เกือบบ่ายสองกว่าการรักษาคนไข้ถึงเบาบางลง เขามีเวลาพักทานข้าวแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเพราะยังมีคนไข้รออยู่ ร่างเล็กเดินกระเพลกไปโรงอาหารเขาไม่ได้ใช้ค้ำยันเพราะคิมหันต์ช่วยทำกายภาพให้จนพอจะเดินเหินได้ แต่ยังไม่อาจลงน้ำหนักได้เต็มที่ เขาเลือกกินกระเพราะหมูสับเมนูที่ง่ายและเร็วที่สุด
“เพิ่งจะพักทานข้าวหรือครับหมอ”
ใบหน้าที่ติดน่ารักมากกว่าหล่อเหลาผินมองคนพูด ผู้ชายตัวสูงผิวเข้มใบหน้าคมคายยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร เขาส่งยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไปจำไม่ได้ว่าเขารู้จักผู้ชายคนนี้หรือเปล่า
“ผมชื่อภาคภูมิ เพิ่งมาทำงานเมื่ออาทิตย์ตอนที่หมอเจ็บขาพอดี” อีกฝ่ายบอกยังไม่คลายยิ้ม
วรทย์พยักหน้ารับรู้ “อยู่แผนกไหนหรือครับ”
“ผมเป็นจักษุแพทย์ครับ พอมาดูใกล้ๆ หมอน่ารักมากเลยนะครับ”
คนโดนชมทำท่าจะอ้าปากตกใจแต่ป้าแม่ค้าร้องบอกว่ากระเพราได้แล้วเขาเลยเลือกที่จะหันไปรับมื้อกลางวันของตัวเองก่อน คุณหมอร่างเล็กคว้าจานข้าวได้ก็รีบก้มหน้าเดินจ้ำอ้าวหนีตาคมคู่นั้น หน้าร้อนวูบวาบไปหมดไม่ใช่เพราะอายที่ถูกชมแต่เพราะมันแปลกเกินกว่าจะรับได้ วรทย์เลือกโต๊ะที่อยู่ห่างจากภาคภูมิให้มากที่สุด ก้มหน้าก้มตากินจนข้าวพร่องไปครึ่งจานเขาก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวที่เบื้องหน้า จานข้าวผัดไข่กลิ่นหอมควันลอยฉุยวางตรงหน้าก่อนที่เจ้าของจานข้าวจะย่อกายลงตามมา
“ขอผมนั่งกินด้วยคนนะครับ”
เพราะไม่อาจปฏิเสธได้เขาเลยจำใจต้องพยักหน้าอนุญาต แม้จะสงสัยว่าทำไมหมอภาคภูมิถึงต้องมานั่งกับเขาทั้งที่ว่างในโรงอาหารที่เยอะแยะ เขาไม่ได้เงยหน้าพิจารณาอีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับกระเพราหมูของตัวเองมากกว่า
“หมอรังเกียจผมหรือครับ”
เขายอมเงยหน้าขึ้นกับประโยคคำถามที่ฟังดูคล้ายกับจะตัดพ้อกัน ดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้นมันชวนให้คิดถึงใครบางคนอย่างช่วยไม่ได้
“อะไรทำให้หมอคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็หมอไม่ยอมคุยกับผม หน้าก็ยังไม่อยากมอง ผมขอโทษด้วยนะครับที่อยากเป็นเพื่อนกับหมอทั้งที่หมอไม่อยากมีเพื่อนอย่างผม”
หนุ่มตากลมกระพริบตารัวปรับตัวไม่ทันกับการขอเป็นเพื่อนของภาคภูมิ ชั่วอึดใจก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไร้มารยาทแค่ไหนที่เดินหนีมาเพียงแค่โดนชมว่าน่ารักเท่านั้น
“เปล่าหรอกครับ แต่ผมรีบมากเลยไม่มีเวลาได้ทักทาย”
“อย่างนั้นเองหรือครับ” หมอหนุ่มหน้าคมยิ้มกว้างอวดไรฟันขาว “ผมก็นึกว่าหมอรังเกียจผมซะอีก”
“จะรังเกียจทำไมกันล่ะครับ หมอไม่ได้ทำอะไรผมเสียหน่อย” เขายิ้มตอบกลับไปก่อนจะตักข้าวใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
ภาคภูมิอมยิ้มที่มุมปากสีสดนั่นมีเม็ดข้าวเล็กๆ ติดอยู่ด้วย มือสีน้ำตาลอ่อนยื่นไปด้านหน้าก่อนใช้หัวแม่มือปัดเม็ดข้าวออกให้อย่างอ่อนโยน
“ทำอะไรวะ!”
มือที่อ้อยอิ่งอยู่เหนือริมฝีปากรูปกระจับสีสดถูกปัดเต็มแรง ภาคภูมิเงยหน้าขึ้นมองคนที่กล้าเสียมารยาทกับเขา จักษุแพทย์หน้าเข้มหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก มาแล้วมดแดงแฝงพวงมะม่วง
วรทย์กระพริบตารัว เขายังตั้งตัวไม่ติดตั้งแต่ภาคภูมิยื่นมือที่ปากตัวเองแล้วยิ่งมาเจอเสียงเขียวๆ ของผู้มาใหม่เลยพางงไปกันใหญ่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คิมหันต์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขารู้สึกได้ถึงไออุ่นและความไม่พอใจที่รายล้อมอยู่รอบตัวของคิมหันต์
ภาคภูมิไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นกับแววตาดุดันที่จ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง คิมหันต์ทำท่าเหมือนเป็นเจ้าของคุณหมอหน้าตาน่ารักคนนี้ทั้งที่เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น
“เอ่อ หมอคีย์ ตื่นนานแล้วหรือครับ” วรทย์เป็นฝ่ายทักทายก่อนเขาไม่กล้าหันไปมองเพราะรู้ว่าคิมหันต์กำลังอารมณ์ไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่คนอารมณ์ดีอย่างคิมหันต์จะหัวเสียให้ได้เห็น
“เพิ่งตื่น ตื่นมาก็เจอแมวขโมยพอดี” ขณะที่ตอบคำถามวรทย์แต่สายตากลับไม่
คลาดเคลื่อนไปจากใบหน้าคมคร้ามของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“แมวที่ไหนครับ แล้วมันขโมยอะไรไป”
“แถวนี้ล่ะครับ มันกำลังจะขโมยปลาย่างไปกินดีที่ผมมาทัน”
คุณหมอตัวเล็กงงหนักขึ้นไปอีก เขาไม่รู้ว่าที่บ้านพักมีปลาย่างด้วยหรือว่าพี่เข้าจะซื้อมาฝากไว้เป็นกับแกล้มไว้กินกับยาดอง ขณะที่วรทย์กำลังงงอยู่กับคำพูดของคิมหันต์ สองหนุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงกันต่างส่งสายตาห่ำหั่น
เขารู้จักไอ้หมอที่มาจากโรงพยาบาลใหญ่คนนี้มาได้พักนึงแล้วเคยเดินสวนกันบ้างแต่ไม่เคยทักทายกัน แต่วันนี้มันทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าเขาไม่ควรรับมันเป็นเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันกล้าที่จะถึงเนื้อถึงตัววรทย์ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ ความเคืองขุ่นพุ่งพล่านไปทั่วร่าง เขาไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัววรทย์ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
“เอ่อ หมอคีย์ครับ นี่หมอภาคภูมิเป็นจักษุแพทย์ของโรคพยาบาลเรา”
“เรียกผมว่าภูมิก็ได้ครับ” ภาคภูมิยื่นมือไปด้านหน้าเพื่อทำความรู้จักกับอีกฝ่าย ซึ่งคิมหันต์เองก็ไม่ขัดศรัทธราหมอหนุ่มผิวขาวหน้าคมยื่นมือไปจับกับจักษุแพทย์หน้าเข้ม
แรงบีบที่ไม่ธรรมดานั่นส่งให้อีกคนต้องเพิ่มแรงให้เท่าเทียมกัน ทั้งคู่ฝืนยิ้มให้กันขณะที่กระชับมือแน่นกว่าปกติมันน่าจะเป็นการประลองกำลังมากกว่าจะเป็นการทักทาย นานเกือบนาทีกว่าที่จะปล่อยมือจากกัน
“เอ่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่วรทย์รู้สึกว่าทั้งสองคนไม่น่าอยู่ด้วยกันสักนิดมันเหมือนเสือเจอสิงห์ขณะที่แมวอย่างเขาควรจะหลีกให้ไกล แต่เพราะลืมไปว่าขาข้างขวาของตัวเองยังไม่หายดีเลยเผลอลงน้ำหนักไปเต็มที่ร่างเล็กเลยเสียหลักซวนเซจวนเจียนจะล้ม ดีที่มีมือคว้าได้ทัน ทว่ามันมีมากกว่าหนึ่งคู่
วรทย์ตกอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายตัวใหญ่สองคน คิมหันต์ยกมือโอบรอบเอวเล็กพยุงร่างน้อยเอาไว้ขณะที่ภาคภูมิประคองหัวไหล่มนเอาไว้
“หมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ขายังไม่หายดีทำไมถึงได้รีบลุกล่ะ” คิมหันต์ใช้เสียงตำหนิในความไม่รู้จักระวัง คนเจ็บได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้ไปพึมพำพอได้ยินว่าลืมตัวไปหน่อย
“ไม่เป็นไรนะครับ พอดีผมก็จะกลับไปทำงานเหมือนกันเดี๋ยวผมช่วยประคองให้” คนที่โอบหัวไหล่เสนอตัว ทว่าคนที่โอบเอวปฏิเสธทันควัน
“ไม่ต้อง! มะรุมเป็นเพื่อนฉัน นายรีบกินข้าวแล้วกลับไปทำงานของนายซะ”
จักษุแพทย์รูปหล่อยกคิ้วสูง แต่ก็ยอมปล่อยมือจากไหล่เล็กถอยห่างออกมาเล็กน้อยเจ้ามดแดงตัวหนีหวงมะม่วงน่าดู ทั้งที่กินไม่ได้แท้ๆ
“เอ่อ ผมเดินเองได้ครับ”
มันเป็นการปฏิเสธที่สุภาพที่สุดทว่าคนตัวสูงกลับไม่ยอมฟัง มือยังตระคองกอดเอวเล็กไม่ห่างซ้ำยังแย่งจานข้าวผัดกระเพราไปถือเองไว้อีกด้วย
คิมหันต์ไม่สนใจสายตาของเหล่าพยาบาลและแม่ค้าในโรงอาหาร เขาเป็นห่วงแค่คนตัวเล็กเท่านั้นและเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของกลายๆ เพื่อไอ้แมวขโมยตัวนั้นมันรู้ว่าไม่ควรมายุ่งกับปลาย่างของเขา คุณหมอหนุ่มตัวสูงกอดเอวช่วยพยุงคุณหมอตัวเล็กจนมาถึงห้องทำงาน พยาบาลเอ๋อ้าปากค้างไม่คิดว่าหมอคีย์จะสนิทกับหมอมะรุมถึงขนาดเดินกอดกันมาแบบนี้
“ขาหมอมะรุมไม่ดีน่ะ ผมเลยช่วยพยุงมา” คิมหันต์เป็นฝ่ายบอกก่อน เขาดูออกว่าพยาบาลเอ๋ทั้งสงสัยและแปลกใจ เขาค่อยผ่อนร่างเล็กลงกับเก้าอี้
“ขะ…ขอบคุณมากครับหมอ ผมดีขึ้นมากเลย” วรทย์ปั้นหน้าไม่ถูกรู้แต่ว่าทั่วทั้งหน้ามันชาไปหมด เขาไม่กล้าสบตากับใครระหว่างที่เดินกลับมายังห้องตรวจ ยิ่งมาเจอพยาบาลเอ๋ยิ่งอยากจะแทรกแผ่นดินหนีคิมหันต์ทำราวกับเขาเป็นเด็กห้าขวบที่ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ค่อยได้ ทั้งที่เขาอายุยี่สิบสี่ปีแล้ว
“ผมอยู่แถวๆ นี้ถ้าหมอมีอะไรหรือเดินไม่ไหวก็โทรหาผมได้”
“ครับ ขอบคุณมาก” คนตัวเล็กพึมพำเบาๆ ยังไม่กล้ามองหน้าคนตัวสูงเท่าไรนัก เลยได้แต่มองที่หน้าอกของอีกฝ่ายแทน
“ฝากดูแลหมอมะรุมด้วยนะครับ เขาตัวเล็กไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไรนัก”
“เอ่อ….” พยาบาลเอ๋เว้นวรรคไปชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้ารับปาก “ค่ะ”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
พอแย้งร่างสูงก็หายไปจากบานประตูเสียแล้ว เหลือแต่พยาบาลเอ๋ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาทางเขาเท่านั้น เขารีบหมุนเก้าอี้หนีรับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่ากำลังจะถูกเค้นอะไรบางอย่างจากพยาบาลคนสวย
“เพิ่งเห็นว่าหมอคีย์น่ารักก็วันนี้นี่เอง ทำงานด้วยกันมาสองปีไม่เคยเห็นห่วงใยใครเท่ากับหมอมะรุมมาก่อน น่าอิจฉาจังเลยน้า”
หน้าที่ชาเปลี่ยนเป็นร้อนวูบวาบคำพูดของพยาบาลเอ๋มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเด็กโดนล้อว่ามีแฟนไม่มีผิด วรทย์แกล้งกระแอม ตีหน้าขรึม
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเพิ่งมาอยู่ใหม่แถมยังอยู่บ้านเดียวกันด้วย เพื่อนกันเป็นห่วงกันไม่แปลกหรอกครับ”
“ระวังเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนะคะหมอ” พยาบาลพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินอมยิ้มออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง
มือขาวเกาหัวแกรก ไม่เข้าใจในสิ่งที่พยาบาลคนสวยพูดเสียเท่าไร หมอหนุ่มปัดความคิดรกสมองไปแล้วตั้งสติให้มั่นอยู่กับหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง…
…………………………….……….....
“สวัสดีตอนเย็นครับหมอ”
สองขาที่กำลังจะก้าวชะงักลง สายตาหยุดที่หน้าอกกว้างแล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไปยังลำคอแข็งแกร่ง ลูกคางเรียวสะอาดสะอ้าน และใบหน้าคมเข้ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้งรูปร่างหน้าตาของจักษุแพทย์คนนี้มันทำให้คิดถึงไอ้คนบ้านั่นขึ้นมาได้ คล้ายกันจนระแวง
“เอ่อ ครับ หมอจะกลับบ้านแล้วหรือครับ”
“เรียกผมว่าภูมิดีกว่านะครับ เรียกหมอไปหมอมาแบบนี้ฟังดูสับสนอย่างไรไม่รู้” คุณหมอหน้าคมอมยิ้ม รอให้คนน่ารักพยักหน้ารับแล้วจึงค่อยตอบคำถาม “ผมกำลังจะกลับบ้านครับ แต่อยากมาลาหมอก่อน”
“ลาผม ทำไมล่ะครับ” วรทย์เอียงคอถาม ใบหน้าที่มีแต่ความแปลกใจยิ่งสร้างความน่ามองให้มากขึ้นไปอีก
“ไม่มีเหตุผลหรอกครับ แค่อยากเห็นหน้าก่อนกลับบ้าน”
คนฟังอดรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กสาวที่โดนรุ่นพี่หนุ่มรุกจีบไม่ได้ แต่เขาไม่ใช่เด็กสาวแถมยังเป็นผู้ชายอายุยี่สิบสี่มันประดักประเดิดมากว่าจะเขินอาย
ลมยามเย็นพัดผ่านมาพร้อมกับหอบเอาเศษใบไม้ใบหญ้าแถวนั้นมาด้วย วรทย์หลับตาแน่นดูเหมือนความซวยจะมาเยือนเยาไม่หยุดหย่อน ลมเมื่อครู่พัดเอาอะไรบางอย่างเข้ามาในตา มันทั้งเคืองทั้งเจ็บจนต้องใช้มือขยี้ ทว่าข้อมือโดนคว้าเอาไว้พร้อมกับเสียงดุที่ไม่จริงจังนัก
“อย่าขยี้ตาแบบนั้นซิครับ เดี๋ยวตาก็อักเสบหรอก” คางมนถูกช้อนขึ้นเล็กน้อยพลางค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วอบอุ่นจับที่เปลือกตาออกแรงเพียงนิดเพื่อให้มันเปิดออก แล้วค่อยๆ เป่าเอาเศษใบไม้ที่ตกอยู่ในดวงตาคู่สวยออกให้อย่างอ่อนโยน “ออกแล้วล่ะครับ แต่ผมว่าไปล้างตาหน่อยดีกว่า จะได้มั่นใจว่าตาจะไม่อักเสบ”
“เอ่อ ครับ” คนดวงไม่ดีผงกหัวเล็กน้อย อาการเคืองที่ตาหายไปแล้วแต่ยังเจ็บอยู่เล็กน้อย แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าว่าโดนรั้งตัวเข้าไปแนบชิดกับอกกว้างของจักษุแพทย์รูปหล่อเสียแล้ว
“ผมนี่ดวงไม่ดีเอาเลยนะครับ วันก่อนก็ขาพลิกวันนี้ตาก็ดันเจ็บอีก” วรทย์บ่นเบาๆ
“นั่นนับว่าเป็นโชคดีของผม”
“คุณภูมิว่าอะไรนะครับ”
“ผมบอกว่าวันนี้ผมโชคดีที่ได้เจอหมอ”
คนพูดระบายยิ้มที่มุมปาก ตาคมมองร่างเล็กที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงคนไข้ เรือนร่างบอบบาง ส่วนสูงไม่มากนัก ซ้ำใบหน้ายังน่ารักน่ามอง เขาสะดุดตากับคุณหมอตัวเล็กคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาช่วยงานที่โรงพยาบาลนี้ การที่ได้เห็นเป็นบางครั้งคราวมันช่วยทำให้ชีวิตประจำที่แสนน่าเบื่อของเขาน่าสนใจมากขึ้น กระทั่งวันนี้เขาตัดสินใจไปแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ เขาชอบใบหน้าที่มีทั้งความแปลกใจ ทั้งตกใจระคนกัน แต่ไม่ว่าวรทย์จะทำท่าไหนเขาก็ชอบทั้งนั้น จะเรียกว่ารักแรกพบก็ไม่ผิดนัก เขาชอบผู้ชายแต่ก็สามารถคบผู้หญิงได้ถ้าหากว่าถูกใจ แต่กับวรทย์เป็นผู้ชายที่ถูกใจเขายิ่งนัก ตัวเล็กผิวขาว หน้าตาน่ารักแถมยังบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้ยามเช้า
ตาคมไม่อาจละไปจากใบหน้าและเรือนร่างของคนที่อยู่บนเตียงได้เลย เขาขอบคุณเจ้าลมหอบนั้นที่นำเอาโชคเล็กๆ มาให้เขา ทว่าความสุขของเขาโดนขัดขวางด้วยเสียงโทรศัพท์มันไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของคุณหมอตัวเล็ก เจ้าตัวคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับโดยที่ยังปิดตาอยู่
“ครับ ผมล้างตาอยู่ครับ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่มีเศษใบไม้เข้าตาเฉยๆ อีกสักพักน่ะครับ อยู่ห้องคุณภูมิครับ อ้าว! หมอ หมอคีย์ จะวางก็ไม่บอกกันเลย” ปลายประโยคคล้ายจะบ่นกับตัวเองมากกว่า
“หมอคีย์โทรมาหรือครับ” จักษุแพทย์หนุ่มถาม เพราะวรทย์หลับตาเลยไม่เห็นสีหน้าหงุดหงิดติดไม่พอใจของเขา
“ครับ เขาเป็นห่วงน่ะครับ ไม่เห็นที่บ้าน”
“น่าอิจฉาจังนะครับได้อยู่บ้านเดียวกัน”
“ไม่เห็นจะน่าอิจฉาตรงไหนเลยถ้าผมได้อยู่บ้านเดียวกับหมอสาวๆ เป็นไปอย่าง” คนนอนพูดติดตลก “ผมว่าน่าจะพอแล้วล่ะครับ ไม่เจ็บแล้ว”
“ครับ ค่อยๆ ลุกนะครับ”
เปลือกตาบางที่ปิดไปพักใหญ่ค่อยๆ เปิดขึ้น พอได้ล้างตาทั้งอาการเคืองและเจ็บมันหายไปจนแทบไม่เหลือ แต่ต้องสายตายังปรับโฟกัสได้ไม่ดีนัก ภาพที่เห็นเลยพร่าเลือนเล็กน้อย เขาหย่อนขาลงจากเตียงแต่เพียงแต่ปลายเท้าแตะพื้นร่างก็เซเจียนจะล้มดีที่ได้เจ้าของห้องช่วยประคองไว้
“ขาเพิ่งหายไม่ใช่หรือ ระวังหน่อยซิครับ” ภาคภูมิบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพปนห่วงใย มือใหญ่กระชับรอบต้นแขนเล็ก เขาสูดเอากลิ่นหอมเหมือนขนมของอีกฝ่ายเอาไว้…หอมจนอยากจะกินไปทั้งตัว
“ปล่อยมะรุม เดี๋ยวจัดการเอง”
ทั้งจักษุแพทย์และคุณหมอดวงไม่ดี มองผู้มาใหม่ด้วยความแปลกใจโดยเฉพาะวรทย์ เขาเพิ่งจะวางโทรศัพท์จากคิมหันต์ได้ไม่นาน คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่นาทีอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวตรงหน้าแล้ว
“หมอบินได้หรือเปล่า ผมเพิ่งวางโทรศัพท์จากหมอเอง”
“ผมเป็นห่วง” คิมหันต์บอกเสียงห้วน พากายเข้ามาแทรกระหว่างทั้งสองแล้วเป็นฝ่ายประคองวรทย์ไว้เอง “ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลหมอมะรุม จากนี้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
จักษุแพทย์หนุ่มหน้าคมยอมปล่อยมือแต่โดยดีเหมือนเมื่อตอนกลางวัน เขาสอดมือลงกระเป๋าแล้วยืนมองคิมหันต์ประคองหนุ่มน้อยหน้าหวานของเขาห่างออกไปเรื่อยๆ ความไม่พอใจก่อตัวเงียบๆ แต่เขาก็ฉลาดมากพอที่จะไม่ผลีผลาม ถึงจะมองวรทย์มาสัปดาห์นึงแล้วแต่เขาเพิ่งจะทำความรู้จักอย่างเป็นทางการก็วันนี้นี่เอง ส่วนไอ้หมาหวงก้างที่ชื่อคิมหันต์เขาได้ยินมาว่ามันเป็นเจ้าของบ้านหลังที่วรทย์อยู่ เพราะบ้านอีกหลังอยู่ระหว่างการซ่อมแซม ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เขาต้องใจเย็น อย่างไรเสียวรทย์ยังอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็อีกสามปีส่วนเขาก็ยังต้องมาช่วยงานอยู่เรื่อยๆ เพราะหมอที่นี่มีน้อยเหลือเกิน ดีไม่ดีเขาอาจจะขอมาอยู่ประจำเลยก็ได้ เรื่องที่พักก็ไม่มีปัญหาเพราะเขามีบ้านอยู่ไม่ห่างกันนัก บางทีมันคงถึงเวลาที่ต้องกลับไปทวงสิทธิ์ที่ไร่เคียงฟ้าแล้ว…
…………………………….……….....
“โอ้ พี่ภูมิยังหล่อเหมือนเดิมเลยเนอะพี่เสือ”
พี่เสือของดินไม่ได้ตอบคำถาม สายตายังจับจ้องอยู่กับภาพที่เห็น เขาแอบมาซุ่มดูไอ้หมอหน้าตุ๊ดได้พักใหญ่แล้วตั้งแต่มันเลิกงานจนมาเจอกับไอ้คนที่เขาเกลียดขี้หน้า ได้ยินอาณกรบอกเมื่อหลายวันก่อนว่ามันกลับมาแล้วแต่ไม่คิดว่าจะได้เจอมัน เกือบจะห้ามตัวเองไม่อยู่ตอนที่เห็นไอ้ห่าตัวนั้นเข้าไปเป่าตาให้ ความหงุดหงิดทับถมสูงยิ่งกว่าเดิม แค่จะมาดูว่ามันหายหรือยังกลายเป็นว่าต้องมาเห็นมันอยู่กับไอ้ภูมิ ซ้ำตอนนี้มันยังอยู่ในอ้อมแขนไอ้หมอคีย์อีก ก้นบุหรี่ถูกทิ้งลงบนดินก่อนที่จะใช้ปลายเท้าขยี้จนมันแทบจะจมหายไปในดิน เสน่ห์แรงเสียจริงๆ มีผู้ชายมารุมตอนถึงสองคน แถมหนึ่งในนั้นยังมีสายเลือดเดียวกับเขาอีกด้วย ริมฝีปากสีเข้มกระตุกเบาๆ ดูท่าว่าเรื่องนี้จะเข้มข้นมากขึ้นแล้วซิ….
เป็นประจำของอิฉันแต่งเสร็จอัพเลย เอิ๊กกกกก มีตัวละครมาเพิ่มให้ปวดกระโหลกกันอีก
มีเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาขอพิมพ์อิพี่เสือของเราแล้ว ฟินมาก แถมยังมีแฟนๆ ที่น่ารักไปโหวตนิยายเราด้วย ขอบคุณมากนะคะ ถึงไม่ได้รางวัลก็ดีใจมากค่ะ