึ่งภูผาก็เป็นฝ่ายเล่าให้ทุกคนที่ไม่ได้อยู่จนงานเลิกฟัง

        “คุณปัณณ์เขาดื่มหนักจนเมาพูดแทบไม่รู้เรื่องแล้ว คุณไกรก็เลยพยายามห้าม...เอ่อ แต่เขากลับถูกคุณปัณณ์จับกรอกเหล้า...แบบว่าผ่านปากต่อปากน่ะ”

        คนฟังทุกคนเงียบกริบ พลางจินตนาการตาม ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอแทบจะพร้อมกัน

        “เฮ้อ! แล้วทีนี้พวกฉันก็เพิ่งจะรู้ว่าคุณไกรเขาแพ้เหล้าขนาดหนัก...พอโดนแบบนั้นก็น็อกสลบไปเลย  ส่วนคุณปัณณ์ก็ดันหัวเราะชอบใจยกใหญ่ แถมยังดื่มต่ออีกสักพัก และพอใกล้จะตีสามคุณปัณณ์ก็ขอแรงให้ฉันพาคุณไกรไปส่งที่บ้านเขา  ดูจากที่คุณปัณณ์ดื่มไปกว่าเขาจะตื่นก็คงไม่เที่ยงก็บ่ายนั่นล่ะ ส่วนคุณไกรก็ไม่รู้จะฟื้นตอนไหนล่ะนะ”

        พอฟังที่ภูผาเล่าจบเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นไล่เลี่ยกัน จากนั้นแต่ละคนจึงลงความเห็นว่าคงต้องไปซื้อของที่ตลาดใกล้แถวนี้แทนเสียแล้ว ซึ่งก็มีบางคนอาสาขับรถไปซื้อให้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ฝากเงินและรายการซื้อของไปแทน จากนั้นจึงต่างแยกย้ายกันไปทำงานบ้างพักผ่อนบ้างดังเช่นชีวิตประจำวันตามปกติที่ดำเนินมา 

       

        แม้ว่าทางด้านหมู่บ้านมีสุข ผู้คนจะยังคงดำเนินชีวิตไปตามปกติก็ตาม หากแต่ประเทศเล็ก ๆ บนเกาะแห่งหนึ่ง กลับกำลังส่อเค้าถึงความวุ่นวายบางอย่างขึ้นมา เมื่อมีแขกจากฮ่องกง เดินทางมาเยี่ยมเยียนราชาของประเทศนี้โดยไม่ได้นัดหมาย   

        “สวัสดีครับ ท่านลูคัส…ไม่ได้พบท่านเสียนาน สบายดีไหมครับ”

        แขกผู้มาเยือนทักทายเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงชัดเจน เจ้าตัวเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มดุดัน โครงหน้าไปทางตะวันตก หากแต่เส้นผมลองทรงเป็นระเบียบ และนัยน์ตาเรียวยาวคมกริบนั้น กลับมีสีดำเข้มเหมือนคนเอเชียทั่วไป

        “ฉันก็เรื่อย ๆ นั่นล่ะ... แล้วเธอล่ะการงานเป็นอย่างไรบ้าง ฉันได้ข่าวมาว่าบริษัทของเธอกำลังมีโครงการเปิดสาขาใหม่ที่อเมริกาด้วยสินะ”   

        ผู้ที่สนทนาด้วยเอ่ยทักตอบเป็นภาษาเดียวกัน เจ้าตัวเป็นชายที่มีโครงหน้าค่อนข้างไปทางลูกครึ่งเอเซียผสมตะวันตก นัยน์ตาเรียวสวยเป็นสีฟ้าสดใส เส้นผมดำขลับยาวสลวยถูกมัดไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าสูงวัยกว่าแม้จะยิ้มแย้ม แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งอำนาจและความสง่างามให้คนมองรู้สึกได้ และถ้าหากไม่รู้มาก่อน ก็คงคิดว่าคนตรงหน้ามีอายุเพียงแค่สามสิบต้น ๆ เท่านั้น

         “ใช่แล้วครับ ก็ตั้งใจจะมาเรียนให้ท่านทราบอยู่เหมือนกัน แต่ก็คงช้ากว่าสายข่าวของท่านที่มีอยู่ทั่วไปหมดนั่นล่ะครับ”

        ผู้มาเยือนเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งคนฟังก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงสนทนาบนโซฟาในห้องนั้น 

        “แล้วที่มานี่บอกเอวาเขาหรือยังล่ะ สองสามวันก่อนรายนั้นยังบ่นกับฉันเรื่องของเธออยู่เลยนะ เห็นบอกว่าเธองานยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาจะโทรคุยกัน แถมยังมีการบ่นอีกว่าคิดผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่ตัดสินใจหมั้นกับคนอายุมากกว่าแบบนี้น่ะ”

        ลูคัสเปรยขึ้นเรียบ ๆ พลางซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มเจื่อน ๆ และถึงแม้ว่าเขาจะพูดออกไปเช่นนั้น หากแท้จริงแล้วเขามิได้รู้สึกขุ่นเคืองหรือไม่พอใจชายหนุ่มแม้แต่น้อย  ตรงกันข้ามเขากลับชื่นชมที่เฟยหลงแม้จะอายุเพียงแค่ยี่สิบห้าปี หากแต่กลับมีความสามารถเทียบเคียงบรรดานักธุรกิจชั้นนำแถวหน้าของโลก แถมจะว่าไปแล้วเชื้อสายทางฝั่งมารดาของเฟยหลงก็เป็นชาวลาซาเช่นเดียวกับเขา และถ้าไล่เรียงกันจริง ๆ ก็ยังคงเกี่ยวดองเป็นญาติห่าง ๆ กันอีกด้วย 

        “ขอโทษด้วยนะครับ พอดีช่วงนี้ผมงานยุ่งไปหน่อย...เอ่อ ว่าแต่เอวาโกรธผมมากเลยหรือครับ”

        ประโยคคำถามพร้อมแววตาที่แฝงความกังวลให้เห็น ทำให้ลูคัสแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงบอกออกไปตามตรง

          “หึ ๆ ไม่หรอก ...เอวาก็บ่นไปอย่างนั้นล่ะ คงเพราะช่วงนี้โนอาไม่อยู่ด้วย พอมีเขาอยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีเพื่อนคุย ก็เลยหงุดหงิดไปใหญ่”

        ลูคัสบอกกับคู่หมั้นของบุตรสาว ซึ่งอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วนิด ๆ อย่างแปลกใจ

        “ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมของทางมหาวิทยาลัยที่ท่านโนอาศึกษาอยู่ไม่ใช่หรือครับ หรือว่าปีนี้ท่านจะไม่ได้กลับมาพักผ่อนที่ลาซา...”

        ลูคัสยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตอบคำถามคลายความสงสัยของชายหนุ่ม

         “เขากลับมาแล้ว แต่พอดีมีธุระด่วนเลยทำให้ต้องบินไปต่างประเทศเมื่อสองสามวันก่อน เห็นว่ามิสเตอร์หลี่ พ่อของหนูไดอาน่าคู่หมั้นของเขาป่วยน่ะ โนอาก็เลยมาขออนุญาตฉันไปเยี่ยม ฉันก็เลยอนุญาตไป  คาดว่าไม่พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็คงกลับแล้วล่ะนะ”

        “หือ...คุณหลี่ ป่วยหรือครับ แต่งานเลี้ยงวันเกิดของผู้ว่าการฯ เมื่อคืนก่อน ผมยังเจอเขาอยู่เลยนะครับ ก็เห็นดูแข็งแรงดี แถมพอทราบว่าผมจะแวะมาลาซา เขายังฝากความคิดถึงมาถึงท่านลูคัสด้วยเลยนะครับ”

        คำแย้งของเฟยหลงทำให้ลูคัสชะงัก แล้วจึงหรี่ตามองคนพูด พร้อมกับย้ำถามอีกครั้งหนึ่ง

        “ตกลงว่า มิสเตอร์หลี่สบายดีอย่างนั้นหรือ”

        “เอ่อ...จากเท่าที่ดู ค่อนข้างห่างไกลอาการป่วยอยู่มากนะครับ”

        เฟยหลงตอบอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง เพราะนัยน์ตาสีฟ้าคมกริบของอีกฝ่ายนั้นดูน่ากลัวผิดจากยามปกติที่เขาเคยได้เห็นมาก่อน

        “อืม...เห็นทีฉันคงต้องหาคนมาช่วยยืนยันอีกสักคนแล้วสินะ...จาค็อบ ช่วยไปตามไรอันมาพบฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ  อ้อ...แล้วไม่ต้องบอกเขาล่ะว่าเฟยหลงอยู่ที่นี่ด้วย...เดี๋ยวเขาจะหาเรื่องหลบหลีกหนีหน้าไปเสียก่อน”

        น้ำเสียงที่หันไปออกคำสั่งคนที่ยืนอยู่มุมห้อง ฟังดูเยียบเย็นผิดเคย ทำให้ทั้งแขกผู้มาเยือนและองครักษ์คนสนิท ถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอไล่เลี่ยกัน  จากนั้นนายทหารแห่งลาซาจึงโค้งคารวะผู้เป็นนายเหนือหัว แล้วตรงดิ่งออกนอกห้องเพื่อไปปฏิบัติตามคำสั่ง โดยที่คนสั่งเองนั้นตอนนี้มีสีหน้าเรียบเฉยยากจะคาดเดา หากแต่คนที่นั่งอยู่ด้วยกันก็พอจะรับรู้ได้อย่างหนึ่งว่า อีกฝ่ายไม่น่าจะมีอารมณ์ดีนักแน่นอน

       
... TBC ...

 
เนื้อเรื่องตัดฉากมาที่ลาซาแล้วนะจ๊ะ   ....  บางคนอาจจะจำไม่ได้  เอวา อายุ 13  โนอา 16 ส่วนกีรติ 20 ค่ะ   ... สำหรับเรื่องคู่หมั้นพ่อแม่ไม่ได้จัดเตรียมให้นะคะ อย่างโนอานี่จะเจอกับแฟนเขาตอนไปเรียนที่อเมริกา  ส่วนเอวานี่จะเจอตอนตามท่านอาไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนอีกคนที่ฮ่องกงค่ะ (สำหรับเรื่องคู่หมั้นของสองพี่น้อง บางทีอาจจะเขียนแทรกในตอนพิเศษ หรือบรรยายสรุปอ้างอิงถึงสักหนึ่งถึงสองย่อหน้าในเนื้อเรื่องหลังจากนี้แทนก็ได้ค่ะ เพราะเป็นคู่นอร์มอลเลยไม่แน่ใจว่านักอ่านจะสนใจไหม) 

.... สำหรับเรื่องคู่หมั้น เชื้อพระวงศ์ประเทศนี้เขาไม่เรื่องมาก หรือต้องหาคนสูงศักดิ์ด้วยกันค่ะ  สมมุติว่าถ้าระหว่างอยู่ไทย กีรติเจอสาวแล้วชอบเข้าให้ ก็สามารถพากลับประเทศไปเป็นพระชายาได้ เหมือนกับที่ท่านปู่พาท่านย่ากลับประเทศนั่นล่ะ...  แต่เผอิญมาเสร็จหนุ่มเสียก่อน ก็เลยอาจจะต้องมีเรื่องปวดหัวตามมาหลังจากนี้ค่ะ ^^"

ป.ล. ตัวละครเฟยหลงฉบับก่อนรีไรท์เคยจับคู่ให้กับเวธน์ ทีนี้ไหน ๆ ปั้นมาแล้วก็เสียดาย และขี้เกียจคิดชื่อ คิดคาแรกเตอร์ใหม่ เลยยืมมาให้สาวน้อยเอวาแทนค่ะ //

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 21-10-2013 16:12:00
อัยยะ. ท่านพ่ออย่าใจร้ายกะกีรติมากนักน้า

รอตอนต่อไปค่ะ

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 21-10-2013 16:30:24
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 21-10-2013 17:26:12
คนที่ท่าทางโกรธๆ นั่นใช่พ่อของกีหรือเปล่าหว่า
คุณพ่อตาจะทำยังไงเมื่อรู้ว่าลูกชายรักกับผู้ชาย
อย่างนี้ต้องตามลุ้นนนนนน
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 21-10-2013 20:01:30
อั๊ยย่ะ ชักลุ้น
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-10-2013 20:36:54
โอ๊ะ เค้าลางท่าจะไมีดีแหะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 22-10-2013 05:58:42
อะไรจะประจวบเหมาะแบบนั้นกันนะนั่น
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 22-10-2013 08:00:38
เอาแล้วไงเค้าลางตามชื่อเลยทีนี้
โนอา...รีบกลับมากด่วนๆ ลุงไรอัน?โกหกให้เนียนๆด้วย
ลูคัส รึ คุณพ่อ ตอนแรกนึกว่าจะเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย
แต่ทำไมคุณพ่อท่านเงียบ เฉียบคม อย่างนี้เหล่า
แสดงว่าเชื้อพ่อไม่แรงเท่าไร ลูกๆไม่เห็นมีใครเงียบๆเหมือนเลย ฮ่าๆๆ
กีพูดถึงคุณพ่อดีเกินไป หรือ เราจินตนาการเกินไปกันนะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 22-10-2013 12:05:22
เหมือนงานกำลังจะเข้า!!!
เอาใจช่วย ท่านพ่ออย่าใจร้ายนะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 22-10-2013 23:23:03
อ่านทันจนได้  เขียนได้สนุกแล้วก็น่าติดตามมากค่ะ

กี น่ารักมากอ่ะ ดูเป็นคนซื่อๆ แต่จริงใจ

แล้วจะรออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 23-10-2013 16:13:23
ตามอ่านทันแล้วววว
พล็อตเรื่องสนุกมากค่ะ
ติดตามนะคะ ~^^
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 26 (21/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 24-10-2013 00:38:47
เห็นชื่อเรื่องแล้วเฉยๆ แต่พอมาอ่านแล้วสนุกดีค่ะ

ชอบแนวนี้ ขอค้างไว้ที่ตอน 24 ก่อน แล้วจะมาอ่านต่อค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-10-2013 23:22:08
ช่วงนี้ว่างแล้ว มาต่อแล้วค่ะ!  :katai4:
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่สละเวลาคอมเมนต์ทักทายกันนะคะ   :pig4:


บทที่ 27
ทางเลือก



         องค์รักษ์ผิวคล้ำเดินนำหน้าชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายราชาแห่งลาซา เพียงแต่เส้นผมนุ่มสลวยยาวปรกคอนั้นกลับเป็นสีทองแทนดำ คิ้วเรียวยาวขมวดเล็กน้อย เมื่อถามคนมาตามถึงสาเหตุที่ถูกเรียก หากแต่กลับได้รับคำปฏิเสธว่าไม่ทราบแทน

        “จาค็อบตกลงไม่รู้เลยจริง ๆ หรือ ว่าท่านพี่เรียกฉันไปพบเพราะอะไร”

        แม้จะใกล้ถึงห้องซึ่งมีพี่ชายรออยู่ หากแต่ไรอันก็ยังคงสอบถามคนที่เดินนำอยู่เช่นเดิม และนั่นจึงทำให้จาค็อบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบไปไม่เต็มเสียงนัก

        “ไว้หากท่านไรอันเข้าไปในห้องนั้น ก็จะทราบได้เองล่ะขอรับ”

        คนฟังยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น หากแต่เพราะเป็นคำสั่งของพี่ชาย จึงทำให้เขาจำต้องทำตาม ทว่าพอก้าวเข้าไปในห้อง และได้เห็นใบหน้าของแขกซึ่งนั่งอยู่กับพี่ชายของตน ก็ทำให้ไรอันหยุดชะงักฝีเท้าอย่างลืมตัว สีหน้าซีดเผือดนิด ๆ พอจะคาดเดาได้แล้วว่า ตนถูกเรียกมาเพราะเหตุใด

        “มาถึงแล้วก็เข้ามานั่งสิไรอัน...จะยืนอยู่แบบนั้นทำไม”

        ลูคัสบอกเสียงเยียบเย็น จนคนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มสู้ตอบ

        “เห็นท่านพี่ให้จาค็อบไปตามผม ก็เลยคิดว่ามีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า... ที่แท้ก็เพราะนายมาเองหรอกหรือ เฟยหลง”

        ไรอันเอ่ยทักทายน้องชายของเพื่อนสนิทอีกคน ซึ่งเป็นถึงนักธุรกิจชื่อดังและค่อนข้างมีอิทธิพลในฮ่องกงคนหนึ่ง ทางด้านเฟยหลงเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ฝืนยิ้มตอบ เพราะดูจากน้ำเสียงและอาการของลูคัส ท่าทางเรื่องที่เขาหลุดปากไปว่าเจอมิสเตอร์หลี่ คงจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากกับไรอันตามมาเป็นแน่

        “ที่เรียกให้น้องมาพบ ไม่ใช่เพราะว่าเฟยหลงแวะมาที่ลาซาอย่างเดียวหรอกนะ... แต่ที่เรียกมาเพราะว่าพี่มีคำถามบางอย่าง อยากจะย้ำถามน้องให้แน่ใจสักหน่อย”

        ลูคัสบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่านัยน์ตาคมกริบนั้นจับจ้องมองมานิ่งจนไรอันถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออีกรอบ แต่ก็ยังคงทำใจดีสู้เสือถามกลับไป

        “ท่านพี่อยากถามผม เกี่ยวกับเรื่องอะไรหรือครับ”

        “เรื่องมิสเตอร์หลี่น่ะ...”

        คำตอบที่ได้ยินทำให้ไรอันเงียบกริบ ทางด้านลูคัสพอบอกออกไปเช่นนั้น ก็ทำทีนิ่งเฉยไม่ได้พูดต่อ แต่กลับใช้สายตาจับจ้องผู้เป็นน้องชายนิ่ง และนั่นจึงทำให้ไรอันต้องยอมสารภาพความจริง ก่อนที่ลูคัสจะโมโหไปมากกว่านี้



        “...ผมขอโทษนะครับท่านพี่ ที่ช่วยหลานโกหกท่านพี่แบบนี้”

        ไรอันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วย้ำขอโทษทิ้งท้ายด้วยสีหน้าสำนึกผิด ซึ่งก็ทำให้คนฟังถอนหายใจเบา ๆ แม้จะโมโหที่น้องชายกับลูกรวมหัวกันโกหกเขา แต่พอรับรู้ว่าเป็นเรื่องของบุตรชายคนโต ก็ทำให้ลูคัสพอจะเข้าใจว่า เหตุใดไรอันจึงต้องทำเช่นนี้

        “เอาเถอะ ทีหลังก็บอกกันตามตรง อย่าโกหกอีก... แล้วปล่อยโนอาให้ไปแบบนั้น ไม่กลัวเขาจะเผลอลืมตัวโวยวาย จนทำให้ฐานะที่แท้จริงของคีโอถูกเปิดเผยหรอกหรือ”

        คำพูดของลูคัสทำให้ไรอันเงียบกริบ ตอนนั้นเขามัวแต่สงสัยเรื่องคนสำคัญของหลานชายคนโต จนลืมนึกถึงเรื่องความใจร้อนของหลานชายคนรองไปเสียสนิท

        “...ไว้ถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่ พี่จะสอบถามเขาเองก็แล้วกัน”

        ลูคัสเอ่ยตัดบท แล้วจึงหันมาทางเฟยหลงที่นั่งนิ่งรับฟังพวกเขาตลอดการสนทนานั้น   

        “แล้วเธอจะไปพบเอวาเลยไหมล่ะเฟยหลง ฉันจะได้ให้คนพาไป เพราะตอนนี้เขาขลุกอยู่กับแม่ของเขาในครัว เห็นว่ากำลังถ่ายทอดฝีมือทำอาหารให้กันอยู่ ...ยังไงเธอก็ช่วยไปเป็นหนูลองยาให้เอวาสักหน่อยก็แล้วกัน”

        เฟยหลงฝืนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบรับ ส่วนไรอันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะลองลูคัสพูดเล่นได้แบบนี้ แสดงว่าไม่ได้โกรธมากเท่าใดนัก แต่ถ้าหากเมื่อครู่เขาไม่ชิงสารภาพความผิดเสียก่อน แล้วรอจนโดนไล่ต้อนจนมุมเองล่ะก็  เขาเชื่อได้เลยว่าลูคัสจะต้องโมโหหนักยิ่งกว่านี้หลายเท่าแน่นอน



         เมื่อโนอาเดินทางกลับมาถึงประเทศของตน เด็กหนุ่มก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อเห็นองครักษ์ประจำตัวของบิดามาดักรอพบเขา และแม้ว่าโนอาจะนึกสงสัยสักเพียงใด แต่เขาก็ยังคงไปพบบิดาตามคำสั่งอยู่ดี

        “ท่านพ่อต้องการพบผมหรือครับ”

        โนอาถามคนที่รอเขาอยู่ในห้องพักส่วนตัว  ทางด้านลูคัสนั้นวางถ้วยชาในมือ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้บุตรชายมานั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับที่ตนนั่งอยู่

        “ก่อนหน้าลูกจะกลับ เฟยหลงเขามาเยี่ยมเอวาที่นี่  เราก็เลยได้พูดคุยกันหลายเรื่อง... รวมถึงเรื่องที่เขาได้เจอกับมิสเตอร์หลี่ตอนงานเลี้ยงวันเกิดของผู้ว่าการ ในช่วงที่ลูกขออนุญาตพ่อบินไปเยี่ยมท่านด้วย”

        ลูคัสเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วจ้องมองดูว่าบุตรชายจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้เช่นไร

        “เรื่องนั้น...เอ่อ...”

        โนอาอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกเอาดื้อ ๆ ยิ่งถูกแววตาคมกริบของบิดาจับจ้องมองมา เขาก็ได้แต่เงียบและก้มหน้าน้อย ๆ หลบสายตานั้นแทน

        “แล้วคีโอเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เขาสบายดีไหม”

        ลูคัสเปลี่ยนคำถาม ซึ่งนั่นก็ทำให้โนอาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเม้มปากนิด ๆ และตัดสินใจเงยหน้าเผชิญกับอีกฝ่าย

        “ท่านพี่สบายดีครับ...ผมต้องขอโทษท่านพ่อด้วย ที่โกหกเรื่องของมิสเตอร์หลี่ไปแบบนั้น...ผมขอสัญญาว่าจะไม่ทำตัวให้ท่านพ่อผิดหวังเช่นนี้อีกครับ”

        แม้ลูคัสจะนิ่งเฉยรับฟัง ทว่าจริงแล้วกลับรู้สึกดีใจที่ลูกชายกล้ายอมรับผิดกับเขา แถมไม่พาดพิงโยนความผิดไปให้ผู้เป็นอาที่คอยช่วยเหลือเจ้าตัวด้วย

        “ดี...จำคำพูดของตัวเองเอาไว้ด้วยนะโนอา แล้วที่พ่อไม่พอใจไม่ใช่แค่เพราะลูกโกหกพ่อเท่านั้น  แต่การโกหกโดยนำเรื่องความเจ็บป่วยหรือความเป็นความตายของคนรู้จักคุ้นเคยกันมาอ้าง หากเรื่องล่วงรู้ไปถึงเจ้าตัวเข้า จะกลายเป็นกินแหนงแคลงใจกันเสียเปล่า”

        โนอาชะงัก สีหน้าแลดูสลดลงยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะพึมพำตอบแผ่วเบาอย่างสำนึกผิด

         “ครับท่านพ่อ...ผมจะจดจำเอาไว้”

        ลูคัสรับฟังอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาจึงตั้งคำถามต่อมา ทว่านั่นก็ถึงกับทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง

        “แล้วเรื่องคนสำคัญของพี่ชายลูกล่ะ...เขามีความสำคัญระดับไหน เป็นแค่เพื่อน หรือมากกว่านั้น”

        แม้ลูคัสจะถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่นัยน์ตาคมกริบกลับจับจ้องมองบุตรชายอย่างคาดคั้นคำตอบ  ทำเอาโนอาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ แล้วจึงตัดสินใจย้อนถามกลับไปเสียงค่อย

        “เอ่อ...แล้วสมมุติถ้าคนที่ว่านั่น เกิดสำคัญกว่าเพื่อนขึ้นมาล่ะครับ...ท่านพ่อจะทำอย่างไร”

        ลูคัสเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เมื่อสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ ไม่ผิดไปจากที่คิดนัก

        “พ่อว่าลูกน่าจะรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้วนะโนอา”

        โนอาชะงัก ก่อนจะแย้งกลับไปอย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว

        “แต่เรื่องของความรัก มันเกิดจากความรู้สึก เราเลือกหรือห้ามกันไม่ได้นี่ครับ ...ท่านพ่อเองก็เคยบอกกับผมและเอวาว่า ไม่คิดจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องความรักของลูก ๆ ไม่ใช่หรือครับ”

        ลูคัสจ้องมองบุตรชายคนรองเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยตอบในสิ่งที่อีกฝ่ายสงสัย

         “ใช่...พ่อไม่เคยคิดก้าวก่ายเรื่องความรักของทั้งลูกและเอวา แม้แต่คีโอเอง...เพียงแต่ด้วยตำแหน่งรัชทายาทที่เขาเป็นอยู่ คนที่คีโอเลือกนั้น จะต้องสามารถเป็นได้ทั้งแม่ของลูกและแม่ของแผ่นดิน พร้อมที่จะให้ความรักต่อประชาชนชาวลาซาเทียบเท่ากับรักครอบครัวของตนเอง เป็นคนที่จะอยู่เคียงข้างกับราชาของประเทศได้ในทุกสถานการณ์ ...เหมือนดังเช่นแม่ของพวกลูก ๆ เป็นอยู่”

        โนอาเงียบกริบ เพราะเพียงเท่านี้เขาก็พอจะรู้แล้วว่า ลูคัสนั้นคงไม่ยอมรับเรื่องที่ริวกับกีรติคบกันอยู่แน่

           “...พ่อไม่ได้รังเกียจ หากคนที่คีโอรักจะเป็นผู้ชาย แต่พ่ออยากให้คีโอตระหนักและสำนึกในหน้าที่ของเขาเท่านั้น...ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาจะเลือกความรักและทิ้งประเทศแทน ... ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น พ่อก็จะยอมรับการตัดสินใจนั่น และยอมปล่อยให้เขาจากไป โดยจะคิดว่าประเทศลาซาไม่เคยมีเจ้าชายที่ชื่อว่าคีโอมาก่อนหน้านี้”

        ลูคัสตัดบทการสนทนาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบยากจะอ่านความรู้สึก ทำเอาโนอาถึงกับเงียบกริบไร้คำพูดใด ๆ โต้แย้ง  เพราะในยามที่อยู่หมู่บ้านมีสุข เขามองดูก็รู้ว่าพี่ชายนั้นรักริวจากใจจริง แต่ถึงกระนั้นเขาก็มั่นใจว่า กีรติไม่มีทางจะเห็นแก่ความรักส่วนตัว จนถึงกับยอมตัดขาดครอบครัว ละทิ้งหน้าที่ และทิ้งประเทศไปได้อย่างแน่นอน



        ไรอันดักรอหลานชายคนรองอยู่แถวทางเข้าห้องพักของเจ้าตัว ซึ่งพอเห็นสีหน้าของโนอา เขาก็รีบซักถามทันที

        “เป็นยังไงบ้างโนอา ท่านพี่ว่าอย่างไรบ้าง!”

         “ท่านอา...”

        โนอามองหน้าคนถาม แล้วหลุดถอนหายใจออกมาแรง ๆ

        “ท่านพ่อไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่คีกับคุณริวคบหากัน ...แต่ท่านไม่ได้บอกผมว่าท่านจะทำอย่างไรต่อไป  ...เพียงแต่ท่านพ่อบอกกับผมประมาณว่า ถ้าหากคีเลือกคนรัก ก็จะให้คีตัดขาดจากลาซาแทนน่ะครับ”

        ไรอันนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่  เพราะไม่คิดว่าพี่ชายจะกล้าถึงขนาดตัดขาดกับลูกในไส้ได้ลงคอ

        “แย่ล่ะสิ... คีโอยิ่งหัวแข็งพอ ๆ กับท่านพี่อยู่ด้วย นี่ถ้าเกิดเลือกทางโน้นจริงล่ะก็ ท่านพี่คงพูดจริงทำจริงแน่นอน เฮ้อ!”

        โนอาพอได้ยินเรื่องที่ไรอันบ่น เด็กหนุ่มก็หน้าเสียแล้วจึงหลุดพึมพำอย่างรู้สึกผิด

        “เพราะผมแท้ ๆ ถ้าผมไม่ดื้อดึงไปหาคี ก็คงไม่เป็นแบบนี้ ...คีกับคุณริวชอบกันจริง ๆ นะครับท่านอา ...ถึงผมอยากให้คีกลับมาอยู่ด้วยกัน ...แต่ผมก็ไม่อยากให้คีต้องจากกับคนที่เขารักเลย”

         เพราะมีคนที่ตนรักและให้ความสำคัญยิ่งเช่นเดียวกัน ทำให้โนอารู้สึกสงสารและเห็นใจพี่ชายของเขายิ่งนัก ซึ่งนั่นก็ทำให้ไรอันต้องลูบศีรษะหลานชายคนรองปลอบโยน แล้วบอกกับอีกฝ่ายให้สบายใจ

        “ไม่ใช่ความผิดของหลานคนเดียวหรอกโนอา ...มันเป็นความผิดของอาด้วย ที่ยอมให้หลานไป แถมยังทำให้หลานต้องมาโกหกพ่อของตัวเองอีก ...ส่วนเรื่องคีโอ เราอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย อาว่าถ้าเราช่วยกันคิด บางทีอาจจะเจอหนทางที่สร้างความสุขให้กับพวกเราทุกคนก็ได้นะ”

        เด็กหนุ่มเงยหน้ามองผู้เป็นอา แล้วจึงผงกศีรษะนิด ๆ พร้อมกับยิ้มรับด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม ไรอันจึงตัดสินใจปลีกตัวออกมา เพื่อให้หลานของตนได้พักผ่อน  ส่วนตัวชายหนุ่มเองนั้นตัดสินใจไปพบพี่ชายอีกครั้ง เพื่อขอร้องให้ลูคัสได้ตัดสินใจเรื่องนี้เสียใหม่

         

        ลูคัสเงยหน้ามองน้องชายที่มาขอเข้าพบเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง แม้จะพอคาดเดาได้ถึงเหตุผลที่ทำให้ไรอันมาที่นี่เป็นอย่างดีก็ตาม

        “พี่ครับ ผมอยากขอร้องท่านพี่เรื่องคีโอ...เอ่อ...ถ้าเกิดสมมุติว่าคีโอเลือกทางนั้นแทนหน้าที่ ...ผมอยากให้ท่านพี่พิจารณาโทษของเขาเสียใหม่น่ะครับ...อย่าให้ถึงกับตัดขาดอะไรกันเลยนะครับ”

        “แสดงว่าน้องมั่นใจ ว่าคีโอจะต้องเลือกคนของเขา มากกว่าครอบครัวและประเทศที่เขาเติบโตมาอย่างนั้นหรือ”

        คำถามของลูคัสทำให้ไรอันชะงัก เพราะเขารู้ดีว่าหลานชายนั้นเป็นคนรักครอบครัวเพียงใด ทว่าเรื่องที่กีรติโทรมาขอร้องให้เขาช่วยเหลือริว และเรื่องที่โนอายืนยันว่ากีรตินั้นรักริวจริง ๆ  ทำให้ไรอันชักไม่แน่ใจว่า กีรติจะยอมตัดใจจากริวและทิ้งอีกฝ่ายกลับประเทศได้จริงหรือไม่

        “ไรอัน...น้องแน่ใจได้อย่างไรว่า คีโอกับผู้ชายคนนั้นมีรักแท้ให้ต่อกัน...เวลาเพียงแค่ไม่นานไม่ใช่หรือ ที่พวกเขาทั้งคู่พบกันน่ะ”

        คำถามถัดมาของลูคัส ทำให้ไรอันกลืนน้ำลายลงคอ เพราะฟังดูก็รู้ว่า นับตั้งแต่ที่ได้ล่วงรู้ความจริงจากเขา พี่ชายก็ให้คนตรวจสอบข้อมูลของกีรติและริวที่ประเทศไทย จนทำให้สามารถล่วงรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ในระดับหนึ่ง   

        “แต่เรื่องความรักมันไม่จำเป็นต้องอาศัยวันเวลาไม่ใช่หรือครับ”

        ไรอันแย้งกลับ แม้ว่าจะไม่อยากให้หลานชายต้องเลือกเดินทางนี้ แต่เขาก็ยังสงสารกีรติอยู่ดี

        “ใช่...ความรักไม่จำเป็นต้องอาศัยเวลาในการก่อกำเนิด...แต่ความรักต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ ว่ารักนั้นจะคู่ควรเป็นรักแท้ หรือเป็นแค่รักที่ฉาบฉวยไม่จริงจังเพียงเท่านั้น”

        ลูคัสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อ   

        “และพี่ก็อยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่า ผู้ชายคนนั้นเหมาะสมและคู่ควรพอกับคนที่จะกลายมาเป็นราชาของประเทศเราหรือไม่”

        “ท่านพี่...หรือว่าท่านพี่จะยอมผ่อนปรนเรื่องของคีโอแล้ว”

        ไรอันถามอย่างเริ่มมีความหวัง ซึ่งลูคัสก็แย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอ

        “น้องเคยเห็นพี่เป็นคนชอบกลับคำพูดไปมาอย่างนั้นหรือไรอัน...ถ้าหากคีโอเลือกคนรักจริง พี่ก็จะไม่ถือว่าเขาเป็นเจ้าชายของลาซาอีกต่อไป”

         “แต่ว่าท่านพี่...”

        ไรอันเตรียมจะแย้งต่อ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อลูคัสใช้แววตาคมกริบจับจ้องมาที่เขานิ่ง

        “ไม่มีคำว่าแต่ไรอัน พี่ตัดสินใจแล้วและไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ... ประเทศหรือความรัก...คีโอมีเพียงสองหนทางที่เขาจะต้องเลือกเท่านั้น!”


… TBC …

ใกล้แล้วค่ะ  ใกล้ที่ความรักของกีรติจะถึงบทสรุปแล้ว  ช่วงนี้ต้องขยันหน่อยค่ะ ตั้งใจจะจบให้ได้ อย่างน้อยไม่เกินวันที่ 10 เดือน พ.ย.นี้  จบแล้วจะได้เปิดจองพร้อมรีปริ้นท์เรื่องเก่าได้สักที   แต่ตอนพิเศษของเรื่องคุณรปภ.ที่เคยสัญญาไว้ ก็จะยังปั่นลงบอร์ดตามเดิมนะคะ ^^ ไม่เบี้ยวแน่นอน  อยากเขียนคู่คุณหมอกับคุณเลขา  คุณพ่อค้ากับคุณปัณณ์  และคู่อื่น ๆ อีกหลายคู่อยู่แล้ว!

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 27-10-2013 23:44:31
 :ling2:ยังเชื่อว่าท่านพ่อจะไม่ใจร้าย

รอบทสรุปคู่นี้ค่ะ

บวกเป็ด

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 28-10-2013 00:44:36
พ่อตาโหดจริงๆ ริวสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 29-10-2013 14:10:11
ริวพ่อตาเอาเรื่องอยู่เชียวนะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 29-10-2013 16:22:19
คุณพ่อโหดอ่ะ แต่ก็แอบคิดว่าท่านน่าจะมีแผนนะ  :mew2:

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 31-10-2013 19:19:54
 :mew1:=
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 01-11-2013 00:20:44
เป็นทางเลือกที่ตัดสินใจลำบาก

แต่เราว่าถ้าหากพิสูจน์ได้ว่ารักกันจริง ริว อาจได้เป็นราชาแทน กี ก็ได้นะ

อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 08-11-2013 14:56:10
เมื่อรืนนี้ก็วันที่ 10 แล้วนะคะคนเขียน
จะจบรึเปล่าต้องตามลุ้น
แต่อย่าพึ่งจบเลยดีกว่าค่ะ กำลังสนุก อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 27 (27/10/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Crown ที่ 10-11-2013 21:01:36
วันที่แย้วนะคะ รอรอรอรอรอรอ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-11-2013 20:12:03
ก่อนอื่นต้องขออภัยนักอ่านที่ลงช้ากว่ากำหนดไปเยอะมากค่ะ  แล้วก็ขอบคุณนะคะ หากยังคงรอคอยอ่านกันอยู่

วันนี้กลับมาแล้วค่ะ พร้อมกับลงรวดเดียวให้อ่านอย่างจุใจจนจบ แบบไม่มีค้างคา (แต่ว่าอาจจะทิ้งระยะห่างระหว่างตอนสักหน่อย เพราะปัดเพิ่งปั่นเสร็จเมื่อวาน แล้วต้องทวนอ่านอีกครั้งก่อนโพสลงบอร์ดค่ะ)

แล้วไว้มาเมาท์กันหลังโพสตอนจบของเรื่องนี้นะคะ  :L1:

ป.ล. ปัดยังคิดชื่อตอนไม่ออกค่ะ  (เป็นปัญหาหลักของปัด พอ ๆ กับการตั้งชื่อเรื่อง ใครที่ติดตามมาตลอดจะรู้ว่าเซนส์ในการตั้งชื่อของปัด มัน...ขนาดไหน เฮ้อ!)  แต่คราวนี้ขืนรอตั้งชื่อตอนได้ค่อยโพส คงไม่ได้อ่านกันวันนี้แน่ค่ะ เลยโพสมันทั้งแบบนี้เลย แหะ ๆ


บทที่ 28

 

         โนอามองโทรศัพท์ในมืออย่างลังเล เขาอยากโทรไปบอกพี่ชายว่าบิดารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แถมยังไม่ยอมรับเรื่องที่กีรติกับริวคบหากันอีก  หากแต่เด็กหนุ่มก็เกรงว่าถ้าเขาบอกออกไปพี่ชายจะเสียใจและเจ็บปวด ซึ่งเขาก็ไม่อยากเห็นกีรติเป็นเช่นนั้น

        “เอาล่ะ! เป็นไงเป็นกัน!”

        โนอาที่นิ่งทบทวนอยู่นาน ตัดสินใจโทรไปบอกพี่ชายในที่สุด เนื่องจากคิดว่า หากกีรติรู้เรื่องนี้ก่อนล่วงหน้า ก็คงจะพอมีเวลาคิดหาทางรับมือกับบิดาได้บ้าง ทว่าเด็กหนุ่มกลับต้องฉงน เมื่อเบอร์ปลายสายนั้นถูกระงับชั่วคราว

        “เอ๋? ทำไมล่ะ ก็ถูกเบอร์นี่นา”

        โนอาพึมพำอย่างประหลาดใจ เจ้าตัวขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงตัดสินใจไปหาไรอันเพื่อถามสาเหตุ เนื่องจากผู้เป็นอานั้นเป็นคนให้มือถือพี่ชายพกติดตัวเอาไว้

         

        ทางด้านไรอันหลังจากรับฟังหลานชายเล่าเรื่องที่โทรหาผู้เป็นพี่ไม่สำเร็จ เขาก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา

        “สงสัยพ่อของหลานคงจะจัดการไม่ให้เราติดต่อกับคีโอเสียแล้วล่ะ”

        โนอาเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก แล้วก็ต้องยิ่งรู้สึกผิดตามมาเป็นเท่าตัว เมื่อได้รับฟังคำพูดของไรอันหลังจากนั้น

        “ท่านพี่คงจะไปที่เมืองไทยด้วยตนเอง และคงจะพาตัวคีโอกลับมาที่ลาซา โดยที่คีโอคงจะปฏิเสธได้ยาก... เพราะถึงท่านพี่จะไม่หยิบยกเรื่องที่คีโอมีคนรักเป็นผู้ชายมาเป็นสาเหตุในการบังคับกลับ  แต่แค่ท่านพี่อ้างว่าคีโอผิดสัญญาจนทำให้คนอื่นล่วงรู้ตัวจริง เพียงแค่นั้นก็สามารถพาคีโอกลับมาโดยที่เขาไร้ข้อโต้แย้งได้แล้วล่ะ... เป็นอะไรไปน่ะ โนอา!”

        ไรอันหยุดพูดแล้วตรงเข้าไปหาหลานชายอย่างตกใจ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มน้ำตาไหลอาบแก้ม

        “เพราะผมแท้ ๆ ... ถ้าผมไม่พูดเรื่องฐานะของคีออกไป ...คีก็ยังมีหนทางที่จะปฏิเสธท่านพ่อได้...ฮึก...ผมเป็นน้องที่ไม่เอาไหน...ดีแต่ก่อปัญหาให้คีอยู่ตลอด...”

        ไรอันมองหลานชายคนรอง แล้วโอบร่างอ่อนเยาว์นั้นมากอดปลอบอย่างนึกสงสาร

        “อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิโนอา ...ถ้าคีโอรู้จะเสียใจนะ  หลานก็รู้ไม่ใช่หรือว่า พี่ของหลานน่ะรักหลานมาก ...และถึงต่อให้เขาต้องถูกพาตัวกลับมา เขาก็ไม่วันจะโทษว่าเป็นความผิดของหลานเด็ดขาด”

        โนอาสะอื้นเบา ๆ พลางย้อนถามไรอันกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

        “ท่านอาครับ...ผมพอจะช่วยอะไรคีได้บ้างไหม...ผมอยากช่วยให้คีสมหวังในความรัก...และผมก็ไม่อยากให้ท่านพ่อ...ตัดพ่อตัดลูกกับคีด้วย”

        ไรอันถอนหายใจอีกครั้ง เขาก้มมองใบหน้าของหลานชายคนรองนิ่ง ก่อนจะหลุดปากพึมพำออกมาแผ่วเบา

        “ถึงมันพอจะมีวิธีนั้นก็จริง แต่อาคิดว่าคีโอคงไม่อยากให้หลานทำมันนักหรอก...”

        โนอาเบิกตาโพลง แล้วรีบละล่ำละลักถามอย่างร้อนรน

        “วิธีไหนหรือครับท่านอา!”

         ไรอันเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยถามบางสิ่งกับอีกฝ่าย

        “โนอา...หากเรียนจบแล้ว หลานอยากทำอะไรต่ออย่างนั้นหรือ”

        เด็กหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งอย่างงุนงงต่อคำถามของผู้เป็นอา ทว่าก็ยังคงตอบกลับไปแต่โดยดี

        “ผมก็คงจะกลับมาช่วยงานของคีที่ลาซานี่ล่ะครับ”

        “จะอยู่ประจำที่นี่เลยน่ะหรือ”

        คำถามถัดมาทำให้โนอาชะงัก แล้วจึงอ้อมแอ้มตอบกลับไปตามตรง

        “...ผมก็ตั้งใจว่าจะขอรับผิดชอบงานประเภทที่ต้องติดต่อธุรกิจระหว่างประเทศอะไรแบบนั้นนั่นล่ะครับ ...ท่านอาก็รู้ดีนี่ครับว่าผมเป็นพวกไม่ชอบอยู่ติดที่น่ะ แล้วอีกอย่างด้วยตำแหน่งราชาที่คีจะเป็น ก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินทางไปประเทศโน้นประเทศนี้ได้อย่างอิสระสักเท่าใดอยู่แล้ว มีผมช่วยรับผิดชอบแทน ก็เท่ากับต่างฝ่ายต่างสบายใจกันทั้งคู่นั่นล่ะครับ”

        โนอาบอกพร้อมรอยยิ้มสดใส ซึ่งก็ยิ่งทำให้คนฟังสีหน้าหม่นหมองลงกว่าเดิม

        “อืม...อารู้ดี ว่าหลานชอบที่จะออกไปเผชิญกับโลกกว้างนอกประเทศเล็ก ๆ นี่”

        “ท่านอา...มีอะไรหรือครับ”

        โนอาที่สงสัยสีหน้านั้น เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ ซึ่งไรอันก็ได้แต่ยิ้มเศร้า ๆ ตอบ

        “ไม่มีอะไรหรอก ...อาว่านะ เราคงต้องปล่อยให้คีโอจัดการชีวิตของเขาด้วยตัวเองแล้วล่ะ ...ถ้าขืนพวกเรายื่นมือเข้าไปช่วย ท่านพี่ลูคัสก็คงยิ่งต่อต้านและไม่ยอมรับเรื่องนี้มากขึ้น ...อีกอย่างอาเชื่อนะว่า พ่อของหลานน่ะมีเหตุผลและรักคีโอมากยิ่งกว่าใคร...เขาคงจะต้องเลือกหนทางที่ดีที่สุดให้พี่ชายของหลานเอาไว้แน่...”

        ‘ถึงแม้ว่านั่นอาจจะทำให้คีโอเสียใจมากก็ตาม’

        ประโยคท้ายนั้น ไรอันเก็บงำมันไว้ในใจ แล้วจึงหาเรื่องอื่นชวนสนทนา เพื่อปลอบประโลมให้หลานชายคนรองสบายใจขึ้น แม้ว่าตัวเขาเองนั้นจะกำลังร้อนใจเสียยิ่งกว่าเด็กหนุ่มก็ตามที



         อีกด้านหนึ่งที่ประเทศไทย คนซึ่งกำลังตกเป็นหัวข้อสนทนา ก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างขยันขันแข็ง

        “วันนี้อากาศดีจังนะครับ ลมพัดเย็นสบาย แดดก็ไม่มี”

        กีรติที่ยืนยามอยู่เปรยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทว่าเสียงของอเล็กซ์ที่ขัดขึ้นก็ทำให้เขาต้องยิ้มแห้ง ๆ

        “แต่ผมว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะมีฝนตกในช่วงเย็นนั้นเกือบร้อยละ 70 เลยทีเดียว แถมยังมีโอกาสที่จะเกิดเป็นพายุฝนด้วยนะครับ อากาศแบบนี้สำหรับผมแล้ว ค่อนข้างจะแย่ด้วยซ้ำครับ”

        คำพูดโต้ตอบนั้น ทำให้คนที่กำลังเดินมาอมยิ้ม แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง

        “มันก็ดีไม่ใช่หรืออเล็กซ์ อากาศร้อนมาหลายวันแล้ว มีฝนตกก็จะได้นอนหลับสบายไงล่ะ”

        กีรติชะงักเล็กน้อย แล้วหันไปพยักหน้าทักทายอีกฝ่าย ส่วนอเล็กซ์พอได้ยินคำพูดของผู้สร้าง จึงแย้งกลับไปในลักษณะบ่นกับตัวเองมากกว่าโต้เถียง

        “พวกมาสเตอร์ก็คงหลับสบายหรอกครับ แต่ผมนี่สิ ต้องคอยระวังว่าจะเกิดอุบัติเหตุจากพายุ ทำให้น้ำฝนเล็ดรอดเข้ามา จนทำให้ระบบขัดข้องขึ้นได้”

        เจอรัลด์อมยิ้มอย่างพึงพอใจที่ได้ยิน AI ของตนบ่นเช่นนั้น นับตั้งแต่กีรติเข้ามาทำงานเป็นยามกะเช้า อเล็กซ์ก็ได้มีเพื่อนไว้สนทนาในช่วงกลางวัน และนั่นจึงทำให้สิ่งประดิษฐ์ของเขาเกิดการพัฒนาเรียนรู้ จนสามารถเลียนแบบการสนทนาได้ใกล้เคียงมนุษย์มากยิ่งขึ้น

        “เอาน่า...อย่าซีเรียส ถึงจะมีพายุจริง ๆ แต่ป้อมยามนี่ก็ก่อสร้างขึ้นอย่างแข็งแรงไม่ใช่หรือ มันไม่พังง่าย ๆ หรอก ขนาดกระจกยังเป็นกระจกกันกระสุนเลยนะ”

        เจอรัลด์ปลอบสิ่งประดิษฐ์ของเขา ทว่าคนที่เพิ่งรู้ว่ากระจกป้อมยามนั้นเป็นกระจกกันกระสุน ถึงกับกะพริบตาปริบ ๆ แม้จะพอเข้าใจว่าหมู่บ้านแห่งนี้มักมีเรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นเสมอ แต่กีรติก็ไม่คิดว่าทั้งเจอรัลด์และเวธน์เอง จะเอาใจใส่ต่อวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างในหมู่บ้านถึงเพียงนี้

        “ผมกลัวน้ำท่วมนี่ครับมาสเตอร์ ...เกิดท่วมเข้าเครื่อง มีหวังเครื่องน็อกพอดี”

        เจอรัลด์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้มีข่าวน้ำท่วมอยู่หลายจังหวัด จึงทำให้สิ่งประดิษฐ์ของเขาเกิดความกังวลขึ้นมา

        “ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหา! ถ้าเกิดน้ำท่วมจริง แค่ถอดชิ้นส่วนเฉพาะหน่วยความจำของนายออกไปเก็บไว้ก็โอเคแล้ว  ส่วนอื่น ๆ ก็ไว้ซ่อมแก้ไขหลังน้ำลดทีหลังก็ได้”

        “อ๊ะ! จริงด้วยสิครับ รักษาแค่สมองไว้ก่อนก็ใช้ได้แล้ว”

        อเล็กซ์เริ่มคล้อยตาม ซึ่งก็ทำให้กีรติที่ฟังอยู่อมยิ้มนิด ๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอรัลด์หันมาทางเขาแล้วถามบางอย่าง

        “วันนี้คุณริวไม่มานั่งเฝ้าคุณหรอกหรือครับคุณกีรติ ปกติผมเห็นเขาจะมานั่งเป็นเพื่อนคุณเวลานี้ประจำนี่ครับ”

        กีรติหน้าแดงนิด ๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นถามพร้อมกับเจตนายิ้มล้อเลียนตนด้วยนั่นเอง

        “เอ่อ...วันนี้คุณเรนไม่สบายน่ะครับ คุณริวเลยอยู่เฝ้า นี่ผมก็กะว่าตอนเย็น ๆ จะแวะไปดูสักหน่อย”

        “อ้าว! แล้วไปหาหมอเพชรมาหรือยังครับนั่น  ถึงหมอจะปากร้ายและชอบแกล้งคนอื่น แต่ยาของเขาก็ดีมากเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ หมอเขาก็มียาสำหรับรักษาจัดให้ทั้งนั้น”

        กีรติยิ้มเจื่อน ๆ รับ พลางคิดว่าโชคดีที่แฟนธอมไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ไม่เช่นนั้นคนที่นับถือหมอเพชรอย่างอีกฝ่าย คงจะเขม่นใส่เจอรัลด์เข้าให้แล้วก็ได้

        “คุณริวพาคุณเรนไปตรวจมาแล้วล่ะครับ เลยโดนสั่งให้นอนพักยาวอยู่ในบ้านนั่นล่ะครับ...”

        “อืม ๆ อย่างนี้คุณเรนคงจะบ่นแย่ เห็นว่าเพิ่งจะได้งานใหม่ด้วยไม่ใช่หรือครับนั่น”

        เจอรัลด์บอกอย่างรู้ข้อมูลเป็นอย่างดี เนื่องจากบ้านของเขาและบ้านของสองพี่น้องนั้น อยู่รั้วติดกันนั่นเอง

        “ใช่ครับ ตอนที่คุณริวแวะมาบอกผมเรื่องนี้ เขาบ่นใหญ่เลยว่าทีแรกคุณเรนจะฝืนลุกไปทำงานให้ได้ แต่พอคุณริวยื่นคำขาดให้หยุดพัก ก็เลยยอมอยู่เฉย ๆ ให้เบาใจได้บ้างนั่นล่ะครับ”

        “อืม...ก็พอเข้าใจความรู้สึกอยู่นะ... เพราะคุณเรนเคยบ่น ๆ กับผมก่อนจะได้งานนี้ว่า อยากช่วยแบ่งเบาภาระพี่ชายบ้าง ลำพังแค่เงินเดือนคนกวาดถนนในหมู่บ้านที่คุณริวทำอยู่ ก็พอใช้จ่ายพวกค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากินส่วนตัวไปแบบไม่เดือดร้อนเท่าไหร่  แต่นี่พอมีคุณเรนกับคุไรมาเพิ่ม ไอ้ที่เคยพอเลยมีติด ๆ ขัด ๆ บ้าง”

        เจอรัลด์เอ่ยเสริม ซึ่งนั่นก็ทำให้กีรติชะงัก เพราะเพิ่งได้ทราบเรื่องนี้ เนื่องจากริวนั้นไม่เคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านมาก่อน   

        “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย... คุณเจอรัลด์คิดว่าผมพอจะช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้บ้างไหมครับ เอ่อ...ขอแบบที่ไม่ทำให้คุณริวรู้สึกแย่นะครับ”

        กีรติรีบบอกตามมา เพราะรู้ดีว่าริวเป็นคนมีนิสัยคิดเล็กคิดน้อยเพียงใด ทางด้านเจอรัลด์พอได้ฟังก็อมยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วจึงรีบเสนอความเห็นของตนทันทีโดยแทบไม่ต้องคิดนาน

        “ถ้าอย่างนั้นคุณกีรติก็ย้ายไปอยู่กับพวกคุณริวสิครับ แล้วก็ช่วยเขาออกค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหาร ...ยังไงเงินเดือนของคนสามคน ก็เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในบ้านได้สบาย ๆ อยู่แล้ว ...อีกอย่างบ้านของคุณริวเองก็เป็นสองชั้น มีห้องหับมากพอจะอยู่กันอย่างสบาย ๆ ด้วย”

         “...เอ่อ เรื่องนั้นคงต้องถามความสมัครใจของพวกคุณริวก่อนดีกว่าครับ”

        กีรติตอบอย่างกึ่งเขินกึ่งลำบากใจ ซึ่งเจอรัลด์พอได้ยินดังนั้นก็หันไปลอบถอนหายใจเบา ๆ อย่างนึกเสียดาย  เพราะถึงกีรติกับริวจะคบหากันแล้วก็ตาม แต่พอเห็นแฟนธอมสนิทสนมและทำดีกับกีรติทีไร นักประดิษฐ์หนุ่มก็ยังคงนึกหึงหวง และอยากจะกันกีรติให้ออกห่างจากคนรักของตนอยู่ดี

        “แหม! ยังไงคุณริวก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วล่ะครับ คงจะดีใจด้วยซ้ำไป...รู้ไหมคุณกีรติ ผมน่ะอิจฉาคุณจะตาย!  ผมนะอุตส่าห์ลงทุนอ้อนขอร้องให้คุณแฟนธอมยอมมาอยู่ด้วยกันตั้งหลายครั้ง แต่โดนปฏิเสธตลอด แถมพอจะขอย้ายไปอยู่ด้วย ก็โดนห้ามไม่ให้ไปอีก เฮ้อ!”

         กีรติส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้คนพูด จากนั้นเจอรัลด์จึงขอตัวกลับไปพัก ซึ่งกีรติก็มองตาปริบ ๆ ตามหลังอีกฝ่ายที่เดินตรงไปยังสำนักงานหมู่บ้านแทนที่จะกลับซอยของเจ้าตัว

        “สงสัยมาสเตอร์จะแอบย่องไปหาคุณแฟนธอมตอนหลับอีกแล้วล่ะมั้งครับ”

        พอกีรติฟังที่อเล็กซ์บอก ชายหนุ่มก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เมื่อดันเผลอไปนึกถึงตอนที่เขาแวะไปเข้าห้องน้ำที่สำนักงานหมู่บ้านในช่วงบ่ายวันหนึ่ง  วันนั้นกีรติเห็นห้องของแฟนธอมเปิดประตูแง้มไว้ พอจะเข้าไปทักทายเพราะคิดว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า เจอรัลด์นั้นกำลังนอนกอดแฟนธอมอยู่บนเตียง ซึ่งเจ้าของเตียงก็ยังคงหลับซุกหน้ากับอกของนักประดิษฐ์หนุ่มอย่างไม่รู้สึกตัว แถมพวกเวธน์และกรกฎยังทำเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติอีกต่างหาก

        “จริงสิครับ...เมื่อวันก่อนมาสเตอร์บอกไว้ว่า คุณเวธน์จะขยายพื้นที่หมู่บ้านด้านหลัง เห็นว่าเจ้าตัวตัดสินใจจะย้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านนี้ และตั้งใจจะสร้างบ้านเพิ่ม เพื่อไว้รองรับประชากรทั้งมนุษย์และปีศาจที่อาจจะมาอยู่ที่นี่ในอนาคตน่ะครับ”

        อเล็กซ์ที่สังเกตเห็นกีรติเงียบไปนานด้วยความเขิน จึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นการสนทนาครั้งใหม่ชวนคุยเสียเอง ซึ่งก็ได้ผล กีรตินั้นหันมารับฟังอย่างสนอกสนใจทันที

        “อ๊ะ...เอ๋! จริงหรือครับ!  แบบนั้นก็ดีสิครับ มีคนมาเพิ่มอีก ที่นี่คงจะครึกครื้นขึ้นเยอะ”

         กีรติตอบพร้อมรอยยิ้มจริงใจ และลืมเรื่องชวนเขินอายก่อนหน้านั้นไปจนสิ้น

        “ครึกครื้นน่ะคงใช่ แต่ผมว่าไอ้พวกเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ คงจะตามมามากมายในอนาคตแน่”

        กีรติชะงักแล้วจึงหัวเราะเบา ๆ ตามมา

        “นั่นสิครับ... แต่ผมว่ามีเรื่องวุ่น ๆ เข้ามาบ้าง ก็ถือเป็นรสชาติของชีวิตนะครับ”

        “อืม ...ที่คุณว่ามาก็มีเหตุผลนะครับ  ผมเองยังรู้สึกเบื่อนิดหน่อย เวลาที่หมู่บ้านนี้สงบสุขนาน ๆ แบบระยะหลังมานี่ ...จนบางทียังนึกอยากแอบแฮกเข้าระบบขององค์กรก่อการร้ายที่สนใจผลงานของมาสเตอร์ แล้วปล่อยข่าวลวงว่ามาสเตอร์ประดิษฐ์อาวุธชีวภาพตัวใหม่ออกมาแล้วด้วยซ้ำ”

        คำพูดของอเล็กซ์ทำให้กีรตินิ่งอึ้ง พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า ก่อนหน้านั้นที่มีพวกแปลก ๆ เข้ามาขโมยงานวิจัยของเจอรัลด์ในหมู่บ้านนี้  เพราะพวกนั้นสืบหาข้อมูลได้เอง หรือเพราะได้ข่าวลวงจาก AI ประจำป้อมกันแน่

        “ผมว่าแบบนั้นมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ เกิดทางนั้นส่งคนแข็งแกร่งมา เดี๋ยวคนทางนี้จะเดือดร้อนเอานะครับ”

        “อืม... มันก็อาจจะจริงอย่างที่คุณว่า ...องค์กรก่อการร้ายเดี๋ยวนี้นับวันจะยิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เสียด้วยสิ”

        อเล็กซ์รับคำอย่างว่าง่าย ซึ่งก็ทำให้กีรติรู้สึกโล่งอกที่อีกฝ่ายยอมรับฟังเหตุผลของตน  จากนั้นชายหนุ่มจึงชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อดึงความสนใจไม่ให้อเล็กซ์คิดหาวิธีแก้เบื่อแบบแปลก ๆ อีก

        “อ๊ะ! จริงสิครับ ผมสงสัยมานานแล้ว พวกบ้านพักแต่ละหลังในหมู่บ้านนี้ คุณเจ้าของที่ดินแต่ละรุ่นเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดเลยหรือครับ”

        “หือ...เรื่องนั้นหรือครับ จริง ๆ แล้วก็ไม่เชิงหรอกครับ เท่าที่ผมทราบมาจากบรรดาชาวบ้านคนเก่าแก่ เห็นว่าคุณเจ้าของที่ดินรุ่นแรกนั้น จัดสรรแบ่งปันที่ดินให้ แล้วพวกที่มาอยู่ก็ออกทุนทรัพย์ปลูกสร้างเอาเอง มีบ้างที่บางรายมาอยู่แบบตัวเปล่า คุณเจ้าของที่ดินรุ่นแรกก็ช่วยออกทุนปลูกสร้างให้ แต่ละหลังก็เลยมีสไตล์ต่างกันไปตามใจชอบของคนอยู่นั่นล่ะครับ”

        กีรตินิ่งเงียบรับฟังอย่างสนใจ และพึมพำออกมาอย่างนึกทึ่ง

        “เป็นคนดีมาก ๆ เลยนะครับ  ทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนแบบนี้”

        “ใช่ครับ เท่าที่ผมได้รับฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านจากแต่ละคนที่รู้จักท่านเป็นอย่างดี  ก็สรุปได้ว่า ท่านเป็นมนุษย์แบบแทบที่จะหาไม่ได้ในสมัยนี้เลยทีเดียวล่ะครับ”

         กีรติพยักหน้าเห็นด้วย แล้วจึงชวนอีกฝ่ายคุยต่ออย่างติดลม

        “คุณเจอรัลด์นี่เข้ามาในช่วงคุณเวธน์เป็นเจ้าของที่ดินคนใหม่ใช่ไหมครับ ตอนนั้นหมู่บ้านมีคนเยอะแบบทุกวันนี้แล้วหรือยังครับ”

        “ตอนนั้นหรือครับ...ก็มีบ้านก่อสร้างกันหลายหลังแล้วล่ะครับ แต่ก็มีกฎเกณฑ์เพิ่มเติมในการปลูกสร้าง ที่เจ้าของที่ดินรุ่นที่สองระบุเพิ่มเติมขึ้นมาด้วย ว่าให้สร้างบ้านพักให้เป็นระเบียบเรียบร้อยกันหน่อย หลังจากซอยหนึ่งในสมัยที่คุณเจ้าของที่ดินรุ่นแรกดูแลอยู่นั้น สร้างกันตามใจคนอยู่ เป็นชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง ทาวน์เฮาส์บ้าง อย่างที่คุณเห็นนั่นล่ะครับ”

        กีรติรับฟังแล้วจึงหัวเราะเจื่อน ๆ เพราะสไตล์การก่อสร้างของบ้านในซอยหนึ่งนั้น ก็ออกมาตามใจคนอยู่โดยไม่ใส่ใจหลังอื่น ผิดกับบ้านในซอยกลางและซอยสอง อย่างที่อเล็กซ์บอกจริง ๆ

        “คุณเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองนี่เขาใส่ใจดูแลเรื่องพวกนี้เกินคาดเหมือนกันนะครับ”

        กีรติบอกอย่างนึกทึ่งน้อย ๆ เพราะเท่าที่เคยฟังแฟนธอมเล่าให้ฟังถึงตัวกอบพลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองนั้น  เขายังคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนสบาย ๆ อะไรก็ได้เสียอีก

           “จริง ๆ แล้วเท่าที่ผมทราบข้อมูลลับ ๆ จากบางคนมา  คนที่ออกหน้าคอยดูแลจัดการเรื่องในหมู่บ้านมาแต่แรก หลังจากเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองเข้ามารับช่วง เห็นจะเป็นตัวผู้ช่วยของเขาเสียมากกว่า  ส่วนเรื่องกฎระเบียบในการสร้างบ้านพักอาศัยพวกนั้น  ผมคิดว่าคุณเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองคงไม่ได้เป็นคนออกกฎเองหรอกครับ”

        กีรติยิ้มเจื่อน ๆ เพราะเขาก็พอจะรู้มาบ้างว่า ผู้ช่วยเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองนั้นคือผู้ใดกัน

        “ผมเองถูกสร้างขึ้นมาไม่กี่ปีก็จริง แต่พอเห็นคนย้ายเข้าย้ายออก จนกระทั่งหมู่บ้านขยายต่อเติมแบบนี้ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ลงไปเยอะเหมือนกันนะครับ เอ...ไม่สิ สำหรับผม คงต้องใช้คำว่า เก่าลงมากกว่า”

        กีรติหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงบอกกับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนจริงใจ

        “ใช้ยังไงก็ได้ครับ สำหรับผมแล้ว คุณน่ะดูเป็นมนุษย์เสียยิ่งกว่ามนุษย์บางคนอีกนะครับ”

        อเล็กซ์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วเสียงขอบคุณจึงดังขึ้นเบา ๆ จากนั้นกีรติก็เปลี่ยนเรื่องชวนอีกฝ่ายพูดคุยสัพเพเหระกันต่อสักพัก  ทว่าชายหนุ่มก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ และท้องฟ้าที่เคยสลัว กลับเต็มไปด้วยเมฆดำมืดครึ้ม

        “น่ากลัวจะมีพายุจริง ๆ ด้วยแล้วล่ะครับแบบนี้”

        กีรติพึมพำ มองไปในซอยก็เห็นว่ามีบางบ้านที่ผู้อาศัยเริ่มวิ่งออกมาเก็บเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้เข้าไปเก็บหนีฝนกันแล้ว

        “ผมว่าพายุฝนน่าจะแรงมากด้วยล่ะครับ ...คุณกีรติเข้าไปหลบในสำนักงานไม่ดีกว่าหรือครับ อยู่แถวนี้จะอันตรายนะครับ”

        อเล็กซ์เอ่ยเตือน ซึ่งกีรติก็หันมายิ้มให้ป้อมยาม แล้วบอกกลับไป

        “ถ้าฝนตกลงมาจริง ๆ ผมว่าจะหลบในป้อมอยู่กับคุณนี่ล่ะครับ อีกอย่างอยู่ด้วยกัน เกิดมีอะไรฉุกละหุก ก็ยังช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที จริงไหมครับ”

        กีรติหมายถึงเรื่องน้ำท่วมฉับพลันที่อีกฝ่ายกลัว ซึ่งอเล็กซ์ก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบในที่สุด

        “ขอบคุณมากครับ...”

        ถ้อยคำแสดงความรู้สึกอย่างสวยหรูดูดีจากฐานข้อมูลที่มีอยู่มากมายไม่ได้ถูกหยิบยกออกมาใช้  AI ประจำป้อมเลือกกล่าวคำขอบคุณสั้น ๆ เพียงเท่านั้น โดยที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด  ทว่ารอยยิ้มอ่อนโยนของกีรติที่ตอบกลับมา ก็ทำให้อเล็กซ์มั่นใจว่า ตนเองไม่ได้เลือกคำตอบผิดไปแน่ ๆ

         จากนั้นไม่นานนักฝนก็เริ่มตกลงมาหนาเม็ดขึ้น กีรติรีบวิ่งเข้าไปหลบในป้อมยาม โดยที่อเล็กซ์ก็เปิดเครื่องทำความอุ่นที่ถูกติดตั้งไว้แต่ไม่ค่อยจะได้ใช้เพื่อบริการอีกฝ่าย ทั้งคู่นั่งคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ กันอย่างเพลิดเพลิน จนลืมสนใจพายุฝนฟ้าคะนองภายนอกเสียสนิทเลยทีเดียว

...
...
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-11-2013 20:16:43



..
..

        คนที่เดินฝ่าพายุฝนมายังป้อมยาม ถึงกับขมวดคิ้วยุ่งเมื่อมองไปแล้วเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านในกำลังพูดคุยติดลมกับ AI ประจำป้อมด้วยสีหน้าร่าเริง จนชวนให้หงุดหงิด

        ก๊อก! ก๊อก!

        เสียงเคาะกระจกป้อมที่ดังขึ้น ทำให้กีรติชะงักแล้วหันไปมอง ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมาเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่นอกป้อมเป็นใคร

        “คุณริว! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ! ฝนยังตกแรงอยู่เลย อันตรายนะครับ!”

        กีรติเปิดประตูออกมาแล้วดึงแขนคนรักให้เข้ามาในป้อม และพอเข้ามาด้านในเสื้อคลุมกันฝนที่หนุ่มญี่ปุ่นสวมใส่มาด้วยก็อันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์

        “สะดวกดีจังนะครับแบบนี้”

        อเล็กซ์เอ่ยชม ส่วนกีรติกลับไม่ได้ใส่ใจในจุดนั้น หากแต่กำลังสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายว่าบาดเจ็บอะไรบ้างหรือไม่ ซึ่งนั่นก็ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดเริ่มยิ้มออก

        “ผมไม่เป็นอะไรหรอกกี ไม่ต้องห่วง”

        กีรติชะงัก ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเขินอาย

        “เอ่อ...ครับ”

        ริวยิ้มตอบ แล้วจึงลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่ง

        “พอฝนเริ่มตกหนัก ผมก็รู้สึกเป็นห่วง เลยโทรไปหาคุณที่สำนักงาน แต่คุณเวธน์บอกว่า คุณยังอยู่ที่ป้อม ผมก็เลยแวะมาดูว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า...แต่ก็ดูเหมือนคุณจะสบายดี และมีเพื่อนคุยถูกคอเป็นเพื่อนอยู่แล้ว”

        ใบหน้าของริวกลับมาบึ้งตึงนิด ๆ อีกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงภาพที่เห็นก่อนหน้านั้น จนกีรติรู้สึกแปลกใจ ทว่าเสียงของอเล็กซ์ที่ขัดขึ้นก็ทำให้คนทั้งคู่ถึงกับสะดุ้งโหยง

        “เอ๋...ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คุณริวเหมือนจะไม่พอใจอยู่นะครับ...หรือว่าคุณจะ...”

        ริวรีบกระแอมรัว ๆ ขัด แล้วหันขวับไปทางจอภาพมากมายภายในป้อมทันที

        “ไม่มีอะไรหรอก ใช่ไหม...อเล็กซ์”

        นัยน์ตาคมกริบ และน้ำเสียงเยียบเย็นกึ่งบังคับ ทำให้อเล็กซ์รีบรับคำหนักแน่น

        “ครับ! ผมคงประมวลผลผิดไปเอง”

        ริวยกยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ แล้วจึงหันมาแย้มยิ้มอ่อนโยนให้กับคนรักที่มองอยู่อย่างงุนงง

        ‘…นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าหึงหวง  คุณริวนี่เหมือนมาสเตอร์เลยแฮะ หึงกระทั่ง AI แบบเราก็ยังได้’

        อเล็กซ์ได้แต่คิด ไม่กล้าพูดออกไป เพราะในบางครั้งขนาดผู้สร้างตนก็ยังขยาดเวลาริวโมโหเลยด้วยซ้ำ

        “คุณอเล็กซ์เป็นอะไรไปหรือครับ ทำไมจู่ ๆ ก็เงียบไป ...อ๊ะ! หรือว่าระบบเกิดขัดข้องเพราะฝนรั่วเข้า!”

        กีรติที่เห็น AI ประจำป้อมเงียบไปนาน ทักขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนกปนห่วงใย ทำให้ริวเริ่มหน้าบึ้งขึ้นมาอีกรอบ

        “...ผมสบายดีครับ เพียงแต่กำลังคิดว่า โชคดีแล้วที่มาสเตอร์ไม่ได้สร้างผมในรูปร่างของมนุษย์  ไม่อย่างนั้นผมคงจะลำบากใจในอีกหลาย ๆ เรื่องเลยทีเดียว”

        คำตอบของอเล็กซ์ทำให้คนที่กำลังแอบหึงสะดุ้งนิด ๆ อย่างร้อนตัว ก่อนจะทำเป็นนิ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้อย่างแนบเนียน จน AI ประจำป้อมนึกทึ่ง

        “อืม...แต่ผมว่า ถ้าหากคุณอเล็กซ์ถูกสร้างในแบบมนุษย์น่าจะดีกว่านะครับ ...เพราะถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะเป็นเพื่อนกันแล้วก็จริง แต่บางทีนอกจากการพูดคุย ผมก็ยังอยากให้คุณมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับผมและทุกคนในหมู่บ้านนี้ด้วยเหมือนกันนะครับ”

        กีรติบอกด้วยสีหน้าและแววตาใสซื่อจริงใจ เสียจนริวหึงไม่ลง หนุ่มญี่ปุ่นถอนหายใจแรง ๆ แล้วหันไปพึมพำขอโทษอเล็กซ์เบา ๆ ซึ่งอเล็กซ์ที่เห็นได้ถนัดชัดเจน ก็กล่าวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง

        “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณริว ผมเข้าใจดี  มาสเตอร์ก็หึงหวงเวลาคุณแฟนธอมสนิทสนมกับผมบ่อย ๆ  แต่สำหรับผมแล้ว ทั้งคุณแฟนธอม และคุณกีรตินั้น เป็นคู่หูในการปฏิบัติงาน และเพื่อนคนสำคัญ ทั้งสองคนนั่นล่ะครับ”

        คำพูดนั้นคงจะสร้างความซาบซึ้งให้กับกีรติที่ฟังอยู่พอสมควร หากอีกฝ่ายจะไม่สะดุดกับข้อความในต้นประโยคเข้าให้เสียก่อน

         “เอ๋! คุณริวหึงผมกับคุณอเล็กซ์หรือครับ!”

        “เปล่านะ! ไม่ใช่สักหน่อย!”

        ริวรีบบอก แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงสัญญาณจากเครื่องจับเท็จ ที่อเล็กซ์จงใจเปิดให้ทำงานดังแย้งขึ้น

        “อเล็กซ์...”

        ริวหันไปเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นปนหงุดหงิด ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อมือเล็ก ๆ จับแขนเขาเอาไว้

        “คุณริว...ที่คุณริวหึง เพราะคุณไม่เชื่อใจผมหรือครับ”

        ริวหันมามองใบหน้าเป็นกังวลของอีกฝ่าย แล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

        “ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ ...แต่ไม่ชอบใจ ที่เห็นกีทำตัวสนิทสนม และยิ้มหวาน ๆ กับใคร นอกจากผมต่างหาก”

        หนุ่มญี่ปุ่นตัดสินใจตอบออกไปตามความรู้สึกของตน ซึ่งนั่นก็ทำให้กีรติยิ้มออก แต่พอลองทบทวนความหมายในประโยคที่คนรักเอ่ยออกมาเมื่อครู่ ใบหน้าหวาน ๆ นั่นก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ จนคนมองนึกขำ

        “เฮ้อ! ไม่เข้าใจมนุษย์เสียเลยนะ อารมณ์เปลี่ยนแปลงปุบปับ จนตามไม่ทัน  สงสัยผมคงต้องศึกษาเรียนรู้ในพฤติกรรมของมนุษย์ เพิ่มเติมอีกมากทีเดียว”

        อเล็กซ์เปรยขัดขึ้นมาลอย ๆ ทว่ากลับทำให้คนสองคนที่อยู่แถวนั้นชะงักไปชั่วครู่ หากแต่เพียงไม่นาน พวกเขาก็ต่างมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมา

        “ไม่ใช่แค่นายหรอกนะอเล็กซ์ ที่ต้องศึกษาเรียนรู้... จริงไหม กี”

        ริวบอกแล้วจึงหันไปทางกีรติ ซึ่งชายหนุ่มร่างเล็กก็ยิ้มรับพร้อมพยักหน้า

        “นั่นสินะครับ...ถ้าไม่พูดคุย ไม่เรียนรู้และพยามเข้าใจในตัวอีกฝ่าย   ก็อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด จนนำมาซึ่งความบาดหมางกันก็เป็นได้”

        ริวยิ้มตอบคนรัก จากนั้นจึงวานอเล็กซ์ช่วยแจ้งให้น้องชายของตนทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ป้อมยามกับกีรติ เพื่อที่เรนและพวกชิโระจะได้ไม่เป็นห่วงที่เห็นเขาหายไปนานแบบนี้…

       

        หลังจากวันที่พายุฝนหนักผ่านพ้นไป อากาศวันถัดมาก็ยังคงอึมครึมไม่เปลี่ยน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะตอนนี้เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงหน้ามรสุมนั่นเอง

        “เมื่อไหร่จะหมดหน้าฝนก็ไม่รู้นะครับ ถ้าให้เลือก ผมชอบหน้าร้อนมากกว่า  อืม...แต่ถ้าร้อนมากก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

        อเล็กซ์บ่นให้กีรติฟัง ซึ่งคนฟังก็นึกเห็นใจ เพราะดูเหมือนว่าอากาศเมืองไทยไม่ว่าจะร้อนหรือฝนนั้น  ก็ล้วนแต่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อสมองกลอย่างอเล็กซ์สักเท่าใดนัก

        “เฮ้อ...ส่วนฉันอยากให้มันมีพายุพัดแรง ๆ ยิ่งกว่านี้มากกว่า เพราะคุณแฟนธอมเขาไม่ค่อยถูกโรคกับฟ้าร้องฟ้าผ่า  ฉันจะได้ถือโอกาสกอดหากำไรแบบเมื่อวานได้อีกบ่อย ๆ”

        เจอรัลด์ที่แวะมานั่งคุยกับทั้งคู่เปรยบ่น ทำเอากีรติต้องเหลือบมองคนพูดตาปริบ ๆ เพราะรอยเขียวช้ำที่มุมปากของอีกฝ่ายอันเกิดจากฝีมือของคนที่เจ้าตัวพูดถึง ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด

        “แต่มาสเตอร์เพิ่งจะโดนคุณแฟนธอมสั่งห้ามไม่ให้ย่องเข้าไปในห้องตอนหลับอีก ไม่ใช่หรือครับ”

        เสียงที่ขัดขึ้นของอเล็กซ์ทำให้เจอรัลด์ชะงัก ก่อนจะบ่นอุบอิบตามมาอย่างหงุดหงิด

        “ก็ใช่น่ะสิ! แถมยังเล่นยื่นคำขาดว่า ถ้าทำอีกจะเลิกคบเป็นแฟนด้วยนะ! ไอ้เราก็แค่แอบจับแอบจูบนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยแท้ ๆ”

        กีรติยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อได้ยิน และไม่แปลกใจนักที่เมื่อวานแฟนธอมถึงกับลงไม้ลงมือกับชายหนุ่มแบบนี้

        “สงสัยมาสเตอร์ต้องไปศึกษาวิธีเอาใจคู่รักจากคุณริวแล้วล่ะครับ เพราะเมื่อวานคุณริวก็ทำคล้าย ๆ กับที่มาสเตอร์ว่ามา แต่ดูเหมือนคุณกีรติจะพอใจอยู่ไม่น้อย และไม่ขัดขืนอะไรเลยนะครับ”

        คำแนะนำของอเล็กซ์ทำเอากีรติสะดุ้งเฮือกหน้าแดงก่ำ ส่วนเจอรัลด์นั้นบ่นอุบอิบนินทาริวด้วยความอิจฉา

        “เหอะ! คุณริวนะคุณริว ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นขรึมเฉยชา ลับหลังก็หื่นตัวพ่อเหมือนกันล่ะนะ”

        กีรติหน้าร้อนวูบวาบ นึกอยากจะหนีไปขี่จักรยานตรวจตราหมู่บ้านเสียอีกรอบ แต่เพราะเพิ่งกลับมาจากการตรวจตราได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี ขืนหนีไปตอนนี้ เจอรัลด์คงจะพาลหงุดหงิดใส่เขาไปด้วยอีกคนเป็นแน่

        “อืม...จริงด้วยสิ  คุณกีรติเองก็หัดเล่นตัวบ้างสิครับ อย่ายอมคุณริวง่าย ๆ นัก ...ชีวิตคู่มันก็ต้องมีการง้องอนการตื๊อกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะจืดชืดน่าเบื่อหน่ายกันพอดี”

        เจอรัลด์ได้ทีก็รีบยุยงส่งเสริมคนใสซื่อด้านความรักตรงหน้าเขา เพื่อหวังจะให้ริวต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับตนเอง ทว่า...

        “เอ๋...ใครโทรมานะ”

        กีรติสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อจู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ประจำป้อมยามก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปรับสาย แล้วก็ต้องชะงักเมื่อปลายสายเอ่ยอะไรบางอย่าง

        “กีหรือ...ผมเองนะ  ฝากบอกนักประดิษฐ์งี่เง่าข้าง ๆ คุณด้วยว่า ผมพอใจความรักแบบเรียบง่ายอย่างเดิมมากกว่า ...และผมคิดว่าหากเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณแฟนธอมดู เขาก็คงคิดแบบเดียวกับผมเหมือนกัน ...แค่นี้ล่ะ”

        ริวพูดฝ่ายเดียวแล้วก็วางสายไป ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้เจอรัลด์หน้าซีดเผือด เพราะนอกจากริวจะได้ยินเขานินทาเต็ม ๆ แล้ว อีกฝ่ายยังพูดเหมือนจะบอกเรื่องนี้กับแฟนธอมเข้าให้อีกด้วย

        “คุณริวได้ยินได้ยังไงกัน...อเล็กซ์!!”

        เจอรัลด์เตรียมหันไปพาลใส่สิ่งประดิษฐ์ของตน ทว่าอเล็กซ์รีบร้องประท้วงขัดขึ้นมาเสียก่อน

        “ไม่ใช่ผมนะครับ! ผมยังไม่ได้ทำการถ่ายทอดการสนทนาของมาสเตอร์กับคุณกีรติให้ใครฟังเลยนะครับ!”

        “ถ้าไม่ใช่นายแล้วเขาจะรู้ได้ยังไง ...อ๊ะ หรือว่า...”

        เจอรัลด์ลุกขึ้นพรวดมองซ้ายมองขวาเดินสำรวจสิ่งผิดปกติรอบป้อมยาม แล้วก็มาสะดุดเข้าที่กระจกยันต์บานเล็ก ที่กีรติห้อยประดับลูกบิดประตูด้านนอกเอาไว้

        “กระจกนั่น...คุณกีรติได้มาจากใครหรือครับ”

        กีรติที่กำลังงุนงงมองตามไป แล้วจึงตอบคำถามนั้นตามตรง

        “อ๊ะ...อ๋อ กระจกนั่นหรือครับ ผมได้จากคุณริวมาเมื่อเช้านี้เองครับ   คุณริวให้แขวนไว้ที่ป้อมยาม เห็นบอกว่าเป็นเครื่องรางเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ไม่ให้มากล้ำกรายน่ะครับ”

        เจอรัลด์ฝืนยิ้ม รู้สาเหตุเรื่องที่ริวได้ยินเขาสนทนาอย่างกระจ่างชัดแจ้ง นักประดิษฐ์หนุ่มเหลือบไปมองกระจกบานนั้นอีกครั้ง ใจจริงอยากจะหยิบไปทิ้ง แต่ขืนเขาทำแบบนั้น มีหวังริวหาเรื่องเล่นงานเขาแน่  ทว่าถึงยังไงชายหนุ่มก็ไม่อยากให้ริวสามารถแอบมองเวลาที่แฟนธอมอยู่เฝ้าเวรยามกะดึก แม้จะรู้ดีว่าริวไม่ได้คิดอะไรกับคนรักของตนก็ตาม

        “เอ่อ...ถ้ายังไงรบกวนช่วยแขวนไว้เฉพาะช่วงที่คุณทำงานได้ไหมครับ ...ตอนเปลี่ยนกะเป็นคุณแฟนธอม ก็ให้เอาเก็บกลับบ้านไปด้วย ถ้าได้แบบนั้นผมจะขอบคุณมากทีเดียว”

        เจอรัลด์พูดไม่เต็มเสียงนัก เขาไม่กล้าบอกความจริงให้กีรติรับรู้ เพราะแน่ใจว่าขืนพูดออกไป ก็คงไม่แคล้วโดนริวโกรธเพิ่ม

        “เอ๋? แปลกจริงนะครับ คุณริวก็ให้ผมทำแบบนั้นเหมือนกัน เห็นบอกว่ามันเป็นเคล็ดในการใช้กระจกน่ะครับ”

        กีรติเอ่ยตอบด้วยสีหน้าสงสัย ซึ่งเจอรัลด์ก็รีบพยักหน้าหงึกหงักเออออเห็นด้วยทันที

        “ใช่แล้วครับ! ถูกอย่างที่เขาว่ามานั่นล่ะ!”

         กีรติพยักหน้ารับรู้อย่างยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แล้วเขาก็เลิกสงสัยเมื่อเจอรัลด์ขอตัวกลับที่พัก พร้อมกับรีบเร่งฝีเท้าเดินจนคนมองแปลกใจ

        “ดูคุณเจอรัลด์รีบร้อนจังเลยนะครับ”

        “...นั่นสิครับ”

        อเล็กซ์รับคำสั้น ๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ เพราะมั่นใจว่าเจอรัลด์นั้นจะต้องไปขอร้องริวไม่ให้พูดกับแฟนธอมเรื่องที่แอบนินทาเจ้าตัวเป็นแน่



        ลมที่พัดเย็นกระทบผิวกาย ทำให้กีรติเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ยามนี้เมฆดำครึ้มเริ่มมารวมตัวกันหนาตาขึ้นกว่าเดิม

        “น่ากลัวเย็นนี้ฝนคงตกอีกแน่เลยครับ...”

        “นั่นน่ะสิครับ...เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดเปรี้ยง อากาศเมืองไทยนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยนะครับ”

        อเล็กซ์เปรยตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเบื่อ ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้กีรติอมยิ้ม เพราะแม้แต่โปรแกรมคำนวณของสมองกล ก็ยังไม่อาจคาดเดาต่อสภาวะอากาศที่วิปริตแปรปรวนขึ้นทุกวันบนโลกใบนี้ได้   

        “ที่ลาซาฝนจะตกหนักแบบนี้เหมือนกันไหมนะ...”       

        กีรติเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา โดยไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า กำลังมีใครบางคน จ้องมองท้องฟ้าที่ลาซาซึ่งกำลังโปรยปรายด้วยสายฝนเฉกเช่นเดียวกับตน

        “ฝ่าบาท...ได้เวลาแล้วขอรับ”

        องครักษ์คนสนิทเดินมารายงานพร้อมกับโค้งศีรษะทำความเคารพ ทางด้านลูคัสละสายตาจากท้องฟ้า พลางหันมาพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ แล้วจึงออกเดินนำไปยังลานปูนกว้างที่ยามนี้มีเครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กถูกนำมาจอดรอไว้อยู่



…TBC…


ตอนหลัง ๆ นี้ค่อนข้างยาว เพราะคนแต่งทั้งเร่งทั้งเบลอ จนไม่รู้จะซอยหั่นตรงไหนดี  ... ไม่ต้องรีบร้อนอ่านนะคะ ตอนพิเศษยังไม่ได้แต่ง แหะ ๆ

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 16-11-2013 21:31:16
ริวนี้เห็นเงียบๆแต่ตัวจริงนี่แอบร้ายเนอะ  o18

ท่านพ่ออย่าใจร้ายกับลูกชายที่แสนน่ารักเลยนะ

บวกเป็ด

รอตอนต่อไปค่า   :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-11-2013 21:42:02
คลานมาแปะต่อค่ะ... ตอนกลางวัน-หัวค่ำ นี่ค่อนข้างไร้สมาธิในการอ่านทบทวน  จะมามีสมาธิก็ช่วง สี่ห้าทุ่มขึ้นไปตอนชาวบ้านเขาหลับกันหมดแล้วนี่ล่ะค่ะ เฮ้อ...



บทที่ 29



         ท้องฟ้าเช้านี้แจ่มใสผิดจากสองสามวันที่ผ่านมา ทำให้อเล็กซ์นั้นอารมณ์ดีกว่าเดิมและชวนกีรติคุยโน่นนี่ จนริวที่มานั่งเป็นเพื่อนเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาเล็กน้อย

        “จะคุยอะไรกันนักหนาอเล็กซ์ เอาเวลาคุยไปตรวจสอบดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านไม่ดีกว่าหรือ”

        ริวเปรยขัดขึ้นเสียงเรียบ ทว่าอเล็กซ์นั้นตอบกลับมาอย่างร่าเริง

        “อ๊ะ! ไม่ต้องห่วงครับคุณริว ผมให้ระบบสำรองคอยดูแลหมู่บ้านของเราและบริเวณที่ดินรอบ ๆ อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ถ้ามีเรื่องอะไรผิดปกติขึ้นมารับรองว่าระบบจะแจ้งให้ทราบแน่...”

        พูดมาถึงท้ายประโยคเจ้าตัวก็ชะงักแล้วบอกกับทั้งสองคนที่ฟังอยู่

        “รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องผิดปกติแล้วล่ะครับ หน้าปากซอยทางเข้า มีรถยนต์ติดทะเบียนซึ่งไม่มีอยู่ในฐานระบบข้อมูลของสมาชิกหมู่บ้าน กำลังเลี้ยวเข้ามา...อาจจะเป็นแขกของคุณเวธน์ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตแจ้งทางคุณเวธน์ก่อนนะครับ”

        อเล็กซ์บอกแล้วก็เงียบไป ซึ่งกีรติกับริวก็พอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังแจ้งให้เวธน์ทราบ เพราะเพียงไม่นานเวธน์นั้นก็เดินออกมาจากสำนักงานพร้อมกรกฎและปาลิน อันเป็นเวลาเดียวกับรถยนต์ยี่ห้อหรูราคาแพงหลักสิบล้านเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้าน

         “แขกของคุณเวธน์หรือครับ”

        หนุ่มญี่ปุ่นหันมาถามคนที่เดินมาหยุดยืนที่ป้อมยาม ซึ่งเวธน์ก็สั่นศีรษะพร้อมกับตอบ

         “ไม่ใช่ครับ... อีกอย่างวันนี้ผมจำไม่ได้เลยว่าผมนัดคนที่ขับรถติดป้ายทะเบียนของสถานทูตมาหาด้วยน่ะ”

          พอเวธน์ตอบแบบนั้น คนอื่นก็นิ่งคิดแล้วจึงหันมาทางกีรติเป็นตาเดียว

         “หรือว่าจะเป็นแขกของคุณกีรติ”

        “ไม่ทราบเหมือนกันครับ...โนอาก็ไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้านี่ครับ”

        กีรติตอบคำถามของกรกฎด้วยความงุนงงไม่แพ้คนอื่น ทว่าพอรถยนต์เคลื่อนมาจอดใกล้ป้อมยาม และคนขับลงไปเปิดประตูให้กับคนที่นั่งเบาะหลังก้าวลงมา ชายหนุ่มร่างเล็กก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง แล้วหลุดอุทานออกมาเป็นภาษาลาซาอย่างลืมตัว

        “ท่านพ่อ!”

        คนอื่นที่ได้ยินพากันขมวดคิ้วยุ่ง และพออเล็กซ์แปลให้พวกเขาฟัง ทุกคนก็ต่างพากันนิ่งอึ้ง และหันขวับไปมองยังร่างสูงสง่างามในสูทสีเทาแทบจะพร้อมกัน

        “...ภาวนาให้เป็นเรื่องดีนะคุณริว”

        เวธน์ตบบ่าหนุ่มญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้เขาเบา ๆ แล้วจึงเดินตรงไปหาลูคัส พร้อมกับโค้งศีรษะให้ ก่อนกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษอย่างสุภาพ

        “สวัสดีครับท่าน ผมเป็นเจ้าของที่ดินของหมู่บ้านแห่งนี้ ชื่อเวธน์ครับ”

        ลูคัสมองคนตรงหน้าแล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะยื่นมือให้จับ ทำเอาเวธน์ชะงัก มองอีกฝ่ายอย่างลังเลชั่วครู่ แล้วจึงยื่นมือของตนไปสัมผัสกับมือของอีกฝ่ายเบา ๆ ซึ่งลูคัสนั้นก็ทักทายกลับเป็นภาษาไทยชัดเจน

        “ยินดีที่รู้จักครับคุณเวธน์ ผมชื่อลูคัสเป็นพ่อของคีโอ...หรือกีรติ ชื่อที่พวกคุณคุ้นเคยกัน”

        เวธน์ฝืนยิ้ม ลองอีกฝ่ายพูดมาแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าเรื่องของกีรตินั้นคงรู้ถึงหูเจ้าตัวเข้าให้แล้วเป็นแน่

        “เชิญท่านไปนั่งสนทนากันที่ห้องรับแขกของสำนักงานหมู่บ้านดีกว่านะครับ แดดวันนี้ค่อนข้างจะแรงมากเสียด้วย”

        เวธน์เปลี่ยนมาใช้ภาษาไทยตามอีกฝ่าย แล้วเดินนำลูคัสไปที่สำนักงานหมู่บ้าน กรกฎกับปาลินเองก็รีบตามไปทันที ส่วนกีรตินั้นยืนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก จนริวต้องสะกิดเตือน

        “กีครับ...ตามไปสิครับ”

        “เอ่อ...แต่ว่า...”

        กีรติยังคงลังเล แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อชายในเครื่องแบบสูทดำอีกคนที่ลงตามลูคัสมาจากรถ เดินตรงเข้ามาหาเขา  ชายผิวคล้ำหยุดยืนตรง ยกมือขวาขึ้นประสานหน้าอก พร้อมกับโค้งศีรษะคำนับอย่างสุภาพนอบน้อม 

        “ท่านคีโอขอรับ ท่านลูคัสให้มาเชิญท่านไปด้วยขอรับ”

        “อะ...อืม...”

        กีรติพยักหน้ารับรู้ แล้วเหลือบไปมองริว อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนเป็นเชิงให้กำลังใจ ทำให้กีรติเม้มปากน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบรับ จากนั้นจึงเหลือบไปมองพวงกุญแจกระจกยันต์ที่ริวให้ไว้ กีรตินิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจหยิบมันมาใส่กระเป๋าเสื้อของเขา

        “...ขอพกไปเป็นเครื่องรางให้อุ่นใจหน่อยนะครับ”

        กีรติหันมาบอกกับริว ซึ่งริวก็ยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความดีใจที่คนรักให้ความสำคัญกับของที่ตนมอบให้เช่นนี้

        “ท่านคีโอ...เชิญครับ”

        ชายสูทดำโค้งเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มร่างเล็กเดินนำหน้าตนไป กีรติพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินตัวตรงนำไปด้วยท่วงท่าที่ดูสง่างามผิดเคย ทำให้ริวชะงักและรู้สึกปวดแปลบในอกขึ้นมานิด ๆ ทว่าก็ต้องรีบสลัดความคิดน้อยเนื้อต่ำใจทิ้งไป เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา กีรติได้พิสูจน์ให้เห็นเสมอว่า ความแตกต่างระหว่างชนชั้นของพวกเขา ไม่ได้ทำให้ความรักที่มีแก่กันลดน้อยถอยลงได้เลย

        ‘กี...ผมรักคุณนะ ต่อให้เรื่องทุกอย่างจะต้องจบลงแบบไม่สวยงามนัก  แต่ผมก็จะยังคงรักคุณตลอดไป...’

         ริวนิ่งคิดและเฝ้าภาวนาขอให้สิ่งที่ตนกังวลอย่าได้เกิดขึ้น ถึงแม้ครั้งนี้จะดูคาดหวังได้ยากเย็นเสียยิ่งกว่าครั้งที่เขาปรารถนาจะหลุดพ้นจากเงาของตระกูลตนเองก็ตาม



        อีกด้านหนึ่งที่ห้องรับแขกในสำนักงานหมู่บ้าน บนโซฟามีเวธน์ ลูคัสและกีรตินั่งอยู่ ส่วนคนอื่นต่างไปยืนหลบอยู่ห่างออกไป   

        “คีโอ...จริงหรือไม่ที่ทุกคนในหมู่บ้านนี้ทราบฐานะที่แท้จริงของลูกกันหมดแล้ว”

        คำถามแรกของลูคัส ไม่เพียงแต่ทำให้กีรติสะดุ้ง ทว่ากลับทำให้คนอื่นที่ได้ยินล้วนตกใจกันไปถ้วนหน้า แม้จะมีบางรายที่พอคาดเดาสาเหตุถึงการมาของลูคัสได้บ้างแล้วก็ตาม

        “ผม...คือ...”

        กีรติอ้ำอึ้งในทีแรก ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วยืดตัวเงยหน้าเผชิญกับบิดาอย่างกล้าหาญ

        “ครับ ทุกคนในที่นี้ล่วงรู้ฐานะของผมกันหมดแล้ว”

        ลูคัสรับฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉยยากจะอ่านอารมณ์ออก ทำเอาเวธน์ที่ฟังอยู่อดกังวลแทนลูกน้องของเขาไม่ได้

        “แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่พวกเราทุกคนที่นี่ สามารถรับรองกับท่านได้ว่า จะไม่มีทางให้ความลับของเขาแพร่งพรายออกไปภายนอกหมู่บ้านได้อย่างแน่นอนครับ”

        ลูคัสหันมาทางเวธน์ สีหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์กลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับ เมื่อเห็นถึงความจริงจังและจริงใจของหนุ่มไทยผู้นี้

        “ขอบคุณสำหรับความกรุณาและปรารถนาดี ที่คุณมีต่อลูกชายของผม...หากมีแค่เรื่องการผิดสัญญาระหว่างกันเพียงเรื่องเดียว ผมก็คงพอจะอนุโลมให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านที่อบอุ่นแห่งนี้ต่อไปได้...”

        ลูคัสพูดเพียงแค่นั้นแล้วสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง ซึ่งก็ทำให้เวธน์ชะงักแล้วจึงหลุบตาหลบอย่างช้า ๆ เนื่องจากเข้าใจดีว่าลูคัสนั้นหมายความถึงเรื่องใด

        “คีโอ...นอกจากเรื่องที่ทุกคนในหมู่บ้านนี้ รู้ตัวตนที่แท้จริงของลูกแล้ว ลูกยังมีเรื่องไหนที่ปิดบังพ่ออยู่อีกไหม”

        ลูคัสหันกลับมาถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาบรรยากาศอึมครึมยิ่งชวนให้อึดอัดมากขึ้น

        “โหดน่าดูเลยนะพ่อของคุณกีรติเนี่ย...ขนาดรู้อยู่แก่ใจ ยังบังคับให้ลูกชายสารภาพด้วยตัวเองอีก”

        ปาลินที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ กระซิบกับลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งกรกฎเองก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  ส่วนแฟนธอมที่ไม่ได้หลับแต่นั่งรับฟังอยู่ในห้องเงียบ ๆ ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อย่างนึกสงสารรุ่นน้องของตน

        “ผม...”

        กีรติเริ่มมีอาการลังเลและเป็นกังวลอีกครั้ง ชายหนุ่มเม้มปากแน่น และมีสีหน้าครุ่นคิดคล้ายกำลังตัดสินใจบางอย่าง เขาหลับตาลงช้า ๆ มือยกขึ้นสัมผัสเครื่องรางในกระเป๋าเสื้อบริเวณหน้าอก แล้วจึงลืมตาขึ้นสบตากับบิดาโดยไม่มีแววลังเลใด ๆ ให้เห็นอีก

        “ผมมีคนที่ผมรักและตัดสินใจอยู่เคียงข้างกับเขาไปชั่วชีวิตแล้วครับท่านพ่อ”

        คำตอบของกีรติทำให้แต่ละคนในที่นั้นนิ่งอึ้ง แม้กระทั่งลูคัสเองก็ยังชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าบุตรชายจะกล้าตอบอย่างหนักแน่นจริงจังเช่นนี้ ทว่าราชาหนุ่มกลับยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมนิ่งเฉย พร้อมกับตั้งคำถามถัดมา

        “แล้วคนรักของลูกคนนี้ คู่ควรพอที่จะทำให้ประชาชนชาวลาซายอมรับเขา ในฐานะราชินีของราชาคนต่อไปได้หรือไม่ล่ะคีโอ”

        แม้จะเตรียมใจมาล่วงหน้าหากจะถูกบิดาตำหนิด้วยวาจารุนแรงก็ตาม  ทว่าเพียงแค่คำถามเรียบ ๆ ง่าย ๆ ของลูคัส ก็ทำเอากีรติถึงกับคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

        “พ่อเข้าใจว่าเรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้ แต่พ่อก็อยากให้ลูกตระหนักถึงความจริงในเรื่องที่ว่า ลูกนั้นคือเจ้าชายรัชทายาทแห่งลาซา ผู้ที่จะต้องรับหน้าที่ปกครองประเทศสืบต่อไป ในอนาคตข้างหน้านี้”

        ลูคัสเอ่ยต่อมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชาเสียจนองครักษ์คนสนิทยังต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ เหลือบมองเจ้าชายของเขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าซีดเผือด แม้แต่คนนอกอย่างพวกเวธน์ยังแลดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

        “ท่านพ่อ...แต่ว่า..ผมกับคุณริว...เรา...”

        กีรติพยายามคิดหาถ้อยคำมาแย้ง แต่ก็ดูเหมือนว่าสมองของเขาจะว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ   

        “คีโอ...ลูกคงรักคนสำคัญของลูกมากสินะ”

        คำถามถัดมาทำให้กีรติชะงักเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่รับฟัง ต่างล้วนมีความหวังในใจขึ้นมานิด ๆ ว่า ลูคัสอาจจะเข้าใจและเห็นใจต่อความรักครั้งนี้ของบุตรชายก็เป็นได้

        “คะ...ครับ ผมรักเขามาก ...รักมากจริง ๆ”

        กีรติรับคำเสียงแผ่วลง แค่เพียงนึกว่าจะต้องพรากจากริวไป เขาก็รู้สึกแน่นในอกจนเหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที

        “ลูกรักเขามาก จนยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกมีได้ไหมล่ะคีโอ”

        กีรติชะงักพลางสบตากับอีกฝ่ายนิ่งอย่างหวั่นวิตก เพราะคำถามนั้นของบิดามันเหมือนจะแฝงความนัยบางอย่างที่เขาไม่อยากให้ตนเองเดาถูก

        “ท่านพ่อหมายความว่าอะไรหรือครับ...”

        กีรติย้อนถามกลับไป และเฝ้าภาวนาว่าจะได้รับคำตอบกลับมาแตกต่างจากที่คิดเอาไว้ ทว่า...

        “ถ้าลูกรักเขามากจนยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้...พ่อก็จะยอมปล่อยให้ลูกได้ทำตามใจชอบ เพียงแต่ขอให้ลูกจงจดจำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า...นับตั้งแต่ที่ลูกเลือกความรักแทนหน้าที่ เจ้าชายคีโอแห่งประเทศลาซา ก็จะไม่มีตัวตนสำหรับพ่อและประชาชนชาวลาซาอีกต่อไป”

         กีรติทิ้งตัวพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนแรง ไร้ซึ่งคำพูดโต้แย้งอันใดออกไปทั้งสิ้น ทางด้านเวธน์นั้นมองชายหนุ่มอย่างนึกสงสาร เพราะแม้ว่าลูคัสจะไม่ได้บังคับขู่เข็ญให้กีรติเลิกกับริว ทว่าทางเลือกที่เจ้าตัวมอบให้ ก็ไม่แตกต่างอันใดกับการบังคับสักนิด 

        “ลูกอาจจะต้องการเวลาสำหรับคิดคำตอบ...เอาไว้พ่อจะมาฟังคำตอบของลูกในช่วงเย็นนี้แล้วกัน”

          ลูคัสที่เห็นสภาพอ่อนแรงของบุตรชายเอ่ยขึ้นเบา ๆ แล้วจึงหันกลับไปทางเวธน์พร้อมเอ่ยลา ซึ่งเวธน์ก็รีบโค้งศีรษะตอบรับพลางลุกขึ้นเดินไปหมายจะส่งอีกฝ่ายถึงรถ ทว่าลูคัสนั้นปฏิเสธด้วยความเกรงใจเสียก่อน หากแต่สายตาที่มองไปยังบุตรชายวูบหนึ่งแล้วจึงหันกลับมามองเจ้าของที่ดินหนุ่มนั้น ทำให้เวธน์ชะงัก เขาสบตาราชาหนุ่มครู่หนึ่งแล้วจึงโค้งให้อีกครั้ง ก่อนจะกลับเข้าไปในสำนักงาน เพื่อตั้งใจปลอบโยนให้กีรตินั้นได้คลายเศร้าลงไปบ้างแทน



        อีกด้านหนึ่งที่ป้อมยาม ริวนั้นกลับไม่ได้มีอาการช็อกหรือโมโหโวยวายแต่อย่างใด ทำเอาเจอรัลด์นึกแปลกใจ  เนื่องจากเพราะอเล็กซ์ส่งข้อความไปบอกเขาว่าบิดาของกีรติมาที่หมู่บ้าน  เขาจึงรีบตรงมายังป้อมยาม เพราะเกรงว่าริวจะเสียใจหรือลืมตัวอาละวาด หากแต่ชายหนุ่มกลับนิ่งรับฟังเสียงที่อเล็กซ์ถ่ายทอดด้วยท่าทางนิ่งเฉยกว่าที่คิด

         ทว่าจู่ ๆ ริวที่นิ่งเงียบก็ลุกขึ้นยืน ทำเอาเจอรัลด์สะดุ้งโหยง แล้วก็พลันเข้าใจว่าเหตุใดริวถึงลุกขึ้นมาเช่นนี้ 

        “คุณคงเป็น คุณยูกิมูระ ริว สินะ”

        ลูคัสที่เดินตรงมาป้อมยามเอ่ยทักทายกับริว ซึ่งหนุ่มญี่ปุ่นนั้นก็โค้งศีรษะให้กับอีกฝ่าย ทว่าคำพูดที่ตอบกลับไปนั้นหาใช่การทักทายแนะนำตัวเองอย่างที่ควรเป็น

        “ผมเข้าใจว่าท่านปรารถนาดีต่อกีรติ จึงต้องใช้วิธีการที่เด็ดขาดเช่นนี้ ...แต่ผมเองก็ไม่อาจจะเห็นด้วยกับการกระทำของท่านทั้งหมด เพราะเขาเองก็เป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับผมเช่นกัน”

        ลูคัสเลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะล่วงรู้ถึงบทสนทนาภายในสำนักงานเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางแปลกใจออกไปมากนัก

        “ผมแค่เสนอทางเลือกให้ลูกชายของผมได้เลือกก็เท่านั้น”

        คำตอบของลูคัสทำให้ริวเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยโต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มอารมณ์

        “ครับ...ทางเลือกที่ทำให้กีรติเจ็บปวดจนหัวใจแทบสลาย”

        ลูคัสชะงักเล็กน้อยแต่ก็ยังคงมีท่าทางนิ่งเฉยไม่หวั่นไหวใด ๆ ให้เห็น

        “กีรติเป็นคนจิตใจดี อ่อนโยน จนผมเองก็เผลอคิดไปว่า บางทีหากเรื่องของผมกับเขาถูกล่วงรู้เข้า ผมคงจะมีหนทางพูดคุยตกลงกับทางครอบครัวของเขาได้บ้าง...แต่ผมเพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่า...ท่านนั้นเหมาะสมกับการเป็นราชาเสียยิ่งกว่าเป็นพ่อคน”

        “นี่คุณมากไปแล้วนะ!”

        จาค็อบตวาดใส่ริว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อลูคัสยกมือขึ้นห้ามปรามช้า ๆ

        “ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกเช่นไร ...แต่คุณพูดถูกแล้ว  สำหรับผม ความเป็นราชาย่อมมาก่อนความเป็นพ่อคน... คีโอเองก็เช่นกัน เขาเป็นเจ้าชาย เป็นรัชทายาท มาก่อนที่จะได้รู้จักคุณด้วยซ้ำ”

        ลูคัสเปรยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้วี่แววขุ่นเคืองโกรธแค้นใด ๆ ให้สัมผัสทั้งสิ้น

        “ใช่...ผมรู้ดี และเตรียมตัวเตรียมใจอยู่เสมอ หากจะต้องผิดหวังและต้องจากกับเขาในวันใดวันหนึ่ง...”

        ริวโต้ตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครืออย่างพยายามควบคุมอารมณ์นิด ๆ แล้วสบตากับอีกฝ่ายนิ่งด้วยแววตาจริงจังหนักแน่น

        “และถ้าหากผมรู้ว่าท่านจะเลือกวิธีนี้มาใช้บีบบังคับเขาล่วงหน้า...ผมก็คงเป็นฝ่ายออกไปจากชีวิตของกีรติเสียก่อน ...ผมมั่นใจว่ากีรติรักผมเหมือนกับที่ผมรักเขา... การที่เราเลิกกัน อาจจะทำให้เขาเสียใจมากก็จริง ...แต่ก็คงน้อยกว่าการที่ต้องถูกพ่อแท้ ๆ ยื่นคำตัดขาดกับตัวเองแน่!”

         ลูคัสยืนนิ่งสบตากับหนุ่มญี่ปุ่นอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบยากอ่านอารมณ์ออกเช่นเคย

        “แสดงว่าคุณพร้อมที่จะเลิกกับคีโอ เพื่ออนาคตของคีโอเองสินะ”

         ริวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงสูดลมหายใจเข้าปอด แสดงถึงการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว

        “ผมจะส่งกีรติคืนให้คุณ...กีรติที่ยังคงไม่รู้จักและรักคนที่ไม่คู่ควรกันอย่างผม”

        คำพูดของริวทำให้ลูคัสขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ทว่าเจอรัลด์ที่ยืนฟังอยู่ถึงกับเบิกตากว้างแล้วรีบแย้งออกไป

        “คุณริว! เดี๋ยวก่อน! คุณคงไม่...”

        ริวหันมายิ้มน้อย ๆ ให้เจอรัลด์ ทำเอานักประดิษฐ์หนุ่มพูดอะไรไม่ออก จากนั้นหนุ่มญี่ปุ่นก็หันไปทางลูคัสแล้วบอกกับอีกฝ่าย

        “กลับไปที่สำนักงานกันเถอะครับ...”

        ริวบอกแล้วจึงเดินนำไป ทางด้านจาค็อบทำเหมือนจะห้ามไม่ให้ลูคัสตาม เพราะรู้สึกไม่ไว้วางใจในตัวริวนัก เนื่องจากสืบทราบมาว่าอีกฝ่ายนั้นเคยเป็นอดีตนักพรตองเมียวมาก่อน และยังมีวิชาอาคมแปลก ๆ ที่สามารถทำร้ายคนธรรมดาได้อีกด้วย

        “ไม่เป็นไร จาค็อบ...ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า เขาจะเลือกทางที่จะไม่ทำให้คีโอต้องเสียใจ ให้ฉันได้เห็นแบบไหน”

       

        เจอรัลด์มองตามคนที่เดินไปอย่างเวทนา เสียงอเล็กซ์ที่ดังขัดขึ้นทำให้เขาชะงักงัน

        “ทำไมคุณริวต้องเสียสละขนาดนี้ด้วยล่ะครับ ทั้งที่เขาสามารถใช้อาคมบังคับเปลี่ยนใจคุณพ่อของคุณกีรติได้เลยด้วยซ้ำ” 

         เจอรัลด์ถอนหายใจเบา ๆ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดแบบอเล็กซ์ แต่เขาก็รู้ดีว่าริวจะไม่ทำแบบนั้นแน่  หนุ่มญี่ปุ่นหยิ่งในศักดิ์ศรีและรักกีรติมาก เสียจนไม่อาจจะลงมือใช้วิธีอันเห็นแก่ตัว ทำให้ความรักของตนสมหวังได้

        “คุณริวเป็นคนแบบนี้ล่ะอเล็กซ์ ...และเพราะเขาเป็นคนแบบนี้ ก็เลยทำให้คุณกีรติสนใจและให้ความสำคัญกับเขามากยิ่งกว่าใครในหมู่บ้านนี้ยังไงล่ะ”

        เจอรัลด์พึมพำตอบ เขาเดินตามพวกริวไปแต่เลือกที่จะเข้าไปทางประตูด้านหลังสำนักงาน โดยตั้งใจไปหาแฟนธอมเพื่อคอยปลอบโยนภายหลัง  เพราะเจอรัลด์มั่นใจว่า แฟนธอมนั้นจะต้องรู้สึกเจ็บปวดต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ของริวไปด้วยเป็นแน่

       

        อีกด้านหนึ่งภายในสำนักงานหมู่บ้าน กีรตินั้นถึงกับสะดุ้งนิด ๆ ด้วยความตกใจ เมื่อเห็นริวเดินเปิดประตูเข้ามา โดยมีลูคัสเดินตามมาด้วย

        “คุณริว...”

        “กี...ขอโทษนะ เพราะผมแท้ ๆ ถึงทำให้คุณต้องปวดใจแบบนี้”

        ริวเดินมาทรุดตัวชันเข่าต่อหน้าอีกฝ่าย ทำให้กีรติน้ำตาคลอก่อนจะสะอื้นตอบ

        “ไม่ใช่ความผิดของคุณริวหรอกครับ...แต่ผิดที่ผมเองต่างหาก...ผิดที่ผมไม่อาจจะเลือกตัดใจได้ทั้งจากคุณ จากครอบครัว และจากประเทศ...ผมขอโทษครับคุณริว...ขอโทษจริง ๆ”

        เสียงสะอื้นและคำพูดขอโทษของคนรัก ทำเอาริวปวดแปลบไปทั้งหัวใจ เขาเหลือบไปมองลูคัสแวบหนึ่งก็ทันได้เห็นแววตาเฉยชานั้นฉายแววเจ็บปวดไม่ต่างกัน และนั่นจึงทำให้ริวชะงักงัน ก่อนจะหลุบตาลงพลางยิ้มเศร้า ๆ ให้กับตัวเอง  จากนั้นหนุ่มญี่ปุ่นจึงหันกลับมาหาคนที่นั่งอยู่ แล้วบอกกับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

        “กี...คุณเชื่อไหมว่าผมรักคุณมาก ...รักมาจากหัวใจ รักโดยไม่สนว่าคุณจะเป็นใคร มีฐานะอะไร”

        กีรติสบตาริวพลางพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพึมพำตอบ

        “ผมรู้ครับ...ผมเองก็รักคุณมาก ...รักจนลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร...และมีหน้าที่อะไรต้องรับผิดชอบ...ผมอยากเป็นนายกีรติ...เป็นคนธรรมดา ที่ทำหน้าที่เป็นยามประจำหมู่บ้านมีสุขแห่งนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ...แต่ผม...แต่ผมก็ทิ้งครอบครัว...ทิ้งผู้คนที่ลาซาไปไม่ได้...”

        ริวถอนหายใจยาว แล้วจึงเอื้อมมือไปลูบใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนรักอย่างทะนุถนอม

        “ผมเองก็ยอมให้คุณทำแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน...ผมรักคุณนะกีรติ ...และเพราะรักมาก จึงต้องตัดสินใจทำแบบนี้”

        กีรติสบตากับอีกฝ่ายอย่างงุนงง ก่อนจะอุทานเบา ๆ อย่างตกใจ เมื่ออีกฝ่ายยกมือขึ้นอังหน้าของตน

        “นั่นคุณจะทำอะไรเจ้าชายน่ะ!”

        จาค็อบขยับจะไปขวางอย่างตกใจเมื่อเห็นฝ่ามือของริวปรากฏแสงเรืองรองขึ้น ทว่าลูคัสนั้นกลับยกมือห้ามเอาไว้

        “ปล่อยเขาจัดการธุระของเขาให้เรียบร้อยเถอะจาค็อบ พวกเราคอยดูอยู่เงียบ ๆ จะดีกว่า”

        ลูคัสเปรยบอกเรียบ ๆ มาถึงจุดนี้เขาที่รับรู้ข้อมูลประวัติของริวมาก่อนหน้านั้นไม่แตกต่างจากองครักษ์คนสนิท ก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าริวต้องการทำอะไรกันแน่

        “คุณริว...หรือว่าคุณจะ...”

        กีรติที่เอะใจต่อการกระทำและคำพูดของทุกฝ่ายเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาพยายามจะขยับหนี แต่ก็ดูเหมือนเรี่ยวแรงของเขาจะหดหายไป หนังตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าของริวก็เริ่มเลือนหายไปจากอนุสติทีละน้อย

        “ไม่นะครับ...ไม่เอานะคุณริว...ผมรักคุณนะครับ...ผมรักคุณ...ผมไม่อยากลืมคุณ...ไม่อยาก...”

        กีรติหลับลงไปพร้อมกับหัวใจซึ่งปวดร้าวเจียนแตกสลายของผู้ใช้อาคมที่ต้องทำให้คนรักลืมเลือนตนด้วยมือของตัวเอง

        “ขอโทษนะกี...ผมไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว...”

        ริวพึมพำแล้วยกมือของอีกฝ่ายขึ้นจูบแผ่วเบา ภาพที่เห็นทำให้พวกเวธน์ต้องเบือนหน้าหนีอย่างนึกสงสาร

        “ผมขอคืนกีรติให้กับท่าน...เขาจะจดจำเรื่องของผมและเรื่องของหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้อีก ...และถ้าไม่จำเป็นท่านก็อย่ากระตุ้นให้เขานึกได้จะดีที่สุด...เพราะผมไม่อยากให้เขาต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว”

        ริวที่ยังคงนั่งคุกเข่าก้มหน้าบอกกับลูคัสโดยไม่หันกลับไปมองอีกฝ่าย ทั้งหมดอยู่ในความเงียบชวนอึดอัดอยู่พักใหญ่ ริวจึงยันกายลุกขึ้น แล้วเดินออกจากสำนักงานหมู่บ้านไปโดยไม่พูดจากับใครทั้งสิ้น

        “ผมคงต้องพาคีโอกลับประเทศก่อน...ไว้คราวหน้า ผมจะหาเวลามาขอบคุณเรื่องคีโอ อย่างเป็นทางการอีกครั้ง”

        ลูคัสบอกกับเวธน์แล้วเดินตรงไปอุ้มร่างของบุตรชายที่หลับไปทั้งน้ำตา ก่อนจะหันมาพยักหน้าเป็นเชิงอำลาเจ้าของที่ดินหนุ่มอีกครั้ง ทางด้านจาค็อบนั้นยืนโค้งให้กับพวกเวธน์แล้วตามผู้เป็นเจ้านายไปติด ๆ

 

         พอลับร่างพวกลูคัสไปแล้ว เวธน์จึงค่อย ๆ เดินไปทิ้งตัวทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง โดยที่ปาลินนั้นตามไปนั่งใกล้ ๆ และโอบกอดคนรักอย่างปลอบโยน

        “...ทำไมคุณริวถึงต้องเลือกวิธีที่ทำร้ายทั้งตัวเองและทำร้ายคนที่เขารักแบบนี้ด้วยนะ...ทั้งสองคนนั่นไม่ควรจะต้องจากกันแบบนี้เลยแท้ ๆ”

        เวธน์พึมพำแผ่วเบาแล้วพิงศีรษะลงกับอกกว้างของปาลินอย่างไม่สนใจว่าจะมีใครมองมาหรือไม่

        “...ผมเชื่อนะครับว่า ต่อให้เป็นอาคมที่รุนแรงร้ายกาจสักเพียงใด...แต่มันก็ไม่อาจที่จะลบความรักแท้ของคนเราให้เลือนหายไปจากหัวใจได้อย่างแน่นอน”

        คำพูดของปาลินทำให้เวธน์นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มมีรอยยิ้มให้เห็น  ทางด้านกรกฎยืนมองคนทั้งสองอยู่เงียบ ๆ โดยไม่คิดเข้าไปร่วมสนทนาด้วย  ทว่าสักพักเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ จากห้องของแฟนธอม พร้อมกับเสียงปลอบโยนอันคุ้นเคยจากเจอรัลด์ที่ดังแว่วมาให้ได้ยิน 

         เลขาหนุ่มลอบถอนหายใจ เมื่อรู้สึกว่าตนเริ่มเป็นส่วนเกินในที่นี้ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเลี่ยงออกไปด้านนอกสำนักงาน ทว่าพอได้เห็นป้อมยามประจำหมู่บ้านเขาก็ต้องใจหาย  เพราะนับตั้งแต่นี้ไป เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มแจ่มใส จากคนที่อยู่เฝ้าประจำป้อมในช่วงเช้านั่นอีกแล้ว

        “...คุณกีรติ ผมเองก็เป็นอีกคน ที่คาดหวังว่าคุณจะไม่ลืมคุณริว...ไม่ลืมพวกเราทุกคนที่นี่... และเมื่อวันนั้นที่คุณจดจำทุกอย่างได้ทั้งหมด...คุณจะสามารถตัดใจทิ้งทุกอย่างที่นั่น และกลับมาหาคนที่เสียสละเพื่อคุณคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง...”

        กรกฎพึมพำแล้วก็หัวเราะหยันตัวเอง ทั้งความคิดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ และความเห็นแก่ตัวที่อยากให้อีกฝ่ายตัดใจทิ้งบ้านเกิด และเลือกใช้ชีวิตธรรมดาในแบบเดิมที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นแทน

        “ช่วยไม่ได้ ...ก็เราเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปนี่นะ ...จะอิจฉาบ้าง จะเห็นแก่ตัวบ้าง... มันจะแปลกอะไร”

        กรกฎเปรยบอกตัวเอง แล้วตัดสินใจเดินตรงไปยังซอยสอง อันเป็นที่ตั้งของบ้านพักแพทย์ประจำหมู่บ้าน  อย่างน้อยแม้เจ้าของบ้านจะคอยกวนประสาทและชอบพูดจาให้เขาโมโหอยู่ประจำ  แต่หมอหนุ่มก็เป็นเพียงคนเดียวที่เขาสามารถพูดระบายทุกเรื่องได้โดยไม่ต้องเก็บงำความรู้สึกของตนเอาไว้ อย่างที่เขามักเป็นอยู่เสมอต่อหน้าคนอื่น


... TBC ...
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-11-2013 22:32:27
...ขนาดอ่านทบทวน ก็ยังมีอุปสรรคมาขัดสมาธิประปราย ...ถ้าพบเจอคำผิดหรือประโยคประหลาดหลุดรอดไป ปัดต้องขออภัยด้วยนะคะ ... :mew2:



บทที่ 30



         กีรติลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง เขามองไปรอบ ๆ แล้วก็ต้องนิ่วหน้าอย่างแปลกใจต่อสถาปัตยกรรมของลายผนังและเครื่องเรือนตกแต่งภายในห้อง

        “ที่ไหน...ทำไมรู้สึกคุ้น ๆ ตาจัง”

        ชายหนุ่มร่างเล็กยันกายลุกขึ้นจากเตียงนุ่ม แล้วเดินตรงไปยังหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกก็เห็นท้องทะเลกว้างงดงามชินตา เจ้าตัวขมวดคิ้วยุ่ง แล้วพึมพำออกมาแผ่วเบา

        “ลาซา...ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ...ก็เรา...”

        กีรติเอ่ยค้างไว้ แล้วก็ต้องนิ่วหน้า เมื่อเขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น

        “ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้เลยนะ...”

        กีรติพึมพำแผ่วเบา แล้วจึงค่อย ๆ ไล่เรียงเหตุการณ์เท่าที่เขาพอจะจดจำได้ก่อนหน้านั้น 

         “....ก่อนหน้านั้นซุปเปอร์มาเก็ตปิดตัว...เราต้องออกจากงาน ...แล้วก็ได้งานใหม่...แล้วเราก็ได้เจอกับเขา...เขาคนนั้น...ใครกัน...”

        ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนในสมองมีม่านหมอกขาวลอยมาปิดบัง  กีรติพยายามจะคิดต่อ ทว่าเขากลับรู้สึกปวดหัวจนถึงกับต้องทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากุมศีรษะเอาไว้ ทำเอาโนอาที่เข้ามาเยี่ยมพี่ชายคนโตพร้อมน้องสาว เบิกตากว้างด้วยความตกใจ และรีบวิ่งตรงเข้าไปหาร่างเล็กทันที

        “คี! เกิดอะไรขึ้น! เป็นอะไรไป!”

        “โนอา! เดี๋ยวหนูจะไปตามหมอมาให้นะคะ!”

        เด็กสาวผมทองหยักศกหน้าตางดงามละม้ายคล้ายกับเด็กหนุ่ม รีบบอกกับพี่ชายของเธอ

        “เร็ว ๆ เข้านะเอวา!”

        “ค่ะ! หนูจะรีบมารีบไป!”

        เด็กสาวรีบบอกแล้ววิ่งพรวดพราดออกไปนอกห้องจนแทบจะชนกับนางกำนัลที่เดินเข้ามาดูในห้องด้วยความตกใจต่อเสียงเอะอะที่เกิดขึ้น

        “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านโนอา...ตายจริง! ท่านคีโอเป็นอะไรไปเจ้าคะ ดูหน้าซีดมากเชียว...  อ๊ะ! เดี๋ยวดิฉันจะรีบไปตามหมอให้นะเจ้าคะ!”

        “ไม่ต้อง...เอวาออกไปตามหมอมาให้แล้ว...”

        โนอาพึมพำบอก พลางกอดพี่ชายแน่นด้วยความสงสาร

        “อย่าคิดอะไรอีกเลยคี...ถ้าหากจำได้ คีก็มีแต่จะต้องเจ็บปวดอีกเท่านั้นเอง”

        “...โนอา...ทำไมพี่ถึงนึกอะไรไม่ออก...ทั้ง ๆ ที่พี่อยากนึกออกเหลือเกิน...คน ๆ นั้น...เขาเป็นใครกันหรือโนอา...เขายิ้มเศร้า ๆ ให้พี่...แล้วเขาก็หายไป...ใครกัน...คุณเป็นใครกันแน่...”

        กีรติพึมพำถามน้องชาย น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้จะปวดหัวมากก็จริง ทว่าภายในใจมันกลับยิ่งเจ็บมากกว่าหลายเท่า กีรติรู้ดีว่ามันไม่ใช่อาการทางร่างกาย แต่เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่ามันเกิดจากสาเหตุใด

        “คี...”

        แม้จะรู้ความจริงจากบิดามาแล้ว แต่โนอากลับพูดอะไรไม่ออก เขาสงสารพี่ชายจับใจ และสงสารริวที่ทำเพื่อพี่ชายของตน  เด็กหนุ่มไม่อยากให้กีรติจำได้ เพราะถึงยังไงสุดท้ายทั้งกีรติกับริวก็ต้องพรากจากกันอยู่ดี 

        “คีโอ! เป็นอะไรไปน่ะ! โนอา! พี่เขาเป็นอะไรไป!”

        ไรอันที่ตั้งใจมาเยี่ยมหลานชายและสวนเข้ากับเอวา รีบวิ่งพรวดพราดมาดูหลานชายคนโตอย่างตกใจ 

        “ท่านอา...ผมสงสารคี...ทำไมล่ะ...ท่านพ่อไม่สงสารคีบ้างหรือ...สำหรับท่านพ่อแล้ว...ประเทศสำคัญกับท่านพ่อ เสียยิ่งกว่าความรู้สึกของลูกชายตัวเองอย่างนั้นหรือครับ”

        โนอาสะอื้นบอกกับอาของเขา ทำเอาไรอันถึงกับชะงัก พูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง เจ้าตัวเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

        “โนอา...พ่อของหลานไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ...เขารักพี่ชายของหลานมาก...อารู้ดี”

        เด็กหนุ่มเงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วย้อนถามกลับไปทั้งน้ำตา

        “รักหรือครับ...การที่คีต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะความรักของท่านพ่ออย่างนั้นสินะครับ”

        ไรอันเงียบกริบ และก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นหน้าห้องพัก

        “ไรอัน...พาคีโอมาที่เตียงสิ  ท่านหมอจะได้ตรวจอาการเขา”

        น้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกใด ๆ ดังขึ้น ทำให้ทั้งโนอาและไรอันต่างหันขวับไปยังต้นเสียง ข้างกายลูคัสนั้นมีหมอหลวงชราและเอวายืนอยู่ด้วย ทั้งคู่นั้นมีสีหน้าลำบากใจและเป็นกังวล เพราะต่างก็ได้ยินในสิ่งที่โนอาสนทนากับไรอันอย่างชัดเจน

        “ท่านหมอ...เชิญข้างในได้แล้ว”

        ลูคัสหันมาบอกกับชายชราข้างกายเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบโค้งรับแล้วเดินไปที่เตียงซึ่งตอนนี้ไรอันนั้นอุ้มร่างของกีรติมานอนเรียบร้อย

        “คีโอ...อาการเป็นอย่างไรบ้าง...ปวดหัวมากอย่างนั้นหรือ”

        ลูคัสนั่งข้างที่เตียงของบุตรชายคนโต แล้วลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน จนโนอาที่มองอยู่ต้องเบือนหน้าไปอีกทาง เพราะรู้ดีว่าบิดาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ หากแต่ทำลงไปเพราะรักและห่วงใยพี่ชายของตนอย่างแท้จริง

        “ท่านพ่อครับ...ผมพยายามนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้น...แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ...ทำไมผมถึงกลับมาลาซาได้...เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมออกจากงานหรือครับ...เท่าที่จำได้เลือนราง ผมน่าจะกำลังได้งานใหม่...มีใครบางคนรับผมเข้าทำงาน...แต่ผมกลับนึกไม่ออกว่าเป็นงานอะไร...”

        กีรติพูดเหมือนเพ้อ นัยน์ตาเหม่อลอยมองเพดาน ภาพนั้นทำให้ไรอันเองยังรู้สึกเวทนาหลานชายจนไม่อาจทนมองต่อได้

        “ลูกก็แค่ฝันไป...ฝันยาวนานเสียจนทำให้ลูกสับสนเท่านั้น...”

        ลูคัสบอกขณะลูบศีรษะบุตรชายแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน

        “ฝันหรือครับ...นั่นสินะ...คงเพราะเป็นฝัน เวลาตื่นมาถึงจำอะไรไม่ได้เลย...”

        กีรติพึมพำ ชายหนุ่มค่อย ๆ หลับตาลง และบอกกับบิดาทั้งที่ยังคงไม่ลืมตา

          “ผมจำไม่ได้ก็จริง...แต่ในความฝันนั้น...มีใครบางคนยิ้มให้ผม...พอได้เห็นเขา ผมก็รู้สึกเป็นสุขมาก...แต่ทั้ง ๆ ที่สุขขนาดนั้น...ทำไมหัวใจของผม มันถึงได้เจ็บเหลือเกิน...ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยครับ...ท่านพ่อ....”

        เสียงลมหายใจค่อย ๆ ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอจากร่างที่หลับไปแล้ว ลูคัสใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาของบุตรชายแผ่วเบา แล้วปล่อยให้หมอหลวงตรวจอาการของกีรติต่อ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าสุขภาพของอีกฝ่ายนั้นปกติดี 

        “ถ้าไม่ทำให้เขาฝืนนึก ก็จะไม่เกิดอาการแบบนี้อีก...หวังว่าพวกเธอคงจะมีวิธีพูดปลอบหรือเบี่ยงเบนสถานการณ์ที่ดีกว่าครั้งนี้นะ”

        ลูคัสหันไปบอกบุตรชายคนรองและบุตรสาวคนเล็ก ซึ่งโนอาก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างต่อต้าน ส่วนเอวานั้นพยักหน้ารับรู้น้อย ๆ แต่ก็ยังคงเหลือบมองพี่ชายคนโตอย่างนึกสงสาร

        “พี่ครับ...มันไม่มีทางเลือกทางอื่นที่ดีกว่านี้ อีกแล้วหรือครับ”

        ไรอันท้วงพี่ของตนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ การกระทำของริวแสดงให้เห็นถึงความรักที่อีกฝ่ายมีต่อหลานชายของเขาเป็นอย่างดี และอาการที่กีรติเป็นอยู่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ความรักระหว่างทั้งคู่นั้นเป็นรักแท้ต่อกัน แม้กระทั่งจะถูกลบเลือนความทรงจำไป แต่หัวใจของกีรติก็ยังคงคิดถึงริวอยู่เสมอ   

        “น้องอาจจะคิดว่าพี่โหดร้ายกับคีโอมากก็จริง...แต่คีโอถูกกำหนดชะตาชีวิตมาตั้งแต่ก่อนเขาเกิดแล้ว... ประเทศต้องการราชา และคนเป็นราชาก็ควรต้องทุ่มเทเสียสละให้กับประเทศยิ่งสิ่งอื่นใด...คีโออาจจะโชคร้าย เมื่อความรักที่เขาเลือกนั้นสวนทางกับหน้าที่ซึ่งเขาต้องรับผิดชอบ ...แต่ในความโชคร้ายนั้นก็ยังคงมีความโชคดี เพราะคนรักของคีโอรักเขามาก...มากพอที่จะเสียสละเพื่ออนาคตของคนที่ตนรักได้”

        ลูคัสมีใบหน้าอ่อนโยนลงชั่วขณะเมื่อเอ่ยถึงคนรักของบุตรชาย ก่อนจะกลับกลายมาเป็นเคร่งขรึมตามเดิมหลังจากนั้น   

        “พี่ฝากน้องเฝ้าดูอาการของคีโอเอาไว้ให้ดี ๆ ในช่วงนี้ ...แต่ถ้าเขายังคงไม่หาย บางทีพี่อาจจะต้องพึ่งเพื่อนของน้อง ให้ช่วยจัดหานักพรตองเมียวฝีมือดีสักคน มาช่วยเหลือเรื่องนี้ก็เป็นได้...”

        ลูคัสเอ่ยทิ้งท้าย และนั่นก็ทำให้โนอาหันขวับมามองบิดาด้วยแววตาวาวโรจน์

        “ท่านพ่อยังจะคิดทำอะไรกับความทรงจำของคีไปมากกว่านี้อีกหรือครับ!”

        “โนอา! อย่าขึ้นเสียงกับพ่อของหลานแบบนั้นสิ!”

        ไรอันรีบปราม เพราะถึงแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นพ่อลูกกัน แต่ลูคัสก็ยังเป็นถึงราชาผู้อยู่บนจุดสูงสุดของประเทศอยู่ดี

        “ไม่เป็นไร...ปล่อยเขาพูดไปเถอะไรอัน”

        ลูคัสยังคงนิ่งเฉย ส่วนไรอันนั้นเริ่มลังเลว่าจะทำเช่นไร ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเอวาดึงแขนเสื้อของเขาเบา ๆ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวว่าบิดาจะโกรธและลงโทษโนอาอีกคน

         “...ใจเย็น ๆ เอวา ไม่มีอะไรหรอก ...พวกเราไปรอข้างนอกกันดีกว่านะ”

        ไรอันปลอบหลานสาวแล้วเหลือบมองพี่ชายของเขา ทางด้านลูคัสนั้นพยักหน้าเล็กน้อยเห็นดีด้วยตามนั้น  และเมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงแต่โนอากับลูคัส และกีรติที่นอนหลับอยู่

        “ท่านพ่อ...บอกผมได้ไหม  สำหรับท่านพ่อแล้ว อะไรสำคัญกับท่านพ่อมากกว่ากัน ...ประเทศ...หรือลูกอย่างพวกผม”

        โนอาถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ทั้งที่เขาเองนั้นก็พอจะรู้คำตอบล่วงหน้าอยู่แล้ว ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงอยากเสี่ยงที่จะฟังอยู่ดี

        “โนอา...พ่อเข้าใจในความรู้สึกของลูกยามนี้ดี...ถ้าพ่อเป็นเพียงพ่อคนหนึ่ง ไม่ใช่ราชาของประเทศ พ่อก็คงพร้อมจะทำทุกสิ่งให้ลูกของพ่อทุกคนมีความสุข... แต่เพราะพ่อเป็นราชา สิ่งที่พ่อจะเลือกจะตัดสินใจ จึงต้องคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก ...แม้ว่านั่นมันจะทำให้ลูก ๆ ของพ่อ ต้องเจ็บปวดสักเพียงใดก็ตาม”

        โนอายืนนิ่งเงียบ น้ำตาไหลอาบแก้ม ...ทั้งที่รู้ดีว่าจะต้องได้ยินในสิ่งนี้ แต่เขาก็ยังคงคาดหวัง แม้จะรู้ว่ามันคงไม่มีทางสมหวังได้เลยก็ตาม

        “ผมเข้าใจแล้วครับ...เข้าใจแล้ว...”

        โนอาพึมพำตอบรับแล้วเดินออกจากห้องไป จนเกือบจะชนกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินสวนเข้ามา

        “ท่านแม่...”

        “โนอา เป็นอะไรไปลูก...ร้องไห้ทำไม ทะเลาะกับพ่อเขาอีกแล้วหรือจ๊ะ”       

        หญิงสาวผู้มีผมทองยาวสลวยและมีใบหน้างดงามปราณี ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนส่งให้บุตรของเธอ ทว่าโนอากลับเม้มปากน้อย ๆ แล้วสั่นศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเดินหนีไปโดยไม่พูดไม่จา  ทำให้ไรอันกับเอวาต้องรีบเร่งตามเด็กหนุ่มไปติด ๆ ด้วยความเป็นห่วง

        “ท่านพี่...”

        ราชินีแห่งลาซาเดินเข้ามาภายในห้อง หญิงสาวยืนเงียบ ๆ จ้องมองคนรักที่ยืนนิ่งเฉยเย็นชาอยู่พักใหญ่ แล้วจึงหลุดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เมื่ออีกฝ่ายยอมละทิ้งบทบาทของราชาและกลับมาเป็นสามีของเธออีกครั้ง 

        “พี่ทำให้ลูก ๆ ต้องทุกข์ใจอีกแล้ว อิซาเบล”

        “ทำไมท่านพี่ถึงไม่ให้โนอารับตำแหน่งรัชทายาทแทนคีโอเล่าคะ ถ้าเป็นเช่นนั้น คีโอเองก็จะได้เป็นอิสระอย่างที่โนอาคาดหวังเอาไว้ด้วย”

        อิซาเบลตัดสินใจเสนอความคิดของเธอให้อีกฝ่ายรับรู้ ทว่าลูคัสที่ได้ยินกลับถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

        “...แต่โนอาก็ต้องมาแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นี้แทนคีโอไม่ใช่หรืออิซาเบล...”

        คำตอบของผู้เป็นสามีทำให้ราชินีแห่งลาซาถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ทางด้านลูคัสนั้นมีสีหน้าเศร้าหมองลงก่อนจะเอ่ยต่อมา

         “...จริงอยู่ หากพี่เสนอเงื่อนไขนี้ไป โนอาก็คงจะรีบตอบรับคำอย่างยินดีโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ...แต่ว่าการเป็นเจ้าชายรัชทายาท มันไม่ใช่ว่าคิดอยากจะเป็น มันก็เป็นได้เลยหรอกนะ อิซาเบล... คนที่เติบโตมาอย่างอิสระ และชอบที่จะท่องเที่ยวเดินทางไม่อยู่กับที่อย่างโนอา...ตำแหน่งรัชทายาทนั้นจะกลับกลายเป็นเหมือนโซ่ตรวนจองจำเขาเสียมากกว่า...”

        ลูคัสนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงสบตากับภรรยาของเขา ด้วยแววตาที่เศร้าหมองยิ่งกว่าครั้งใด

         “...อิซาเบล พี่ทำร้ายจิตใจคีโอมามากพอแล้ว ...พี่ไม่อยากทำร้ายโนอาเพิ่มอีกคน”

        ราชินีแห่งลาซาถึงกับน้ำตาซึมเมื่อได้ล่วงรู้ความในใจของผู้เป็นสามี เพราะความห่วงใยและสงสารลูก จึงทำให้ตัวเธอเองนั้นเกือบหลงลืมไปว่า ผู้ชายตรงหน้าเธอคนนี้ เนื้อแท้แล้วเป็นคนที่แสนจะอ่อนโยนและมีแต่ความปรารถนาดีต่อลูก ๆ ของเธอเสียยิ่งกว่าผู้ใด

         “ท่านพี่คะ...มันต้องมีหนทางสักทาง ที่จะทำให้พวกเราทุกคนมีความสุข...น้องเชื่อเช่นนั้นค่ะ”

        หญิงสาวทำได้เพียงกอดปลอบคนรักให้คลายเศร้าเพียงเท่านั้น หากแต่พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอันสั่นเครือของบุตรชายคนรองดังขึ้นมาจากหน้าประตูห้อง

        “ท่านพ่อ...ผม...”

        โนอาที่หวนกลับมาเพื่อตั้งใจจะขอโทษมารดาเรื่องที่เขาทำเสียมารยาทเดินหนีไปก่อนหน้านั้น แต่พอมาถึงห้องเขากลับได้ยินในสิ่งที่ทำให้เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก  เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดระคนตื้นตัน เมื่อได้รับรู้ว่าบิดารักและปรารถนาดีต่อเขาเพียงใด 

        “โนอา...ทำไมลูกถึงมาอยู่ที่นี่ได้...”

        ลูคัสถามบุตรชายคนรองเสียงแผ่วอย่างตกใจ โนอาไม่ได้ตอบในทันที เด็กหนุ่มเดินตรงเข้ามาในห้อง แล้วตรงโผเข้ากอดบิดาแน่น

        “ท่านพ่อ...ผมขอโทษ...ขอโทษที่ผมเคยพูดจาล่วงเกินท่านพ่อ...และเข้าใจผิดท่านพ่อมาตลอด...ฮึก...”

        ลูคัสนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วจึงค่อย ๆ สวมกอดตอบบุตรชายของเขาอย่างอ่อนโยน

        “โนอา...พ่อไม่เคยโกรธลูกในเรื่องนั้นแม้แต่น้อย...เพราะพ่อรู้ดีว่า ลูกรักพี่ของลูกมากเพียงใด...และพ่อก็ดีใจมากที่พวกลูกพี่น้องรักใคร่สามัคคีกันดีเช่นนี้”

        โนอากอดตอบอีกฝ่ายแน่นขึ้นกว่าเดิม ภาพของสองพ่อลูกทำให้อิซาเบลน้ำตาคลออย่างปลื้มใจ แล้วจึงสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อจู่ ๆ บุตรสาวคนเล็กที่เดินตามพี่ชายมาด้วยกันและได้ยินเรื่องทั้งหมด ก็ตรงเข้ามาโผกอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับสะอื้นค่อย ๆ ด้วยความดีใจที่เห็นพี่ชายกับบิดาเข้าใจกันได้สักที

        “ผมคิดเอาไว้ไม่ผิด...ท่านพี่เองก็ไม่อยากยึดอิสระมาจากโนอาเหมือนกันสินะครับ”

        ไรอันที่ตามหลานทั้งสองกลับมาด้วยกัน เอ่ยขึ้นแผ่วเบา และนั่นจึงทำให้โนอารู้สึกตัว เขาผละออกมาจากอ้อมกอด ก่อนที่จะเงยหน้าสบตากับบิดา แล้วโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงดังชัดเจน

        “ท่านพ่อครับ! ผมพร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่างแทนคี...ผมจะเป็นรัชทายาทแทนท่านพี่เองครับ!”

        “แต่โนอา...แค่คำพูด มันก็ไม่ได้ทำให้ลูกสามารถแทนที่คีโอได้เลยหรอกนะ ...ลูกเข้าใจใช่ไหม”

        โนอาชะงักต่อคำพูดของบิดา เขารู้ดีว่าแม้ลูคัสจะเป็นราชาของประเทศก็ตาม ทว่าการเปลี่ยนรัชทายาทนั้น ก็ไม่อาจอาศัยเพียงแค่การตัดสินใจของลูคัสผู้เดียวได้

        “ผมจะทำให้ทุกคนในลาซาได้เห็นว่าผมเหมาะสมเองครับ! ท่านพ่อกรุณาให้โอกาสกับผมและคีด้วยเถิดนะครับ!”

        ลูคัสจ้องมองแววตาหนักแน่นจริงจังของบุตรชายคนรองอยู่สักพัก แล้วจึงหลุดถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาในที่สุด

        “ก็ได้...พ่อจะรับไว้พิจารณาดู”

        โนอาเบิกตากว้าง แล้วโผเข้ากอดบิดาแน่นอีกครั้งด้วยความยินดี จากนั้นจึงรีบวิ่งไปหาพี่ชายซึ่งกำลังนอนหลับลึกไม่รู้เรื่องราวอยู่บนเตียง พลางนั่นลงข้าง ๆ แล้วลูบศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา

        “คี...ดีใจด้วยนะ คีจะได้กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้ง...จะได้กลับไปหาคนที่คีรักที่สุดคนนั้นอีกยังไงล่ะ...หัวใจของคียังคงจำเขาได้ใช่ไหม...”

        โนอาแย้มยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่หลับอยู่มีรอยยิ้มคล้ายกับกำลังมีความสุข  เด็กหนุ่มยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อบิดา มารดา น้องสาวและผู้เป็นอา เข้ามาล้อมวงนั่งรอบพี่ชายของเขา เสียงหัวเราะพูดคุยที่ไม่ได้ยินมานานในหลายวันที่ผ่านมา ทำให้องครักษ์และนางกำนัลที่ยืนรออยู่นอกห้องต่างหันมาสบตาแล้วยิ้มให้กันด้วยความยินดี 



... TBC ...

ตอนหน้าจบแล้วจ้ะ...^^

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 16-11-2013 22:48:32
 :m15: สงสารทุกคน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 16-11-2013 22:59:03
ในที่สุดก็มีทางออก รอตอนหน้าค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 16-11-2013 23:40:17
สงสารโนอาจะได้คู่ครองแบบปกติหรือแบบชายชาย
อยากให้มีคู่ครองแบบปกติเพราะจะได้ไม่ต้องลำบากใจ
คนเขียนนนน อย่าพึ่งรีบจบซิคะ ยังเหลืออีกหลายคู่ ทั้งของคุณหมอประจำหมู่บ้านกับคุณผู้ช่วย แล้วก็นักเขียนนิยายจอมเพ้อกับคนขายของ
รออยู่นะคะสู้ๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-11-2013 23:41:50
บทที่ 31
บทสรุป



        หลังจากได้ดูภาพรูปถ่ายของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ประกอบกับได้รับฟังน้องชายเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ทราบ ก็ทำให้กีรติเริ่มนึกบางอย่างเลือนราง  ขึ้นมาได้  ชายหนุ่มอยากกลับไปเมืองไทยโดยเร็ววัน หากแต่ติดอยู่ที่ว่าต้องจัดการเรื่องส่งมอบตำแหน่งรัชทายาทแก่โนอาผู้เป็นน้องชายให้เรียบร้อยเสียก่อน

        “แหม…ดูคีอยากรีบกลับไปที่โน่นจริง ๆ นะ  เชอะ! รู้งี้ไม่รับตำแหน่งรัชทายาทแทนก็ดีหรอก!”

        โนอาที่แวะมานั่งกินน้ำชาตอนบ่ายกับพี่ชาย บ่นประชดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นกีรติหยิบภาพของหมู่บ้านมีสุขออกมาดูบ่อยครั้ง แถมยังกำพวงกุญแจกระจกประหลาดที่ติดมาจากเมืองไทยไว้ตลอดเวลาอีกต่างหาก

        “โนอา... ถึงตอนนี้ พี่ก็ยังรู้สึกทั้งขอบคุณ และรู้สึกผิดต่อน้องอยู่ไม่หาย... โนอา แบบนี้มันจะดีแน่หรือ พี่เองก็ดีใจนะที่จะได้กลับเมืองไทย แต่ว่า...”

        กีรติเอ่ยค้างอยู่แค่นั้น เพราะโนอาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอื้อมมือมาจับมือของตนไว้แน่น แล้วบอกด้วยสีหน้าจริงจังตามมา

        “คี...สำหรับผม ความสุขของคีก็คือความสุขของผม  จำไว้นะคี...ถ้าคีเสียใจ ผมก็จะยิ่งเสียใจมากกว่า”

        กีรติยิ้มรับอย่างตื้นตัน จากนั้นพวกเขาก็กลับมาพูดคุยกันถึงเรื่องผู้คนในหมู่บ้านมีสุขต่ออย่างเพลิดเพลิน และแม้ว่าชายหนุ่มจะจดจำอะไรไม่ได้ แต่ก็น่าแปลกที่เขานั้นกลับมีรอยยิ้มและรู้สึกเป็นสุขยามที่ได้รับฟังน้องชายเล่าถึงบรรดาผู้คนในหมู่บ้านแต่ละคน โดยเฉพาะเรื่องของหนุ่มญี่ปุ่น ยูกิมูระ ริว ผู้นั้น

 

         แม้ว่าทางด้านลาซา ปัญหาทุกอย่างจะเริ่มคลี่คลายลงไปแล้ว หากแต่ทางหมู่บ้านมีสุขที่เมืองไทยนั้น ตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาวะอึมครึมหดหู่ นับตั้งแต่ยามกะเช้าคนเก่าได้จากไป

        “คุณแฟนธอมครับ...ผมบอกแล้วไงครับ ว่าให้กลับไปพัก แค่อเล็กซ์ก็ดูแลหมู่บ้านได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”

        เจอรัลด์พยายามขอร้องให้คนรักพักผ่อน หลังจากที่เจ้าตัวควงสองกะติดต่อกันมากว่าสามวันแล้ว

        “ไม่ล่ะ...กลับไปก็นอนไม่หลับ...และที่สำคัญ ฉันก็ยังไม่อยากให้ใครรีบมาทำงานแทนที่เขาไวนักด้วย”

        แฟนธอมพึมพำตอบ ทำให้เจอรัลด์นึกสงสารและไม่กล้าฝืนใจพาอีกฝ่ายกลับ เพราะขืนทำเช่นนั้นแฟนธอมก็คงไม่ยอมพักผ่อนอย่างที่เขาอยากให้เป็นอยู่ดี

        “ถ้าอย่างนั้นสัญญากับผมนะ...ถ้าคุณไม่ไหวก็ต้องนอนพัก อย่าฝืนต่อ”

        “อือ...ฉันสัญญา”

        แฟนธอมรับคำสั้น ๆ ทำให้เจอรัลด์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงโอบศีรษะคนนั่งใกล้มาซบบ่าตัวเอง ซึ่งแฟนธอมก็ยอมทำตามอย่างว่าง่ายผิดเคย

        เจอรัลด์เหลือบมองคนรัก แล้วก็ลอบถอนหายใจอีกครั้ง เขาไม่แปลกใจเท่าใดที่เห็นแฟนธอมเป็นเช่นนี้ เพราะชายหนุ่มนั้นเอ็นดูและสนิทกับกีรติอยู่มาก  ขนาดอเล็กซ์ซึ่งเป็นเพียงระบบ AI ที่เขาสร้างขึ้น นับตั้งแต่กีรติจากไป เจ้าตัวก็เริ่มพูดคุยน้อยลง แม้จะยังคงปฏิบัติงานอย่างขยันขันแข็งเหมือนเดิมก็ตาม

        “แต่ถึงยังไงก็ยังไม่แย่เท่าคุณริวล่ะนะ...”

        เจอรัลด์พึมพำพลางนึกถึงเพื่อนบ้านของเขาที่เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้านพักมาตั้งแต่วันที่กีรติจากไป แม้กระทั่งการไปซื้อกับข้าวในทุกเช้าที่เคยทำตามปกติ หนุ่มญี่ปุ่นก็ยังให้เรนไปซื้อแทนตน เพราะไม่อยากคิดถึงความทรงจำที่มีร่วมกับกีรติในทุกวันก่อนหน้านั้นนั่นเอง

        “การเสียสละที่ทำให้ทั้งตัวเราและคนที่เรารักเป็นทุกข์  มันเป็นเรื่องดีจริง ๆ หรือครับ คุณแฟนธอม”

        นักประดิษฐ์หนุ่มกระซิบถามคนที่นอนพิงไหล่เขา ก่อนจะชะงักแล้วอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายผล็อยหลับไปเรียบร้อย เจอรัลด์ช่วยขยับท่าให้ชายหนุ่มนอนได้สบายกว่าเดิม แล้วจึงนั่งเป็นเพื่อนคนรักไปเรื่อย ๆ เช่นนั้น

         

        ในห้องรับแขกซึ่งผ้าม่านถูกปิดเอาไว้จนมืดสนิท โดยที่เจ้าของห้องไม่คิดจะเปิดไฟให้สว่าง  ภายในนั้นมีร่างสูงร่างหนึ่งนั่งเหม่อลอยพิงผนังห้องอยู่เงียบ ๆ พลางก้มมองพวงกุญแจบานกระจกในมือแล้วบีบมันเบา ๆ  อาคมที่ร่ายไว้เพื่อเชื่อมต่อระหว่างกระจกอีกบานถูกลบออกไป เพราะเกรงว่าหากเผลอใช้และได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเข้า เขาคงจะทนห้ามใจไม่ไหว และติดตามไปพาคนรักกลับ โดยไม่สนใจเรื่องความผิดชอบชั่วดีใด ๆ ทั้งสิ้น

        “กีรติ…ป่านนี้คุณจะเป็นยังไงบ้างนะ ...คงจะมีความสุขดีใช่ไหม”

        ริวยกบานกระจกขึ้นจูบแผ่วเบา โดยหวังให้ความคิดคำนึงของตนส่งไปถึงเจ้าของกระจกอีกบาน แม้จะไม่อาจแน่ใจได้ว่า กระจกบานนั้นจะยังคงถูกเก็บเอาไว้ข้างกายคนรักของตนอยู่อีกหรือไม่

         “ผมขอภาวนานะกี ...ขอให้คุณมีความสุขในทางที่คุณจะเลือกเดินต่อไปนี้ ...ถึงแม้คุณจะลืมผมไปแล้ว แต่ผมจะไม่มีวันลืมคุณ...และจะยังคงรักคุณตลอดไป…แม้ว่าคุณจะพบรักใหม่กับใครก็ตาม”

        ริวพึมพำกับตัวเอง แล้วนั่งต่อไปเงียบ ๆ โดยที่ชิโระซึ่งแอบมองอยู่นอกห้องกับคุไร ได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ทั้งคู่ได้รับการฝากฝังจากเรนให้ช่วยดูแลพี่ชายของตนด้วย แม้ว่าทีแรกเรนตั้งใจจะลาออกมาอยู่เป็นเพื่อนริวด้วยซ้ำไป แต่ก็ถูกริวห้ามเอาไว้เสียก่อน

        “สงสารริวนะ...แต่พวกเราก็คงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้นั่นล่ะ”

        ชิโระพึมพำแผ่วเบา แต่แรกนั้นเขาพยายามอยู่เป็นเพื่อนและชวนริวคุย ทว่ากลับได้รับการขอร้องด้วยสีหน้าเศร้า ๆ ว่าขออยู่เงียบ ๆ คนเดียว ทำเอาจิ้งจอกขาวพูดอะไรไม่ออก และจำต้องทำตามคำขอร้องนั้นอย่างขัดไม่ได้

        “...เรนเองก็เศร้ามากเหมือนกัน ที่เห็นพี่ชายเป็นแบบนี้”

        คุไรในร่างมนุษย์พึมพำตอบแล้วมีสีหน้าเศร้าซึมลงด้วยความสงสารเจ้านาย ทำให้ชิโระที่มองอยู่นิ่งเงียบไป จากนั้นสักพักจิ้งจอกขาวจึงบอกกับคนที่อยู่ข้างตน ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังขึ้นกว่าเดิม

        “พวกเราปล่อยให้ริวอยู่แบบนี้เถอะ...ตอนนี้เขายังเจ็บอยู่ ก็ปล่อยให้เขาทำใจไปก่อน ...ไว้เวลาผ่านไปสักพัก ริวก็คงรับรู้ได้เองว่า ยังมีคนอีกหลายคนที่เป็นห่วงเขาและเจ็บปวดไม่แพ้กัน เวลาเห็นเขาเป็นทุกข์แบบนี้ล่ะนะ!”

        ชิโระเอ่ยจบก็ชักชวนให้คุไรไปเดินเล่นด้านนอกด้วยกัน เพราะวันนี้ลมพัดเย็นสบายและแดดไม่แรงเท่าใดนัก ทว่าก่อนไปเจ้าตัวก็ยังคงเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ในห้องมืด ที่ยามนี้เริ่มขยับตัวให้เห็น  จิ้งจอกขาวสะบัดพวงหางค่อย ๆ อย่างพึงพอใจ ที่อย่างน้อยเจ้านายของตน ก็ยังคงมีสติรับรู้ถึงความเป็นจริงรอบด้านบ้าง

        “...ไม่ได้โดนชิโระสั่งสอนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ”

        ริวพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดม่านห้องรับแขกและบานประตูกระจกเลื่อนออก เพื่อให้ลมพัดเข้ามาในห้อง หนุ่มญี่ปุ่นสูดอากาศสดชื่นเข้าปอด และตัดสินใจลงมือทำความสะอาดบ้านพักที่ไม่ได้ทำมาหลายวันเป็นอย่างแรก

       

        บรรยากาศในหมู่บ้านมีสุขที่ไร้กีรติมาเป็นเวลากว่าอาทิตย์ ดูเงียบเหงาซึมเซาอย่างเห็นได้ชัด ทว่าการที่ริวนั้นเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และพูดคุยกับผู้คนในหมู่บ้านบ้าง รวมไปถึงอาสาอยู่เฝ้ายามกะเช้าแทนแฟนธอมด้วยนั้น ก็ทำให้แต่ละคนพากันโล่งอกและสบายใจขึ้นมาก

        “ริว...ได้เวลาเปลี่ยนกะแล้วนะ คุณไปพักได้แล้วล่ะ”

        แฟนธอมที่เดินมาพร้อมกับเจอรัลด์บอกกับหนุ่มญี่ปุ่นที่กำลังนั่งคุยกับอเล็กซ์อยู่  ริวหันมายิ้มน้อย ๆ ให้ทั้งคู่  ระยะหลังมานี้เจอรัลด์ยิ่งตามติดแฟนธอมเป็นเงาตามตัว แม้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องพักของอีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มก็ยอมลงทุนไปนั่งรออยู่หน้าห้องแทน จนแฟนธอมนึกสงสารจึงยอมให้คนรักเข้าห้องพักของตนได้ตามปกติ แต่ต้องเป็นตอนที่ตนตื่นอยู่เท่านั้น

        “จริง ๆ คุณเลทอีกสักหน่อยก็ได้นะครับคุณแฟนธอม ไม่ต้องรีบมาให้ตรงเวลาขนาดนี้ก็ได้”

        ริวทักตอบ ซึ่งแฟนธอมก็ยิ้มรับแล้วเดินตรงเข้ามาลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่งข้างอีกฝ่าย

        “ไม่ได้หรอก แค่คุณมาขออาสาช่วยงานผมแบบนี้ ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

        แฟนธอมบอกกับหนุ่มญี่ปุ่น แต่นั่นกลับทำให้เจอรัลด์ที่ตามมานั่งข้างเขาชักสีหน้าอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาทันที

        “ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยครับ คุณริวเขาเป็นฝ่ายอาสาตัวช่วยอย่างเต็มใจเองนะครับ!”

        แฟนธอมเหลือบกลับมามองคนรักของตนแล้วหันมาถอนหายใจอย่างเอือมระอาต่อความขี้หึงของอีกฝ่าย  ส่วนริวก็อมยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้เห็นการง้องอนของคู่รักตรงหน้า  เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่ตัดสินใจกลับมาเข้าสังคมตามเดิม เพราะไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น คนรอบด้านก็มีสีหน้าสบายใจขึ้นมาก แม้แต่เรนที่ทำท่าจะลาออกจากงานพิเศษอยู่รอมร่อ ก็ยังกลับไปขยันทำงาน จนเจ้านายของอีกฝ่ายซึ่งเป็นญาติกับเวธน์ ยังขอให้เรนพิจารณามาทำงานประจำที่บริษัท แทนงานพาร์ทไทม์แบบที่เจ้าตัวทำอยู่ทุกวันนี้

        “เฮอะ...แบบนี้ให้คุณกีรติกลับมาเป็นยามกะเช้าตามเดิม ยังสบายใจเสียกว่าอีก...อ๊ะ...เอ่อ ขอโทษนะครับ”

        เจอรัลด์ที่เผลอบ่นเพราะความหึงต้องรีบขอโทษหนุ่มญี่ปุ่นอย่างรู้สึกผิด ทว่าริวนั้นกลับไม่ได้โกรธเคืองอะไร มีเพียงฝืนยิ้มเศร้า ๆ ให้แทน

        “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมพอจะทำใจได้บ้างแล้ว”

        “นายนี่มัน...”

        แฟนธอมหันไปจ้องคนรักด้วยแววตาตำหนิ ทำเอาเจอรัลด์ต้องยกมือขอโทษขอโพยยกใหญ่

        “ขอโทษจริง ๆ ครับ ...ก็มันเคยชินนี่ครับ”

        “...ขอขัดจังหวะสักครู่นะครับมาสเตอร์ ทุกคน ...ดูเหมือนคุณเวธน์จะขับรถกลับมาที่หมู่บ้านอีกรอบนะครับ”

        เสียงของอเล็กซ์ที่ดังขัดการสนทนาขึ้น ทำให้แต่ละคนหันไปมองทางหน้าหมู่บ้านอย่างแปลกใจ เพราะวันนี้จู่ ๆ เวธน์ก็ขอตัวกลับไปก่อนตั้งแต่ช่วงบ่าย ขนาดกรกฎซึ่งเป็นเลขาและผู้ช่วยคนสนิทยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นไปไหน แม้กระทั่งปาลินก็ยังถูกทิ้งให้อยู่เฝ้าสำนักงานแทนที่จะพาไปด้วยกัน

        “หือ...มาโน่นแล้วล่ะ”

        แฟนธอมเปรยขึ้นเมื่อเห็นรถของเวธน์เลี้ยวเข้ามาในบริเวณหมู่บ้าน และพวกเขาแต่ละคนก็ต้องพากันแปลกใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายชะลอจอดก่อนถึงป้อมยาม แทนที่จะตรงเข้ามาด้านในตามปกติ

        “ไง! อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะครับ”

        เวธน์ลงจากรถมาทักทายแต่ละคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงผิดปกติ เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ชายหนุ่มเองก็ดูซึม ๆ ไม่แตกต่างจากคนอื่นในหมู่บ้านนี้เช่นเดียวกัน

        “อรุณสวัสดิ์ครับคุณเวธน์...มากับใครหรือครับ...อ๊ะ...”

        อเล็กซ์ที่ทำการแสกนตรวจสอบรถยนต์ตามหน้าที่ปกติชะงักคำพูดเอาไว้ด้วยความประหลาดใจ แต่พอตั้งใจจะพูดต่อเจ้าตัวก็ต้องเงียบกริบ เมื่อเวธน์หันมามองที่กล้องวงจรปิดประจำป้อมยาม แล้วยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากแผ่วเบาเป็นเชิงห้ามให้อีกฝ่ายเงียบเอาไว้

        “อย่าเพิ่งเฉลยก่อนสิ...อุตส่าห์ไปเสาะแสวงหารายนี้มาอย่างยากลำบากเลยนะ”

        เวธน์บอกพร้อมยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้คนอื่นต่างมองเขาอย่างสงสัย

        “...ก็ผมเห็นพวกคุณต้องมารับผิดชอบแทนคุณกีรติที่ออกไปแล้ว ผมก็เลยไปหายามกะเช้าคนใหม่มาแทนยังไงล่ะครับ ...แถมคนนี้พอรู้ความจริงว่าคนในหมู่บ้านนี้ไม่ใช่มนุษย์ เขาก็ยังรับได้อีกด้วยนะครับ!”

        เวธน์หันมาเฉลยคำตอบให้ฟัง ทว่าทั้งสามพอได้ยินดังนั้น พวกเขาต่างก็เงียบกริบไปตาม ๆ กัน แม้จะดีใจที่หมู่บ้านแห่งนี้จะมีสมาชิกใหม่ที่เป็นมนุษย์ แถมยังเข้าใจและยอมรับตัวตนของผู้คนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นอีกราย หากแต่พวกเขาก็ยังคงคิดถึงยามกะเช้าคนเก่าผู้นั้นอยู่ดี

        “ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นกันล่ะครับ คนใหม่เห็นเดี๋ยวก็ใจฝ่อเสียหมด”

        เวธน์ยิ้มแซว แม้จะรู้ดีว่าแต่ละคนนั้นคิดอย่างไรก็ตาม

        “...ขอโทษครับ พวกเรายินดีนะครับ ที่จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคน”

        ริวบอกพร้อมกับฝืนยิ้มน้อย ๆ ทำให้คนมองต้องถอนหายใจเบา ๆ อย่างนึกสงสาร ชายหนุ่มเดินไปที่ด้านหลังและเปิดประตูรถออก พร้อมกับบอกคนข้างใน

        “คุณพร้อมที่จะแนะนำตัวทำความรู้จักกับทุกคนหรือยังครับ”

        “อะ..เอ่อ...ผมพร้อมแล้วครับ”

        เสียงคนในรถตอบกลับเสียงค่อยเสียจนแทบไม่ได้ยิน เวธน์นั้นอมยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งมือยื่นให้กับคนในรถ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยื่นมือไปให้จับอย่างเขิน ๆ  ส่วนทางด้านริวที่มองอยู่เงียบ ๆ นั้น ถึงกับนิ่งอึ้ง ตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง เมื่อได้เห็นคนในชุดยามประจำหมู่บ้านก้าวลงมาจากรถยนต์ถนัดตา

        “กี...ไม่จริงใช่ไหม...นี่มันคือความฝันอย่างนั้นหรือ...”

        ริวพึมพำพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาร่างเล็ก ด้านเวธน์นั้นขยับตัวหลบไปอยู่ข้าง ๆ แล้วหันไปยิ้มให้กับอีกสองคนตรงป้อมยามที่ดูเหมือนจะตกใจไม่แพ้กันนัก

        “เอ่อ...คุณคือ...คุณริว สินะครับ”

        กีรติถามอย่างกึ่งกล้ากึ่งกังวล แม้ว่าจะรู้สึกโหยหายามที่ได้เห็นใบหน้าของคนผู้นี้มากก็ตาม

        “กี...หรือว่าคุณจะยังจำไม่ได้ ...แล้วทำไมถึง...”

        ริวพึมพำถามแต่ดูคล้ายว่าเขากำลังพูดกับตัวเองมากกว่า สีหน้าและแววตาของหนุ่มญี่ปุ่นดูสับสน จนกีรตินึกสงสาร หนุ่มร่างเล็กเอื้อมมือไปแตะใบหน้าของอีกฝ่ายแผ่วเบา ทว่าพอได้สัมผัสผิวกายจริง ๆ ไม่ใช่ความฝันเหมือนทุกคืน ก็ทำให้กีรติยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

        “ใช่คุณจริง ๆ ด้วย ....คุณคือคนที่ผมฝันถึงทุกวันคนนั้นนั่นเอง...”

        ริวนิ่งอึ้งเมื่อได้ยิน วินาทีนั้นเขาลืมหมดสิ้นในทุกสิ่งทุกอย่าง คิดแต่เพียงว่าอยากจะกอดร่างเล็กตรงหน้าไว้แนบอก และจะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือจากเขาไปอีกแล้ว

        “คุณริว...”

        กีรติกอดตอบชายหนุ่มแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ค่อย ๆ ไหลผ่านมาให้เห็นอย่างแจ่มชัดราวกับว่าเขากำลังดูภาพยนต์สักเรื่องอยู่  ในสมองที่เคยเต็มไปด้วยเมฆหมอกขาวทึบ ก็พลันกระจ่างใสดังเดิมอีกครั้ง

        “คุณริว...ผมกลับมาแล้วนะครับ...ผมกลับมาหาคุณแล้ว...ได้โปรดอย่าผลักไสผมไปจากคุณแบบนั้นอีกนะครับ...ถ้าต้องเสียคุณไปอีก…ผมคงทนไม่ได้แน่”

        กีรติสะอื้นบอก ทำให้ริวถึงกับตกตะลึง เขาดันร่างเล็กออกห่างและจ้องมองประสานกับนัยน์ตาคู่สวยนั้น ซึ่งมันฉายให้เห็นถึงความรักที่มีต่อเขาอย่างเต็มเปี่ยม  และก็เพราะแววตาคู่นั้นเอง ที่ทำให้ริวพ่ายแพ้ต่อความปรารถนาจากส่วนลึกของหัวใจตนเองในที่สุด

        “กี...ผม...ผมขอโทษ  ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ...ต่อให้ไม่อาจได้เคียงคู่กับคุณเหมือนคู่รักอื่น... แต่ผมก็จะไม่มีวันทิ้งคุณอีก... ผมจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต...ผมให้สัญญา”

        ริวโอบกอดคนสำคัญของเขาแน่น ซึ่งกีรติก็กอดตอบพร้อมกับยิ้มรับทั้งน้ำตา หากแต่พอเวลาผ่านไปสักพัก พวกเขาก็เริ่มรู้สึกตัวว่า กำลังมีสายตาหลายคู่รุมล้อมจ้องมองพวกเขาอยู่ โดยแต่ละคนก็ล้วนมีใบหน้ายิ้มแย้มยินดีด้วยกันทั้งสิ้น

        “คนหนุ่ม ๆ นี่ร้อนแรงดีจริงเลยน้า! ฉันเองก็หาแฟนสักคนดีไหมเนี่ย!”

        เสียงลีเปรยดังแซวขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของคนทั้งคู่ ทว่าชาวหมู่บ้านแต่ละรายพอได้ยินลีพูดดังนั้น บ้างก็หัวเราะ บ้างก็อมยิ้ม และมีบางคนเอ่ยแซวขัดอย่างนึกหมั่นไส้

        “ถ้ามีคนมาหลงรักนายได้ ฉันก็อยากเห็นหน้าเขาเหมือนกัน ...อยากรู้นักว่าจะยังมีมนุษย์หรือปีศาจ ที่มีรสนิยมแย่ ๆ หลงเหลืออยู่บนโลกนี้อีกไหมล่ะนะ”

        สกล คู่ปรับสูงวัยของลีเปรยบอก ทำให้ลีหันขวับไปมองอย่างนึกเขม่น และก่อนที่การทะเลาะวิวาทจะเกิดขึ้น เวธน์ก็เป็นฝ่ายห้ามทัพด้วยการประกาศข่าวบางอย่างขึ้นมาเสียก่อน

        “อย่างที่ทุกคนเห็นนะครับ คุณกีรติได้รับอนุญาตจากทางลาซาให้มาอยู่อาศัยในหมู่บ้านของเรา และจะกลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นการถาวรนับแต่นี้ไปนะครับ ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ อเล็กซ์จะเป็นคนรายงานให้แต่ละบ้านได้รู้ในภายหลัง...อ้อ! ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นครับคุณปัณณ์ ผมเองก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้คุณถามเขานี่ครับ ...แล้วเดี๋ยวหลังจากนี้ เราจะมีปาร์ตี้เลี้ยงต้อนรับยามคนใหม่หน้าเก่าของเรากัน ...และผมหวังว่าทุกคนจะยินดีต้อนรับยามกะเช้าของเราคนนี้ด้วยนะครับ!”

        ขาดคำของเวธน์ทุกคนต่างก็มองสบตากัน แล้วเสียงเฮก็ดังลั่นประสานไปทั่วหมู่บ้าน ปัณณ์นั้นหยิบมือถือโทรตามไกรสรให้มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ด้วย ทว่ายังไม่ทันคุยให้รู้เรื่อง เจ้าตัวก็ต้องชี้นิ้วตะโกนห้ามลี ที่เตรียมจะตรงเข้าไปถามเรื่องราวต่าง ๆ จากกีรติเสียก่อน ทำเอาไกรสรที่อยู่ปลายสายถอนหายใจเฮือกใหญ่ และเตรียมออกจากบ้านเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงในค่ำนี้ โดยที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

         

        “คุณนี่นะ จะแจ้งให้รู้กันล่วงหน้าสักหน่อยก็ไม่ได้”

        แฟนธอมที่ยืนมองความวุ่นวายอยู่เงียบ ๆ หันกลับมาต่อว่าเวธน์ที่เดินมาสมทบกับเขา ซึ่งเจ้าของที่ดินคนปัจจุบันก็ยกยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไป

        “ก็แบบนี้มันเซอร์ไพรส์กว่าไม่ใช่หรือครับ”

        แฟนธอมถอนหายใจ แล้วจึงหันกลับไปมองกีรติและริวที่ต่างมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างสดใสให้ได้เห็น

        “...มันก็จริงล่ะนะครับ”

        แฟนธอมบอกแล้วก็ชะงักเมื่อเจอรัลด์เนียนเข้ามากอดเขาจากทางด้านหลัง

        “ดีใจด้วยนะครับคุณแฟนธอม ที่ได้รุ่นน้องสุดที่รักกลับมาร่วมงานอีกครั้ง”

        เจอรัลด์กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด เพราะคนรักเล่นจ้องกีรติแทบไม่วางตามาตลอดนับตั้งแต่อีกฝ่ายกลับมา

        “ก็คงจะดีใจยิ่งกว่านี้ ถ้าแฟนของตัวเอง เลิกทำตัวขี้หึงเรื่อยเปื่อยสักทีล่ะนะ”

        แฟนธอมเปรยตอบลอย ๆ แต่กลับทำให้คนฟังชะงักอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าแฟนธอมจะกล้าเรียกแทนตัวเขาว่าแฟนต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ หากแต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรเจอรัลด์ก็ต้องอุทานด้วยความเจ็บจนต้องเผลอปล่อยมือที่กอด เมื่อแฟนธอมนั้นใช้ศอกกระทุ้งที่ท้องของเขาค่อนข้างแรง

        “บอกตั้งหลายครั้ง ไม่รู้จักจำ ว่าอย่ามาทำตัวประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะแบบนี้!” 

         บอกจบแฟนธอมก็เดินหนีไปรวมกลุ่มกับพวกกีรติเพื่อแก้เขิน ทำเอาเวธน์ที่มองอยู่นั้นหลุดยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกเอ็นดู

        “รักกันรุนแรงจริง ๆ เลยนะ ...พวกคุณน่ะ”

        “ฮะ ๆ ก็คุณแฟนธอมเขาขี้อายแบบนั้น  ผมก็เลยต้องทำตัวเป็นพวกมาโซเป็นธรรมดาล่ะครับ”

        เจอรัลด์เปรยตอบ แล้วก็ต้องอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อปาลินเดินตรงมาจูงมือเวธน์ไปให้ห่างเขา  จากนั้นนักประดิษฐ์หนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังจากคนกลุ่มใหญ่  พอหันไปมองก็เห็นชิโระกำลังยุให้กีรติกับริวจูบสาบานรักต่อกัน และไม่เพียงแค่จิ้งจอกขาวเท่านั้น คนอื่น ๆ ก็ล้วนเห็นดีเห็นงาม แล้วต่างตะโกนเชียร์ให้ทั้งสองคนจูบกันยกใหญ่  ทางด้านอเล็กซ์พอได้ยินเช่นนั้นก็เล่นตามน้ำเปิดเพลงทำนองดนตรีแต่งงานเพื่อสร้างบรรยากาศทันที

        “เอาล่ะสิ...คุณริวจะทำยังไงต่อไปนะ แต่ในสถานการณ์แบบนี้...ถ้าจะให้เดาล่ะก็...หึ...ว่าแล้วเชียว!”

        นักประดิษฐ์หนุ่มหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นสีหน้าเหวอ ๆ ของริวอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก  ส่วนฝ่ายกีรตินั้น ยามนี้ชายหนุ่มกำลังเงยหน้าหลับตาพริ้มรอคอย แม้ว่าใบหน้าหวานจะแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม   และเพราะอย่างนั้นเองจึงทำให้หนุ่มญี่ปุ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ สุดท้ายเจ้าตัวก็โน้มใบหน้าลงไปใกล้คนรัก และประทับริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องและเสียงปรบมือดังขึ้นสนั่นไปทั่วหมู่บ้านมีสุขแห่งนี้

       

... The End …



จบแล้วค่ะ จบจนได้ เรื่องนี้มีอุปสรรคมากมาย แต่อุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือความเครียด เครียดเรื่องส่วนตัวทางบ้านหลาย ๆ อย่าง แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ทั้งปัญหารุมเร้า และทั้งตัวนิยายเอง   ซึ่งนิยายเรื่องนี้จะจบลงด้วยดีไม่ได้เลย หากไร้คนอ่านติดตามและเป็นกำลังใจให้ แม้ว่าคนเขียนผู้นี้จะไร้วินัยเพียงใดก็ตาม

สุดท้ายคำขอบคุณอาจจะไม่สามารถแทนอะไรหลาย ๆ อย่างได้ก็ตาม แต่ปัดก็อยากให้นักอ่านทุกท่านรู้ว่า ปัดรู้สึกขอบคุณพวกท่านมากจริง ๆ ...ขอบคุณค่ะ

สำหรับตอนพิเศษจะทยอยลงให้อ่านค่ะ ส่วนเปิดจองกำหนดอื่น ๆ จะแวะมาลงในบอร์ดซื้อขายและแจ้งให้ทราบทีหลัง แต่ถ้าติดตามไม่ตกหล่นก็แฟนเพจปัดค่ะ novelpat ชื่อนี้นะคะ

ป.ล. โนอา มีคู่หมั้นคู่หมายเป็นลูกสาวนักธุรกิจฮ่องกงนะคะ เป็นลูกครึ่งค่ะ เจอกันตอนเรียนที่อเมริกาค่ะ  เพราะฉะนั้นหนุ่มคนนี้นอร์มอลจ้ะ /
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 17-11-2013 00:18:13
 :katai2-1:

โนอาน่ารักจังเลย เสียสละเพื่อพี่อ่ะ

แต่สองคนนี้ต้องอยู่ด้วยกันนะ เพราะตอนที่ริวเป่ามนต์ให้กีลืมมันเศร้ามาก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Jaiko★ ที่ 17-11-2013 02:15:38
ซึ้งมากเลยค่ะ
ตอนริวลบความทรงจำทำเอาน้ำตาร่วงเลย  :m15:
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ :)
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 17-11-2013 08:44:40
แฮปปี้ๆ สนุกมากๆ
ความรักเอาชนะได้แม้แต่อาคมจริงๆ

ปล.ค่อยยังชั่วนึกว่าโนอาจะมีเรื่องให้เสียใจซะแล้ววววว
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 17-11-2013 09:51:07
 o13

ในที่สุดรักก็สมหวังแช่มชื่นอย่างที่ควรเป็น
ดีใจแทนริวกับกีรติด้วยน้า  :L1:

รอตอนพิเศษคู่อื่นๆค่า

บวกเป็ด

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 17-11-2013 10:10:04
น้ำตาร่วง สะอึกสะอื้น ซึ้งและเศร้า
ดีใจที่กีได้กลับมาอยู่ที่หมู่บ้านกับริว
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 17-11-2013 13:49:35
ได้กลับมาอยู่ด้วยกันซะทีน๊าา

ขอบคุณมาก ๆ นะคะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 17-11-2013 15:03:18
ดีใจที่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว

รอตอนพิเศษค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 17-11-2013 16:47:15
ซึ้งมากเลยอ่ะ แอบน้ำตาซึมตอนอ่านด้วย

ดีใจที่จบลงอย่างสวยงามและสมหวังทุกคู่

โนอา น่ารักมากอ่ะเสียสละเพื่อ กี

เป็นครอบครัวที่น่ารักมากเลยค่ะ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันนะค่ะ

บวกเป็ดค่ะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 17-11-2013 18:26:51
สนุกมากค่ะ แอบน้ำตาไหลตอนคุณริวลบความทรงจำ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-11-2013 17:58:37
ดีใจที่แฮปปี้เอนดิ้ง
แอบน้ำตาซึมเหมือนกัน ตอนที่คุณริวลบความทรงจำ
สงสารทั้ง 2 คน แล้วยิ่งพอมาถึงท่านพ่อพูดกับท่านแม่
ก็ยิ่งก๊อกแตก สรุป ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะค๊าาา
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนที่ 28-จบ (16/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 22-11-2013 07:40:27
ฮู้วววว ลุ้นจะแย่ รออ่านตอนพิเศษจ้าา
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 26-11-2013 13:47:11
ตอนพิเศษ “เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ.”
เรื่องของคุณหมอ กับ คุณเลขา
...........................



         กรกฎนั่งตรวจสอบเอกสารบนโต๊ะทำงานอย่างหงุดหงิด เมื่อคนที่มักจะโทรมาก่อกวนเวลาพักผ่อนของเขาเสมอ กลับมาหายเงียบไปกว่าสามวันแล้ว ทั้งที่ก่อนจะขาดการติดต่อไปนั้น เจ้าตัวยังบอกกับเขาอยู่เลยว่าจะโทรมาหาใหม่แท้ ๆ

        “...เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ ถึงจะเข้าข่ายปีศาจ แต่ร่างกายก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาเสียด้วย”

        เลขาหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอเป็นห่วงอีกฝ่ายเข้าให้

        “กาย! กลางวันนี้ไปกินข้าวข้างนอกกันไหม เดี๋ยวฉันเป็นเจ้ามือเอง!”

        ปาลินที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ช่วยอีกคนของเวธน์ หันมาเรียก ทำเอากรกฎที่กำลังเหม่อ ๆ สะดุ้งนิด ๆ แล้วจึงหันไปมองคนถาม

        “ก็ดี...”

        เลขาหนุ่มบอกแค่นั้น แล้วก็นิ่งไป ก่อนจะเปลี่ยนคำตอบเสียใหม่

        “คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า นายกับคุณเวธน์ไปกินกันสองคนเถอะ เดี๋ยวกลางวันนี้ฉันจะแวะไปหาหมอเพชรสักหน่อย”

        ปาลินมองญาติของเขาอย่างประหลาดใจ ส่วนเวธน์ที่ได้ยินเลิกคิ้วนิด ๆ พร้อมกับตั้งคำถามอย่างสนใจทันที

        “ถามจริงเถอะกรกฎ นายกับหมอเพชรนี่สนิทกันมากหรือไง”

        กรกฎชะงัก ก่อนจะหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้เวธน์ แล้วตอบคำถามชายหนุ่ม

        “ก็ถือว่าสนิทกันระดับหนึ่งนั่นล่ะครับ...เพราะเวลาผมไม่สบายใจ หรือต้องการคำปรึกษาในบางเรื่อง ก็มักจะได้หมอเพชรคอยช่วยรับฟังและให้คำปรึกษาดี ๆ อยู่เสมอน่ะครับ...”

         เวธน์มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณายิ่งกว่าเดิม แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้

        “อืม...ก็ไม่มีอะไรหรอก นาน ๆ จะเห็นนายสนิทและไว้ใจใครขนาดนี้สักที ในฐานะเจ้านายและพี่ชายคนหนึ่ง ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเหมือนกันล่ะนะ”

        กรกฎยิ้มตอบให้คนตรงหน้า เขาโค้งศีรษะให้เวธน์นิด ๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้ปาลิน เป็นเชิงขอตัวออกนอกสำนักงานไปก่อน 

        “กายไม่เคยมาปรึกษาปัญหาส่วนตัวกับผมเลยสักครั้ง มีแต่ผมนี่ล่ะ ที่จะเป็นฝ่ายมาปรึกษาเขาตลอด...กับหมอเพชรนี่ คงจะสนิทกันมากจริง ๆ ล่ะนะครับ”

        ปาลินเปรยบ่นเบา ๆ หลังจากที่กรกฎออกไปแล้ว สีหน้าที่แสดงถึงความน้อยใจนิด ๆ นั่น ทำให้เวธน์อมยิ้มอย่างเอ็นดู

        “อิจฉาหมอเพชรเขาล่ะสิ”

        “...ก็ไม่เชิงหรอกครับ จะว่าไปถ้ากายเขามีที่พึ่งทางใจได้ ผมก็ดีใจด้วย เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ก็ได้เขานี่ล่ะคอยช่วยปลอบช่วยเชียร์ผมมาตลอด...ทำให้ผมมีกำลังใจจีบคุณจนสำเร็จในที่สุดนี่ล่ะครับ”

        ปาลินบอกแล้วหันมายิ้มกว้างจริงใจให้กับคนรัก ทำเอาเวธน์นึกเขินขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

        “....อย่างนั้นหรือ...อืม...ฉันชักจะหิวข้าวแล้วล่ะ นายจะเลี้ยงใช่ไหมปาล พาไปสักทีสิ!”

        ปาลินอมยิ้ม แล้วพยักหน้ารับหงึก ๆ โดยทำเป็นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดเพื่อแก้เขิน เพราะเกรงว่าเวธน์จะอายมากไปกว่านี้ และถ้าเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็อาจจะพาลเปลี่ยนมาเป็นงอนไม่ยอมไปกินข้าวกลางวันพร้อมเขาแทนก็เป็นได้



        กรกฎมาหยุดยืนหน้าบ้านพักของหมอหนุ่มอย่างลังเลครู่ใหญ่ก่อนจะลงมือกดสัญญาณออดหน้าบ้าน ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน เจ้าตัวจึงตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเจ้าของบ้าน รออยู่นานจนเขาคิดว่าจะไม่มีคนรับจึงคิดจะตัดสาย แต่อีกฝ่ายนั้นกลับรับสายเสียก่อน

        “...สวัสดีครับ คุณเลขา คิดถึงผมหรือไง... ถึงโทรมาหาแบบนี้”

        คำพูดแม้จะกวนประสาทเหมือนเดิม แต่คนได้ยินกลับนิ่วหน้า เพราะมันค่อนข้างแหบแห้งติดขัด ผิดจากน้ำเสียงร่าเริงสดใสทุกครั้ง

        “คุณหมอ...คุณอยู่บ้านใช่ไหม เปิดให้ผมเข้าไปได้หรือเปล่า”

        คำถามของกรกฎทำให้ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะตอบกลับมา

        “แหม...ลำบากใจจัง ผมกำลังงานยุ่งอยู่พอดีเลย... น่าเสียดายนะครับ คงต้องขอให้เป็นวันหลังแล้วล่ะ...แค่ก ๆ”

        เสียงไอแห้ง ๆ ที่หลุดดังมา เพราะคนพูดห้ามอาการไว้ไม่ทัน ทำให้กรกฎเม้มปากแน่น ก่อนจะย้อนถามกลับอีกรอบ

        “คุณหมอ...นั่นคุณไม่สบายใช่ไหมครับ”

        “...ฮะ ๆ นี่คุณเลขาเปลี่ยนอาชีพแล้วหรือครับ ถึงเดาอาการจากเสียงที่ฟังก็ได้น่ะ”

        ปลายสายแสร้งหัวเราะแห้ง ๆ กระเซ้า หมายจะให้อีกฝ่ายหงุดหงิดและกลับไป ซึ่งกรกฎเองก็ยืนนิ่งอยู่สักพักแล้วจึงสะบัดหน้าเดินหนีกลับสำนักงานตามที่คาดไว้  ทำให้คนที่ลุกจากเตียงนอนมาแอบดูอยู่หลังผ้าม่านหน้าต่างชั้นสอง ต้องถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก

        “ขอโทษนะครับ...ไม่อยากไล่คุณทางอ้อมแบบนี้เลย แต่ก็ไม่อยากให้คุณติดหวัดจากผมล่ะนะ”

        หมอเพชรพึมพำ แล้วจึงเดินโซเซไปพักผ่อนบนเตียงนอน ก่อนหน้านั้นที่ไม่สบายใหม่ ๆ เขาก็ได้จัดยาตามอาการของตัวเองแล้ว แต่ไข้ยังไม่ลดลงมากนัก ซึ่งเขาเองก็ไม่แปลกใจเท่าใด เนื่องจากร่างกายของเขานั้นไม่ค่อยเหมือนกับคนปกติทั่วไป เวลาไม่สบายก็จะไข้ขึ้นสูงกว่าคนธรรมดาเป็นเท่าตัว  ซึ่งอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าทุเลาลงมากแล้ว แต่ก็ไม่มากพอที่จะปล่อยให้กรกฎต้องมาเสี่ยงรับเชื้อหวัดจากการเยี่ยมเขาอยู่ดี

       

        ร่างสูงที่นอนหลับหน้าแดงระเรื่อเพราะพิษไข้อยู่บนเตียง ทำให้กรกฎเม้มปากน้อย ๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก  เลขาหนุ่มนั้นกลับไปที่สำนักงานก็จริง แต่ไม่ได้กลับไปเพราะโกรธที่โดนแหย่อย่างที่หมอเพชรเข้าใจ ทว่าเขากลับไปเอากุญแจสำรองมาไขประตูรั้วและประตูบ้านเข้ามา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายป่วยจริงหรือไม่

        “ไม่สบายจริง ๆ ด้วยสินะ...แทนที่จะบอกกันดี ๆ ต้องให้ตามมาดูเอง... นี่ถ้าไม่มีกุญแจสำรองของแต่ละบ้านเก็บเอาไว้ ก็คงได้ป่วยตายคาบ้านพอดี!”

        กรกฎบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด ยิ่งเดินมาใกล้เตียงแล้วเอามือแตะหน้าผากคนหลับ เขาก็ต้องนิ่วหน้าอย่างเป็นกังวล เพราะไข้ของอีกฝ่ายนั้นสูงมากจนน่ากลัวทีเดียว

        “ทำยังไงดีล่ะ...จะพาไปตรวจที่โรงพยาบาลก็...”

        กรกฎพึมพำอย่างลังเล เพราะไม่แน่ใจว่าความไม่แก่ไม่ตายของหมอเพชรนั้น จะมีผลกระทบกับเลือดเนื้อของเจ้าตัวเหลือไม่ และถ้าเกิดเจาะเลือดตรวจแล้วพบสิ่งผิดปกติเข้าจนเกิดความแตกเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา ก็เท่ากับว่าเขานั้นได้ทำร้ายหมอหนุ่มทางอ้อมนั่นเอง

        “โทรปรึกษาคุณปัณณ์ก็แล้วกัน...”

        กรกฎตัดสินใจโทรหาพ่อมดหนุ่มถึงแม้ว่าจะเสี่ยงต่อการเกิดข่าวลือแปลก ๆ หลังจากนี้ เพราะอย่างน้อยปัณณ์นั้นก็มีความสามารถในการปรุงยาได้หลากหลาย และหนึ่งในนั้นก็คือยารักษานั่นเอง

        “อืม...เบอร์คุณปัณณ์...อ้อ...อยู่นี่...อ๊ะ!”

        กรกฎอุทานเบา ๆ อย่างตกใจ เมื่อคนนอนหลับอยู่ปรือตามาจับข้อมือของเขาเสียก่อน

        “...ไม่ต้องโทรหาคุณปัณณ์หรอกครับ ผมอาการดีขึ้นมากแล้ว”

        หมอเพชรยิ้มน้อย ๆ ให้ แต่คนที่ได้ยินกลับหน้าบึ้งแล้วโพล่งสวนกลับ

        “อาการดีขึ้น? ไข้สูงขนาดนี้คุณว่าอาการดีขึ้นอย่างนั้นหรือครับ!”

        เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ในลำคอของคนป่วย ทำให้กรกฎยิ่งฉุนเข้าไปใหญ่ หากแต่พอจะเริ่มต้นต่อว่า เขาก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายใช้นัยน์ตาต่างสี ดำและทองประหลาดคู่นั้นจ้องมายังเขานิ่ง ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยพิษไข้แลดูอ่อนโยนยิ่งกว่าที่เคยได้เห็นทุกครั้ง

        “ขอบคุณนะกรกฎ แต่ผมไม่เป็นไรมากแล้ว ...ร่างกายของผมมันค่อนข้างจะแตกต่างจากคนธรรมดาอย่างคุณน่ะ ...ส่วนเรื่องไข้นี่ผมไม่ได้โกหกนะ มันลดลงจากเมื่อสองวันก่อนมามากแล้วล่ะ”

        เลขาหนุ่มจ้องตาตอบอีกฝ่ายอยู่นาน และเมื่อรู้สึกตัวเขาก็เสไปเมินมองทางอื่น ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

        “กรกฎ ...ผมว่าคุณออกไปดีกว่านะ ถ้าคุณติดหวัด ผมคงไม่สบายใจแน่”

        หมอเพชรเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน ทำให้คนถูกเรียกสะดุ้ง แล้วหันกลับมาจ้องตาคนพูดอีกครั้ง ซึ่งก็เห็นแต่เพียงความจริงใจของเจ้าตัวดุจดังคำพูดโดยไร้สิ่งใดแอบแฝง

        “คุณก็เป็นแบบนี้ทุกทีนั่นล่ะคุณหมอ...ทำไมไม่ทำตัวให้กวนประสาทเหมือนทุกครั้งกันเล่า ผมจะได้กล้ารั้นที่จะอยู่ต่ออย่างสบายใจขึ้นกว่านี้น่ะ”

        เลขาหนุ่มพึมพำตอบ ทำให้คนฟังหลุดยิ้มน้อย ๆ แล้วจับมือของกรกฎที่ยังคงไม่ปล่อยขึ้นมาจูบเบา ๆ

        “ผมขอโทษที่คอยกวนโมโหคุณนะ กรกฎ ... สารภาพอย่างไม่อายเลยว่า เพราะผมชอบคุณจึงอยากทำให้ตัวเองเป็นที่จดจำของคุณบ้าง ...ต่อให้เป็นในแง่ลบก็ตาม”

        กรกฎเม้มปากแน่น เขาดึงมือออก แล้วหันขวับเดินออกนอกห้องไป ทำให้คนที่นอนบนเตียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางฝืนยิ้มให้กับตัวเอง ทว่าพอจะหลับลงอีกครั้ง คนที่เดินจากไปแล้วก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับขันน้ำและผ้าขนหนูผืนเล็ก

        “...ทำไมยังไม่กลับไปอีก”

        หมอเพชรถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ซึ่งก็ทำให้กรกฎชะงักแล้วหันมามองคนถามชั่วครู่ ก่อนจะย้อนถามกลับไปบ้าง

        “อย่าบอกนะว่าที่พูดชอบเมื่อครู่ เพื่อต้องการไล่ให้ผมกลับเท่านั้น...”

        เลขาหนุ่มถามกลับไปแล้วรอคอยคำตอบนิ่งด้วยแววตาคาดคั้น ซึ่งก็ทำให้คนป่วยต้องถอนหายใจอีกครั้งแล้วหลุดยิ้มอ่อนโยนส่งให้

        “เรื่องชอบคุณ ผมพูดจริง...แต่ก็ยังอยากให้คุณกลับไป ... สำหรับผมถึงไข้จะลดลงมากแล้ว แต่มันก็ยังสูงพอที่จะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างอยู่ดีนั่นล่ะ”

         กรกฎยืนฟังเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ จากนั้นเขาก็นำผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาด แล้วนั่งลงบนเตียงข้างคนป่วย พลางช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างเบามือ

        “ถ้าพูดจริงก็ดีแล้ว ...ได้คนที่ตัวเองชอบช่วยดูแลยามป่วยแบบนี้ คุณหมอน่าจะดีใจมากกว่านะครับ”

        “...ก็ดีใจอยู่หรอก เฮ้อ...คุณนี่มันดื้อกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะกรกฎ”

        หมอเพชรถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงยอมให้อีกฝ่ายเช็ดเนื้อตัวแต่โดยดี ซึ่งกรกฎก็ลอบยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ แต่พอเห็นอีกฝ่ายมองอยู่เขาก็ทำทีเป็นเฉยชาดังเช่นปกติ

        “คุณตัดใจจากคุณเวธน์ได้แน่แล้วหรือ กรกฎ”

        คำถามจากคนป่วยทำให้คนที่จะเอาน้ำในขันไปเปลี่ยนชะงัก แล้วจึงวางขันน้ำลงบนโต๊ะแถวนั้นในห้อง ก่อนจะหันมาตอบคำถามของอีกฝ่าย

        “...ผมตัดใจจากเขาได้ตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาจะลงเอยกับปาลแล้วล่ะครับ ...เพราะผมรู้ตัวเองดีว่า สำหรับคุณเวธน์ ผมก็เป็นได้แค่น้องชายของเขาเท่านั้น”

        สีหน้าของกรกฎยังคงเรียบเฉย ทว่านัยน์ตาสีดำคู่สวยมีแววหมองลงจนทำให้คนมองนึกสงสาร

        “เพราะคุณไม่เคยสารภาพกับเขาเองต่างหาก ถ้าคุณกล้ากว่านี้ บางทีคุณอาจจะสมหวังก็ได้นะ...ผมมั่นใจว่าสำหรับคุณเวธน์แล้ว คุณเองก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ...เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าคุณปาลินเสียอีก”

        กรกฎอมยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น แล้วจึงเอ่ยตามมา

        “ไม่ล่ะ...ผมดีใจที่ตัวเองไม่เผลอหลุดปากสารภาพออกไป ผมอยากให้เขานึกถึงแต่เรื่องดี ๆ ของผม และไม่อยากให้คนนั้นต้องมีสีหน้าทุกข์ใจให้เห็น ...ผมเชื่อว่าคนอ่อนโยนคนนั้นจะต้องรู้สึกผิดกับผมมากทีเดียว ถ้าได้รับรู้ความในใจของผมเข้า”

        หมอเพชรรับฟังคำตอบนั้นก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ

        “คุณก็ยังใจแข็งเหมือนเดิมนะ กรกฎ ...”

        กรกฎยิ้มน้อย ๆ ให้กับคำพูดนั้น แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อคนป่วยยกมือเรียกให้เขาเข้ามาใกล้ ซึ่งเลขาหนุ่มก็มองอย่างลังเลชั่วครู่ แล้วยอมทำตามโดยการเดินไปนั่งบนเตียงใกล้ร่างของอีกฝ่าย

         “...เวลาอยู่กับผม คุณไม่จำเป็นต้องปิดบังหรือหลบซ่อนความรู้สึกของตัวเองหรอกนะ”

        กรกฎนิ่งเงียบ แล้วจึงมีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏให้เห็นบนใบหน้า

        “ผมพูดจริง ๆ นะคุณหมอ...และที่เป็นแบบนี้ได้ ก็เพราะคุณนั่นล่ะ ...คุณมีส่วนที่ทำให้ผมตัดใจจากคุณเวธน์และยินดีกับเขาและปาลได้จากใจจริง”

        หมอเพชรมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ทำให้กรกฎต้องหัวเราะเบา ๆ ในลำคอตามมา

        “คุณลืมไปแล้วหรือไง...ขนาดวันนั้นผมเมา ๆ ผมยังจำได้เลยนะ”

        กรกฎหวนคิดถึงวันงานเลี้ยงฉลองต้อนรับกีรติในวันแรกที่อีกฝ่ายเข้ามาทำงานเป็นยามและได้รับการยอมรับจากทุกคนในหมู่บ้าน วันนั้นเขาดื่มหนักมากไปหน่อย จนรู้สึกเวียนหัวจึงไปขอยาจากหมอเพชร และพอตามมาที่บ้านของเจ้าตัว ก็ถูกตั้งคำถามตรง ๆ เสียจนเขาสะดุ้ง

        “...วันที่คุณเมา อ้อ...วันเลี้ยงรับคุณกีรติสินะ ...วันนั้นผมถามคุณว่า คุณชอบคุณเวธน์ใช่ไหม แล้วคุณก็ทำเป็นเฉย ...ผมก็เลยแกล้งขู่คุณว่าจะไปบอกคุณเวธน์ว่าคุณชอบเผลอมองเขาด้วยสายตาแบบไหน...คุณก็เลยยอมสารภาพความจริงกับผม”

        หมอเพชรหวนระลึกความหลังแล้วอมยิ้มน้อย ๆ แต่นั่นกลับทำให้คนฟังทำเสียงในลำคออย่างนึกหมั่นไส้

        “แกล้งกันจริง ๆ ด้วยสินะ...”

        “หึ ๆ ก็ผมเริ่มสนใจคุณมาก่อนหน้านั้นได้สักพักแล้วนี่...พอมองตามคุณที่เฝ้ามองแต่คุณเวธน์ ก็เริ่มถูกใจแล้วกลายมาเป็นชอบได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

        คนป่วยบอกด้วยสีหน้าระบายยิ้ม แต่นั่นกลับทำให้คนฟังย้อนถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจนัก

        “แต่คุณก็ยังคงพยายามเชียร์ให้ผมสารภาพรักกับเขาอยู่เสมอไม่ใช่หรือครับ”

        หมอเพชรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงตอบออกไปตามตรง

        “ใช่...เพราะผมมั่นใจว่า หากคุณเอาจริง คุณเวธน์ก็ต้องตอบรับรักคุณได้อย่างไม่ยาก...เรื่องที่เขาทั้งเอ็นดูและให้ความสนิทและไว้วางใจกับคุณมากเพียงใด ใคร ๆ ในหมู่บ้านนี้ก็รู้ทั้งนั้น”

        “แล้วคุณจะไม่เสียใจหรือไงกัน...ไหนคุณบอกว่าชอบผมยังไงล่ะ”

        กรกฎยังคงตั้งคำถามต่อไปอย่างสงสัยไม่หาย

        “หึ...ก็คงเหมือนกับที่คุณเชียร์ให้คุณปาลินกับคุณเวธน์ลงเอยกันนั่นล่ะครับ”

        เลขาหนุ่มชะงักนิด ๆ แล้วจึงย้อนกลับไปเสียงแผ่ว

        “นั่นเพราะผมเห็นว่าคุณเวธน์หวั่นไหวกับปาลเขา...ไม่ใช่แค่เรื่องหน้าตาที่เหมือนกับอากอบเพียงอย่างเดียว ...แต่เขาหวั่นไหวเพราะความจริงใจที่ปาลมีให้ ...ผมถึงกล้ายอมถอยแล้วคอยเชียร์ทั้งคู่อยู่เงียบ ๆ ต่างหากล่ะครับ”

        บอกไปแล้วกรกฎก็นิ่งเงียบ และจ้องมองนัยน์ตาต่างสีคู่นั้นของคนที่นอนอยู่ ก่อนจะหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา

         “จะว่าไปพวกเรานี่ก็ค่อนข้างคล้ายกันนะครับ...”

        “นั่นสิ… อ๊ะ! แต่ก็ต่างกันนิดหน่อย ตรงที่ผมไม่ใช่พวกปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจ เสียด้วยสิครับ”

        “คุณนี่มัน!  เฮ้อ…”

        กรกฎที่เตรียมจะโวยวายในทีแรก เปลี่ยนมาถอนหายใจแทน เพราะต่อให้คนตรงหน้าจะสารภาพว่าชอบเขายังไง แต่ก็ยังคงไม่วายชอบพูดกวนประสาทเขาอยู่ดี   

        “เอาเถอะครับ...ถึงยังไงก็เพราะได้พูดระบายในสิ่งที่เก็บเอาไว้ให้คุณได้ฟังในวันนั้น จึงทำให้ความรู้สึกของผมสงบลงไปเรื่อย ๆ ...ขอบคุณมากเลยนะครับ คุณหมอ”

        หมอเพชรยิ้มตอบ ทั้งคู่สบตากันนิ่งอยู่นาน จนกระทั่งกรกฎต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน เนื่องจากรู้สึกเหมือนว่าใบหน้าของเขาเริ่มร้อนวูบวาบ และใจเต้นผิดจังหวะอย่างน่าแปลก

        “เอ่อ...ผมโทรไปลางานคุณเวธน์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเขากลับมาจากข้างนอกแล้วไม่เจอผมจะแปลกใจเอา”

         กรกฎรีบเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วลุกเดินเลี่ยงไปโทรศัพท์หาเวธน์ โดยมีสายตาอ่อนโยนของคนป่วยมองตามไม่วางตา 

         และเมื่อเวธน์ได้รับรู้ว่าแพทย์ประจำหมู่บ้านเกิดป่วยแบบนั้น เขาก็ฝากฝังให้เลขาคนเก่งช่วยดูแลอีกฝ่ายให้ด้วย แต่ก็ยังไม่วายเตือนด้วยความเป็นห่วงให้กรกฎระวังจะติดหวัดเข้าให้ ทำเอาคนถูกเตือนต้องอมยิ้มน้อย ๆ กับโทรศัพท์ของตนเอง หลังจากตัดสายสนทนาไปแล้ว

        “...ก็เล่นทำตัวเป็นพี่ชายแบบนี้มาตลอด ใครจะกล้าสารภาพกันได้ล่ะนะ ...เฮ้อ”

        ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง แล้วก็อดคิดถึงใบหน้าคนที่นอนป่วยอยู่ไม่ได้ เขาไม่ได้บอกกับหมอเพชรหรอกว่า คืนที่เขายอมสารภาพความจริงเรื่องที่ชอบเวธน์ออกไปนั้น เพราะอ้อมกอดอันอบอุ่นของอีกฝ่ายที่กอดปลอบโยน ในยามที่เห็นเขามีสีหน้าเจ็บปวดเพราะรู้ดีว่ารักคงไม่มีวันสมหวังนั่น  มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตัดใจจากเวธน์ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน       



          หลังจากบอกเวธน์เรื่องหมอเพชรป่วยไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี บรรดาชาวหมู่บ้านที่ไม่ได้ไปทำงาน ก็ต่างพากันทยอยมาเฝ้าหมอเพชร จนคนไข้แทบไม่มีเวลาพักผ่อน และนั่นก็ทำให้พยาบาลจำเป็นเริ่มจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย

        “ทุกคนครับ...ถ้าอยากเยี่ยมก็รอตอนเขาใกล้หายหรืออาการดีกว่านี้ก่อนเถอะครับ ขืนมาชวนคุยกันแบบนี้ เมื่อไหร่คุณหมอเขาจะได้พักสักที”

        ถึงแม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงดุดันสักนิด ทว่าน้ำเสียงทุ้มเรียบเยียบเย็นแบบที่ใช้อยู่ ก็ทำให้แต่ละคนเผลอกลืนน้ำลายลงคอ แล้วต่างเตรียมรีบสลายตัวออกจากบ้านของหมอหนุ่มอย่างว่องไว ทว่าแต่ละคนก็ต้องชะงักเมื่อพ่อมดหนุ่มที่แวะมาด้วยกัน เอ่ยถามคนพูดอย่างตรงไปตรงมา

        “ดูคุณกรกฎห่วงหมอเพชรจังนะ ...คิดยังไงกับหมอเขาหรือ...ชอบหรือเปล่า”

        หลังจากปัณณ์หลุดคำถามนั้นออกไป ภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดไปชั่วขณะ และเจอรัลด์ซึ่งตั้งสติได้ก่อนใคร ก็รีบโพล่งขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

        “แหม ๆ คุณปัณณ์ ถามแบบนั้นได้ยังไงครับ  คุณกรกฎน่ะหรือครับจะคิดอะไรกับคนเจ้าเล่ห์ปากจัดชอบแกล้งคนอื่นอย่างหมอเพชรน่ะ...โอ๊ย! ผมเจ็บนะครับคุณแฟนธอม! ผมก็แค่พูดความจริงนี่นา...”

        เจอรัลด์รีบหันไปแก้ตัวกับคนรักที่แอบหยิกเอวของตนแรง ๆ โดยแฟนธอมก็ค้อนให้นิด ๆ อย่างนึกหมั่นไส้ เนื่องจากนักประดิษฐ์หนุ่มนั้นเผลอพูดล่วงเกินคนที่ตนนับถืออย่างหมอเพชรนั่นเอง

        “ฮะ ๆ ก็อย่างที่เจอรัลด์บอกนั่นล่ะครับคุณปัณณ์ ...คุณเลขาเขามาดูแลผม เพราะกลัวว่าคนในหมู่บ้านคนอื่นจะเดือดร้อน ไม่มีหมอรักษาต่างหากล่ะครับ”

        หมอเพชรเอ่ยเสริมขึ้นมาด้วยใบหน้าปั้นยิ้ม แต่ปัณณ์กลับหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อนัก ทว่าทั้งพ่อมดหนุ่มและคนอื่น ๆ ในห้องต่างก็ต้องพากันสะดุ้งโหยง เมื่อกรกฎเอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากนิ่งเงียบไปนาน

        “ถูกอย่างที่คุณสงสัยนั่นล่ะครับ คุณปัณณ์ ...ผมชอบคุณหมอ อืม...แต่ก็ยังไม่มากถึงขั้นรัก อาจจะเรียกได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงคบหาเรียนรู้นิสัยระหว่างกันก็ได้น่ะครับ”

         พอกรกฎพูดจบภายในห้องก็เงียบกริบเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านั้น ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่ ทุกคนก็พากันสะดุ้งโหยงอีกครั้ง เมื่อปัณณ์หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างชอบใจ

        “ฮ่า ๆ แบบนี้สิ ถึงจะสมกับเป็นผู้ช่วยของคุณเจ้าของที่ดินรุ่นปัจจุบัน!  ผมสนับสนุนพวกคุณเต็มที่เลยนะ พวกคุณสองคนเหมาะกันมากเลยล่ะ!”

        บอกจบพ่อมดหนุ่มก็ขอตัวกลับบ้านพักไปอย่างอารมณ์ดี แถมยังบอกอีกว่าจะโทรไปบอกให้ไกรสรรู้จะได้ไม่ตกข่าวอีกคน

        “ง่า...งั้นพวกผมก็ขอลากลับล่ะครับ... หายไว ๆ นะครับ หมอเพชร”

        เจอรัลด์ที่เห็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกของกรกฎที่มองมาตอนเขากำลังจะอ้าปากถามด้วยความสงสัย ต้องรีบบอกลากับคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่วายจูงมือคนรักให้กลับไปด้วยกันอยู่ดี  ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็เอ่ยลาเจ้าของบ้าน แล้วต่างแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน โดยไม่คิดอยู่ซักถามกรกฎต่อเช่นเดียวกัน

        “ดูเหมือนว่าคุณเจอรัลด์เขาจะไม่อยากให้คุณแฟนธอมอยู่ใกล้ชิดคุณเท่าไหร่เลยนะครับคุณหมอ...ไปทำอะไรให้เขาระแวงขนาดนั้นหรือครับ”

        กรกฎหันมาถามด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ ตามปกติ ทว่ากลับทำให้คนฟังอมยิ้ม เพราะดูจากแววตาของคนถามคล้ายจะมีแววขุ่นมัวนิด ๆ ให้พอจับผิดสังเกตได้

        “หึงอย่างนั้นหรือครับ คุณเลขา”

        สรรพนามที่ใช้เรียกหยอกเย้าตามปกติของอีกฝ่าย ทำให้กรกฎต้องทำเสียงในลำคอเบา ๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ก็ทำทีเป็นนิ่งเฉย เพราะไม่อยากจะยอมรับว่าตนนั้นคิดหึงหวงอีกฝ่ายจริง ๆ

        “ผมก็แค่ถามดู...เห็นคุณเจอรัลด์เขาชอบคุณแฟนธอมขนาดนั้น ผมก็นึกสงสารเขา เลยไม่อยากให้คุณไปทำตัวเป็นมือที่สามคอยแกล้งเขาต่างหากล่ะครับ”

        หมอเพชรอมยิ้มนิด ๆ ไม่โต้ตอบอะไรต่อ เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มอารมณ์เสียไปกว่านี้ และพอเห็นอีกฝ่ายเลือกที่จะนิ่งเฉย กรกฎจึงทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องสนทนาแทน

        “...คุณนอนพักได้แล้วครับหมอ เดี๋ยวพวกที่ออกไปทำงานนอกหมู่บ้านกลับมาแล้วรู้ข่าวเข้า ก็คงจะทยอยมาเยี่ยมคุณอีก ผมไม่อยากเสียมารยาทไล่คนที่มีน้ำใจมาเยี่ยมคุณบ่อย ๆ หรอกนะครับ”

         “...แล้วคุณจะยังอยู่เฝ้าผมต่อหรือเปล่าล่ะกรกฎ”

        คำถามของหมอหนุ่มทำให้กรกฎที่กำลังจะเดินเลี่ยงไปนั่งข้างนอกชะงัก แล้วจึงแสร้งทำเป็นเปรยพูดลอย ๆ

        “ทำไมครับ ...ยังอยากจะไล่ผมกลับต่ออีกสินะ”

        หมอเพชรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงเอ่ยตอบกลับไปตามตรง

        “ถ้าเป็นก่อนหน้านั้นก็อาจจะอยากให้กลับ เพราะเป็นห่วงกลัวคุณจะติดหวัด ...แต่พอได้ยินคำสารภาพรักเมื่อครู่แล้ว เลยอยากจะให้อยู่ต่อนาน ๆ แทนน่ะ”

         “ใครสารภาพรักกันครับ! ผมพูดแค่ว่ากำลังอยู่ในระหว่างคบหาดูใจกันต่างหาก!”

        กรกฎรีบโพล่งขัดอย่างนึกเขิน ก่อนหน้านั้นเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าพูดออกไป แต่พอเห็นว่าหมอเพชรพยายามจะปกป้องชื่อเสียงของเขา โดยไม่สนเรื่องของตัวเอง ก็ทำให้เขาเผลอพูดในสิ่งที่อยู่ในใจให้เจ้าตัวและคนอื่นรับรู้ไปจนได้

        “หึ ๆ พูดแค่นั้น ต่อหน้าคุณปัณณ์ก็เท่ากับว่านั่นเป็นการสารภาพรักนั่นล่ะ ... พนันกันได้เลยว่าพวกคุณเวธน์กับคุณปาลินที่ยังไม่กลับมาจากข้างนอก... อ้อ! อาจจะรวมถึงพวกคุณกีรติกับคุณริวที่ลาพักร้อนไปเที่ยวกันนั่นด้วย ...ป่านนี้คงจะรู้เรื่องของพวกเรากันหมดแล้วล่ะนะ”

         พอหมอเพชรพูดจบ กรกฎก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นตีสีหน้าเฉยชา ไม่ทุกข์ร้อนอันใด แม้ภายในใจยามนี้จะคิดว่าสิ่งที่หมอหนุ่มพูดมานั้นมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม




... TBC ...
  ต่อครึ่งหลัง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.msg2569196#msg2569196)

สวัสดีค่ะ มาลงตอนพิเศษให้อ่านกันแล้วนะคะ  สำหรับตอนคุณหมอกับคุณเลขานี่ยังไม่จบนะคะ เดี๋ยวมาหยอดความหวาน ให้อ่านกันต่อในครึ่งหลัง  ... สำหรับตอนพิเศษของเรื่องนี้ ที่ลงในบอร์ด จะเป็นคล้ายบทสรุปของคู่หวานในหมู่บ้าน รวมถึง การกล่าวถึงความสัมพันธ์ และอดีตของตัวละครบางตัว ให้นักอ่านทราบ  จึงอาจจะดูเรื่อย ๆ ไม่ตื่นเต้นไปสักหน่อยนะคะ ^^" แต่ก็พยายามจะเขียนให้อ่านแล้วสนุกให้ได้ล่ะค่ะ!! (สู้ๆ)

ส่วนตอนพิเศษในเล่มก็คงจะเป็นตอนยาว รวมตัวละคร และมีเหตุการณ์ให้ชวนตื่นเต้นกันบ้าง บู๊กันหน่อย โชว์ฝีมือกันนิด  เพราะหมู่บ้านนี้ศัตรูค่อนข้างเยอะอยู่ หุ ๆ    อ้อ ฝากข่าวนิดนะคะ สำหรับเรื่องนี้เปิดจองแล้วค่ะ อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ  luv-book.com เดี๋ยวจะแวะไปแจ้งในกระทู้ค้าขายของเล้าอีกทีค่ะ

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-11-2013 14:54:06
รอตอนต่อไปค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 26-11-2013 18:05:31
ต้องตามลุ้นว่าคุณหมอกับคุณเลขาจะเป็นยังไงต่อไป
แต่ว่าอยากอ่านคู่ของปุณณ์เร็วๆ อยากรู้ว่าปุณณ์จะเกรียนได้ขนาดไหม ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-11-2013 18:32:12
เย้ ในที่สุดสิ่งที่สงสัยว่าเค้าไปสปาค์กันตอนไหนยังไง ก็กระจ่างขึ้นมาละ
รอฉากหวานหยด ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 26-11-2013 21:26:01
เสร็จไปอีกหนึ่งคู่
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 26-11-2013 22:00:47
คู่หวานอีกคู่  :mew1:

บวกเป็ด

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-11-2013 22:16:16
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 28-11-2013 22:39:36
คุณหมอหายไวแน่ ๆ มีพยาบาลดี

 :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 28-11-2013 23:15:26
คู่ คุณเลขากับคุณหมอ น่ารักดีนะ

 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 28-11-2013 23:35:10
เพชรกรกฎน่ารักดี
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-12-2013 14:02:49
น่ารัก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 1 (26/11/56)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 11-12-2013 20:34:19
น่ารักเนอะ คุณเลขาเนี้ย
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ (ต่อ) (14/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 14-12-2013 20:36:10
ตอนพิเศษ “เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ.”
เรื่องของคุณหมอ กับ คุณเลขา (...ต่อ)

:L1:


   เป็นไปตามที่หมอเพชรได้คาดเดาไว้ พอเวธน์และปาลินกลับมา ทั้งคู่ก็รีบมาแวะเยี่ยมเยียนหมอหนุ่มถึงบ้านพัก พร้อมกับซักถามกรกฎถึงเรื่องความรักของอีกฝ่าย จนเลขาคนเก่งต้องหลุดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   “เรื่องของพวกผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ”

   “ถ้าไม่เล่าแล้วจะรู้ได้ไงว่าน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจกันน่ะ”

   เวธน์ยังคงไม่ยอมแพ้ แม้จะพอมองออกว่ากรกฎพยายามบ่ายเบี่ยงปฏิเสธก็ตาม

   “แต่ว่า ...”

   กรกฎเหลือบมองคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียง อีกฝ่ายนั้นทำเป็นนิ่งเฉย ไม่คิดช่วยเขาพูด ซ้ำยังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ ชวนให้หมั่นไส้อีกต่างหาก

   “ไม่เห็นต้องอายเลยนี่ ทีฉันยังเล่าให้นายฟังทุกเรื่องเลยด้วยซ้ำ!”

   ปาลินเสริมตามมา แล้วจ้องมองญาติของตนด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่คิดปิดบัง

   “แต่นั่นมัน...อืม...นั่นสินะ นายเองก็เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังมาโดยตลอดนี่นา”

   กรกฎบอกแล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ คล้ายจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทำเอาปาลินที่เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายต้องนิ่วหน้า นึกสังหรณ์ใจประหลาดขึ้นมาทันที

   “....ขนาดเรื่องที่เอารูปแอบถ่ายคุณเวธน์ไปใช้ช่วยตัวเองก่อนนอนบ่อย ๆ นายยังกล้าเล่าให้ฉันฟังได้เลยนี่นา อย่างนี้ฉันเองก็ควรต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้นายฟังคืนบ้างแล้วสินะ...”

   ยังไม่ทันที่กรกฎจะพูดจบดี คนที่ถูกอ้างถึงก็สะดุ้งเฮือก พลางหันกลับมามองคนรักอายุน้อยกว่าของตน ด้วยความฉุนปนอายจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด

   “จริงอย่างที่กรกฎว่ามาหรือเปล่า ปาล!”

   “คะ...คุณเวธน์...ก็...บะ...แบบว่า...ตอนนั้นผม...ง่า...ยังหลงรักคุณข้างเดียวอยู่นี่ครับ...มันก็เลยเผลอไปบ้าง...”

   ปาลินแก้ตัวติด ๆ ขัด ๆ พร้อมกับใช้สายตาอ้อน ๆ ส่งให้คนรักเต็มที่ ทว่านั่นกลับทำให้กรกฎลอบยิ้มแล้วแสร้งเปรยขึ้นต่อดัง ๆ

   “อืม...ฉันจำได้ว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน นายปรึกษาฉันใช่ไหมว่า ถ้าจะแกล้งโทรไปชวนคุณเวธน์เล่นเซ็กส์โฟน แล้วคุณเวธน์จะยอมตามน้ำเล่นด้วยไหม...สินะ”

   ปาลินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อสีหน้าของเวธน์แสดงให้เห็นถึงความอับอายสุดขีด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธจัดเมื่อหันกลับมาจ้องเขา เจ้าตัวรีบจูงมือคนรักออกจากห้องของหมอหนุ่ม เพราะเกรงว่ากรกฎจะเผยความลับของตนออกไปมากกว่านี้นั่นเอง

   “ร้ายจริง ๆ นะครับ คุณเลขา ... นี่เรียกว่าแก้แค้นส่วนตัวด้วยหรือเปล่าครับนั่น”

   หมอเพชรเอ่ยแซว หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของแขกทั้งสองไกลออกไป 

   “ไม่ต้องมาแซวเลยนะครับ แทนที่จะช่วยพูดกันบ้าง”

   กรกฎหันกลับมาบอกคนป่วยด้วยความหมั่นไส้ ที่อีกฝ่ายไม่คิดจะช่วยเขาเลยสักนิด

   “หึ ๆ ก็ผมอยากดูว่าคุณเลขาจะบอกคุณเวธน์เรื่องนี้ยังไงน่ะสิครับ”

   กรกฎทำเสียงบ่นพึมพำอุบอิบแผ่วเบา เพราะอีกฝ่ายนั้นจงใจแกล้งเขาชัด ๆ เนื่องจากเจ้าตัวย่อมรู้อยู่เต็มอกว่า ถึงยังไงเขาก็ไม่คิดจะเล่าความจริงให้เวธน์ฟังอยู่แล้ว

   “ผมว่าตัวเองตัดสินใจผิดเรื่องคิดคบกับคุณแล้วล่ะ คุณหมอ”

   กรกฎประชดใส่ ทำให้คนป่วยอมยิ้ม แล้วดึงมือคนที่กำลังเดินไปห่างเตียงให้หยุดเสียก่อน

   “ไม่เอาน่ากรกฎ ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณลำบากใจ เกิดผมแก้ตัวไม่เข้าท่า แล้วคุณไม่พอใจ คุณเวธน์ก็สงสัยเข้าพอดี”

   กรกฎเหลือบมองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อนัก ทว่าสักพักเขาก็ต้องถอนหายใจ เพราะการที่จะไล่ต้อนคนอย่างหมอเพชรให้จนมุมได้นั้น ย่อมเป็นเรื่องยากมากทีเดียว

   “เอาเถอะครับ ไว้เดี๋ยวผมจะบอกคุณเวธน์ว่า ผมคุยกับคุณถูกคอดี เลยตัดสินใจคบกัน แค่นั้นก็พอ ...คุณเองเวลาใครถามก็ตอบให้เหมือนกันล่ะ”

   คนฟังอมยิ้ม พลางออกแรงแกล้งดึงแขนอีกฝ่ายแรง ๆ จนกรกฎเสียหลักเซล้มลงบนอกกว้างของคนป่วย แต่พอเลขาหนุ่มจะยันกายลุกหนี เขาก็ต้องถูกอ้อมแขนแข็งแรงนั่นตวัดรัดร่างเอาไว้ พลางรั้งศีรษะของตนให้เข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ของอีกฝ่าย

   “คุณหมอ...ปล่อยผมนะ”

   กรกฎพยายามร้องห้ามเสียงแผ่ว เพราะเขารู้สึกเหมือนว่าใบหน้าของตนจะร้อนวูบวาบแทบไม่แตกต่างอะไรกับลมหายใจของอีกฝ่ายเลยสักนิด

   “ทำไมล่ะ...รังเกียจกันหรือ”

   หมอเพชรพึมพำ ริมฝีปากที่แตะเฉียดไปมายิ่งเรียกให้เลือดในกายของเขาร้อนระอุมากขึ้น

   “ไม่ใช่สักหน่อย...ผมแค่...”

   กรกฎพูดด้วยน้ำเสียงสั่น หัวใจเต้นแรงที่หมอหนุ่มสัมผัสได้ ทำให้คนป่วยอมยิ้มแล้วจึงไม่คิดรอคำตอบของอีกฝ่ายต่อไป แต่กลับใช้ฝ่ามือกดรั้งศีรษะของกรกฎเข้ามาใกล้ จนริมฝีปากของพวกเขาบดเบียดแนบชิดผสานกันในที่สุด

   “โถ่! คุณเวธน์! เชื่อผมเถอะครับ ผมแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง! ….กาย! นายรีบแก้ตัวให้ฉันเลย...”

   เสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอก ทำให้กรกฎสะดุ้งเฮือก ทว่ายังไม่ทันดันตัวออกห่างจากหมอหนุ่ม ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เปิดประตูพรวดเข้ามาเสียแล้ว กรกฎหันไปมองก็เห็นปาลินยืนตกตะลึงอ้าปากค้างที่พูดไว้ ส่วนเวธน์ที่ถูกฉุดแขนตามมาก็มีอาการอึ้ง ๆ ไม่แพ้อีกฝ่ายเช่นกัน

   “ง่า...ดูเหมือนว่านายกับหมอเพชรกำลังยุ่งอยู่ใช่ไหม...งั้นไว้ช่วยอธิบายเรื่องของฉันกับคุณเวธน์วันหลังแล้วกัน...คุณเวธน์ครับ เรากลับสำนักงานกันเถอะครับ”

   เวธน์ซึ่งกำลังอึ้งอยู่ พยักหน้าตอบรับเบา ๆ ลืมไปแล้วว่าตอนนี้กำลังโกรธกับปาลินอยู่

   “อืม...กลับก็กลับ...”

   กรกฎที่พอจะตั้งสติได้รีบยันกายลุกจากอ้อมกอดของหมอหนุ่ม ทว่ายังไม่ทันจะเอ่ยปากแก้ตัว เวธน์ที่กำลังจะปิดประตูห้องก็ชะโงกหน้ามาบอกกับลูกน้องของเขาด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ

   “ถ้ายังไงวันนี้นายลาเลยก็ได้...งานที่เหลือเดี๋ยวฉันกับปาลจัดการให้เอง  อ้อ...แล้วก็ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ”

   “เดี๋ยวครับคุณเวธน์!”

   กรกฎเตรียมจะลุกตามอีกฝ่ายไป ทว่าก็ต้องหลุดอุทานอย่างตกใจ เมื่อคนป่วยรั้งเอวเขาไว้ให้ล้มตัวนอนไปด้วยกันบนเตียงอีกครั้ง

   “คุณหมอ!”

   “ช่างสองคนนั่นเถอะน่ากรกฎ พวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเราคบกัน พวกเขาไม่เอาเรื่องของคุณไปล้อหรอก...เรามาต่อกันจากเมื่อครู่นี้ดีกว่า”   

   หมอเพชรยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำเอาเลขาหนุ่มนึกฉุนที่อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจจนน่าหมั่นไส้

   “คุณนี่มัน...”

   “มันทำไมหรือครับ คุณเลขา”

   คนป่วยแสร้งย้อนถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มระรื่น ทำเอาคนถามต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “...มันน่าจะทุบสักทีสองที ให้หายหมั่นไส้น่ะสิครับ”

   กรกฎบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้อีกคนชะงักก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นยิ้มอ่อนโยนส่งให้แทน

   “ถ้าเป็นคุณเลขา จะทำยิ่งกว่าทุบผมก็ยอมนะ...”

   คนฟังทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นิด ๆ แล้วจึงย้อนประชดกลับไป

   “ยังไม่ทำตอนนี้หรอกครับ ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกคนป่วย”

   หมอเพชรอมยิ้มพลางรั้งใบหน้าของเลขาหนุ่มให้เข้ามาใกล้ชิดใบหน้าของตนมากขึ้น

   “ถ้าไม่อยากเป็นฝ่ายรังแก ก็ช่วยดูแลกันหน่อยได้ไหม”

   “...ไม่กลัวผมจะติดหวัดแล้วหรือครับ”

   กรกฎถามเสียงแผ่ว หัวใจเริ่มเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง

   “อืม...มาถึงตอนนี้ไม่กลัวแล้วล่ะ ...จริง ๆ คุณติดหวัดต่อจากผมก็ดีนะ  ผมจะได้คอยดูแลคุณตอบแทนบ้างยังไงล่ะ”

   คนป่วยกระซิบตอบ ก่อนจะบรรจงจูบแผ่วเบาไปทั่วใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ อย่างไม่คิดหยุด

   “คุณหมอ...เดี๋ยวสิครับ...”

   กรกฎที่ไม่อาจต้านทานสัมผัสของอีกฝ่ายได้รีบร้องครางห้าม เพราะขืนปล่อยให้หมอเพชรนัวเนียเขาต่อไปอีก มีหวังเขาเองก็คงต้องหลงลืมตัว และยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้ชายหนุ่มทำมากกว่านี้เป็นแน่

   “หืม...มีอะไรหรือ” 

   หมอเพชรพึมพำถาม โดยที่ยังไม่ยอมเงยหน้าจากซอกคอขาว ๆ ของคนรัก

   “เอ่อ...ประตูยังไม่ได้ล็อกนะครับ...เกิดมีใครพรวดพราดเปิดเข้ามาอีก...” 

   คำแก้ตัวของเลขาหนุ่ม ทำให้คนฟังอมยิ้มแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาทำเป็นยิ้มหวานใสซื่อส่งให้

   “หือ...อืม...นั่นสินะ งั้นผมไปปิดประตูให้แล้วกัน...”

   “ไม่ต้องหรอกครับ! เอ่อ...ผมไปปิดเองดีกว่า”

   กรกฎรีบร้องห้าม และยันกายออกห่างจากอ้อมกอดของคนป่วย โดยที่อีกฝ่ายนั้นก็ยอมปล่อยให้เลขาหนุ่มลุกขึ้นไปแต่โดยดี ทว่าพอกรกฎลุกยืนข้างเตียงและเตรียมเดินออกไป หมอเพชรก็ยกมือขึ้นจับข้อมือของคนรักเอาไว้เสียก่อน

   “แล้วอย่าคิดหนีล่ะครับคุณเลขา ...”

   คนถูกพูดแทงใจดำสะดุ้งโหยง ก่อนจะพยายามเก๊กสีหน้านิ่งเฉย พร้อมตอบกลับไป

   “จะหนีทำไมล่ะครับ...ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวจนต้องหนีสักหน่อย”

    หมอหนุ่มมองคนทำเป็นไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นขึ้นสีเรื่อให้เห็นชัดเจน

   “หึ ๆ นั่นสินะ...คุณออกจะเก่งรอบด้านเสียขนาดนี้ จะมากลัวอะไรกับแค่เรื่องบนเตียงของคู่รัก จริงไหมครับ”

   กรกฎสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองแผ่วเบาอย่างนึกหมั่นไส้

   “...หมอลามก”

   “อะไรนะครับ”

   คนหูดีแสร้งทำเป็นย้อนถาม แต่อีกฝ่ายนั้นกลับค้อนขวับใส่เขา แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

   “ผมเปล่าพูดสักหน่อย คุณหมอหูแว่วไปเองต่างหาก ไม่สบายก็งี้ล่ะครับ”

   “หึ ๆ หรือครับ”

   หมอเพชรหัวเราะในลำคออย่างนึกเอ็นดู และมีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างรู้ทัน ทำให้กรกฎยิ่งหมั่นไส้มากขึ้น เจ้าตัวเดินตรงไปที่ประตูห้อง ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อคนป่วยโพล่งตามไล่หลังเขามา

   “อ้อ! ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ฝากวานช่วยล็อกประตูรั้วกับประตูหน้าบ้านด้วยเลยนะครับคุณเลขา ...จะได้ไม่มีใครย่องขึ้นมาแอบฟังตอนเรา...นอนคุยกันยังไงล่ะครับ”

   หมอเพชรแสร้งเว้นวรรค ทำให้คนฟังหน้าแดงวาบด้วยความอาย แล้วจึงค้อนใส่ให้อีกครั้ง  ทว่าก็ยังคงเดินออกไปปิดประตูชั้นล่างตามอีกฝ่ายบอกอยู่ดี  พลางคิดเข้าข้างตัวเองว่า ที่เขาทำตามเพราะไม่อยากให้ใครมารบกวนเวลาพักผ่อนของหมอหนุ่ม ไม่ใช่เพราะว่าอยากทำเรื่องต่อจากก่อนหน้านี้ โดยไม่มีคนขัดจังหวะ อะไรนั่นสักหน่อยล่ะนะ…

… จบตอน ...

 

อาทิตย์ที่ผ่านมา ปัดต้องเคลียร์เรื่องนิยายรีปริ้นท์ แพค 4 และ 5 ที่ส่งไปแล้วเมื่อวันศุกร์ 13 ธ.ค. และถึงมือผู้รับบางส่วนในวันเสาร์ 14 ธ.ค. เรียบร้อย...ทำให้วุ่นวายจนไม่ได้ปั่นนิยายต่อเลย ทั้งตอนพิเศษเรื่องนี้ และเรื่อง รวมพลคนไล่ล่าอีกเรื่อง

  ส่วน เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ก็ยังเปิดจองโอนเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 10 ม.ค. ตามรายละเอียดจาก luv-book.com เหมือนเดิมนะคะ    ตอนนี้ก็ต้องกลับมาปั่นเรื่องสั้นในเล่ม และลงบอร์ดต่อ  สำหรับลงบอร์ด เดี๋ยวตอนหน้าปัดจะเอาคู่นายปัณณ์ กับ คุณไกร มาลงให้อ่านนะคะ รอติดตามได้จ้ะ ตอนสั้น ๆ อ่านเพลิน ๆ สบาย ๆ เช่นเดิมค่ะ  //ส่วนบู๊ ๆ ยาว ๆ เจอกันในเล่มค่ะ  ^^"

ทำไมปีนี้ฉันงานเข้าตลอดเลยนะเนี่ย ทั้งงานหลวง งานราษฏร์ ...สงสัยต้องเพิ่มความขยันมากกว่านี้เสียแล้ว  นิยงนิยายไม่เดินเลย เฮ้อ ... นักอ่านอย่าเพิ่งทิ้งเค้านะคะ    :hao5:



หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ (ต่อ) (14/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 14-12-2013 21:08:11
ยังไม่อยากให้จบตอนเลยอ่ะ 
อยากอ่านต่อว่าคุณเลขาจะโดนหมอเจ้าเล่ห์จัดการยังไง  :hao6:

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ (ต่อ) (14/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-12-2013 00:03:10
คุณหมอเจ้าเล่ห์สุดๆ จริงๆ

ส่วนคู่นายปัณณ์ กับ คุณไกร น่าสนใจอ้ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ (ต่อ) (14/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 16-12-2013 08:13:52
คุณเลขาอย่าล็อคแน่นนะคะ เดี๋ยวจะย่องไปแอบส่องว่าเรื่องบนเตียงจะเป็นยังไง อิอิ
เรื่องของปัณณ์กับไกร~
มานั่งรออย่างใจจดใจจ่อค่าาา
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-12-2013 19:56:59


ตอนพิเศษ “เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ.”
เรื่องของ พ่อค้ากับข้าว และ คุณพ่อมด
...........................



         เสียงทำนองเพลงที่ดังขึ้นทำให้คนกำลังนอนหลับสบายต้องงัวเงียมาควานหามือถือซึ่งวางไว้แถวหัวเตียง ก่อนจะหยิบขึ้นมามองเบอร์คนโทร แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมปลายสายถึงกล้าโทรมาปลุกเขาตอนตีสามแบบนี้

        “...มีอะไรหรือไงปัณณ์ ถึงได้โทรมาหาฉันตอนนี้น่ะ”

        ไกรสรถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียปนหงุดหงิดนิด ๆ แล้วก็นึกแปลกใจที่ปลายสายนั้นเงียบไปนาน ทั้งที่ปกติเจ้าตัวจะต้องพูดจ้อจนเขาพูดแทรกไม่ทันเป็นประจำแท้ ๆ

        “ปัณณ์...นายอยู่ในสายหรือเปล่าน่ะ”

        คนพูดย้ำถามอีกรอบ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเสียงแหบ ๆ ที่ตอบกลับมา

        “อยู่... แต่ปวดหัว แล้วก็เจ็บคอมากด้วย...เลยไม่อยากพูดมาก”

        “เป็นอะไรไป? ป่วยหรือไง? เมื่อตอนเช้ายังเห็นร่าเริงดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ”

        ไกรสรถามกลับไปอย่างแปลกใจ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เขาก็ไม่คิดหรอกว่าอีกฝ่ายนั้นจะแกล้งหลอกเขา และอีกอย่างตั้งแต่คบหากันมา ปัณณ์ไม่เคยโกหกเขามาก่อน พ่อมดหนุ่มเป็นคนปากตรงกับใจ ถึงแม้ส่วนใหญ่มักจะเป็นการพูดโดยไม่คิดไตร่ตรงก่อนเสมอก็ตาม

        “จะไปรู้หรือไงว่าจู่ ๆ ก็ป่วยได้ยังไง... อ๊ะ...สงสัยจะติดหวัดจากหมอเพชร ตอนไปเยี่ยมเขาแน่เลย”

        คนฟังขมวดคิ้วนิด ๆ กับสิ่งที่ได้ยิน

        “ติดหวัดจากหมอเพชร? เขาไม่สบายหรอกหรือ...อืม มิน่าล่ะ ถึงไม่เห็นหน้าตอนเช้ามาสองสามวันแล้ว ...ว่าแต่นายน่ะไปทำอีท่าไหนล่ะนั่น แค่ไปเยี่ยมก็ดันติดหวัดมาได้...นี่แสดงว่าช่วงนี้โต้รุ่งทำงานอีกแล้วใช่ไหม ร่างกายมันเลยไม่ค่อยจะมีภูมิต้านทานเหมือนชาวบ้านเขา ... แล้วนี่ได้กินยาบ้างหรือยังน่ะ นายยิ่งเป็นพวกกินยายากกับเขาอยู่ด้วย...”

        “ถ้านายมีเวลาบ่นใส่ฉันขนาดนี้...นายแวะมาช่วยดูอาการฉันที่บ้านนี่ไม่ดีกว่าหรือไงไกร...แค่ก ๆ”

        ปลายสายบ่นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แถมไอตามมายกใหญ่ จนคนฟังอ่อนใจ

        “ไปอยู่แล้วน่า ก็เล่นโทรมาจิกตามกันแบบนี้นี่นา”

        คำเปรยบ่นของอีกฝ่ายทำให้พ่อมดหนุ่มเริ่มไม่สบอารมณ์ แล้วประชดกลับไป 

        “ฮึ...ถ้าไม่เต็มใจ ก็ไม่ต้องมาก็ได้...แค่นี้นะ!”

        ไกรสรนิ่งอึ้งเมื่อปลายสายตัดการสนทนาทิ้ง แถมยังปิดเครื่องหนีตอนเขาโทรกลับไปหาอีกต่างหาก

        “เฮ้อ! ช่วยไม่ได้ล่ะนะ...”

        ร่างสูงใหญ่ยันกายลุกขึ้นจากเตียงนอนเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า เลือกชุดในนั้นออกมาสามสี่ชุดและหยิบกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกมา ก่อนจะนำของใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าใส่ไปในกระเป๋าของตน เนื่องจากมั่นใจว่าพ่อมดหนุ่มคงจะป่วยหนักจริง ๆ และเขาเองก็คงต้องคอยอยู่ดูแลที่บ้านของปัณณ์จนกว่าเจ้าตัวจะหายดีอีกตามเคย

       

        ไกรสรถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อประตูรั้วรวมถึงประตูหน้าบ้านของพ่อมดหนุ่มนั้นไม่ได้ล็อกเอาไว้เหมือนดังเช่นทุกครั้ง  แม้เขาจะรู้ดีว่าในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครที่จะมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย แถมระบบรักษาความปลอดภัยอย่างอเล็กซ์ก็คอยดูแลหมู่บ้านเป็นอย่างดี แต่นิสัยประมาทไม่คิดหน้าคิดหลังของปัณณ์ ก็มักทำให้เขาเอือมระอาและนึกเป็นห่วงอยู่เสมอ

        “ปัณณ์...ฉันมาแล้ว  นายเป็นยังไงบ้าง”

        ไกรสรซึ่งเข้ามาถึงห้องพักบนชั้นสองของอีกฝ่าย ถามคนที่นอนเหม่อมองเพดานอยู่บนเตียง ซึ่งพอปัณณ์เหลือบไปเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร เจ้าตัวก็ทำเสียงในลำคออย่างหงุดหงิด แล้วนอนพลิกตะแคงหันหลังให้แทน

        “เฮ้อ! ยังไม่หายโกรธอีกหรือไง ...นายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่า ถ้านายเป็นคนเรียกหา ต่อให้นายสบายดีหรือจะป่วย ถึงยังไงฉันก็ต้องมาหานายอยู่ดี”

        คำพูดพร้อมกับเตียงนอนที่ยวบลง ทำให้คนที่นอนหันหลังให้ หันกลับมามองอีกฝ่ายนิ่ง

        “...ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่า นายไม่ใช่ ‘ทาสรับใช้’ ของฉันอีกแล้ว  ฉันคืนอิสระให้นายไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ...แล้วนายก็ตัดสินใจเลือกที่จะแยกห่างออกจากฉันไปเอง ไม่ใช่หรือไง”

        น้ำเสียงพึมพำแผ่วเบาและใบหน้าเรียบเฉยผิดเคยทำให้คนมองตอบถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือใหญ่ของตนไปลูบศีรษะคนนอนอยู่อย่างอ่อนโยน

        “ใช่...ฉันไม่ใช่ทาสรับใช้ของนายอีกต่อไปแล้ว แต่ตอนนี้ฉันเป็น...”

         ไกรสรชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงฝืนยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ

          “ฉันเป็นเพื่อนของนาย...เพื่อนที่จะไม่มีวันทิ้งนาย และจะมาอยู่เคียงข้างนายเสมอ ยามที่นายต้องการยังไงล่ะ”

        “ฮึ...จะไม่มีวันทิ้งกันอย่างนั้นหรือ...อย่าพูดให้ขำเลยน่า”

        ปัณณ์บอกแล้วปัดมือของอีกฝ่ายทิ้ง ก่อนจะนอนหันหลังให้อีกครั้ง

        “ปัณณ์...เฮ้...”

        ไกรสรเอื้อมมือไปจับไหล่อีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แต่เจ้าของร่างก็สะบัดหนี แล้วนิ่งเฉย ทำให้ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปกระซิบเรียกชื่อหนึ่งข้างหูของพ่อมดหนุ่ม

        “ฟิ......”

        ร่างที่นอนเงียบ ๆ สะดุ้งโหยง แล้วหันขวับกลับมาทันที ก่อนพลันชะงักเมื่อริมฝีปากของตนเฉียดกับริมฝีปากของอีกฝ่ายไปแผ่วเบา

         “อย่าเรียกชื่อนั้น... ถ้านายไม่คิดจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมอีกครั้ง...”

        ปัณณ์พึมพำบอกคนที่จ้องตาเขาอยู่ ซึ่งไกรสรก็ถอนหายใจออกมาค่อย ๆ แล้วแย้งกลับไป

        “คนที่เป็นฝ่ายบังคับให้ฉันต้องออกไปอยู่ที่อื่น มันเป็นนายต่างหากไม่ใช่หรือ”

        “ฉันนี่นะบังคับ ...ฉันพูดตอนไหนว่าให้นายออกไปอยู่ที่อื่น ตอนนั้นนายต่างหากที่เป็นฝ่ายขอออกจากหมู่บ้านไปเองนะ!”

        ปัณณ์เถียงกลับ แล้วไอตามมาชุดใหญ่จนไกรสร ต้องรีบลุกไปหาน้ำอุ่นมาให้อีกฝ่ายดื่ม และพอได้ดื่มน้ำแล้ว ปัณณ์ก็จ้องอีกฝ่ายเพื่อดูว่าเจ้าตัวจะตอบยังไง

        “ก็ฉันบอกความรู้สึกของตัวเองกับนายในตอนนั้น แต่นายก็ปฏิเสธฉัน แล้วเลือกเขาแทนไม่ใช่หรือไง”

        “เลือก? ...บ้ารึ! ฉันกับคุณเจ้าของที่ดินไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย พวกเราเป็นเพื่อนกันต่างหาก!”

        ไกรสรขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่อยากเชื่อนัก เพราะตอนที่พวกเขาได้รู้จักกับจำเริญ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแห่งนี้ในรุ่นแรกนั้น ปัณณ์ก็แสดงท่าทางในแบบที่เขาไม่เคยได้พบเห็นพ่อมดหนุ่มเป็นมาก่อน ...ภาพใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนจริงใจ อาการหัวอ่อนยอมฟังในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดแต่โดยดี... มีเพียงแต่จำเริญที่ทำให้คนอย่างปัณณ์เป็นเช่นนั้นได้ 

        “โอเค! ฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันชอบเขา เพราะเขาเป็นมนุษย์อย่างที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อน เขาเป็นคนที่ฉันอยากใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เดียวกันแบบนั้นไปเรื่อย ๆ  แต่ไม่ใช่แบบเดียวกับที่อยากอยู่กับนายนี่...แค่กๆๆ”

        ปัณณ์ที่เห็นสายตาสงสัยของร่างสูงใหญ่ที่มองมายังตน บอกไปตามตรงด้วยน้ำเสียงโพล่งดังจนเผลอหลุดไอออกมา ทำให้คนมองอยู่ตกใจแล้วประคองร่างของอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำในมือตน

        “ใจเย็น ๆ อย่าตะโกนสิ...จิบน้ำก่อนนะ...”

        ปัณณ์เหลือบมองคนที่แสดงถึงความห่วงใยตนสักครู่ ก่อนจะยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย  ซึ่งไกรสรก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างโล่งอกเมื่อเห็นพ่อมดหนุ่มยอมสงบลงบ้าง เขานำแก้วน้ำไปวางที่โต๊ะข้างเตียง แล้วจึงหันมาคุยกับอีกฝ่ายถึงเรื่องที่ยังคาใจเมื่อครู่ต่อ

        “...แต่เวลาฉันมาที่หมู่บ้าน ฉันก็เห็นนายสนิทกับเขาดีไม่ใช่หรือ”

        ปัณณ์ชะงักแล้วจ้องมองคนตัวโตที่นั่งบนเตียงข้างเขาอย่างหงุดหงิด

        “นั่นฉันทำประชดต่างหาก! ประชดคนงี่เง่าที่เลือกทิ้งให้ฉันอยู่ที่หมู่บ้านนี้คนเดียว เพราะรำคาญไม่อยากอยู่ด้วยกันกับคนเอาแต่ใจอย่างฉันไงล่ะ!”

        เจ้าตัวโพล่งกลับไปด้วยน้ำเสียงติดห้วน แต่ก็พยายามไม่ตะโกนมาก เพราะเริ่มรู้สึกเจ็บคอขึ้นมาอีก ทว่าคนที่ได้ยินประโยคนั้นถึงกับนิ่งอึ้งแล้วย้อนถามกลับไปอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

        “เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ...”

        “ฉันเคยโกหกนายหรือไง!”

        ปัณณ์ค้อนให้อย่างนึกฉุนที่คนตรงหน้าไม่ยอมเชื่อที่เขาบอกสักที

        “แล้วทำไมหลังจากที่คุณจำเริญตายไปแล้ว นายถึงไม่ยอมตอบรับฉันเรื่องที่จะขอกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมล่ะ...”

        ไกรสรถามกลับอย่างมึนงง พลางหวนนึกถึงตอนงานศพของจำเริญ ตอนนั้นเขาลองเสี่ยงถามปัณณ์อีกครั้งว่า ต้องการให้เขากลับมาอยู่ด้วยอีกไหม ทว่าพ่อมดหนุ่มกลับไม่มีคำตอบให้เขา และหลังจากวันนั้นเขาจึงไม่คิดชวนปัณณ์คุยเรื่องนี้อีกเลย เนื่องจากปักใจเชื่อว่าเขาคงหมดหวังเข้าให้แล้วจริง ๆ

        “...เหอะ! จำไม่ได้เลยสินะว่าสายตาของตัวเองตอนนั้นมันเป็นแบบไหน! เรื่องอะไรฉันจะยอมตอบรับคำขอร้องที่แสดงถึงความสมเพชเวทนาตัวฉันเอง จากนายแบบนั้นกัน!” 

         ปัณณ์ตอบคำถามอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด และเมื่อเห็นสีหน้าอึ้ง ๆ ของไกรสร ก็ทำให้พ่อมดหนุ่มยิ่งโมโหมากขึ้น แล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่ายตามเดิม   

         “...ตกลงว่านายไม่รังเกียจฉันหรอกหรือ... แล้วทำไมนายถึงปฏิเสธตอนฉันสารภาพรักกับนายเมื่อสิบปีก่อนนั้นล่ะ”

        คำถามต่อมาของไกรสรที่เริ่มขยับเข้ามาใกล้และลูบไล้เส้นผมดำยุ่งของตน ทำให้ปัณณ์ชะงักแต่ก็ไม่คิดจะขยับหลบหรือปัดมือที่มอบสัมผัสอันอ่อนโยนให้ตนทิ้งอีกครั้ง  พ่อมดหนุ่มซุกหน้าหลบกับหมอนใบใหญ่ พร้อมพึมพำตอบคำถามนั้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา

        “...ก็ฉันทำตัวไม่ถูกน่ะสิ... ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ฉันกับนายอยู่ในฐานะเจ้านายกับผู้ติดตามรับใช้มาโดยตลอด ...แล้วพอฉันบอกคืนอิสระให้นายปุ๊บ นายก็ดันมาสารภาพรักกับฉันปั๊บ ...ใครหน้าไหนมันจะตั้งตัวติดกันเล่า ...แถมพอฉันคิดว่าจะลองเปิดใจให้กับนายในด้านนั้นบ้าง ...แต่นายก็ดันเลือกย้ายไปอยู่ที่อื่นแทนซะงั้น ...แล้วก็ยังไม่สนใจหรือแสดงท่าทางหึงหวงให้เห็น เวลาฉันอยู่กับคุณจำเริญเลยสักนิด ....แบบนี้ใครหน้าไหน มันจะไปกล้าย้ำถามกันล่ะว่า ตกลงนายยังจะคิดกับฉันแบบเดิมอีกหรือไม่น่ะสิ!”

        คำสารภาพยืดยาวทำให้คนฟังถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง รู้สึกทั้งฉุนทั้งขันในคราเดียวกัน เพราะมันเหมือนกับปัณณ์จะบอกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา คนที่ผิดคือเขาคนเดียวเสียอย่างนั้น 

        “...แล้วเมื่อครู่ นายก็ยังบอกว่าพวกเราเป็นแค่เพื่อนกันอีก... นี่แสดงว่านายไม่ได้คิดกับฉันแบบนั้นแล้วสินะ...”

        คำถามแผ่วเบาที่ตามมา ทำให้ไกรสรชะงักนิ่งไปสักพัก แล้วจึงหลุดหัวเราะค่อย ๆ ในลำคอเมื่อเห็นคนที่นอนหันหลังให้รวบผ้าห่มขึ้นมากระชับแน่นด้วยความน้อยใจ  เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงชะโงกหน้าไปจูบที่เส้นผมดำขลับของอีกฝ่ายแผ่วเบา

         “นายนี่นะ...ทำยังกับไม่รู้จักนิสัยฉันไปได้... นายก็รู้ดีนี่ว่า ฉันเป็นคนมั่นคงขนาดไหน ...ถ้าคิดกับนายแค่เพื่อนอย่างเดียว ป่านนี้ฉันคงไม่มานั่งทนฟังนายบ่นอยู่แบบนี้หรอก”

        ปัณณ์หันกลับมามองคนพูดอย่างไม่แน่ใจนัก ทว่าพอได้เห็นแววตาซื่อตรงจริงใจ รวมไปถึงรอยยิ้มอ่อนโยนที่ยังคงไม่เคยแปรเปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนหน้านั้น ก็ทำให้เขาหลุบตาลง แล้วพึมพำตอบกลับไปเสียงแผ่ว

        “...ทีแรกฉันก็ไม่คิดอยากจะพูดเรื่องนี้กับนายหรอกนะไกร ...แต่พอเห็นคนอื่น ๆ เขามีความสุข เวลาได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก... ฉันก็คิดอยากมีความสุขแบบนั้นบ้าง... ฉันเหงามากเลยนะ ตั้งแต่ที่นายไม่อยู่ด้วยกันที่นี่น่ะ”

        ไกรสรอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้รับฟัง ถึงแม้ภาพลักษณ์ในยามนี้ของปัณณ์จะเปลี่ยนไปจากอดีตมากสักเพียงใด ทว่าภายในของปัณณ์ก็ไม่เคยเปลี่ยน พ่อมดหนุ่มแม้จะเป็นตัวปัญหา ดูร่าเริงไร้ทุกข์ร้อนเสมอในสายตาของใครหลายคน แต่จริง ๆ แล้ว เจ้าตัวกลับเป็นคนขี้เหงาและโหยหาความรักมากกว่าผู้ใด ...และเพราะนิสัยที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก รวมถึงพลังเวทอันมหาศาล  จึงทำให้แม้แต่พวกพ่อมดแม่มดด้วยกันยังตีตัวออกห่าง  เขาจึงมักจะได้เห็นปัณณ์อยู่โดดเดี่ยวมาตลอดเสมอ

         สำหรับตัวไกรสรเองนั้น ในอดีตที่ผ่านมาหลายร้อยปี เขาเคยเป็นถึงอมนุษย์ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าแห่งป่า ปกครองผืนป่ากว้างซึ่งเต็มไปด้วยอมนุษย์มากมายหลายเผ่าพันธุ์... ทว่าเมื่อได้พบเจอกับพ่อมดหนุ่มในครั้งแรก เขากลับถูกอีกฝ่ายผูกมัดด้วยอาคมอันแข็งแกร่ง เพื่อบังคับให้เขากลายเป็นทาสรับใช้ของเจ้าตัว  แม้ครานั้นเขาจะเคยนึกแค้นเคืองที่ถูกพรากอิสระสักเพียงใด  ทว่าหลังจากได้อยู่เคียงข้างติดตามพ่อมดหนุ่มย้ายถิ่นไปเรื่อย ๆ ในแต่ละประเทศ  ก็ทำให้ความโกรธแค้นนั้นเริ่มเปลี่ยนแปรเป็นความรักในที่สุด

        “ไกร... นายจะกลับมาอยู่ด้วยกันแบบเดิมอีกได้ไหม”

        คำถามนั้นทำให้คนกำลังเหม่อลอยชะงัก แล้วจึงจ้องมองตอบอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ พร้อมเปรยขึ้นลอย ๆ

        “แต่ที่นี่ไกลตลาดน่าดูเลยนะ ที่อยู่เก่าฉันขับรถไปนิดเดียวก็ซื้อของได้แล้ว...”

        คำพูดนั้นทำให้คนที่กำลังรอลุ้นฟังถึงกับชะงัก แล้วจึงแสดงความน้อยใจผ่านน้ำเสียงตะคอกอย่างขุ่นเคืองกลับไปแทน

        “ฮึ! งั้นก็กลับไปเลยไป! นี่ก็ใกล้เช้าแล้วไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวก็ไม่ทันไปทำงานขายกับข้าว ที่นายรักนักรักหนานั่นหรอก!”

        ไกรสรอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู เพราะเขาเองก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าปัณณ์นั้นคงจะทำตัวพูดง่ายอ่อนหวานน่ารักแบบที่เป็นอยู่นี้ได้ไม่นานนักแน่ เพราะขนาดกำลังอ้อนเขาอยู่แท้ ๆ แต่พอเขาพูดขัดหูเข้าหน่อย เจ้าตัวก็พร้อมจะกลับมาเป็นจอมโวยวายคนเดิมได้ในทันที

        “ไม่เอาน่า อย่าโมโหสิ ... ฉันชอบงานขายกับข้าวที่ทำอยู่ก็จริง...แต่ก็ไม่ถึงกับรักนักรักหนา แบบที่นายบอกหรอกน่า...เพราะถ้าให้ฉันเลือกระหว่างงานกับนาย ฉันก็เลือกนายอยู่แล้วล่ะนะ”

        คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดถึงกับชะงัก ใบหน้าขุ่นเคืองที่แดงด้วยพิษไข้อยู่แล้ว ก็ยิ่งแดงเข้มขึ้นไปใหญ่

        “พะ...พูดอะไรชวนเลี่ยนแบบนั้นน่ะ!  ขนาดนิยายรักที่ฉันเขียน ฉันยังไม่กล้าใช้คำพูดแบบที่นายพูดเลยนะ!”

        ไกรสรหัวเราะต่อคำพูดแก้เขินของคนป่วย พลางหวนคิดถึงเนื้อหาในนิยายของเจ้าตัว ที่เขามักจะโดนยัดเยียดให้อ่านประจำ

        “ฮะ ๆ ฉันว่าฉันพูดปกติออกนะ ขืนพูดเลียนแบบในนิยายนายแทนล่ะก็ นั่นสิถึงดูประหลาด  นี่ฉันยังแปลกใจจนถึงทุกวันนี้เลยว่าทำไมถึงมีสำนักพิมพ์มาสนใจขอนิยายนายไปพิมพ์ขายได้น่ะ...โอ๊ย!”

        ไกรสรหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บนิด ๆ เพราะปัณณ์นั้นคว้าหมอนฟาดใส่เขาด้วยความโมโห

        “อย่ามาว่านิยายของฉันนะ! นายมันพวกไร้เซนส์..แค่ก ๆ ๆ โอ๊ย! รำคาญตัวเองจริง! แค่ก ๆ ๆ”

        พ่อมดหนุ่มนึกหงุดหงิดทั้งคนตรงหน้าและตัวเองที่ป่วย แต่อาการไอหอบจนตัวโยนเช่นนั้น ก็ทำให้คนที่มองอยู่ตกใจและรีบห้ามให้อีกฝ่ายเย็นลงทันที

        “เฮ้ย! ปัณณ์! ใจเย็น ๆ อย่าตะโกนแบบนั้นสิ  ชู่ว...ใจเย็น ๆ นะ ฉันขอโทษที่ทำให้นายโกรธ ยกโทษให้ฉันนะ”

        ไกรสรรวบร่างคนป่วยมากอดปลอบ ทำให้คนโวยวายเริ่มสงบลง แต่ก็ยังคงบ่นตามมาเบา ๆ

        “ฮึ...เห็นแก่ที่รีบมาดูแลกันหรอกนะ ...ถึงยอมยกโทษให้น่ะ”

        “อือ ๆ ฉันรู้ว่านายเป็นคนใจดี ใจกว้างอยู่แล้ว...”

        ไกรสรตอบกลับพร้อมรอยยิ้มแต่คำชมนั้นกลับทำให้คนฟังรู้สึกแปลก ๆ พิลึก 

        “ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่เหมือนว่าถูกชมเลยล่ะ”

        “หึ ๆ นายคิดไปเองต่างหาก”

        ชายหนุ่มร่างใหญ่บอกพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ ซึ่งนั่นก็ทำให้อีกคนขมวดคิ้วยุ่ง แต่สักพักก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ แล้ววกเข้าหาในสิ่งที่ตนอยากได้ยินคำตอบแทน

        “...เฮอะ! ช่างเหอะ ...ว่าแต่...”

        “ทำไมหรือ...”

        ไกรสรแสร้งย้อนถามกลับ แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการจะพูดอะไร

        “ก็...เอ่อ...ตกลง นายจะยอมกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมไหม...”

        “แล้วถ้าฉันตอบว่าไม่ล่ะ”

        คำตอบนั้น ทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดขืนตัวแล้วย้อนกลับไปเสียงแผ่วด้วยความน้อยใจ

        “...ถ้าเป็นแบบนั้นใครจะบังคับนายได้ล่ะ นายกับฉันเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไปแล้วนี่”

        ไกรสรอมยิ้มพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับกระซิบบอกข้างหูพ่อมดหนุ่มด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน

        “อย่าพูดแบบนั้นสิ...ฉันก็แค่อยากรู้เท่านั้นว่านายจะตอบยังไง... อีกอย่างฉันก็บอกแล้วไงว่า ถ้าเป็นคำขอร้องของนาย ฉันไม่เคยปฏิเสธได้อยู่แล้ว...ไม่ใช่เพราะว่าพวกเราเคยเป็นนายบ่าวกันมาก่อน...แต่เพราะว่านายสำคัญกับฉันมากยังไงล่ะ”

        ปัณณ์หน้าแดงวาบด้วยความอาย พ่อมดหนุ่มกอดตอบร่างสูงแน่นไม่แพ้กัน ทว่ากลับพึมพำบอกออกไปในสิ่งที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้ว

        “งี่เง่า...พูดอะไรวกไปวนมาอยู่ได้ เวลาแบบนี้ก็แค่บอกว่านายรักฉันมาก และจะกลับมาอยู่ด้วยกันไม่ยอมจากไปไหน ก็พอแล้วล่ะ...”

        ไกรสรถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงอารมณ์ดีพอ ที่จะไม่หงุดหงิดหรือโกรธเคืองคนปากไม่ดีที่แสนจะน่ารักของเขาคนนี้ลง

        “อืม...ถ้าอย่างนั้นไว้นายค่อยช่วยสอนคำพูดที่ดูดีกว่านี้ เวลาฉันจะบอกรักนายให้หน่อยก็แล้วกัน”

        คำตอบของไกรสร ทำให้ปัณณ์หลุดหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นประสานสายตาอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มหวานส่งให้คนตัวใหญ่ตรงหน้าตน

        “...ก็ได้ จะสอนให้หลาย ๆ คำเลยล่ะ”

        ไกรสรยิ้มรับแล้วชะโงกหน้าลงมาจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของอีกฝ่าย พวกเขากอดกันอยู่อีกพักใหญ่ คนตัวโตจึงนึกอะไรขึ้นได้ แล้วอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะแสร้งถามพ่อมดหนุ่มออกไป

        “แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ นายจะกระจายข่าวเรื่องที่เราตัดสินใจคบกันให้ทุกคนรู้หรือเปล่าล่ะ”

        ปัณณ์เงยหน้าสบตาคนที่กลายมาเป็นคนรักของตน แล้วจึงตอบพร้อมสีหน้าจริงจัง

        “แน่นอน! บอกด้วยตัวเองดีกว่าให้คนอื่นบอก เดี๋ยวเกิดข้อมูลไม่ครบถ้วนกระบวนความ คนที่รับสารต่อก็เข้าใจผิดกันพอดี!”

        ไกรสรที่กำลังยิ้มอยู่ถึงกับยิ้มค้าง แล้วย้อนถามกลับไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

        “....เอาจริงหรือปัณณ์”

        “แน่นอน! ไว้ถ้าฉันหายดีฉันจะไปป่าวประกาศด้วยตัวเองเลย....อ๊ะ ไม่สิ ขืนพวกนั้นเห็นนายมาจอดรถหน้าบ้านฉันแบบนี้ มีหวังซุบซิบสงสัยกันใหญ่แล้ว ....ไม่ได้การ ฉันต้องไปบอกอเล็กซ์ แล้วย้ำให้เจ้า AI นั่นกระจายข่าว พร้อมให้เครดิตที่มาจากฉัน ตัดหน้าพวกนั้นก่อนดีกว่า... อ๊ะ! นายจะทำอะไรน่ะไกร ปล่อยฉันสิ ฉันจะไปโทรศัพท์คุยกับอเล็กซ์นะ!”

        ปัณณ์ที่กำลังจะลุกยันกายไปคว้าโทรศัพท์เพื่อมาโทรหาอเล็กซ์ ต้องหลุดอุทานด้วยความตกใจเมื่อคนตัวใหญ่คว้าเอวเขาไปกอดแน่นไม่ยอมปล่อยให้ไปไหน

        “ไว้ฉันจะบอกกับอเล็กซ์ให้เอง ตอนนี้นายนอนพักก่อนเถอะ ...ตัวร้อนขึ้นอีกแล้วนะ ท่าทางไข้จะขึ้นมาสูงกว่าเดิมแล้วล่ะ ...มียาติดบ้านบ้างไหม หรือจะให้ฉันไปขอหมอเพชรให้แทนล่ะ”

        ปัณณ์ที่เตรียมจะอาละวาดด้วยความหงุดหงิดอีกรอบถึงกับชะงักแล้วมีท่าทางอ่อนลงเมื่อเห็นสายตาห่วงใยของอีกฝ่ายที่มองมายังเขา

        “...หมอเพชรเองก็ป่วยเหมือนกัน อย่าไปกวนเขาเลย ...ส่วนยาลดไข้ ฉันมีปรุงแช่ตู้เย็นเอาไว้ ขวดสีเขียว ๆ น่ะ”

        ไกรสรยิ้มรับเขาหอมแก้มปัณณ์เบา ๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเตรียมเดินไปที่ตู้เย็น แต่ก็ไม่วายหยิบมือถือของปัณณ์ติดมือไปด้วย เพราะเกรงว่านอกจากอเล็กซ์แล้ว เจ้าตัวจะโทรไปกวนเพื่อนบ้านที่น่าจะยังไม่หลับนอนกันอีกหลายคนก็ได้  ทว่ายังเดินไม่ทันพ้นประตู เสียงของพ่อมดหนุ่มก็ดังโพล่งขึ้นตามไล่หลังเขามาอีกครั้ง

           “อ้อ! ระวังหยิบผิดด้วยนะ มันยังมียาสีเขียวอีกขวดแต่เป็นเขียวอ่อนกว่านิดหน่อย อันนั้นดื่มแล้วจะลดอายุลงได้ตั้งสิบปีแน่ะ ฉันปรุงไว้ว่าจะลองเอาไปให้กีรติดื่มดู อยากจะเห็นว่าเด็กนั่นตอนเล็ก ๆ ตัวจะเล็กน่ารักขนาดไหน...อยากเห็นหน้าริวด้วยว่าจะดีใจมากไหม ที่เห็นแฟนกลายเป็นเด็กแบบนั้น”

        ไกรสรที่ได้รับฟังถึงกับนิ่งอึ้ง เจ้าตัวหันมามองคนบนเตียงตาปริบ ๆ พลางคิดในใจว่าตนจะลองหยิบยามาทั้งสองตัวให้ปัณณ์เลือก แล้วจากนั้นเขาจะเอาขวดที่เหลือไปเททิ้งเสียแทน เพื่อป้องกันไม่ให้ริวตามมาอาละวาดกับพ่อมดหนุ่มในภายหลังนั่นเอง

        “ไกร...ฉันดีใจนะ ที่นายจะกลับมาอยู่ด้วยกันแบบเดิมอีกครั้ง”

        คำพูดเบา ๆ ที่ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่เดินออกจากห้องไปได้สองสามก้าวเหลียวกลับมามอง พร้อมยิ้มแย้มอ่อนโยนให้กับพ่อมดหนุ่ม

        “อืม...ถึงฉันจะหนักใจนิดหน่อย แต่ก็ดีใจมากเหมือนกัน”

        คำตอบนั้นทำให้คนฟังเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาให้เห็นทันที

        “หมายความว่ายังไงหนักใจนิดหน่อย...”

        ไกรสรถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงตอบออกไปตามตรง

        “ก็ถ้านายยังเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเดิมตอนเราอยู่ด้วยกัน มันก็น่าหนักใจไม่น้อยไม่ใช่หรือ....แต่ก็นั่นล่ะ ถึงยังไงฉันก็เต็มใจทำทุกเรื่องเพื่อนายอยู่ดี”

        คำตอบที่ออกมาจากใจจริง ทำให้คนฟังชะงักนิด ๆ แล้วเสมองไปทางอื่นด้วยความอาย ภาพที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก ทำให้ไกรสรอมยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วจึงเอ่ยขอตัว เดินตรงไปหยิบยาแก้ไข้มาให้อีกฝ่ายตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก และพอเสียงฝีเท้าของร่างสูงใหญ่เดินห่างออกไป ปัณณ์ก็หันกลับมามองทางประตูห้อง พร้อมกับพึมพำบางอย่างกับตัวเองด้วยใบหน้าระบายยิ้มยินดี 

        “ฉันรักนายนะไกร ...อดีตทาสรับใช้ที่น่ารักของฉัน”


... TBC ...

อาจจะมาแบบสั้น ๆ แต่เป็นการปูพรมเกริ่นนำ สำหรับตอนยาวตอนอื่น ๆ ในตอนพิเศษที่เหลือค่ะ พอดีอยากให้คุณไกรมามีส่วนร่วมแบบเต็ม ๆ ด้วย เลยจับให้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันเสียเลยเช่นนี้แล ^^  เดี๋ยวคู่นี้จะมีตอนแบบจัดหนัก (?) ตามมาอีกตอน เช่นเดียวกับคู่ของคุณหมอค่ะ

ตอนพิเศษสั้น ๆ ของเรื่องนี้กะว่าจะเขียนค่อนข้างเยอะตอนอยู่น่ะค่ะ แทบจะครึ่ง ๆ กับเนื้อเรื่องหลักราว ๆ นั้นล่ะนะคะ
 :L1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-12-2013 01:22:48
คู่นี้เค้าแอบมุ้งมิ้งอยู่นะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 17-12-2013 09:47:06
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 17-12-2013 17:08:08
อ่านจนจบ
ชอบเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 17-12-2013 17:57:02
กรี๊ดกร๊าด~ ในที่สุดก็มา
ปัณณ์นี่ไม่มีคำว่าอายอยู่ในสาระบบเลยใช่ไหมเนี่ย (เอ๊ะๆ แต่เมื่อกี้เขินคุณไกรสนี่นา)
ชอบคำว่า TBC ที่สุดเลยค่าาา
มานั่งลุ้นรอตอนต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: HappyItim ที่ 17-12-2013 20:26:49
เอิ๊กกกกกกก ชอบเรื่องของพี่ปัดทุกเรื่องเยยยยย

จะรอติดตามตอนพิเศษแบบ "จัดหนัก" ของไกรสรกับปัณณ์นะคะ อุอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: archaeoloable ที่ 17-12-2013 21:22:04
อ่านจนจบบบบ ฟินคู่ไกรกับปัณมากกกก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 18-12-2013 18:17:23
 :impress2:


สนุกมากกกกก
น่ารักทุกคู่ๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 20-12-2013 21:04:30
แฟนตาซีมาก สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2 (16/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: GF_pp ที่ 22-12-2013 19:25:36
สนุกมากจ้าาาาาาา    :3123:     :3123:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 24-12-2013 01:44:01
ตอนพิเศษ “เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ.”
เรื่องของ พ่อค้ากับข้าว และ คุณพ่อมด
(ตอนจบ)
...........................


        เรื่องที่ไกรสรกับปัณณ์ตกลงคบหากัน แถมไกรสรยังจะย้ายมาอยู่กับพ่อมดหนุ่มนั้น กลายเป็นข่าวดังครึกโครมสมกับที่เจ้าของข่าวลืออยากให้เป็น และทำให้คู่กรณีอีกคนต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เมื่อลูกค้าแต่ละรายของเขา ล้วนแต่ตั้งคำถามกับพ่อค้ากับข้าวว่า ทำไมถึงตกลงปลงใจคบกับปัณณ์ได้แบบนี้

        “ก็รู้อยู่หรอกนะว่าคุณไกรกับปัณณ์สนิทกันดี และเป็นเพื่อนกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว ...แต่ไม่คิดเลยว่าจะลึกซึ้งถึงขั้นนี้เลยน่ะ เอ? หรือว่าคุณไกรจะมีรสนิยมชอบของแปลก”

        สมาชิกหมู่บ้านรายหนึ่งที่อยู่มาตั้งแต่หมู่บ้านเริ่มสร้างเปรยถามไกรสรอย่างแปลกใจ ซึ่งคนฟังก็ยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อเห็นอีกหลาย ๆ คน พากันพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับคำถามนั้น

        “ถึงหมอนั่นจะค่อนข้างนิสัยแปลกประหลาดไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับหลุดโลกนักหรอก ...หรืออันที่จริงนิสัยแปลก ๆ บางอย่าง ก็เพิ่งจะเกิดขึ้นตอนมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ...จะว่าไปก็คงต้องบอกว่าเพราะคุณจำเริญตามใจหมอนั่นมากไปนั่นล่ะ  เพราะเขาบอกว่าให้ปัณณ์ทำตัวอย่างที่ต้องการโดยไม่ต้องเกรงใจเขา หมอนั่นก็เลยจัดให้ตามประสงค์...จนกลายมาเป็นตัวเขาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้นั่นล่ะนะ”

        แต่ละคนพอได้ฟังต่างก็นิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะคนที่รู้จักจำเริญดีก็ถึงกับหลุดถอนหายใจเบา ๆ ออกมาให้เห็น

        “ถ้าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ต่อให้ปัณณ์หลุดโลกกว่านี้อีกสิบเท่า เขาก็ยังจะสามารถยิ้มรับตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างบริสุทธิ์ใจแน่ ๆ”

        มีบางคนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย และบางคนก็มีสีหน้าหวนคิดถึงเจ้าของที่ดินรุ่นแรกผู้ล่วงลับ ซึ่งทำให้พวกเขามีความสุขอย่างทุกวันนี้ได้

        “จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ที่คุณไกรจะมาเป็นสมาชิกหมู่บ้านนี้เต็มตัว แถมคุณเวธน์ก็ยังจะมาอยู่ที่นี่ด้วยอีก ดูท่าทางหมู่บ้านนี้คงจะครึกครื้นกันขึ้นอีกหลายเท่าล่ะนะ!”

         ใครบางคนแถวนั้นโพล่งตัดบทขึ้น เมื่อเห็นบรรยากาศดูเงียบเหงาลง เพราะแต่ละคนมัวหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา และพอคนอื่นได้ยินดังนั้น พวกเขาก็เริ่มมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงให้เห็น

        “นั่นสิ ...แถมพอหมู่บ้านขยาย ก็น่าจะมีเพื่อนบ้านมาอยู่เพิ่มกันอีกหลายครอบครัว  ฉันว่าพวกเรามาเตรียมคิดแผนการจัดปาร์ตี้ต้อนรับกันเนิ่น ๆ เลยดีกว่า!”

        เสียงเฮตอบรับดังขึ้นทั่วบริเวณนั้น กระทั่งไกรสรยังอดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ ต่อความร่าเริงอารมณ์ดีของชาวหมู่บ้านมีสุขแห่งนี้

        “แล้วนี่คุณไกรจะย้ายมาอยู่วันนี้เลยหรือเปล่าล่ะ พวกเราจะได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับคุณเย็นนี้ไง”

        ไกรสรชะงัก เขาขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

        “ก็คงต้องมาอยู่เลยนั่นล่ะ เดี๋ยวขายของเสร็จ ฉันจะแวะไปเก็บของที่ห้องเช่าเก่า  โชคดีไปอย่างที่ว่าสัญญาเช่าห้องเหลือแค่สองเดือน ซึ่งฉันก็คงจะคืนห้องให้เขาไปเลย ...เพราะขืนรับปากว่าจะมาอยู่ที่นี่แล้ว แต่ยังไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวหมอนั่นก็จะงอนอีก”

        พอพวกชาวหมู่บ้านได้ยิน ก็ต่างมองหน้าสบตาแล้วหลุดหัวเราะออกมาไล่เลี่ยกัน

        “ฮะ ๆ ก็อีกฝ่ายเป็นปัณณ์คนนั้นนี่นา  แต่พูดก็พูดเถอะ ในหมู่บ้านนี้นอกจากคุณไกรแล้ว ใครก็ปราบเขาไม่อยู่หรอก!”

        “ใช่ว่าฉันเองจะปราบอยู่สักหน่อย แต่ก็ช่างเถอะ ชินเสียแล้วล่ะ... ยังไงก่อนหน้านั้น ฉันก็อยู่เคียงข้างเขามาตลอด แถมยังตกหลุมรักข้างเดียวมาเกือบครึ่งค่อนศตวรรษแล้วนี่นะ”

        คำตอบของไกรสรทำให้หลายคนยิ้มเขิน ๆ บ้างก็แซวกลับไป ทว่ามีบางคนที่ฝืนยิ้มส่งให้ พลางคิดในใจว่า การที่อีกฝ่ายสามารถอดทนอยู่เคียงข้างพ่อมดจอมเอาแต่ใจอย่างปัณณ์ แถมยังมั่นคงในความรักมาเนิ่นนานขนาดนั้น แสดงให้เห็นว่า พ่อค้าขายกับข้าวผู้นี้ ก็คงไม่ปกติสักเท่าใดนักล่ะนะ

       

        กว่าไกรสรจะเคลียร์เรื่องที่อยู่เดิมเสร็จสิ้นก็บ่ายโมงแล้ว และเมื่อกลับเข้าบ้านพักของพ่อมดหนุ่ม เขาก็พบว่าเจ้าของบ้านแทนที่จะนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงนอนในห้องพักชั้นสอง แต่กลับมานั่งกอดเข่าจ้องทีวีที่ไม่ได้เปิดไว้ตรงโซฟาชั้นล่างแทน

        “ทำไมมานั่งแบบนี้ล่ะ นายยังไม่หายป่วยไม่ใช่หรือปัณณ์”

        คนถูกทักหันหน้าไปมองแล้วสะบัดหน้าหนีเมินไปอีกทาง ทำให้ร่างสูงใหญ่เริ่มคิดได้ว่า ตนคงไปเผลอทำอะไรให้อีกฝ่ายงอนเข้าให้แล้วแน่

        “โกรธอะไรอีกล่ะ หือ?”

        ไกรสรเดินมานั่งข้าง ๆ คนป่วย ซึ่งพ่อมดหนุ่มก็ทำเป็นเมินไม่สนใจ ทำให้คนทักถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาลืมไปสนิทเลยว่า ปัณณ์ตอนป่วยนั้นจะเอาแต่ใจตัวเองแถมไร้เหตุผลเพิ่มขึ้นจากปกติเป็นเท่าตัว และหากเขาไม่ง้อดี ๆ อีกฝ่ายก็พร้อมจะงอนใส่เขาต่อไปอีกหลายวันได้เลยทีเดียว

        “ปัณณ์ ...โกรธอะไรกัน บอกฉันได้ไหม พูดกับฉันหน่อยเถอะนะ”

        พ่อมดหนุ่มเหลือบมองด้วยหางตา แล้วมีสีหน้าคลายบึ้งตึงลง เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามง้องอนตนเต็มที่

        “นายกลับช้า...บอกว่าจะกลับมากินข้าวกลางวันกับฉันตอนเที่ยง...แล้วดูเวลาสิ นี่มันกี่โมงแล้วฮึ!”

        ไกรสรลอบถอนหายใจแผ่วเบา แล้วจึงฝืนยิ้มให้คนข้างกาย

        “ก็พอดีตอนก่อนจะกลับ ทางอพาร์ทเมนต์เดิมของฉัน เขามีคนย้ายมาอยู่ใหม่ มีกันแค่คนแก่สองคนกับลูกสาววัยรุ่นอีกคน ฉันสงสารก็เลยไปช่วยเขาขนของ มันก็เลยทำให้กลับมาช้าแบบนี้ล่ะนะ”

        ปัณณ์จ้องมองคนพูดพลางค้อนให้นิด ๆ อย่างหมั่นไส้

        “อ้อ...อย่างนั้นหรือ ฉันก็ลืมไปว่า นายมันเป็นคนดีมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่นเสมออยู่แล้วนี่นะ”

        “เฮ้อ...เอาเป็นว่าขอโทษแล้วกัน ที่ฉันไม่โทรบอกนายก่อนว่าจะกลับช้าน่ะ”

        ไกรสรยอมแพ้อย่างไม่คิดจะโต้เถียง ทำให้คนฟังเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมานิด ๆ

        “ฮึ...ยกโทษให้ก็ได้ ทีหลังจะเลทอะไรก็หัดโทรมาบอกบ้างแล้วกัน”

        “ทราบแล้วครับ นายท่าน”

        หนุ่มร่างใหญ่ตอบกลับเสียงเนือย ๆ ซึ่งก็เรียกความหมั่นไส้ให้คนฟังขึ้นมาทันที ทว่าเพราะเห็นไกรสรยอมอ่อนข้อให้ตน ปัณณ์จึงทำเป็นไม่ใส่ใจต่อความยาวสาวความยืดอีก

        “...แล้วพวกของใช้ของนายจะให้ฉันช่วยขนให้ไหม ฉันเคลียร์ห้องให้แล้วนะ นายเอาพวกเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวมาไว้ที่ห้องฉันได้เลยล่ะ....หรือว่าจะแยกห้องออกไป ก็มีห้องสำรองไว้ให้เหมือนกัน ...แต่นายต้องเก็บกวาดเองนะ”

        น้ำเสียงประโยคหลังดูแผ่วลงแถมคนพูดก็ทำหน้าเหงา ๆ จนคนมองนึกเอ็นดู

        “นายนี่นะ แทนที่จะพักผ่อนดี ๆ ลุกขึ้นมาทำโน่นนี่เดี๋ยวก็ไข้กลับหรอก”

        ไกรสรลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ทำให้ปัณณ์เหลือบมองคนข้างกายแล้วย้ำถามอีกครั้ง

        “แล้วตกลงนายจะเอายังไงเรื่องห้องพักล่ะ...”

         “อืม...ฉันขี้เกียจเก็บกวาดห้องสำรองของนายน่ะ ...เพราะงั้นก็นอนห้องเดียวกับนายดีกว่า...เอ่อ ว่าแต่เตียงน่ะ มันค่อนข้างแคบอยู่ไม่ใช่หรือ”

        ปัณณ์ที่ขมวดคิ้วทีแรก ยิ้มน้อย ๆ ตามมาอย่างอารมณ์ดี จากนั้นจึงตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไปอย่างร่าเริง

        “ไม่ต้องห่วง! ฉันสั่งเตียงคิงไซส์จากร้านลีมาเมื่อเช้ามืด บอกให้มาส่งไวที่สุดเท่าที่จะทำได้  ลีก็เลยรีบติดต่อไปที่ร้านขายเตียงแบบสเป็คที่ฉันต้องการ พอใกล้เที่ยงเตียงก็มาส่งแล้ว... แต่ก็ขำพนักงานที่มาส่งเตียงดีนะ  พวกนั้นพอเห็นฉันใช้คาถาย่อส่วนกับเตียงนอน ก็ทำหน้าตกตะลึงอ้าปากค้างทีเดียว  แถมพอฉันเซ็นรับของเสร็จ ก็รีบร้อนขับรถหนีกันใหญ่ ตลกดี นายน่าจะมาเห็นด้วยกันนะ”

        ปัณณ์บอกพร้อมยิ้มให้ ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงการไม่ใส่ใจในสิ่งที่ตนทำลงไป ซึ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจเบา ๆ จากคนนั่งข้างกายขึ้นมาทันที

        “ทำเสียงแบบนั้นทำไม หรือจะบอกว่าฉันทำอะไรผิดอีกแล้วล่ะ!”

        พ่อมดหนุ่มที่ได้ยินเสียงถอนหายใจเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อร่างสูงใหญ่ข้างกายโอบกอดเขามาไว้แนบอก พร้อมกับจูบเบา ๆ ที่เส้นผมของตน

        “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย ...จริงสิ นายกินข้าวกลางวันแล้วใช่ไหม ยาล่ะ คงกินเรียบร้อยแล้วสินะ”

        ไกรสรเปลี่ยนเรื่องชวนคุย แล้วก็ต้องหรี่ตามองอย่างจับผิด เมื่อคนในอ้อมกอดของเขาสะดุ้งนิด ๆ

        “ปัณณ์...อย่าบอกนะว่าป่านนี้ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน แล้วก็กินยาเลยน่ะ”

        “กะ...ก็ เพราะรอนายนั่นล่ะ!”

        พ่อมดหนุ่มรีบแก้ตัว ทำให้คนถามถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจึงจัดแจงอุ้มร่างผอมบางลอยขึ้นเหนือพื้นบ้าน ทำเอาปัณณ์ต้องหลุดอุทานอย่างตกใจ

        “นายจะทำอะไรน่ะไกร! อุ้มฉันทำไมเนี่ย!”

        “ก็จะพาไปพักในห้อง แล้วทำข้าวต้มสำหรับคนป่วยไปบริการเสิร์ฟถึงเตียง เป็นการขอโทษที่มาช้ายังไงล่ะ”

        ปัณณ์ทำหน้าหงิกอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทว่าพอไกรสรพาเขามาถึงเตียงนอนคิงไซส์พร้อมวางร่างตนลงบนเตียงก่อนจะตามมาด้วยการหอมแก้มประจบอีกหนึ่งฟอด พ่อมดหนุ่มก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาแทน

        “นายทำส่วนของตัวเองมากินบนห้องพร้อมฉันด้วยนะ”

        ไกรสรมองคนเอาแต่ใจที่แสนจะน่ารักของเขาอย่างเอ็นดูแกมเอือมระอา ก่อนจะเอ่ยปากรับคำล้อ ๆ กลับไป

        “รับทราบครับ นายท่าน”

        “ฮึ! ระวังเถอะ ทำเป็นล้อเลียนบ่อย ๆ เดี๋ยวฉันจะใช้อาคมบังคับให้นายกลับมาเป็นทาสรับใช้เหมือนเดิมหรอก!”

        ปัณณ์ประชดอย่างนึกเขิน เพราะเวลาที่ไกรสรพูด แววตานั้นดูล้อเลียนแกมกรุ้มกริ่มอย่างที่เจ้าตัวไม่ค่อยจะใช้ให้เขาได้เห็นนัก

         “ต่อให้นายไม่ใช้อาคมบังคับ ยังไงฉันก็ยินดีเป็นทาสรักนายตลอดชีวิตอยู่แล้วล่ะน่า”

        ไกรสรบอกก่อนเดินออกจากห้องไปทำข้าวต้มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนบนเตียงหน้าแดงก่ำ แล้วรีบเบือนหน้าไปมองอีกทางอย่างนึกเขินอย่างที่นาน ๆ จะเป็นสักที

        “ฮึ...ไปหัดพูดหวาน ๆ แบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ...ทีเมื่อก่อนไม่เห็นจะพูดให้ฟังบ้างเลย...คงไม่ใช่ไปแอบคบกับใครมาระหว่างสิบปีนี้หรอกนะ...”

        พ่อมดหนุ่มเปรยพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะแต่ไหนแต่ไร คนอย่างไกรสรก็มักจะมีผู้คนรอบด้านนิยมชมชอบ และอยากสานสัมพันธ์เกินเพื่อนเสมอ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่เคยตอบรับรักใครให้เขาเห็นสักราย หากแต่ระยะเวลาที่พวกเขาห่างกันเกือบสิบปีมานี้ ก็ทำให้ปัณณ์ชักเริ่มคิดมากและเป็นกังวลในเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง

        “...ถ้าเกิดหมอนั่นเคยคบใคร แล้วยกมาเปรียบเทียบกับเราล่ะ...ฮึ! ไม่มีทางเสียล่ะ ที่ฉันจะยอมให้นายเห็นใครดีกว่าฉันน่ะ!”

        ปัณณ์กำมืออย่างมุ่งมั่นแล้วตัดสินใจกระทำบางอย่าง เจ้าตัวหลับตาพึมพำภาษาประหลาดแผ่วเบา และเมื่อพ่อมดหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พลันปรากฏสัญลักษณ์รูปดาวห้าแฉกกลางหน้าผาก เส้นผมหยักศกสีดำที่ไม่ค่อยจะเป็นทรง ก็ค่อย ๆ กลับกลายเปลี่ยนเป็นสีเงินยาวสลวยถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีดำสนิทแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม โครงหน้าได้รูปสวยงดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด ซึ่งสภาพที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ก็คือร่างอันแท้จริงของพ่อมดหนุ่มนั่นเอง

        “ไม่ได้คืนร่างเดิมนานกี่สิบปีแล้วนะ ...เอาล่ะ ทีนี้ก็เตรียมดำเนินแผนการเผด็จศึกให้หมอนั่นหลงรักเราหัวปักหัวปำสักที!”

        ปัณณ์เปรยกับตัวเองอย่างอารมณ์ดี เจ้าตัวลุกจากเตียงไปส่องกระจกติดผนังห้องขนาดผู้ใหญ่ตัวโตเดินผ่านเข้าไปได้สบาย ๆ จากนั้นจึงใช้มือลูบที่เสื้อผ้าของตนเบา ๆ ภาพในกระจกก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดยาวสีขาวเป็นผ้าโปร่งพลิ้วไสว ราวดังเป็นตัวละครหลุดออกมาจากในหนังแฟนตาซีเลยทีเดียว

         “พอหมอนั่นเข้าห้องมา เราก็เริ่มเล่นบทย้อนอดีต รำลึกความทรงจำหวาน ๆ ระหว่างกันเมื่อก่อนหน้านั้น ความรักของพวกเราก็จะได้สนิทแนบแน่นมากขึ้น...อืม...ความทรงจำหวาน ๆ สินะ...”

หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 24-12-2013 01:44:41
        ปัณณ์พึมพำพร้อมกับหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต สมัยที่เขายังไม่ได้ย้ายมาประเทศไทยอยู่สักครู่ ก่อนจะนิ่วหน้าขมวดคิ้วยุ่ง แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่  เพราะตั้งแต่ไกรสรถูกเขาใช้เวทมนตร์บังคับให้กลายเป็นทาสรับใช้ จนกระทั่งถึงวันที่เขามอบอิสระคืนให้กับชายหนุ่ม ดูเหมือนว่าจะไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่เอาแต่ใจใส่อีกฝ่าย แถมยังหาเรื่องสั่งโน่นนี่แกล้งเจ้าตัวเล่นสารพัดมาตลอด

        “...จะว่าไปหมอนั่นชอบเราที่ตรงไหนกันนะ ทั้งที่เราก็ร้ายกาจกับเขามาตลอดแท้ ๆ”

        ปัณณ์พึมพำกับภาพสะท้อนในเงากระจก ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อประตูถูกเปิด พร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาพร้อมถาดข้าวต้มสองถ้วยและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวดใหญ่

        “...ฟิลี”

        ไกรสรหลุดอุทานเรียกชื่อเดิมอีกฝ่ายแผ่วเบา พลางยืนตกตะลึงตาค้างอยู่หน้าประตู แต่แล้วพ่อมดหนุ่มที่จ้องตอบก็อุทานด้วยความตกใจไม่แพ้กัน เพราะถาดข้าวต้มในมือของคนตัวใหญ่กำลังจะเทคว่ำลงมา และนั่นจึงทำให้เจ้าตัวเผลอใช้เวทมนตร์ที่ไม่ได้ใช้มานาน ร่ายคาถาช่วยเอาไว้ ทว่ากลับทำให้ทั้งข้าวต้ม และข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในห้องลอยไปมาแทน จนไกรสรรู้สึกตัว

        “อ๋า...แย่ชะมัด ไม่ได้ใช้มานานก็งี้ล่ะ นายช่วยจับข้าวต้มของฉันด้วยล่ะไกร อย่าให้มันหกนะ!”

        ไกรสรรีบทำตามที่บอกก่อนที่ชามข้าวต้มทั้งสองจะพลิกกลับคว่ำลง พลางถอนหายใจยาว เมื่อปัณณ์จัดแจงร่ายเวทมนตร์อีกครั้งและของทุกชิ้นก็ค่อย ๆ ลอยลงมาคืนสู่ตำแหน่งเดิมอย่างนุ่มนวล ไม่เว้นกระทั่งถาดใส่ข้าวต้มและขวดน้ำ ที่ลอยไปตั้งบนโต๊ะทำงานในห้องโดยไม่หกเสียหาย

        “คิดยังไงของนายกัน ถึงกลับคืนสู่ร่างเดิมแบบนี้น่ะ ทำเอาฉันตกใจหมด”

        ไกรสรบอกหลังจากวางข้าวต้มลงบนถาดตามเดิม ซึ่งปัณณ์ก็เดินไปลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่ง พลางหยิบชามข้าวต้มออกมาชามหนึ่ง

        “ก็คิดจะสร้างบรรยากาศเก่า ๆ ให้นายอินเลิฟฉันมากขึ้นยังไงล่ะ”

        ปัณณ์บอกออกไปตามตรง แล้วก้มหน้าก้มตาเป่าข้าวต้มในชามก่อนจะตักกินโดยไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย

        “แค่นี้ก็รักหลงจะแย่อยู่แล้วล่ะน่า ไม่ต้องคืนร่างเดิมบ่อย ๆ หรอก ...เดี๋ยวคนในหมู่บ้านมาเห็นเข้า ฉันก็มีคู่แข่งเพิ่มพอดี”

        ไกรสรบอกยิ้ม ๆ แต่ทำให้คนที่กำลังกินสำลัก ร้อนถึงคนมองต้องรีบรินน้ำให้อีกฝ่ายดื่มอย่างรวดเร็ว

        “แค่ก ๆ นายนี่มัน... ทีหลังอย่ามาพูดอะไรหวาน ๆ เลี่ยน ๆ แบบนี้ตอนฉันกินข้าวได้ไหม!”

        ปัณณ์บอกกลับไปอย่างพาล ๆ เนื่องจากไม่อยากให้อีกฝ่ายจับได้ว่าเขาเขินนั่นเอง

        “โอเค ๆ จะจำไว้ ...กินข้าวก่อนแล้วกัน จะได้กินยา ...จะว่าไปก็คิดถึงเหมือนกันนะ ไม่ได้เห็นนายในสภาพแบบนี้มานานแล้ว ทำให้นึกถึงตอนที่โดนนายวีนเหวี่ยงใส่ แถมใช้งานจนฉันหัวปั่นเมื่อก่อนนั้นเลยล่ะ”

        พ่อมดหนุ่มชะงักแล้วจึงค่อย ๆ วางช้อนลง พลางเงยหน้าสบตาคนตัวใหญ่ที่เดินมานั่งบนเก้าอี้อีกตัวในห้องที่ปัณณ์จัดมาเพิ่มไว้ก่อนหน้านั้น

        “ไกร...ไม่สิ...ฮาอิม ...เมื่อสิบปีก่อนฉันไม่ได้ถามนายก็จริงนะ...แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้แล้วสิว่า ทำไมนายถึงชอบฉันได้”

        ไกรสรชะงักตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อจริงที่เขาทิ้งไปนานแล้ว จากนั้นชายหนุ่มจึงวางช้อนที่กำลังจะกินข้าวต้มลงเช่นเดียวกัน

        “ทำไมน่ะหรือ...ไม่รู้สินะ มันเกิดขึ้นโดยฉันเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ...พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง เลิกคิดโหยหาอิสรภาพ และอยากจะอยู่เคียงข้างนายไปเรื่อย ๆ ...ในตอนนั้นฉันก็มีแต่นายเต็มหัวใจของฉันเข้าให้แล้วล่ะ”

         ปัณณ์นิ่งเงียบ เขาจ้องตอบอีกฝ่ายนิ่ง แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นคนตรงหน้าแย้มยิ้ม พลางยกมือขึ้นมาเบื้องหน้าเขา และใช้นิ้วกรีดน้ำตาที่ไหลมาโดยไม่รู้สึกตัวนั้นอย่างอ่อนโยน

          “ฉันชอบนายนะฟิลี...ไม่สิ ต่อให้นายจะเป็นฟิลิ พ่อมดผู้แสนงดงาม จอมเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ...หรือจะเป็นนายปัณณ์ นักเขียนตัวยุ่งเจ้าปัญหาประจำหมู่บ้านมีสุขก็ตาม ...นายก็ยังเป็นคนที่ฉันจะรักและจะขออยู่เคียงข้างนายแบบนี้ไปตลอด จนกว่าชีวิตอันยืนยาวนี้จะดับสูญลง”

        พ่อมดหนุ่มเม้มปากแน่นพลางลุกขึ้นยืนพรวดพลางโผกอดคนตัวสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ จนอีกฝ่ายแทบจะหงายหลังล้มไปเลยทีเดียว

        “รู้ไหม...ว่าทำไมฉันถึงตัดสินใจใช้อาคมบังคับให้นายมาเป็นทาสของฉัน...”

        คนถามถามเสียงอู้อี้เพราะยังคงกอดร่างสูงใหญ่แน่น แถมซุกใบหน้าของตนไว้กับอกกว้างไม่ยอมเงยอีกต่างหาก

        “หือ...นายเคยบอกไม่ใช่หรือว่า นายอยากได้ทาสรับใช้ที่มีอายุยืนยาว และแข็งแกร่งน่ะ”

        พ่อมดหนุ่มเงียบไปสักพัก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มแย้มเศร้า ๆ 

        “นั่นมันก็ใช่ ...แต่ตอนนั้นฉันยังบอกนายไม่หมด ถึงความจริงที่ฉันเลือกนาย”

        เมื่อเห็นคนตรงหน้าขมวดคิ้วยุ่ง พ่อมดหนุ่มจึงถอนหายใจเบา ๆ พลางเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่

        “ตอนที่ฉันพบนายครั้งแรก ...นายดูแข็งแกร่งและน่ากลัวมากก็จริง แต่ก็มีเสน่ห์ประหลาดบางอย่างสะกดสายตาของฉันเอาไว้ ...ฉันเฝ้าติดตามแอบดูพฤติกรรมของนายอยู่ระยะหนึ่งไม่ให้นายรู้  และนั่นก็ทำให้ฉันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของนายทีละน้อย...ยามที่นายอยู่ท่ามกลางวงล้อมลูกน้องและเพื่อนฝูง นายดูอ่อนโยนใจดีผิดเป็นคนละคน แถมพวกที่อยู่ล้อมรอบนายก็ล้วนแต่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขเสมอ...”

         คนพูดหลุบตาลงชั่วครู่แล้วจึงช้อนตาขึ้นประสานกับคนตรงหน้าตน รอยยิ้มบนใบหน้างดงามแลดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

          “นายรู้ไหม ตอนนั้นฉันอิจฉานายขนาดไหน ... ฉันเกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมาว่า หากได้นายมาอยู่ใกล้ ๆ ฉันบ้าง ...บางทีฉันก็คงจะสามารถยิ้มแย้มและมีความสุขเช่นเดียวกับผู้คนที่อยู่รอบนายเช่นกัน...”

        นัยน์ตาคู่สวยที่หยาดน้ำใสเริ่มเหือดแห้งกลับมาชุ่มฉ่ำด้วยหยดน้ำตาอีกครั้งยามที่เจ้าตัวเอื้อนเอ่ยประโยคถัดมา

        “ฉันขอโทษนะฮาอิม ...ขอโทษที่พรากนายมาจากเพื่อน ๆ ของนาย...ขอโทษที่ทำให้นายต้องมาเป็นทุกข์และตกอยู่ในสภาพเดียวกับฉัน... แต่ฉันก็ปล่อยนายให้เป็นอิสระในตอนนั้นไม่ได้ เพราะนายเป็นเพียงคนเดียวที่ทนนิสัยเสีย ๆ ของฉันได้เสมอ ...ฮาอิม... ฉันอยากจะขอโทษนายเรื่องนี้มาตลอด ...แต่ก็ไม่กล้า...ฉันกลัว ...กลัวว่าถ้านายรู้ความจริงเข้า นายจะเกลียด...”

        ยังไม่ทันจะพูดจบพ่อมดหนุ่มก็ถูกทำให้หยุดพูดด้วยริมฝีปากหนาได้รูปของอีกฝ่ายเสียก่อน แม้ทีแรกปัณณ์เองจะตกใจที่ถูกจูบกะทันหัน แต่พอคนตัวโตส่งลิ้นแทรกเข้ามาภายในปากของตน พ่อมดหนุ่มก็เผลอเคลิบเคลิ้มและตอบสนองกลับไปอยู่พักใหญ่ ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไป

        “นายนี่นะ คิดมากไปได้ หึ...ทำไมฉันจะไม่รู้ว่านายขี้เหงาขนาดไหน ...และฉันก็รู้ดีว่า นายน่ะรู้สึกผิดกับฉันในเรื่องนี้ รวมไปถึงเรื่องที่นายคิดจะคืนอิสรภาพให้กับฉัน ก่อนที่เราจะย้ายมาเมืองไทยด้วย”

        “นายรู้...”

        ปัณณ์หลุดพึมพำอย่างตกตะลึง ซึ่งไกรสรก็ยิ้มรับพร้อมพยักหน้า

        “ใช่...ฉันรู้ ...และเพราะฉันรู้ ฉันถึงพยายามทำดีกับนาย คอยดูแล คอยเอาใจใส่นายให้มาก ๆ เพื่อให้นายตัดใจจากฉันไม่ได้ จนต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปยังไงล่ะ”

        ยิ่งได้รับฟังความจริงพ่อมดหนุ่มก็ยิ่งนิ่งอึ้งจนคนมองนึกขำ จากนั้นไกรสรจึงเล่าในสิ่งที่ตนเองปิดบังไว้ ให้อีกฝ่ายรับรู้ทั้งหมด   

        “ตอนที่นายเจอคุณจำเริญ ...ฉันเองก็คิดว่า ฉันคงจะหมดความสำคัญกับนายแล้ว ...ฉันถึงไม่คิดจะรั้งไว้ ยามที่นายบอกคืนอิสรภาพให้ฉัน... และก็เพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจเวลานายยิ้มและทำดีกับคนอื่นนอกจากฉัน ...ฉันก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่นห่าง ๆ นายแทน”

        มาถึงตอนนี้คนเล่านั้นถอนหายใจแผ่วเบา แล้วจ้องมองคนที่เขาแอบรักมาเนิ่นนานด้วยแววตาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม 

        “ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะพยายามตัดใจเพื่อนาย ...แต่ฉันก็ยังคงตัดใจไม่ลงอยู่ดี ...ฉันอยากเห็นหน้านายทุกวัน อยากรู้ว่านายจะมีความสุขดีไหมเมื่อไม่มีฉันอยู่ข้างกาย ...ฉันถึงเลือกมาเป็นพ่อค้าขายกับข้าว เพื่อที่จะได้เจอกับนายในทุกเช้ายังไงล่ะ”

        พ่อมดหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากฟังอีกฝ่ายเล่าจบ จากนั้นใบหน้างดงามเปื้อนน้ำตาจึงมีรอยยิ้มหวานด้วยความดีใจให้ได้เห็น แต่นั่นกลับทำให้คนมองถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกกับคนรัก

        “เอ่อ...ฉันว่านายกินข้าวต้มแล้วกินยาต่อดีกว่านะปัณณ์ ...เผื่อฉันลืมตัวทำอะไร ๆ ลงไป นายจะได้ไม่พลาดอาหารกลางวันยังไงล่ะ”

        ปัณณ์ขมวดคิ้วยุ่งอย่างนึกสงสัยในตอนแรก หากแต่พอนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร เจ้าตัวก็หน้าแดงระเรื่อด้วยความอายขึ้นมาทันที

        “ฮึ! รู้แล้วน่า เจ้าสิงโตหื่นกาม!”

        ไกรสรหัวเราะในลำคอแล้วจึงย้อนกลับไปหน้าตาเฉย

        “ก็โดนพ่อมดสุดเซ็กซี่ยั่วยวนถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ ใครหน้าไหนจะไม่หื่นกามไหวเล่า”

        “ฉันไม่ได้ยั่วนายสักหน่อย!”

        ปัณณ์พยายามโต้เถียงหากแต่ก็ต้องถูกตัดบทโดยคนตัวโตเสียก่อน

        “อืม...ไม่ได้ยั่วก็ไม่ได้ยั่วสิ กินข้าวต้มเถอะ หรือจะให้อุ้มนั่งแล้วจับป้อนหือ”

        “ไม่ต้อง! ฉันกินเองได้!”       

        พ่อมดหนุ่มรีบบอก เพราะดูจากแววตาของไกรสรก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นคิดทำอย่างที่พูดไว้จริงแน่นอน



        “แล้วใจคอจะอยู่ในร่างนี้อีกนานแค่ไหนเนี่ย...”

        คำถามที่ตามมาหลังจากเห็นคนตรงหน้ากินข้าวต้มในชามจนใกล้หมด ทำให้คนฟังเงยหน้ามองตอบแล้วย้อนถามกลับไปบ้าง

        “ทำไม...ไม่ชอบหน้าตาแบบนี้เหรอ”

        “ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ไม่อยากให้ใครได้เห็นมากกว่า”

         คนตัวโตบอกตามตรง ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มภูมิใจจากคนฟัง ก่อนที่เจ้าตัวจะเปรยตอบตามมาอย่างอารมณ์ดี

         “เอาน่า...ต่อให้มีคนมาหลงชอบใบหน้านี้ก็จริง แต่ถ้ารู้ว่าเนื้อในยังเป็นคนเดิม ก็คงไม่มีใครกล้ามาเสี่ยงตกหลุมรักฉันหรอก”

         “อืม...จะว่าไปมันก็จริงอยู่...หือ ทำหน้าบึ้งแบบนั้นทำไม”

         ไกรสรที่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น ย้อนถามกลับไปอย่างแปลกใจ ซึ่งก็ยิ่งทำให้คนฟังไม่สบอารมณ์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จนต้องเผลอหลุดวีนกลับไป

        “ในเวลาแบบนี้ นายควรจะพูดว่า... ไม่หรอก จริง ๆ แล้วนายเป็นคนน่ารักน่าคบกว่าที่คิดไม่ใช่หรือไง!”

        ไกรสรเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงย้อนถามกลับไปอีกรอบ

        “นายอยากให้ฉันหัดพูดโกหกด้วยหรือ”

        “ไกร!!”

        เสียงตะโกนเรียกชื่อตนดังลั่น พร้อมกับอาการโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงของคนรัก ทำให้ไกรสรลอบถอนหายใจแล้วยิ้มแย้มตอบกลับอย่างใจเย็น

        “โอเค ๆ นายน่ารักนิสัยดีน่าคบหา แถมยังเป็นผู้ใหญ่ ไม่ถือสาต่อถ้อยคำพลั้งปากของคนอื่นด้วย ...จริงไหม”

        ปัณณ์ชะงักกึก แล้วพยายามข่มอารมณ์เดือดของตนให้เย็นลง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจพูดล่อหลอกเขาก็ตาม

        “เออ! รู้แล้วน่า ไม่โกรธก็ได้ ...คนเจ้าเล่ห์ ถ้ารู้ว่าเจ้าเล่ห์แบบนี้นะ จะไม่เอาตัวมาเป็นทาสแต่แรกแล้วล่ะ”

        พ่อมดหนุ่มบ่นอุบอิบอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แล้วหันมาใส่ใจข้าวต้มในชามที่เหลืออยู่ต่อแทน ทว่าก็แทบจะสำลักตามมาอีกรอบ เมื่อคนที่นั่งมองเขายิ้ม ๆ แย้งกลับในสิ่งที่เขาบ่นออกไปเมื่อครู่

        “ไม่ดีหรอกแบบนั้น....ถ้านายไม่พาตัวฉันมา ป่านนี้ฉันก็อดมีแฟนน่ารัก ๆ แบบนายน่ะสิ”

         คนที่เกือบสำลักข้าวต้มช้อนตามองคนพูดเขม็ง ทำให้คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วยกมือขอโทษขอโพยอีกฝ่าย

        “โอเค ๆ จะไม่พูดเลี่ยน ๆ หวาน ๆ ในเวลากินข้าวอีกแล้ว ...เลิกจ้องตาดุแบบนั้นได้แล้วน่า ...ว่าแต่ถ้ากินข้าวกินยาเสร็จแล้ว ฉันอยากทำบางอย่างกับนายยิ่งกว่าการพูดหวาน ๆ ให้ฟัง... นายจะโอเคไหมล่ะ”

        คราวนี้ไม่เพียงแค่เกือบสำลัก แต่คนฟังถึงกับสะดุ้งแล้วจ้องมองอีกฝ่ายตาค้างก่อนจะตามมาด้วยอาการเขินจนหน้าแดง จนคนมองต้องอมยิ้มล้อ ซึ่งก็เรียกอาการสะบัดหน้าหลบตาด้วยความงอนตามเคย ทว่าก่อนที่คนตัวโตจะอ้าปากง้อให้อีกฝ่ายหายงอน เจ้าตัวก็ต้องชะงักเมื่อพ่อมดหนุ่มส่งเสียงอุบอิบตอบรับเขาเบา ๆ

        “ไว้ถ้ากินข้าวกินยาเสร็จแล้ว อยากทำอะไรก็แล้วแต่นายแล้วกัน... แต่ฉันเพิ่งจะเคยทำภาคปฏิบัติแบบนี้เป็นครั้งแรก ...ยังไงก็ห้ามรุนแรงนักด้วยล่ะ”

        ไกรสรนิ่งอึ้งตกตะลึงไปชั่วครู่ และพอตั้งสติได้ เขาก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนอย่างเต็มกำลัง เมื่อคนที่ทำเป็นเมินมองไปทางอื่นไม่ยอมหันมาสบตากับเขา ในตอนนี้ทั้งใบหน้าใบหูกระทั่งลำคอ ก็ล้วนแต่แดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด   

        “หึ ๆ โอเค...จะพยายามตั้งใจทำอย่างทนุถนอมเป็นที่สุดเลยล่ะ...แต่ถ้าผิดพลาดไปบ้างก็อย่าโกรธกันนะ ...เพราะฉันเองก็มือใหม่เหมือนกัน”

        พ่อมดหนุ่มพอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวก็เบิกตากว้างแล้วรีบหันขวับกลับมามองอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยคบหาใครหลังจากแยกตัวไปถึงสิบปีเช่นเดียวกับตน   

        “เป็นอะไร ทำไมทำหน้าตกใจอย่างนั้นล่ะ”

        ไกรสรถามอย่างแปลกใจ ซึ่งปัณณ์ก็ชะงัก แล้วรีบเบือนหน้าเมินมองไปทางอื่นเพื่อแก้เขิน

        “กะ...ก็ ฉันแค่แปลกใจว่า นายมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าน่ะสิ...อยู่มาจนป่านนี้ ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนั้นเลยสักครั้งนี่นะ”

        “ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง ...นายเองก็ยังไม่เคยนี่นา”

        คนฟังแย้งกลับไปพร้อมรอยยิ้ม พอจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นตกใจและเขินเรื่องที่เขาบอกทำไม

        “มะ...ไม่เหมือนสักหน่อย ฉันมันพวกช่างเลือกคบคนยาก...แต่นายมันออกจะป็อบปูล่าไม่ใช่หรือไง”

        ปัณณ์แย้งกลับไปเสียงสั่นด้วยความเขิน สร้างความเอ็นดูให้กับคนที่มองอยู่ยิ่งนัก แล้วจึงพูดตอบในสิ่งที่ตรงกับใจของตนให้คนตรงหน้าได้รับรู้

        “ถึงจะเป็นที่นิยมยังไงก็เถอะ ...ถ้ากับคนที่ไม่ได้รัก ก็ไม่อยากทำด้วยอยู่ดีนั่นล่ะ”

        พ่อมดหนุ่มหน้าร้อนวูบวาบด้วยความอายเพิ่มมากขึ้นไปอีก สีหน้าอันแสนจะน่ารักน่ามองเช่นนั้น ทำให้คนตัวโตเริ่มชักจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ก่อนจะกระแอมเบา ๆ และพูดบอกไปในสิ่งที่ทำให้คนฟังหน้าแดงก่ำ

        “แล้วตกลงนายจะกินข้าวกินยาเสร็จตอนไหนเนี่ย...ฉันชักจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ”

        “หา! ทนไม่ไหวนี่นะ! …อะ...เอ่อ ...คือ...ฉันดูเหมือนจะไข้ขึ้นมาอีกรอบแล้วล่ะ...ฉันว่าวันนี้ฉันขอเลื่อนภาคปฏิบัติไปก่อนได้ไหมน่ะ”

        เพราะสายตาราวกับจะกลืนกินตนเข้าไปทั้งตัวของคนรัก ทำให้พ่อมดหนุ่มต้องยกข้ออ้างเพื่อให้ตนเองรอดพ้นสถานการณ์สุ่มเสี่ยงในครั้งนี้ไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้

        “หือ...อย่างนั้นหรอกหรือ ....อืม งั้นก็รีบกินยาเถอะนะ จะได้นอนพักยังไงล่ะ”

        คนฟังยิ้มแย้มพร้อมตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน หากแต่นัยน์ตาคมกริบที่จับจ้องมองมาไม่วางตา ทำให้คนที่กินยาเสร็จแล้วและเตรียมจะนอนพักรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างประหลาด

         และในที่สุดพ่อมดหนุ่มก็ได้รับคำตอบในสิ่งที่ตนหวาดระแวง เมื่อพอเขาชักจะเริ่มเคลิ้มหลับ คนตัวโตก็ดันตามขึ้นมาอยู่บนเตียงด้วย แถมยังคร่อมร่างของตนกักไว้ภายใต้ร่างสูงใหญ่นั่น ใบหน้าคมเข้มแย้มยิ้มในแบบที่คนซึ่งชอบแกล้งคนอื่นเสมอเห็นแล้วถึงกับต้องเสียวสันหลังวาบเลยทีเดียว...


        ...ภายในเย็นวันนั้นเอง ไกรสรก็ต้องไปตามหมอเพชรที่ฟื้นไข้และอาการดีขึ้นจนเดินเหินได้สบาย ๆ มารักษาคนที่นอนไข้กลับอยู่บนเตียงแทน โดยที่คนตัวโตก็จำต้องรับฟังคำบ่นที่คนบ่นแทบจะไม่เหลือเสียงให้ได้ยินอย่างจนถ้อยคำต่อล้อต่อเถียง  เพราะดันเผลอลืมตัวทบทวนบทเรียนอันแสนจะเร่าร้อนระหว่างเขากับพ่อมดหนุ่มในช่วงบ่ายหลายรอบไปหน่อย ผลที่ได้ก็คือปัณณ์ได้ไข้กลับของจริงอย่างที่อ้างไว้ก่อนหน้านั้นนั่นเอง 

       

... End …


จบตอนสำหรับคู่นี้ค่ะ /สำหรับฉากจัดหนัก ไม่ได้ใส่มานะคะ (จริง ๆก็คือยังไม่มีฟีลเขียนฉากน่ะค่ะ) ขอลงแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ บางทีอาจจะมี ซ่อมเสริมกันในเล่มก็ได้ค่ะ หุ ๆ

 และสำหรับตอนพิเศษที่จะลงในบอร์ดจะลงถึงแค่ตอนนี้นะคะ ... เพราะการลงนิยายในบอร์ด(สำหรับปัด) ต้องอ่านย้อนอ่านทวนคำผิดที่แต่งไป เกลาคำ  ซึ่งไม่เหมือนกับการแต่งดิบ ๆ แล้วเกลาทีเดียวตบท้ายแบบรวดเดียวจบ ...ซึ่งปัดได้ตั้งเส้นตายของตัวเองเอาไว้ และตั้งใจจะปั่นยิงยาวทีเดียวโลดไปเลย...และถ้าจบได้ทันเส้นตายของตัวเอง ก็จะคัดตอนพิเศษในเล่มมาลงให้อ่านแถมกันอีกสักตอน เพราะยังมีคู่ที่จะเขียน อีกหลายคู่  อย่างของท่านอาไรอัน ของหนูเรน  ของนายลี (แน่นอน Y หมด)   ยังไงก็ติดตามกันได้นะคะ เพราะจะแวะมาแจ้งกำหนดการจอง /อัพเดทปกไฟนอล ในช่วงต้นมกราคมอีกรอบค่ะ


ส่วนรายละเอียดเปิดจอง ติดตามได้ที่นี่ค่ะ ^^ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40503.0
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-12-2013 02:40:58
 :mew1: :mew1: :mew1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ^^KENTA^^ ที่ 24-12-2013 20:31:23
เขียนดีมากเลยครับ ภาษาทคาใช้ก็อ่านง่ายด้วย ชอบอะ+--*
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 25-12-2013 11:44:13
เป็นเรื่องอ่านได้สบายๆ ไม่ค่อยเครียด อ่านๆไปก็ให้ความรู้สึกเหมือน

กำลังอ่านเรื่่อง "ม่านราตรี" เลย

ทุกตัวละครน่ารักมากๆ โดยเฉพาะหนูกี


ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: GF_pp ที่ 25-12-2013 17:22:34
สนุกมากค่าาาาาาาาาาาา  แฟนต้าซีสุดๆๆ     o13     o13
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-12-2013 14:05:19
คู่นี้หวานนะ
อ่านไปแอบเขิล ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 27-12-2013 00:49:02
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 27-12-2013 01:02:17
ชอบคู่ปัณกับไกรสรจัง

มุ้งมิ้งน่ารักได้อีก

ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักเรื่องนี้ค่ะ

 :กอด1:

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 27-12-2013 07:08:24
อั๊ยๆ อยากอ่านฉากเรท
ทำไมปัณณ์ถึงไข้กลับ อยากรู้~
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: - lloJ!จิ้a - ที่ 27-12-2013 19:06:35
อะแฮ่มๆ..... มาอีกแล้วเรื่องของพี่ปัท (เย้!) นิยายแฟนซีอีกแล้ว (เย่!)  ลืมบวกเป็ดอีกแล้ว (เย่!)

ฟินคู่คุณหมอกับคุณเลขา
เขินเวลาอ่านเรื่องของกีกับเรน
แทบจะเป็นไมเกรนเวลาอ่านเรื่องของพ่อมดกับพ่อค้า ♥

ปอรอรัก. คุณอาไรอัน น้องเรน นายลี นี่ใช่ 3P รึเปล่าคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 08-01-2014 23:17:42
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Windiizz ที่ 26-01-2014 15:30:36
ตอนริวลบความทรงจำนี่ร้องไห้เลยค่าาาา
แต่คู่หลักไม่ค่อยเชียร์ เชียร์คู่รองค่ะ 555555555
ตอนพิเศษน่ารักมากกกก เขินทั้งสองคู่เลยยยย
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆแบบนี้นะคะ xD
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 03-07-2014 09:34:50
ชอบ ๆ น่ารักทุกคู่เลยคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: +zoLoMegWoz+ ที่ 04-07-2014 15:19:57
 :pig4:
ปัณณ์น่ารักมาก ยิ่งคืนร่างเดิมนี่ มีหวังไกรสรได้ทบทวนบทเรียนอันแสนเร่าร้อนบ่อยๆ แหงเลย
หมอเพรชนี่ก็เจ้าเล่ห์จริงๆ ยังงี้กรกฏจะหนีไปไหนได้
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 23-10-2014 23:42:51
ตามมาจากอีบุ๊คคะสนุกมากกำลังเก็บตังซื้ออีบุ๊คอยู่ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 28-02-2015 08:21:11
รู้สึกปัณณ์ ยั่วเก่งมากกกก 555 :impress2:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 10-03-2015 22:51:59
เจ๋งสุดๆไปเลยค่ะ
สารภาพว่าตอนเห็นชื่อเรื่องรู้สึกเฉยๆ ไม่ค่อยอยากอ่าน
กลัวว่าจะเป็นเรื่องของพี่ยามจริงๆ

แต่พออ่านแล้วหยุดไม่ได้เลยค่ะ
เป็นนิยายทึ่มีครบรสจริงๆ
สนุกมากๆเลย ขอบคุณนะคั  :hao3:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 11-08-2015 06:08:13
 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 16-09-2015 22:04:02
น่ารัก ชอบมากๆเลย :กอด1:

ขอบคุณนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 17-09-2015 20:05:30
ชอบบบบบ หาอ่านแนวนี้ยากมากๆๆๆ เลย นักเขียนแต่งออกมาได้กระชับแต่น่าติดตามทุกตอนเลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 18-09-2015 14:06:56
เฮ้ยย คือชอบฟิลนิยายเรื่องนี้อะ มันแบบบอกไม่ถูก แต่สนุกดีอะ
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 25-02-2016 21:55:28
 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-03-2016 21:00:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 08-03-2016 00:45:40
 :mew1: :mew1:อ่านจบแล้วก็ต้องขอบอกเลยว่านิยายน่ารักมาก
เราชอบคู่ปันกับไกรสรมากอิอิมันน่ารักอ่ะส่วนคู่อื่นๆก็ชอบนะริวกับกีก็น่ารักจริงๆๆอยากอ่าคุโรกับจิ้งจอกของริวอ่ะว่าจะyแบบไหน :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 15-10-2017 14:22:57
เป็นหมู่บ้านที่ครึกครื้น จริงๆ เรื่องนี่สนุกมาก
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-10-2017 23:17:28
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 18-10-2017 22:14:21
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: KnightDevil ที่ 10-02-2018 06:21:23
เหมือนเคยอ่านค้างนานมากแล้ว เพิ่งได้มาอ่านตอนจบค่ะ

น่ารักมากเลย ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 22-12-2018 18:19:16
 o13