หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14  (อ่าน 392268 ครั้ง)

animob

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้สุดยอดจริงๆ รักพี่เหยา

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ทอมนี่น่าสงสัยแฮะ

เหอะๆๆๆ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 3
นับจากวันที่ค้นพบตัวเอง และผ่านมาร่วมปี ผมก็มีชีวิตอยู่กับการ กลุ้มอกและ กลุ้มใจ แต่แทนที่จะเป็นความกลุ้มใจเรื่อง ความเป็นเกย์หรือไม่เกย์ของตัวเองนั้น ผมกลับกลุ้มใจกลัว ว่าพี่เหยาจะล่วงรู้ความลับนี้เสียมากกว่า ในขณะที่ผมกลุ้มใจจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร จนการเรียนเริ่มตก พี่เหยาซึ่งเป็นสาเหตุของความตื่นกลัวนี้ กลับได้โค้วต้าเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แม่เป็นปลื้มนักหนา ราวกับลูกชายตัวเองสอบได้เสียเอง จากนั้นไม่กี่เดือน แม่ก็ได้ปลื้มยิ่งกว่าเก่า เมื่อพี่เหยาสอบผ่านเอนทรานซ์ ในคณะอันดับหนึ่งที่ตัวเองเลือก แต่แล้วในท้ายสุดท้าย พี่เหยากลับเลือกสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อในภาควิชาการบริหารธุรกิจตามคำแนะนำของทอม ผู้ให้เหตุผลว่า วิชาบริหารธุรกิจนั้นน่าจะมีประโยชน์กับพี่เหยามากกว่า ด้วยในวันข้างหน้า พี่เหยาควรกลับไปช่วยธุรกิจของที่บ้านในฐานะลูกชายคนโต

นั่นเป็นครั้งแรก ที่พวกเรารู้จักพี่เหยาเพิ่มขึ้นอีกนิด ทั้งที่รู้จักกันมาก็หลายปี แต่เรากลับเพิ่งรู้จักพี่เหยามากกว่าชื่อ และอายุ ที่ทอมแนะนำ

บ้านพี่เหยาประกอบธุรกิจในสายเดียวกับทอม หรือจะเรียกว่าเพื่อนคู่ค้ากันก็ไม่ผิด และยิ่งไปกว่านั้น เราเพิ่งรู้ว่า พี่เหยาเป็นพี่ชายคนโต ของน้องสาว และน้องชายซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่เหยาจึงเลือกให้ความสนิทสนมกับผมยิ่งกว่าใครๆแม้แต่กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ผมตะหนักว่า พี่เหยาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย

หากมองย้อนกลับไปในวันนี้ หรือถ้าวันนั้นผมโตและรู้จักคิดอะไรที่ไกลและมากกว่าเรื่องของตัวเองอีกสักนิด ผมคงรู้ว่า พี่เหยาไม่เคยพูดถึงอดีตของตัวเองเลย แม้ว่าอดีตนั้นจะเพิ่งก้าวผ่านไปเพียงแค่ชั่วนาที ราวกับพี่เหยาพร้อมที่จะปลดปล่อยตัวเองจากอดีตตลอดเวลา มีชีวิตอยู่เพียงชั่ววินาทีที่กำลังหายใจ และมองหาก็เพียงวันเวลาที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อผมซึ่งไม่รับรู้อะไรเลย จึงเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอดีตที่พี่เหยาพร้อมจะปล่อยวางลงทันทีที่หันหลังให้แก่กัน และเหตุผลเดียวที่ทำให้ทุกอย่างถูกดำเนินไปเช่นนั้น ก็เพราะ ในวันที่เราได้พบกันนั้น เราต่างก็เป็นเด็ก... เด็กเกินกว่าที่จะก้าวข้ามหรือปฏิเสธเส้นที่ผู้ใหญ่ขีดไว้ให้เราเดินได้

“ดูพี่เขาสิ ทั้งมาติวให้เรา ทั้งช่วยงานทอม พี่เขายังสอบติดทุกที่...แล้วดูเราสิปีหน้าต้องสอบเข้าม.4แล้ว แม่ยังไม่เห็นแววว่าจะรอดเลย” แม่บ่นเรื่องเดิมๆ ก่อนและหลังอาหารวันละ 3 มื้อ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า ทำไมแม่ต้องเริ่มด้วยการชื่นชมคนอื่น แล้ว จบลงที่ตำหนิลูกตัวเอง เสียทุกครั้ง

“รู้ว่าตัวเองจะไม่เรียน แล้วยังสะเออะสอบ เขาเรียกว่าอวดฉลาด กันที่คนอื่นเขา!”มีบ้างที่ผมฟิวส์ขาด แต่แทนที่จะเถียงกับแม่ตรงๆ ผมเลือกที่จะพาลลงกับพี่เหยา ซึ่งแน่นอนก็ต้องตอนลับหลังเท่านั้น แต่วันนี้ผมโชคร้าย ที่พี่เหยาโผล่มายืนอยู่ข้างหลังพอดี

พี่เหยาไม่ได้พูดอะไร ทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้ยินแล้วเดินผ่านผมไปเฉยๆ ส่งของอะไรสักอย่างให้แม่ แล้วบอกว่า...ทอมฝากมาให้

แม่ก็ยิ้มรับพลางขอบอกขอบใจ แต่พอพี่เหยาหันหลังให้ แม่ก็ค้อนผมตาหลับตาเหลือก โดยไม่เห็นสักนิดว่า หน้าพี่เหยาที่หันมาทางผมนั้นก็หงิกเป็นตีนไก่เหมือนๆกัน

แล้วพี่เหยากับแม่ก็น่าจะเป็นแม่ลูกกันเสียยิ่งกว่าผม เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูจะรู้ทางกันดีไปเสียหมด อย่างเช่นวันนี้ พอพี่เหยาเดินเฉียดมาใกล้ผม พี่เหยาก็หันกลับไปมองแม่ ราวกับรู้ว่า จังหวะนั้นเองที่แม่จะต้องหันหลังกลับไปง่วนอยู่กับการแกะห่อหีบนั้น แล้วพี่เหยาก็ตบฝ่ามือเข้าที่หน้าผากผมจนหน้าหงาย แม่แค่หันมามองว่าเสียงอะไร แล้วก็หันกลับไปไม่สนใจอะไรอีก เพราะให้ยังไง ในสายตาแม่ พี่เหยาก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่มีทางยกมือขึ้นมาตบหัวใครได้

พอได้แก้แค้น หน้าพี่เหยาก็หายหงิก ส่วนผมก็ได้แค่นั่งก้มหน้าจับหน้าผากตัวเองปอยๆ ไม่โต้ตอบ เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด...แต่ถึงตัวเองไม่ผิด ผมก็คงไม่กล้าโต้ตอบอะไรอยู่ดี

และจนแม้เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพี่เหยาก็ยังมาติวให้ผมอย่างเคย แต่ปีนี้พี่เหยาตั้งอก ตั้งใจ ติวให้ผมกว่าที่เคย ทั้งเลิกแกล้งใส่ข้อมูลผิดๆเข้ามาในหัวผมอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ

“ตั้งใจหน่อยสิเอก!”พี่เหยาเอาไม้บรรทัดเคาะหัวผม ที่เผลอสัปหงก

“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!”ผมโวยใส่ เพราะวันนี้ซ้อมบาสมาเหนื่อยๆ กลับมาถึงต้องมานั่งถ่างตาเรียนหนังสือ

“ถ้าเหนื่อยก็เลิกเล่นสิ ถ้าสอบเข้าม.4ไม่ได้จะทำยังไง?”

“สอบเข้าไม่ได้แม่ก็ไม่ว่าพี่หรอก แล้วให้เลิกเล่นบาส ผมว่าผมเลิกเรียนดีกว่า!”ผมเถียง ก็มีแค่เวลาสมองไม่ตื่นดีเท่านั้นล่ะ ที่ผมจะกล้าเถียงพี่เหยาแบบนี้

“พูดอย่างกับตัวเองเก่งนักนี่ บาสเด็กม.ต้นจะแค่ไหนกัน”

“ก็ดีกว่า พวกตัวขาวๆ มีดีแค่หัวโตไว้หลอกผู้ใหญ่”

“เอก!”คราวนี้น้ำเสียงพี่เหยาดูจะโกรธจริงๆ ไม้บรรทัดในมือก็เงื้อจะเคาะเข้าที่หัวผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมลุกหนี จนเก้าอี้ล้ม นั่นแหละผมถึงตื่นเต็มตา

“ขอโทษ ขอโทษ!”ผมพูด ก้มลงดึงเก้าอี้ขึ้นมา ตาก็ยังชำเลืองดูไม้บรรทัดในมือพี่เหยา ที่สุดท้ายก็เคาะลงบนหัวผมจนได้

ถึงพี่เหยาจะชอบแกล้งหรือแหย่ผมบ้าง หรือบางครั้งก็ต่อล้อต่อเถียงและปล่อยให้ผมเถียงแบบข้างๆคูตามประสาเด็กบ้าง แต่พี่เหยาจะไม่พอใจถ้าผมแสดงความก้าวร้าวออกมา

“ก็ขอโทษแล้วไง! ยังจะเคาะอีก”เมื่อตื่นเต็มตาแล้ว อย่างดีผมก็ทำได้แค่โวย เพราะถึงตอนนี้ผมจะสูงเกือบทันพี่เหยาแล้ว อีกทั้งแขน ขา หรือ ตัวผมก็ล่ำสันกว่า แต่ให้อย่างไร ผมก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังสูงไม่พ้นหัวไหล่พี่เหยาเหมือนอย่างที่เจอกันวันแรกๆอยู่ดี ผมเลยต้องยอมตลอด

และความสัมพันธ์ของเราคงจะดำเนินไปแบบนี้อีกหลายปี หรืออาจตลอดชีวิต ถ้าบังเอิญวันนั้นพี่เหยาไม่ลืมกระเป๋าเงินไว้ที่ห้องผม

“ผมเอาเป๋าตังค์ไปคืนพี่เหยานะแม่!”ผมตะโกนบอกแม่ที่กำลังเก็บถ้วยชามอยู่ในครัวก่อนเดินออกมาอย่างเนือยๆ ใจหนึ่งนึกอยากเก็บกระเป๋าเงินพี่เหยาไว้ แกล้งพี่เหยาเล่นโทษฐานที่เอาไม้บรรทัดเคาะหัวผมตั้ง 2 ที

ยังไม่ทันกดกริ่งที่หน้าประตู ผมก็เห็นว่าประตูบ้านทอมยังไม่ได้ลงกุญแจ ผมมองลอดบังตาเข้าไป ไฟชั้นล่างปิดสนิท จะมีก็แต่แสงไฟสีส้มจากชั้นบนที่ส่องแสงลอดผ่านลงมาทางช่องบันได

ผมเห็นว่าพี่เหยาเดินนำหน้าผมมาแค่นิดเดียว ป่านนี้คงไม่ทันขึ้นไปถึงชั้นบน จึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป

แม้ไม่ได้ตั้งใจให้ตัวเองทำตัวเงียบกริบ แต่ความมืดก็บังคับให้ผมค่อยย่องเดินอย่างไม่ตั้งใจ

เสียงอะไรบางอย่างที่ดังแว่วมาจากชั้นสองทำให้ผมแปลกใจเล็กน้อย

มันไม่ใช่เสียงคนพูดคุยกันแต่เป็นเสียงที่จับสำเนียงไม่ได้ เสียงอะไรบางอย่างที่ดังกึกกักคล้ายเสียงเคลื่อนไหวของวัตถุ แต่ก็ไม่ดังพอที่จะเป็นเสียงของการเคลื่อนย้ายสิ่งของ

ผมค่อยย่องเดินขึ้นบันได ด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิม ด้วยความอยากรู้ที่ไม่หยุดคิดแม้สักวินาทีเดียวว่า สมควรหรือไม่ อีกทั้งยังถือความเคยคุ้นเป็นที่ตั้ง มั่นใจว่า หากเกิดอะไรขึ้น พี่เหยาก็คงไม่ตำหนิผมมากไปกว่าการเอาไม้บรรทัดเคาะหัวผมเพิ่มอีกสักทีสองทีก็เท่านั้น

แสงไฟสีส้มสลัว ต่างจากแสงนีออนที่ผมคุ้นเคย ยิ่งจุดประกายความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็นของผม และบันไดแต่ละขั้นนั้นก็นำมาซึ่งเสียงที่ชัดเจนขึ้นแต่ก็ยังเกินความคาดเดาได้สำหรับผมในเวลานั้นอยู่ดี

ทันทีที่หัวผมโผล่พ้นบันไดขั้นบนสุดขึ้นมา ผมก็แทบลืมหายใจ

ทอม ฝรั่งตัวโตที่แม่ว่าน่าจะเป็นทหารเสียยิ่งกว่านักธุรกิจนั้น นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ใบหน้าที่โดนอาบด้วยแสงไฟสีส้มนั้นดูบิดเบี้ยวคล้ายเจ็บปวด แต่เสียงลมหายใจและเสียงครางที่ลอดผ่านลำคอออกมานั้นบ่งบอกว่าไม่ใช่ สองมือของทอมเกร็งขยุ้มอยู่ที่หัวของใครคนหนึ่งที่นั่งคุกเข่าและซ่อนดวงหน้าไว้ที่กลางหว่างขาของทอม

บ่อยครั้งที่ทอมส่งเสียงครางและพูดอะไรงึมงำออกมาไม่ได้ศัพท์ และทิ้งตัวไปข้างหลังอย่างแรง ทำให้ขาเก้าอี้ขยับและกระแทกกับพื้นไม้ปาเก้ ก่อให้เกิดเสียงที่ผมได้ยิน

ผมบอกให้ตัวเองกลับออกไป แต่อีกใจก็ยืนยันให้ 2 ขาปักหลักนิ่ง จ้องมองภาพข้างหน้าตาไม่กระพริบ

ผมพอดูออก ว่าร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้านั้น เป็นผู้ชาย นั่นยิ่งทำให้ผมปักหลักมั่น

แล้วผมก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อทอมเผยอเปลือกตาขึ้น ตาเราประสานกันพอดี

ดวงตาสีฟ้าของทอมเบิกกว้างด้วยความตกใจไม่แพ้กัน แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น แล้วทอมก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมจำได้จนวันนี้ รอยยิ้มที่ทำลายความสัมพันธ์ของผมและพี่เหยาลงจนไม่เหลือดี

ทอมกวักมือเรียกผมที่ยืนเหงื่อกาฬแตกพลั่กอยู่ตรงขั้นบันได

ผมทำอะไรไม่ถูก นึกถึงก็แต่พี่เหยา ผมจึงหันซ้าย หันขวา มองหาพี่เหยาแต่ก็ไม่เห็น

ทอมยิ้มอย่างรู้ทันอีกครั้ง ชี้อะไรสักอย่างที่ตรงพื้น ส่งสัญญาณให้ผมเอามาให้

ผมกลัว แต่ไม่กล้าขัด ราวกับว่าถ้าผมถอยหลังหนี ทอมจะกระโจนมาถึงตัวผมในทันที ทั้งพี่เหยาก็ไม่รู้หายตัวไปไหน ผมจึงได้แต่ทำตามคำสั่ง ค่อยๆไต่บันไดขั้นที่เหลือขึ้นมาช้าๆ เนคไทด์สีแดง วางกองอยู่ที่พื้น ผมหยิบมันขึ้นมาและค่อยๆเดินเข้าไปหาทอม ยิ่งเข้าไปใกล้ ผมก็ยิ่งได้ยินเสียงการทำงานของริมฝีปากนั้นชัดเจน ผมหลับตา เบือนหน้าหนีไม่กล้ามอง ในขณะที่เอื้อมสุดมือ ยื่นเนคไทด์ในมือไปให้ทอม และถอยหนีเมื่อทอมดึงกึ่งกระชากเนคไทด์สีแดงในมือไป

ผมลืมตาขึ้น ดูทอมตวัดเนคไทด์สีแดงไปรอบๆหัวของใครคนนั้นและมัดมันอย่างแน่นหนาที่หลังศรีษะที่เริ่มๆจะคุ้นตา

ผมนึกแปลกใจที่คนๆนั้น ไม่ต่อต้านหรือขัดขืนเลยแม้แต่น้อย และแม้มือทั้งสองข้างจะมีอิสระ แต่คนๆนั้นก็ไม่ได้พยายามจะปลดพันธนาการรอบดวงตาของตัวเองออก กลับนิ่งเฉย แม้แต่เวลาที่ทอมดึงให้ลุกขึ้นยืนก็ทำตามอย่างว่าง่ายราวตุ๊กตา

แม้แสงสีส้มจะเปลี่ยนสีเสื้อของคนๆนั้นให้ดูแปลกตาไป แต่ผมเริ่มรู้และตะหนักถึงอะไรบางอย่างที่เกินจะยอมรับได้

แล้วทุกอย่างก็กระจ่าง เมื่อทอมหมุนร่างนั้นให้หันหน้ามาเผชิญกับผม

เนคไทด์สีแดงที่คาดทับไว้รอบดวงตานั้น ไม่ทำให้ผมลืมได้ว่าคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผมคือใคร

เสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาด โดนแสงไฟย้อมจนกลายเป็นสีส้มนั้นกระดุมหลุดลุ่ย เผยให้เห็นผิวหน้าอกตลอดจนหน้าท้องเปลือยเปล่าที่หากไม่โดนย้อมด้วยแสงสีส้มแล้ว คงขาวจัด อย่างที่แม่เคยบอกบ่อยๆว่า...ขาวจนผู้หญิงอิจฉา

ทอมก้าวเข้ามายืนสวมกอดร่างที่คุ้นตานั้นจากด้านหลังและค่อยๆปลดเสื้อนักศึกษาสีขาวนั้นออก ก่อนที่จะปลดกระดุมและรูดซิปกางเกงสีดำลงไป

พี่เหยายืนเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าผม!

เนคไทด์สีแดงที่คาดทับบนดวงตา และแสงไฟสีส้มนั้น ทำให้พี่เหยาแตกต่างไปจากพี่เหยาที่ผมรู้จักโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสำหรับผมแล้ว คนที่ยืนเปล่าเปลือยอยู่ตรงหน้า คือใครคนหนึ่งที่เพียงคุ้นหน้า แต่ไม่คุ้นเคยอีกต่อไป

ทอมที่ยังโอบกอดพี่เหยาจากด้านหลังนั้น เอื้อมมือมาจับมือผมให้สัมผัสพี่เหยา แต่ผมสะบัดมือหนีด้วยความกลัวเมื่อไออุ่นจากตัวพี่เหยาอยู่ห่างจากปลายนิ้วผมเพียงเล็กน้อย ผมไม่แน่ใจว่า ในเวลานั้น พี่เหยารู้หรือไม่ว่า...มีผมหรือใครอีกคนยืนอยู่ณ.ตรงนั้น

ทอมยิ้มในกิริยาของผมก่อนฝังหน้าลงที่ต้นคอของพี่เหยาและขบเบาๆ ในขณะที่สองมือใหญ่หนาของทอมก็ลูบไล้ไปทั่วผิวท้องขาวของพี่เหยา พร้อมกับที่จะค่อยๆขยับเดินช้าๆ ผลักให้พี่เหยาเดินมาข้างหน้า ผมรีบถอยหนี แต่ทอมก็ก้าวตามโดยมีพี่เหยาคั่นกลางระหว่างเรา

จนเมื่อหลังผมสัมผัสกับความหยาบกระด้างของกำแพง ที่ด้านหน้า ผมก็ค่อยๆสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของพี่เหยาซึ่งถูกทอมผลักให้บดเบียดเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ

ผมหลับตา เบือนหน้าหนี ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตัวเองที่สั่นไหวเหมือนคนกำลังเหนื่อยหอบและหวาดกลัว

2 มือผมยิ่งเกร็งและจิกลงบนกำแพงจนเจ็บ เมื่อทอมยังโน้มตัวเข้าบดเบียด จนผมกับพี่เหยาแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน 2 มือของพี่เหยาที่ขนาบอยู่ข้างลำตัวผมนั้นพยายามยันฝืนกำแพงไว้ แต่ก็ไม่อาจฝืนแรงโถมทับของทอมจากด้านหลังได้ ใบหน้าของทอมยังซุกไซ้ที่ลำคอของพี่เหยาราวกับคนหิวกระหาย

และแม้จะไม่มีช่องว่างระหว่างร่างกายของผมและพี่เหยาอยู่เลย แต่ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงฝ่ามือใหญ่หนาของทอม ที่พยายามหาช่วงว่างที่ว่านั้น ลูบไล้และบีบคลึงไปทั่วทั้งตัวของพี่เหยา

ตลอดเวลา พี่เหยาซบหน้าลงกับไหล่ผม จนผมรู้สึกได้ลมหายใจร้อนๆที่เป่ารดลงที่ต้นคอ และหยาดเหงื่อที่เปียกชุ่มขึ้นเรื่อยๆ

เสียงครางเบาๆสลับกับร่างที่เกร็งกระตุกเป็นระยะๆของพี่เหยา เมื่อทอมบดขยี้ฝ่ามือลงบนเนื้อผิวเปลือยเปล่านั้น ทำให้ผมตื่นตัวอย่างที่สุด และผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือของทอม ล้วงผ่านกางเกงขาสั้นของผมเข้ามาสำรวจความแข็งขันของผม

ทอมผลักเบาๆให้ผมนั่งลงที่โซฟาตัวยาว ก่อนที่ผมจะทันทักท้วงหรือขัดขืน กางเกงบาสของผมก็ถูกทอมดึงลงมาไว้ที่ข้อเท้าพร้อมๆกับชั้นใน ตลอดเวลาผมทำได้แค่นั่งตัวแข็งทื่อ และแทบจะลืมหายใจ เมื่อทอมดันเข่าผมให้แยกออกจากกันพร้อมๆกับที่ดึงพี่เหยาให้คุกเข่าลงตรงหน้าผม

ผมสะดุ้งจนตัวโยน เมื่อพี่เหยาวางมือลงที่หน้าขาของผม และค่อยๆคลำช้าๆมายังจุดกึ่งกลางลำตัว

ผมไม่อาจละสายตาจากพี่เหยาได้สักวินาที ในทุกชั่วขณะที่ใบหน้าของพี่เหยาก้มลงมาช้าๆพร้อมริมฝีปากสีแดงจัดที่ค่อยๆเผยอให้กว้างขึ้นราวกับพร้อมที่จะกลืนกินความแข็งขืนที่อยู่ตรงหน้า

ผมสูดหายใจลึก เกร็งไปทั้งตัว รอรับรสสัมผัสแรกที่กำลังจะมาถึง ความเสียวซ่านมันแล่นริ้วไปทั่วร่าง ก่อนจะมารวมกันที่จุดเดียว คือใต้ปลายเรียวลิ้นของพี่เหยา




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เกร็งกล้ามเนื้อจนปวด ในทุกครั้งที่พี่เหยาเปลี่ยนรสสัมผัส และแทบจะทนไม่ไหวในทุกครั้งที่พี่เหยาละริมฝีปากไปแม้จะแค่สักครึ่งหนึ่งของวินาที ก็ตามที

พี่เหยาแทบจะถอนริมฝีปากไปในทันที ที่ผมปลดปล่อยความสุขออกมาอย่างสุดที่จะกลั้น

ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว เหมือนรอบดวงตาก็เก็บกลั้นน้ำตาไว้จนเจ็บ

ความรู้สึกผิดมันกำลังเกาะกินไปทั่วทุกอณูในร่างกาย เหมือนความกลัวที่แผ่กระจายกัดกินผิวเนื้อผมอย่างหิวกระหาย

ทอมมองดูผมและยิ้ม ก่อนที่จะฉุดพี่เหยาให้ลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้ผมลุกตาม

ผมกลัวที่จะทำตาม พอๆกับกลัวที่จะต่อต้าน และเมื่ออย่างหลังดูจะยากเสียกว่า ผมจึงลุกขึ้นด้วยขาที่สั่นจนสังเกตเห็นได้

โต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ผมและพี่เหยาเคยใช้นั่งติวหนังสือด้วยกันที่มักวางไว้ชิดผนังห้องด้านหนึ่งนั้นถูกทอมลากออกมาไว้ที่กลางห้อง

ทอมผลักพี่เหยาไปที่โต๊ะและกดหัวพี่เหยาให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้นโต๊ะพร้อมกับกระชากขาทั้งสองให้แยกออกจากกันโดยแรง

พี่เหยานอนนิ่งไม่ขัดขืน ไม่ไหวติ่ง ในขณะที่ทอมเดินไปเปิดลิ้นชักตู้และหยิบกระปุกอะไรบางอย่าง มาวางไว้ที่โต๊ะ

ทอมหันมาส่งสัญญาณให้ผมเดินเข้าไปหา จับผมให้มายืนคั้นกลางระหว่างทอมและพี่เหยา และขยับเข้ามาจนชิด จนผมสัมผัสได้ถึงความแข็งขันที่กำลังดุนดันผมจากด้านหลัง

ผมรู้สึกถึงความอยากรู้ อยากเห็น และอยากลอง ที่กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรงกับความรู้สึกผิดและรู้สึกกลัว จนผมรู้สึกคลื่นไส้

แต่เมื่อทอมเอื้อมมือผ่านผม สัมผัสลูบไล้บนแผ่นหลังของพี่เหยาและไล่เรื่อยลงมาที่สะโพก ก่อนบีบเคล้นจนพี่เหยาร้องออกมานั้น ความรู้สึกเดียวที่หลงเหลืออยู่ในตัวผมก็คือความรู้สึกอยากลิ้มลองสัมผัสความสุขอันสุดยอดอีกครั้ง จนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมๆสนองตอบความตื่นเต้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

ในขณะที่มือหนึ่งถูกทอมเกาะกุมไว้ให้จับอยู่ที่สะโพกของพี่เหยา อีกมือหนึ่งนั้นก็ถูกกุมไว้คล้ายเด็กหัดเขียนหนังสือ ต่างกันเพียงทอมให้ผมขยับยกนิ้วชี้ขึ้นเช่นเดียวกับที่ทอมกระทำ

ผมปล่อยให้มือขยับไปตามการนำของทอม โดยเริ่มจากการจุ่มมันลงไปในกระปุกครีม จนเมื่อดึงขึ้นมานั้น ครีมสีขาวก็พอกพูนจนมองแทบไม่เห็นนิ้วของเราทั้งสอง ผมกลั้นหายใจ และรออย่างจดจ่อ อย่างตาไม่กระพริบ เมื่อนิ้วที่ถูกทอมนำทางอยู่นั้น ค่อยๆถูกกลืนหายเข้าไปในร่างกายของพี่เหยา

ผมแทบไม่กล้าหายใจ เมื่อค่อยๆได้รับการแนะนำให้รู้จัก กับช่องทางอันคับแคบ เมื่อเริ่มต้นมันพยายามต่อสู้ขัดขืนด้วยการบีบรัดนิ้วมือผมกับนิ้วมือของทอมให้เบียดชิดกัน แต่เมื่อผ่านทางเข้าไป ความบีบรัดนั้นก็อ่อนนุ่มขึ้น แม้ยังคับแคบ แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อการรุกรานของผมและทอม

พี่เหยากลั้นหายใจจนกล้ามเนื้อสะโพกเกร็งทุกครั้งที่นิ้วของเราขยับลึกเข้าไปทุกที

ผมสัมผัสได้จากเรียวนิ้วถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของนิ้วทอม ที่บางครั้งขยับนิ้ววน อีกบางครั้งขยับปลายนิ้วหนีห่างจากนิ้วผม

ยิ่งพี่เหยาขยับสะโพกหนีการรุกล้ำจากปลายนิ้วเท่าไหร่ ทอมก็ยิ่งขยับนิ้วเร็วและแรงขึ้นเท่านั้น จนเมื่อทอม งอปลายนิ้วลง พี่เหยาก็ส่งเสียงครางออกมาอย่างสุดกลั้น

ถึงแม้เสียงหายใจหอบของพี่เหยา เวลาที่เราถอนปลายนิ้วออกมานั้นยิ่งทำให้อารมณ์ผมพลุ่งพล่านยิ่งขึ้น แต่ผมก็เด็กเกินว่าที่จะทำอะไรได้มากไปกว่ายืนใจสั่น รอให้ทอมเกาะกุมความแข็งขันของผมและส่งผ่านมันเข้าสู่ความร้อนภายในตัวพี่เหยาอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่ทอมขยับเดินมาข้างหน้า ตัวผมก็ถูกดันให้ขยับชิดพี่เหยามากยิ่งขึ้นพร้อมๆกับที่รุกล้ำเข้าไปในตัวพี่เหยาลึกขึ้นและลึกขึ้น

ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักนั้น มันทำให้ความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างและมันมากเกินที่คนอ่อนประสบการณ์อย่างผมจะทนรับไว้ได้นาน ดังนั้นแม้ให้พยายามฝืนตัวเองไว้อย่างไร แต่ในที่สุด ผมก็ปลดปล่อยออกมาในเวลาอันสั้นและ พี่เหยาก็ส่งเสียงคล้ายสะอื้นออกมา

ความรู้สึกผิดย้อนกลับมาหาผม แต่ก็พ่ายแพ้กลับไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อผมเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า

ทอมดึงตัวผมออกมา ก่อนจะเข้ามายืนแทนที่

ความแข็งขันของทอมที่ผมเพิ่งมีโอกาสได้เห็นนั้น ตื่นตัวและชูชันเต็มที่ ขนาดที่น่ากลัวของมันทำให้ผมนึกหวาดหวั่นแทนพี่เหยา

ทอมยึดสะโพกพี่เหยาไว้ราวกับกลัวพี่เหยาจะถอยหนี ก่อนที่จะดันร่างเข้าทาบทับทีเดียวจนสุด

ไม่ทันที่พี่เหยาจะทันผ่อนลมหายใจลงจากอาการเกร็งกระตุกไปทั้งร่างเพราะการจู่โจมอย่างกะทันหันของทอม ทอมก็เร่งขยับ แต่ละจังหวะนั้น ทั้งรุนแรงและรวดเร็ว จนเสียงที่ผ่านลำคอพี่เหยาออกมานั้นราวกับคนหายใจไม่ทัน

ผมยืนนิ่งลืมหายใจอยู่ตรงนั้น จ้องดูความรุนแรงที่กำลังดำเนินไปที่ตรงหน้า ร่างของพี่เหยาที่บิดเกร็งนั้นยากที่จะบอกว่าด้วยความทรมานหรือสุขสม แต่เสียงครางในลำคอของทอมนั้น ชี้ชัดถึงความพึงพอใจที่กำลังแล่นลิ่วสูงขึ้นทุกที

เสียงของผิวเนื้อที่กระทบกัน สลับรับกับเสียงร่างของพี่เหยาที่กระแทกลงกับผิวไม้และเสียงขาโต๊ะที่ลากครืดไปกับพื้นตามแรงกระแทกกระทั้นครั้งแล้วและครั้งเล่าของทอมนั้น เย้ายวนและเชิญชวนให้ผมอยากกลับเข้าไปร่วมมีบทบาทด้วยอีกครั้ง แต่ผมไม่กล้าทำอะไร หากปราศจากการชี้นำของทอม จึงทำได้แค่ยืนจ้องมองตาไม่กระพริบ

ผมพลอยเกร็งไปทั้งตัว เมื่อทอมสอดแขนกระชับรอบเอวของพี่เหยาแน่นก่อนรั้งสะโพกพี่เหยาให้ลอยขึ้นจากพื้นผิวโต๊ะเพื่อรับความแข็งขันและรุนแรงของตนเป็นครั้งสุดท้าย

ทอมถอนตัวออกมาแล้ว เมื่อพี่เหยายังนอนซบหน้านิ่งกับผิวโต๊ะ จะเหลือการเคลื่อนไหวเดียวก็เพียงอาการหอบหายใจเท่านั้น

ทอมยิ้มเมื่อหันมาเห็นความตื่นตัวอีกครั้งของผม ก่อนที่จะดึงร่างที่อ่อนแรงของพี่เหยาขึ้นมาและผลักให้ล้มลงที่โซฟาตัวยาวตัวเดิม ทอมพลิกตัวพี่เหยาขึ้นและดึงให้พี่เหยาขยับตัวนอนเกยแผ่นหลังส่วนบนกับที่เท้าแขนในขณะที่หัวนั้นปล่อยให้ตกลาดลงไปทางด้านล่าง

ผมเดินตามเข้าไป เมื่อทอมซึ่งยืนคร่อมอยู่ตรงส่วนหัวพี่เหยานั้น โน้มตัวลงมาและดึงขาพี่เหยาให้สูงขึ้นและแยกกว้างออกจากกัน

ผมไม่รอช้าที่จะทาบทับลงไปยังช่องว่างระหว่างขาทั้งสองนั้น และเลียนแบบด้วยการ รุกล้ำเข้าไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง และขยับสะโพกกระแทกกระทั้นทันทีไม่สนใจอาการเกร็งขืนโดยธรรมชาติเมื่อเจ็บปวดของพี่เหยา

ทอมหัวเราะชอบใจ ปล่อยขาทั้งสองของพี่เหยาให้พาดลงบนบ่าผม ผมเอื้อมมือชื้นเหงื่อของตัวเองจับลงที่ท่อนขาของพี่เหยา เป็นวินาทีแรกที่ผมกล้าแตะต้องพี่เหยาโดยปราศจากการเกาะกุมมือไว้โดยทอม ผมลองลูบไล้แผ่วเบา และบีบกระชับแรงขึ้นตามอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง แล้วทอมก็คุกเข่าลง แม้มองไม่เห็นแต่ผมก็จิตนาการได้ถึงปลายลิ้นและริมฝีปากของพี่เหยาที่กำลังครอบครองความแข็งขืนของทอม

แต่มันไม่ง่ายดายอย่างที่ผมคิด เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกถึงการขัดขืนของพี่เหยา

ผมเห็น 2 มือของพี่เหยาที่พยายามผลักไสทอมออกไป เห็นทอมยิ้มอย่างชอบใจและขยับสะโพกตัวเองอย่างเมามัน ได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังหายใจไม่ออกและสำลัก และรู้สึกถึงอาการเกร็งไปทั่วร่างของพี่เหยารวมถึงช่องทางแคบที่ผมกำลังขยับผ่านเข้าออกอย่างมิอาจยับยั้งใจให้ผ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย

ผมจิตนาการถึงความรู้สึกของพี่เหยา จินตนาการถึงเวลาที่ตัวเองทำท่าสะพานโค้งหรือหกสูงที่ต้องปล่อยให้หัวห้อยลงสู่พื้น เลือดที่ไหลรวม ลงสู่หัวทำให้มึนงง และการกลืนน้ำลายก็แทบจะทำให้สำลัก แม้แต่การหายใจก็ยังยากลำบาก

แต่แทนที่ผมเห็นความทรมานของพี่เหยาแล้วผมจะเห็นใจ ผมกลับเริ่มรู้สึกอยากเห็นและลิ้มลองบ้าง

ตอนนี้ผมไม่รู้สึกถึงลมหายใจและตัวตนของพี่เหยาอีกต่อไปแล้ว เห็นก็เพียง ร่างกายเปล่าเปลือยที่สามารถจะทำอะไรกับมันก็ได้เพียงเพื่อปลดปล่อยความอยากก็เท่านั้น

ผมปลดปล่อยอีกครั้งในช่องทางที่บีบรัดและบีบเกร็งในอาการผิดปรกตินี้ ก่อนจะถอนตัวออก และไปสมทบกับทอมอย่างกระหายใคร่รู้ใคร่ลอง

ทอมเข้าใจความต้องการของผมทันที จึงถอนตัวออกไป

ตอนนี้ใบหน้าของพี่เหยาแดงกล่ำ จนแทบจะกลืนไปกับสีของเนคไทที่คาดทับบนดวงตา

ทอมกดฝ่ามือลงที่คอของพี่เหยา เมื่อพี่เหยาพยายามที่จะลุกขึ้น

ผมรีบคุกเข่าลง และสอดใส่ความอยากรู้ของตัวเองเข้าสู่ริมฝีปากที่ถูกทอมบีบให้เผยอรับทันที

ริมฝีปากและปลายลิ้นของพี่เหยาไม่ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างช่ำชองอย่างที่ทำให้ผมในเมื่อครู่ที่ผ่านมา ผมสัมผัสได้ก็แต่การต่อสู้ดิ้นรนของปลายลิ้น ลำคอที่บีบรัดคล้ายคนกำลังพยายามหายใจ ยิ่ง 2 มือที่ผลักไสและเสียงคล้ายคนสำลักนั้นยิ่งกระตุ้นในผมกดสะโพกลงแนบแน่นกับริมฝีปากนั้นยิ่งขึ้น

ผมปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกผิดสั่งสมที่รวมตัวกันถาโถมเข้ามาหา อย่างยากจะหลีกหนีได้อีก

มันไม่หลงเหลือการรู้สึกถูกบีบบังคับ จับมือทำหรือแม้แต่ชี้ชวน จากทอมอีกแล้วในเวลานี้ มันเป็นความอยากรู้ อยากลองและร่วมกระทำของผมเองล้วนๆ เมื่อความต้องการถูกปลดปล่อย อารมณ์ที่พลุ่งพล่านบรรเทา และความกระหายใคร่รู้ดับตัวลงสนิท มันจึงเหลือแต่ความรู้สึกผิดล้วนๆ

เสียงพี่เหยาไออย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งตอกย้ำถึงความเลวร้ายที่ตัวเองทำ

ผมรีบคว้ากางเกงขึ้นมาใส่ ไม่กล้าหันไปมองทอมที่กำลังก้าวขึ้นคร่อมร่างพี่เหยาที่กำลังไออย่างทรมานอีกครั้ง

และก่อนที่จะวิ่งจากมา ทอมก็ร้องทัก และส่งสัญญาณให้ผมหยิบกระเป๋าเงินของพี่เหยากลับไปด้วย ซึ่งหมายความว่าพี่เหยาจะไม่มีวันรู้ว่า ผมมาที่นี่ และผมทำอะไร

ผมหันไปมองดูพี่เหยาอีกครั้ง ก่อนวิ่งจากมา

“ไปกวนอะไรพี่เขาเสียดึกดื่น ไม่รู้จักเกรงใจ!”เสียงแม่ที่นั่งดูทีวีเพื่อรอปิดประตู บ่นอีกตามเคย แต่ผมไม่สนใจ วิ่งผ่านขึ้นไปบนห้องนอน ปิดประตูและร้องไห้

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนัก ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำมันลงไปได้อย่างไร ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร และไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เมื่อเจอพี่เหยา ผมจะทำอย่างไร

ผมร้องไห้หนักขึ้นอีก เมื่อรู้ตัวว่า ภาพพี่เหยายังติดตาอยู่ แค่คิดถึงลมหายใจของพี่เหยาที่ปะทะที่ต้นคอ ขนมันก็ลุกไปทั้งตัว ผมล้วงมือเข้าไปในกางเกง แม้ว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่ แต่ผมก็ไม่อาจห้ามมือตัวเองให้เกาะกุมส่วนที่กำลังตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มขยับมือช้าๆ ภาพพี่เหยาที่กำลังเคลื่อนไหวช้าๆไปตามแรงกระแทกกระทั้นสอดรับกับจังหวะการขยับฝ่ามือของผมนั้น ทำให้สติผมยิ่งพร่าเลือน ผมปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง พร้อมกับแว่วเสียงครางกระซิบของพี่เหยา ปะปนมากับเสียงสะอื้นไห้ดังๆของตัวเอง

ผมเช็ดคราบเหนียวขุ่นบนฝ่ามือกับเสื้อและร้องไห้จนหลับไป



--------------------

จบตอน 3

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
บอกได้คำเดียวว่า.....

เรื่องนี้ของเค้าดีจริง ๆๆ  o13 o13 o13 o13 o13


เป็นกำลังใจให้คนโพสต์นะครับ
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ปล.อ่านไปใจสั่นไป   ...  ไม่อยากนึกถึงตอนหน้าเลย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2008 21:30:03 โดย อาจารย์..สีฟ้า »

ออฟไลน์ naja

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
เนี่ย เพราะเรื่องนี้อ่ะ ตามๆปอ่านจากอีกที่นึงจนจบ แล้วเลยนอนไม่หลับ เครียดดดด มั้งๆ ที่จบก้อดี แต่ก่อนหน้านี้ทำเอาเครียดสะสมเรยกรู :เตะ1:

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
สงสารเหยาจังอะ

เป็นที่ระบายอารมณ์ของทอมนี่เอง

 :m15:

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2:
พี่เหยาที่น่าสงสาร    :sad2:
ไอ้เจรี้ยทอม.....แสรด      :เตะ1:
 :angry2:  เอกนะเอก  ชั่วสุดตรีน....
อ่านกี่รอบ ก็อินมานได้ทุกรอบเลยเรา      :o12:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 4

...คนดี คือ คนที่ทำความชั่วแต่ไม่มีใครรู้...

คำพูดที่พี่เหยาชอบพูดบ่อยๆ เวลาผมมาเล่าโน่น เล่านี่ ว่าคนนั้นดีอย่างนั้น คนนี้ดีอย่างนี้ พี่เหยาก็จะบอกว่า

“รู้ได้ไงว่าเขาดีจริง? คนดี ก็แค่ คนที่ทำชั่วแต่ไม่มีใครรู้ เท่านั้นเอง”

ผมได้ยินพี่เหยาพูดแบบนี้จนชินหู แต่ในช่วงเวลาที่ผมยังเด็กเกินกว่าที่จะรู้ว่า ความจริงคือสิ่งที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ตามองเห็น ผมก็ได้แต่คิดว่า...เด็กดีของแม่มองคนอื่นในแง่ร้ายจริงๆ...แต่ผมไม่เคยคิดว่า อะไร หรือใคร ทำให้พี่เหยาคิดอย่างนั้น จนเมื่อผมวิ่งหนีออกมาจากบ้านทอมในวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จัก ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังเปลือกตา

ทอม...พี่เหยา และตัวผมเอง คือ...ความจริงที่ผมพูดถึง

ทอม...ฝรั่งตัวสูงใหญ่ เก่ง ร่ำรวย น่านับถือ ยิ่งกว่านั้น เขาดูแลลูกชายของเพื่อนราวกับลูกของตัวเอง จนครั้งหนึ่งผมเคยอิจฉา...พ่อน่าจะมีเพื่อนแบบทอมบ้าง

พี่เหยา...ขยันและเรียนเก่ง เป็นเด็กดีในสายตาของใครๆ

และผม...ลูกชายที่ไม่เคยโตเลยในสายตาของพ่อและแม่

ในคืนที่ผมนอนร้องไห้ หวาดกลัววันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง แต่เมื่อเช้าวันใหม่ ผมกลับพบว่า...ไม่มีอะไรเลยที่เปลี่ยนไป

ทอมยังเป็นคนดี เหมือนที่พี่เหยายังเป็นเด็กดีในสายตาของผู้ใหญ่ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากผมที่ยังเป็นลูกที่เลี้ยงเท่าไหร่ก็ไม่โตของพ่อและแม่

วันนั้นผมถึงเข้าใจที่พี่เหยาพูด...คนดีก็แค่คนที่ทำชั่วโดยไม่มีใครรู้...และหนึ่งในนั้น คือคนที่ผมมองเห็นทุกครั้งที่ส่องกระจกนั่นเอง

นับจากวันนั้น ผมก็ผูกชีวิตไว้กับความสับสนและหมกมุ่น

ผมเสพติดสิ่งที่ทอมหยิบยื่นให้ โดยมิอาจต่อต้านหรือแข็งขืนต่อความต้องการของตัวเอง

ผมสาบานกับตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่าจะไม่ทำอีก แต่เมื่อบานประตูเปิดแง้มไว้อีกครั้ง ผมก็พ่ายแพ้ต่อความต้องการของตัวเอง ก้าวผ่านมันเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อกลับออกมาอย่างคนรู้สึกผิด

ความรู้สึกในช่วงเวลานั้น รู้จักเพียงสองสิ่ง คือ ความอยาก และ ความละอายใจ

ผม...อยาก และกระหาย ในร่างกายของพี่เหยาอยู่เสมอ และแม้ทุกครั้ง โลกทั้งใบของพี่เหยาจะถูกปิดทับด้วยเนคไทด์สีแดงเส้นเดิม แต่เมื่อพี่เหยาไม่เคยขัดขืน ผมจึงคิดอย่างเข้าข้างตัวเองว่า นั่นคือความเต็มใจ

ในขณะเดียวกัน แม้จะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนั้น แต่ผมละอายใจเสมอ เมื่อกลับมายืนอยู่ต่อหน้าพี่เหยา...พี่เหยาผู้ไม่รู้อะไรเลย...

ทุกครั้งที่เจอกัน พี่เหยาไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย วางตัวเป็นปกติ...เป็นพี่ชายที่ผมเคยอยากมี

เนคไทด์สีแดงเส้นเล็กๆ แต่มันกลับปิดโลกแห่งความจริงของพี่เหยาได้มิดชิด

ดังนั้นเมื่อพี่เหยาไม่เปลี่ยนไป ...การกระทำของผมไม่มีใครรู้ ผมจึงเริ่มชินชาขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่ความชาชินต่อความผิด แต่เป็นความชาชินต่อความรู้สึกผิดที่เกาะกุมใจผมไว้ตลอดเวลา แต่ความรู้สึกผิดนั้นก็มีช่องโหว่เล็กๆแต่เพียงพอให้ความอยากเล็ดลอดเข้าไปกัดกินหัวใจผมอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ผมค่อยๆเรียนรู้ที่จะผูกชีวิตไว้กับความละอาย และรู้สึกผิด ตราบเท่าที่ความผิดนั้นไม่มีใครล่วงรู้และกล่าวโทษ

เมื่อเนคไทด์สีแดงถูกปลดออก ผมก็แสร้งกลับมาเป็น...เอก...น้องชายที่ยอมให้พี่เหยาตบหัวเมื่อทำอะไรให้ไม่พอใจเหมือนเดิม

เราเล่นเป็นพี่เป็นน้องกันไม่เปลี่ยนแปลง ไปดูหนังด้วยกัน กินไอติมด้วยกัน พี่เหยายังซื้อการ์ตูนเรื่องโปรดให้ผมเสมอๆ หากแต่พี่เหยาไม่เคยรู้เลยว่า ใจผมเปลี่ยนไปอย่างไร

พี่เหยาไม่เคยรู้ว่า....เวลาที่พี่เหยาพูด...ผมนึกถึงก็แต่สัมผัสของปลายลิ้นและริมฝีปากนั้น

พี่เหยาไม่เคยรู้ว่า...เวลาที่ผมมองดูพี่เหยานั้น ผมมองผ่านเสื้อนักศึกษาสีขาวเข้าไป จินตนาการถึงสัมผัสของผิวเนื้อ...ที่เพียงบีบเบาๆ ก็แดงเป็นรอยมือ

พี่เหยาไม่เคยรู้ว่า...ผมแอบมองดูกางเกงนักศึกษา ที่ผมปลดมันลงครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปลดปล่อยความต้องการของตัวเอง

จริงอยู่ที่ผมรู้สึกผิด แต่ไม่มีสักครั้งที่ผมโทษตัวเอง...ผมโทษผู้ใหญ่อย่างทอมที่หยิบยื่นประสบการณ์อันคล้ายสิ่งเสพติดนั้นให้แก่ผม โทษพี่เหยาที่ไม่เคยขัดขืนแม้แต่น้อย และผมชิงชังพวกเขาเพิ่มขึ้นทีละนิด ในทุกๆครั้งที่ผมรู้สึกผิด

บางครั้ง ผมเคยแกล้งถามพี่เหยาว่า

“พี่ไปเที่ยวไหนกับทอม...กับเพื่อนทอมบ่อยๆ” ผมแสร้งถามทั้งที่เริ่มมองเห็นคำตอบ

“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”พี่เหยาตอบ โดยไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย

ผมแกล้งเชื่อ แต่หัวเราะเยาะในใจ เพราะคิดว่า พี่เหยาโกหกเก่งเหลือเกิน

พี่เหยาไม่เคยรู้อะไรเลยจริงๆ...ไม่เคยรู้แม้แต่ว่าผมแอบหัวเราะเยาะพี่เหยาในใจเสมอๆ

เพราะชีวิตในตอนนั้นรู้จักแค่สองสิ่ง คือ ความอยาก และความรู้สึกผิด ทั้งผมก็เด็กเกินไปที่จะจัดการกับตัวเองให้หลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ได้ จึงปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามความรู้สึกนั้นล้วนๆ ละทิ้งสิ่งอื่นๆโดยสิ้นเชิง

ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนหนังสือ รอคอยก็แต่เวลาค่ำ ที่จะได้ลิ้มลองความสุขแปลกใหม่อีกครั้ง

ผมนอนร้องไห้ในบางครั้ง เมื่อความสุขนั้นผ่านไปแล้ว และมีอีกบางครั้งที่นอนลืมตาอย่างที่ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรแน่

ผมโดดซ้อมบาส เพราะทนไม่ไหวที่จะกลับบ้านช้าลงอีกชั่วโมง

แม้ตอนม.2 การเรียนผมจะเริ่มตก เพราะมัวแต่กังวลเรื่องตัวตนของตัวเองที่เป็นเกย์ แต่มันก็ไม่ดิ่งลงเหวเหมือนเวลานี้ จากเด็กที่เกรดเฉลี่ย 3 กว่า แต่แม่ก็ไม่วายบ่นว่า หล่นฮวบฮาบลงเหลือแค่ 2 ต้นๆ ชนิดที่แม่บ่นไม่ออก

พี่เหยาที่มักรู้ปัญหาของผมก่อนใครๆ มาครั้งนี้ก็ทำได้แค่เอาไม้บรรทัดเคาะหัวจนผมเจ็บไปหมด จากที่ค่อยๆเรียนกันทีละบท พี่เหยาก็หาหนังสือฉบับสรุปมาให้ จนท้ายที่สุด ก็ลงมือย่อแต่ละบทให้สั้นแต่ได้ใจความที่สุดมาให้

“ถ้าไม่อ่าน ไม่เรียน แต่อย่างน้อยก็อ่านที่พี่ย่อให้แล้วกัน...ให้มันมีอะไรในหัวบ้างไม่ใช่กลวงแบบนี้!”พี่เหยาพูดพร้อมวางกระดาษปึกเล็กๆให้ตรงหน้า น่าเสียดายผมไม่ซาบซึ้งในความห่วงใยนั้นสักนิด ในใจก็โทษแต่ว่า...เพราะพี่นั่นแหละ... และเหลือบมองนาฬิกา รอคอยเวลาที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

สุดท้ายความพยายามของพี่เหยาที่อุตส่าห์ นั่งอ่าน นั่งย่อใจความสำคัญให้ผม ตั้งแต่บทเรียนของม.1 ยัน ม. 3 ก็ล้มเหลว ผมพลาดโค้วต้าคัดเลือกเข้าม.4 และต่อมาพลาดการสอบรอบแรกสำหรับเด็กเก่าที่พลาดโค้วต้า และสุดท้ายพลาดการสอบรอบ 2 ที่ต้องสอบรวมกับเด็กจากโรงเรียนอื่นๆ

ในวันนั้น ถ้าเพียงแต่แม่ถามเหตุผล หรือพูดดีกับผมสักนิด ผมแน่ใจว่าผมต้องสารภาพทุกอย่างกับแม่ เพราะมันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้ว่า ความผิดหวังเป็นอย่างไร ความท้อแท้เป็นอย่างไร

แต่สิ่งที่ผมได้รับ มันเปลี่ยนความรู้สึกของผมโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนความท้อแท้เป็นความโกรธ เปลี่ยนความผิดหวังเป็นความเกลียด

แม่ยืนรอบ่นตั้งแต่ผมยังไม่ทันก้าวมาถึงประตูบ้าน ในขณะที่พ่อเงียบ ไม่ยอมมองแม้แต่หน้าผม ส่วนย่าก็บ่นพึมพัมลับหลัง แต่หวังให้ผมได้ยิน ผมไม่สนใจใคร เดินหนีขึ้นไปบนห้อง ปิดประตูขังตัวเองไว้และร้องไห้อย่างเคย ในหัวของผมคิดวนเวียนอยู่อย่างเดียวคือ...ใครทำให้ผมเป็นอย่างนี้

และผมรู้คำตอบ คำตอบนั้นคือคนๆเดียว ที่มีสีหน้าเป็นทุกข์ไปกับผมด้วย คือ พี่เหยา...

“ไม่เป็นไรหรอก...พ่อเอกมีเพื่อนเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเอกไม่ใช่เหรอ?...พี่ว่าไม่มีปัญหาหรอก”พี่เหยาพูดเมื่อผมเปิดประตูรับ

“แล้วเอกก็สัญญากับน้าสุสิ ว่าต่อไปจะตั้งใจเรียน น้าสุจะได้ไม่โกรธ”พี่เหยาเดินผ่านผมไปนั่งลงที่เตียงเหมือนเคย และยิ้มเมื่อผมลงกลอนประตู พี่เหยายิ้มเหมือนทุกครั้ง...ทุกครั้งที่รู้ว่า ผมกำลังจะสารภาพผิดอะไรสักอย่าง หากแต่ครั้งนี้มันต่างไป เพราะสิ่งที่ผมพร้อมจะสารภาพออกมานั้น มันไม่ได้มาจากความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย แต่มันมาจากความเกลียดชังล้วนๆ ในเวลานั้นผมโกรธเกลียดพี่เหยาที่นั่งอยู่ตรงหน้า เพราะผมโยนความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับพี่เหยา...คนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย

รอยยิ้มของพี่เหยาจางลงเรื่อยๆ จนเหลือแต่ความงุนงง เมื่อผมเดินเข้าไปหา พร้อมปลดซิปกางเกงตัวเองลง

“อ้าปากสิ!” ผมจำได้ว่าผมพูดอย่างนั้น และรู้สึกสะใจเป็นที่สุด กับใบหน้าของพี่เหยาในเวลานั้น มันเป็นใบหน้าของคนที่รู้ตัวว่าถูกทรยศ ใบหน้าของคนที่รู้ตัวว่าโลกกำลังจะแตกสลาย เกราะกำบังกายบางๆกำลังจะพังทลาย แต่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากความสะใจ!

“บอกให้อ้าปาก!”ผมพูดพร้อมกระชากผมพี่เหยา และกดหัวพี่เหยาลงที่หว่างขาผม

หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เกิดขึ้นรวดเร็ว... พี่เหยาผลักผมจนเซ ผมดึงแขนพี่เหยาไว้ เมื่อพี่เหยาพยายามจะลุกหนี เสียงแม่ตะโกนขึ้นมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น...สุดท้ายพี่เหยาคว้าอะไรบางอย่างขว้างใส่ผม ผมหลบพ้นชนิดแค่ปลายจมูก เสียงแก้วแตกกระจายก่อนที่กลิ่นหอมชินจมูกจะฟุ้งกระจายทั่วห้อง แล้วพี่เหยาก็วิ่งออกจากห้องไป...นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่เหยาเหยียบเข้ามาในห้องผม

พอรุ่งเช้าแม่ก็บอกผมด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า ต่อไปพี่เหยาจะไม่มาติวหนังสือให้แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งเกินการคาดเดาของผม...ผมรู้แล้วนับแต่เมื่อวาน นับแต่พี่เหยาหันมามองผมอย่างเกลียดชังไม่แพ้กัน ผมรู้ว่าต่อไปนี้ จะไม่มีพี่เหยาที่คอยสอนหนังสือให้ ไม่มีพี่เหยาที่ชอบตบหัวผมเล่น ไม่มีพี่เหยาที่พาผมไปดูหนัง อีกแล้ว

เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ทำให้ผมสำนึกแม้แต่น้อย...ในตอนนั้นผมไม่นึกเสียดายความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่เสียไปแม้แต่นิดเดียว ตรงข้ามผมยิ่งสะใจมากยิ่งขึ้น เมื่อทอมเปิดประตูรับ เมื่อผมกดหัวพี่เหยาลงที่ตรงกลางหว่างขาผม เมื่อผมแอบกระซิบที่หูพี่เหยาโดยไม่ให้ทอมได้ยินว่า...นี่ผมเอง...ผมสะใจเมื่อพี่เหยาขืนตัวเพียงเล็กน้อยเป็นการรับรู้ และก็ต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของผมอย่างไร้ทางขัดขืน

แม่ยังบ่นผมไม่เลิก พ่อก็ยังทำหน้าตึงใส่ แม้ว่าสุดท้ายผมจะเข้าเรียน ม.4 ได้ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนพ่อแล้ว แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมเอาความโกรธทั้งหมดไปลงที่พี่เหยา...

ในขณะเดียวกัน ผมก็ทำทุกอย่างที่เรียกว่าปัญหา ทั้งขาดเรียน ขาดสอบ ไม่ส่งงาน ยิ่งแม่บ่นว่ามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งสร้างปัญหามากเท่านั้น จนสุดท้ายแม่ก็ด่าไปร้องไห้ไป

บ้านที่เคยสงบสุข ตอนนั้น ไม่มีสักวันที่ไม่มีเสียงแม่ทะเลาะกับพ่อ แต่ที่น่าตลกคือ แม่ยังไม่วายด่าผมไป แล้วก็ชื่นชมพี่เหยาไป ดูเหมือนแม่คิดว่า การพูดถึงความดีของคนอื่น จะทำให้ผมสำนึกและคิดเอาเยี่ยงอย่าง แต่แม่คิดผิด และคนที่ต้องรับผลของความโกรธเกลียดทั้งหมดคือคนเดียวที่ไม่มีทางเลือก...คือพี่เหยา

มันเป็นช่วงเวลาที่ผมทำร้ายทุกๆคนที่ผมรัก ทั้งพ่อ แม่ และพี่เหยาที่ผมมั่นใจว่าครั้งหนึ่ง ผมเคยรักเขาอย่างพี่ชาย

และคนที่ช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็คือ เพื่อน

เพื่อนที่ว่าก็คือไ อ้วิทย์ ไอ้ชัย และไอ้รงค์ ที่งงกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผมมาตั้งแต่ม.ต้น

ถึงแม่จะบ่นผมเรื่องเรียนเสมอๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กเรียนเลว วิชาเดียวที่ผมได้เกรด สอง ก็คือวิชาศิลปะ ที่ความขยันไม่ค่อยจะช่วยอะไรได้ นอกนั้น เกรดผมก็อยู่ที่ 3 บ้าง 4 บ้างเสมอๆ ครูอาจารย์อาจจะเอือมในความทโมนบ้าง แต่ไม่เคยบ่นว่าผมได้ ในเรื่องของความรับผิดชอบ ตรงกันข้าม ชื่อผมเป็นชื่อแรกๆที่ครูมักเรียกหา เมื่อต้องการการช่วยเหลือและ แม้เมื่อควบตำแหน่งนักกีฬาของโรงเรียน คะแนนและความรับผิดชอบของผมก็ไม่ได้ตกลงแม้แต่สักวิชา

แต่พอเปิดเทอม ม.3 ได้ไม่นานอะไรๆก็เปลี่ยนไป ผมไม่มีอารมณ์เฮฮากับเพื่อนๆเหมือนเคย ครูอาจจะชอบที่ผมพูดน้อยลง แต่ก็ต้องแปลกใจที่คะแนนผมผันตามกับนิสัยการพูดของผมคือหล่นร่วงจนแค่เอาตัวพอรอด บาสที่ผมเคยทุ่มเท ผมก็โดดซ้อม จนโดนถอดออกจากรายชื่อนักกีฬา

ครูเรียกผมมาคุยว่ามีปํญหาอะไร แต่ผมรู้ มันไม่ใช่ปัญหาที่จะพูดได้ และยิ่งกว่านั้น ผมรู้สิ่งที่ผมทำอยู่นั้นมันผิด และผมเลือกที่จะอยู่กับความรู้สึกผิด มากกว่าที่จะบอกความผิดตัวเองให้คนอื่นรู้

ไอ้วิทย์ ไอ้ชัยและไอ้รงค์ ลอยลำเข้าสายวิทย์ไปด้วยโควต้า ส่วนผมพลาด ซึ่งสุดท้ายผมก็ได้เข้าเรียนพร้อมพวกมัน ด้วยสถานะภาพที่เรียกว่าเด็กเส้น

อย่างที่บอกไว้ ว่าผมทำทุกอย่างที่น่าจะสร้างความทุกข์ใจให้แม่ได้ ทั้งโดดเรียน ขาดสอบ แต่ผมก็สมัครเข้าทีมบาสเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะรักการเล่นบาสจนตัดใจจากมันไม่ได้ แต่เพราะแม่บ่นจนปากแฉะให้เลิกเล่น เพราะแม่คิดว่า บาสคือสาเหตุทำให้การเรียนผมตก

พวกไอ้วิทย์มันไม่เคยถามว่า ทำไมผมต้องทำตัว ให้ใครๆเอือมระอา เพราะตราบใดที่ผมไม่ทำตัวเลวกับพวกมัน พวกมันก็ยังนับว่าผมเป็นเพื่อน และพวกมันยังถือหลักว่า ถ้าพวกมันไปไหน พวกมันก็จะลากผมไปด้วยกับพวกมัน

พวกมันไม่ห้ามผมคบกับเพื่อนเลวๆ แต่พวกมันยืนกระต่ายขาเดียวว่า ถ้าผมไปไหน คบใคร พวกมันก็คบด้วย ผมจึงต้องเลือกกลับมาเป็นขี้ปลาทอง คือให้พวกมันลากไป ลากมา กับพวกมันเหมือนเดิม ซึ่งหากมองย้อนไป หากพวกมันไม่ทำอย่างนั้น หากผมเลือกที่จะคบเพื่อนเลวๆ ชีวิตผมคงดิ่งลงเหวไปเหมือนเพื่อนๆพวกนั้นแล้ว

พวกมัน 3 คนสมัครเรียน กศน เพื่อหวังสอบเทียบ เพราะหากสอบเทียบม.6 ได้ เมื่อไหร่ ก็สามารถสอบเอนทรานซ์ได้ เป็นการเพิ่มโอกาสให้กับตัวเอง อย่างที่หลายๆคนมักทำกัน

พวกมันลากผมไปเรียนด้วย โดยไม่สนใจการคัดค้านหรือขัดขืนของผม พวกมันเตรียมเอกสาร กรอกใบสมัคร ทำกระทั่งควักตังค์จ่ายให้ก่อน




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ผมอาจจะต่อต้านการเรียนที่โรงเรียน เพื่อต่อต้านแม่ แต่เมื่อผมได้เรียนในที่ๆแม่ไม่รู้ ผมก็มีความสุข และสนุกที่ได้กลับไปนั่งเรียนอย่างตั้งใจกับเพื่อนๆอีกครั้ง ผมสนุกที่จะทำข้อสอบอย่างถูกต้องเมื่อสอบ กศน แต่สนุกกว่าเมื่อเลือกคำตอบข้อที่ผิด เวลาทำข้อสอบที่โรงเรียน

ในเวลานั้น พี่เหยาไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว ผมไม่รู้สึกตื่นเต้น หรือตื่นตาตื่นใจ กับร่างกายพี่เหยามากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ผมอาจจะยังระบายความรู้สึกโกรธเกลียด ปลดปล่อยความต้องการ กับร่างกายนั้นทุกครั้งที่ต้องการ แต่ไม่ใช่การรอคอย อย่างจดจ่อ หมกมุ่นจนหยุดคิดไม่ได้เหมือนตอนแรกๆ ตรงข้าม ในบางวันที่เหน็ดเหนื่อยจากการเล่นบาส ผมก็เป็นฝ่ายเมินเฉยต่อประตูที่ทอมเปิดทิ้งไว้เป็นสัญญาณเสียเองอย่างไม่เสียดายสักนิด ความรู้สึกผิดที่มันเกาะกินใจ มันก็ชาชินจน เหมือนมองดูการกระทำเลวๆของคนอื่น...คือร่วมรู้สึก แต่ก็ปล่อยวางลงได้ทันทีที่มีโอกาส

แม่ยังคงมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงผมโดยการดุด่า และเปรียบเทียบผมกับพี่เหยาที่แสนดีของแม่ ส่วนผมก็ทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน...ไม่เถียง ไม่กระแทกอะไรปึงปัง เพราะรู้ว่าการทำทองไม่รู้ร้อนคือการทำให้แม่โกรธเสียยิ่งกว่าการตอบสนองเสียงดุด่าของแม่ด้วยการโมโห

ความอดทนของแม่ถึงที่สุด เมื่อครูโทรมารายงานว่าผมขาดสอบซึ่งอาจส่งผลให้ผมต้องซ้ำชั้นม.4 แม่ไปพบอาจารย์โดยทันทีและระบายความโกรธโดยตกลงกับอาจารย์ว่า ห้ามผมร่วมกิจกรรมบาสใดๆอีกต่อไป

และเมื่อแม่กลับไปแล้ว อาจารย์เรียกผมไปบอกกล่าว พร้อมถอดรายชื่อผมออกจากทีมบาส ผมก็รู้ว่าแม่ทำสำเร็จ...ผมทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้อีกต่อไป

ผมกลับบ้านทันที แต่แม่ยังไม่กลับ นั่นยิ่งทำให้ผมโกรธ

ผมเดินออกไปที่บ้านทอม รถพี่เหยาจอดอยู่ ใจหนึ่งผมอยากเข้าไประบายความโกรธทั้งหมดลงที่พี่เหยาอย่างเคย แต่ในตอนนั้น ผมรู้สึกว่าแค่นั้นมันยังไม่พอ

ผมกลับไปที่โรงเรียนอีกครั้ง ไปหาพวกเพื่อนๆ เล่าสิ่งที่แม่ทำให้พวกมันฟังและบอกกับพวกมันว่า มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเรียกพี่โอ๋ ออกมาด้วย

เมื่อพี่โอ๋มา ผมก็เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับพี่เหยาให้พวกมันและพี่โอ๋ฟัง

เป็นอย่างที่ผมคิด พี่โอ๋สนใจพี่เหยาขึ้นมาทันที และไม่รั้งรอที่จะออกปากขอลิ้มลองประสบการณ์แปลกใหม่บ้าง

“ตอนนี้ทอมไม่อยู่ ถ้าจะไปก็ไปเดี๋ยวนี้เลย”ผมบอกหันไปมองหน้าเพื่อนๆ ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยมองหน้ากันอย่างเกรงๆ ในขณะที่ไอ้รงค์ปฏิเสธทันที

“กูมีธุระ..”ไอ้รงค์ว่างั้น มันมองหน้าผมก่อนเดินหนีไป

“ไอ้ปอดแหก รีบกลับไปดูดนมแม่หรือไงว่ะ?”พี่โอ๋ตะโกนไล่หลัง แต่ไอ้รงค์ไม่สนใจ พี่โอ๋จึงหันมาคาดคั้นไอ้วิทย์ต่อ

“มึงล่ะไอ้วิทย์...อย่าบอกนะว่าปอดแหกอีกตัว?”

“ผู้ชายนะพี่!”ไอ้วิทย์ขัด

“ผู้ชายแต่ก็โอเค ขาวกว่านางเอกหนังเอ๊กซ์ที่มึงดูอีก”ผมรีบเสริม กลัวพี่โอ๋เปลี่ยนใจ

“เออ กูเคยเห็น มันเป็นเพื่อนของเพื่อนกู ชื่อแปลกๆอย่างนี้กูจำได้”พี่โอ๋พูดก่อนหันไปพูดกับไอ้วิทย์

“หน้าตาแม่งดีกว่าน้องนิด หรือน้องหน่อยอะไรที่มึงหลีอีก”

ไอ้วิทย์ยักไหล่แทนคำตอบ หน้ามันยิ้มระรื่นแต่ดูไม่ค่อยรื่นเท่าไหร่ ตอนนั้นผมเข้าใจว่า มันคงตะขิดตะขวงใจที่พี่เหยาเป็นผู้ชาย

ไม่มีใครถามความเห็นจากไอ้ชัย แต่เมื่อพี่โอ๋ลุกขึ้น ผมก็เห็นไอ้วิทย์รีบคว้าแขนไอ้ชัยไว้ เหมือนกลัวมันจะหนี

เราพากันนั่งรถไปลงที่บ้านผม ตลอดทางไอ้วิทย์กับไอ้ชัยไม่พูดอะไรเลย มีก็แต่พี่โอ๋ที่ถามนั่นถามนี่เกี่ยวกับทอมและพี่เหยา ไอ้วิทย์มันยังรับคำบ้าง แต่หน้ามันชักระรื่นไม่ค่อยออกเท่าไหร่แล้ว ส่วนไอ้ชัยมันทำได้แค่หัวเราะแกนๆ

เมื่อถึงที่บ้าน แม่ยังไม่กลับ ผมบอกให้พวกมันรอผมอยู่ที่บ้าน ส่วนผมเดินไปกดกริ่งที่บ้านพี่เหยา

พี่เหยาเดินลงมา และขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเป็นผม

ดูพี่เหยาจะลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะเดินมาที่ประตูบ้าน...นั่นเป็นครั้งแรกนับจากวันที่พี่เหยาวิ่งออกจากห้องผมไป ที่ผมและพี่เหยาได้ยืนเผชิญหน้ากันตามลำพัง

“ผมลืมของไว้ จะมาเอา”ผมบอก

“อะไรล่ะ เดี๋ยวหยิบให้?”พี่เหยาถาม... และนั่นเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ได้ยินเสียงพี่เหยาพูดหลังจากไม่ได้ยินมาเสียนาน

ในตอนนั้น ความรู้สึกบางอย่างมันเกิดขึ้น ความรู้สึกนึกถึงวันเวลาเก่าๆ แต่เสียดายที่ความรู้สึกนั้นไม่สามารถเอาชนะความโกรธที่อัดอั้นมาทั้งวันได้

“พี่หาไม่เจอหรอก ...ทำไมหรือว่ากลัว?”ผมยิ้มเยาะและได้ผล พี่เหยาไขกุญแจให้อย่างเสียไม่ได้ และปล่อยให้ผมเดินขึ้นไปคนเดียว ส่วนตัวเองยืนรออยู่ที่เดิม

“พี่ขึ้นมาช่วยผมเลื่อนตู้หน่อย มันตกไปหลังตู้”ผมตะโกนเรียกเมื่อขึ้นมาได้สักพัก พี่เหยาเดินตามขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้น จะมีใครเดินตามขึ้นมาบ้าง

จนถึงวันนี้ ผมยังจำได้ถึงสายตาของพี่เหยาที่มองดูผม เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันทั้งหวาดกลัวและเกลียดชัง...ผมไม่เคยถูกใครมองด้วยสายตาเกลียดชังแบบนั้นมาก่อน ทั้งก่อนหน้านั้น หรือกระทั่งหลังจากนั้นจนวันนี้ก็ตาม

พี่โอ๋สั่งให้ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยจับแขนพี่เหยาที่ถูกผลักให้นอนลงกับพื้นไว้คนละข้าง ในขณะที่พี่เหยาดิ้นรนจนสุดแรงที่มี พี่โอ๋สั่งให้ผมจับขาพี่เหยาไว้ แต่เมื่อผมยังยืนเฉย พี่โอ๋จึงขยับขาที่นั่งคร่อมพี่เหยาไว้ โดยเปลี่ยนมากดเข่าข้างหนึ่งลงบนต้นขาของพี่เหยาแทน พี่เหยาร้องออกด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังไม่หยุดดิ้นรน พี่โอ๋จึงกดน้ำหนักเข่าลงไปแรงยิ่งขึ้น เหมือนจะกดให้ขาพี่เหยาหักลงไปเสียตรงนั้น และมันได้ผล เมื่อพี่เหยาหยุดการดิ้นรน เหมือนคนที่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหมดหนทาง สิ่งเดียวที่เป็นการยืนยันว่าพี่เหยายังคงขัดขืน คือน้ำตา กับถ้อยคำที่พี่เหยาพร่ำพูดซ้ำๆ คือ...อย่ามายุ่งกับกู...

ผมมองดูพี่โอ๋ แต่กลับมองเห็นภาพตัวเอง

ตลอดมาผมเคยกล่าวโทษ ที่ทำไมพี่เหยาไม่เคยขัดขืน แต่วันนี้ผมเห็นภาพนั้นชัดเจน...

ไอ้วิทย์กับไอ้ชัย มันเหลือแรงจับแขนพี่เหยาไว้แค่หลวมๆ แต่พี่เหยาก็วางมือไว้ที่เดิม ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกจากปากพี่เหยาแล้ว...ดูคล้ายพี่เหยาไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วมันไม่ใช่...ไม่ใช่ไม่ขัดขืน แต่ไม่เหลือทางให้ขัดขืนต่างหาก

ผมอยากกระชากพี่โอ๋ออกมาให้พ้นๆจากพี่เหยาแต่ก็ไม่กล้าพอ ทำได้แต่มองดูและนึกเสียใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำ

ไอ้ชัย มันมองดูผมที มองดูไอ้วิทย์ที อย่างคนทำอะไรไม่ถูก

และคนที่ทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน คือไอ้วิทย์

มันผลักพี่โอ๋จนหงายหลังหลุดพ้นจากการคร่อมอยู่เหนือร่างของพี่เหยา

“ทำห่าอะไรวะ?” พี่โอ๋ถามอย่างเดือดดาล มองดูไอ้วิทย์ที ดูไอ้ชัยที่กำลังดึง พี่เหยาให้ลุกขึ้นที

“อย่าบอกนะ ว่าเสือกปอดแหกขึ้นมากันตอนนี้!” พี่โอ๋ ผลักอกไอ้วิทย์จนมันเซ

ไอ้วิทย์ไม่ตอบ แต่มันกลับมายืนขวางพี่โอ๋ไว้

“ถ้ามึงไม่ทำก็ไสหัวกลับไป อย่าเสือก”พี่โอ๋ผลักไอ้วิทย์อีกครั้ง แต่คราวนี้มันยืนปักหลักไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย

“มึงจะเอายังไงวะ ไอ้เอก?”พี่โอ๋หันมาหาผมเมื่อ เห็นว่าไอ้วิทย์ไม่เอาด้วยแน่

“มึงเป็นคนเรียกพวกกูมาไม่ใช่หรือไง?...มึงบอกว่าแม่งสำส่อน ใครเอาก็ได้หมดไม่ใช่หรือไง?”

พี่โอ๋พูดในสิ่งที่ผมพูดจริง แต่ตอนนี้ ผมกลับไม่อยากให้พูดมันต่อหน้าพี่เหยา

ผมไม่กล้าหันไปมองหน้าใครๆ ทั้งพี่โอ๋ ไอ้วิทย์ ไอ้ชัย หรือแม้แต่พี่เหยา ที่ผมเห็นจากหางตาว่ากำลังมองดูผมอยู่

สุดท้ายผมก็ทำได้แค่วิ่งหนี โดยมีไอ้วิทย์กับไอ้ชัยวิ่งตามหลังลงมา

เสียงพี่เหยาตะโกนเรียกผม ทำให้ผมชะงักฝีเท้าอย่างลังเล แต่คนที่กลับหลังวิ่งย้อนขึ้นไปทันทีคือไอ้วิทย์

“ไม่ทำก็อย่าเสือก!”เสียงพี่โอ๋ตะโกนลั่น

“กูจะเสือก!”และเสียงไอ้วิทย์ แบบที่ผมไม่เคยได้ยินตั้งแต่คบกับมันมา

“กูจำมึงได้...มึงเป็นเพื่อนไอ้นัทใช่ไหม เสือกเล่นตัวนัก กูจะเอาเรื่องของมึงไปบอกให้ทั่วมหาลัย”คราวนี้พี่โอ๋คงหันไปพูดกับพี่เหยา

ผมไม่รู้ว่าใครคือ นัท เพราะตั้งแต่รู้จักพี่เหยามา ไม่มีสักครั้งที่พี่เหยาพูดถึงตัวเอง...ทั้งเพื่อน หรือแม้กระทั่งครอบครัว

“เออ ก็ลองดู กูจะบอกแม่มึง ว่ามึงน่ะ เหี้ยแค่ไหน กูจะรอดูว่าแม่มึงจะเอาเลือดที่หัวมึงออกหรือเปล่า!”

“ไอ้เหี้ยวิทย์!”

เสียงดังโครมครามข้างบนทำให้รู้ว่าพี่โอ๋กับไอ้วิทย์คงลงไม้ลงมือกันแล้ว แต่ไม่ทันที่ผมกับไอ้ชัยจะวิ่งกลับขึ้นไป พี่โอ๋ก็วิ่งสวนลงมาด้วยสภาพที่สมบูรณ์ ดังนั้นไอ้วิทย์ที่เดินตามลงมานั้นจึงทั้งเลือดกลบปากและคิ้วแตก

“ระยำ!”มันหันมาด่าใส่หน้าผม ก่อนเดินผ่านผมลงไป

ผมกับไอ้ชัยเดินตามมันลงไปเงียบๆ

ย่าดูตกใจเมื่อเห็นสภาพไอ้วิทย์ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วงมัน ที่เดินจ้ำอ้าวขึ้นไปบนห้องผม

เมื่อถึงห้อง ไอ้วิทย์ก็ทำในสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงอีกครั้ง...มันทรุดตัวลงนั่งฟุบหน้ากับที่นอน แล้วก็ร้องไห้

ผมรู้ มันไม่ได้ร้องไห้เพราะเจ็บ ไม่ได้ร้องไห้เพราะกลัว...แต่ผมไม่เข้าใจ มันร้องไห้ทำไม มันยังไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย ตรงข้าม มันทำในสิ่งที่ผมรู้ว่าผมคงไม่กล้าที่จะทำ

ไอ้ชัยที่ทุกทีทำหน้าที่คอยขัดคอไอ้วิทย์ วันนี้ มันได้แต่นั่งลงและตบบ่าไอ้วิทย์เบาๆโดยไม่พูดอะไรเลย

“ระยำ!” ไอ้วิทย์ด่าโดยไม่เงยหน้า ผมรู้... มันด่าผม

...ระยำ...คำนี้ ที่ผมแกล้งลืมมาเสียนาน ทั้งที่รู้ ว่ามันเป็นคำที่เหมาะสมกับผม ยิ่งกว่าใครๆ




--------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“ทำไมเขาทำกับเราอย่างนี้?”มันพูดทั้งๆร้องไห้

ผมไม่รู้ว่า ...เขา...ที่มันพูดถึงหมายถึงใคร

ผมไม่รู้ว่า...เรา...ที่มันพูดถึงหมายถึงใคร

แม้ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจว่า ไอ้วิทย์ร้องไห้ทำไม แต่มันก็ทำให้ผมสำนึกได้ในหลายๆสิ่ง

ตลอดเวลาที่ผ่านๆมา ผมร้องไห้เพียงเพราะรู้สึกผิด แต่ไม่ใช่รู้สึกผิดต่อใคร มันเป็นการร้องไห้เพื่อตัวเอง มิใช่ร้องไห้ให้แก่ผู้ที่ถูกผมกระทำ...ผมรู้ในวันนั้นว่านอกจากผมจะ...ระยำ อย่างที่ไอ้วิทย์ด่าแล้ว ผมยังเห็นแก่ตัว นึกถึงก็แต่ตัวเอง อีกด้วย

จนฟ้ามืดแล้ว ไอ้ชัยถึงชวนไอ้วิทย์กลับ ผมเดินตามออกมาส่งพวกมัน

ประตูบ้านพี่เหยายังเปิดทิ้งไว้เหมือนเดิม

ผมอยากเดินขึ้นไปดูพี่เหยาว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ก็ไม่กล้า...นับแต่วันที่พี่เหยาวิ่งออกจากห้องผมไป ผมไม่เคยกล้าเผชิญหน้าพี่เหยาอีกเลย ผมเลือกระบายความโกรธเกลียดของตัวเองด้วยวิธีการขี้ขลาด แต่ตรงข้าม ผมกลับไม่กล้าสู้หน้าพี่เหยาตรงๆสักครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน

แต่ ในขณะที่ผมมัวแต่ลังเล ไอ้วิทย์ มันเดินกลับเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สักพักมันก็กลับออกมา ปิดประตูและล็อกกุญแจ

ผมอยากถามมัน แต่ก็ไม่กล้าเหมือนเคย เลยได้แต่ส่งมันขึ้นรถ

หลังจากนั้นผมก็ทำสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย คือขังตัวเองอยู่ในห้อง

เสียงแม่กลับมาแล้ว แต่ผมก็ลืมเรื่องแม่ ลืมเรื่องบาสไปจนหมดแล้ว

แม่ไม่ได้เรียกผมกินข้าวเย็น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

ผมไม่ได้ร้องไห้ แค่นอนเฉยๆ และไม่สามารถข่มตาให้หลับได้

เที่ยงคืนแล้ว ผมได้ยินเสียงรถ...ทอมคงเพิ่งกลับ นั่นยิ่งทำให้ผมนึกถึงพี่เหยา

เสียงใครมากดกริ่งหน้าบ้าน แม้จะแปลกใจแต่ผมก็เลือกที่จะนอนนิ่งๆในห้องต่อไป

เสียงรถดังขึ้นอีกครั้ง...ผมถึงเริ่มง่วงและหลับไป

วันต่อมา ถึงผมจะตื่นเช้า แต่ก็ไม่อยากจะไปโรงเรียน...ผมรู้สึกไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนๆ

แม่มองหน้าผมอย่างแปลกใจ ผมถึงนึกออกเรื่องที่แม่ไปคุยกับครูเรื่องบาส แต่ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว

เมื่อผมไร้ปฏิกิริยา แม่ก็เลยนิ่งๆไปด้วย

“เมื่อคืนใครกดกริ่ง?”ผมถามแค่หวังทำลายความเงียบ

“ทอม...เหยาไม่สบาย... เห็นว่าไข้ขึ้นจนไม่รู้สึกตัวเลย ทอมเลยมาถามเรื่องโรงพยาบาล”

ผมไม่กล้าถามอะไรอีก แต่มารู้ทีหลังว่า เพราะเหตุการณ์วันนั้น พี่เหยาเลยขาดสอบ สุดท้ายต้องดร็อปไปหลายวิชา พลาดเกียรตินิยมที่แม่แสนจะภูมิใจแทน ผมนึกเสียใจแทนพี่เหยาโดยไม่เคยรู้เลยว่าเกียรตินิยมที่ว่านั้นไม่มีความหมายเลยสำหรับพี่เหยา สิ่งที่มีความหมายคือเวลา ที่พี่เหยาต้องเสียไป เวลาที่พี่เหยาต้องอยู่กับทอมนานขึ้นไปอีก...

เช้าวันนั้นผมไปโรงเรียนด้วยความรู้สึกโหวงๆ

ไอ้รงค์ไม่รออยู่ที่ห้องเหมือนเคย มีก็แต่ไอ้ชัยที่รออยู่และบอกว่าไอ้วิทย์ไม่มาโรงเรียน

ในห้องเรียน ไอ้รงค์มันย้ายไปนั่งที่อื่น แม้แต่เวลาพัก มันก็ไม่ยอมไปกินข้าวกับผม กับไอ้ชัย

ผมถามไอ้ชัย เรื่องที่ไอ้วิทย์ขึ้นไปบนบ้านพี่เหยาเมื่อวานนี้ และบอกมันเรื่องที่พี่เหยาไม่สบาย

มันเล่าให้ผมฟังว่า ไอ้วิทย์มันกลับขึ้นไปดูพี่เหยาเพื่อให้แน่ใจว่าพี่โอ๋ไม่ได้กลับขึ้นไป...พี่เหยานั่งฟุบอยู่ที่โซฟา มันเลยกลับลงมาเงียบๆ และล็อกกุญแจบ้านให้

สิ่งที่ไอ้ชัยพูดยิ่งตอกย้ำ ถึงความเห็นแก่ตัวของผม เพราะในขณะที่ผมมัวแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเอง ไอ้วิทย์เสียอีกที่รู้จักห่วง พี่เหยา คนที่มันแทบจะไม่รู้จักเลย

“กูจะไม่ทำอีกแล้ว”ผมบอกกับไอ้ชัย

“อือ...ไอ้วิทย์มันว่า มันจะเลิกคบมึง”ไอ้ชัยบอก ซึ่งผมก็เห็นว่าสมควรและคงไม่โกรธพวกมันเลยถ้าพวกมันทำอย่างนั้นจริงๆ แต่สุดท้ายเราก็กลับมาคบกันเหมือนเดิม เพราะเช้าวันใหม่ไอ้วิทย์มาโรงเรียนด้วยใบหน้าบวมช้ำ ไอ้รงค์ที่ทำเมินพวกผมมาวันเต็มๆ เลยอดรนทนไม่ไหว เข้ามาถามข่าวคราว

“ก็ยังดี!”มันพูดเมื่อพวกผมเล่าให้มันฟัง ไม่มีใครถามอะไรผมอีก พวกมันคงรู้จากไอ้ชัยแล้ว เราเลือกที่จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก แต่ทุกครั้งที่พวกมันมาที่บ้านผม ผมก็เห็นพวกมันมองไปที่ประตูบ้านที่ปิดสนิทของพี่เหยาทุกครั้ง

ผมซ้ำชั้นม.4 เพราะขาดสอบ แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรมากมาย เพราะผมรู้แล้วว่า มันเป็นผลมาจากการกระทำของผมเอง แต่ผมก็ตัดสินใจ เลิกสร้างปัญหาใดๆอย่างที่เคยพยายามสร้าง ครู อาจารย์ดูจะงงกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างไม่ทันตั้งรับของผม และมีครูบางคนที่ถึงกับออกปากปรามาสผมว่าจะดีได้สักกี่น้ำ แต่เมื่อผลคะแนนกลางภาคออก ครูที่ออกปากปรามาสไว้ก็ทำได้แค่มองหน้าผมอย่างสงสัย...ก็อย่างที่บอกไว้ ผมไม่ใช่เด็กเรียนเลว ดังนั้นเมื่อตั้งใจทำข้อสอบ...จากลำดับท้ายๆ ผมก็กลับมาอยู่ลำดับต้นๆ และผมพบว่าการเป็นอย่างที่เป็นอยู่ มันทำให้ใจผมสงบและสบายใจกว่าที่พยายามทำตัวแย่ๆมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

ผมไม่หวังการเรียนในโรงเรียนแล้ว เพราะผมช้ากว่าเพื่อนๆไปหนึ่งปี ดังนั้นผมจึงมุ่งมั่นที่จะสอบเทียบ และสอบโควต้าหรือเอนทรานซ์ให้ได้ อาจจะฟังดูเป็นข้ออ้าง เพราะสุดท้ายมันก็เพื่อตัวผมเอง แต่ด้วยความสัตย์จริงว่า ในครั้งนั้นที่ผมมุ่งมั่น หวังที่จะสอบให้ได้ เพราะผมอยากกำจัดข้ออ้างต่างๆ นาๆที่ผมเคยยกมาอ้าง ผมอยากแสดงให้ตัวเองเห็นว่า สุดท้ายแล้วไม่มีใครเลยที่ทำร้ายผม นอกจากตัวผมเอง ที่ทำร้ายตัวเอง และคนอื่น

แม่ค่อยบ่นผมน้อยลง เมื่อไม่ได้รับข่าวแย่ๆเกี่ยวกับผมจากโรงเรียน แต่ผมก็ยังคงเก็บเรื่องเรียน กศน ไว้เป็นความลับอยู่ดี

และถึงแม่จะยังบ่นเสียดายไม่เลิกที่พี่เหยาต้องดร็อปเรียนไป ซึ่งส่งผลให้พี่เหยาขาดคุณสมบัติที่จะได้รับเกียรตินิยมแม้ว่าผลการเรียนที่ทำไว้จะดีแค่ไหน หรือผลการเรียนในปีที่เหลืออยู่จะสูงลิบลิ่วยังไงก็ตาม แต่ผมก็ไม่นึกพาลโกรธพี่เหยาอีกแล้ว ตรงข้ามผมนึกเสียใจเพราะตัวเองเป็นสาเหตุ

ผมไม่กลับเข้าไปในบ้านทอมอีก จนในที่สุด ทอมก็เลิกเปิดประตูไว้รอท่าผมเช่นกัน

ผมไม่ได้พบ ไม่ได้เจอพี่เหยาอีกเลย...สิ่งที่บ่งบอกว่าพี่เหยายังมีตัวตนอยู่ ก็คือคำชื่นชมของแม่ที่มีถึงพี่เหยาเสมอๆแค่นั้น

ปลายปีนั้น ผมเอาหนังสือมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่มายื่นให้แม่

แม่มองกระดาษแผ่นนั้นที มองหน้าผมที จนพ่อมาดึงไปอ่าน

“เอกสอบเทียบ?”พ่อถามอย่างงงๆ

“แล้วทำไม่ไม่เคยบอก?”พ่อถาม จากงงๆเปลี่ยนเป็นคาดคั้น

“ก็กลัวพลาด แล้วจะโดนบ่นโดนเอาไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น”ผมตอบ มองหน้าแม่ตาไม่กระพริบ

แม่ร้องไห้ ก่อนทรุดลงไปนั่งที่เก้าอี้ ผมไม่ว่าอะไรอีก เดินขึ้นห้องไปเฉยๆ ไม่สนใจเสียงบ่นของย่าที่ตอนนี้หันไปบ่นว่าแม่แทน

เย็นนั้นเรากินข้าวกันตามปรกติ แม่ไม่ได้ขอโทษหรือพูดชื่นชมกับความสำเร็จของผม เพราะเราต่างก็รู้ว่ามันฝืดเกินไปสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็สังเกตเห็นว่า อาหารเย็นวันนั้นมีแต่ของโปรดผมเต็มโต๊ะ และหลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ยินแม่พูดถึงพี่เหยาอีกเลย

หลักฐานเดียวที่บอกถึงการมีตัวตนของพี่เหยาจึงหมดไป เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกันอย่างสิ้นเชิง...ซึ่งผมก็ยินดีให้เป็นไปอย่างนั้น เพราะถึงอย่างไร หากเลือกได้ ผมก็ยังคงเห็นแก่ตัว ไม่อยากจะจมอยู่กับความผิดที่ตัวเองเคยกระทำ



--------------------

จบตอน 4

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
 :o12: :o12: :o12: :o12:

อ่านไปทั้งน้ำตา...ของเค้าแรงจริงๆๆ

เป็นกำลังใจให้คนโพสต์ครับ
  :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :serius2: อ่านกี่ทีตรูก็จาบร้า

ไม่เข้าใจ  ไม่เข้าใจ  ไม่เข้าใจ    o12 o12 o12

ทำไม ทำไม ทำไม :serius2: :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

in_the_sky

  • บุคคลทั่วไป
 :m15: :sad2: :o12:

อ่านเรื่องนี้ทีไรเครียดทุกที น้ำตานี่ร่วงเป็นปีบ

พี่เหยาเป้นอะไรที่บอบบาง และพร้อมจะแตกสลายไปต่อหน้าเราตลอดเวลา

เกลียดทอมมากๆๆๆ แต่เกลียดเอกมากกว่า ไอ้เด็กเวล

ทั้ง ๆที่รู้ว่ามันเป็นปค่เรื่องแต่ง แต่เวลาอ่านมันเหมือนกับเรื่องจริง

และมันก็กำลังเกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายคนใดคนหนึ่งในโลกนี้อยู่เรื่อยๆ

abcd

  • บุคคลทั่วไป
สงสารพี่เหยา อ่านไปแย้วรู้สึกอึดอัดๆๆๆ :serius2:

ของเค้าดีจริงๆ
    o13

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ทั้ง ๆที่รู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องแต่ง แต่เวลาอ่านมันเหมือนกับเรื่องจริง

และมันก็กำลังเกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายคนใดคนหนึ่งในโลกนี้อยู่เรื่อยๆ

คิดเหมือนกันเลยค่ะ ผู้ชายแบบทอม กับเด็กแบบเหยา ต้องมีอยู่ในโลกแห่งนี้แน่
ไม่รู้เหมือนกันว่าจิตใจของเขาทำด้วยอะไร ถึงทำกับเด็กแบบนี้ได้ลงคอ
ความสุขของคุณ แลกมาด้วยความทรมานของคนอื่น มันดีแล้วเหรอ
หากคุณมีลูก คุณจะรู้สึกยังไงถ้าลูกของคุณถูกกระทำแบบนี้
 :sad2:  :sad2:  :sad2:  :sad2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2008 20:42:05 โดย THIP »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ #5

ปีต่อมา ผมเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ๆพร้อมกับ ไอ้ชัย และ ไอ้รงค์ ส่วนไอ้วิทย์ มันพลาด เพราะคณะที่มันเลือก การแข่งขันสูงลิบ แต่มันก็ไม่อยากกลับไปนั่งเรียนต่อชั้นม.6 โดยไม่มีพวกผมเรียนด้วย มันเลยสอบเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนที่เดียวกับพี่เหยา ซึ่งในตอนแรก มันบอกว่าจะเรียนรอเวลา เพื่อสอบใหม่ในปีหน้า แต่สุดท้ายเมื่อลองได้เรียนแล้ว มันก็ตัดสินใจเรียนต่อจนกระทั่งจบ

เป็นนักศึกษายังไม่ทันที่เสื้อจะหมดกลิ่นผ้าใหม่ ผมก็มีแฟน ซึ่งแน่นอนว่าแฟนผมเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ว่าผมจะเปลี่ยนรสนิยม หรือว่าอยากปกปิดตัวเอง แต่เพราะเหตุผลง่ายๆคือ...แฟนผู้ชายหายากกว่าแฟนผู้หญิง และก็อย่างที่บอก ผมเป็นไบเซ็กซ์ชวล คือ ผู้หญิงก็โอเค แต่ถ้าให้ดี ผมก็ขอผู้ชายดีกว่า...

ก็ในเมื่อผมเป็นผู้ชาย การที่จะเดินเข้าไปหาผู้ชายสักคนที่รู้สึกถูกใจ เอ่ยปากขอเป็นแฟน แล้วกลับออกมาด้วยสภาพเต็มร้อยนั้นเป็นเรื่องยาก ทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่อง...ผีย่อมมองเห็นผีด้วยกันนั้น ผมขอยืนยันว่าไม่จริงเสมอไป ผมแยกไม่ออกว่า คนไหนชายแท้หรือชายเทียม ที่พอจะมองออกก็คือหญิงเทียม แต่นั่นก็ไม่ใช่รสนิยมผม

และพอเสื้อผมเริ่มหมดกลิ่นผ้าใหม่ ผมก็เลิกกับแฟนคนที่ 3

พวกไอ้วิทย์ ก็ได้แต่แซวว่า ผมเปลี่ยนแฟน เร็วกว่าเปลี่ยนผ้าอ้อม... ผิดกับไอ้รงค์ ที่คบกับแฟนตั้งแต่สมัยรับน้อง มันคบของมันมาเรื่อยๆ เสมอต้นและเสมอปลาย

ส่วนไอ้วิทย์กับไอ้ชัย ผมไม่เคยเห็นพวกมันคบใคร มันคบกันอยู่ยังไงก็คบกันอยู่อย่างนั้น ไปไหนก็ไปกัน ถึงเรียนกันคนละมหาวิทยาลัย แต่พอว่าง มันก็ควบมอเตอร์ไซด์ไปหากันทุกที ซึ่งแน่นอนว่า มีผมพ่วงไปด้วยทุกครั้ง

พูดถึงไอ้วิทย์แล้ว มันเคยมีแฟนครั้งหนึ่ง แต่เลิกไวยิ่งกว่าโกหกคือ ตอนเช้าวันจันทร์มันโทรมาอวดผมว่า มันมีแฟนแล้ว แต่พอเช้าวันถัดมา พอเจอหน้า มันว่า มันเลิกแล้วตั้งแต่เที่ยงเมื่อวาน ซึ่งก็คือวันจันทร์ รวมแล้ว มันได้ชื่อว่าคนมีแฟนอยู่สัก 4-5ชั่วโมงเห็นจะได้ ผมไม่กล้าถามมันมาก กลัวมันจะช้ำใจ แต่มองยังไงมันก็ดูไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิดเดียว ซึ่งก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก เพราะทุกครั้งที่ผมต้องเลิกกับแฟน ผมก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก รู้สึกก็แค่เสียดายความสัมพันธ์ดีๆกับคนหนึ่งคนที่ต้องเสียไปเพียงเท่านั้น

ผมเลิกมองหาแฟนคนที่สี่ เพราะชักเริ่มรู้สึกเบื่อ หรืออีกนัยหนึ่งคือผมรู้สึกว่าการผูกตัวเองไว้กับ ไอ้วิทย์และไอ้ชัยสนุกกว่ากันเยอะ

และอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมสัมผัสได้เพียงแผ่วๆจากก้นบึ้งของความรู้สึกตัวเองคือ เพราะรอบๆตัวผมที่มองเห็น ไม่เหลือผู้หญิงคนไหนอีกแล้วที่โดนใจผม

ผมยอมรับว่า แรกเริ่มสำหรับแฟนทั้ง 3 คน ผมถูกใจผิวขาวๆของเธอทั้ง 3 คน

ผมยอมรับ แม้ไม่ได้คิดในวินาทีแรกที่ได้เห็น แต่มันก็แทบจะเป็นวินาทีที่สอง ที่อยากสัมผัสผิวของพวกหล่อน

ผิวขาว...ที่เพียงสัมผัสนิด ก็ทิ้งรอยแดงไว้บนผิวเนื้อ...ผิวขาวๆของพี่เหยา ที่เหมือนจะลืมไปแล้ว แต่กลับจดจำได้ยิ่งกว่าที่ตัวเองคิด

ผมไม่แน่ใจว่า พวกไอ้วิทย์รู้หรือเปล่าว่า ผมมีรสนิยมแบบนี้ แต่ผมเดาเอาเองว่า พวกมันรู้ เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องต้องห้าม เพียงแต่มันก็เหมือนกับที่เราไม่เคยคุยกันว่า...กูเป็นผู้ชาย...นั่นแหละ มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายกัน ตราบใดที่เราไม่คิดจะเอาร่างกายมาก่ายกัน ก็เท่านั้น

ผมกับไอ้ชัยซึ่งไม่มีแฟนทั้งคู่ ทำตัวเหมือนเด็ก 2 มหาวิทยาลัย คือเรียนที่หนึ่ง แต่ไปคลุกอยู่อีกที่หนึ่ง จนเด็กที่มหาลัยไอ้วิทย์ คิดว่าพวกผมเป็นเด็กต่างสาขา แต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน และบางครั้ง ผมกับไอ้ชัยก็แอบเข้าไปนั่งตากแอร์เย็นๆในห้องเรียนกับไอ้วิทย์ด้วยซะงั้น

และเพราะผมไปที่มหาลัยไอ้วิทย์บ่อยๆ จึงมีโอกาสพบเห็นพี่เหยาบ่อยขึ้น

ผมเคยคิดว่า เมื่ออยู่ที่มหาลัย พี่เหยาคงไม่ค่อยคบใคร เพราะเมื่ออยู่ที่บ้าน พี่เหยาก็แทบจะเก็บตัวไม่ออกไปไหน ยิ่งเมื่อมีเรื่องกับผมด้วยแล้ว พี่เหยาก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทั้งเมื่อก่อนพี่เหยาก็ไม่เคยพูดถึงเพื่อน หรือโรงเรียน และไม่มีสักครั้งที่พี่เหยาพาเพื่อนมาที่บ้าน ผมจึงคิดว่า ที่มหาวิทยาลัยแล้ว พี่เหยาคงไม่ต่างกัน

แต่ที่มหาวิทยาลัยแล้ว กลับต่างกับที่ผมคิด พี่เหยาไม่ได้เก็บเนื้อเก็บตัวหรือไม่คบใคร พี่เหยาก็วางตัวธรรมดาๆ มีเพื่อนสามสี่คนที่เห็นอยู่ด้วยกันเสมอ และหนึ่งในนั้นคือพี่นัท เพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมปลายที่ดูจะสนิทกับพี่เหยามากกว่าคนอื่นๆ เวลาอยู่กับเพื่อนๆ พี่เหยาก็ยิ้ม เพียงแต่ไม่หัวเราะ เหมือนเวลาที่เคยอยู่กับผม พี่เหยาพูดคุยกับเพื่อนแต่ก็ไม่ดูเจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด หรือช่างแกล้ง เหมือนเวลาที่อยู่กับผม และการพูดน้อย ยิ้มน้อยนั้นก็จางหายไปทันทีที่พี่เหยาเห็นผม พี่เหยาไม่ได้ทำหน้าหงิกเป็นตีนไก่ อย่างที่เคยทำกับผมบ่อยๆ พี่เหยาเพียงแค่มอง ไม่ยิ้ม ไม่บึ้งตึง...เพียงแค่มองเหมือน มองคนไม่รู้จัก เพียงแค่นั้น

สิ่งที่ได้เห็น มันทำให้ผมคิดถึงสัมพันธภาพเก่าๆของเรา นึกถึงพี่เหยาที่พูดคุย หัวเราะถึงหนังที่เรานั่งดูด้วยกัน คิดถึงพี่เหยาที่นอนอ่านการ์ตูนที่ซื้อมาฝากผม และซุกตัวหลับอยู่บนเตียงตัวเล็กๆของผม และพี่เหยาที่นั่งอ่านหนังสือหน้าเครียดอยู่ที่ระเบียงห้องแคบๆของผม....ผมคิดถึงภาพและความรู้สึกเหล่านั้น ผมนึกสงสัยว่าในเวลานี้ พี่เหยาจะมีที่ไหนให้ซุกตัวนอนได้อย่างสบายใจ ในเมื่อห้องเล็กๆของผมที่พี่เหยาเคยยึดไว้เป็นเกราะกำบังกายถูกผมทำลายลงเสียแล้ว พอนึกอย่างนี้แล้ว ผมก็อยากดึงวันเวลาเก่าๆกลับมา อยากให้พี่เหยายิ้ม หัวเราะและพูดคุย อยากให้พี่เหยาทำหน้าบึ้ง เอาไม้บรรทัดเคาะหัวผม แล้วก็นอนหลับสบายอยู่บนที่นอนผม...เมื่อกลับมาเห็นพี่เหยาอีกครั้ง ผมถึงรู้ว่า ณ.วันนี้ ผมคิดถึงวันเวลาที่เสียไปเหลือเกิน

และความรู้สึกคิดถึงนั้น ก็ปนเปื้อนมากับความอิจฉา เมื่อพบว่าไอ้วิทย์กับพี่เหยารู้จัก และพูดคุยกันมากกว่าที่ผมเคยรู้

วันนั้นผมซ้อนมอเตอร์ไซด์ไอ้ชัย มาหาไอ้วิทย์เหมือนเคย

ไอ้วิทย์อยู่ที่โรงอาหาร นั่งกินข้าวอยู่ ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกอะไร แต่สิ่งที่ผมแปลกใจคือ มันนั่งอยู่กับพี่เหยา พูดคุยกันอย่างคนเคยคุ้น

พี่เหยาเงียบเสียงคุย เมื่อสังเกตเห็นผม และวางช้อนลงทันที ข้าวในจานยังเหลืออยู่กว่าค่อนเมื่อผมเดินเข้าไปสมทบที่โต๊ะ

และทันทีที่ผมนั่งลง พี่เหยาก็ลุกขึ้นทันที

“เดี๋ยวผมเอาไปคืนให้ที่โต๊ะนะพี่”ไอ้วิทย์พูดกับพี่เหยาเป็นปกติ

“เดี๋ยวพี่มีเรียน ยังไงฝากไว้ที่พี่นัทก็ได้”พี่เหยาตอบ และเรียกตัวเองด้วยสรรพนามที่ครั้งหนึ่งเคยพูดกับผม

“ไม่ยักรู้ว่ามึงสนิทกับพี่เค้าขนาดนี้”ผมพูดกับไอ้วิทย์เมื่อพี่เหยาเดินจากไปแล้ว

ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดด้วยน้ำเสียงยังไง แต่ไอ้ชัยมันหันมามองหน้าผมอย่างผิดสังเกต ในขณะที่ไอ้วิทย์ยังก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานของมันต่อไป

“ทำไมพี่เค้ายังยอมคุยกับมึงวะ?”ผมยังไม่หยุดเมื่อไอ้วิทย์ไม่โต้ตอบ

“เพราะกูไม่เหี้ยเหมือนมึงน่ะสิ!”คราวนี้ไอ้วิทย์สวนกลับ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก และกลายเป็นผมที่ต้องเงียบ ไม่ใช่ไม่โต้ตอบ แต่เพราะเป็นความจริงที่ผมไม่มีหน้าจะโต้ตอบ

วันนั้นผมถึงรู้ว่า เมื่อเราทำผิด เราอาจขอให้ใครสักคนยกโทษให้เราได้ แต่อย่าหวังว่าเขาจะลืมในความผิดนั้น แม้ความผิดนั้นจะไม่ถูกพูดถึง แต่ผมรู้ในวันนั้นว่า มันจะติดอยู่ในใจ ในความคิด หรือในความทรงจำของทุกคนไปจนตาย

วันนั้นผมเลยได้แค่ซึมไปทั้งวัน ไอ้ความอิจฉามันก็ยังกรุ่นๆอยู่ในใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้

ถึงผมจะอยากให้ความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยากลับมาเป็นเหมือนเก่า แต่ก็ไม่เคยคิดจะหวังเพราะมองไม่เห็นช่องทางแม้สักนิด ผมจึงได้แต่ปล่อยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างที่มันควรจะเป็น...คือผ่านไปอย่างคนไม่รู้จักกัน

แต่ชีวิตมันก็เหมือนเรื่องตลก เหมือนที่หนังสือเล่มหนึ่งพูดไว้ว่า เพียงเราเดินเร็วขึ้น 2 ก้าว โลกก็เปลี่ยนไปแล้ว....

วันนั้น ผมไม่ได้เดินเร็วขึ้น 2 ก้าว หรือเดินช้าลง 2 ก้าว เพียงแค่ตื่นเช้าขึ้นเท่านั้น...

วันนั้นเป็นปลายหน้าฝน ต้นหน้าหนาว มหาวิทยาลัยเพิ่งปิดภาคเรียนไปได้ไม่กี่วัน ไม่มีวันไหนที่น่านอนเท่าวันนั้นอีกแล้ว แต่ผมกลับตื่นขึ้นมาแต่เช้า ลุกขึ้นทั้งๆที่ร่างกายเรียกร้องให้ล้มตัวลงไปนอนต่อ ทั้งที่ไม่มีธุระอะไรแต่เช้า แต่ผมก็ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและน้ำที่เย็นก็แทบจะทำให้ผมวิ่งกลับขึ้นตียง นอนซุกในผ้าห่มผืนหนาอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้ทำอย่างที่ใจอยากสักอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม

ย่าเปิดร้านแต่เช้าเหมือนเคย และก็ทิ้งร้านไปยืนเสวนากับเหล่าแม่บ้านที่จอดมอเตอร์ไซด์แวะทักทายกันก่อนและหลังไปจ่ายตลาด

บอกไม่ได้ว่าวันนี้ต่างจากทุกวัน หรือ เหมือนกับทุกวัน ที่ทั้งพ่อและแม่ก็ไม่อยู่ในบ้านกันสักคน เพราะอย่างที่บอก ผมไม่เคยลืมตาตื่นเช้าแบบนี้มาก่อน

ผมเดินออกมาที่หน้าร้าน หวังจะมองหาแม่ เพื่อเรียกร้องอาหารมื้อเช้าในเวลาที่เช้ากว่าเคย

แม่ยืนห่างจากบ้านไปไม่ไกลนัก คือแค่หน้าบ้านถัดไป...บ้านของทอม

แม่ยืนอยู่ตรงนั้น กับ พ่อ ย่า และทอม และที่ยืนอยู่ระหว่างทอมกับแม่คือพี่เหยา

ดูคล้ายทอมและพี่เหยากำลังจะออกเดินทาง

รถแวนของทอมจอดเตรียมพร้อมไว้ที่ริมทางเท้าแล้ว

ผมถอยกลับเข้ามาในร้านเมื่อ ถูกแม่สังเกตเห็นเข้า แต่ยังแอบมองพวกเขาจากเงาที่สะท้อนบนกระจกตู้น้ำอัดลม

ดูเหมือนทอมจะพูดอะไรสักอย่างกับพี่เหยา แล้วพี่เหยาก็เดินออกมาจากกลุ่มสนทนาขนาดย่อมนั้น ตรงมาทางบ้านผม

ผมลังเลนึกอยากวิ่งหนีกลับเข้าไปด้านในบ้าน แต่อีกใจก็ดีใจเหลือเกิน

วันนี้พี่เหยาใส่เสื้อหนาวไหมพรมสีน้ำเงินเข้ม ที่ผมไม่คุ้นตา

แก้มพี่เหยาแดงจัด อย่างที่เป็นเสมอๆเมื่ออากาศเปลี่ยน ไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว

กลิ่นหอมจางๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยชินจมูก วันนี้กลับมาแตะที่ปลายจมูกผมอีกครั้ง และยิ่งทำให้รู้สึกหอมเมื่อสังเกตเห็นว่า ผิวของเจ้าของดูคล้ายจะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาไม่นานนัก และผมเส้นเล็กๆนั้นก็คล้ายจะเพิ่งสระมาหมาดๆ จนผมนึกได้กลิ่นแชมพูจางๆ

“ทอมขอบุหรี่”พี่เหยาพูด เสมองไปทางอื่น ไม่มองหน้าผมสักนิด

เป็นครั้งแรกในช่วง 2 ปี ที่เรายืนประจันหน้ากันอย่างนี้ และทำให้นึกถึงครั้งแรกที่พี่เหยาเดินมาซื้อบุหรี่ให้ทอม

‘ทอมขอบุหรี่’ วันนั้นพี่เหยาก็พูดแบบนี้ เพียงแต่วันนั้นผมยังต้องเงยหน้ามองดูพี่เหยา

‘ของขาย ขอได้ไง’ผมหาเรื่องยียวน เพราะเริ่มๆจะเคยคุ้นกันแล้ว ทั้งยังสบโอกาสเอาคืนบ้างหลังจากเป็นฝ่ายถูกแกล้งบ่อยๆ

‘แล้วเขาก็ห้ามขายบุหรี่ให้เด็กด้วย’ผมว่างั๊น เพราะเคยได้ยินพ่อพูดบ่อยๆกับลูกค้าที่พ่อแอบเรียกลับหลังว่า พวกเด็กแก่แดด พ่อไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น ลูกชายพ่อก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน

‘จะหยิบมาให้ดีๆ หรือว่าจะให้ไปซื้อร้านอื่น?’ พี่เหยาขู่กลับ แต่ผมไม่สน เพราะร้านอื่นที่ว่าอยู่ห่างไปตั้งไกล

เมื่อเห็นผมยังก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน พี่เหยาเลยเอื้อมมือไปหยิบบุหรี่จากตู้ที่วางอยู่ข้างโต๊ะ โดยแกล้งเอื้อมมือข้ามหัวผมโดยไม่จำเป็น พอผมจะลุกขึ้นโวย พี่เหยาก็กดศอกลงยันหัวผมไว้ไม่ให้ลุกขึ้น

‘โอ๊ย!!!’ ผมร้องลั่นทั้งที่พี่เหยากดลงแค่เบาๆ

พี่เหยาหัวเราะ ยังกดศอกข้างหนึ่งไว้บนหัวผม ในขณะที่ล้วงมือที่ว่างลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้ววางตังค์ไว้บนโต๊ะ 20 บาท

‘ไม่ครบ!’ผมโวยดังยิ่งกว่าเดิม เมื่อพี่เหยาเอาศอกออก แล้วยัดบุหรี่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง

‘อ้าว...เด็กลดครึ่งราคาเหมือนรถเมล์ไง!’พี่เหยาพูดแล้วเดินหนีไปซะงั๊น

วันนี้ ผมไม่ต้องเงยหน้ามองดูพี่เหยาเหมือนวันนั้นแล้ว ตรงข้ามผมเป็นฝ่ายมองดูพี่เหยาจากมุมที่สูงกว่า




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
แม้จะอยู่ในเสื้อไหมพรมตัวใหญ่ แต่ดูตัวพี่เหยาไม่ฟูๆบวมๆ อย่างที่หลายคนเป็นเวลาใส่เสื้อไหมพรมตัวหนา ตรงข้าม มันกลับทำให้พี่เหยาดูตัวเล็กบางกว่าภาพที่ผมจดจำได้

“ของขาย ขอได้ไง”ผมพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

พี่เหยาเฉยๆ ไม่ได้หันมามอง หรือหัวเราะ ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

ผมเอื้อมไปหยิบซองบุหรี่ยี่ห้อประจำของทอม ในขณะที่ตายังจับจ้องอยู่ที่มือของพี่เหยาที่กำลังเปิดกระเป๋าตังค์

มือพี่เหยาวันนี้ดูเล็กบางกว่ามือของผม มันดูไม่ใหญ่โตเหมือนที่ผมเคยรู้สึกเมื่อครั้งยังเด็ก เมื่อครั้งที่พี่เหยายังชอบตบหัวผมเล่น

และวันนี้พี่เหยาก็ไม่ได้ใช้กระเป๋าตังค์ใบเก่าแล้ว

พี่เหยาวางตังค์ลงบนโต๊ะ เมื่อผมส่งซองบุหรี่ให้ และผมดึงมันกลับเมื่อพี่เหยาเอื้อมมือจะรับ

“พี่อยากไปหรือเปล่า?”อะไรไม่รู้ทำให้ผมถามออกมา และเป็นครั้งแรกที่พี่เหยาเงยหน้ามองดูผม แต่สุดท้ายพี่เหยาก็ไม่ตอบอะไร ดึงบุหรี่จากมือผม และเดินออกไปโดยไม่รอตังค์ทอน

ผมมองดูพี่เหยาเดินจากไป และนึกเห็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

นึกเห็นภาพข้อมือเล็กๆที่ดูจะไร้เรี่ยวแรงดิ้นรนในอุ้งมือที่หยาบหนา

นึกเห็นภาพผิวเนื้อขาวที่แดงช้ำ หากแต่มิใช่เพราะความหนาวเย็นของอากาศ

และนึกเห็นภาพของดวงตาที่หลับสนิท คล้ายไม่อยากมองเห็นโลกของความจริงที่กำลังดำเนินอยู่เบื้องหน้า

ผมไม่อาจลืมได้ว่า...ครั้งหนึ่งผมคือโลกที่พี่เหยาปฏิเสธที่จะมอง แต่วันนี้ผมไม่อยากให้สิ่งที่นึกเห็นเกิดขึ้น...ผมอยากปกป้อง...เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เมื่อผมมองเห็นพี่เหยาหันหลังเดินจากไป....

ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นก่อนที่จะทันคิดว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าทุกครั้งที่สังเกตเห็นว่าทอมและพี่เหยาไม่อยู่บ้าน ทุกครั้งที่ผมสังเกตเห็นว่าทอมพาพี่เหยาไปอีกแล้ว เพียงแต่ทุกครั้งผมทำได้แค่คิด แต่วันนี้มันต่างไป

ผมกดเบอร์บ้านทอม แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ วางหูโทรศัพท์ลง และยกขึ้นมาอีกครั้ง

ไอ้วิทย์ หรือไอ้ชัย? ผมลังเล แต่เมื่อนึกถึงภาพไอ้วิทย์ที่นั่งคุยกับพี่เหยาแล้ว ผมก็เลือกกดเบอร์ไอ้ชัย

ผมภาวนาให้ไอ้ชัยเป็นคนรับสาย ไม่ใช่พ่อหรือแม่ของมัน เพราะนี่เพิ่ง 7 โมงกว่าๆ พ่อกับแม่ มันต้องไม่ชอบใจแน่

เสียงรับสายงัวเงียคือเสียงไอ้ชัย ทำให้ผมเบาใจได้หน่อย ผมไม่รอช้าบอกสิ่งที่ผมคิด และไม่สนใจเสียงค้านของมัน ผมบอกหมายเลขโทรศัพท์บ้านของทอมให้กับมัน และวางหู ก่อนที่มันจะโน้มน้าวให้ผมล้มเลิกสิ่งที่กำลังคิดจะทำ

ผมรีบเดินออกไปร่วมวงสนทนา

แม่หันมามองผมอย่างแปลกใจ ในขณะที่พี่เหยาส่งสายตาระแวงอย่างไม่ปิดบังมาที่ผม

“ฝนตกหนักแน่วันนี้ เอกตื่นเช้า”แม่ว่าพลางเงยหน้ามองดูฟ้าฝน

“ช่วงเปลี่ยนฤดู ฝนไม่ตกสิแปลก”ผมแย้ง เพราะนี่เพิ่งอยู่ในช่วงปลายฝน ต้นหนาว ที่ฝนยังโปรยปรายอยู่แทบทุกวัน ทำให้ลมหนาวยิ่งบาดไปถึงเนื้อกระดูกจนผมต้องยืนกอดอก ห่อไหล่งุ้ม เพราะไม่ได้คิดว่าจะต้องออกมายืนตากลม ผมเลยไม่ได้ใส่เสื้อหนาวอย่างคนอื่นๆ

“เห็นไอ้วิทย์ว่า ช่วงปลายเทอมนี่ต้องเตรียมpresentงานเยอะ ปี4ไม่ต้องเหรอ”ผมรีบหันไปถามพี่เหยาเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากข้างในบ้านทอม

พี่เหยาทำท่าจะผละไปรับโทรศัพท์ แต่ทอมยกมือห้ามไว้ ก่อนเป็นฝ่ายผละไป และหายเข้าไปในบ้าน

พี่เหยาไม่ได้ตอบคำถามผม และผมก็ไม่ได้รอคำตอบจากพี่เหยาเช่นกัน

ไม่นาน ทอมก็เรียกพี่เหยาให้เข้าไปรับสาย

ผมยืนรออย่างใจจดใจจ่อ จนพี่เหยาเดินกลับออกมา

พี่เหยามองหน้าผม ก่อนที่จะหันไปหาทอม คล้ายคนลังเลและตัดสินใจไม่ถูก

“เพื่อนโทรมา ว่างานที่ส่งไปมีปัญหาอาจารย์ไม่ให้ผ่าน ต้องแก้ใหม่แล้วก็ไปpresentใหม่ก่อนที่อาจารย์จะตัดเกรด ให้ไปเจอกันที่มหาลัย”พี่เหยาพูดออกมาในที่สุด ตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าทอม แต่ไม่ใช่ด้วยความเด็ดเดี่ยวหรือความกล้า มันดูคล้ายกับว่า พี่เหยาไม่กล้าขยับอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดเลยของร่างกาย แม้แต่ลูกกะตาต่างหาก

ทอมดูจะหงุดหงิดเล็กน้อย ส่งภาษาคุยกับพี่เหยาเบาๆ และพี่เหยาก็พึมพำตอบ ค่อยจนทอมต้องถามซ้ำ และต้องถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อคำตอบที่ได้รับนั้นยังดังอยู่แค่ในลำคอ

ทั้งที่ตาพี่เหยายังจับจ้องอยู่ที่ทอม แต่ผมสัมผัสได้ถึงอาการขวัญเสียของพี่เหยา

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงนึกขัน...เพราะไม่ใช่พี่เหยาหรืออย่างไร ที่ไล่ต้อนผมด้วยคำถาม จนผมต้องสารภาพความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า

ภาพพี่เหยาที่ตัวโตและเหนือกว่าผม ค่อยๆจางไปจากความรู้สึก และถูกแทนที่ด้วยภาพของคนที่ตัวเล็กกว่า และอยากเหลือเกินที่จะปกป้อง

“พี่จะเข้าไปมหาลัยตอนนี้เลยหรือเปล่า?”ผมถามขึ้น ไม่รู้ล่ะว่าเขาคุยกันถึงไหน หรือพี่เหยาบอกอะไรกับทอมไปแล้วบ้าง แต่ถ้าปล่อยให้พี่เหยายืนอยู่อย่างนั้น ผมว่าแผนเสียหมดแน่ๆ

“ถ้าพี่เข้าไปเลย ผมจะติดรถเข้าไปด้วย พอดีนัดไอ้วิทย์ไว้ 8 โมง”ผมถามต่อ แถมกำหนดเวลาให้เสร็จสรรพเพราะพี่เหยาไม่ยอมตอบอะไรเลย

“ไปเองสิ กวนพี่เขาทำไม”แม่แย้ง

“ขี่มอเตอร์ไซด์หน้าหนาว หนาวจะตาย!”ผมตอบ

“แล้วเดี๋ยวจะกลับยังไง?”แม่ยังไม่ลดละ

“เดี๋ยวให้ไอ้วิทย์มาส่ง บ้านมันใกล้แค่นี้เอง”ผมตอบ นึกภาวนาให้แม่หยุดซักเสียที แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง

“อ้าว แล้วทำไมไม่ให้วิทย์แวะรับล่ะ?”

“เมื่อคืนมันค้างที่หอเพื่อน”ผมคิดหาคำตอบให้ไม่น่าสงสัยจนหัวหมุน

“ตกลงพี่จะเข้าไปมหาลัยเลยหรือเปล่า?”ผมรีบหันไปถามพี่เหยา ก่อนที่แม่จะตั้งคำถามอะไรต่อ

พี่เหยายังจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าทอม แต่สักพักก็พยักหน้ารับ

ไม่รู้ว่า เกิดมาทอมไม่เคยโดนใครหลอก ไม่เคยหลอกใคร หรือว่า เชื่อใจพี่เหยามากเกินไปกันแน่ ถึงจับอาการผิดปกติของพี่เหยาไม่ได้

ทอมบ่นพึมพำและส่ายหัว ก่อนเดินไปเปิดรถและหยิบสัมภาระของพี่เหยาลงจากรถ และแม้ว่าพี่เหยาจะเดินตามเข้าไปรับสัมภาระนั้น แต่ทอมก็เป็นฝ่ายถือ และเดินหายกลับเข้าไปในบ้าน โดยมีพี่เหยาเดินตามไป

ทอมกลับออกมาอีกครั้ง และเปิดประตูบ้านจนสุดเพื่อให้พี่เหยาถอยรถอีกคันออก ตลอดเวลานั้น พี่เหยาคอยเดินตามทอมตลอด จนแม้เมื่อทอมเดินไปที่รถตัวเองเพื่อขยับรถเดินหน้าเปิดทางให้พี่เหยาถอยรถอีกคันออก พี่เหยาก็ยังเดินตามทอม จนทอมหันมาและชี้มือชี้ไม้ไปที่รถของพี่เหยาที่จอดนิ่งอยู่ในบ้าน

ผมใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ กับท่าทางของพี่เหยา แต่ดูทอมจะตีความหมายของท่าทางนั้นผิดไป ทอมพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยา แต่ไม่ใช่คำตำหนิ หรือบ่นว่าแล้ว เพราะทอมยิ้ม มือใหญ่หนานั้นตบลงบนหัวของพี่เหยาเบาๆคล้ายปลอบใจ

เห็นภาพแบบนี้ แล้วใครจะเชื่อว่า นั่นคือทอม ที่ทำร้ายพี่เหยา

แม้แต่ผมเองบางครั้งยังเคยคิดว่า เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเป็นแค่ความฝันหรือเปล่า

ถึงแม้ทอมจะตัวสูงใหญ่ แต่ก็สุภาพและดูใจดีเสมอ โดยเฉพาะกับพี่เหยา

ภาพทอมที่คอยหอบ คอยถือสัมภาระลงจากรถ บางครั้งชิ้นใหญ่ บางครั้งชิ้นเล็ก อีกบางครั้งเที่ยวเดียว หรือบางครั้งหลายๆเที่ยวนั้นมีให้เห็นจนชินตา

ประตูบ้านจนบางครั้งแม้แต่ประตูรถ ทอมเปิด ปิดให้ตลอด ซึ่งก็ไม่ขัดตานัก เพราะเป็นที่เข้าใจกันว่า อาจด้วยความเคยชินอย่างที่ทอมเคยเล่าว่า...เป็นคนที่ 3 นับจากพ่อแม่ ซึ่งไม่รวมพวกหมอหรือพยาบาล ที่ได้เห็นและอุ้มพี่เหยานับแต่วันลืมตาดูโลก

ภาพที่เห็นทอมทำอะไรให้พี่เหยาหลายๆอย่างนั้นจึงไม่ขัดตานัก เพราะ พ่อหรือผู้เปรียบเสมือนพ่อ ย่อมไม่มีวันเห็นลูกเติบโตขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียวในด้านของความรู้สึกแล้ว โดยเฉพาะทอมซึ่งตัวสูงใหญ่กว่ามากนั้น แต่ที่ขัดใจผมคือ...ถ้าเช่นนั้นแล้วทอมทำร้ายพี่เหยาลงได้อย่างไรกัน

ผมหยุดความคิดตัวเองลง เมื่อได้ยินเสียงเครื่องกระตุกและดับ...พี่เหยานั่นเอง

ถ้าผมไม่เคยรู้จักหรือนั่งรถที่พี่เหยาขับมาก่อนคงคิดว่า พี่เหยาเพิ่งหัดขับรถและหัดได้แย่มาก เริ่มจากพี่เหยา สตาร์ทรถ ออกตัวและดับ ถึง3 ครั้ง รถถึงจะยอมเคลื่อนตัวกระตุกเหมือนมันขี้เกียจจะขยับ ประตูบ้านแม้ทอมจะเปิดไว้ให้จนสุด แต่พี่เหยาสามารถเอากระจกไปซัดกับมันได้จนบานกระจกหักพับเข้ามา และสุดท้ายทอมต้องกระโดดหลบ เมื่อพี่เหยาจอดรถชนิดห่างจากท้ายรถทอมอันเป็นตำแหน่งที่ทอมยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ชนิดห่างแค่ปลายจมูกมด

ผมไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ

“พี่ต้องถอยก่อนนะ ไม่งั๊นเสยรถทอมแน่ พอดีแผนเสียหมด”ผมเตือนเมื่อพี่เหยาเตรียมสตาร์ทรถอีกครั้ง และหัวแทบจะชนกระจก เมื่อพี่เหยาถอยเบียดทางเท้าด้านข้าง

“มองข้างหน้าสิพี่!” ผมร้องเตือน เมื่อพี่เหยาออกรถ ทั้งเร็วทั้งแรง แต่ตาจับจ้องอยู่ที่กระจกส่องหลังตลอด และหัวผมเกือบทิ่มกระจกอีกครั้ง เมื่อพี่เหยาเบรกกึกที่ทางออกหมู่บ้าน แล้วก็จอดแช่อยู่อย่างนั้น เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน

เพราะหมู่บ้านที่เราอยู่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ทางเข้าออกหมู่บ้าน 2 ทางเชื่อมต่อกับถนนสายหลักของเชียงใหม่ ทางหนึ่งออกตัวเมือง อีกทางตัดออกเส้นรอบเมือง ถนนสายหลักของหมู่บ้านที่ตัดผ่านหน้าบ้านเรา จึงกลายเป็นถนนสาธารณะ มีรถผ่านเข้าออกตลอด 24 ชั่วโมง

เมื่อพี่เหยาจอดคาไว้อย่างนั้น ไม่นาน เสียงแตรรถคันหลังจึงดังลั่น

“เลี้ยวขวาพี่”ผมบอก พี่เหยาออกรถทันที เลยโดนปีบแตรเป็นคำรบสอง จากรถที่แล่นมาทางขวา และเราก็ปาดหน้าเข้าเลนได้แบบหวุดหวิดจะโดนเสยท้าย

แม้จะเป็นหน้าหนาว และแม้ว่าแอร์ในรถจะเย็นเฉียบ แต่ใบหน้าพี่เหยาก็ชื้นไปด้วยเหงื่อ

ผมอยากบอกพี่เหยาให้ใจเย็นๆ ไม่งั๊นเดี๋ยวหัวใจวายตายพอดี...แต่ฟังแล้วมันดูคล้ายคำพูดเยาะเสียมากกว่าชวนขัน ผมเลยเก็บคำพูดตัวเองเสีย

“เลี้ยวขวา”ผมพูดเมื่อพี่เหยาเบรคชนิดเสียงดังลั่นถนนอีกครั้ง ตรงทางสามแยก

“แต่ดูรถก่อนนะ!”ผมรีบเตือน ก่อนพี่เหยาจะเหยียบคันเร่ง

“เปลี่ยนผมขับมั๊ย?”ผมถามนึกเป็นห่วงตัวเอง ยังไงพ่อกับแม่ก็อุตส่าห์เลี้ยงมาจนโตขนาดนี้แล้ว แต่พี่เหยาไม่ตอบ ผมเลยทำได้นั่งตัวแข็งคอยบอกทางไปเรื่อยๆ

การเดินทางอันชวนขวัญเสียของผมจบลงที่ๆจอดรถของมหาวิทยาลัยของพี่เหยา

“ถึงแล้ว ดับเครื่องสิ” ผมบอกเมื่อพี่เหยายังแช่เครื่องไว้อย่างนั้น

“ทอมไม่ตามมาหรอก!”ผมบอกพี่เหยา เมื่อตาพี่เหยายังไม่วายเลิกจ้องกระจกส่องหลัง




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ผมนึกขัน...ไม่ใช่ขันพี่เหยาแต่ขันตัวเอง ที่ขวัญกระเจิงกับการขับรถของพี่เหยา จนไม่ทันคิดว่า คำพูดไหนที่พี่เหยาต้องการมากที่สุด แม้พี่เหยาจะเห็นว่าไม่มีรถทอมตามมา แต่ก็คล้ายว่า พี่เหยาต้องการให้ใครสักคนช่วยยืนยัน ดังนั้นเมื่อผมบอกพี่เหยาว่า...ทอมไม่ตามมาหรอก...ผมเห็นพี่เหยาถอนหายใจ และหันมาจ้องผม ด้วยใบหน้าที่ทำอย่างกับเพิ่งนึกได้มามีผมนั่งมาด้วย

เราจ้องมองกันอยู่เงียบๆ...

ถ้าบอกว่าผมไม่ได้คิดอะไร ก็เป็นการโกหก เพียงแค่ผมคิดว่า...อะไร ที่พี่เหยากำลังคิดอยู่

“เอก นัดวิทย์ไว้ที่ไหน?”พี่เหยาถาม เป็นคำถามที่ผมอดยิ้มไม่ได้ เพราะพี่เหยาเรียกชื่อผม

“ไม่ได้นัด”ผมตอบและรีบหุบยิ้มเมื่อพี่เหยาขมวดคิ้ว จ้องมองปากที่ฉีกยิ้มอยู่ของผม

“แล้วเอกจะไปไหน?”

อีกครั้งที่ผมกลั้นยิ้ม...ครั้งนี้ทั้งดีใจ ทั้งนึกขันตัวเอง...ผมไม่คิดจริงๆว่า แค่พี่เหยาเรียกชื่อผม ผมจะดีใจได้มากมายขนาดนี้ มันเป็นอีกหนึ่งความรู้สึก ที่ผมจดจำมันได้มาจนถึงทุกวันนี้ ความรู้สึกดีใจ จนคล้ายหัวใจจะหลุดออกมาเต้นอยู่ข้างนอกเสียให้ได้

“ยิ้มอะไร?”พี่เหยาถามเสียงเย็น เพราะผมเผลอยิ้มออกมาในที่สุด และแม้ว่าผมอยากจะตอบออกไปว่า...เพราะพี่เรียกชื่อผม...แต่ผมรู้ว่ามันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกมาได้

“ไม่ไปไหน...พี่ไปไหน ผมไปด้วย”ผมเลี่ยงไปตอบคำถามแรกแทน

“พี่ยังกลับไปที่บ้านไม่ได้...ผมก็เหมือนกัน แล้วนี่ก็ไม่ใช่มหาลัยผมด้วย”ผมรีบอธิบายก่อนพี่เหยาจะคัดค้านคำพูดหน้าด้านหน้าทนของผม

คล้ายพี่เหยาจะชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเปิดประตูรถลงไป...มันไม่ใช่ทั้งการ ตกลง หรือ ปฎิเสธ ข้อเรียกร้องของผม เพราะพี่เหยาเลือกที่จะลงจากรถ โดยไม่สนใจผม

ผมจึงต้องเป็นฝ่ายตามลงไป เพื่อจะได้...ไปด้วยกัน...ถึงพี่เหยาจะไม่ตกลงก็เถอะ

ผมเดินตามพี่เหยาไปเงียบๆ จนถึงม้านั่งริมสระน้ำ...

พี่เหยานั่งลงบนม้านั่งตัวยาว ที่ยาวพอจะนั่ง สองคนได้สบายๆ หรือถ้านั่งเบียดกันนิด ก็นั่งได้สักสามคนแบบไม่ตกเก้าอี้ เพียงแต่พี่เหยาเลือกนั่งลงเสียตรงกลาง แถมเท้าแขนลง เป็นการบอกแบบตรงๆว่าจะนั่งคนเดียว ผมเลยต้องหย่อนก้นลงบนพื้นหญ้าที่ยังเปียกน้ำค้าง...หากมองเผินๆแล้วก็ยังคล้ายกับเรามาด้วยกัน

พี่เหยาเงียบ ผมก็เลยต้องเงียบ...และมันเงียบจนน่าอึดอัด เพราะในตอนนี้ เราไม่ได้สนิทสนมกันขนาดที่จะต่างคนต่างนั่งด้วยกันในความเงียบได้...แต่ครั้นจะชวนคุย ก็ดูจะเป็นการหน้าด้านจนเกินไปเพราะ ถึงอย่างไร ผมก็ยังสำเหนียกในสิ่งที่เคยทำไว้กับพี่เหยาได้

แม้มันจะผ่านไป จนคล้ายเป็นการจดจำการกระทำของคนอื่นเสียมากกว่าการกระทำของตัวเอง...แต่ไม่ได้หมายความว่า พี่เหยาจะคิดและรู้สึกในสิ่งเดียวกันกับผม

เวลาอาจจะผ่านไปนาน หรือจริงๆแล้วแค่ 2 หรือ 3 สาม นาที แต่ความเงียบของพี่เหยา ทำให้ผมรู้สึกคล้ายนั่งอยู่เป็นชาติ ผมอยากให้พี่เหยา เรียกชื่อผมอีกครั้ง หรือไม่ก็ไล่ผมไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ใช่ นั่งเงียบ ให้ผมเป็นฝ่ายเลือกเองว่าควรจะทำอย่างไร

“ผมถามอะไรพี่หน่อยได้ไหม?” ผมถามออกมาหลังจากที่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอีกชาติเศษ...ถามเพื่อ พี่เหยาจะได้คุยกับผม หรือ ไม่ก็ออกปากไล่ผมไปเสียที

“ไม่ได้!” พี่เหยาตอบ และไม่เลือกที่จะทำทั้งสองอย่าง

...แปลว่ายังไม่อยาก ไล่ แต่ยังไม่อยากพูด...ผมปลอบใจตัวเอง เริ่มนับหนึ่ง ถึงชาติหน้าใหม่ในใจ

ผมพยายามคิดเรื่องนู้น เรื่องนี้ ให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ...แต่สุดท้ายก็คิดได้แต่ภาพพี่เหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ...

ผมมองดูเป็ดที่ว่ายวนอยู่ในน้ำ ตั้งต้นหาเรื่องคิดใหม่...อีกครั้งที่นึกเห็นภาพพี่เหยาซุกตัวหลับอยู่บนเตียงนอนของผม

ผมเปลี่ยนเรื่องคิดใหม่ คิดถึงรุ่นพี่ที่แอบมองผมบ่อยๆ แล้วอยู่ดีๆหน้ารุ่นพี่ก็กลายเป็นพี่เหยา แต่คราวนี้ พี่เหยาไม่ได้ใส่เสื้อไหมพรมสีน้ำเงิน...พี่เหยาไม่ได้ใส่อะไรเลย...

ผมหันไปจ้องดูพี่เหยาที่ใส่เสื้อไหมพรมสีน้ำเงินแบบจริงๆจัง หวังลบภาพในหัวออกให้หมด...พี่เหยาหันมามองตอบคงเพราะคอยสังเกตผมอยู่ด้วยหางตาเช่นเดียวกัน...

ผมไม่ชอบเวลาที่พี่เหยามองผมแบบนี้...มันไม่มีความเกลียด ความชัง...มันไม่มีอะไรเลย...

ผมถอนหายใจ เลือกกลับไปมองเป็ดตัวขาวๆเหมือนเดิม...

ผมยอมรับ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมยังจดจำร่างเปลือยเปล่าของพี่เหยาได้ ในบางครั้ง ภาพพี่เหยายังเจนตาเมื่อผมปลดปล่อยตังเอง แต่ผมโตพอที่จะรู้แล้วว่า แค่ความคิด ไม่ใช่ความผิดบาปอะไร...อารมณ์ปรารถนา ย่อมถูกกระตุ้นเร้าด้วยสิ่งที่เย้ายวน และร่างกายพี่เหยายังคงเย้ายวนเสมอในความคิดของผม...เพียงแต่เวลานี้ ภาพนั้นผุดขึ้นมาด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ผุดขึ้นมาเพื่อเตือนความจำว่า...นับจากนี้และตลอดไป ไม่ว่าผมกับพี่เหยาจะมีความสัมพันธ์กันเฉกเช่นใด หนึ่งในภาพที่จะติดอยู่ในความทรงจำคือภาพอันเลวร้าย และภาพของร่างอันเปลือยเปล่าที่จุดอารมณ์ปรารถนาของผมได้เสมอ และแม้ภาพเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นมันจะดูห่างไกล ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เห็นภาพ สำนึกมันบอกอยู่เสมอ ว่าภาพร่างอันเปลือยเปล่า นั้นคือพี่เหยา ดังนั้นเมื่อผมไม่เคยลืมสัมผัสจากร่างกายพี่เหยา แล้วมีเหตุผลอะไรที่พี่เหยาจะลืมสัมผัสจากมือผม...ผมตำหนิตัวเองที่คิดมักง่ายเกินไปว่าพี่เหยาจะยกโทษให้ผม คิดอย่างคนเห็นแก่ตัว คิดเพียงจากมุมมองและเพียงเพื่อสนองตอบความรู้สึกของตัวเอง... คนกระทำและคนถูกกระทำ ไม่มีทางคิดและรู้สึกได้ในสิ่งเดียวกัน...ผมรู้สึกได้ก็เพียงความอึดอัดของความเงียบนี้..ในขณะที่พี่เหยาอาจจะชิงชังการมีตัวตนอยู่ของผมก็ได้...

ผมเริ่มภาวนาให้พี่เหยาออกปากไล่ผมเสียที ไม่ใช่เพราะอึดอัดในความเงียบ แต่เพราะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังของพี่เหยาที่มีต่อผม...แต่อีกใจส่วนลึกก็ยังภาวนา ขอให้ผมเพียงคิดไปเอง

แล้วอยู่ๆผมก็คิดบางสิ่งขึ้นมาได้...ผมจำได้วันนั้นที่ผมหนีกลับมาจากบ้านไอ้วิทย์ วันแรกที่ผมรู้ว่าหน้าตาหนังโป๊เป็นยังไง วันแรกที่ผมรู้ว่าผมปรารถนาในร่างกายของคนเพศเดียวกัน วันนั้นเมื่อผมกลับไปถึงบ้าน พี่เหยานั่งอยู่ที่ห้องผม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน พี่เหยาบอกว่าจะไปกับทอม แต่เมื่อผมผลักไสพี่เหยาออกไป ผมได้คำบอกกล่าวจากแม่ในเวลาต่อมาว่า...พี่เหยาไปกับทอมแล้ว...

วันนี้ผมเพิ่งเข้าใจการกระทำของพี่เหยาในวันนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่เหยาพยายามหลบเลี่ยงจากสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เห็นพี่เหยาในวันนี้แล้ว ผมนึกถึงวันนั้น พี่เหยาคงใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีตัดสินใจที่จะทำ หากแต่ผมทำลายความกล้านั้นจนไม่มีเหลือ ผลักไสพี่เหยากลับไปสู้เงื้อมมือทอมอย่างไม่มีทางเลือก

สิ่งที่ได้คิด กลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่

“ผมยังไม่ได้กินข้าวมาเลย...ผมไปกินข้าวนะ...ถ้าพี่จะกลับ พี่กลับไปก่อนก็ได้”ในที่สุด ผมก็ต้องเป็นฝ่ายเลือกกำจัดตัวเองออกไป

พี่เหยาหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา ทำให้ผมนึกได้ว่า ไม่ได้หยิบกระเป๋าตังค์ติดมือออกมาด้วย...มาถึงตอนนี้ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะดีใจหรือเปล่าที่พี่เหยาสังเกตเห็น...และถ้าหากจะดีใจ ความดีใจนั้นก็ถูกฉาบไว้ด้วยความน่าละอายใจ เพราะผมไม่ใช่หรือ ที่ทำร้าย ความเอาใจใส่และหวังดีของพี่เหยาที่มีต่อผม

ผมรับแบงค์ร้อยที่พี่เหยาส่งให้...มันเพียงพอสำหรับค่าอาหาร และค่ารถกลับบ้าน...ซึ่งก็เพียงพอต่อการปฏิเสธการมีตัวตนอยู่ของผม ณ.ตรงนี้เช่นกัน

“เดี๋ยวกลับบ้านแล้วผมคืนให้นะ”ผมบอกพี่เหยา...มาถึงตอนนี้ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพี่เหยาแล้ว...ความผิดหวังกระมังที่หล่นร่วงลงมากดหัวผมไว้...

ผมเดินไปที่โรงอาหาร แต่ก็ไม่รู้จะกินอะไรดี เพราะเพิ่งสอบเสร็จ นักศึกษาเลยบางตา ร้านอาหารก็เปิดแค่ไม่กี่ร้านสำหรับเด็กหอที่ยังตกค้างอยู่...ผมเดินไปเดินกลับอยู่ สองสามเที่ยว แล้วก็เดินออกมาจากโรงอาหาร ลัดเลาะไปตามตึกเรียน เลือกมุมเหมาะๆ ที่มองเห็นพี่เหยาจากด้านหลังไกลๆ

พี่เหยายังนั่งอยู่ที่เดิม....ผมอยากให้พี่เหยาลุกขึ้น และกลับไป พอๆกับ อยากให้พี่เหยานั่ง... คล้ายจะรอผม... อยู่ตรงนั้น

เมื่อไม่มีพี่เหยานั่งอยู่ข้างๆ...ไม่ต้องทนอยู่กับความเงียบที่น่าอึดอัด ไม่ต้องคอยว่าเมื่อไหร่พี่เหยาจะออกปากไล่...ผมก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น...หรือการไม่รู้จักกัน น่าจะดีกว่า...ผมคิด

...เดี๋ยวผมเอาไปคืนให้ที่โต๊ะพี่นะ...

...เดี๋ยวพี่มีเรียน ฝากไว้ที่พี่นัทก็ได้...

ภาพบทสนทนาของไอ้วิทย์กับพี่เหยา มันวิ่งมาฉายซ้ำอยู่ในหัว...ถ้าการไม่รู้จักกันจะดีกว่า...แต่ผมก็ไม่ต้องการให้พี่เหยารู้จักไอ้วิทย์เช่นกัน...ไม่ต้องการให้พี่เหยารู้จักมัน มากไปกว่ารู้จักผม แต่ก็นั่นล่ะ...คนที่จะตัดสินใจคือพี่เหยาไม่ใช่ผม

ฝนโปรยเม็ดลงมาแล้ว...แต่พี่เหยายังนั่งอยู่ที่เดิม...เมื่อก่อนเวลาที่ฝนตก พี่เหยาชอบลากเก้าอี้ออกไปนั่งที่ระเบียง มือหนึ่งถือหนังสืออ่าน อีกมือหนึ่งยื่นออกไปรับเม็ดฝน ในตอนแรก พี่เหยาไล่ผมกลับเข้าไปในห้อง เมื่อผมยื่นมือออกไปเล่นน้ำฝนบ้าง...พี่เหยาห่วงว่าผมจะเป็นหวัด แต่ไม่ห่วงตัวเอง... แต่เมื่อผมพิสูจน์ให้เห็นว่า ถึงโดนฝน ผมก็ไม่เป็นอะไร เราเลยลากเก้าอี้ออกไปนั่งดูฝนด้วยกันบ่อยๆ และอีกบางครั้งเราปูเสื่อ นอนเลื้อยฟังเสียงฝนจนหลับไปด้วยกัน...ผมอยากกลับไปเป็นอย่างวันนั้น อย่างวันที่รู้จักพี่เหยา เท่าที่พี่เหยาอยากให้ผมรู้จัก

ฝนเทสายลงมาเม็ดใหญ่กว่าเดิม พี่เหยาหันไปมองทางโรงอาหาร ก่อนจะหันกลับไปเหมือนเดิม...

พี่เหยากำลังรอผมหรือเปล่านะ?...ผมคิด นั่งมองดูพี่เหยาอย่างเดิม

ฝนตกลงมาหนักยิ่งกว่าเก่า...นักศึกษาที่นั่งอยู่ใต้ตึกเรียนเริ่มย้ายที่นั่ง เพราะฝนสาดสายเข้ามา...พี่เหยาหันไปมองที่โรงอาหารอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไป...แม้จะไกลจนมองเห็นแค่ลางๆ แต่ผมกลับนึกเห็นภาพพี่เหยาขมวดคิ้วยุ่ง

...เหยาไม่สบาย ไข้ขึ้นจนไม่รู้สึกตัวเลย...มันไม่เกี่ยวกันเลย แต่เสียงแม่กลับแว่วมาให้ได้ยิน ผมมองไปรอบๆ ขอยืมร่มจากนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง และสัญญาว่าจะเอามาคืนในอีกไม่กี่นาที

พี่เหยายังนั่งจับจ้องไปที่สายน้ำข้างหน้า จนเมื่อรู้สึกถึงฝนที่ขาดสาย ไม่ตกลงกระทบตัว จึงหันมามองดูผม และมองดูร่มในมือผม

“กลับไปที่รถเถอะ”ผมชวน...พี่เหยาลังเล แต่สุดท้ายก็เดินไปกับผม คงเพราะน่าเกลียดเกินไปที่จะปฏิเสธและออกเดินไปโดยทิ้งผมไว้กับร่มกระมัง

เมื่อก่อนเวลาฝนตก พี่เหยามักเป็นคนถือร่ม เพราะตัวสูงกว่า...ผมไม่เคยนึกถึงมันเลยจนมาถึงวันนี้ ผมจำได้ ทั้งที่พี่เหยาเป็นคนถือร่ม แต่คนที่เปียกกว่ามักเป็นพี่เหยา ...วันนี้ผมทำในสิ่งเดียวกัน ฝนของต้นหน้าหนาวที่สัมผัสลงมาไม่ขาดระยะบนหัวไหล่ข้างหนึ่งนั้นแม้จะเย็น แต่ผมรู้สึกอบอุ่นลึกๆในใจเมื่อนึกถึงไหล่ที่เปียกชุ่มของพี่เหยาที่มองเห็นได้จากความทรงจำ

“เดี๋ยวผมเอาร่มไปคืนเขานะ...พี่กลับก่อนก็ได้”ผมบอกเมื่อส่งพี่เหยาขึ้นรถแล้ว และปิดประตูให้ทันทีที่ตัวเองพูดจบ ตลอดทางที่เดินไป ผมตัดสินใจไม่ได้ว่าหลังจากที่คืนร่มไปแล้ว ผมจะนั่งรอฝนหยุดอยู่ที่ใต้ตึกเรียนดี หรือ ลองเดินกลับมาดูพี่เหยาที่ที่จอดรถดี แต่เมื่อส่งร่มคืนให้นักศึกษาหญิงคนนั้นแล้ว ผมก็เห็นรถพี่เหยา จอดรออยู่ที่หน้าตึกเรียน

ฝนตกลงมาหนัก จนผมมองไม่เห็นพี่เหยาที่นั่งอยู่ในรถ...ถ้าผมเดินเข้าไปหา แล้วพี่เหยาขับรถออกไปล่ะ?

ผมแกล้งหันหลังทำเป็นมองไม่เห็น...เสียงแตรรถดังขึ้นด้านหลัง

เรียกผมหรือเปล่า?...ผมคิด แต่ไม่กล้าหันไปมอง คราวนี้เสียงแตรรถดังยาว จนคนหันไปมอง ไม่มีเหตุผลอะไร ที่ผมจะแกล้งทำเป็นคนหูหนวก ผมหันกลับไปมอง รถพี่เหยายังจอดรออยู่ที่เดิม ...แม้ฝนจะกระหน่ำลงมาหนักกว่าเดิม แต่ผมก็ค่อยๆเดินฝ่าสายฝนเข้าไปที่รถอย่างกล้าๆกลัวๆ นึกถึงความเงียบที่น่าอึดอัด นึกถึงความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง ถ้าเดินเข้าไปถึง แล้วพี่เหยาขับรถหนีล่ะ

ผมเอื้อมมือไปเปิดประตู...แต่ประตูรถล็อค! ผมปล่อยมันในทันที และหันหลังวิ่งกลับ หน้าผมร้อนผ่าว แต่ที่ร้อนกว่าคือเบ้าตา

เสียงแตรรถดังอีกครั้ง คราวนี้ฟังดูก็รู้ว่า เจ้าของรถกำลังโมโห...ไม่ต้องเห็น ผมก็นึกสีหน้าบูดบึ้งของพี่เหยาออก... กับผม พี่เหยาทำตัวขี้หงุดหงิดเสมอ




--------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
คนที่คอยสังเกตเราอยู่ คงงงว่าเรากำลังทำอะไรกัน ซึ่งมันก็ทำให้ผมอายเกินกว่าจะวิ่งกลับขึ้นตึกเรียน ผมจึงต้องหันกลับมาอีกครั้ง...คราวนี้ประตูรถพี่เหยาเปิดหรา มองเข้าไปเห็นข้างใน...พี่เหยาถอดเสื้อไหมพรมสีน้ำเงินออกแล้ว เหลือแต่เสื้อคอกลมสีแดง ที่ทำให้พี่เหยายิ่งดูขาวจัด...น่ามองดี เพียงแต่พี่เหยานั่งหน้าบึ้ง มองผม

...ดีใจ หรือ เสียใจดี?...ผมตัดสินใจไม่ถูกจริงๆ

แต่อย่างน้อย ผมก็ดีใจที่วันนี้ฝนตก ดีใจที่ตัวเองเปียกปอน เพราะเมื่อผมใช้มือเช็ดน้ำอุ่นๆที่มันไหลจากเบ้าตา มันจึงดูเหมือนผมเช็ดหยาดน้ำฝน

เหตุการณ์ดูจะกลับตาลปัตร กับเมื่อเช้า...พี่เหยาที่ตกใจกลัวจนขวัญเสียหายไปไหน? อาการดีใจจนหัวใจแทบจะออกมาเต้นระบำอยู่ข้างนอก ดูอย่างกับเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนานแสนนาน เหลือก็แค่ความห่อเหี่ยว...ห่อเหี่ยวจนไม่รู้ว่าหัวใจมันหล่นลีบไปซุกอยู่เสียที่ไหน

เอาเถิด...นั่งเงียบๆเดี๋ยวก็ถึงบ้าน...ผมคิด เลิกหวัง...รู้แล้วว่า คนที่ตัดสินใจคือพี่เหยาไม่ใช่ผม

เราต่างคนต่างนั่งเงียบไปตลอดทาง จะมีก็แต่เสียงฝน...

ผมนั่งมองเม็ดฝนที่โดนที่ปัดน้ำฝนปัดกระจาย...มันเหมือนความหวังของผมไม่มีผิด...พี่เหยาคงปัดมันทิ้งด้วยความรำคาญคล้ายๆกัน

ผมนั่งมองเม็ดฝนที่โดนปัดกระจายครั้งแล้วครั้งเล่า...ฟังเสียงแต๊กๆ...หนึ่ง สอง สาม แต๊ก...หนึ่ง สอง สาม แต๊ก...

พี่เหยากดปุ่มปัดน้ำฝน จากระดับช้า ไป กลาง และไปที่เร็วสุด และกลับมาที่ระดับกลางอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนไปที่ระดับช้าสุด กลับมาที่ระดับกลาง และเร็วสุด...ไม่ใช่ว่าเพราะไม่มีอะไรทำ หรือ เพราะหงุดหงิดกับความเงียบ แต่ทั้งหมดเพราะความรำคาญ

มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว...ผมจำได้ พี่เหยาไม่ชอบที่ปัดน้ำฝน...ช้าเกินก็มองกระจกไม่เห็นเพราะมีแต่น้ำฝน เร็วเกินก็มองไม่เห็นอีก เห็นแต่ที่ปัดน้ำฝน...พี่เหยาเคยบ่น มือก็กดปุ่มจนมั่วไปหมด สุดท้ายผมต้องเอื้อมมือไปช่วยกด นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วกดเปลี่ยนระดับความเร็ว นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วกดเปลี่ยนอีกครั้ง

‘นับในใจสิ’พี่เหยาสั่ง หันมารำคาญเสียงผมแทน ก่อนจะชี้มือไปที่กระจกด้านหนึ่ง

‘น่าจะใช้ลมไล่น้ำแทน...ฉีดลมออกทางนี้ ไล่น้ำไปทางโน้น’...ฟังแล้วก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ไม่ยักกะมีใครทำออกมาให้พี่เหยาเสียที

‘เอกเอาหัวออกไป เป่าลมไล่น้ำดีกว่า’พี่เหยาว่า พอผมแกล้งเปิดกระจก พี่เหยาก็หัวเราะ เลิกรำคาญที่ปัดน้ำฝนแล้ว

ผมคิดเพลินๆ เผลอนับ หนึ่ง สอง สาม เมื่อได้ยินเสียง พี่เหยากด แต๊ก นับ หนึ่ง สอง สาม และลืมตัวเอื้อมมือออกไป...มือผมชนกับมือพี่เหยา ถึงได้รู้...พี่เหยานับ หนึ่ง สอง สามเหมือนๆกัน...พี่เหยากำลังคิดในสิ่งเดียวกัน...

ผมดีใจ...อย่างน้อยพี่เหยาก็ไม่ได้จดจำแต่ความน่ารังเกียจของผม...

รถเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน...ใกล้บ้านเข้าไปทุกที...ความเงียบที่น่าอึดอัดกำลังจะจบลง พร้อมๆกับความหวังเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ลึกๆในใจผม...ยกโทษให้ผมได้มั๊ย?...ผมท่องเป็นเที่ยวที่ร้อย เที่ยวที่พัน นับจากเมื่อเช้า และเป็นเที่ยวที่นับล้าน นับจาก เมื่อหลายปีที่แล้ว ทั้งๆที่รู้ตัว คงไม่มีโอกาสพูด...

เห็นย่ายืนดูฝนอยู่ลิบๆ...ผมภาวนาให้เป็นแค่คนที่คล้ายย่า อย่าเพิ่งให้เป็นย่าของผม...พอจะถึงวินาทีสุดท้าย เจ้าเสี้ยวสุดท้ายของความหวังมันก็เต้นเร้าๆอยากลองดีขึ้นมา...

เป็นย่าจริงๆ ไม่ใช่คนที่คล้ายย่า...พี่เหยาแตะเบรค รถที่แล่นช้าๆเมื่อเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน ก็ยิ่งชะลอเตรียมจะจอด

...ยกโทษให้ผมได้หรือเปล่า?...ผมท่องเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งที่รู้แล้วว่าหมดโอกาสที่จะพูดแล้ว

ผมขยับตัวเตรียมลง...ในใจยังท่อง...ยกโทษให้ผมได้ไหม...ยกโทษให้ผมได้หรือเปล่า

ถ้าย้อนเวลากลับไปดูแล้วมันน่าขำ...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นผมที่ตัวสูงใหญ่กว่า หรือพี่เหยาที่ผมใช้แค่แขนข้างเดียวก็โอบกอดได้รอบตัวแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจแม้สักนิดของพี่เหยา ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองตัวหดเล็ก กลับไปเป็นเด็กอายุแค่ 10 ขวบ ที่ไม่มีแรงหรือกำลังอะไรจะสู้พี่เหยาได้เลย...

...แล้วย่าก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง...รถที่ชะลอจนเกือบจอด เร่งความเร็วขึ้นอีกนิด ผมเหลียวกลับไปมองดูบ้านตัวเอง มองดูย่า และมองดูพี่เหยา

“ทอมเป็นเพื่อนของพ่อ...”พี่เหยาพูด เมื่อผมหันมองออกไปนอกหน้าต่าง และเงียบเสียงลง เมื่อผมหันกลับมามองดูพี่เหยาอีกครั้ง ผมจึงต้องแสร้งมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง พี่เหยาจึงเริ่มเล่า...

พี่เหยาบอกว่า ทอมเป็นเพื่อนของพ่อ พอจำความได้ ก็รู้จักทอม พร้อมๆกับที่รู้จักพ่อกับแม่...คุ้นเคยกับทอมพอๆกับที่คุ้นเคยกับพ่อแม่ตัวเอง...ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้และเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แม้ผมเคยคิดค้าน...ทอมโกหก เพราะถ้าเป็นจริง มีหรือจะกล้าทำร้ายพี่เหยา

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า ในส่วนอื่นๆแล้ว ทอมทำตัวเป็นผู้ปกครองพี่เหยาได้อย่างไม่มีที่ติ...ทอมไม่เคยขาดประชุมผู้ปกครองของพี่เหยาแม้สักครั้ง ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน อยู่ไกลแค่ไหน ทอมกลับมาถึงแต่เช้าตรู่ ทันนัดประชุมผู้ปกครองไม่สายแม้แต่วินาทีเดียว...แม่ของผมเสียอีก บอกหน้าตาเฉยว่า...ไม่ไป ขี้เกียจ...การประชุมผู้ปกครองไม่มีประโยชน์อะไร มากไปกว่าธรรมเนียมปฏิบัติ...แม่ว่างั๊นและผมเชื่อแม่ เพราะแม่เป็นครู ถึงจะเห็นแม่นั่งเครียดในวันก่อนนัดประชุมผู้ปกครองของโรงเรียนตัวเอง...ควรรอดูก่อน หรือ รายงานแม่ของเด็กเลยดี?...ผมเคยได้ยินแม่ปรึกษาพ่อบ่อยๆ

ทอมยังจัดแจงให้พี่เหยาเรียนภาษาจีน แม้ว่าพี่เหยาจะพูดภาษาจีนได้อยู่แล้ว แต่ทอมก็ยังให้พี่เหยาเรียนเพิ่มเติม...ต่อไปภาษาจีนจะจำเป็น...ทอมว่างั๊น ทั้งๆที่ตอนนั้น ใครๆก็นิยมเรียนภาษาฝรั่งเศสหรือเยอรมันกัน แต่ถึงณ.ปัจจุบันนี้เป็นอย่างที่ทอมว่าจริงๆ คือ จีนต่างหากที่เข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจของโลก ไม่ใช่แค่ไทย หรือเอเชีย แต่ครอบคลุมไปถึงยุโรปและอเมริกา

การบ้านที่ทอมให้พี่เหยา คือ การเขียนบันทึกประจำวันเป็นภาษาอังกฤษวันละ ไม่ต่ำกว่า 4 หน้ากระดาษ ซึ่งทอมจะถือติดมือไปตรวจเช็คให้อาทิตย์ละครั้ง ระหว่างเดินทางไปกลับกรุงเทพ-เชียงใหม่...ทอมตรวจ เช็ค และแก้ไข ไม่ใช่แค่ถูกต้อง แต่ให้สละสลวย อย่างที่เจ้าของภาษาใช้...การเขียนโต้ ตอบ จดหมายกับลูกค้า ทอมยกให้เป็นงานของพี่เหยา เช่นเดียวกับการทำบัญชีต่างๆ

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ทอมเป็นผู้ปกครองที่ดียิ่ง...แล้วทำไมทอมถึงทำร้ายพี่เหยา...ผมไม่เข้าใจ

พี่เหยาเล่าว่า ตอนเด็กๆตอนปิดเทอมเคยตามทอมมาเที่ยวที่เชียงใหม่ เห็นผมวิ่งข้ามถนนไปอีกฟาก แล้วข้ามกลับมาไม่ได้ พี่เหยาเป็นคนไปพากลับมา แต่ตอนนั้นพี่เหยาเองก็เพิ่งแปดเก้าขวบ เลยมองแต่รถทางตรง ไม่ทันได้ดูรถที่เลี้ยวออกจากซอย

“เกือบโดนรถชนตายทั้งคู่ ดีที่เขาเบรคทัน เขาปีบแตรลั่นถนนเลย พี่ตกใจเลยวิ่งหนีเข้าบ้าน ทิ้งเอกไว้ตรงไหนจำไม่ได้ ได้ยินแต่เสียงเอกร้องไห้ลั่น เพราะโดนน้าสุตี...เอกคงจำไม่ได้หรอก พี่ก็จำเอกไม่ได้ จำได้แต่เรื่องที่เกิด กับจำน้าสุได้”...พี่เหยาเล่า และผมรู้ว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พี่เหยาคิดจะเล่า หากแต่พี่เหยาแค่ยื้อเวลาไว้เท่านั้น และเรื่องที่เพิ่งได้ยินไปนั้น มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนหัวเราะ ถ้าได้รับรู้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อได้รับรู้ในวันนี้ มันกลับฟังดูน่าเศร้า...พี่เหยาจะเสียดายไหม ที่ไม่ทิ้งให้ผมโดนรถชนตายไปเสียแต่วันนั้น...

แล้วพี่เหยาไม่พูดอะไรอีก คล้ายกำลังเรียบเรียงความคิด ผมเลยปล่อยให้พี่เหยาคิด และปล่อยตัวเองไปกับสิ่งที่เคยเฝ้าขบคิดเช่นกัน

เมื่อก่อนผมเคยสงสัย คิดไปต่างๆนา หาเหตุผลสารพัด...ทำไมพี่เหยาถึงยอม?

ผมเคยคิด หรือ พี่เหยาจะเป็นเด็กกำพร้า...ชื่อ จึเหยา จะว่าเป็นชื่อเด็กชาวเขาก็พอจะน่าเชื่อถือ...พี่เหยาอาจจะเลือกขายตัวเอง เพื่อชีวิตที่ดี...แต่อะไรหลายๆอย่างมันบอกว่าไม่ใช่...พี่เหยามาจากสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีกว่าผมอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นพ่อ แม่ของพี่เหยาก็ยังอยู่ เพราะพี่เหยากลับบ้านเสมอๆช่วงปิดเทอม แม้จะเพียงไม่กี่วันก็ตามที

หรือ พ่อพี่เหยาติดหนี้ทอม ใช้พี่เหยาชดใช้หนี้ อย่างที่ใช้เป็นพล็อตเรื่องบ่อยๆในนิยายน้ำเน่า...ถ้าอย่างนั้นค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าเล่าเรียน นาฬิกา เสื้อผ้า หรือน้ำหอมราคาแพงก็ไม่น่าจะใช่จากพ่อของพี่เหยา แล้วยังโทรศัพท์มือถือที่น้อยคนจะมีใช้ รวมถึงรถราคาเหยียบล้านอีกเล่า?

ถึงทอมจะไม่เคยพูดหรือปล่าวประกาศว่าทั้งหมดเป็นของตัวเอง บอกเพียงลูกของเพื่อนฝากมาไว้ในความปกครอง...แต่ถ้าทั้งหมดเป็นของพ่อพี่เหยา มีหรือพี่เหยาจะยอม...ท่าทางพี่เหยาไม่ได้บอกว่ามีความสุข

หรือพ่อพี่เหยาส่งเสียให้มาเรียน แต่พี่เหยาอยากได้ความฟุ้งเฟ้อ หรูหรา....ผมบอกตัวเองได้เลยว่าไม่ใช่...พี่เหยาไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน ยิ่งคิด ผมก็หาเหตุผลไม่ได้

หรือถ้าทุกอย่างเป็นสิ่งที่ทอมให้เพื่อแลกมากับร่างกายของพี่เหยา...ค่าตัวพี่เหยามากมายขนาดนั้นเชียวหรือ...สำหรับคนร่ำรวยอย่างทอม อาจเป็นเงินมูลค่าไม่เท่าไหร่ แต่ เมื่อทอมเป็นพ่อค้า มีหรือจะยอมจ่ายเกินราคา คนหน้าตาแบบพี่เหยามีอีกเยอะ หน้าตาดีกว่าก็มีอีกมาก เงินมากมายขนาดนั้น จะซื้อสักกี่คนก็ได้...

บางครั้งผมก็คิดว่า หากมองอย่างยุติธรรมแล้ว การให้ของทอม อาจจะเป็นการให้ที่แท้จริง ไม่ใช่ให้แค่สิ่งอำนวยความสะดวกหรือ สิ่งเกินความจำเป็นเท่านั้น แต่ทอมยังวางอนาคตที่ดีให้กับพี่เหยาด้วย เป็นการให้ด้วยความหวังดี หรืออาจบางทีจะด้วยความสำนึกผิด

แน่นอนว่า ผมไม่เคยเห็นร่องรอยการทำร้ายร่างกาย บนร่างกายพี่เหยา จะมีก็แค่รอยช้ำซึ่งอาจเกิดจากอะไรก็ได้...ผมจึงอดคิดไม่ได้ ว่ามันอาจไม่เคยมีการขัดขืนจากพี่เหยาเลยก็ได้ ...

นานจนผมคิดว่าพี่เหยาคงเปลี่ยนใจที่จะเล่าแล้ว กว่าพี่เหยาจะทำท่าคล้ายจะเริ่มต้นพูดอะไรอีกครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายพี่เหยาก็ทำแค่ถอนหายใจ

“ไม่รู้จะพูดยังไง...”พี่เหยาหันมาบอกผมในที่สุด พร้อมๆกับที่หักรถจอดเข้าข้างทาง

ผมนึกอยากถามว่า...ให้ผมถามพี่ได้ไหม...แต่ก็ยั้งปากไว้ทัน และเลือกที่จะตั้งต้นถามไม่ว่าพี่เหยาจะยอมตอบหรือไม่

“ทำไมพี่มาอยู่กับทอม?”ผมถาม พลางเอื้อมมือไปกดปุ่มหยุดที่ปัดน้ำฝน เพราะเพิ่งสังเกตเห็นว่าฝนหยุดตกไปแล้ว

พี่เหยาพยักหน้าน้อยๆพร้อมถอนหายใจอีกครั้ง คล้ายยินยอมที่จะตอบ

“ธุรกิจที่บ้านพี่มีปัญหา...จะเรียกว่าล้มเลยก็ว่าได้”พี่เหยาตอบ มันเริ่มเรื่องคล้ายๆอย่างที่ผมคิด

“ทอมเลยให้พี่มาอยู่ด้วยเป็นการแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือ?”ผมถามตามท้องเรื่องแบบที่มีให้เห็นบ่อยๆ

“เปล่า...ทอมไม่ได้เรียกร้องอะไร ที่ให้มาอยู่ด้วยเพราะอยากให้เรียนต่อ...ตอนนั้นพี่จบม.3 พอดี พ่อเลยให้หยุดเรียนก่อน...ให้น้องเรียนก่อน ตอนนั้นแค่ค่าเทอมโรงเรียนรัฐก็ยังไม่มีปัญญาจะจ่ายเลย... แล้วทอมก็เข้ามาช่วย...หลายๆเรื่อง...รวมทั้งออกปากให้พี่เรียนต่อด้วย ...ทอมบอกว่าให้เรียนที่เดิมก็ได้ แต่ว่าตอนนั้นพี่ช้ากว่าเพื่อนๆไปปีหนึ่งแล้ว ไม่อยากเจอเพื่อนๆ...แล้วก็...”พี่เหยาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“... เลยขอมาเรียนที่เชียงใหม่ พ่อก็เห็นด้วย จะได้มาช่วยทอม...พี่ขอมาเอง ทอมไม่ได้ให้มา”พี่เหยาเล่าต่อ ฟังดูก็รู้ว่ายังมีบางอย่างที่พี่เหยายังไม่พร้อมจะเล่า

“แล้วทอมบังคับพี่?”

“เปล่า...ก็บอกแล้วไงว่าขอมาเอง!”พี่เหยาตอบ น้ำเสียงคล้ายรำคาญแบบที่เคยทำเสมอเมื่อต้องนั่งอธิบายอะไรให้ผมฟังสองรอบ

“ไม่ใช่ ไม่ได้ถามเรื่องนั้น...ผมหมายถึง...”ผมยกมือขึ้นเกาคอเพราะ ไม่รู้จะพูดยังไงดี

“ก็...ไม่รู้สิ”ดูเหมือนพี่เหยาจะเข้าใจในความหมายของผม

“หมายความว่าไง...ไม่รู้?”แต่ผมไม่เข้าใจในคำตอบของพี่เหยา

“ก็ไม่รู้ ก็คือไม่รู้!”พี่เหยาตอบอย่างรำคาญ คราวนี้แก้มที่แดงขึ้น ไม่ใช่เพราะความเย็นของอากาศแล้ว

ผมพยักหน้ารับรู้ ไม่ถามต่อ เพราะเข้าใจแล้วว่า เป็นความพอใจของพี่เหยาเอง

“พยักหน้า หมายความว่าไง!?”พี่เหยาถามเสียงแข็ง หน้าตาเอาเรื่อง

มาถึงตอนนี้ผมจำได้แล้วว่าพี่เหยาเป็นคนเอาใจยากขนาดไหน...เด็กดีของแม่ เด็กดีของใครๆ ซึ่งทำตัวตรงข้ามเสมอเวลาอยู่กับผม...

“อ้าว! ก็...ก็ไม่ใช่เรื่องของผม”ผมไม่รู้จะพูดยังไงต่อ พี่เหยาเองก็ดูคล้ายจะไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ทำได้แต่ขมวดคิ้ว ตอนนี้หน้าพี่เหยาก็แดงจัด เหมือนทั้งคนจะร้องไห้และโกรธ



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“พี่เต็มใจหรือเปล่าละ?”ผมเปลี่ยนคำถาม พอจะเข้าใจแล้วว่าตัวเองเข้าใจผิด ถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะว่าผิดยังไง แต่พี่เหยาส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้า ก่อนที่จะส่ายหน้าอีกครั้งและยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง

เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วผมก็ไม่อยากซักต่อ...เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผมจริงๆ...ผมไม่แคร์แล้วว่าพี่เหยาจะเป็นอย่างไร ที่สนใจอยู่อย่างเดียวคือ อยากให้พี่เหยายกโทษให้...อยากได้พี่ชายขี้โมโหและช่างแกล้งกลับคืนมาอีกครั้งเท่านั้น

“จะถามทำไม!?”พี่เหยาถามเสียงแข็งอีกครั้ง ทั้งที่ผมนั่งเงียบไปตั้งนานแล้ว

“พี่เองนะที่เริ่ม! แล้วผมก็ไม่ได้ถามอะไรแล้วด้วย...”ผมแย้งตามความเคยชิน แต่เมื่อสายตาของพี่ที่มองมาดูคล้ายกำลังเสียใจมากกว่าโกรธ ผมก็รีบแก้ไขคำพูด

“ก็...มันไม่เกี่ยวกับผม ไม่ใช่เรื่องของผม!”ผมพูดในสิ่งที่คิด แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และดูเหมือนจะยิ่งทำให้พี่เหยาเสียใจ แม้จะไม่มีน้ำตา แต่ตาพี่เหยาก็เริ่มแดง

“ขอโทษๆ”ผมขอโทษแบบที่ทำเสมอ เวลาทำให้พี่เหยาโกรธและรู้ตัวว่าผิด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถึงพี่เหยาจะไม่โกรธ แต่ตาแดงๆของพี่เหยาก็ทำให้ผมใจเสีย และไม่รู้จะทำยังไง

“พี่ไม่รู้ว่าทอมจะทำอย่างนี้...ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิด แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้... พี่ไม่เคยคิดจริงๆนะ...”พี่เหยาพูดได้แค่นั้น แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา

เห็นน้ำตาของพี่เหยาแล้วผมก็นึกถึงตัวเอง

วันที่วิ่งหนีอกจากบ้านทอม ผมก็นอนร้องไห้...ทั้งที่มีแม่และพ่ออยู่ใกล้ๆ เพียงแค่เปิดประตูออกไป เล่าทุกอย่าง...ผมรู้ แม้ผมจะผิดแต่พ่อกับแม่จะปกป้องผม แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมเลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้...แต่สำหรับพี่เหยาแล้วไม่ว่าพี่เหยาจะเปิดประตูออกไปสักกี่ร้อย กี่พันบาน พี่เหยาก็จะไม่พบใคร นอกจาก...ทอม...

ผมปล่อยให้พี่เหยาร้องไห้ไป ในขณะที่ตัวเองนั่งอยู่เงียบๆ จำไม่ได้ว่าคิดอะไรต่อมิอะไรบ้าง

พี่เหยาไม่ได้พูดอะไรอีก ส่วนผมก็ไม่ได้ถามอะไร จะมีก็แต่สงสัย หลังจากวันนี้ความสัมพันธ์ของเราจะกลับไปเป็นแบบไหน...เมินเฉยเหมือนคนไม่รู้จักกันเหมือนเดิมหรือว่ากลับไปเป็นอย่างที่ผมหวัง แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังคิดว่าตัวเองควรออกปากขอโทษพี่เหยาอยู่ดี...

แม้ตาจะยังแดงและช้ำ แต่พี่เหยาไม่ได้ร้องไห้แล้ว เมื่อพี่เหยาเตรียมจะสตาร์ทรถอีกครั้ง

“ผมขับให้ไหม?”ผมถาม

พี่เหยาส่ายหน้า แต่พอคล้ายจะขยับปากพูด น้ำตาก็ไหลออกมาอีก อีกครั้งที่พี่เหยายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง

“มาเถอะ ผมขับให้”ผมบอกคราวนี้ไม่รอฟังเสียงผมเปิดประตูรถลงไป

ระหว่างทาง เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย แม้ผมอยากจะเอ่ยปากขอโทษ และแม้ว่าตอนนี้ใจผมจะสงบขึ้น แต่ผมก็ยังไม่กล้าอยู่ดี ทั้งพี่เหยาก็นั่งหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง นานครั้งไหล่พี่เหยาก็ไหวเล็กน้อย ยิ่งทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรยิ่งขึ้นไปอีก

ผมหักรถเข้าจอดริมทางเท้าหน้าบ้านพี่เหยา และตัดสินใจว่าอย่างไรก็ต้องขอโทษ

“พี่พูดกับผมบ้างได้หรือเปล่า?”ผมได้ยินตัวเองพูดอย่างนั้นซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดจะพูด มันฟังดูน่าขันไม่เข้าท่า แต่สายตาของพี่เหยาที่มองมา...แม้มันจะแค่เสี้ยวของเสี้ยววินาที และแม้ว่าตาของพี่เหยายังแดงช้ำ แต่ผมก็มองเห็นรอยขำในดวงตาของพี่เหยา...รอยหัวเราะในดวงตา แบบที่พี่เหยาเคยมีเวลาจับจ้องที่หัวกลมๆของผมเพื่อเล็งว่าจะเคาะไม้บรรทัดลงตรงไหนดี...

แล้วพี่เหยาก็พยักหน้ารับแบบคนที่ไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น ก่อนที่จะเปิดประตูรถลงไป และทำท่าจะกลับเข้าบ้านโดยไม่หันมามองผมอีก

“พี่ กุญแจ!”ผมร้องทัก นึกได้ว่ากุญแจยังอยู่ที่ผม ผมรีบล็อครถ แล้ววิ่งเอากุญแจไปคืน พี่เหยารับมันคืนไป แล้วก็ล็อคประตูบ้าน

สุดท้ายวันนั้น ผมก็ไม่รู้อะไรมากขึ้นไปกว่าที่เคยๆเดาไว้มากนัก เหตุผลที่พี่เหยามาอยู่กับทอมนั้น แม้จะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเสียทีเดียว แต่ก็ใกล้เคียงเกินกว่าที่จะตื่นตกใจ

สิ่งเดียวที่ยังค้างคาใจและทำให้หงุดหงิดคือ พี่เหยาตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก ว่าถูกบีบบังคับ หรือ ฝืนใจทำ

ผมโทษความหงุดหงิดที่ไม่ได้รับคำตอบนั้นว่า ความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งตอนนั้นมันอาจเป็นแค่ความสอดรู้สอดเห็นเฉยๆ หรืออาจไม่ใช่แค่นั้นก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อเวลาเดินทางมาถึงวันนี้ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะแม้แต่มาถามผมในวันนี้ ผมก็ไม่อาจตอบได้ว่า ณ.วันเวลานั้น ระหว่างผม กับ พี่เหยา ...ในความสัมพันธ์ของเรา มีความรักเจือปนอยู่บ้างแล้วหรือยัง

และในวันนั้นผมก็ไม่โทษความอับจนด้วยคำพูดของพี่เหยา เพราะสำหรับตัวผมเองแล้ว กับเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านทอม ผมก็บอกไม่ได้เต็มปากเช่นกันว่าตัวเองถูกบีบบังคับ หรือฝืนใจทำ เพียงแต่หากเลือกได้ ผมภาวนาให้มันไม่เคยเกิดขึ้นเพื่อผมจะได้เลิกชิงชังตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่พี่เหยาทำ หรือ แม้กับสิ่งที่ทอมทำก็ตาม เราอาจต่างภาวนาให้มันเป็นแค่ความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

ตราบมาจนถึงวันนี้ผมเคยคิด...ถ้าทอมรักพี่เหยาอย่างที่ทอมแสดงออกราวกับพ่อคนที่สอง ทอมอาจเคยร้องไห้อย่างที่ผมเคยร้อง...เมื่อความปรารถนาเต้นรบเร้าอยู่ภายใน ความเย้ายวนทอดเวลารออยู่ข้างหน้า เมื่อเราไม่อาจควบคุมจิตใจหรือความคิดเราได้ การยินยอม ไม่ขัดขืน ก็เหมือนเพิ่มน้ำหนักลงบนแรงปรารถนาของเราจนเราดิ่งลึก ต่ำลงเกินสติจะฉุดรั้งเราไว้อยู่...ผมอ้างความเป็นเด็กขึ้นมาปกป้องตัวเอง แต่ทอมหมดข้ออ้างใดๆ...เมื่อก่อนผมเคยคิด ให้อย่างไร ผู้ใหญ่ควรยับยั้งชั่งใจได้มากกว่า แต่ต่อมารู้ว่าคิดผิด...ประสบการณ์ต่างหากที่เป็นเชื้อเพลิงของแรงปรารถนาชั้นดี เด็กถูกล่อหลอกด้วยความอยากรู้ อยากลอง แต่ผู้ใหญ่ถูกครอบงำด้วยสิ่งที่เคยเรียนรู้ผ่านผิวกาย มันจึงรุนแรงกว่านับสิบเท่า...การถูกขัดขวางด้วยการขัดขืน อาจเรียกสติให้กลับมาหรือบางครั้งก็เป็นเหมือนการเทน้ำมันลงบนไฟให้โหมแรงขึ้น แต่การปราศจากซึ่งการขัดขืนใดๆเลย มันไม่ผิดจากการปล่อยให้เปลวไฟเผาไหม้กระดาษ ไม่เป็นจุล ก็ไม่ยอมดับลง...แต่ผมก็ไม่เคยถามทอม...ทอมเคยเสียใจบ้างไหม? ทุกสิ่ง ทุกคำตอบ มีแค่ทอมเท่านั้นที่รู้คำตอบ หรือ แม้บางทีหากถาม...ถ้าวันนั้น พี่เหยาดิ้นรน ขัดขืน ทอมจะหยุดไหม?...ทอมเองอาจจะไม่สามารถตอบคำถามนี้ก็ได้...เพราะเราไม่เคยรู้คำตอบของสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น...ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้คือ...ทิ้งมันไว้ในความทรงจำเพียงเท่านั้น






--------------------

จบตอน 5 

abcd

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ: ชีวิตรันทดจัง

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
:เฮ้อ: :เฮ้อ: เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านแล้วรู้สึก เจ็บที่หัวใจ...... สงสารเหยาจัง :o12: :o12:

อยากจะบอกอีกครั้งว่าของเค้าแรงจิงๆๆ  o13 o13 o13

เป็นกำลังใจให้ทิพย์นะ  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
อ่านเรื่องนี้แล้วหนักไปหมด...... หนักใจ  :เฮ้อ:

โลกมันเป็นอารายเนี่ย :a6:




in_the_sky

  • บุคคลทั่วไป
 :sad2: :sad2:

ยิ่งอ่านยิ่งจิตตก กว่าจะอ่านแต่ละตอนนี้ต้องทำใจอย่างหนัก

รักพี่เหยา ผิวขาว แก้มเรื่อ เป็นที่สุด

เรื่องนี้มันเหมือนเป็นการเจอของคนสองคนที่ภาวะยังไม่คงที่

เอกก็ยังเด็ก โลเล จิตใจไม่มั่นคง ไม่รู้จะทำยังเพื่อคนที่ตัวเองรัก

พี่เหยาเนี่ยเปราะบางมาก ภายนอกเหมือนผู้ใหญ่แต่ข้างในมันเป็นอะไรที่ไร้เดียงสา และบอบบางมากๆ

พอมาเจอกัน....มันก็เลยกลายเป็นโศกนาฎกรรมแห่งความรักซะงั้น

ตอนอ่านเรื่องนี้ใหม่ ๆ กลายเป้ฯโรคแอนตี้คนต่างชาติอย่างรุนแรง
นิยายเรื่องไหนพระเอกนายเอกชื่อฝรั่งเนี่ย ไม่อ่านเลย
อคติสุด ๆ จนเพื่อนบอกว่า...ไปโรงพยาบาลมั้ย 555

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่ง   :a5:  ยิ่ง  :angry2:  ไอ้เอก
ยัง...มานยังไม่สำนึกถึงความชั่วของตัวเอง 

ขอซักทีเหอะ    :เตะ1:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 6

หลังจากนั้น แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่อยากที่จะเชื่อ ว่าผมจะใช้เวลาเพียงครึ่งปีในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆระหว่างผมและพี่เหยาให้กลับคืนมาและพัฒนาไปสู่ที่อีกความสัมพันธ์ที่เราต่างก็ไม่คาดคิด

เพราะแม้เมื่อผมพูดออกไป...พี่พูดกับผมบ้างได้หรือเปล่า...หรือเมื่อพี่เหยาพยักหน้ารับ และแม้เมื่อผมเห็นรอยยิ้มขำๆในดวงตาที่แดงช้ำของพี่เหยา ถึงมันจะแค่เสี้ยวของเสี้ยววินาทีก็เถอะ...หากแต่โดยก้นบึ้งของหัวใจแล้ว ผมกลับคิดว่า...ไม่มีทางที่จะได้รับการอภัย

มันก็เหมือนที่เราหวังจะให้หิมะตกที่ประเทศไทย...หิมะสีขาวปกคลุมยอดฉัตรดอยสุเทพ...ใครเถียงได้บ้างล่ะว่ามันจะไม่สวย...ใครบ้างล่ะจะไม่อยากเห็น...แต่ก็อีก ต่อให้หวังจะได้เห็น แต่ใครจะโง่พอที่จะเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้น

ความหวังที่จะให้พี่เหยายกโทษให้ มันก็เป็นแบบเดียวกันนี้ไม่ผิดเพี้ยน

แต่ก็อีกนั้นแหละ...หัวใจคนใครหยั่งถึงบ้าง...ทั้งหัวใจผมและหัวใจของพี่เหยาก็เช่นกัน...

แม้ก้นบึ้งของหัวใจมันจะบอกผมว่าไม่มีทาง แต่พอเช้าวันใหม่ผมก็รีบแต่งตัวออกจากบ้านแต่เช้า ขี่มอเตอร์ไซด์ ฝ่าลมหนาว ฝ่าหมอกที่เริ่มปกคลุมทั่วเชียงใหม่

“เอกไปไหนแต่เช้า!?”แม่ตะโกนไล่หลัง เมื่อผมกำลังขี่มอเตอร์ไซด์พุ่งออกจากบ้าน

“ไปมหาลัย!”ผมตะโกนตอบ พลางยกก้นขึ้นจากเบาะเมื่อมอเตอร์ไซด์กระแทกขอบทางเท้าพุ่งลงสู่ถนน ในใจผมก็คิดว่าแม่ถามผมทำไม ไม่เห็นเหรอว่า ผมใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ เพียงแต่ผมรู้ ว่าเป้าหมายของผมคือมหาวิทยาลัยของพี่เหยา

เสียงรถบีบแตร ผมรีบหักรถหลบเข้าชิดซ้าย และเพราะมองรถที่แล่นแซงขึ้นไป ผมเลยทันได้เห็นเงาของใครคนหนึ่งสะท้อนบนกระจกรถ

ผมเงยหน้ามองขึ้นไป เลยได้เห็น พี่เหยาที่เกาะขอบระเบียงมองลงมาเช่นกัน

พี่เหยาใส่เสื้อคลุมไหมพรมสีน้ำเงิน ไม่กลัดกระดุม มองเห็นชุดนอนลายทางสีฟ้าข้างใน ฝักบัวรดน้ำถูกวางพักไว้ในมือ บนขอบระเบียง

แก้มพี่เหยายังแดงจัด เหมือนกับริมฝีปากแดงที่ขยับยิ้มอย่างไม่ค่อยอยากขยับนัก เมื่อผมโบกมือยิ้มทัก

พี่เหยาคงมองลงมาอย่างไม่ตั้งใจ และไม่คิดว่าผมจะมองขึ้นไปพอดี

เสียงรถคันหลังบีบแตรอีกครั้ง เมื่อผมขี่รถแบบช้าๆจนเกือบจะจอดเสียสนิท และเมื่อมัวแต่มองดูพี่เหยา รถเลยเฉออกถนน

“เอก! เดี๋ยวก็รถทับตาย”เสียงแม่ดุจากหน้าบ้าน ผมเลยหันไปมองแม่ พอหันกลับมาพี่เหยาก็หายไปแล้ว

...ไม่เป็นไร! ไปดักรอที่มหาลัย...ผมคิด และคิดไปตลอดทางว่าถ้าเจอพี่เหยาที่มหาวิทยาลัย จะทักพี่เหยาอย่างไรดี ให้ดูไม่หน้าด้านทำตีสนิทเกินไปนัก...ผมคิด คิด แล้วก็คิด จนมาถึงมหาวิทยาลัย ผมถึงเพิ่งคิดได้ว่า...นี่มันช่วงปิดเทอม!...ก็ควรอยู่หรอกที่แม่จะแปลกใจ...แต่จะกลับบ้านตอนนี้ ก็ไม่รู้จะบอกกับแม่ว่ายังไง จะโทรเรียกไอ้วิทย์ออกมา...แต่วันนี้ผมก็ไม่นึกอยากคุยกับมันนัก ไม่ใช่ว่ามีเรื่องหมางใจอะไรกับมัน แต่เพราะว่าเมื่อวานเพิ่งได้คุยกับพี่เหยา วันนี้ผมเลยไม่อยากคุยกับไอ้วิทย์...ถึงมันจะไม่ค่อยเกี่ยวกันก็เถอะ

ผมเตร่ไปเตร่มาอยู่แถวสระน้ำ ตามสี่แยกหรือก็คือจุดตัดของทางเดินเชื่อมตึกเรียนแต่ละตึกที่มีม้าหินอ่อนให้นั่ง เด็กมหาวิทยาลัยของพี่เหยาเรียกมันว่า...สี่แยก...ผมมองๆหาเผื่อจะเจอคนรู้จักบ้าง แต่ก็ไม่เจอใคร ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันไม่ใช่มหาวิทยาลัยของผม คนที่รู้จักเลยมีน้อยซึ่งส่วนใหญ่ก็เพื่อนๆไอ้วิทย์ทั้งนั้น แล้วยิ่งปิดเทอมด้วยแล้ว ผมเลยนั่งแก่วอยู่คนเดียว

สุดท้ายผมก็โทรหาไอ้วิทย์จนได้...มันขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาหาผมทั้งๆชุดนอน และทำหน้าประหลาดเมื่อเห็นผมแต่งชุดนักศึกษา

“เมื่อวานเป็นไง?”มันถาม ตั้งแต่ยังไม่ได้เอาขาตั้งมอเตอร์ไซด์ลง

“เมื่อวาน? อะไรเป็นไง?”ผมงง ไม่รู้มันถามเรื่องอะไร

“อ๋อ!”ผมนึกได้ก่อนมันจะทันตอบ ไม่มีอะไรต้องสงสัย มีเหรอไอ้ชัยจะไม่โทรไปหาไอ้วิทย์ แต่ผมคิดถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะไอ้ชัยมันโทรหาไอ้วิทย์ตั้งแต่ผมวางสาย สุดท้ายคนที่โทรหาทอม คือ ไอ้ วิทย์นั่นเอง

“แล้วมึงบอกพี่เหยาว่าไง?”ผมถาม อารมณ์เริ่มขุ่นๆ...พี่เหยาจะรู้ไหมว่าเป็นแผนของผม

“ก็บอกว่า...มึงสั่งให้โทรมา!”มันบอกเสียงหนัก ตอบเท่าที่ผมอยากรู้...สมกับเป็นเพื่อนผมจริงๆ

“อยากให้เล่ามากกว่านี้หรือเปล่า?”มันแกล้งถาม พลางหยิบบุหรี่ขึ้นมา

“ไม่ต้อง!...หนาวจะตายห่า ไปหาอะไรกินเหอะ กูหิว”ผมตอบ แม้จะดีใจแต่ก็รู้สึกอายที่มันจับความคิดผมได้

“รอไอ้ชัยก่อน กูโทรเรียกมันออกมาด้วย เรื่องไรให้มันนอนสบายอยู่คนเดียว”

แล้วอีกครึ่งชั่วโมง ไอ้ชัยที่บ้านอยู่ไกลกว่าก็มาถึง แต่ผมก็ต้องรอต่อไปเพราะมันคิดเหมือนไอ้วิทย์

“รอไอ้รงค์ก่อน...หนาวจะตายห่า เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันนอนสบายอยู่คนเดียว”ไอ้ชัยบอก พลางปัดควันบุหรี่ที่ไอ้วิทย์พ่นใส่หน้ามัน

“แล้วทำไมมึงไม่นัดกันที่อื่นวะ เสือกนัดกันหน้าตึกเรียน”ผมบ่น จะเดินไปไหนก็ไม่ได้ เดี๋ยวหากันไม่เจอ

รออยู่อีกเกือบชั่วโมง ไอ้รงค์ที่บ้านอยู่ไกลกว่าเพื่อนก็มาถึง

“กูต้องรอใครอีกหรือเปล่า?”ผมตะโกนถามไอ้รงค์ ตั้งแต่เห็นมันเดินมาแต่ไกล

“มีใครยอมคบมึงอีกหรือเปล่าล่ะ?”ไอ้รงค์ตะโกนตอบ

ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับมันอีก...นึกอยากก็แต่ได้ข้าวสวยร้อนๆ สักจานเท่านั้น เราเลยเคลื่อนขบวน ไอ้ชัยซ้อนท้ายไอ้วิทย์ ส่วนไอ้รงค์ซ้อนท้ายผม แล้วผมก็ทำมันเกือบหล่นจากรถ เพราะเบรคกะทันหันเมื่อเห็นรถพี่เหยาจอดอยู่ที่ลานจอดรถ...

“ไปไหนว่ะ!?”ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยตะโกนถาม เมื่อผมหักหัวรถ เปลี่ยนทิศทางที่จะไป ลืมพวกมัน ลืมแม้แต่ไอ้รงค์ที่เกาะเอวผมแน่นอยู่ข้างหลัง

ผมเห็นกลุ่มคนอยู่ลิบๆที่มุมตึก จะใช่หรือเปล่าก็ช่าง หากแต่เวลานี้จะมีสักกี่คนที่จะมาเตร่อยู่มหาวิทยาลัย ผมจอดรถไว้หน้าตึกเรียน วิ่งไปที่กลุ่มคนที่ยืนอยู่ ไม่สนใจเสียงเรียกของไอ้รงค์ หรือไอ้วิทย์และไอ้ชัยที่เพิ่งตามมาถึง

เพื่อนของพี่เหยาจริงๆ!...ผมบอกตัวเอง รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังยิ้มหน้าบานขณะวิ่งเข้าไป

เพื่อนพี่เหยาก็มองดูผมมาแต่ไกล แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ ผมก็บอกตัวเองได้ว่า ในกลุ่มนั้นไม่มีพี่เหยา...แต่แล้วพี่เหยาก็เดินออกมาพร้อมเพื่อนอีกคน จากตรงไหนสักตรงหนึ่งซึ่งผมไม่ทันสังเกต

“พี่ไปไหนมา?”ผมทักด้วยความดีใจจนเนื้อเต้น ก่อนที่พี่เหยาจะทันสังเกตเห็นผมเสียอีก

มันอาจจะดูเป็นคำทักทายทั่วไป หากถูกที่และถูกโอกาส...แต่ดูเหมือนเวลานี้ มันจะผิดไปเสียหมด พี่เหยาเลยได้แต่ทำหน้างงๆ ขมวดคิ้วมองดูปากที่ฉีกยิ้มกว้างของผม สลับกับหันไปมองทิศทางที่ตัวเองเดินมา

“ส้วม!”เพื่อนพี่เหยาคนหนึ่งตอบแทนให้ พร้อมเอานิ้วเคาะป้ายห้องน้ำชายให้ผมดูและมองดูผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเลยได้แต่ยิ้มหน้าแห้ง ปล่อยให้พี่เหยาเดินผ่านผมไปด้วยท่าทางยังงงๆ ทั้งยังชำเลืองมองดูชุดนักศึกษาของผมอีกต่างหาก

“โดนเด็กจีบแล้วมึง!...กูเห็นมันมาป้วนเปี้ยนอยู่ตั้งแต่เช้า”เสียงเพื่อนพี่เหยาพูดเสียงดัง ไม่ต้องหันไปดูผมก็รู้ว่าน่าจะเป็นคนที่ท่าทางเอาเรื่องเมื่อตะกี้

“เด็กข้างบ้าน!”เสียงพี่เหยาอธิบาย และผมแอบยิ้ม เพราะอย่างน้อยพี่เหยาก็ยอมรับว่ารู้จักผม

“เมื่อก่อนไม่เห็นเคยทักกัน กูว่ากูเคยเห็นมันบ่อยๆ เรียนสาขาไหนวะ?”

“ม.เชียงใหม่”คุ้นๆว่าจะเป็นเสียงพี่นัทช่วยตอบแทน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ดีใจ เพราะนั่นหมายความว่าเพื่อนพี่เหยารู้จักผม

“เพื่อนวิทย์ไง”เสียงพี่นัทอธิบายเพิ่มเติม หน้าผมหุบยิ้มทันที...ทำไมต้องพ่วงชื่อไอ้วิทย์มาด้วย!

“ยังไม่ปิดเทอมเหรอวะ?”ท่าทางเพื่อนพี่เหยาคนที่ปากเสียคนนี้จะขี้สงสัย แต่คราวนี้ผมไม่ได้ยินคำตอบ เพราะพวกพี่เขาเดินห่างออกไปจนผมจับสำเนียงเสียงไม่ได้แล้ว จะได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะที่ดังมาเท่านั้น

ผมเดินกลับมาหาพวกไอ้วิทย์ที่หน้าตึกเรียน ทันเห็นหลังพวกพี่เหยาไวๆ คุยและหัวเราะครื้นกับพวกไอ้วิทย์ ผมรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหา แต่ไม่ทัน...พวกพี่เข้าเดินละจากไปเสียก่อน

“หัวเราะอะไรกัน?”ผมถาม พยายามคุมน้ำเสียงตัวเองให้เป็นปกติ เพราะยังจำ...ตัวเหี้ย...ที่ไอ้วิทย์ประเคนให้ผมแบบเต็มปากเต็มคำเมื่อหลายๆเดือนก่อนได้

“หัวเราะมึงไง! ...ปิดเทอมเสือกแต่งชุดนักศึกษาเต็มยศ”ไอ้วิทย์ตอบ

“ก็เพราะปิดเทอมไง มันเลยใส่ ปกติมันใส่เรียบร้อยแบบนี้ที่ไหน!”ไอ้ชัยเสริม มันเรียนที่เดียวกับผม มันเลยรู้ว่าบ่อยแค่ไหนที่ผมโดนรุ่นพี่เรียกมาตักเตือน เพราะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งยังต้องแต่งตัวเรียบร้อย แต่น้อยครั้งที่ผมจะทำ

“เออ เปิดเทอมมันก็ไม่แหกขี้ตามาเช้าแบบนี้!...แล้วนี่เสือกมามหาลัยคนอื่น”ไอ้รงค์ช่วยซ้ำเติม เพราะอีกเหมือนกัน...มันรู้ผมไม่เคยไปทันเรียนคาบแรก

“ถามจริง...เสือกมาทำไมแต่เช้าวะ?...แล้ว...”ไอ้รงค์ถาม พลางพยักเพยิดมาที่ชุดที่ผมใส่อยู่ หน้าตามันสงสัยจริงๆ

“มันลืมว่ามหาลัยปิด”ไอ้วิทย์ตอบแทนให้ เพราะผมเล่าให้มันฟังไปบ้างแล้วตอนโทรลากมันออกมา

“แล้วลืมด้วยเหรอวะ ว่าเรียนที่ไหน?”ไอ้รงค์ยังไม่เลิกสงสัย

“เมื่อวานมันเพิ่งไปชำระความกับเจ้าหนี้เก่ามา...”ไอ้วิทย์ช่วยตอบอีก คราวนี้มันทำเสียงแปลกๆที่ฟังแล้วไม่ค่อยสบายหูเท่าไหร่นัก และมันพยักเพยิดไปทางทิศทางที่พี่เหยาเดินจากไป เมื่อไอ้รงค์ยังทำหน้าไม่เข้าใจ

“เค้าไม่โกรธมึงแล้ว?”ไอ้รงค์ถามด้วยหน้าตาที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นยิ่งทำให้ผมใจเสีย

“ไม่งั้นมันจะแหกขี้ตา ตาลีตาเหลือกมาแบบนี้เหรอ?”ไอ้วิทย์พูดด้วยน้ำเสียงแปลกอีกครั้ง ผมเห็นไอ้ชัยส่งสายตาปรามไปที่มัน แต่ถึงไอ้ชัยไม่ทำ ผมก็ไม่กล้าพูดอะไรอยู่ดี

“ไปเหอะ...กูหิว!”ไอ้รงค์ตัดบท

เพราะเป็นช่วงปิดเทอม ร้านอาหารเลยเปิดอยู่แค่ไม่กี่ร้าน และร้านที่กินแล้วไม่เสียดายตังค์ที่เราพอฝากท้องได้ก็เหลืออยู่ร้านเดียว

ผมชะงักอยู่หน้าร้านจนไอ้ชัยมันเดินชน เมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนพี่เหยานั่งอยู่ในร้าน

เพื่อนพี่เหยาคนปากเสียสะกิดพี่เหยา ที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับจานข้าวตัวเองให้ดูผม

ผมยังอายไม่หายจากคำทักทายโง่ๆของตัวเอง แต่พอหายจากอาการชะงักขามันก็พาเดินลิ่ว ปากมันขยับยิ้มอีกโดยไม่รู้ตัว

“พี่กินข้าวหรือยัง?”ผมได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปแบบนั้นทั้งที่ในใจคิดจะถาม...พี่กินอะไร?...

อีกครั้งที่พี่เหยาไม่ตอบ...แต่ถึงอยากตอบก็คงตอบไม่ได้ เพราะในปากกำลังเคี้ยว ข้าวที่ผมถามถึงอยู่เนื่อยๆ...มือที่ถือช้อนอยู่ก็ยกค้าง ในขณะที่ตาก็มองผมที มองข้าวในจานตัวเองที

เพื่อนพี่เหยาคนที่ปากเสียนั่งหัวเราะจนข้าวติดคอ จนพี่นัทต้องส่งน้ำให้

ผมว่าตอนนี้หน้าผมคงแดงไปหมด เพราะมันร้อนวูบวาบๆ

พี่เหยาก็มองหน้าผมไม่เลิก ปากก็เคี้ยวข้าวช้าลง คงกลัวว่าถ้ากลืนลงคอไปแล้วจะต้องตอบคำถามผมกระมัง

“เอกกินข้าวหรือยัง?”พี่นัทเป็นคนถามผม ซึ่งผมก็แอบดีใจที่เพื่อนพี่เหยารู้จักชื่อผมด้วย

“แล้วมาทำอะไรกันแต่เช้า?”เพื่อนพี่เหยาอีกคนถาม มารู้ชื่อทีหลังว่าชื่อ พี่เก่ง

ยังไม่ทันที่ผมจะนึกหาคำตอบให้พี่เขาได้ ไอ้วิทย์ก็ตัดสินใจเข้ามาลากคอผมกลับไปนั่ง

“เป็นห่าอะไรของมึงวะ?”มันถาม จับผมยัดเข้าไปนั่งด้านใน อย่างกับกลัวผมจะออกไปเดินเพ่นพ่าน

“พวกพี่เขามาทำไมกันแต่เช้า?”ผมกระซิบถามไอ้วิทย์

“เตรียมงานลอยกระทง...พี่เก้าเค้าเป็นประธานสโม”ไอ้วิทย์ตอบ ไม่ค่อยเบาเท่าไหร่

พี่เก้าที่ไอ้วิทย์พูดถึงก็คือเพื่อนพี่เหยาคนที่ปากเสียกว่าเพื่อน คบกับพี่เหยามาตั้งแต่ม.ปลายเหมือนพี่นัท มารู้จากพี่เหยาทีหลังว่า จริงๆพี่เค้าไม่ได้ชื่อเก้าที่แปลว่าเลขเก้า แต่ชื่อเก้า เสียงสั้นๆ ที่แปลว่าหมา...ซึ่งผมก็ว่าเหมาะสมดี

แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ พี่เค้าเป็นประธานสโมสรนักศึกษา...ผมนึกถึงประธานมหาวิทยาลัยของผมแล้วต้องบอกว่าต่างกันสิ้นเชิง...ประธานของผมเป็นประเภทที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตร ขึ้นต้นประโยคก็...น้องครับ จบท้ายประโยคก็...น้องครับ ทำหน้าเข้าอก เข้าใจรุ่นน้องตลอดเวลา ชนิดที่ว่าบางทีเรายังงงว่า พี่เขาเข้าใจอะไร เพราะพี่เขาทำหน้าเข้าใจ ในขณะที่หน้าเรายังว่างเปล่า

ผมไม่อยากแอบชำเลืองมองไปทางที่พี่เหยาอยู่มากนัก เพราะพอแอบมองไปครั้งหนึ่งก็สบตากับพี่เก้าที่ยักคิ้วให้ผมอย่างเป็นกันเอง

ดูก็รู้ว่าพี่เขาไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ซึ่งก็เหมือนกันกับผมที่ไม่ค่อยชอบหน้าพี่เขาเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อพวกพี่เหยากินข้าวเสร็จ ขณะที่เดินออกจากร้าน พี่เหยาเดินคุยไปกับพี่เก่ง ในขณะที่พี่นัทโบกมือให้พวกผม พี่เก้ากลับหยุดยืน จ้องหน้าผม ปากพี่แกก็ยิ้มกวนๆ จนพี่นัทหันมาลากไปนั่นแหละ พี่เขาถึงจะเดินไป แต่ก็ยังไม่วายหันมามองหน้าผมอีกครั้งอยู่ดี



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“ก็มึงเสือกทำอะไรเพี้ยนๆ”ไอ้วิทย์ว่างั๊น แต่ก็คงจริงตามมันว่า เพราะหลังจากนั้น ก็น่าจะพูดได้ว่าที่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยากลับมาดีกันได้ ก็เพราะพี่เก้ามีส่วนช่วยอยู่ด้วยเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้เป็นไปด้วยเจตนาก็เถิด แต่นั่นก็หลังจากพี่เหยา กลับบ้านจนกระทั่งกลับมาเชียงใหม่อีกครั้ง

วันนั้นทั้งวันผมไม่ได้เจอพี่เหยาอีกเลย ซึ่งก็รวมไปถึงอีกเป็นอาทิตย์ กว่าผมจะรู้ว่าพี่เหยากลับไปบ้าน ก็ร่วมวันที่ 3 ที่ 4 ที่พี่เหยากลับไปแล้ว แล้วกว่าที่ผมจะรู้ว่าพี่เหยากลับมา ก็ผ่านไปอีกร่วมอาทิตย์เหมือนกัน

และแม้พี่เหยาจะกลับมาแล้ว และแม้ว่าผมจะอยู่ติดบ้าน นั่งเฝ้าหน้าร้านให้ย่าทั้งวัน กับบ่อยครั้งไปเดินเตร่ที่หน้าบ้าน ผมก็ไม่เคยเจอพี่เหยาเลย กับอีกบางครั้งผมไปนั่งแก่วอยู่ที่มหาวิทยาลัยพี่เหยาเพียงเพราะสังเกตเห็นว่ารถพี่เหยาไม่ได้จอดอยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่เคยเจอพี่เหยาอีกเช่นกัน

ผมนึกอยากให้แม่พูดถึงพี่เหยา 3 เวลาหลังอาหารเหมือนแต่ก่อน แต่ก็อีกนั่นแหละ เพราะผมเอง ชื่อพี่เหยาเลยเกือบจะกลายเป็นชื่อต้องห้ามสำหรับที่บ้านไปเสียแล้ว

ดังนั้นกว่าที่ผมจะได้เจอพี่เหยาอีกที ก็พอดีเปิดเทอม และก็ที่มหาวิทยาลัยไอ้วิทย์นั่นแหละ

“ไปส้วมมา!”พี่เก้าเปิดฉากทักทายผมมาแต่ไกล ชนิดได้ยินไปกว่าค่อนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เรายังมองเห็นกันชนิดไกลลิบๆ ไอ้อาการเนื้อเต้นที่ได้เจอพี่เหยามันก็เหลือแค่เต้นแบบแผ่วๆ หน้าผมร้อนวูบๆ...แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะอายเพียงอย่างเดียว

“อย่าไปถือ เมื่อเช้ามันกินหมามา”พี่นัทตบบ่าผม เมื่อเราเดินมาเผชิญหน้ากัน หน้าผมมันคงฟ้องว่าหงุดหงิดเต็มแก่ ก็ผมอุตส่าห์คิดไว้แต่เช้า ว่าถ้าวันนี้เจอพี่เหยาจะทักว่าอะไร แล้วเจอพี่เก้าตะโกนทักแบบนี้จะให้ผมทักพี่เหยาอีท่าไหน

ผมสะบัดไหล่จากมือพี่นัท จ้องหน้าพี่เก้าที่จ้องผมกลับมาเขม็งเช่นกัน แต่ก็เหลือบไปเห็นพี่เหยาทำหน้าอึดอัดใจ คล้ายเวลาที่ต้องอยู่เป็นบุคคลที่สามเวลาแม่บ่นว่าผมเมื่อตอนเด็กๆ ผมเลยบอกตัวเอง...ทำตัวให้น่าสงสารไว้ดีกว่า...

คิดได้ดังนั้น ก็เลยทำเดินก้มหน้างุดๆผ่านพวกพี่เค้าไป

แล้วพี่เก้าก็ทักทายแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกัน

“ไปส้วมมา”ทักแบบนี้ทุกครั้งที่เดินสวนกัน

“กินข้าวแล้ว”และทักแบบนี้เวลาที่เจอกันที่โรงอาหาร

และผมก็ไม่โต้ตอบแกล้งทำหน้าจ๋อย ก้มหน้างุด เดินผ่านพี่ๆเขาไปตลอด

ผมเล่าให้พวกไอ้วิทย์ฟังถึงสาเหตุที่พี่เก้าทักทายผมแบบนั้น

“มึงเลยกระแดะทำหมอบ... คงได้ผลหรอก หน้าหงิกๆงุดๆอย่างงั๊นน่ะ!”คราวนี้ไม่ต้องอธิบายถึงที่มาของท่าก้มหน้างุด ไอ้วิทย์มันก็เดาได้

แต่คราวนี้พอพี่เก้าทัก ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยก็รีบเดินก้มหน้างุดเป็นเพื่อนผม แทนที่มันจะดูน่าสงสาร เลยกลายเป็นตลก ผมสั่งให้พวกมันเลิกทำ พวกมันก็ไม่ยอม มันว่า...สาม แรงแข็งขันจะได้ยิ่งน่าสงสาร

“เป็นห่าอะไรของพวกมันกันวะ?”พี่เก้าบ่นพึมพำ เมื่อพวกผมก้มหน้างุดๆเดินผ่าน

พี่เก้าทักแบบนั้นได้อีกสัก 2 ครั้งก็หมดความอดทน พี่เขามองหน้าพวกผม ส่วนพวกผมก็รอให้พี่เขาทัก จะได้ทำหมอบเดินผ่าน ที่ไหนได้ อยู่ๆพี่เก้าก็สะบัดหัว ทำท่างุดๆเดินผ่านพวกผมไปซะงั๊น

พี่นัทหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่พี่เก่งที่ยืนอยู่ข้างหลังยกเท้าถีบจนพี่เก้าคะมำ ส่วนพี่เหยาที่เมื่อครู่เห็นเดินกินน้ำอยู่ ก็หัวเราะและสำลักน้ำจนหน้าแดง

ตอนนั้นแหละ ผมเลยค่อยชอบหน้าพี่เก้าขึ้นมานิดหน่อย และชอบมากขึ้น เพราะหลังจากนั้น พี่แกก็เปลี่ยนมาทักทายแบบปกติ และมักเป็นฝ่ายทักผมก่อนเสมอ กับอีกบางครั้งก็เรียกพวกผมให้มานั่งที่โต๊ะเดียวกัน เลยทำให้ผมสนิทกับเพื่อนๆพี่เหยามากขึ้นอย่างรวดเร็ว

มาถึงตรงนี้ระยะห่างระหว่างผมกับพี่เหยามันก็แคบเข้า ถึงจะเป็นระยะห่างทางกาย ไม่ใช่ทางใจก็เถอะ แต่ผมก็มีโอกาสคุยกับพี่เหยามากขึ้น ถึงแม้การคุยกันที่ว่า จะเป็นแค่การถามตอบ คือผมถาม และพี่เหยาตอบ ดังนั้นทางเดียวที่ทำได้ก็คือถามบ่อยๆ จนร่วม 2 เดือนหลังจากนั้น พี่เหยาก็เริ่มเป็นฝ่ายถามผมบ้าง...

“เลิกถามไอ้ที่รู้แล้วสักทีได้หรือเปล่า!” พี่เหยาถามว่างั๊น...ซึ่งผมก็ดีใจ

แล้ว 3 เดือนหลังจากนั้น พี่เหยาก็เลิกเดินหลบผม อย่างที่เคยทำเสมอในเวลาที่เดินมาคนเดียว

4 เดือนหลังจากนั้น พี่เหยาทำตัวตามสบายขึ้น เมื่ออยู่กับเพื่อนๆในเวลาที่มีผมอยู่ด้วย และยอมกินขนมที่ผมเป็นคนซื้อมา และเอามาวางไว้ที่โต๊ะเพื่อแบ่งกันกิน

5 เดือนหลังจากนั้น พี่เหยาก็เดินเข้ามาซื้อเป๊ปซี่ที่ร้านผม ถึงพี่เหยาจะชะงักเมื่อเห็นผม เพราะจริงๆแล้วเวลานั้นผมควรจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็เถอะ...พี่เหยาไม่พูดอะไร แค่ขมวดคิ้วมองผมยิ้มหน้าบาน ขณะพิถีพิถันนับตังค์ถอนอย่างตั้งอกตั้งใจ

แล้วอีก 5 เดือน 2หรือ 3 วันหลังจากนั้น พี่เหยาก็พูดกับผมเป็นครั้งแรก

“ทอนตังค์แบบนี้ ก็พอดี กว่าจะทอนเสร็จ พี่ต้องทอนคืน เพราะเป๊ปซี่มันขึ้นราคา”

แล้วเราก็คุยกันมากขึ้น เพียงแต่ไม่เรื่อยเปื่อย อย่างที่เคยคุยกันเมื่อตอนยังเด็ก...พี่เหยาทำตัวตามสบายมากขึ้น เพียงแต่ไม่เหมือนอย่างที่เคยซุกตัวหลับอยู่บนที่นอนของผม เรานั่งใกล้กันมากขึ้น แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เราจะสัมผัสถูกตัวกัน เพราะเมื่อใดที่เราใกล้กันมากเกินไป และเมื่อใดที่เราสัมผัสถูกกันแค่ปลายนิ้ว ความแปลกหน้าระหว่างกัน ก็จะกลับมาอีกครั้ง เป็นหลักฐานยืนยันว่า เราไม่เคยลืมสัมผัสของกันและกัน...

และยิ่งใกล้กันเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้ระยะห่างมากขึ้นเท่านั้น...

เพราะแม้มีหลายอย่างที่พี่เหยายังเหมือนเดิม...ทั้งเรื่องที่ติดเป๊ปซี่...เรื่องที่ชอบเขียนชื่อไว้ที่มุมสมุดโน๊ตทุกๆหน้าเวลาที่นั่งฟังอะไรเพลินๆหรือเวลาที่ไม่มีอะไรทำ หรือแม้แต่น้ำหอมกลิ่นที่เคยคุ้นจมูกดี

แต่ก็มีอีกบางเรื่อง ที่บอกว่า ไม่ใช่ผมอีกแล้วที่รู้จักพี่เหยามากกว่าใคร...

ที่ผมไม่เคยรู้คือ เพียงแค่เรื่องเล็กๆเพียงบางเรื่อง ที่ผมไม่รู้ว่าจะส่งผลกับความรู้สึกของผมได้เพียงนี้

...ผมนั่งมองดูพี่เหยาที่นั่งก้มหน้าก้มตา เขียนชื่อตัวเองที่มุมสมุดโน๊ตขณะฟังพี่เก้าเล่าเรื่องย่อของหนังที่กำลังพยายามจะชักชวนเพื่อนๆไปดู แต่ท่าทางจะไม่มีใครยอมไปดู

มือหนึ่งพี่เหยาถือปากกา ในขณะที่อีกมือ ถือไอติมหางเสือที่เหลือก็แต่กรวย

ผมจำได้ พี่เหยาไม่ชอบกินกรวยไอติมหางเสือ เมื่อก่อนพี่เหยาจะกินก็แค่เนื้อไอติม แล้วส่งกรวยให้ผมกินต่อทุกครั้ง พอวันไหนผมแกล้งบ่ายเบี่ยงไม่กิน พี่เหยาก็โยนทิ้งทั้งอย่างนั้น

‘เสียของ! ไม่นึกถึงคนที่เขาไม่มีกินบ้าง’ผมโวย ด้วยประโยคที่พี่เหยาเคยเป็นฝ่ายพูดกับผม

‘ก็ถ้ากิน แล้วคนที่เขาไม่มีกิน อิ่มไปด้วยได้ พี่จะกิน!’แต่พี่เหยาว่างั๊น

‘เสียดายตังค์!’ผมยังไม่ยอมแพ้ โวยด้วยประโยคที่พี่เหยาเคยพูดอีกเหมือนกัน

‘ก็เสียตังค์ไปแล้ว ทำไมต้องเสียความรู้สึกมานั่งกินไอ้ที่ไม่ชอบอีกล่ะ!’พี่เหยาก็ไม่ยอมแพ้ สุดท้ายผมนั่นแหละที่ต้องเงียบเพราะเหตุผลของพี่เหยาเข้าท่าดี เพียงแต่ว่านึกรู้ด้วยเหมือนกันว่า ลองผมพูดกับพี่เหยาแบบนี้บ้าง โดนไม้บรรทัดเคาะหัวแน่...

แต่มาวันนี้ พี่เหยาค่อยๆเล็มกรวยกิน ดูเพลินดี...แต่ผมกลับรู้สึกบอกไม่ถูก จนพี่เก้าดึงกรวยไอติมจากมือพี่เหยามาส่งให้ผมตรงหน้านั่นแหละ ผมถึงรู้สึกตัวว่านั่งจ้องพี่เหยาไม่วางตา

“อยากกินก็เอาไป มันไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่หรอก!”

ผมยังไม่ทันรับ พี่เหยาก็ดึงคืน แต่ก็แอบรู้สึกดีนิดๆที่รู้ว่าพี่เหยายังไม่ค่อยชอบกินมันเหมือนเดิม

แล้วหน้าร้อนปีนั้นเอง ระยะห่างระหว่างเรามันก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง แต่ก็ยากที่จะบอกว่า ใกล้ขึ้นหรือ ไกลกันยิ่งกว่าเดิม

ฝนกลางเดือนเมษา คือฝนที่น่าเบื่อที่สุด เพราะมักมากับลมร้อนที่ทำให้ใครต่อใครต้องหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมต้องมานั่งฟังเสียงแม่บ่นอยู่บนเบาะหลังรถแคบๆนี่

“ติด ร....เรียนมหาวิทยาลัยแล้วยังติด ร.”แม่พูดประโยคนี้มาไม่รู้กี่ร้อยเที่ยวแล้ว ผมได้แต่คิดในใจว่า ...ทำไมเรียนมหาลัยแล้วจะติดร. ไม่ได้ ถ้าติดไม่ได้ แล้วมันจะมี เกรดตัวนี้ได้ยังไง...แต่ถึงจะคิดอย่างนี้ แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปได้ก็คือเหตุผลที่ผมติด ซึ่งผมก็พูดให้แม่ฟังไปแล้วจนปากจะฉีกว่า มันไม่ใช่ความผิดผม รายงานที่ผมกับเพื่อนในกลุ่มตั้งอกตั้งใจทำกันเสียดิบดีนั้นมันไม่ถึงมืออาจารย์ เพราะเรามอบหมายให้ไอ้...เพื่อนบางหนึ่งคนที่แม้แต่ชื่อผมก็ยังไม่รู้จักเป็นคนจัดการ...มันถูกยัดเข้ากลุ่มผมโดยคำข้อร้องแกมบังคับของอาจารย์ ซ้ำมันไม่เคยโผล่หน้ามาช่วยเลยแม้แต่ครึ่งนิ้วของใบหน้ากว้างๆของมัน เราเลยลงโทษให้มันเป็นคนจัดการเอาข้อมูลที่เรียบเรียงไว้แล้วในแผ่นดิสก์ พิมพ์ออกมาและเข้าเล่มส่งอาจารย์ แม้แต่รูปแบบหรือสีปกเราก็กำหนดไว้เสร็จสรรพ เรียกว่ามันไม่ต้องเปลื้องสมองอันน้อยนิดของมันเลย ถามมันกี่ทีมันก็ว่าเรียบร้อยแล้ว แล้วมันก็ดร๊อปไปโดยไม่บอกพวกผมสักคำว่ายังไม่ได้ส่งรายงาน กว่าจะรู้อาจารย์ก็เรียกไปพบนี่ล่ะ

“ก็มันเป็นความรับผิดชอบของเราไม่ไช่หรือไง ที่ต้องติดตาม?”แม่พูดถูก แต่ในเมื่อมันบอกแล้วว่าเรียบร้อย ใครจะสนใจอีกล่ะ...ที่มันดร๊อปไป พวกผมไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ...ผมเถียงในใจ

“อ้าวนั่นเหยานี่!”แม่อุทาน ชี้มือไปยังกลุ่มคน แต่ผมมองตามออกไป ไม่ยักกะเห็น

ตอนนั้นเป็นตอนเย็นช่วงเลิกงาน หลังเทศกาลสงกรานต์ ที่ตลาดวโรสหรือที่เรียกกันติดปากว่ากาดหลวง และฝนกำลังตก

เมื่อรวมสี่หัวข้อนี้เข้าด้วยกัน จึงไม่ต้องแปลกใจในจำนวนผู้คนที่เดินกันแออัด บางคนเป็นคนท้องถิ่นที่มารวมกันเพื่อหาหนทางกลับบ้านเพราะกาดหลวงคือศูนย์กลางของรถประจำทางหลายๆสายที่จะผ่าน ทั้งคิวรถออกสู่ต่างอำเภอ และรถสี่ล้อแดงที่ไปทุกที่ขอให้มีคนโบก กับอีกบางคนที่เป็นนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันมาซื้อของฝากก่อนเดินทางกลับบ้าน รถจึงติดขนัดแทบไม่ขยับ และผมนับถือแม่ที่ยังมองเห็นพี่เหยาในกลุ่มคนจำนวนมหาศาลนี้ทั้งที่ปากยังขยับบ่นผมไม่หยุด

“เอกลงไปตามพี่เขาให้กลับด้วยกันสิลูก เห็นว่ารถเสียน่ากลัวจะมาขึ้นรถกลับ”พ่อหันมาบอกผมจากด้านหลังพวงมาลัย

“ฝนตกอยู่นะพ่อ!”ผมโวยก่อนกุลีกุจอลงจากรถ ทั้งที่ยังมองไม่เห็นพี่เหยา

“พี่เหยา!”ผมตะโกนเรียกเมื่อเห็นหลังพี่เหยาไวๆ

“ไปไหน?”และร้องถามเมื่อมาถึงตัวพี่เหยา

“กลับบ้าน”พี่เหยาตอบคำถามที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องเผื่อไว้ก่อน เพราะถ้าชวนออกไปเลย เดี๋ยวพี่เหยาจะบ่ายเบี่ยงได้

“งั๊นกลับด้วยกัน พ่อให้มาตาม...เร็ว รถขยับแล้ว!”ผมชวนและเร่งเร้า ทั้งที่ยังไม่รู้หรอกว่ารถขยับหรือยัง แต่พูดจบผมก็วิ่ง รู้ว่าอ้างชื่อพ่อ หรือ แม่ พี่เหยาคงไม่กล้าปฏิเสธ

มาถึงรถ ผมก็รีบกระโดดขึ้นรถ ในขณะที่พี่เหยายังยืนรออยู่

“ตัวผมเปียก...”พี่เหยาก้มตัวลง บอกพ่อ และผมมองผ่านคอเสื้อพี่เหยาเข้าไปเห็นผิวอกขาวโดยไม่ตั้งใจ

“ไม่เป็นไร ตัวผมก็เปียก!”ผมบอก ก่อนเบือนหน้าหนี

“ไม่เป็นไร ขึ้นมาเถอะ”พ่อช่วยรับรอง พี่เหยาเลยยอมขึ้นมานั่งอยู่กับผมที่เบาะหลัง

“แม่เบาแอร์หน่อย หนาว!”ผมบอกแม่ ทั้งที่ไม่รู้สึกหนาวสักนิด แต่ผมจำได้ว่าพี่เหยาขี้หนาว ถึงหน้าหนาวทีไร คนอื่นยังไม่ทันหนาว พี่เหยาก็หนาวแล้ว แล้วยิ่งวันนี้เปียกฝนไปทั้งตัวด้วย และผมคิดถูก เพราะพอผมส่งหมอนอิงที่นั่งกอดอยู่ให้ พี่เหยาก็รับไปกอดไว้ไม่พูดอะไร

“แล้วนี่จะแก้ไขยังไง?”แม่พูดขึ้นมาอีก แล้วทุกคนก็เงียบ แม้แต่ผมก็ลืมไปแล้วว่าแม่พูดเรื่องอะไร แต่แม่ยังจำได้ว่าตัวเองยังบ่นไม่จบ

“ไม่รู้ วันนี้ยังไม่เจออาจารย์”ผมตอบ ชักน้ำเสียงชักสีหน้า ไม่อยากให้แม่พูดต่อ ไม่อยากดูไม่เอาไหนต่อหน้าพี่เหยา แต่แม่ไม่หยุด

“แล้วเพื่อนที่ดร๊อปไปไม่เจอกันบ้างหรือไง?”แม่ถามและผมแกล้งถอนหายใจดังๆ แอบชำเลืองมองพี่เหยาที่เส มองออกไปนอกหน้าต่าง คงรู้แล้วว่าแม่กำลังบ่นผมอยู่ พ่อมองดูผมจากกระจก เหลือก็แต่แม่ที่ใจจดจ่ออยู่ที่ ตัวร. ตัวเดียว

“รถเสียเหรอเหยา?”พ่อถามพี่เหยา ด้วยคำถามที่รู้อยู่แล้ว

“ครับ มันสตาร์ทไม่ติด”พี่เหยาตอบ แม้จะสั้น แต่จริงๆก็ยาวกว่าปกติ เพราะโดยส่วนมากพี่เหยาจะตอบแค่...ครับ แล้วไม่อธิบาย เรียกว่าถ้าอยากรู้ก็ถามต่อเอง

“มันดับไปเลย หรือ สตาร์ทแล้วดังแช๊ะๆ”พ่อถามต่อ ผมนึกขำพี่เหยาที่ยกมือขึ้นเกาคอ พลางทำท่าคิด

“เออ...ไม่รู้สิครับ”พี่เหยาตอบหลังจากพยายามคิด

พ่อถามต่ออีกหลายๆประโยค แต่ก็ไม่ค่อยจะได้คำตอบ ดูเหมือนพี่เหยาจะทำเป็นแค่เติมน้ำมันอย่างเดียว ผมนึกเห็นภาพทอมที่ยืนล้างรถทีละ 2 คันที่หน้าบ้านบ่อยๆ แล้วก็นึกได้ว่า รถของพี่เหยา จากสีขาว ตอนนี้มันชักจะเปลี่ยนสีแล้ว เพราะทอมไม่อยู่มาร่วมเดือนแล้ว



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
‘ทอมหายไปไหน ไม่เห็นมาหลายวันแล้ว’ผมถามแม่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ตอนเพิ่งสังเกตเห็นว่าทอมหายหน้าหายตาไป ถึงระยะหลังผมจะไม่ชอบหน้าทอม แต่ก็อดสงสัยที่เห็นหายเงียบไปไม่มาซื้อของไม่ได้

‘หลายวัน!?...นี่ถ้าเป็นศพ กระดูกก็ไม่เหลือแล้วนะเอก! ทอมไม่อยู่มาเป็นอาทิตย์แล้ว’แม่ตอบคำถามด้วยคำเปรียบเทียบที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่ผมก็ได้คำตอบว่าทอมไปออกงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ

“เอกติด ร.”แม่หันมาบอกพี่เหยา เมื่อพ่อหยุดคุยกับพี่เหยาไปแค่ 5 วินาที

ผมเห็นพ่อมองผมผ่านกระจกส่องหลังอีกครั้ง ส่วนพี่เหยาก็หันมามองผมด้วยท่าทางอึดอัดใจอย่างที่เคยทำเสมอ เมื่อต้องรับฟังเสียงบ่นว่าผมของแม่

“แล้วนี่ทอมไม่อยู่ กินข้าวยังไงล่ะ”พ่อหาเรื่องถามพี่เหยา ด้วยคำถามที่รู้อยู่แล้วอีกครั้ง

“ก็กินตามปกติครับ ปกติก็ไม่ค่อยได้กินกับทอมอยู่แล้ว เพราะเวลาทอมอยู่กว่าจะกลับก็ค่ำ”และพี่เหยาก็ตอบยาวกว่าปกติอีกครั้ง

“มากินข้าวที่บ้านน้าก็ได้”แม่เสนออย่างมีน้ำใจ และผมแอบเห็นด้วย

“ไม่เป็นไรครับ”และพี่เหยาก็ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่ผมแอบต่อท้ายประโยคให้ในใจว่า...ขี้เกียจฟังน้าบ่น...

“แล้วทอมจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”พ่อถามพี่เหยาต่ออีก ทั้งที่ปกติจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นเท่าไหร่นัก

“ประมาณกลางเดือนหน้าครับ ตอนแรกบอกว่าว่าจะกลับปลายเดือนนี้ แต่เห็นว่าจะเลยกลับบ้านด้วย เลยเลื่อนไปอีก 2 อาทิตย์”และพี่เหยาก็ตอบยาวกว่าปกติ ทั้งๆที่ปกติคงตอบแค่...กลางเดือนหน้าครับ หรือไม่ถ้าขี้เกียจคุยก็จะตอบว่า...ไม่ทราบครับ

แล้วพ่อก็ถามพี่เหยาต่อไปเรื่อยๆ เรื่องงานแสดงสินค้าของทอมบ้าง เรื่องบ้านทอมบ้าง ผมว่าพ่อคงไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่หรอก เพียงแต่ไม่อยากเปิดโอกาสให้แม่บ่นเรื่องผมต่อเท่านั้น เช่นเดียวกันกับพี่เหยาที่ดูจะเต็มอกเต็มใจตอบอะไรยาวแสนยาวผิดจากปกติวิสัยของพี่เหยาที่ผมรู้ ซึ่งก็คงด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับพ่อ

ดังนั้นตลอดทาง แม่เลยไม่มีโอกาสบ่นผมอีก

“ผมไปบ้านพี่เหยานะ!”ผมชิงบอกแม่ตั้งแต่พ่อหักรถจอดเข้าข้างทางหน้าบ้าน และรีบกระโดดลงจากรถ ทั้งที่รถยังไม่ทันจอดสนิท จนพ่อต้องเหยียบเบรค ปล่อยให้ผมลงก่อน

“ไม่เป็นไรครับ”ผมได้ยินเสียงพี่เหยาพูด ก่อนที่ตัวเองจะกระแทกประตูปิด และไปยืนรอพี่เหยาที่หน้าบ้าน รอจนพ่อจอดรถเสร็จ จนพี่เหยาลงจากรถและเดินมาหาผม หรือจริงๆก็หน้าบ้านตัวพี่เหยาเองที่ผมยืนอยู่นั่นแหละ

“ผมเข้าไปได้หรือเปล่า?”ผมถาม เมื่อพี่เหยาเดินมาถึงตัว ยังจำเหตุการณ์วันสุดท้ายที่ตัวเองเหยียบย่างเข้าไปได้เจนตา ซึ่งพี่เหยาก็คงจำได้เจนใจเช่นกัน เพราะทั้งที่พี่เหยาควรจะเรียนจบไปพร้อมกับเพื่อนๆที่จบไปเมื่อภาคเรียนที่แล้ว แต่พี่เหยากลับยังต้องเรียนต่อไป

พี่เหยาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ

ภายในบ้านไม่แตกต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่ผมได้เหยียบเข้ามา

ผมเดินตามพี่เหยาขึ้นไปชั้นบน และอดไม่ได้ที่แอบมองร่างกายพี่เหยาจากด้านหลัง มันนานมากแล้วที่ผมไม่มีโอกาสแบบนี้

ผมสะดุ้งเมื่อพี่เหยากดสวิทต์ไฟเปิด

ผมหลงลืมไปเสียสนิทใจ ว่าที่ชั้นบนของบ้านทอมนั้นไม่ได้ใช้ไฟนีออนอย่างที่ใช้ทั่วไปในอาคารพาณิชย์ และแสงไฟสีส้มสลัวนั้นก็คล้ายจะกระตุกทุกสิ่งที่จดจำไว้ให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว

ผมมองไปรอบๆ พร้อมกับภาพที่ทำอย่างไรก็ไม่เคยลืมแล่นผ่านหัวเข้ามาทีละภาพ ในทุกๆที่ ที่ผมจดจ้อง

ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ภาพร่างอันเปลือยเปล่าของพี่เหยาจากความทรงจำดูจะปรากฏไปเสียทุกแห่ง

“พี่ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนนะ”เสียงพี่เหยาเรียกสติผมให้กลับคืน แต่ก็ไม่อาจลบภาพที่กำลังฉายอยู่ในหัวผมได้ ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับโดยไม่กล้าสบตา

“แล้วเอกล่ะ?”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ค่อยเปียกเท่าไหร่เดี๋ยวก็แห้ง”ผมสูดหายใจลึกก่อนตอบ ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอยู่ดีเพราะกลัวพี่เหยาจะจับได้ว่าผมคิดอะไร

“งั๊น เดี๋ยวลงมานะ”พี่เหยาบอกและผมพยักหน้ารับ แต่ผมแอบชำเลืองดูและเห็นพี่เหยายังยืนอยู่ที่เดิม...หรือพี่เหยาจะจับได้ว่าผมคิดอะไรอยู่?...ผมคิด กลัวพี่เหยาจะโกรธ

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวน้าสุก็หายโกรธ...”แต่พี่เหยาพูดในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน และนั่นยิ่งทำให้ผมนึกรังเกียจในสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด และยิ่งรังเกียจเมื่อพบว่า ภาพต่างๆยังไม่ยอมหายไปจากหัว ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับ ฟังเสียงพี่เหยาเดินขึ้นไปชั้นบน

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว แต่แล้วก็ต้องรีบลุกขึ้นราวกับโดนของร้อน เมื่อจดจำได้ว่าผมเคยทำอะไรไว้กับพี่เหยาบนโซฟาตัวนี้บ้าง

...กลับดีกว่า...ผมบอกตัวเอง เมื่อรู้สึกได้ถึงอารมณ์ปรารถนาของตัวเองที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใน และยิ่งทวีขึ้น เมื่อนึกเห็นภาพพี่เหยาที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ชั้นบน

...ต้องกลับ!...ผมบอกตัวเองอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะอ้าปากตะโกนบอกพี่เหยา เสียงพี่เหยาเรียกผมก็ดังมาจากข้างบนเสียก่อน

ผมเย็นวาบไปทั้งตัว ยังจำความอ่อนนุ่มของเตียงตัวใหญ่ที่ร่างกายได้บดเบียดกับร่างกายของพี่เหยามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนนั้นได้ดี

“เอก!”เสียงพี่เหยาเรียกผมดังจากหน้าบันไดด้านบน

“ครับ...”ผมตั้งใจตะโกนตอบ แต่รู้สึกมันแผ่วๆ ขามันก็ไม่ยอมขยับเดิน

“รับ!”ผมคงชักช้าไม่ทันใจ พี่เหยาเลยไปฝ่ายเดินลงมาเสียเอง และตะโกนบอกให้ผมรับ ก่อนที่จะโยนผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ผมและวิ่งกลับขึ้นไป พี่เหยายังอยู่ในเสื้อผ้าชุดที่เปียกชื้นตัวเดิม

ผมยืนกอดผ้าเช็ดตัวอยู่กับที่ เถียงกับตัวเองว่าจะกลับไม่กลับดี

ถ้ากลับ ผมก็ยังนึกเสียดายโอกาสดีๆที่จะได้กลับมาพูดคุยกับพี่เหยาอย่างใกล้ชิดแบบนี้

ถึงใจผมคิดอะไร พี่เหยาก็ไม่รู้นี่...ผมบอกตัวเอง ก่อนมองดูเป้ากางเกงตัวเอง ที่ดูจะนูนๆขึ้นมานิด คล้ายจะเถียงว่า หลักฐานมันตำตา พี่เหยาจะไม่รู้ได้ยังไง

พี่เหยาคงไม่มานั่งมองดูเป้ากางเกงผมหรอก...ผมบอกตัวเองพลางลูบๆไอ้ที่มันนูนๆขึ้นมา หวังให้มันยุบลงไป ทั้งนึกตำหนิตัวเองที่วันนี้ไม่เลือกใส่กางเกงที่หลวมหน่อยมา ซ้ำเสื้อกล้ามตัวสั้นข้างในมันก็สั้นปิดเป้ากางเกงไม่มิด

...ใช่แล้ว...ผมนึกได้รีบกลัดกระดุมเสื้อเชิ๊ตตัวนอก กลัดตั้งแต่เม็ดล่างสุดไล่ขึ้นมา กลัดได้แค่ 2 เม็ด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จนผมสะดุ้ง

ผมได้ยินเสียงตึงตังข้างบน ก่อนเสียงบานประตูกระแทกปิดและพี่เหยาก็วิ่งลงมา

มือผมค้างอยู่ที่กระดุมเม็ดที่สาม เมื่อพี่เหยาวิ่งลงมาในชุดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายทอมือสีฟ้าเข้มตัวหนา มือพี่เหยายังสาละวนกับการผูกสายรัดเอว และเพราะพี่เหยาวิ่งลงบันไดมา ทุกย่างก้าวของทุกขั้นบันได ชายทบเสื้อคลุมจึงตลบขึ้น เห็นช่วงขาขาวเปลือยเปล่า จากปลายเท้าถึงต้นขาเปลือยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นมาร่วม 2 ปี

ผมจับจ้องทุกย่างก้าวของพี่เหยา ไม่สนใจเมื่อพี่เหยาเดินผ่านหน้าไป หากแต่สนใจกลิ่นหอมที่คุ้นเคย ไม่สนใจเมื่อพี่เหยาตอบรับโทรศัพท์แต่สนใจเมื่อเสียงตอบรับนั้นเปลี่ยนเป็นหัวเราะและตามด้วยภาษาอังกฤษรัวเร็ว

ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าที่อีกปลายสายคือใคร

ผมยังจับจ้องอยู่ที่เท้าเปลือยเปล่าและเปลือยน่อง ที่เคยพาดวางไว้บนไหล่เปล่าเปลือยของผมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนเมื่อพี่เหยากระแทกเท้ากับพื้นแรงๆ เรียกสติผมให้กลับคืนและแหงนเงยหน้ามองดูพี่เหยา

คิ้วพี่เหยาขมวดมุ่น ดูก็รู้ว่าไม่พอใจในขณะที่ริมฝีปากแดงยังคุยโต้ตอบกับอีกปลายสายไม่สะดุดสักนิด

ผมรีบหลบตา กลัดกระดุมเม็ดที่เหลือจนหมด

เสียงพี่เหยาหัวเราะ ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พี่เหยาหัวเราะ ในขณะที่คิ้วยังขมวด ตาจับจ้องอยู่ที่กระดุมเสื้อที่ผมติดจนถึงเม็ดบนสุด ผมรีบยกมือจะปลดมันออกทันที แต่เพราะรีบ มือเลยไปปัดชายเสื้อถลกขึ้น ตาพี่เหยาที่จับจ้องอยู่ที่คอเสื้อเปลี่ยนมามองที่เป้ากางเกงนูนๆของผมแทน คิ้วที่ขมวดก็ยิ่งขมวดหนักขึ้นไปอีก

ผมรีบดึงชายเสื้อลงมาปิด แต่ดูจะสายไปเสียแล้ว พี่เหยามองดูมือผมที่กำชายเสื้อที่ดึงลงมาปิดเป้ากางเกงไว้แน่น สลับกับมองหน้าผม หน้าของพี่เหยาที่เมื่อครู่ขาวซีดเพราะฝน ก็ค่อยๆแดงขึ้นทีละน้อย และมันน่ามองจนผมไม่กล้าละสายตา

สุดท้ายคนที่ต้องเป็นฝ่ายหลบตาคือพี่เหยา

พี่เหยาเลือกที่จะหันหน้าหนีเข้ากำแพงและหันหลังให้ผมแทน ซึ่งผมคิดว่าพี่เหยาไม่น่าทำอย่างนั้นเลย พี่เหยาไม่รู้หรือว่า มันยิ่งเปิดโอกาสให้ผมได้จับจ้องพี่เหยาโดยไม่ต้องนึกเกรงสายตาพี่เหยาอีกต่อไป ผมมองพี่เหยาไล่เรื่อยไปทั้งตัว ภาพที่มองเห็นจากความทรงจำ ตอนนี้ผมมองไม่เห็นแล้ว เห็นก็แต่จินตนาการของตัวเอง กับร่างอันเปล่าเปลือยที่อยากจะเห็นและทำให้เกิดขึ้นจริง

เสียงหัวเราะอีกครั้งของพี่เหยากับใครอีกคนที่อยู่ไกลถึงอีกซีกโลก ปลุกความกล้าในตัวผมขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ผมจึงขยับตัว และเดินเข้าไปหาพี่เหยาที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่ กลิ่นหอมที่ยิ่งใกล้ยิ่งเจนจมูก ยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากซุกหน้าลงสูดกลิ่นหอมนั้นกับต้นคอขาวที่เผยให้เห็นเพียงนิดจากเสื้อคลุมเนื้อหนา

แล้วพี่เหยาก็หันกลับมา ในวินาทีแรก พี่เหยาดูตกใจ ผลักผมด้วยมือข้างที่ไม่ได้กำหูโทรศัพท์ แต่ในวินาทีต่อมาเมื่อผมขืนตัวไม่ยอมเซไปตามแรงผลัก และกลับยิ่งโน้มตัวเข้าไปใกล้ ผมก็เห็นบางอย่างในแววตาของพี่เหยา...มันไม่ใช่ความกลัว ความเกลียดชังหรือความตื่นตะหนก แต่เป็นความปรารถนาเหมือนอย่างที่กำลังเต้นเร้าอยู่ในตัวผมเช่นกัน

ผมไม่สนใจดวงตาที่ฉายรอยลังเลของพี่เหยา

ไม่สนใจริมฝีปากแดงที่ยังขยับคุยกับใครอีกคนที่อยู่ไกลกว่าค่อนโลก

ผมโน้มตัว ประทับริมฝีปากลงที่แก้มของพี่เหยาข้างที่ไม่ได้ถูกปกปิดไว้ด้วยหูโทรศัพท์ แล้วค่อยลากไล้มาที่ริมฝีปาก

ความกล้าของผมมากขึ้น เมื่อพี่เหยาขยับหูโทรศัพท์เลื่อนลงให้พ้นจากริมฝีปากของตัวเอง

แม้พี่เหยาจะไม่ได้เผยอริมฝีปากขึ้นรับ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือต่อต้านเมื่อผมค่อยๆแทรกปลายลิ้นผ่านริมฝีปากที่ปิดสนิทนั้น

ผมไล้ปลายลิ้นไปตามแนวฟัน และค่อยๆแทรกผ่านเข้าไปเมื่อพี่เหยาเผยอริมฝีปากขึ้นรับในที่สุด

ตอนนี้ผมได้ยินเสียงจากอีกปลายสายชัดเจน แต่ผมไม่สนใจ สนใจก็แต่ปลายลิ้นอุ่นของพี่เหยาที่ตอบสนองต่อการรุกล้ำของปลายลิ้นผม สนใจก็แต่สัมผัสของสะโพกและต้นขาที่ถูกผมลูบไล้ด้วยฝ่ามือผ่านผ้าฝ้ายเนื้อหนา และแทบรอเวลาที่จะล้วงลึกเข้าไปสัมผัสความนุ่มเนื้อของมันไม่ไหว

ไม่ทันที่ผมจะทำได้อย่างใจอยาก พี่เหยาก็ผลักผมเต็มแรง ในขณะที่มือของพี่เหยาพยายามยับยั้งการรุกรานของฝ่ามือผม พี่เหยาก็ส่งเสียงโต้ตอบที่อีกปลายสายอย่างพยายามให้เป็นปกติ

พี่เหยาผลักผมอีกครั้งเมื่อผมยังพยายามที่จะประทับริมฝีปากลงไปที่เรียวปากที่ขยับพูดอยู่นั้นอีกครั้ง แต่ผมไม่ลดละ เมื่อสัมผัสริมฝีปากไม่ได้ ผมก็เปลี่ยนเป็นลากปลายลิ้นไปที่ลำคอขาว สองมือจับสะโพกพี่เหยารั้งเข้ามาประชิดบดเบียดกับความแข็งขืนของผม

ผมไม่เคยลืมว่าผิวเนื้อตรงใดที่ทำให้พี่เหยาสั่นไหว และ สัมผัสแบบไหนที่ทำให้ร่างกายพี่เหยาสั่นสะท้าน และยิ่งไม่เคยลืมว่า คือทอม ที่สอนให้ผมรู้จักร่างกายพี่เหยาทุกซอกทุกหลืบเนื้อ แม้แต่พื้นผิวที่แม้แต่ตัวพี่เหยาเองยังไม่เคยได้สัมผัส

ผมปล่อยมือข้างหนึ่งที่เกาะกำสะโพกพี่เหยาไว้ ลูบไล้ที่ปลายศอก ขึ้นไปถึงปลายนิ้วที่กำหูโทรศัพท์ไว้ ลากเรื่อยไปที่โทรศัพท์ และค่อยๆปลดสายมันออกอย่างช้าๆ

ผมลากปลายลิ้นกลับมาที่ริมฝีปากที่คราวนี้เผยอขึ้นรับอย่างเต็มใจ

หูโทรศัพท์ที่ไร้สายต่อเชื่อม ถูกส่งจากมือพี่เหยาสู่มือผม และผมก็ปล่อยมันร่วงหล่นลงพื้นไปไม่ใยดี

แม้ปลายลิ้นพี่เหยาจะสนองตอบต่อปลายลิ้นผม แต่สองมือของพี่เหยาก็ยังยกยันอกผมไว้ ไม่ให้ทาบทับบดเบียดกับร่างกายตัวเอง

ผมไม่สนใจต่อการขัดขืนเล็กน้อยนั้น

ผมไม่ใช่เด็กอายุ 14 ที่ต้องรอให้ทอมจับมือนำอีกต่อไปแล้ว ผมโตพอที่จะรู้ว่าจะยุติการขัดขืนนี้และทำลายกำแพงของสติที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ลงได้อย่างไร โดยเฉพาะกับร่างกายที่ผมรู้จักพอๆกับร่างกายของตัวเองนี้

แม้อยากจะปลดเสื้อคลุมเนื้อหนาออกมากมายเท่าไร แต่ผมก็ปล่อยมันไว้อย่างเดิม และแม้อยากจะล้วงมือผ่านชายทบเสื้อเข้าไปสัมผัสความอบอุ่นของผิวเนื้อมากเท่าไหน แต่ผมก็หักห้ามใจตัวเอง ทำเพียงเน้นย้ำสัมผัสของฝ่ามือผ่านผ้าทอเนื้อหนานี้ต่อไป เพราะรู้ว่าอารมณ์ปรารถนาที่ไม่ได้รับการตอบสนองชนิดผิวเนื้อต่อผิวเนื้อ สัมผัสต่อสัมผัสนั้น มันยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ปรารถนาให้รุนแรงขึ้น และยิ่งความกระหายอยากในตัวผมมันเต้นเร้าบอกให้ผมไขว่คว้าหาผิวเนื้ออุ่นเท่าใด ผมรู้ พี่เหยาก็จะกระหายอยากสัมผัสจากฝ่ามือผมโดยไม่อยากให้มีอะไรมากางกั้นเท่าๆกัน



--------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด