ตอนที่ 7ธันว์“ธันว์....ธันว์ ไอ้ธันว์!”
“เฮือก...ฮะ ฮ้า! มะ ไม่เห็นต้องเรียกกูเสียงดังขนาดนี้เลย แค่มึงใช้เสียงธรรมดากูก็ได้ยินแล้วเหอะ” ขวัญเอ๊ยขวัญมารีบกลับมาอยู่กับนายธันว์คนรูปหล่อเหมือนเดิมทีเถอะ
ผมยกมือลูบอกเรียกขวัญที่บินปร๋อของตัวเองให้กลับมา หลังจากโดนเสียงตะโกนของไอ้เพื่อนร่างบึกผิวเข้มอย่างไอ้นนไล่ซะกระเจิง ไอ้นนที่โดนผมถลึงตาเข้าใส่ก็ไม่มีสำนึก ยังส่ายหน้าให้อย่างหน่ายๆแต่แววตากลับจริงจัง จนผมต้องเบือนหลบด้วยเริ่มเข้าใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้
“ไอ้ธันว์มึงเป็นอะไร จะว่าเหม่อก็ไม่ใช่จะหลับในก็ไม่เชิง ถ้าไม่ไหวจริงๆกูว่ามึงพักก่อนเถอะ เพราะขืนเป็นแบบนี้ เกิดอันตรายขึ้นมามันไม่คุ้มกัน” ผมได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิดและไม่กล้าเถียงมันสักแอะเหมือนเคย เพราะเห็นจริงอย่างที่ไอ้นนพูดเป็นที่สุด
ด้วยขณะนี้เราอยู่ในไซต์งานก่อสร้างที่ร่วมกันรับผิดชอบ หากประมาทสักนิดอาจจะเกิดอันตรายตามที่ไอ้นนมันพูดก็ได้ และที่ผ่านมาเรียกว่าผมประมาทมากเลยครับ เพราะผมดันยืนหลับทั้งๆที่กำลังตรวจงาน ท่ามกลางเครื่องมือและเครื่องจักรที่ใช้ในการก่อสร้างมากมาย ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผมหลับในจนเสียประวัติการทำงานนั้นก็คือ...
“ฮึๆ เมื่อคืนเฮียกูจัดหนักล่ะสิ มึงถึงมายืนสัปหงกอยู่อย่างนี้ ใช่ม้า~” ผมค้อนไอ้นลินตากลับ ใจน่ะอยากจะเถียงมันใจแทบขาด แต่สิ่งที่มันพูดดันเป็นเรื่องจริงน่ะสิครับ
ผมชักสงสัยแล้วสิว่าไอ้นลินมันซ่อนกล้องไว้ในห้องนอนของผมรึเปล่า นิสัยอย่างมันไว้ใจไม่ได้ซะด้วยสิ แต่ก่อนที่ผมจะได้ต่อความกับไอ้นลิน ไอ้นนก็ขัดตาทัพด้วยการไล่ผมออกมาพักที่ออฟฟิศชั่วคราวข้างไซต์งาน ผมจึงได้แต่เดินหน้าม่อยก้มหน้ารับชะตาจากมา ทั้งๆที่อยากฝืนสังขารทำงานต่อ แต่สายตาจริงจังแกมดุของไอ้นนทำให้ผมไม่กล้าหือ เพราะกลัวมันขบหัวเข้าซะก่อน แต่ผมล่ะหมั่นไส้ไอ้นลินนัก ทำตัวรู้ดีเกินหน้าและทำให้ผมได้อายเพราะปากมันไปซะทุกครั้ง
ส่วนสาเหตุของอาการตื่นไม่เต็มร้อยของผมก็เป็นไปตามที่ไอ้เพื่อนปากดีมันว่ามานั่นแหละครับ โดนไปสามรอบเต็มแบบสลบคาเตียง ทำให้นอนกี่โมงกี่ยามก็ไม่รู้แถมต้องตื่นมาฝึกงานแต่เช้าอีก ร่างกายผมทนมาถึงขนาดนี้ก็เจ๋งเท่าไหร่แล้ว แต่อย่าให้ตัวต้นเหตุอีกคนรู้เข้าเชียวนะครับ เพราะผมต้องโดนเฮียหลี่ผิงดุแน่เหอะ ข้อหาดื้อไม่ยอมเชื่อฟังและฝืนร่างกายจนเสี่ยงให้เกิดอันตรายอยู่แบบนี้
อย่างเมื่อเช้าเฮียหลี่ผิงก็ถามย้ำกับผมแล้วว่าจะทำงานไหวเหรอ ผมที่ตื่นมาอย่างสะโหลสะเหลก็ดื้ออ้อนขอมาทำงานจนได้ พอตอนนี้คิดถึงสายตาเป็นห่วงเป็นใยของเฮียหลี่ผิงยามมาส่งผมเมื่อเช้า ก็ให้แอบรู้สึกผิดนิดๆไม่ได้ที่โกหกไป แต่ตอนนั้นมันหมั่นไส้มากกว่านี่ครับ ทีตอนจับผมกินล่ะไม่คิด พูดอยู่นั่น ‘น้องธันว์ครับ เฮียขออีกรอบนะ’ น้ำเสียงนุ่มๆแววตาออดอ้อนของมังกรรูปหล่อ ทำเอาผมเคลิ้มใจอ่อนซะทุกที
“ป้าบ...โอ๊ย! ตีกูทำไมเนี่ย” ไอ้ผู้หญิงบ้ามันมาทางไหนก็ไม่รู้ครับ อยู่ๆก็ฟาดมาที่ไหล่ผมซะแรงทำเอาแสบๆคันๆ
“กูไม่ตี มึงก็คงเคลิ้มจิตหลุดไปหาเฮียกูแบบกู่ไม่กลับดิ” เฮ้ย ไอ้นลินมันเล่นของใช่มั้ยเนี่ย มันรู้ได้ไงว่าผมคิดถึงไอ้เฮียมันอยู่ หน้าตาผมตอนนี้คงดูแปลกใจมากสำหรับมันล่ะครับ เพราะไอ้นลินมันยิ้มกว้างตาวาวแถมยักคิ้วให้อย่างกวนๆอีกแหนะ
“อย่าแปลกใจว่าทำไมกูเดาถูก คนที่ทำให้มึงหน้าแดงตาเยิ้มอมยิ้มเหมือนคนบ้าได้ ก็มีแต่เฮียหลี่ผิงล่ะว้า ไมวะ มึงคิดถึงช่วงร้อนแรงกับเฮียอยู่เหรอวะ เล่าให้กูฟังมั่งสิ” ‘ฉ่าๆๆ’ เสียงที่ได้ยินไม่ใช่ใครมาทอดอะไรแถวนี้นะครับ แต่เป็นใบหน้าของผมตอนนี้ต่างหากที่ร้อนฉ่าแทบไหม้ไปแล้ว
“อะ ไอ้...หึ้ย!” นอกจากเฮียหลี่ผิงที่ผมแพ้ทางยอมให้ทุกเรื่อง ก็มีไอ้นลินนี่แหละครับที่ผมแพ้ปากมัน เพราะเถียงมันไม่เคยได้เลย มันจับทางผมถูกตลอด และตอนนี้ขืนเถียงออกไปคงได้เข้าเนื้อมากกว่าเดิม ผมเลยต้องยอมให้ทั้งมันและไอ้นนหัวเราะล้อเลียนซะให้พอ
“ธันว์ กูขอร้องนะ บ่ายนี้มึงกลับไปพักเถอะไป เห็นใจพวกกูและพี่ๆที่ดูแลเราเถอะ ขืนมึงฝืนร่างกายจนเกิดอะไรขึ้น เงาหัวพวกกูคงขาด กูไม่อยากเจอเฮียหลี่ผิงภาคมังกรร้ายว่ะ เห็นแกพวกกูเถอะนะ”
“แต่ กู...” สายตาจริงจังไม่แพ้ใบหน้าของไอ้นนนั้น ทำให้ผมที่ตั้งใจค้านปิดปากแทบไม่ทัน และประโยคต่อมาของไอ้นลินก็เหมือนตอกตะปูปิดฝาโลงให้ผมได้ทำตามที่ไอ้นนขอร้อง
“ธันว์ มึงใช้โอกาสนี้ไปชวนเฮียหลี่ผิงกับพี่ฝูหรงของมึงกินข้าวกลางวันสิวะ และตอกย้ำไอ้พี่นั่นให้รู้ไปเลยว่าเฮียหลี่ผิงน่ะเป็นของมึง อ๊ะๆ มึงอย่าเถียง ตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่าปล่อยให้มันลามเผาทั้งมึงและเฮียหลี่ผิง” ผมอดเห็นด้วยกับไอ้นลินไม่ได้จริงๆ
แม้จะรู้ว่าพี่ฝูหรงเป็นคนดี แต่คนดีคนนี้ก็ชอบแฟนของผมอยู่ และการอยากครอบครองบวกความหลงใหลก็อาจจะเปลี่ยนคนดีเป็นคนเลวได้ในสักวัน ดังนั้นผมควรตอกย้ำให้พี่ฝูหรงได้เห็นถึงความรักที่มั่นคงของผมและเฮียหลี่ผิง จะได้รีบตัดใจเพราะตัดใจได้เร็วเท่าไหร่ก็เจ็บน้อยเท่านั้น
เมื่อผมตัดสินใจได้แล้วจึงบอกพี่อู๋บอดี้การ์ดประจำตัวที่เฮียหลี่ผิงส่งมาคุม เอ๊ย! ส่งมาดูแลผม ให้พาไปหานายน้อยของเจ้าตัวทันที เพื่อจะได้ไปทันเวลาอาหารกลางวันตามที่ไอ้นลินเสี้ยมสอน ก่อนโทรบอกอาเฮียสุดที่รักว่าผมจะไปกินข้าวด้วย ทำเอาคนปลายสายตื่นเต้นดี๊ด๊าเป็นการใหญ่ คนอะไรเป็นมาเฟียซะเปล่าแต่ดันทำตัวเป็นเด็กๆไปได้ และผมต้องหุบยิ้มแทบไม่ทัน เมื่อเฮียหลี่ผิงถามด้วยความแปลกใจว่าทำไมวันนี้ผมถึงมาทานกลางวันด้วยได้ ผมก็ได้อึกอักและตัดสินใจบอกความจริงไปในที่สุด ว่าผมเหนื่อยเพราะอดนอนและทำงานต่อไม่ไหวแล้ว ขืนผมโกหกและถูกจับได้ทีหลังคงโดนดุไม่น้อยครับ เพราะระดับนายน้อยหลี่ผิงนั้นมีหูมีตาสอดส่องผมยิ่งกว่าตาสับปะรดเหอะ
การที่ผมบอกความจริงไปถือว่าผมกลับมามีแต้มต่อ เพราะพอผมสะบัดเสียงใส่ในท้ายประโยคบอกเล่านั้น ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมเพลียจนทำงานไม่ไหวก็เอ่ยขอโทษเสียงอ่อนเสียงหวานทันที ผมจึงถือโอกาสทำตามแผนด้วยการให้เฮียหลี่ผิงชวนพี่ฝูหรงมาทานข้าวด้วยกัน และก่อนที่อาเฮียจะค้านผมรีบให้เหตุผลไปว่า เพื่อตอบแทนความขยันและเสียสละในฐานะเลขาของเจ้านายที่เอาใจยากที่สุดในฮ่องกง คำพูดประชดกึ่งล้อเล่นของผมทำเอาเจ้านายของพี่ฝูหรงหัวเราะซะดัง ก่อนรับปากผมที่จะชวนพี่ฝูหรงมาทานกลางวันด้วยกันจนได้
..........................................
“สวัสดีค่ะคุณธันว์ เชิญทางนี้ค่ะ นายน้อยรออยู่ที่ห้องอาหารแล้วค่ะ” ผมส่งยิ้มแทนคำขอบคุณให้แก่พนักงานต้อนรับของโรงแรมที่คุ้นหน้ากันดี หลังจากที่เธอทักทายผมด้วยการก้มหัวให้ พร้อมเชื้อเชิญผมให้ไปยังห้องอาหารตามคำสั่งที่ได้รับมา
ครั้งแรกที่ผมมาเยือนโรงแรมหลักในเครือหวางหย่งกังแห่งนี้ ด้วยถูกเฮียหลี่ผิงลากตัวมานั้น เพราะเฮียหลี่ผิงต้องการตามปาปาหลี่จวินเข้ามาเรียนรู้งาน ก่อนที่จะได้เข้ามาบริหารงานจริงๆ ซึ่งผมถึงกลับทำตัวไม่ถูกเชียวล่ะ ด้วยพนักงานทุกระดับของที่นี่แสดงท่าทางเคารพนอบน้อมกับเด็กแบบผม ไม่ต่างจากที่แสดงต่อปาปาหลี่จวินและเฮียหลี่ผิงสักนิด
ผมจำได้ว่าครั้งนั้นผมเดินตัวลีบตามหลังเฮียหลี่ผิงต้อยๆเพราะวางตัวไม่ถูก ซึ่งปาปาหลี่จวินเองถึงกลับเอ่ยปากล้อผมด้วยซ้ำ ว่า ‘คนเก่งของเฮียหลี่ผิง’ ไปอยู่ซะที่ไหนแล้ว ทำไมถึงเหลือแต่เด็กน้อยขี้อายได้ เล่นเอาผมใบ้กินอายก็อายไหนจะวางตัวไม่ถูกอีก แม้แต่เฮียหลี่ผิงเองก็ไม่มีช่วยผมสักนิดเพราะปล่อยให้ปาปาแซวผมไม่เลิก แต่สุดท้ายท่านก็ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนและเอ่ยขอโทษออกมา ทำเอาผมรีบบอกปฏิเสธแทบไม่ทัน เพราะผู้ใหญ่ไม่ควรต้องเอ่ยขอโทษเด็กสักนิด แต่ท่านก็ให้แง่คิดดีๆกับผมทำให้ผมจำมาจนถึงปัจจุบันนี้
‘น้องธันว์จำไว้นะลูก การเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจ คนทุกวัยสามารถทำได้ แม้คนที่ได้รับคำขอโทษนั้นจะอายุน้อยกว่าเราแค่ไหนก็ตาม ถ้าเขาคนนั้นสมควรได้รับมัน เราก็ไม่ควรรีรอที่จะเอ่ย และอย่าถือตนว่าเรามีอายุมากกว่าหรือมีตำแหน่งที่ใหญ่โตกว่า จนใช้มาเป็นข้ออ้างไม่ให้เราพูดคำขอโทษออกไป เหมือนอย่างตอนนี้ที่ปาปาทำให้น้องธันว์อายและปาปารู้ว่าน้องธันว์อึดอัดนิดหน่อยกับคำพูดของปาปา แต่พอน้องธันว์ได้ฟังคำขอโทษจากปาปาก็หายขุ่นใจ จนลืมเขินอายเลยใช่มั้ยครับ
และมันไม่ต่างจากสถานการณ์ที่น้องธันว์เผชิญอยู่ตอนนี้ เพราะไม่ว่าเราจะอายุมากแค่ไหน หรือมีตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด ถ้าหากน้องธันว์ไม่ได้เป็นผู้นำที่ดี ไม่ได้ปกครองบริวารด้วยใจเมตตาและเป็นธรรมแล้ว บริวารรอบตัวจะไม่ให้ความเคารพนบนอบเราอย่างจริงใจเลย ดังนั้นน้องธันว์ไม่จำเป็นต้องเขินอายเลยลูก หากน้องธันว์ตั้งใจที่จะปฏิบัติตัวอย่างที่ปาปาสอนไป ซึ่งหลังจากนี้น้องธันว์คงได้เจอสถานการณ์คล้ายๆกันแบบนี้อีกอย่างแน่นอน เพราะลูกคือคนที่ต้องยืนเคียงข้างกับเฮียหลี่ผิง ในฐานะคนรักของว่าที่นายใหญ่แห่งหวางหย่งกัง’คุณคงเดาได้ไม่ยากนะครับว่าหลังจากประโยคยาวๆของปาปาหลี่จวินนั้น คนรักของว่าที่นายใหญ่แห่งหวางหย่งกังอย่างผมจะมีอาการเช่นไร ผมนั้นอายจนตัวไหม้นั่งตัวแดงไม่กล้าสบตาปาปาเลยล่ะครับ ส่วนว่าที่นายใหญ่อย่างเฮียหลี่ผิงก็นั่งฉีกยิ้มตาพราวจ้องผมไม่เลิก ก่อนจะรวบกอดผมเข้าสู่อกต่อหน้าปาปาอีกด้วย วันนั้นเฮียหลี่ผิงนอกจากไม่ช่วยกันแล้วยังทำให้ผมนั้นอาย จนอยากระเหยกลายเป็นไอหนีสายตาล้อเลียนสองคู่จริงๆ
ทุกวันนี้ผมไม่มีอาการเขินอายหรือทำตัวไม่ถูกต่อหน้าพนักงานแล้วล่ะครับ จะว่าผมชินก็ว่าได้แต่น่าจะเป็นผลจากใจที่ตั้งมั่นไว้แล้วมากกว่า ว่าผมต้องการที่จะเป็นผู้ปกครองเหล่าบริวารตระกูลหวางที่ดีตามที่ปาปาสอน เพื่ออยู่เคียงข้างพญามังกรตระกูลหวางได้อย่างสมเกียรติ ไม่ทำให้เฮียหลี่ผิงต้องอับอายที่มีผมเป็นคนรัก
“ขอบคุณครับมิสเจียง” ผมเอ่ยขอบคุณพนักงานต้อนรับที่นำทางมาให้ถึงหน้าห้องอาหาร หลังจากเธอหยุดเดินและผายมือเชิญไปยังห้องวีไอพีที่ถูกกั้นแบ่งไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว และคงเป็นห้องที่เฮียหลี่ผิงกับพี่ฝูหรงรอผมอยู่ คนที่ผมเอ่ยขอบคุณยิ้มกว้างก้มหัวให้และมีแววตาชื่นชมฉายชัด ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบรอยยิ้มจริงใจนั้น
“ผมรบกวนเตรียมอาหารให้พี่อู๋ด้วยนะครับ”
“คุณธันว์ไม่ต้องห่วงค่ะ นายน้อยให้เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว รวมถึงของพี่เป๋าและคนอื่นๆที่ด้านโน้นค่ะ”
“พี่อู๋ตามสบายเลยนะครับ ผมคงอยู่ที่นี่และกลับพร้อมเฮียหลี่ผิงเลย” เมื่อได้คำตอบจากมิสเจียงแล้วผมก็หันมาบอกคนสนิทส่วนตัว ก่อนขอตัวทั้งคู่เข้าไปพบคนที่ผมโทรมานัดไว้
ประโยคตามหลังที่ได้ยินแว่วๆจากน้ำเสียงตื่นเต้นก็ทำให้ผมยิ้มได้ และอดจะเก้อเขินนิดๆไม่ได้เหมือนกัน
“คุณธันว์น่ารักจริงๆนะพี่อู๋ คุณเค้าจำชื่อฉันได้ด้วย จริงๆไม่เพียงแต่จำฉันได้นะ คุณธันว์คงจำชื่อพนักงานอย่างเราๆได้เกือบทุกคนเชียวล่ะ เพราะระหว่างทางคุณธันว์ทักพวกเราด้วยชื่อถูกทุกคนเลย แถมอัธยาศัยก็ดี หน้าตาก็ยิ้มแย้ม พี่ว่ามั้ยว่าไม่มีใครเหมาะกับนายน้อยของเราเท่าคุณธันว์อีกแล้ว”
เรื่องการจดจำชื่อพนักงานเนี่ยเป็นหนึ่งในความตั้งใจของผมเองล่ะครับ ด้วยผมอยากสร้างความคุ้นเคยกับพนักงานทุกคนไว้ เรียกว่าผูกใจบริวารด้วยความเป็นมิตรนั่นเอง เพราะรู้ว่าเฮียหลี่ผิงนั้นต้องรักษามาดเจ้าพ่อใหญ่ไว้เพื่อให้ลูกน้องยำเกรง หากเราแข็งกร้าวด้วยกันทั้งคู่ แม้จะวางตัวดีแค่ไหน บริวารก็คงไม่สามารถฝากใจไว้ให้เราทั้งหมดได้ ผมจึงคิดที่จะใช้หลักหยินหยาง หนึ่งอ่อนหนึ่งแข็งแบบนี้ผมว่ามันเป็นสมดุลแห่งการปกครองเชียวล่ะ และดูท่าผมจะมาถูกทางแล้วครับ วัดได้จากเสียงชื่นชมเล็กๆนี่ไง
“ผมมาแล้วครับ สวัสดีครับพี่ฝูหรง” ผมรีบบอกพร้อมส่งยิ้มให้เฮียหลี่ผิงทันที เพราะหลังจากผมเปิดประตูเข้ามาก็ได้เห็นเฮียหลี่ผิงนั่งกอดอก และจ้องมาทางประตูเหมือนรอผมอยู่ก่อนแล้ว ก่อนผมจะหันไปทักทายอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องด้วย
“มาได้สักที นี่เฮียกะให้ฝูหรงติดต่ออาอู๋อยู่แล้วเชียว น้องธันว์มานั่งนี่มา เรานี่น้าจะทำให้เฮียเป็นห่วงถึงไหนกัน หืม” ผมรีบเดินเข้าหามังกรรูปหล่อที่ส่งยิ้มหวานมาให้กันก่อนนั่งเคียงข้าง เพื่อให้คนขี้เป็นห่วงได้มีโอกาสลูบหัวลูบหลังได้อย่างเต็มที่ แต่แอบใจเต้นเล็กๆไม่ได้เมื่อได้เห็นสายตาแสดงความห่วงใยคู่ตรงหน้า
แต่คำว่า ‘หืม’ ที่ดังข้างขมับทำให้ผมได้สติ เบี่ยงหน้าหลบปลายจมูกที่ยื่นมาใกล้เกินเหตุได้อย่างเฉียดฉิว ด้วยสำนึกรู้ว่าขณะนี้เราไม่ได้อยู่ตามลำพัง
“เอ๋ ทำไมพี่ฝูหรงหน้าซีดแบบนั้นล่ะครับ พี่ไม่สบายรึเปล่า” ผมไม่ได้แกล้งถามออกไปนะครับ แต่ใบหน้าภายใต้แว่นใสนั้นซีดไร้สีเลือด จนผมนึกเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ นี่ขนาดเพิ่งเริ่มดูท่าพี่ฝูหรงจะไม่ไหวแล้วมั้งครับเนี่ย
“อะ เอ่อ ผมไม่เป็นอะไรครับ เมื่อเช้าผมตื่นสายและรีบไปหน่อย เลยดื่มกาแฟแค่แก้วเดียว” คนหน้าซีดละล่ำละลักตอบพร้อมหลบตา ดูก็รู้ว่าแค่ข้ออ้าง แต่ผมคงไม่ไล่บี้จนเสียบรรยากาศไปกว่านี้หรอกครับ เพราะแค่นี้ผมก็รู้สึกผิดมากแล้ว
“งั้นก็ทานกันเลย มาครับน้องธันว์ลงมือเลย เดี๋ยวเลขาของเฮียจะเป็นลมไปก่อน” ผมรีบคว้าตะเกียบและคีบยอดผักคะน้าฮ่องกงสีสดใส่ชามพี่ฝูหรงทันที พร้อมส่งยิ้มขอโทษให้อย่างจริงใจ แต่อีกฝ่ายทำเพียงแค่ก้มหน้าและเปล่งเสียงขอบคุณเบาๆติดอยู่แค่ลำคอ
ให้ตายสิ! ผมไม่น่าบ้าจี้ทำตามที่ไอ้นลินมันแนะนำมาเลย ดูสิครับพี่ฝูหรงหงอยไปถนัดตาเลย ทำยังไงดีละทีนี้
“มีผักแล้วก็ต้องมีเนื้อนะ อ่ะเนื้อตุ๋น คุณทานเยอะๆล่ะ” ถ้วยกระเบื้องสีขาวสะอาดถูกยื่นไปตรงหน้าพี่ฝูหรง ทำเอาคนที่ก้มหน้าอยู่นั้น เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆและมองคนพูดอย่างอึ้งๆ ก่อนคลี่ยิ้มสว่างจนผมยังตะลึง เพราะเพิ่งเคยเห็นพี่ฝูหรงยิ้มเต็มหน้าก็ครั้งนี้
ผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนที่นั่งข้างตัว เพราะอยากรู้ปฏิกิริยาของเฮียหลี่ผิงที่มีต่อรอยยิ้มสว่างตรงหน้า แต่ผมต้องชะงัก ไม่รู้จะแสดงความโกรธหรือแสดงความพอใจออกมากันแน่ ด้วยเฮียหลี่ผิงนั้นไม่ได้ให้ความสนใจคนที่นั่งตรงข้ามเราสักนิด สิ่งที่เห็นคือมาเฟียเจ้าเสน่ห์ของผมตั้งหน้าตั้งตาตักเนื้อตุ๋นใส่ถ้วย ก่อนยื่นมันมาให้ผมพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเชิญชวนให้ลิ้มลองเต็มที่
“อย่ามัวแต่มองหน้าเฮียสิครับ ทานเร็วคนเก่ง ทานแล้วจะได้ไปพักผ่อน หรือน้องธันว์อยากได้อะไรเพิ่ม เอามั้ยเดี๋ยวเฮียเรียกเด็กมารับออเดอร์” ผมคว้ามือหนาไว้อย่างลืมตัว ก่อนรีบปฏิเสธคนที่ทำท่าจะทำตามที่พูดทันทีที่พูดจบ
“ไม่ต้องครับ แค่บนโต๊ะนี่ธันว์ก็ทานไม่หมดแล้ว” นอกจากจะเผลอแสดงความใกล้ชิดด้วยการคว้ามือเฮียหลี่ผิงไว้ ผมยังเผลอทำเสียงสะบัดน้อยๆพร้อมทำหน้าบู้อีกด้วย
เฮียหลี่ผิงเคยบอกผมว่าพอเห็นผมทำหน้าและใช้น้ำเสียงแบบนี้ทีไร เป็นต้องรู้สึกมันเขี้ยวมากกว่าที่จะกลัวไปซะทุกครั้ง ซึ่งก็รวมครั้งนี้ด้วย และผลก็ออกมาเหมือนครั้งก่อนๆ คือผมโดนขยี้หัวจนผมกระเซิง พร้อมเสียงหัวเราะที่คลอเบาๆอย่างถูกใจของคนทำ
“หึ้ย! เฮียอ่ะแกล้งธันว์อีกแล้วนะ เอ่อ....ผมต้องขอโทษพี่ฝูหรงด้วยนะครับ มาครับเราทานกันต่อดีกว่า นี่ครับพี่ เมนูนี้อร่อยสุดยอดผมยืนยัน ของโปรดผมเลยนะครับ”
ผมพยายามเอาใจพี่ฝูหรงด้วยการคีบของโปรดหลายเมนูบนโต๊ะให้ ด้วยทั้งรู้สึกผิดและเห็นใจพี่ฝูหรงนัก เพราะพอผมได้สติและหันมามองอีกคนในห้อง ก็ให้ใจหายวาบกับสายตาที่จับจ้องมาทางเรา ด้วยแววตาฉายแววตัดพ้อเสียใจชัดเจน แต่พอพี่ฝูหรงรู้ว่าผมมองอยู่ก็รีบหลบตาทันที
หลังจากนี้ผมคงไม่คิดจะประกาศตัวตอกย้ำความสัมพันธ์ของผมกับเฮียหลี่ผิงต่อหน้าพี่ฝูหรงอีกแล้วครับ เพราะแค่วันนี้พี่ฝูหรงคงรู้ยิ่งกว่ารู้แล้วล่ะ ว่านายน้อยแห่งหวางหย่งกังอย่างเฮียหลี่ผิงมีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่อยู่ในสายตา แม้ความจริงนี้คงทำให้พี่ฝูหรงเจ็บปวดไม่น้อย แต่ผมเชื่อว่าสักวันพี่ฝูหรงจะดีขึ้น เพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ไม่เคยทำให้ใครเจ็บ แต่เป็นตัวเราเองซะมากกว่าที่ทำร้ายตัวเอง และโยนความผิดไปให้ความรัก หากแท้จริงแล้วสิ่งที่ทำให้เราเจ็บน่าจะเกิดจากการหลงยึดติดและความลุ่มหลงซะมากกว่า
ผมหวังว่าสักวันพี่ฝูหรงจะเจอคนที่ใช่และคนที่รัก วันนั้นพี่ฝูหรงคงจะรู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร และสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสุข’ คงผลิดอกออกผลได้ไม่ยาก เหมือนผมในตอนนี้ที่เก็บกินผลผลิตแหล่งรักของเราได้ไม่รู้เบื่อ และดูท่ามันจะไม่หมดง่ายๆซะด้วยสิครับ เพราะเราทั้งคู่ต่างช่วยกันรดน้ำพรวนดินให้ต้นรักของเราเจริญงอกงาม ส่วนใครที่มีความรักก็อย่าลืมรดน้ำพรวนดินให้ต้นรักของคุณด้วยนะครับ จะได้มีความสุขกับคนที่คุณรักแบบผมทุกวัน
..................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
อุ๊ย! น้องธันว์รู้จักให้แง่คิดดีๆด้วย แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา อิๆ
และแอบสงสารฝูหรงเบาๆ
ขนาดว่าน้องธันว์แทบไม่ได้ทำอะไรเลยนะเนี่ย
ส่วนหลี่ผิงก็ให้ความร่วมมือเต็มที่แบบไม่รู้ตัว (หรือจะรู้) !?
ตอนหน้าจะพาครอบครัวหวางมาพบทุกท่านค่ะ
และเราคงได้อมยิ้มแก้มแทบปริกับครอบครัวนี้อย่างแน่นอน
ที่สำคัญความหวานของคู่ใหญ่คู่เล็กเนี่ย ไม่มีคู่ไหนกินกันลงเลยเชียวล่ะ
ติดตามได้ในวันสุข(ศุกร์)แห่งชาติค่ะ
+1และเป็ดแทนคำขอบคุณเช่นเดิมค่ะ