บทที่ 6.2
แอ๊ด~
“ไม่ทราบว่าทำอะไรกันอยู่คะ...”
น้ำเสียงราบเรียบลอดผ่านริมฝีปากสีกุหลาบ ผมรีบสปริงตัวออกจากตักของคนมีเจ้าของด้วยความอายอย่างสุดซึ้ง ดวงตาเรียบเย็นปราดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะละกลับไปหาคิระ
“เพิ่งรู้ว่าพี่คิระมีรสนิยมแบบนี้นะคะ แล้วนี่เพทพี่คิระหรอคะ ฮะๆ”
ผมก้มหน้างุดกำชายกระโปรงแน่น ให้ตายสิน่าอายที่สุดเลย เรียวขาสวยก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
ใบหน้าสวยเอียงคอมองผมที่ผลุบหน้าหลบอยู่ ผมได้ยินเธอหัวเราะคิกคักๆ นั่นสินะมันคงน่าตลกอยู่ไม่ใช่น้อย
แต่ถ้าผมไม่ใส่แบบนี้ไอ้แมวบ้านั่นมันอาจจะกัดผมก็ได้-///-
“พี่คิระเนี่ย~ ขี้แกล้งจังเลยนะคะ”
“มาถึงนี่มีอะไรหรอ”
บุคคลหน้าตายแห่งปีถามกลับไป สาวน้อยน่ารักคนนั้นถึงกับขมวดคิ้วสะบัดหน้างอนทันที
“ก็จะถึงวันครบรอบที่เราเป็นแฟนกันแล้วนี่ ถ้าไม่มาเตือนเดี๋ยวพี่ก็ลืมอีก-3-”
“....ลืมไปแล้วละ”
ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆเมื่อได้ยินเขาตอบ จะบ้าหรือไงวะ!! พูดแบบนั้นกับแฟนตัวเองได้ยังไง นี่มันเป็นแฟนประเภทไหนของมันเนี่ย ผมมองดวงตาสวยที่ส่ายระริกเหมือนกำลังน้อยใจอยู่ ถ้าไปผมเจอแบบนี้ผมคงบอกเลิกเลยละ
“คิระ...”
ผมเรียกเขาเบาๆ ใบหน้าเรียบนิ่งหันมองผมที่ส่ายหัวเป็นเชิงเตือนให้เขารู้ตัวว่าเขาพูดไม่ดีไปนะเมื่อกี้
“ไม่เป็นไรหรอกคะ พี่คิระ...เขาก็เป็นแบบนี้ รินรู้อยู่แล้วละก็คบกันมาตั้งหลายปีแล้วนี่นา”
แปล๊บ!
เหมือนมีใครเอาเครื่องช็อตไฟฟ้ามาจี้ตัวผม มันรู้สึกแสบๆอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเป็นความรู้สึกแค่แว้บเดียวก็เถอะ
....แต่มันก็เจ็บ...
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อๆออกไป ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจถ้าจะต้องยืนฟังพวกเขาคุยกัน รู้สึกว่ามันจะไม่ใช่เรื่องของผม ผมไม่ควรยืนเป็นกางขวางพวกเขาแบบนี้ ....ไม่ควรที่จะมาที่นี่ด้วยซ้ำ...
“นี่....พี่คิระไม่ได้บอกเพทของพี่หรือไง ไม่ได้นะถึงจะเป็นแค่เพทก็ต้องให้รู้เรื่องส่วนตัวของเจ้านายบ้างสิ”
“ไม่จำเป็นต้องบอก” คิระตอบ
อ่อ....กูเลยเป็นควายโดนหลอกเพราะมึงไม่บอกกูไงละ... เหอะๆ
“ก็เหมือนหมาไง ถ้าไม่แขวนปลอกคอก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ....”
ผมชะงักสบดวงตาสีคาราเมลที่จ้องมองมา ไม่รู้ว่าทำไมในอกผมมันถึงสั่นไหว มันรู้สึกร้อนจนเหงื่อออกทั้งที่อยู่ในห้องแอร์แท้ๆ
“ถ้าไม่บอกว่ามีแฟน.....เกรงว่าจะมีพวกหน้าโง่เผลอตัวมารักคนมีเจ้าของไงคะ อีกอย่าง สำหรับบ้านริน ถ้าใครลักลอบเป็นชู้กับคนมีเจ้าของ....จะต้องโดยกรีดจนจำเค้าเดิมไม่ได้”
...พะ...พูดถึงเราหรอ...
ไม่หรอกมั้ง เรื่องนี้ขนาดไอ้น้ำยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ อีกอย่างเพิ่งเคยเจอกันซึ่งๆหน้าแค่ครั้งเดียวด้วย ไม่สิ....คนเป็นแฟนต้องมีเซนส์เรื่องนี้แน่ๆ คนที่ทำผิดยังไงก็ต้องถูกเปิดเผยความผิดอยู่วันยังค่ำ เรื่องแบบนี้หนีให้ตายยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก... ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก บรรยากาศกดดันแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกอยากจะพาตัวเองออกไป ไม่ไหว....ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย…
“ริน....ไปคุยกันข้างนอก”
ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาเดินนำลิ่วออกไปจากห้อง ร่างบอบบางรีบวิ่งตามแฟนของเธอออกไป แต่ก่อนที่มือสวยจะบิดประตูออกไป เธอก็หันมามองผมด้วยสายตานิ่งเรียบ
...คงไม่พอใจสินะ...
ก็นะ จู่ๆเปิดมาเจอคนอื่นนั่งอยู่บนตักแฟน แถมท่าทางก็ชวนให้คิดมากแบบนั้น เรื่องทั้งหมดก็เพราะไอ้บ้านั่นน่ะแหละ ถ้ามันไม่ทำแบบนั้น.... ถ้าไม่พูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ผมคง....
“ใจง่ายไปมั้ยวะกู...”
เฮ้อ รีบๆลืมเรื่องพรรค์นี้ไปก่อนดีกว่า ไหนเคมีจะเทสย่อยอีกแล้ว เอาเวลาไปคิดเรื่องนี้ดีกว่า ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของฮารุแบบไม่ขออนุญาตแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิม ผมมองกระจกบานใหญ่ซึ่งไม่รู้จะตั้งไว้ให้แมวส่องกระจกแต่งตัวหรือไง ผมมองภาพเรือนร่างตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกนั่น
...ไม่มีอะไรสู้ได้เลย...
ไม่ว่าจะหน้าตา หรือรูปร่าง ผมไม่ควรคิดจะสู้ด้วย เรื่องอะไรผมจะต้องทำตัวเองให้ต่ำลงด้วยการไปแย่งแฟนคนอื่นละ
...รอยแดงเต็มไปหมด...
ผมเม้มปากอย่างเซ็งๆเมื่อมองเอวตัวเองที่มีรอยพาดสีแดงเป็นแถบยาวอยู่บนผิว ที่แขนก็มีรอยนิ้วมือขึ้นชัดเลย ตอนนั้นคิระกอดผมแน่นขนาดไหนกันนะ แต่ตอนนั้นผมทั้งรู้สึกอึดอัดและก็หัวใจเต้นแรง รู้ว่าไม่ควรหวั่นไหวแต่มันทำไมได้นี่นา ผมยกมือลูบไปตามคอที่มีรอยสีชมพูจางๆ เหมือนไหร่รอยบ้านี่จะหายไป
...เมื่อไหร่ผมจะได้ไปจากเขาซะที...
“ริน!!!”
ผมสะดุ้งกับเสียงตะโกนลั่นของคิระ ด้วยความอยากรู้ตามสัณชาติญาณขาผมพาผมวิ่งออกมาจากห้องฮารุ ผมค่อยๆเปิดประตูห้องด่านสุดท้ายออกไปเบาๆ ภาพที่ฉายบนตาผมเป็นภาพที่ดูงดงามแต่ลึกๆผมกับรู้สึกว่าความงดงามนั่นซ่อนคมมีดเอาไว้
...เจ็บชะมัด...
ผมกลั้นหายใจมองคนทั้งสองตรงหน้า แขนใหญ่เมื่อครู่ที่โอบกอดผมตอนนี้เขาเปลี่ยนไปโอบเอวบอบบางนั่นแล้ว ฝ่ามือใหญ่เชยหนุนท้ายทอยศีรษะสวยได้รูปขึ้นรับริมฝีปากอบอุ่น ร่างบอบบางคลายอาการสั่นเทาเป็นสงบนิ่ง ฝ่ามือเล็กยกขึ้นโอบรอบท้ายทอยของคนตัวใหญ่เช่นเดียวกับเขาที่พยายามกดจูบตอบเธอให้มากยิ่งขึ้น ดวงตาสีดำปรือสบดวงตาของคนสอดรู้อย่างผมเข้าอย่างจัง ผมรีบปิดบานประตูหนีดวงตาคู่นั้นอยากทดไม่ได้
ฮวบ!
ผมทรุดตัวลงนั่งชันเข้าอยู่หน้าประตู ทำไมต้องมาเห็นฉากแบบนี้ด้วยนะ
“เหอะๆ เจ็บกว่านี้มีอีกมั้ย...”
ผมบ่นกับตัวเองพลางทอดสายตามองฟ้าสีแดงแสนหดหู่ ผมอยากไปจากที่นี่แล้ว ไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากอยู่กับคนๆนี้ ผมไม่อยากจะให้หัวใจของผมเจ็บปวดมากกว่านี้อีกแล้ว ผมควรทำยังไงถึงจะได้ไปไกลๆจากเขาซะที ผมลูบปลอกคอที่เหมือนเป็นโซ่ตรวนล่ามผมไว้กับความเจ็บ ผมตัดสนใจแล้ว ไม่ว่าต้องทำวิธีไหน ผมจะต้องหลุดออกจากพันธนาการนี่ให้ได้!!
[Kira’s part]
รถยนต์แล่นช้าๆอย่างไม่เร่งรีบ ผมละสายตาจะนอกหน้าต่างกลับมามองคนด้วยข้างที่ทอดสายตาออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาเหม่อลอยคู่นั้นแฝงได้ด้วยความเศร้าซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามาจาเหตุอะไร แต่นั้นทำให้ผมรู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้ เปลือกตาสีอ่อนเริ่มประพริบช้าลงคงเพราะแอร์จากรถที่ทำให้รู้สึกอยากหลับ ผมฉวยโอกาสดึงคนตัวเล็กเอนนอนลงบนตัก ร่างเล็กๆนอนนิ่งไม่รับรู้อะไรสงสัยคงจะเพลียมาก
...แต่แบบนี้ก็ดี...
ถ้าขืนยังตื่นอยู่คงไม่ยอมให้ผมเข้าถึงตัวง่ายๆแบบนี้แน่ ที่บอกว่าเซฟเป็นฝาแฝดกับฮารุก็เพราะแบบนี้ ฮารุถ้าหลับแล้วก็จะว่าง่ายยอมให้จับแต่โดยดี แต่ถ้ายังตื่นแล้วไปอุ้มละก็จะกางเล็บข่วนพร้อมกับขู่ ทุกครั้งที่ผมมองเซฟก็มักจะเห็นภาพซ้อนทับของฮารุเสมอ ผมไล้หลังมือไปตามข้างแก้มสีชมพูจางๆ เรื่อยลงไปที่ริมฝีปากบางที่เผยอออกเพื่อผ่อนลมหายใจ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรทำแบบนี้เพราะจะถูกเกลียดเอา แต่ผมก็เผลอก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากเย้ายวนนั่นซะแล้ว
...มันช่วยไม่ได้....
ถ้ามีคนที่คุณแอบชอบมาอยู่ตรงหน้า ระยะ ใกล้แบบนี้รับประกันได้มั้ยว่าคุณจะไม่สัมผัสเขา... ผมเองยังอดใจไม่ไหว ไม่ว่าเมื่อไหร่ผมก็อยากจะอยู่ข้างๆเขา ถึงแม้ว่าเขาจะทำท่าทีรำคาญหรือรังเกรียจผม ผมไม่รู้ว่าการแสดงความรักกับคนที่เรารักควรทำยังไง ผมแค่นึกอยากทำอะไรผมก็ทำเลย
...เขาก็เลยยิ่งเกลียด...
ต่อให้เกลียดมากเท่าไหร่ผมก็ไม่อยากปล่อยเขาไป ผมรู้ว่าการรั้งไว้ด้วยการทำให้เป็นแฟนมันทำไม่ได้ ในเมื่อผมมีแฟนอยู่แล้ว สิ่งสุดท้ายที่ทำให้ผมสามารถผูกติดเขาไว้กับตัวผมก็คือการนำเขามาเป็นPET
…ขอโทษที่ฉันเห็นแก่ตัว แต่ว่าฉันรักนาย...
“คิระ มาช้าอีกแล้วนะ หนูรินเขาทนไม่ไหวกลับบ้านไปแล้วเนี่ย”
ผมมองใบหน้าสะสวยของสาววัยสามสิบ เธอส่ายหัวเหมือนเอือมระอากับการมาสายของผม จริงๆผมก็จงใจมาทานข้าวสายเพื่อให้รินกลับไปก่อน
“นี่! ไม่ขอโทษแล้วยังจะเดินหนีอีกเจ้าลูกคนนี้-o-!!”
ผมยืนนิ่งมองหน้าแม่ตัวเอง จะให้ผมขอโทษเรื่องอะไร
“..จะไปโทรหาโทรุ..”
ผมตอบกลับไป
“อ่อ ฝากบอกด้วยนะว่าดูแลสุขภาพด้วยแม่เป็นห่วงนะ แต่คิระจังเนี่ยติดพี่จังเลยนะ><”
ผมน่ะหรอติดโทรุ ไม่ใช่ซะหน่อย ผมเดินไปตามทางเดินยาวออกไปสู่สวนหลังบ้านพลางหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรออก ทุกๆวันผมจะโทรหาโทรุก่อนจะไปอาบน้ำนอน ผมไม่ได้ติดพี่ชายเพียงแต่อยากรู้ว่าตอนนี้เขา....
(โมชิโมชิน้องร้ากกก~ โทรมาหาพี่ชายทุกวันเลยนะ คิดถึงเค้าล่ะสิ~)
“...เรียนจบหรือยัง...”
(แกจะบ้าหรอห๊ะ!! โทรมาถามอยู่ได้ทุกวันก็บอกว่ายังเรียนไม่จบๆ นี่ไม่คิดจะถามหน่อยหรอว่าพี่เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย วันนี้กินอะไรเรียนอะไรบ้าง!@#$%^&)
“...แค่นี้นะ...”
(เฮ้ย!! เดี๋ยวเด้ อย่าเพิ่งวางสายนะเว้ย..!!)
ติ๊ด!
ไม่มีอะไรต้องคุยแล้วละ ผมเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม ไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้งๆก็บอกว่ายังเรียนไม่จบ เอไหร่จะเรียนจบซะทีผมเบื่อจะแย่แล้ว ผมเดินขึ้นบันไดเพื่อไปที่ห้องตัวเองแต่เสียงแหลมๆก็เรียกผมไว้ก่อน
“โทรุเป็นไงบ้างละ” แม่ถามผม
“..ยังเรียนไม่จบ..” ผมตอบกลับไป
“แล้วสบายดีหรือป่าว อยากได้อะไรเพิ่มมั้ยแม่จะได้ส่งไปให้><”
“...-_-…”
ไม่รู้ ผมไม่ได้ถาม
“โทรไปถามโทรุแบบนี้ทุกวันเลยสินะ อยากรีบประกาศสงกรานต์เร็วๆใช่มั้ย”
น้ำเสียงภาษาไทยแปล่งๆดังออกมา ผมหันไปมองบุรุษที่เดินมาพร้อมรอยยิ้มสดใส ถึงจะอยู่ในไทยแต่ก็ยังชอบแต่งกิโมโน
“สงคราม! ไม่ใช่สงกรานต์><” แม่แย้ง
“เหมือนกัน” พ่อตอบกลับ
“ไม่เหมือน>O<!”
“ไม่เหมือนหรอO.o”
“ไม่เหมือนกันซะหน่อย คิระจัง! ห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาดนะจนกว่าโทรุจะกลับมาเข้าใจมั้ย!”
ผมควรตอบว่า วากัตตะสินะ สายตาดุดันเหมือนสิงโตกำลังข่มแมวมองมายังผม ผมได้แต่พยักหน้าตอบรับไปส่งๆ ถ้าโทรุยังไม่กลับมา ผมก็ยังทำอะไรไม่ได้ มันคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ถ้าผมทำอะไรตามใจชอบไปมากกว่านี้
...ถ้าพรรค์2พรรค์มาฆ่ากัน...
เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ว่าผมเป็นลูกยากูซ่า มีพ่อเป็นหัวหน้าพรรค์คิริว ที่ญี่ปุ่นมีพรรค์ใหญ่ๆอยู่สองพรรค์ที่ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศก็คือพรรค์ของพ่อและพรรค์ของพ่อริน บ้านเราได้ทำสัญญาสงบศึกกันชั่วคราวโดยให้ผมและรินหมั้นกัน การหมั้นไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไหร่ ต่างฝ่ายก็ยังจ้องจะรบกันอยู่ดี เพราะไม่อยากให้สูญเสียลูกน้องมากแม่จึงสั่งให้ผมรอโทรุเรียนจบ
...ถ้าเรียนจบก็จะมีผู้นำใหม่...
ข้อสัญญาจะสิ้นสุด ผมรู้ว่าทุกคนก็เครื่องร้อนกระหายการนองเลือด ผมก็เหมือนกัน ผมอยากจะจบสัญญานั่นโดยเร็ว
“ลากฉันมาทำไม...”
เสียงใสบ่นอุบ คิ้วโก่งได้รูปขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่นจ้องผมแบบโมโห ผมได้แต่ทำหน้าธรรมดาตามปกติแล้วเซฟก็เงียบไป ผมพยายามเดินรักษาระยะห่างให้ใกล้กัน แต่อีกคนกลับพยายามเดินหนีจากผม ถ้าวันนี้ผมหยิบโซ่มาด้วยผมคงล่ามแล้วบังคับให้เดินสี่ขาทำโทษที่กล้าที่ตัวออกห่างผม
“ไม่สบายหรอ”
ผมถาม เซฟทำเสียงดังรำคาญผมอยู่ในคอ ผมทาบหลังมือลงบนหน้าผากมน ดวงตากลมมองจิกกัดก่อนจะปัดมือผมออกอย่างแรง ผมข่มอารมณ์ไม่อยากทำอะไรรุนแรงเช่นจับบีบคางหรืออัดเข้าผนัง ผมไม่อยากให้เขาเกลียดผมมากไปกว่านี้
“จะทำอะไรก็รีบๆทำจะกลับบ้าน!”
รำคาญฉันขนาดนั้นเลยหรอ... ผมควรจะชินกับคำพูดแรงท่าทีขับไล่ผม แต่ช่วงหลังๆบรรยากาศมันเปลี่ยนไป ดวงตาคู่นั้นเก็บงำความรู้สึกบางอย่างไว้ ความเศร้าของนายบอกฉันมาได้มั้ยว่านายเป็นอะไร ฉันอยากให้เซฟคนเดิมกลับมา ฉันไม่ต้องการเซฟคนนี้...
“อืม”
ผมหยุดเท้า คนตัวเล็กข้างๆผมก็กอดอกพิงกำแพงเหมือนจะรออยู่ตรงนี้ มีอะไรที่ผมพอทำให้เขาหายทำหน้าตึงเครียดใส่ผมได้บ้าง
“ทำไรเนี่ย”
ผมแทรกปลายนิ้วเกี้ยวพันผมสีบลอนซ์ มือเล็กๆจับมือผมดึงออกอย่างรำคาญ ผมแบมือตรงหน้าเซฟให้ดูของที่ผมกำไว้ในมือ
“อะไร มายากลหรอ” เสียงใสถามผม
“แบมือ”
คนตัวเล็กมองผมอย่างไม่วางใจแต่ยอมแบมือให้ผมวางลูกอมลงในมือ ผมใช้มือข้างเดิมลูบเส้นผมสีอ่อนอีกรอบก่อนจะแบลูกผมเม็ดที่สองให้ดู ดวงตากลมโตเบิกขึ้นอย่างประหลาดใจ มือเล็กยกขึ้นจับผมตัวเองอย่างสงสัยว่าหัวตัวเองมีลูกอมออกมาได้ไง
“ทำได้ไงอ่ะ”
“ความลับ”
ผมบอก ถึงจะแค่ช่วงเวลาหนึ่ง มันอาจไม่ได้ทำให้ฉันเห็นรอยยิ้มของนาย แค่นายไม่ทำหน้าเหมือนรำคาญฉันก็พอ
“..ขะ..ขอบใจนะ”
ไม่ว่าอะไรฉันก็ให้นายได้ทั้งนั้น ไม่ว่าอะไร...
[Save’s part]
ผมอยากจะยิ้มออกมา แต่ผมสามารถยิ้มได้ ภาพเมื่อวานยังวนเวียนอยู่ในหัวผม มันทำให้ผมรู้สึกหดหู่อยากจะบ้าตาย ร่างสูงโปร่งเดินเลี้ยวเข้าร้านเสื้อผ้าเล็กๆไป โฮม่าจะจัดงานนิทรรศการชั้นม.5ก็จัดเป็นบ้านผีสิงที่ชั้นเลย วันนี้มันก็ลากผมมาเอาชุดที่เพื่อนมันจองไว้ จะลากผมมาทำไมวะ เกี่ยวไรด้วยเนี่ย!
“อ้าว! เซฟหรอ^^”
รอยยิ้มสดใสสว่างนำหน้ามาก่อนตัว ผมมองใบหน้าหล่อเจ้าเล่ห์เพื่อระลึกชาติให้ได้ว่ามันชื่ออะไร
“อ่า...คาร์ลหรอ” ผมถาม
“นึกนานจังเลยนะ-o-;” คาร์ลบอก
“ฮะๆ โทษทีไม่ได้เจอนาน...ลืม”
“น้อยใจได้มั้ยเนี่ย”
“ไม่ได้ๆ><”
คาร์ลหัวเราะเบาๆก่อนจะขยี้หัวผม เอ่อ...ลามปากนะมึงเนี่ย
“ไปซื้อกระดาษนะ”
ผู้ชายผมน้ำตาลเหลือบทองบอกพลางชี้นิ้วไปที่ร้านเครื่องเขียน
“เอ่อ ฟิลมึงไปสั่งน้ำปั่นร้านนั้นให้กูด้วย” คาร์ลหันไปบอกเพื่อน
“ผมไม่ใช่เบ๊คุณมึงนะครับ^^+”
ผู้ชายคนนั้นเดินงอนๆคาร์ลไปทางร้านขายของ คาร์ลยกมือลูบท้ายทอยเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มเก้อๆกับผม
“ว่าจะข่มเพื่อนโชว์ซะหน่อย ดูมันทำหน้าแตกหมด”
“เขาไม่ต่อยให้ก็บุญแล้ว” ผมบอก
“นั่นสิ ฮ่าๆ”
ผมหัวเราะเบาๆตามคาร์ล
“เซฟ...เป็นอะไรหรือป่าว ดูหน้าหมองๆนะ” คาร์ลถาม
“อ่า...ไม่มีไรหรอก” ผมตอบ
“ไอ้คิระมันเลี้ยงไม่ดีหรอ มาอยู่กับฉันก็ได้นะ^^”
“ถะ...ถ้างั้น คาร์ลก็ต้องฆ่า..คิระหรอ”
ถึงจะไม่อยากอยู่กับไอ้หน้าตายนั่นแต่กฎการเปลี่ยนมือเจ้าของคือ...ให้เจ้าของยกให้ไม่ก็ต้องฆ่าเจ้าของทิ้งก่อนไม่ใช่หรือไง ใครจะไปทำเรื่องแบบนั้นกันเล่า...
“ฮ่าๆ”
คาร์ลหัวเราะพลางมองหน้าผม หน้าผมตลกหรือไงจริงจังนะเนี่ย
“บ้าหรอ สมัยนี้ไม่ถึงตายหรอกน่า” คาร์ลบอก
“เอ๊ะ แต่กฎมันบอกไว้อย่างนี้ไม่ใช่หรอ!”
“กฎมันไม่ได้เป็นแบบนั้นซะหน่อย มันอยู่ที่ว่าหวงเพทมากแค่ไหน แต่เท่าที่เห็นพอสู้ไม่ไหวก็ยกเพทให้อีกฝ่ายแล้วละ จะมีก็แต่พวกที่บ้าไปรักเพทตัวเองเข้าขั้นหนักที่ยอมสู้จนตาย”
ก็ที่โรงเรียนมันเล่ากันต่อๆมาแบบนี้นี่นา บ้าจริง! โรงเรียนผมที่มันแปลกฎมามั่วสินะ
“ถะ...ถ้า อยากเลิกเป็นเพท ต้องทำไงหรอ” ผมถาม
“อ่า ง่ายๆก็ไปทำให้เจ้านายรำคาญเดี๋ยวมันก็ปลดปลอกคอเอง ไม่ก็ไปหว่านเสน่ห์ให้คนอื่นมาชิงตัวเองไปเป็นเพท”
“ยังไงก็เป็นเพทเหมือนเดิมนี่-.-”
“เจ้านายใหม่อาจจะดีกว่าคนเก่าก็ได้นะ^^”
“ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือไง”
“อะไรกัน พูดแบบนี้ไม่อยากอยู่กับคิระมันแล้วหรอ”
“อืม...”
ให้อยู่ใกล้กันแทบทุกวันแบบนี้ใครมันจะตัดใจได้ละ ผมน่ะ...อยากจะไปให้ไกลๆจากเขาซะ
“...ฉันท้าสู้กับคิระให้เอามั้ย”
ผมเบิกตากว้าง อะ...จะชิงผมหรอ
“คะ..คือว่า”
“ฉันสงสารนาย นายดูไม่มีความสุขเลย มาอยู่กับฉันนะ...”
เสียงทุ้มพูดเบาๆ ผมเงยหน้าสบดวงตาสวยที่จ้องมองผมอยู่แค่คืบ ผมผลุบตาลงไม่กล้าสบดวงตานั่น ตะ...แต่จะดีหรอ ทำแบบนี้นายจะบาดเจ็บเอานะ
“ฉันไม่อยากให้นายต้องมาเจ็บตัว...”
“เอาตามจริง ฉันก็สู้คิระไม่ได้หรอก^^;”
“นายทำให้ความหวังฉันดับตู้มเลยละ-_-”
“ตู้มเลยหรอ ไม่ใช่พรึ่บหรอ”
“มันหล่นลงเหวเด้งไปกระแทกโขดหินแล้วหล่นลงทะเลน่ะ-_-”
“หล่นไปถึงรอยแยกไคจูเลยปะเนี่ย ฮะๆ”
“ดูหนังมากไปป่ะ-.-”
“ฮะๆ ฉันพูดจริงนะ แต่ถ้านายช่วยทำให้หมอนั่นอ่อนแรงลงก่อนฉันก็คงพอสู้ได้ล่ะ”
“ทำยังไง...”
“คิระแพ้แอปเปิ้ล นายก็ลองใส่น้ำแอปเปิ้ลลงไปในอาหารดูสิ”
โห้ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบนั้น...แพ้แอปเปิ้ล แต่มันจะดีหรอ...
“นายจะช่วยฉันจริงๆใช่มั้ย” ผมถาม
“แน่นอน รับรองว่าจะเลี้ยงอย่างดีเลย^^”
“สัญญานะ”
“ตกลง^^”
นิ้วก้อยของผมกับคาร์ลประสานกัน ถือเป็นอันว่าข้อตกลงของเราสมบูรณ์ คิระก็คงไม่ได้อะไรกับผมมากหรอก คงไม่ถึงขั้นสู้กันจนตายไปข้างนึง
วืด~
ร่างผมถูกกระชากปลิว ผมเงยหน้าสบดวงตาสีนิลที่จ้องไปทางคาร์ล มือใหญ่เพิ่มแรงกดที่ข้อมือผมจนกระดูกผมแทบร้าว
“เจ็บนะ!!” ผมบอก
“คุยกันนิดหน่อยเอง ไม่เอาน่าคิระทำเป็นหวงไปได้^^” คาร์ลเอ่ย
“....รู้ว่าหวงแล้วมายุ่งทำไม”
คิระตอบเสียงเย็น คาร์ลยักไหล่พลางอ้าปากจะพูดต่อแต่คนตัวใหญ่ก็ดึงลากตัวผมออกมาซะก่อน ผมเอนตัวต้านแรงฉุดกระชาก แต่พื้นมันลื่นผมเลยโดนลากไปได้ง่ายๆ
“ปล่อยนะ อั่ก!!”
โอ้ย! เชี่ยนี่ชอบกระแทกกูอัดกำแพงจังกูไม่ใช่ลูกบอลนะเว้ย!
“..บอกว่าไม่ให้เข้าใกล้มัน!”
“ยุ่งน่า มันเรื่องของฉัน!!”
“นายไม่มีสิทธิ”
“เผด็จกา...อ้า! อื้ม..”
ริมฝีปากหนาเบียดลงมาชนปากผม แรงเบียดแน่นเรียกเลือดผมให้พรั่งพรูออกมาในปาก ผมฝืนกัดฟันแน่นไม่ยอมให้มันล่วงเกินผมได้อีก...ก็เลยได้เลือดทั้งคู่
“กรี๊ซ!”
มันทำเสียงขัดใจแล้วละริมฝีปากออกไปฝังคมเขี้ยวบนคอผมแทน
“เจ็บๆๆ หยุดนะ!!”
ฟันแหลมคมฝังลงบนไหล่ผมอย่างไม่ปราณี ผมดิ้นดันแผงอกกว้างให้ออกห่างจากตัว นี่มึงเป็นตัวเชี่ยไรเนี่ย!! มากัดคนอื่นเขาแบบนี้มันเจ็บนะเว้ย ผมเจ็บปวดวิ่งแล่นไปทั่วตัวผมผมได้แต่ใช้มือตบตีจิกหัวมัน ผมกลัวว่ามันจะกัดเนื้อผมหลุด ไม่รู้ว่าหมั่นเขี้ยวอะไรผมนักหนา มือใหญ่กระตุกฉีกคอเสื้อนักเรียนผมออกก่อนจะอ้าปากขบฟันไปตามตัวผมอย่างกระหาย
“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย!! เกลียด เกลียดที่สุดเลย!!”
ตึง!
หมัดหนักซัดเข้ากำแพงห่างหูผมไปนิดเดียว ผมหลับตาปี๋ไม่กล้ามองหน้าสีแดงจัดของเขา โกรธไรอีกละ คนที่ต้องโกรธมันกูเว้ย!! ทำไรไว้เนี่ยมันเจ็บนะ!!
“...อยากเกลียดก็เกลียดไป”
“เกลียดอยู่แล้วละ!! ไม่อยากเห็นหน้าแล้ว!! ห้ามตามมานะ!!”
ผมสะบัดตัวออกแล้วเดินหนี ผมดึงเสื้อที่แหวกออกลึกจนเห็นท้อง นอกจากจะทำร้ายร่างกายยังทำลายทรัพย์สินคนอื่นอีก! ผมกดลิฟต์ลงไปชั้นล่างเพื่อเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ไม่ไหวแล้วทำแบบนี้มันเกินไป
พรั่บ!
ผมเบิกตากว้างพลางตะกายมือเอามือใหญ่ที่ปากออก ชายร่างใหญ่สองคนวิ่งออกมาจากมุมตึกแล้วจับขาผมยกขึ้น ผมมองตามเสาลานจอดรถที่ลึกขึ้นๆเรื่อย ผมดีดดิ้นส่งเสียงร้องที่อู้อี้ออกไป
ตุ้บ!
ร่างผมถูกโยนลงบนพื้น แม่งเจ็บชิบ!! ผมยันตัวจับแผ่นหลังที่กระแทกพื้นเต็มๆ มันร้าวไปหมดเลย หัวก็กระแทกมึนไปหมดเลย
“นี่พวกคุณเป็นใครเนี่ย!!”
ผมถามคำถามออกไป ชายสามคนนั้นหันไปคุยกันซักพักพลางปราดสายตามองผม ผมไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน เพราะมันเป็นภาษาที่ผมไม่เข้าใจ
ชิ้ง!
มีดด้ามยาวถูกดึงออกมาจากฝักที่เป็นหนัง ผมกลืนน้ำลายฝืดๆแล้วลุกวิ่งหนี
วืด~
“อ๊า!!”
มือหยาบดึงขาผมจนผมล้มลงหน้าฟาดพื้น มันดึงลากขาผมเข้าไปแล้วเงื้อมีดยาวลงมาฟันขา ผมพลิกตัวเบี่ยงหลบไปได้อย่างหวุดหวิด ผมหายใจหอบถี่เพราะหัวใจมันเต้นหนักขึ้น น่ะ...นี่จะเอาอะไรก็ไม่บอก จู่ๆก็จะฟันขาเลย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ!!
“ปล่อยนะเว้ย!!”
ผมสะบัดขาไปมาให้มันหลุดออกจากมือใหญ่นั่น ร่างใหญ่ยักษ์ทิ้งตัวลงกดเข่าบนท้องผม ผมงอตัวจุกแทบอ้วกออกมา ผมได้ยินมันหันไปพูดอะไรกับสองคนที่เหลือแล้วสองคนนั้นก็เดินมาจิกหัวผมให้เงยหน้าขึ้น ส่วนอีกคนก็ยึดขาสองข้างผมไว้กับพื้น
“ต้องการอะไร!! เงินหรอ!! อยู่ในกระเป๋า!!”
ผมเอ่ยเพื่อหาทางรอด แต่มันคงฟังผมไม่รู้เรื่อง คนถือมีดหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนมันหันด้านคมมีดแตะแก้มผมเบาๆ แต่ผมก็รู้สึกแสบมีดมันคมมากเลย ดีนะที่มันไม่สับขาผม!!
“ช่วยด้วย!!”
ผมตะโกนขอความช่วยเหลือ มือเหม็นสาบประกบปิดปากผมไว้แน่น ผมใช้มือดึงมือโสโครกนั่นออกแต่มันแรงเยอะกว่าผมมาก
ฉับ!
มีดเงาวับปาดลงบนหลังมือผม เลือดจากหลังมือกระเด็นใส่หน้าผม ผมมองเลือดที่มือตัวเองอย่างหวาดกลัว มีดมะ...มันบาดมือผม ทำไงดี...นี่ผมต้องโดนฆ่าหั่นศพหรอ ไม่นะ!!!
พลั่ก!!!
เคร้ง~
“อ่อก!”
ร่างยักษ์ใหญ่กระเด็นลอยข้ามไปข้างหลังผม ผมมองร่างสูงที่ตีหน้าเคร่งน่ากลัวต่างไปจากปกติ มือใหญ่กระชากคนที่จับผมแล้วกระแทกเข่าเข้าที่กระดูกสันหลังจนมันทรุด
“เจ็บ!!”
คนที่จกหัวผมดึงหัวผมพร้อมกับล็อกคอผมแน่น
“..Kearu..”
คิระเอ่ยเสียงเย็นพลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผม แขนหนักแน่นบีบรัดคอผมแล้วดึงผมให้เดินถอยหลังตามมันไป ร่างสูงก้มลงหยิบมีดด้ามยาวที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาชี้หน้า
ฉั๊วะ!
มีดคมกริบแทงลงบนคนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น มันอ้าปากพะงาบส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ผมมองแววตาไร้ความรู้สึกที่มองดูผลงานตัวเอง
...น่ากลัว...
แววตาของเขามันไร้ชีวิต ไม่เหมือนคน กล้าทำแบบนั้นได้ยังไง น่ะ...นายทำบ้าอะไรของนาย เสียบลงไปแบบนั้นเขาอาจจะถึงตายได้นะ มือสั่นเทาที่ล็อคผมเริ่มสั่นคอน คิระดึงมีดขึ้นมาจากร่างแน่นิ่งแล้วชี้มีดมาทางผมอีกรอบ
“..Kearu..”
พลั่ก!
ไอ้งั่งผลักผมทิ้งแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต ร่างสูงก้าวเท้าถี่มองตรงไปยังคนที่ปล่อยตัวผมเมื่อครู่ อย่าบอกนะว่าจะเอาไอ้นี่ไปแทงอีก!! อยากติดคุกหรือไง!!
“หยุดนะคิระ!!”
ผมวิ่งไปกอดเอวรั้งคนตัวใหญ่เอาไว้ แบบนี้มันผิดกฎหมายนะจะบ้าหรือไง
เคร้ง!
มีดถูกปล่อยทิ้งลงพื้น คนตัวสูงพลิกตัวหันมาหาผมที่ตัวสั่นไม่หาย
หมับ!
มือใหญ่กดหัวผมลงบนแผงอกกว้าง มือทั้งสองที่อบอุ่นเลื่อนโอบกอดผมไว้แน่น ใบหน้าหล่อผลุบลงบนไหล่บอบบางของผมพลางสูดลมหายใจเข้าอย่างอดกลั้นอารมณ์ ผมไล้มือไปตามแผ่นหลังใหญ่ปลอบให้เขาสงบลง ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกนักเลงอย่างเขาจะกล้าแทงคน ผมยอมรับว่าผมกลัวมาก... แต่ถ้าไม่ได้เขาผมก็ไม่รอดเหมือนกัน...
“…Ore ga kimi o mamoruyo…”
ถึงผมจะฟังไม่ออกแต่หัวใจผมก็พองโตขึ้นมา น้ำเสียงหนักแน่นเอื้อนเอ่ยเหมือนจะกล่าวคำสัญญากับผม ปลายจมูกโด่งฝังลงบนเรือนผมสีอ่อน ผมก็ยังไม่เขาใจอยู่ดีกว่าทำไมเขาถึงทำตัวแบบนี้เวลาอยู่กับผม แต่ผมจะไม่เข้าข้างตัวเองอีกแล้ว จนกว่าจะได้ยิน..”คำพูดนั้น”จากปากของเขา
..ไม่รู้เมื่อไหร่ อาจจะหลังจากที่ผมหลุดออกจากพันธนาการนี้แล้วก็ได้...
++++นักเขียนน่าถีบ+++
อยากให้อ่านได้อารมณ์แบบ คำนี้แปลไม่ออกเฟ้ย จะได้เข้าใจความรู้สึกของเซฟมัน
คำแปลจ้าๆ Kearu เอาคืนมา,กลับมา Ore ga Kimi o Mamoruyo ของครูบีมๆ แปลๆ ฉันจะปกป้องเธอ
ถ้าคิดว่าความหมายมันแปล่งๆ ช่วยแก้ได้จ้า^^
ตอนนี้คิดว่าคงอยากกระโดดถีบคนเขียนตั้งแต่เริ่มเรื่องเลย555
ระบาย : ลบ Sulfur Love ไปแล้ว อย่างเสียใจอ่ะT^T คือ ปลดแบนตอนนี้ ไปแบนตอนโน่น เราก็ไล่ปลดๆ
เขาบอกปลดแล้วพอเข้าก็ยังไม่ปลด แล้วก็โนแบนบทความ ตอนแรกก็งงว่าทำไมคนอื่นอ่านบทความเรไม่ได้
เลยล็อกเอาท์ดู แบทบทความอ่อๆ ปกติเขาจะแก้หรือจะแบนจะแจ้งสาเหตุหรือบอกมาว่าโดนแบนตรงนี้นะ
อันนี้ไม่แจ้ง.. เราก็คิดว่ายังไงคนอ่านก็เข้าอ่านไม่ได้เลยลบทิ้งเลย พอลบก็เห็นข้อความแจ้งจ้า
ว่าแบนบทความแล้วนะ เพราะอะไร (แล้วทำไมเพิ่งมา สงสัยตกหลุมอากาศ -o-)
เราว่ามันคงเป็นความผิดพลาดเรื่องโชว์ข้อความลับอ่ะนะ เขาอาจส่งมานานแล้วแต่มันไม่โชว์ให้เราเห็น
แต่ก็แทบร้องไห้อ่ะ ทำไมต้องโจมตีนิยายวายกระจายแบบนี้ ฮือๆ


น้ำค้าง : ไม่ได้นะเฟียส...กะ..กินน้ำค้างต้องใส่ถุงนะ
เฟียส : ถุงยางไม่มีถุงผ้าก่อนได้มั้ยลดโลกร้อน-_-
น้ำค้าง : บ้า>////<